KTAMบริหารTRIG5% เข้าเป้าคืนเงิน26 ก.ย.นี้ พร้อมแนะลงทุนKT-FINANCEรับเศรษฐกิจโลกฟื้น
นายสมชัย บุญนำศิริ กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน กรุงไทย จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า บริษัทสามารถสร้างผลตอบแทนกองทุนเปิดกรุงไทย5% ทริกเกอร์ฟันด์ ( TRIG5%) ได้ก่อนเป้าหมายที่ กำหนดไว้ โดยใช้ระยะเวลาเพียง 3 เดือน 13 วัน สามารถสร้างผลตอบแทนให้กับผู้ลงทุนได้ไม่ต่ำกว่า 5% ซึ่งกองทุนจะสับเปลี่ยนหน่วยลงทุนโดยอัตโนมัติทั้งจำนวนของผู้ถือหน่วยลงทุนทุกรายไปยังกองทุนเปิดกรุงไทยสะสมทรัพย์ ในวันที่ 26 กันยายน 2556
ทั้งนี้ กองทุน TRIG5% มีอายุโครงการ6 เดือน เปิดจำหน่าย IPO ในวันที่ 7-11 มิถุนายน 2556 กองทุน มีมูลค่าทรัพย์สินสุทธิ ประมาณ 500 ล้านบาท อายุโครงการประมาณ 6 เดือน หรืออาจจะต่ำกว่า6 เดือน เมื่อกองทุนมีมูลค่าหน่วยลงทุนตั้งแต่ 10.80 บาท ขึ้นไป จากมูลค่าที่ตราไว้ที่ 10 บาท เป็นเวลา 3 วันติดต่อกัน โดยมูลค่าหน่วยลงทุนที่คืนให้ผู้ถือหน่วยลงทุนต้องไม่ต่ำกว่า 10.50 บาท ต่อหน่วย
นอกจากนี้ บริษัทขอแนะนำ กองทุนเปิดเคแทม เวิลด์ ไฟแนนเชียล เซอร์วิส ฟันด์ ( KT- FINANCE ) เป็นอีกหนึ่งกองทุนที่น่าสนใจ โดยผลตอบแทน ณ วันที่ 13 กันยายน 2556 ย้อนหลัง 6 เดือน อยู่ที่ 12.18% 1 ปี อยู่ที่ 27.17% และYTD อยู่ที่ 18.67% ซึ่งสูงกว่าเกณฑ์มาตรฐาน AIMC ย้อนหลัง 6 เดือน อยู่ที่ 11.98% 1 ปี อยู่ที่ 22.18% และ YTD อยู่ที่ 16.51%
กองทุน KT-FINANCE เป็นกองทุนที่มีนโยบายลงทุนในหน่วยลงทุนของ Fidelity Fund Global Financial Service Fund โดยเฉลี่ยในรอบปีบัญชีไม่น้อยก่าร้อยละ80 ของมูลค่าทรัพย์สินสุทธิของกองทุน โดยกองทุนจะสร้างผลตอบแทนจากการลงทุนในหุ้นของบริษัททั่วโลก ที่เกี่ยวข้องกับการให้บริการด้านการเงินแก่ผู้บริโภค และภาคอุตสาหกรรม ซึ่งกองทุนหลักมีการกระจายการลงทุนในหลายภูมิภาค ทำให้กองทุนมีความคล่องตัวในการปรับสัดส่วนการลงทุนเพื่อให้ได้ประโยชน์จากการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจ ความแข็งแกร่งของภาคการเงิน และกระแสการเคลื่อนย้ายเงินทุน ซึ่งอาจปรับเปลี่ยนไปในแต่ละช่วงเวลา
ทั้งนี้ กองทุนมีโอกาสสร้างผลตอบแทนที่ดีเนื่องจากได้รับผลประโยชน์จากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก โดยเศรษฐกิจสหรัฐ มีแนวโน้มที่ดีขึ้นในช่วงครึ่งหลังของปี และต่อเนื่องถึงปีหน้า ขณะที่เศรษฐกิจยูโรโซนได้หลุดพ้นจากภาวะถดถอยที่ยาวนานที่สุด ตั้งแต่เริ่มก่อตั้งขึ้นมา ซึ่งการที่เศรษฐกิจของผู้บริโภคหลักของโลกฟื้นตัวนี้ ทำให้เศรษฐกิจของผู้ผลิตอย่างจีน หรือหลายประเทศในเอเซีย จะฟื้นตัวตามไปด้วย ทำให้ความต้องการสินเชื่อเพิ่มขึ้น ทั้งจาก Corporate และครัวเรือน ซึ่งจะส่งผลดีต่อภาคการเงินทั่วโลก
