บทสัมภาษณ์ “ตั๊ก-นภัสกร จาก ตำนานสมเด็จพระนเรศวรมาหาราช ยุทธหัตถี
“คือถ้าท่านเป็นคนไทย เรื่องนี้ตอบคำถามได้ว่าแผ่นดินถิ่นเกิดของท่านเป็นชาติไทยมาได้ยังไงหนังเรื่องนี้ที่ต้องดูเพราะผมเชื่อว่าคุณจะไม่ได้เห็นการทำงานที่ยิ่งใหญ่อย่างนี้ในอีกสิบปี ยี่สิบปี สามสิบปี หรืออาจจะตลอดช่วงชีวิตของผม”
ตั๊ก นภัสกร มิตรเอม รับบท พระมหาอุปราชา ใน “ตำนานสมเด็จพระนเรศวรมหาราช ยุทธหัตถี”
Q. กำลังมีผลงานที่เรียกได้ว่าได้รับบทบาทสำคัญมากในภาพยนตร์ฟอร์มยักษ์ “ตำนานสมเด็จพระนเรศวรมหาราช” ยุทธหัตถี กับบทที่หลายคนบอกว่า เป็นอีกหนึ่งผลงานระดับมาสเตอร์พีซ ของคุณตั๊ก
A: ผมเริ่มต้นชีวิตการทำงานในวงการบันเทิงจากงานละครเมื่ออายุ 22 ครับ เล่นละครเวทีถ้านับเป็นรอบๆ ก็เป็นพันๆ รอบ หลายเรื่อง หลายรอบ บางเรื่องก็เล่นเป็นปี จากนั้นก็มาเล่นละคร รับบทตั้งแต่ตัวเล็กตัวน้อย จนกระทั่งเป็นตัวสำคัญ.ตัวดีบ้างตัวร้ายบ้าง แล้วค่อยมาถึงภาพยนตร์ ทุกวันนี้ก็ถือว่าทั้ง3 ศาสตร์นี้ผมผ่านมาแล้ว แต่ก็ยังอยากผ่านอีก และยังมีส่วนที่ทำรายการอีกนะครับ ไม่ว่าจะเป็นศาสตร์จากการที่ได้เรียนมา หรือรายการอาหารอย่าง ถึงพริกถึงขิงผมยังทำอยู่ ทุกวันนี้ผมยังแฮปปี้ ยังอยากทำรายการอย่างนี้ต่อไป รายการเกมส์โชว์ เป็นพิธีกรในอนาคตที่มีเพิ่มมาอีกรายการหนึ่งแล้วครับ ช่อง HD เราก็จะทำละครป้อนช่อง อันนี้เป็นการหุ้นกัน แล้วจะบอกข่าวความคืบหน้าต่อไปนะครับ อีกอย่างหนึ่งที่ผมอยากทำในชีวิตคือภาพยนตร์ขอแค่เรื่องเดียวสักครั้งหนึ่ง เป็นเป้าหมายในชีวิตในโอกาสต่อไปครับ ผลงานล่าสุด คือ ตำนานสมเด็จพระนเรศวรมหาราชครับ
Q.ถ้าพูดถึงท่านมุ้ย มจ.ชาตรีเฉลิม ยุคล ในมุมมองที่เรามีต่อผู้กำกับ ภาพจำที่เรามีต่อผู้กำกับที่เรียกได้ว่าเป็นครูใหญ่ในวงการภาพยนตร์ไทย
A. ความจริงผมไม่เคยรู้จักท่านมาก่อน แม้ว่าผมอยู่ในวงการตั้งแต่เด็กจนโต ถึงเคยดูภาพยนตร์แต่ก็ไม่รู้จักรู้จักแต่พระเอกนางเอกที่เราดูในสมัยก่อน จนกระทั่งโตขึ้น เราก็ไม่คิดว่าจะได้เจอตัวจริงก็ตื่นเต้นนะ อย่างเมื่อก่อนที่ผมชอบก็มี พี่เอก-สรพงษ์ ชาตรี น้าแอ๊ด-สมบัติ เมทะนี จตุพล ภูอภิรมย์ อาหนิง-นิรุตติ์ ศิริจรรยา ตอนเด็กๆ ชอบดูหนังของพี่จตุพล ซึ่งเสียชีวิตไปแล้วนะครับ “พรุ่งนี้ก็สายเกินไป” เป็นเรื่องที่ผมชอบมาก แล้วก็ ป๋าส. อาสนจินดา และอีกหลายท่านเลยครับที่ อย่าง อุกาฟ้าเหลือง ก็เป็นอีกเรื่องที่ชอบ โดยไม่ทราบหรอกว่าท่านมุ้ยกำกับ แต่วันหนึ่งก่อนที่จะได้มาพบท่านมุ้ย – ม.