MSN on September 19, 2013, 08:30:46 AM
สัมมนาครั้งประวัติศาสตร์นำประเทศไทยก้าวสู่ “สังคมคาร์บอนต่ำ”





4 องค์กรหลัก พพ. กนอ. สสท.และอบก. ผนึกกำลังร่วมกับอีกกว่า 20 หน่วยงานชั้นนำด้านพลังงาน อุตสาหกรรมและสิ่งแวดล้อม จัดสัมมนาวิชาการครั้งประวัติศาสตร์ สร้างพิมพ์เขียว “นำไทยสู่สังคมคาร์บอนต่ำอย่างยั่งยืน” ย้ำเป็นเวทีบูรณาการความร่วมมือให้ทุกภาคส่วนร่วมกันลดใช้พลังงานลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก เรียนรู้เทคโนโลยีสีเขียว และวางแผนสร้างความมั่นคงด้านพลังงานควบคู่ดูแลสิ่งแวดล้อมให้ไทยผงาดในเวทีโลกอย่างยั่งยืน

วันนี้ (17 ก.ย.)กรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน(พพ.)การนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย(กนอ.) สถาบันสิ่งแวดล้อมไทย และองค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (องค์การมหาชน) ร่วมกันจัดงานสัมมนาวิชาการเรื่อง “Energy: Main Road to Low Carbon Society” เพื่อนำเสนอผลงานอันโดดเด่นด้านนวัตกรรมพลังงานและพลังงานทดแทน การเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงาน ตลอดจนเพื่อกระตุ้นให้ภาคส่วนต่างๆ ในสังคม   ทั้งภาคธุรกิจ   อุตสาหกรรม หน่วยงานภาครัฐ ท้องถิ่น และประชาชน เกิดความตระหนักและเล็งเห็นแนวทางในการพัฒนาพลังงานทดแทนที่เหมาะสมกับบริบทของประเทศต่อไป

นายอำนวย ทองสถิตย์ อธิบดีกรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน (พพ.) กล่าวว่า จากแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 11 ซึ่งมีเป้าหมายระบุว่า ประเทศจะต้องเข้าสู่การเป็นสังคมคาร์บอนต่ำ (Low Carbon Society) ภายในปี 2564 พพ.ในฐานะหน่วยงานหลักที่ดูแลด้านการพัฒนาพลังงานทดแทนและการอนุรักษ์พลังงาน ซึ่งถือเป็นกลไกหลักของการขับเคลื่อนตามเป้าหมายดังกล่าว จึงมีความจำเป็นต้องเร่งสร้างจิตสำนึกให้ทุกภาคส่วนในสังคมหันมาใส่ใจการใช้พลังงาน โดยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกให้มากที่สุด ทั้งจากกระบวนการผลิตในภาคอุตสาหกรรมและภาคขนส่ง ซึ่งถือเป็น 2 ภาคส่วนหลักที่มีการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสูงถึงกว่าร้อยละ 70 ซึ่งการสัมมนาในวันนี้จะมีการพูดคุยหาทางออกในมิติต่างๆ ที่จะช่วยให้ภาคส่วนดังกล่าวลดการใช้พลังงานและลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกควบคู่ไปด้วย

ทั้งนี้ ผลจากการสัมมนาในหัวข้อที่สำคัญต่างๆ ครั้งนี้ จะเป็นเหมือนพิมพ์เขียวตั้งต้นในการนำไปสู่สังคมคาร์บอนต่ำ ได้แก่ การสร้างแรงจูงใจในการลงทุนเพื่อนิคมอุตสาหกรรมสีเขียว แนวทางการจำหน่ายคาร์บอนเครดิต การออกแบบบ้านจัดสรรและอาคารให้เป็นแบบอนุรักษ์พลังงาน การอบรมเรื่องฉลากประสิทธิภาพสูงในอุปกรณ์พลังงานต่างๆ   ตลอดจนนวัตกรรมด้านการส่งเสริมพลังงานทางเลือกของไทย   การส่งเสริมวิสาหกิจชุมชนให้ทุกชุมชนสามารถเป็นผู้ผลิตเองได้ โดยการแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ที่เกิดขึ้นจากหน่วยงานต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกว่า 20 หน่วยงาน ซึ่ง พพ. มั่นใจว่าจะเป็นก้าวสำคัญให้ประเทศไทยไปสู่เป้าหมายสังคมคาร์บอนต่ำได้ในอนาคตอันใกล้นี้

