MSN on October 01, 2013, 12:20:09 PM
KTAMขาย2กองทุนตราสารหนี้ชู1ปียิลด์3.25%

นายสมชัย  บุญนำศิริ  กรรมการผู้จัดการ  บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน กรุงไทย จำกัด (มหาชน)  เปิดเผยว่า    บริษัทเปิดจำหน่ายกองทุนเปิดกรุงไทยตราสารหนี้ เอฟไอเอฟ 36 ( KTFF36 )   ในวันที่ 2-8 ตุลาคม 2556    มูลค่า 7,000 ล้านบาท   อายุ โครงการ   1 ปี   เน้นลงทุนในเงินฝากประจำ   Bank of  China    , บัตรเงินฝาก  China Construction  Bank  (Asia)  , MTN ออกโดย  ICBC  Asia  Ltd.  , MTN  ออกโดย  Banco  Do  Brasil  S.A. ,  MTN ออกโดย   BLADEX    ในสัดส่วนบริษัทละ 20 % ของมูลค่าทรัพย์สินสุทธิของกองทุน     ผู้ลงทุนจะได้รับผลตอบแทนประมาณ 3.25%  ต่อปี

นอกจากนี้  บริษัทยังอยู่ในระหว่างการเปิดจำหน่ายรอบใหม่(Roll  Over ) กองทุนเปิดกรุงไทยประจำ 6 เดือนคุ้มครองเงินต้น 1  (KTFIX6M1 )   ตั้งแต่วันนี้  ถึงวันที่ 4  ตุลาคม  2556  อายุ 6 เดือน เน้นลงทุนในเงินฝาก /บัตรเงินฝาก/ตั่วแลกเงินของ ธนาคารธนชาต  ธนาคารทิสโก้    และธนาคารICBC  ประเทศไทย   ในสัดส่วน 41% ของมูลค่าทรัพย์สินสุทธิของกองทุน  ส่วนที่เหลือลงทุนในพันธบัตรธนาคารแห่งประเทศไทย   ผู้ลงทุนจะได้รับผลตอบแทนประมาณ 2.45% ต่อปี

นายสมชัย  กล่าวต่อไปว่า   ตลาดตราสารหนี้ไทยยังได้รับอิทธิพลจาก 2 ปัจจัย คือ ผลการตัดสินใจชะลอแผนการลดมาตรการอัดฉีดสภาพคล่องของสหรัฐอเมริกา (QE Tapering) และการประกาศตารางประมูลพันธบัตรรัฐบาลชุดใหม่ในไตรมาสแรกของปีงบประมาณ 2557 ซึ่งมีจำนวนน้อยกว่าที่ตลาดคาดไว้ ทำให้ในช่วงต้นสัปดาห์  อัตราผลตอบแทนของพันธบัตรภาครัฐไทยปรับตัวลดลง โดยเฉพาะตราสารหนี้ระยะกลางและระยะยาว  ในขณะที่ตราสารระยะสั้นไม่เกิน 1 ปี ค่อนข้างทรงตัวและบางรุ่นปรับตัวเพิ่มขึ้นเล็กน้อยเมื่อเทียบกับสัปดาห์ที่ผ่านมา เนื่องจากนักลงทุนมีการขายตราสารระยะสั้นเพื่อไปลงทุนในตราสารที่มีอายุยาวขึ้น 

อย่างไรก็ตาม การปรับลดลงของอัตราผลตอบแทนคาดว่าจะอยู่ในระดับจำกัด เนื่องจากตลาดการเงินส่วนใหญ่คาดว่ามาตรการลดอัดฉีดสภาพคล่องจะต้องเกิดขึ้นในไม่ช้า และจะกระทบต่อกระแสเงินทุนระหว่างประเทศ แม้ว่าโดยภาพรวมเศรษฐกิจของไทยจะยังอยู่ในทิศทางชะลอตัว ซึ่งเอื้อต่อการดำเนินนโยบายการเงินที่ผ่อนคลายต่อเนื่องไปถึงปีหน้า
ส่วนตลาดตราสารหนี้ในต่างประเทศ  ผลจากการชะลอแผน QE Tapering ทำให้อัตราผลตอบแทนของตราสารหนี้ปรับตัวลดลง ยกเว้น อัตราผลตอบแทนของเงินฝากและตราสารหนี้ของสถาบันการเงินบางประเทศที่ยังทรงตัวในระดับสูงเนื่องจากความต้องการระดมเงินในช่วงปลายปี นอกจากนี้ การอ่อนค่าของเงินดอลล่าร์สหรัฐ (แกว่งตัวในช่วง 31.00 – 31.35 บาทต่อดอลล่าร์สหรัฐ) ซึ่งถือเป็นผลบวกสำหรับการลงทุนในต่างประเทศหากมีการปิดความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน โดยเมื่อแปลงอัตราผลตอบแทนกลับมาในรูปสกุลเงินบาทแล้วจะทำให้ได้ผลตอบแทนเพิ่มขึ้นและสูงกว่าการลงทุนในประเทศ    ทั้งนี้  กองทุนที่บริษัทอยู่ในระหว่างการเปิดจำหน่าย จึงเป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่น่าสนใจสำหรับในช่วงเวลานี้  และมีการป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนทั้งจำนวน พร้อมทั้งผู้ลงทุนบุคคลธรรมดา ไม่เสียภาษีอีกด้วย