จ.ชาตรีเฉลิม ยุคล เอ๊ะ..ผมเคยได้ยินชื่อท่านครั้งแรกเลยคือสุริโยไท จนกระทั่งมีโอกาสไปถ่ายละครเรื่อง สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช ซึ่งพี่นก-ฉัตรชัย เป็นพระเจ้าตาก ผมเป็นพระยาพิชัย แล้วก็มีทีมงานมาคุยกับพี่นก คนหนึ่งถามว่าอยากทำงานกับท่านมุ้ยมั้ย ผมก็ตอบตรงๆ ฮึ้มม.. (ส่ายหน้า) คือเราไม่ได้คิดอะไรนะแต่รู้สึกว่า ไม่รู้จะวางตัวยังไงด้วย แล้วท่านจะอะไรเราหรือเปล่า อย่าเลยไม่เอาดีกว่าครับ คือดูแล้วไกลตัวมาก หลังจากนั้นไปก็มีข่าวว่าท่านทำต่อจากสุริโยไท เป็นตำนานสมเด็จพระนเรศวรมหาราช ตอนนั้นผมทำร้านอาหารหุ้นกับพี่นก-ฉัตรชัย และพี่ๆอีกหลายคน อย่างไก่-วรายุทธ พี่ถั่วแระ พี่ทองขาว พี่เกม-สันติ พี่หมึก-อภิชาติ ชูสกุล ซึ่งปัจจุบันพี่หมึกก็จากเราไปแล้ว แต่เวลาพูดถึงท่านทุกคนก็จะบอก เฮ้ย ตั๊กไปลองเล่นมั้ย ได้ข่าวว่าท่านจะบวงสรวง แล้ววันที่ท่านบวงสรวงผมอยู่ที่ร้านอาหาร ก็ไม่ได้ไปครับ สุดท้ายทุกคนก็มาเล่าอย่างโน้นอย่างนี้อย่างนั้น โอ้โห...มีความสุขจังเลย
ผ่านไปสองปีกว่าร้านอาหารเราเลิกทำแล้วตอนนั้น ผมกลับไปร่วมงานกับครูเล็ก-ภัทราวดี มีชูธน เป็นครูผม ท่านทำละครเวทีเรื่องร่ายพระไตรปิฎกซึ่งเป็นโปรดักชั่นที่เกี่ยวกับกลอง และผมเป็นคนตีกลอง ยืนหันหลัง เรื่องนั้นเป็นที่นิยมมากของชาวตะวันตกที่มาประเทศไทย แล้วมีผู้ช่วยผู้กำกับของท่านมุ้ยไปดูกันสองคน พอจบปุ๊บก็มาดักเจอเราข้างนอก บอกว่าต้องการหาคนแสดงการตีกลองรบในภาพยนตร์ตำนานสมเด็จพระนเรศวรมหาราช เขาเห็นเราตีกลองแล้วก็คิดว่าจะเอาคนนี้แหละ แล้วก็มาคุยกัน..ถามว่าไปตีกลองมั้ย ผมก็บอกได้เลยครับสบาย ฉากรบเหรอ คุยไปคุยมา ไม่เอาตีกลองแล้ว คือจะเอาเธอไปทำอย่างอื่น ก็ไปเจอท่านมุ้ยวันแรกก็เถียงกันใหญ่เลยครับว่าจะให้เป็นอะไร..เป็นลักไวทำมู..เป็นอะไร คือพูดตรงๆ ถ้าชื่ออย่างพระมหาอุปราชาเราพอจำได้ สมัยเด็กๆเรารู้เรื่องพระนเรศวรอยู่บ้าง รู้ว่าท่านทำยุทธหัตถี แต่ไม่ค่อยรู้ลึกรู้มากเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ ตอนเด็กๆคุณพ่อคุณแม่ให้ห้อยเหรียญสมเด็จพระนเรศวรฯ เราก็ชอบอยู่แล้ว เพลงพี่แอ๊ดนี่มันก็ตราตรึงอยู่ในหัวเราอยู่แล้วใช่มั้ยครับ “เอาช้าง มาชนกับช้าง”(ร้องเพลง) เราชอบปลุกใจรักชาติ เราเชื่อว่าท่านศักดิ์สิทธิ์ เราเชื่อว่าท่านปกครองแผ่นดินนี้แล้วท่านเป็นเจ้าของประเทศอย่างแท้จริง ทีนี้เมื่อถึงตรงนั้นความรู้สึกก็หลั่งไหลพรั่งพรูนึกในใจคือยืนลุ้นเงียบๆเลยนะว่าจะได้เล่นเป็นอะไร เขาก็เถียงกันไม่หยุด..