   ดร.วีรพงศ์   ไชยเพิ่ม   ผู้ว่าการการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (กนอ.) กล่าวว่า  ขณะนี้ กนอ.ได้ปรับแนวคิดจากนิคมอุตสาหกรรมแบบดั้งเดิมเปลี่ยนมาเป็น Eco  Industrial  Town  หรือ“เมืองอุตสาหกรรมเชิงนิเวศ”  เพื่อให้เกิดการพัฒนาอย่างมีดุลภาพและยั่งยืน  โดยผู้ที่เกี่ยวข้องทั้งหมด  เช่น  ผู้ประกอบการ  รัฐ  ชุมชน   รวมทั้งองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นที่นิคมอุตสาหกรรมเข้าไปตั้งอยู่จะต้องได้รับประโยชน์ร่วมกันและสามารถพัฒนาต่อยอดไปได้ โดยจะใช้หลักการมีส่วนร่วมและการบริหารจัดการที่มีธรรมาภิบาล   

   โดยขณะนี้ กนอ. ได้รณรงค์เรื่องเมืองอุตสาหกรรมเชิงนิเวศไปแล้ว  15  นิคมฯ  จากนิคมอุตสาหกรรมทั้งหมด 48  แห่งทั่วประเทศ  โดยเฉพาะนิคมฯ เกิดใหม่ก็จะนำแนวคิดนี้ไปใช้ตั้งแต่การออกแบบให้เป็นนิคมฯ สีเขียว   ส่วนในอนาคต กนอ.มีวิสัยทัศน์ในการจัดตั้งนิคมอุตสาหกรรมพลังงานทางเลือกโดยเฉพาะ  โดยจะร่วมกับการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค  ซึ่งในขณะนี้อยู่ในระหว่างการศึกษาความเหมาะสมและความเป็นไปได้   ดังนั้นพลังงานทางเลือกถือเป็นสิ่งที่ท้าทายสำหรับโอกาสของนิคมอุตสาหกรรมของไทยในอนาคต

ดร.ขวัญฤดี  โชติชนาทวีวงศ์   ผู้อำนวยการสถาบันสิ่งแวดล้อมไทย  กล่าวว่า  จากความต้องการพลังงานของประเทศ ที่นับวันจะมีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้น   ขณะที่ปริมาณพลังงานที่มีกลับลดน้อยลงเรื่อยๆ อันเนื่องจากการพึ่งพาเชื้อเพลิงชนิดที่ใช้แล้วหมดไปเป็นหลัก   ประกอบกับการนำเข้าพลังงานบางส่วนจากต่างประเทศ   ล้วนส่งผลกระทบต่อความมั่นคงทางพลังงานของประเทศทั้งสิ้น   ซึ่งทุกภาคส่วน ต้องให้ความสำคัญร่วมกัน   คือการสร้างความเข้าใจและตระหนักถึงความจำเป็นในการอนุรักษ์ การเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงาน   รวมถึงการหาแหล่งพลังงานทดแทนในรูปแบบต่างๆ อย่างเท่าทันเทคโนโลยีและนวัตกรรมใหม่ที่ปรับเปลี่ยนอย่างรวดเร็ว   เพื่อให้เกิดความมั่นคงทางพลังงาน  ควบคู่กับการลดผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมและการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากการผลิต   และการใช้พลังงานอย่างยั่งยืน  ซึ่งการสัมมนาวันนี้จะเป็นการนำเอามุมมองในแง่ต่างๆ  ของเรื่องพลังงานจากผู้เชี่ยวชาญหลายๆ ท่าน มาเป็นข้อมูลในการพัฒนาประเทศลำดับต่อไป