ด้าน แนวโน้มดอกเบี้ยมีทิศทางขาขึ้นทั่วโลก โดยในช่วงที่ผ่านมา ธนาคารกลางที่สำคัญของโลกมีการใช้นโยบายการเงินที่ผ่อนคลายมาก ด้วยการคงดอกเบี้ยนโยบายในระดับต่ำ และเพิ่มขนาดงบดุลของตัวเอง แต่เมื่อเศรษฐกิจมีแนวโน้มที่ดีขึ้น ธนาคารกลางเริ่มที่จะถอนนโยบายการเงินที่ผ่อนคลายเป็นอย่างมากนี้ออกไป จึงทำให้ดอกเบี้ยในตลาดโลกเป็นทิศทางขาขึ้น
ภาคการธนาคารเป็นอุตสาหกรรมที่จะได้ประโยชน์จากดอกเบี้ยขาขึ้นอย่างชัดเจน เนื่องจากรายได้หลักของธนาคารส่วนมากนั้นเป็นรายได้ดอกเบี้ย ซึ่งโดยส่วนใหญ่แปรผันตามอัตราดอกเบี้ย อีกทั้งจากการที่สภาพเศรษฐกิจมีการปรับตัวดีขึ้นก็จะส่งผลทำให้มีการทำธุรกรรมทางการเงินเพิ่มมากขึ้น ซึ่งส่งผลดีต่อภาคอุตสาหกรรมการเงินและธนาคารทั่วโลก โดยภาคธนาคารของสหรัฐ ทำกำไรสูงเป็นประวัติการณ์ ที่ 4.42 หมื่นล้านดอลล่าร์ในงวดระหว่างเดือน เม.ย. – มิ.ย. 2556 อุตสาหกรรมธนาคารของสหรัฐมีกำไรเพิ่มขึ้น7.8 พันล้านดอลล่าร์ หรือ 22.6%. ในไตรมาสที่2 เมื่อเทียบกับปีก่อน ทั้งนี้เนื่องจาก กฎ ระเบียบต่างๆทำให้อุตสาหกรรมธนาคารมีความแข็งแกร่งขึ้น การเริ่มบังคับใช้ BASEL III ทำให้แต่ละธนาคารต้องดำรงเงินกองทุนเพิ่มมากขึ้น เพิ่มปฎิบัติตามเกณฑ์ขั้นต่ำอันใหม่ที่ปรับให้แต่ละสถาบันการเงินดำรงเงินกองทุนเพิ่มขึ้น ไม่ว่าจะเป็น CET1 Ratio Tier 1 Ratio และ CAR Ratio ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความเข้มงวดที่เพิ่มขึ้นที่ธนาคารกลางแต่ละประเทศใช้ควบคุมอุตสาหกรรมธนาคารให้แข่งแกร่งขึ้น
นอกจากนี้ บริษัทยังเปิดจำหน่ายกองทุนเปิดกรุงไทยธนทรัพย์ บี 93 (KTSUPB93 ) เสนอขายในวันที่ 25 กันยายน - 1 ตุลาคม 2556 อายุ 6 เดือน มูลค่า 7,000 ล้านบาท เน้นลงทุนในเงินฝากประจำ bank of China , Abu Dhabi Commercial Bank , Akbank T.A.S , MTN ออกโดย Garanti Bank , MTN ออกโดย Bladex , MTN ออกโดย Banco ABC ในสัดส่วน70% ของมูลค่าทรัพย์สินสุทธิของกองทุน ส่วนที่เหลือลงทุนในหุ้นกู้ ตั๋วแลกเงิน สถาบันการเงิน บริษัทเอกชน ผู้ลงทุนจะได้รับผลตอบแทนประมาณ 3.00% ต่อปี
พร้อมทั้ง ยังอยู่ในระหว่างการเปิดจำหน่ายรอบใหม่ ( Roll Over ) ของกองทุนเปิดกรุงไทยประจำ 3 เดือน คุ้มครองเงินต้น 1 ( KTFIX3M1 ) ตั้งแต่วันนี้ ถึงวันที่ 27 กันยายน 2556 เน้นลงทุนในพันธบัตรภาครัฐในประเทศ 58% ของมูลค่าทรัพย์สินสุทธิของกองทุน ส่วนที่เหลือลงทุนในเงินฝากธนาคารพาณิชย์ ผู้ลงทุนจะได้รับผลตอบแทนประมาณ 2.45% ต่อปี