เอางี้กลับบ้านไปก่อนแล้วกัน แต่มันก็แปลก..คือก่อนที่พี่ๆ เขาจะไปหาผมที่นั่นเป็นช่วงต้นปี.. ปีนั้นพอดีละครทีวีจบหมด ผมไม่ได้ทำอะไร ก็เล่นแต่ละครเวทีอยู่เกือบปีกว่านะครับ โดยไม่ได้เล่นละครทีวีเลยซักช่องเดียว รู้สึกว่าอยากเข้าไปร่วมกับโปรดักชั่นนี้มากๆเลย คือทุกคนพูดว่าอย่างน้อยได้มีส่วนสักนิดหนึ่งก็ถือว่าอยู่ในหนังประวัติศาสตร์เรื่องนี้ กลับบ้านจุดธูป 15ดอก แล้วก็สวดทุกอย่างที่สวดเป็นครับ คือบูชาท่านแล้วก็ตั้งจิตว่าขอผมเล่นสักตัวหนึ่งครับ.. ตัวไหนก็ได้ แล้วก็กราบท่าน ผมสวดอย่างนี้ทุกวัน จนครบสักสิบห้าวันพี่ๆ เขามาเจอผมที่โรงละคร เราก็ยกมือท่วมหัว ..วันนี้เราได้เจอท่านมุ้ย แล้วผมก็ไปแต่งตัวเป็นชุดนู้นชุดนี้ชุดเกราะบ้างเขาก็ยังไม่บอกผมนะ
ในที่สุดก็มาบอกว่า ตั๊ก..ตกลงท่านให้เป็นมังสามเกียดนะ..เริ่มคุ้นๆหูนะเขาถามรู้จักไหม มังกะยอชวา ก็ที่ชนช้างไง อ๋อ!!(ตบเข่า)โถ...กลวงจริงๆเลย ค่อยๆซึมเข้ามาๆค่อยๆค้นหาประวัติศาสตร์กันครับ..แล้วก็ไม่ได้เจอท่านมุ้ยอีกเลย คือไม่ได้สัมผัสโดยตรงกับท่านนัก จนกระทั่งไปกาญจนบุรี วันแรกเขาให้แต่งตัวก่อน..ไปถึงก็โอ้โห..กองใหญ่โตมโหฬาร เข้าไปมีสิงห์สองตรงทางเข้า อลังการ ข้างในจะเป็นอย่างไรใจนี่เต้นตุบๆๆเลยนะ เข้าไปแต่งตัวเราก็นิ่งๆนะครับทำฟอร์มไว้ก่อน ขรึมๆ ไม่ค่อยรู้จักใคร ผู้คนมากมายเต็มไปหมด แต่งหน้าแต่งตัวเรียบร้อยเสร็จก็ไปที่เซ็ต ระหว่างที่เดินไปเจอท่านนี่เห็นกล้องเห็นคนเต็มเลย มีทหารมีม้าวิ่ง...เราชอบม้าอยู่แล้วเพราะถ่ายพระเจ้าตากมา เราเป็นพระยาพิชัย ก็มองม้ามองอะไรไป อ้าว..เจอตากล้องสมัยนั้นเป็นน้ากล้วย (ณัฐวุฒิ กิตติคุณ ผู้กำกับภาพโหมโรง,จันดารา,นางนาก ฯลฯ) เราก็..“หวัดดีน้ากล้วย น้ากล้วยเป็นไงมั่ง” ตะโกนลั่นเลยด้วยความที่คุ้นเคยกัน ไม่เห็นหรอกครับว่าใครบางคนนั่งอยู่ที่มอนิเตอร์ทางขวา พอเรา”น้ากล้วยเป็นไงมั่ง” ก็มีเสียงตอบมา เราก็หันขวับ..โอ้ย...สวัสดีครับ โห...คำแรกที่ทักกัน นั่นแหละครับคำแรกที่ผมได้จากท่านในวันที่ผมเดินเข้ากองภาพยนตร์ตำนานสมเด็จพระนเรศวรมหาราช...ขอบคุณครับท่าน(ยกมือไหว้) เป็นคำแรกที่ผมจะไม่มีวันลืมเลยนะฮะ..เป็นความประทับใจแรกที่เจอท่านครับ