นางประเสริฐสุข   จามรมาน   (รักษาการ) ผู้อำนวยการ องค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (องค์การมหาชน) หรือ อบก. กล่าวว่าปัจจุบันอบก.ได้จัดตั้งศูนย์ฝึกอบรมนานาชาติด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศหรือ CITC (Climate  Change  International  Training  Centre) เพื่อเป็นองค์กรหลักในการส่งเสริมการพัฒนาศักยภาพการบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจกของประเทศ   และมุ่งหวังที่จะเป็นศูนย์กลางของประเทศอาเซียนในการบริหารจัดการเรื่องนี้ด้วย รวมทั้งเสริมสร้างและพัฒนาเครือข่ายด้านองค์ความรู้ในการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศในประเทศไทยและกลุ่มประเทศอาเซียน  เพื่อนำไปสู่การพัฒนาศักยภาพด้านการลดก๊าซเรือนกระจกต่อไป
« Last Edit: September 19, 2013, 08:43:29 AM by MSN »

MSN on September 19, 2013, 08:42:26 AM
ภาครัฐผนึกพลังเอกชนหนุนเส้นทางประเทศไทยสู่สังคมคาร์บอนต่ำ









                กรุงเทพฯ  :  การสัมมนาครั้งประวัติศาสตร์  “Energy  :  Main  Road  to  Low  Carbon  Society”  คึกคัก   หอการค้าไทยหนุนนำพืชเศรษฐกิจหลัก  ข้าว  ยางพารา  อ้อย  มันสำปะหลัง   ข้าวโพด  ปาล์มน้ำมัน  มาผลิตเป็นพืชอาหารและพลังงานทางเลือก  ด้าน กนอ.มีแผนจัดตั้งนิคมอุตสาหกรรมทางเลือก  เริ่มนำร่องที่จังหวัดพิจิตรภายในปี 2559  เน้นอุตสาหกรรมการผลิตร่วมแบบคลัสเตอร์  โดยจะสนับสนุนอุตสาหกรรมมันสำปะหลังเป็นสินค้าเกษตรและผลิตเป็นพลังงาน

   วันนี้ (17 กันยายน 2556) ที่โรงแรมสวิสโซเทล  นายเลิศปาร์ค  กรุงเทพฯ   มีการจัดงานสัมมนาวิชาการเรื่อง “Energy  :  Main  Road  to  Low  Carbon  Society”  โดยกรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน การนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย  สถาบันสิ่งแวดล้อมไทย   และ องค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (องค์การมหาชน)    ร่วมกันจัดงานสัมมนาครั้งนี้   โดยมีตัวแทนหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งภาครัฐ   เอกชน  และผู้ประกอบการ  เข้าร่วมงานสัมมนาประมาณ  400 คน

   นายประวิทย์   ประกฤตศรี  ประธานคณะอำนวยการด้านพัฒนาพลังงานทดแทนและพลังงานทางเลือก  คณะกรรมการพลังงาน  หอการค้าไทย   กล่าวในการเสวนาเรื่อง “ความท้าทายสู่การเป็นนิคมเกษตร-พลังงานทางเลือก...เป็นไปได้หรือไม่”  ว่า   หากประเทศไทยยังใช้พลังงานในแบบปัจจุบัน  ภายในอีก 20 ปีข้างหน้าเราจะต้องนำเข้าพลังงานที่สูงเหมือนเช่นญี่ปุ่น   ทำให้ประเทศจะไปไม่รอด   เพราะเศรษฐกิจเราไม่แข็งแรงเหมือนญี่ปุ่น ดังนั้นจึงต้องใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพ    ขณะเดียวกันพืชเศรษฐกิจสำคัญของไทย  6  ชนิดที่เป็นสินค้าส่งออกทำรายได้มากกว่า 50 %  ของ GDP  คือ  ข้าว  ยางพารา  ปาล์มน้ำมัน  อ้อย  ข้าวโพด  มันสำปะหลัง  ขณะนี้ข้าวและยางพาราก็มีปัญหาราคาตกต่ำ   ชาวบ้านก็ออกมาปิดถนนประท้วง   