Q.นั่นคือความรู้สึกที่เกิดขึ้นหลังจากเข้ากองถ่ายตำนานสมเด็จพระนเรศวรมหาราชเป็นครั้งแรก แต่พอได้สัมผัสตัวตนและได้ร่วมงานกับท่านจริงๆแล้วท่านมุ้ยเป็นอย่างไรบ้าง
A.ท่านเป็นกันเองในการพูดคุยมาก ท่านให้ความรู้สึกเหมือนกับผู้ใหญ่ เหมือนเพื่อนร่วมงานที่เป็นผู้ใหญ่ที่แบบ “เฮ้ย งี้ๆแล้วเอ็งคิดว่าไง” ก็จะมีอย่างนี้ครับท่าน..จะเป็นลักษณะแบบนี้ .เราจะตอบยังไงท่านจะแชร์ทุกอย่าง แต่ท่านจะบอกเหตุผลก่อน ท่านจะบอกข้อมูลก่อนคือจะทำการบ้านมามีทุกอย่างพร้อมอยู่แล้ว ผมเห็นหนังสือท่านเป็นตั้งๆๆเวลาท่านนั่งในรถโอบี ท่านจะเรียกนักแสดงทุกคนเข้ามาแล้วท่านก็จะ มาดูนี่แล้วท่านก็หยิบหนังสือมา เราก็มอง (ทำท่าแสดงจำนวนหนังสือ) ท่านก็เลือกมาให้ คือท่านจำได้(หัวเราะ) ยิ่งกว่าตำราเรียนนะครับ สิ่งที่ท่านค้นหาอยู่นี่มันเป็นกองๆเราก็รู้สึกน่าทึ่งมาก แต่นั่นยังไม่เท่าวันที่ผมรู้สึกว่าท่านได้ใจผมไปเต็มๆ คือวันที่ถ่ายฉากมวยปล้ำ เราเริ่มกันตอนหกโมงเย็นโดยประมาณ แต่มันไม่เป็นอย่างที่คิด จริงๆแล้วมันไม่มีบทมวยปล้ำ พวกพี่ๆ ผู้ช่วยผู้กำกับก็บอก ‘เฮ้ยมันมีฉากแบบรูปนี้มาว่ะ’ เขาก็ให้ดูรูปโบราณเป็นการเล่นแบบมวยปล้ำแต่เป็นภาพนะ เป็นภาพโพสต์ต่างๆประมาณ 3 ท่า ‘อันนี้พี่ขายท่านไปแล้ว’ คนโบราณเขาเล่นเหรอ..เราก็เพิ่งทราบ จริง!เขาเล่นอย่างนี้ๆ ก็เลย..หนึ่ง-ชลัฎ มาน้อง เดี๋ยวเรามาคิวบู๊กันดีกว่า ทำกันเองนั่นแหละครับตรงนั้นเลยสดๆ หุ่นเหิ่นก็ไม่ได้เตรียมอะไรมาเลยนะพี่นะ คือมาถึงก็ทำเลยจัดการแต่งตัวติดสติ๊กเกอร์ใส่ผ้าเตี่ยวสองชั่วโมง คือเป็นความรู้สึกตื่นเต้นแต่ว่าประเด็นสำคัญคือเมื่อเล่นไปแล้วเราต้องโดนพ่อตบ ก็ถ่ายไปได้ถึงประมาณตีสอง พี่ต้น-จักรกฤษณ์ ต้องมาตบหน้าเรา ปรากฏว่าท่านมุ้ยป่วย...ต้องมีพยาบาลมาฉีดอินซูลินแล้วท่านต้องหลับตีสาม...น้ำตาผมค้างอยู่แบบนี้บอกทุกคนอย่าแตะอย่าแตะผม อารมณ์เราต้องอยู่ รอท่านหลับตีสี่กว่าท่านตื่น..ผมนึกในใจว่าท่านจะไปไหนต่อ...ถ่ายต่อ! เราก็ถ่ายจนเลิกแปดโมงเช้า คือถ้าฟังอย่างนี้อาจจะเฉยๆนะ แต่กับผู้ชายคนหนึ่งที่อายุมากกว่าเรากว่าเท่าตัวแล้ว ใจเขาไปถึงไหน..แล้วเขาฉีดอินซูลิน..เขาหลับอยู่ตรงนั้น..เขาไม่ได้ไปไหนเลย..เขาอยู่ตรงนั้น เราอยู่ตรงนี้.. ผมคิดอย่างนี้จริงๆ พรุ่งนี้เราเสร็จก็กลับบ้าน แต่เขาอยู่..แล้วเขาก็สู้อยู่ตรงนั้น แล้วอีกกี่วันที่เขายังต้องอยู่...นั่นแหละท่านได้ใจผมวันนั้น ซึ่งได้เห็นฉากนั้นกันไปแล้วในภาคก่อน..ที่เล่นมวยปล้ำแล้วโดนตบหน้า ซึ่งพี่ต้นบอกว่าพี่ต้นไม่เคยผิดคิวเลย และวันนั้นพี่ต้นก็โดนครับ..ไม่ผิด..ถูกเผง(หัวเราะ)