   “เราต้องนำพืชทั้ง 6 ตัวนี้มาพัฒนาให้สอดคล้องทั้งเรื่องอาหารและพลังงาน  เช่น  ข้าว  ถ้าเราปลูกในพื้นที่ที่เหมาะสม   ปลูกในเขตชลประทานจะผลิตข้าวได้ดี   แต่ปัญหาตอนนี้คือผลิตในที่ที่ไม่เหมาะสม   ดังนั้นจะต้องจัดโซนนิ่งประกาศพื้นที่ที่เหมาะสมว่าจะปลูกอะไร  อย่าไปปลูกเกิน  ทำแผนให้ชัดเจน  สร้างระบบชลประทาน   แต่พืชบางชนิดก็ไม่ต้องการน้ำมาก  เช่น  อ้อยและมันสำปะหลัง  และต้องสร้างโครงสร้างพื้นฐาน  ระบบการขนส่ง  รวมทั้งดูเรื่องการตลาดด้วย”  นายประวิทย์กล่าว

   สำหรับพืชพลังงานทดแทนนั้น   อ้อยถือว่าเป็นพืชที่มีศักยภาพที่จะเติบโต  และประเทศไทยเป็นผู้ผลิตน้ำตาลรายใหญ่ในเอเชีย  นอกจากจะนำมาเป็นน้ำตาลแล้วยังสามารถผลิตเป็นไฟฟ้า   เป็นเอทธานอลได้อีก   หากเพิ่มพื้นที่ปลูกอีกประมาณ  6 ล้านไร่  ก็จะนำมาแทนน้ำมันเบนซีนได้อีกประมาณ  6,000 ล้านลิตร   เช่น  ประเทศบราซิลถือเป็นโมเดลแห่งความสำเร็จที่ได้ทั้งน้ำตาลและพืชพลังงาน  โดยใช้พลังงานทดแทนจากอ้อยถึง  46  %  หรือโรงงานผลิตภัณฑ์แปรรูปข้าวโพดครบวงจรที่รัฐเนบราสกา  สหรัฐอเมริกา   ที่นำข้าวโพดมาผลิตเป็นอาหาร  เมล็ดพลาสติก   และยังนำมาผลิตเป็นเอทธานอลได้ด้วย
ส่วนข้อเสนอของหอการค้าไทยนั้น   นายประวิทย์กล่าวว่า  1.พืชทั้ง 6  ชนิดจะต้องถือเป็นวาระแห่งชาติตามการจัดการโซนนิ่ง  2.จัดตั้งคณะกรรมการและหน่วยงานเข้ามาศึกษา ดูแลดำเนินการพัฒนาและส่งเสริมจนถึงห่วงโซ่ผลิตภัณฑ์ของพืชนั้นๆ  3.ผลิตอาหารและพลังงานให้อยู่ในกลุ่มเดียวกัน   4.ต้องมีการเชื่อมโยงการผลิตจากวัตถุดิบถึงผลิตภัณฑ์   ซึ่งจะทำให้ช่วยลดต้นทุนการผลิตและเพิ่มมูลค่า  ทำให้ราคาพืชผลการเกษตรมีความเสถียร

ดร.วีรพงศ์   ไชยเพิ่ม   ผู้ว่าการการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (กนอ.) กล่าวว่า  ขณะนี้ กนอ.ได้ปรับแนวคิดจากนิคมอุตสาหกรรมแบบดั้งเดิมเปลี่ยนมาเป็น Eco  Industrial  Town  หรือ“เมืองอุตสาหกรรมเชิงนิเวศ”  เพื่อให้เกิดการพัฒนาอย่างมีดุลภาพและยั่งยืน  เช่น  การนำวัสดุหมุนเวียนกลับมาใช้ใหม่  การใช้พลังงานทางเลือกจากขยะ  และแสงอาทิตย์   โดยขณะนี้ กนอ. ได้รณรงค์เรื่องเมืองอุตสาหกรรมเชิงนิเวศไปแล้ว  15  นิคมฯ  จากนิคมอุตสาหกรรมทั้งหมด 48  แห่งทั่วประเทศ  โดยเฉพาะนิคมฯ เกิดใหม่ก็จะนำแนวคิดนี้ไปใช้ตั้งแต่การออกแบบให้เป็นนิคมฯ สีเขียว   