Q.สรุปภาพของท้านมุ้ยในมุมมองของพี่ตั๊กคือ
A- ท่านเป็นคนที่ทำการบ้านมาก ท่านค้นคว้าหาข้อมูลมากมายก่อนที่จะมาทำโปรดักชั่นนี้หลายปีเลย ทั้งเรื่องเสื้อผ้าเรื่องเอกสารอ้างอิง ทั้งประวัติศาสตร์ทั้งพงศาวดาร ไม่ใช่แค่ของไทย แต่รวมถึงของพม่าและประเทศอื่นๆด้วยเพราะว่ามันก็มีข้อมูลที่ขัดแย้งกัน บางประเทศก็อาจจะบอกว่าอันนั้นไม่มีอันนี้มี ของเรามี ของเขาไม่มี แต่ที่แน่ๆท่านหาข้อมูลมาแล้วท่านบอกว่าเอาอันนี้ๆ ท่านเป็นผู้กำกับท่านต้องบอกเราดังนั้นสิ่งที่ท่านทำก็คือสิ่งที่ท่านเตรียมไว้ให้เราแล้ว ผมมีหน้าที่อย่าเดียวคือฟังท่าน วันแรกเรื่องของคาแรคเตอร์สำคัญที่สุด บุคลิกของนักแสดง..ผมไม่รู้จักมังสามเกียด...ท่านครับพระมหาอุปราชาเป็นยังไงครับ ท่านก็บอก และให้ข้อคิดว่าลองดูreferenceอย่างหนังฝรั่ง ให้ดูเรื่องเบรฟฮาร์ทที่วิลเลี่ยมเขาต้องสู้กับคิงเอ็ดเวิร์ด แต่ลูกชายของคิงเอ็ดเวิร์ดนิสัยแย่มาก ท่านให้ดูนิสัยลูกชายคนนี้ไว้ ลักษณะประมาณนี้นะแต่ไม่ได้บอกให้เลียนแบบนะ แค่ให้ดูแนว นั่นคือลักษณะของคาแรคเตอร์ พอดูแล้วเราก็เข้าใจครับ ท่านก็บอกว่า คือทุกสงครามที่พระมหาอุปราชาได้รบ พระมหาอุปราชาไม่เคยชนะ..ผมก็..อ๋อ จับประเด็นคำนี้ได้ว่าทุกอย่างในหัวใจของผู้ชายคนนี้เริ่มจากความพ่ายแพ้..นั่นคือสิ่งที่ท่านให้ผม คำแรกในหัวผมคือผู้ชายคนนี้เริ่มจากความพ่ายแพ้แก่พระนเรศฯมาโดยตลอด เพราะฉะนั้นพระมหาอุปราชาจึงมีความพ่ายแพ้ปรากฎอยู่ในหัวใจตลอดเวลาที่มองหน้าพระนเรศฯ จากตรงนี้ถ้าจะพูดว่าผมเป็นนักแสดงมีหน้าที่ตีบทตีความจากเนื้อเรื่องจากสิ่งที่ผู้กำกับมอบให้
Q.แล้วถ้าพูดถึง สมเด็จพระนเรศวรมหาราช กษัตริย์นักรบซึ่งอันเป็นที่รักของคนไทย ในมุมมองของตั๊กนภัสกร เป็นอย่างไร
A. ตอบยากมาก แต่ถ้าให้ง่ายที่สุดสำหรับผมคือ..คุณลองนึกดูว่าแผ่นดินที่เราเหยียบเราเดินแต่ละก้าวนี้ ถ้าไม่มีพระองค์ท่านคุณจะยืนอยู่ในฐานะอะไร
Q. มาถึงบทบาทล่าสุดที่เรียกได้ว่าเข้มข้นทั้งในส่วนของดราม่า และแอ็คชั่นท้าทาย และน่าจับตามองมากที่สุดเรื่องหนึ่งที่แฟนๆจะได้ชมกัน