ส่วนในอนาคต กนอ.มีวิสัยทัศน์ในการจัดตั้งนิคมอุตสาหกรรมพลังงานทางเลือกโดยเฉพาะ  โดยเมื่อเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา กนอ.ได้เซ็น MOU ร่วมกับการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค  เพื่อศึกษาความเหมาะสมและความเป็นไปได้ในการจัดตั้งนิคมอุตสาหกรรมทางเลือก  ระยะเวลาศึกษา 1 ปี และคาดว่าภายในปี 2559 จะสามารถจัดตั้งนิคมอุตสาหกรรมพลังงานทางเลือกได้  โดยมีเป้าหมายแห่งแรกอยู่ที่นิคมอุตสาหกรรมจังหวัดพิจิตร  ส่วนรูปแบบของนิคมอุตสาหกรรมพลังงานทางเลือกนั้น  จะมีลักษณะรวมกลุ่มการผลิตแบบคลัสเตอร์  เพื่อใช้ทรัพยากรร่วมกัน  เช่น  อุตสาหกรรมมันสำปะหลัง  ซึ่งนอกจากจะผลิตเป็นสินค้าอาหารแล้ว  ยังนำมาผลิตเป็นพลังงานด้วย  ส่วนโรงงานที่จะเข้ามาตั้งในนิคมนอกจากจะได้รับสิทธิพิเศษจากบีโอไอ.แล้ว   ยังอาจได้รับสิทธิพิเศษในฐานะอุตสาหกรรมสีเขียวด้วยอย่างไรก็ตาม  นอกจากเป้าหมายที่จังหวัดพิจิตรแล้ว  ขณะนี้ที่จังหวัดนครพนมและนครราชสีมาก็มีความสนใจที่จะจัดตั้งนิคมฯ พลังงานทางเลือกด้วยเช่นกัน

   นายอำนวย  ทองสถิตย์ อธิบดีกรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน (พพ.)  กล่าวว่าทิศทางการขับเคลื่อนพลังงานของประเทศไทยมุ่งเน้นสู่สังคมคาร์บอนต่ำ   การจัดตั้งนิคมเกษตรฯ ก็จะต้องเชื่อมโยงกับพืชเกษตร  เช่น  ปาล์ม  อ้อย  โดยมีเป้าหมายในปี 2564  จะต้องใช้เอทานอลปริมาณ 9  ล้านลิตรต่อวัน   ส่วนปาล์มน้ำมันจะมีปัญหาเรื่องราคาสต็อกและราคาผลผลิตไม่คงที่   หากราคาปาล์มสูงก็จะทำให้กระทบต่อราคาน้ำมันไปด้วย  อย่างไรก็ตามในปี 2557  จะผลิตน้ำมัน B7 สามารถดึงปาล์มมาผลิตน้ำมันได้อีก  240,000 ตัน   และปี 2560  จะสามารถผลิตน้ำมันจากปาล์มได้ประมาณ 1 ล้านลิตรต่อวัน  และจะสามารถดึงปาล์มมาใช้ได้ประมาณ  350,000 ตัน   ทำให้สัดส่วนการใช้พลังงานจากน้ำมันปาล์มมากกว่าการใช้เพื่อบริโภค  ซึ่งก็จะต้องดูด้วยว่าจะมีน้ำมันปาล์มเหลือบริโภคหรือไม่  แต่ที่สำคัญก็คือจะทำอย่างไรให้ราคาน้ำมันปาล์มราคาถูกลง

ส่วนการนำมาผลิตเอทานอล   ปัจจุบันผลิตได้ประมาณ  2.7 ล้านลิตร  โดย 2  ล้านลิตรมาจากกากน้ำตาล   และอีก  7 แสนลิตรผลิตจากมันสำปะหลัง  ซึ่งเราพยายามควบคุมสัดส่วนให้สมดุลกัน  ซึ่งหากดูแลเรื่องมันสำปะหลังได้ก็จะทำให้การผลิตเพิ่มขึ้น   ส่วนพืชพลังงานอีกชนิดหนึ่งคือหญ้าเนเปียร์  ซึ่งทาง พพ.มีเป้าหมายจะนำมาผลิตกระแสไฟฟ้าให้ได้ประมาณ 3,000 เมกะวัตต์   ตอนนี้เริ่มนำร่องผลิต  15  เมกะวัตต์   และยังสามารถนำหญ้าเนเปียร์มาผลิตแทนก๊าซเอ็นจีวีได้โดยในขณะนี้ทาง พพ.เปิดรับผู้สนใจเข้าร่วมลงทุนผลิตกระแสไฟฟ้าจากหญ้าเนเปียร์  และเกษตรกรสามารถปลูกหญ้าเนเปียร์แทนพืชเกษตรที่มีรายได้ต่ำโดยจะต้องมีการจัดโซนนิ่งเพื่อปลูกในพื้นที่ที่เหมาะสม 

ดร.ขวัญฤดี   โชติชนาทวีวงศ์   ผู้อำนวยการสถาบันสิ่งแวดล้อมไทย   กล่าวว่า  นิคมอุตสาหกรรมเกษตรเชิงนิเวศน์เพื่ออาหารและพลังงาน   ถือเป็นการมองมุมใหม่  เพราะเป็นการจัดเขตพื้นที่เกษตรและอุตสาหกรรมที่เหมาะสมโดยการนำหลักการนิคมเชิงนิเวศน์มาใช้   เพื่อผลิตสินค้าทางเกษตรสำหรับอาหารและพลังงานที่มีความยืดหยุ่นตามความต้องการของผู้บริโภค  กลไกตลาด  และปัญหาด้านวิกฤตพลังงานและอาหาร    โดยต้องมีการกำหนดเขตพื้นที่ว่าพื้นที่ใดควรปลูกอะไร  ขนาดพื้นที่ที่เหมาะสม  ผลผลิตต่อไร่   มีตลาดรองรับการผลิต   โดยมีหน่วยงานรัฐ  ภาคเอกชน  และเกษตรกรเข้ามามีส่วนร่วมและสนับสนุน   ทั้งด้านปัจจัยการผลิต  โครงสร้างพื้นฐาน  งานวิจัย  ฯลฯ

“เราควรเปลี่ยนเนวคิดอุตสาหกรรมใหม่   โดยเอาวัตถุดิบในท้องถิ่นมาพัฒนาเป็นอุตฯ ส่งออกได้  จะสามารถสร้างเกษตรกรรุ่นใหม่ได้    โดยนิคมฯ ควรกระจายไปแต่ละภาค   รวมทั้งหมดให้เป็นเรื่องเดียวกัน   ทั้งอาหาร  พลังงาน     มีการวิจัยเพื่อต่อยอด     เช่น  เรื่องเครื่องสำอาง  ยาสมุนไพร  โดยมีเครือข่ายภาคเอกชนมาร่วมด้วย   มาลงขันทำงานวิจัย และหนุนให้มหาวิทยาลัยท้องถิ่นศึกษาเพื่อป้อนความรู้ให้กับนิคมฯ”  ดร.ขวัญฤดีกล่าว

 “เสียงจากผู้ประกอบการ … ถามหาแรงจูงใจในการลงทุนเพื่อนิคมสีเขียว/พลังงานทางเลือก… สู่การขายคาร์บอนเครดิต… คุ้มค่าหรือไม่?”
ดร.ทวารัฐ  สูตะบุตร   รองอธิบดีกรมพัฒนาพลังงานทดแทนฯ  กล่าวถึงการขับเคลื่อนสู่สังคมคาร์บอนต่ำว่า  สามารถทำได้โดยขับเคลื่อนด้วย 3 เสาหลัก คือ 1.จัดการเมือง ซึ่งต้องมีการจัดการพื้นที่   จัดการระบบลอจิสติกส์    ที่อยู่อาศัย   หรือนิคมอุตสาหกรรม  2.ประหยัดพลังงาน โดยส่งเสริมให้คนในเมืองหรือนิคมฯ ประหยัดพลังงานเป็นที่ตั้ง และ 3. พลังงานทางเลือกหรือพลังงานทดแทน   ที่ต้องเสาะแสวงหาด้วยการวิจัยเทคโนโลยี   สนับสนุนผู้ประกอบการให้คิดค้น เพื่อป้อนให้กับเมืองหรือนิคมฯ  เพื่อขับเคลื่อน 3 เสาหลักไปพร้อมๆ กัน