A. ผมรับบทเป็นมังสามเกียดนะครับ และมีหลายชื่อครับ เมงเยสวา หรือมังกะยอชวา ส่วนพระมหาอุปราชา หรือมหาอุปราชเป็นชื่อที่ฝั่งไทยเราเรียก ในส่วนของคาแรคเตอร์ได้มาจากการพูดคุยจากการศึกษาข้อมูลของท่านมุ้ยและคุยกันในมุมของจิตวิทยาครอบครัวด้วย แล้วให้ผมไปตีความ-ทำความเข้าใจ คาแรคเตอร์ของมังสามเกียดจึงออกมาในเชิงของบุคคลที่มีความเก็บกด ในอารมณ์ของความสูญเสีย ทั้งชัยชนะ ทั้งความมั่นใจที่มีต่อพระนเรศวร โดยเห็นได้จากการปูพื้นมาตั้งแต่ตอนต้นภาคหนึ่งภาคสองแพ้มาตลอด ไม่ว่าจะชนไก่หรือศึกสามทัพสามเจ้าฟ้าตีเมืองคัง ก็พ่ายแพ้มาโดยตลอด จึงต้องการที่จะเอาชนะอย่างไรก็ได้ เคียดแค้นชิงชังพระนเรศวร ในขณะเดียวกันปมที่ไม่มีใครไว้เนื้อเชื่อใจ จึงต้องการสร้างความมั่นใจให้ตัวเอง ให้คนอื่นเห็นว่าทำได้ เหมือนเด็กที่ทำผิดแล้วอยากแก้ตัวให้พ่อให้แม่เห็น แต่พ่อแม่ไม่เคยเห็นเลยไม่เคยให้โอกาส มีแต่ทับถม ในที่สุดก็ไม่มีกำลังใจให้ตัวเอง จึงเป็นคนขี้น้อยใจและพยายามที่จะเปิดออกอีกด้านหนึ่ง ผมก็เชื่อว่าว่านี่เป็นลักษณะของครอบครัวแบบหนึ่ง ดังนั้นทั้งสองเหตุผลนี้คือด้านครอบครัวและด้านส่วนตัวที่มีต่อพระนเรศฯ ประกอบกับอีโก้ ที่ตัวเองเป็นเจ้าชายรัชทายาท ทุกสิ่งทุกอย่างจึงถาโถมเข้ามาทำให้ตัวละครตัวนี้เป็นอย่างที่เห็น ในการศึกไม่ว่าในสมัยไหนผมเชื่อว่าทุกที่ก็ยึดถือสิ่งเหล่านี้ เราเองก็ต้องการฤกษ์งามยามดี ในส่วนของผมเองก็มีความเชื่อที่คิดว่ามหาอุปราชอาจไม่ได้กลัวก็ได้ แต่เขาต้องการความมั่นใจเต็มที่เพื่อออกไปรบกับพระนเรศวรให้รู้แพ้รู้ชนะ เขาเองก็ฮึกเหิมพอที่จะแสดงให้พ่อรู้ว่า พ่อ!ผมทำได้ แต่คำพูดของพ่อไม่ตรงใจนัก..ทำไมต้องทำอย่างนั้น นี่คือวิธีการของพ่อซึ่งไม่สนใจว่าลูกคิดอะไร นี่คือปัญหาครอบครัวและสุดท้ายปัญหานี้ไม่ได้ถูกแก้ไข เป็นจุดเปราะบางเล็กๆ
Q. ต้องมารับหน้าที่ถ่ายทอดตัวละครที่มีบทบาทสำคัญทั้งในประวัติศาสตร์ และในภาพยนตร์มีความยากง่ายในการที่จะต้องเตรียมตัวอย่างไรบ้าง
A.มันยากไปหมดเลยครับ จะเดินเหินอย่างไรยังกังวลเลย แต่ด้วยความที่เป็นนักเรียนนาฏศิลป์ได้สัมผัสกับครูบาอาจารย์มาบ้างก็ขออนุญาตเอากริยาท่าทางของอาจารย์มาใช้บ้าง คือความนิ่งความเชื่องช้าความเป็นมารยาท ไม่วอกแวกมากนัก เป็นอากัปกิริยาจากอารมณ์ความเก็บกด ความนิ่งของเจ้าชายของความเป็นราชวงศ์ในส่วนหนึ่ง แต่ส่วนข้างในผมเชื่อว่าทุกคนมีเหมือนกันนั่นคือความรู้สึก ฉะนั้นจะมีมุมมองที่แตกต่างกันอีก คือดุดัน เย่อหยิ่ง จองหอง มากกว่าเพราะต้องการอยู่เหนือพระนเรศฯ ความคิดความรู้สึกนี้ต้องอยู่ในใจของเมงเยสวา หรือ มหาอุปราชตลอดเวลา นั่นคือแรงกดดัน จะด้วยวิธีใดก็ตาม นี่คือวิธีคิดของมหาอุปราชในแง่มุมหนึ่งที่ผมมอง การรับบทนี้ต้องเตรียมตัวอย่างจริงจัง ทั้งอากัปกิริยา ภาษาพูด และวิธีการมอง ผมมองว่าพระมหาอุปราชาความคิดที่เจ้าเล่ห์พอสมควร เพราะหนึ่งอาจจะได้รับการสนับสนุนจากหลายๆฝ่าย อย่างลักไวทำมู-ยอดฝีมือผู้เป็นอาจารย์ หรือมังจาปะโรที่เป็นคู่หูของเรา คือเหมือนคอยเสี้ยมสอน และส่งเสริมกันมาตลอดเวลา ทำให้เกิดความรู้สึกว่าเขาน่าจะมีบุคลิกลักษณะที่เจ้าเล่ห์เพื่อให้เกิดความเหนือกว่า แต่ด้วยความที่พ่ายแพ้มาตลอดนี่ ผมเชื่อว่ามหาอุปราชย่อมมีความยำเกรงพระนเรศวร ถ้าจะปะทะกันโดยตรง เพราฉะนั้นท่วงท่าอากัปกิริยาหนึ่งข้าไม่กลัว แต่ข้างในก็..เฮ้ยไม่แน่เหมือนกัน ต้องมีดูเชิงกัน แต่ปากอาจจะเก่งไปก่อนด้วยความที่ข้าต้องเหนือกว่าเอ็ง สิ่งเหล่านี้มันก็เลยผนวกกันทำให้บุคลิกลักษณะของเขา มีโอ่บ้าง ในแง่ของการศึกสงครามเพื่อให้เกิดความมั่นใจ วิธีการพูดกับสายตาผมไม่เชื่อว่าจะนิ่ง ดังนั้นทุกครั้งที่เมงเยสวาพูด..ความคิดและสายตามันทำงานอยู่ตลอดเวลา มหาอุปราชอาจไม่ได้คิดว่าต้องเหยียบคนนั้นเหยียบคนนี้ แต่มีเป้าหมายว่าต้องไปให้สูงที่สุดเพื่อกดหัวพระนเรศฯให้จมลงไปให้ได้
Q.เห็นว่านอกจากแอ็คติ้งทางด้านอารมณ์ความรู้สึกนึกคิดของตัวละครและการแสดงแล้ว ยังต้องเตรียมตัวในส่วนของแอ็คชั่นเพราะต้องมีฉากการทำยุทธหัตถีต่อสู้บนหลังช้างด้วย
A.นั่นคือสุดยอด…ตอนที่มาเล่นภาพยนตร์เรื่องนี้ผมใช้ดาบสองมือเป็นแล้ว อย่างง้าวนี่ผมไม่เคยจับนะครับ ที่นี่ฝึกขี่ม้าทุกเช้า ผู้พันเบิร์ดช่วยได้มาก ต้องบอกว่าเป็นบุคคลที่น่ารัก ไม่เคยปิดบัง...ช่วยแนะนำเสมอ สงสัยผมอะไรถามเขาได้หมด...อย่างนี้กินได้มั้ย ออกกำลังกายอย่างนี้ถูกมั้ย. แม้กระทั่งขี่ม้า เขาจะสอนให้ด้วยนอกจาก ทีมไรเดอร์(ผู้ฝึกสอนและซ้อมขี่ม้า) แล้วก็มี ผู้พันเบิร์ด กับพี่ต๊อด สิ่งที่เราได้รับจากตรงนี้คือความอบอุ่น แต่ละคนก็เอาวิชามาใส่ๆ ในคาแรคเตอร์ตามที่ได้รับ เป็นเรื่องของความรู้ที่ทุกคนมอบให้เราด้วยความรักความเอ็นดูเป็นแบบพี่น้องกันนะครับ ทุกวันนี้ยังอยากจะกลับไปอยู่ตรงนั้นอยู่เลย กลับไปขี่ม้าตก เย็นนั่งทานข้าวกัน แล้วเบิร์ดจะแนะนำวิธีการเบิร์น ให้เตรียมพร้อมกับการซ้อมต่อไปเพื่อจะรบเพื่อจะฝึก กลางแดดครับ เราถึงดำกันขึ้นเรื่อยๆ ตอนภาคสองนี้หน้ายังขาวอยู่นะ ทาแป้งขาวก็ขาว