“เกาะสมุยเป็นกรณีตัวอย่างในการขับเคลื่อนสู่สังคมคาร์บอนต่ำ  เช่น  ลงสนามบินมีรถยนต์ไฟฟ้าให้เช่า   ชาร์ตแบตจากพลังงานแสงอาทิตย์   จัดรถบัสไปแหล่งท่องเที่ยวสำคัญฟรี   เป็นสัญลักษณ์สังคมคาร์บอนต่ำ  เอกชนก็ทำภาครัฐก็ทำให้เกิดการบูรณาการ  ร่วมกันคิด  ร่วมกันทำ   หรือกรณีนิคมอุตสาหกรรมเชิงนิเวศน์ก็ริเริ่มกันแล้ว  และในอนาคตอาจจะมีสมาร์ทซิตี้   สังคมไทยก็จะอยู่แถวหน้าที่คิดเรื่องนี้อย่างจริงจัง   ถ้าไม่คิด   เมืองพัฒนาไป  พื้นที่สีเขียวหายไปแล้ว เช่นเวลานี้สมุยขยายแนวราบ   เพราะกฎห้ามตึกสูงเกิน 12 เมตร”  ดร.ทวารัฐยกตัวอย่าง

ดร.ทวารัฐยังกล่าวถึงประเด็นการเชื่อมโยงภาคเกษตรที่เป็นพื้นฐานของประเทศหรือเป็นกระดูกสันหลังกับภาคพลังงานด้วยว่า   เป็นเรื่องที่สำคัญ  โดยอาศัยแนวคิดรวมตัวกันจัดโซนนิ่งคลัสเตอร์   เชื่อมโยงทุกอย่าง  วัตถุดิบ  ผลิต       ลอจิสติกส์  รีไซเคิล   ให้เป็นพลังงานได้ทุกรูปแบบ  เช่น  อุตสาหกรรมอ้อยและน้ำตาล   ที่มีโรงไฟฟ้าระบบความร้อนร่วม ผลิตไฟฟ้าชีวมวลจากชานอ้อยหรือไอน้ำสำหรับใช้ในโรงงาน   หากเหลือใช้ก็ขายเข้าระบบ  ส่วนกากน้ำตาลเอาไปทำเอทานอลหมุนเวียน   เป็นอุตสาหกรรมที่เรียกได้ว่าไม่มีของเสียหรือซีโร่เวสท์  และยังต่อยอดได้อีก เช่น เอาไปทำชานอ้อย     พาร์ติเคิลบอร์ด   

ส่วนปาล์มนั้น   ทลายปาล์มสามารถผลิตเป็นพลังงาน  ต่อยอดผลิตภัณฑ์   เพื่อนำไปสู่สังคมคาร์บอนต่ำ  แต่ต้องมีการจัดการ  มีการรวมกลุ่มครบวงจร   เพื่อเสริมสรรพกำลังซึ่งกันและกันให้เกิดประโยชน์สูงสุด   เช่น โรงงานน้ำตาล 47 โรง   บางแห่งเล็ก   ทำครบวงจรไม่ได้   ในต่างประเทศมีบางเมืองที่เอาโรงน้ำตาลมาตั้งอยู่ใกล้เคียงกัน  แล้วมีโรงไฟฟ้า ผลิตจากชานอ้อยอยู่ใกล้ๆ   ตอนนี้โรงไฟฟ้าจากชานอ้อยของเรายังไม่มีประสิทธิภาพ  ถ้ารวมตัวกันแล้วยกระดับเทคโนโลยีในการผลิตได้จะดีขึ้น

สำหรับมาตรการจูงใจผู้ประกอบการนั้น   ดร.ทวารัฐกล่าวว่า   นอกจากเรื่องการลดภาษีแล้ว พพ.ยังมีการอัดฉีดแบบให้เปล่าเป็นมาตรการเสริมเป็นครั้งคราว   เช่น  “โครงการแปดสิบ-ยี่สิบ”  ที่ให้กับผู้ประกอบการเอสเอ็มอีที่ติดอุปกรณ์ประหยัดพลังงาน   ผู้ประกอบการจะจ่ายแค่  80   ส่วนอีก 20 รัฐเป็นผู้จ่ายให้ เป็นต้น   และในปีหน้า พพ.จะขยายกลุ่มเป้าหมายออกไปไม่ใช่แค่โรงงาน   แต่จะครอบคลุมไปถึงกลุ่มโรงแรม   รีสอร์ท   และกรณีบ้านประหยัดพลังงาน พพ. เช่น   บ้านที่ติดฉนวนกันความร้อนที่ทำให้ประหยัดค่าไฟ   หลังคา  อิฐบล็อก  การออกแบบ   เพื่อเป็นการกระตุ้นตลาดและส่งสัญญาณไปยังผู้ออกแบบอาคารและเจ้าของบ้านด้วยว่า   ถ้าออกแบบหรือเลือกวัสดุที่ลดการใช้พลังงานจะได้รับการสนับสนุนจากภาครัฐ  ซึ่งความคืบหน้าขอให้ติดตามจากเวปไซต์ของ พพ. รวมทั้งยังมีการศึกษาอุปกรณ์ที่อยู่ในข่ายประหยัดพลังงานด้วย   เช่น บอยเลอร์   หากพิสูจน์ทราบว่าสินค้าต่างๆ เหล่านี้ประหยัดพลังงานได้จริงกรมฯ ก็จะเข้าไปรับรองติดฉลากประหยัดพลังงาน

นางประเสริฐสุข   จามรมาน   (รักษาการ) ผู้อำนวยการองค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก  (องค์การมหาชน) หรือ อบก. กล่าวถึงแรงจูงใจในการขับเคลื่อนว่า   ผู้ประกอบการจะมองถึงเรื่องสิทธิประโยชน์  โดย  อบก.มีการยกเว้นภาษีจากผู้ขายคาร์บอนเครดิต  ซึ่งที่ผ่านมามีการยื่นขอยกเว้นหลายร้อยล้านบาท   และมีการยกเว้นให้ประมาณสี่ห้าสิบล้านบาท ขณะนี้กำลังพิจารณาว่าจะยกเว้นให้กับซื้อด้วยหรือไม่   และการพิจารณาในเรื่องแหล่งเงินทุน ซึ่งมีแหล่งเงินต่างประเทศเสนอเข้ามาที่ อบก.ว่าสนใจจะรับหรือไม่   โดยตนเองมองว่าเป็นช่องทางหนี่งที่ไม่ได้เป็นแค่แหล่งเงินเท่านั้น  แต่ยังมีการถ่ายทอดเทคโนโลยีที่เราจะได้ด้วย   เพราะไทยทำได้ประเทศเดียวโดยลำพัง  ซึ่งเป็นเรื่องที่ไทยยังขาด  รวมทั้งการเลือกใช้เทคโนโลยีด้วย

นางสาวศุกลรัตน์   ภูริวัฒนะ   ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการธนาคารกสิกรไทย   กล่าวว่า   กสิกรไทยมีส่วนร่วมในการปล่อยสินเชื่อสำหรับผู้ประกอบการที่ประหยัดพลังงานมาหลายปี   และธนาคารก็เป็นผู้ทำเองด้วย  โดยทำตึกที่แจ้งวัฒนะ และบางปะกง  ทำให้ได้รับรางวัลสีเขียว   เป็นการสร้างให้พนักงานมีจิตสำนึก  สำหรับสินเชื่ออนุรักษ์พลังงานทำมาสามปีแล้ว โดยจับมือกับบริษัทเอสโก้ปล่อยสินเชื่อไปสิบกว่าแห่ง   เพราะธนาคารเชื่อว่า   กระแสเงินสดผู้ประกอบการจะดีขึ้น  เมื่อมีการรับประกันการประหยัดพลังงานจากเอสโก้   ธนาคารก็จะให้สินเชื่อร้อยเปอร์เซนต์   โดยเอสโก้จะทำออดิตว่าลดพลังงานได้อย่างไร   ค่าธรรมเนียมแบงก์ที่จ่ายก็นำมาขอสินเชื่อด้วย  เอาส่วนที่ประหยัดพลังงานมาผ่อนจ่ายกับธนาคาร

“กสิกรไทย เราบอกว่าต้องมองเป้าหมายเดียวกัน ภาคการท่องเที่ยว ภาคการผลิต ขายเก่งแล้วลดต้นทุนเก่งไหม โดยเฉพาะไฟฟ้า จัดการพลังงานอย่างไร ภาครัฐมาแนวนี้ แบงก์ก็จะมีส่วนที่ช่วยเสริม สมุย มีผู้มาขอสินเชื่อด้านนี้เยอะขึ้นมาก”
« Last Edit: September 19, 2013, 08:44:47 AM by MSN »