พอภาคสามภาคสี่ทาแป้งขาวแต่อุปราชเริ่มไม่ขาวแล้ว(หัวเราะ) อย่างชุดเกราะมหาอุปราช ถ้ารวมง้าวด้วยนี่น้ำหนักก็ประมาณ 30 กิโลได้ครับ ใส่ตั้งแต่เช้าจนเย็นไม่ถอดครับ เราใส่กันเป็นเสื้อยืดเลย เทคนิคของผมคือถ้าเจอชุดหนักๆอย่าใส่แบบหลวม เพราะถ้าหลวมจะไปกดอยู่ที่ไหล่ ให้รัดทุกอย่างให้กระชับเหมือนชุดโขนครับ ต้องให้น้ำหนักกระจายทั้งตัว คือให้อก และหลังช่วยรับน้ำหนักด้วย ถ้าถอดปุ๊บจะไม่อยากใส่อีก จำได้ว่าตอนยุทธหัตถีนั่นใส่ชุดเกราะวิ่งได้แล้วนะ ชินกับน้ำหนักแล้ว ถอดแล้วตัวเบามาก ส่วนง้าวนี้ขอกลับบ้านเลยไปควงเล่นฝึกให้ชินมือ เพราะง้าวของผมหนักกว่าของเบิร์ดเท่าหนึ่ง ด้วยความที่ลวดลายเขาแต่งเยอะ ไม่งั้นก็ไม่วิจิตรตามแบบฉบับของหงสาฯ มีการเตรียมพื้นที่ เตรียมเวลาในการฝึกซ้อมด้วย ตัวผมเองก็ต้องไปฝึกกับอาจารย์ที่มาหลายๆคนก็ดี กลับไปบ้านต้องฝึกเองด้วย ทุกวันไม่ขาด วินัยตรงนี้ทิ้งไม่ได้เลย
Q.เห็นชุดที่สวมใส่อลังการมากๆ อย่างนี้แต่ละครั้งในการสวมชุดต้องเผื่อและใช้ระยะเวลาในการแต่งตัวนานแค่ไหนอย่างไร
A. ประมาณครึ่งชั่วโมงครับ ช่วงหลังแค่สิบนาทีเสร็จแล้ว พอจะรู้แล้วครับว่าส่วนไหนแค่นี้พอ ทุกส่วนรู้กัน เวลาขี่ช้างหรือขี่ม้าต้องมีตัวโกลนที่มันจะไปบาดได้ก็ต้องกันไว้ เขามีคนมานั่งผูกเรียบร้อย ทีมงานน่ารักทุกคนพอใส่ปุ๊บข้างหลังก็จะผูกมัดเย็บๆๆ เรื่องสำคัญต้องไหว้ครับ ครั้งแรกที่ผมเข้ากองถ่าย พอเท้าเหยียบท้องพระโรงหงสาฯ ปั๊บไฟดับหมดเลยท่านมุ้ยเปิดประตูเข้ามาง่ายๆเลยครับ ตั๊กไปจุดธูป..เป็นอันว่ารู้กัน...นี่เรื่องจริงครับ เพราะว่าผมไม่ได้มาบวงสรวงวันที่สมเด็จพระราชินีท่านเสด็จมาบวงสรวง และเปิดกล้อง
Q. ภาพช้างที่กำลังทำศึกยุทธหัตถีโดยมีพระมหาอุปราชาใส่ชุดเกราะเต็มยศ กำลังเงี้อง้าวฟันกับพระนเรศวรที่อยู่บนหลังช้าง ต้องมีเครื่องทรงทั้งคนและช้าง แต่สังเกตว่าดูเหมือนทางฝั่งพม่าจะดูวิจิตรอลังการกว่า
A. ไทยจะเป็นรองในเรื่องนั้นจริงๆ เพราะท่านบอกว่าตั้งแต่สมัยบุเรงนอง ทรัพย์สินของหงสาฯมหาศาลอยู่แล้วครับ ชุดแบบนี้ เฉพาะเสื้อบางส่วน เป็นเหมือนสังกะสีกับเรซิ่นผสมกัน เวลาเดินมันจะดังคร่อกๆๆ แล้วก็หนักมาก กระบวนการหลายขั้นตอน แต่งทีละชิ้น โดย ใส่สนับเพลาเอง แล้วมีคนมาช่วยแต่ง นุ่งผ้า แล้วก็ใส่ชุดเกราะทับแล้วคนหนึ่งผูก ที่เหลือก็จะมาใส่ข้างนั้นข้างนี้แล้วผูกอีกด้านหลังเย็บ แค่แขนก็ต้องดึงเย็บผูกแน่นกันข้างละคน ยังมีกรองคออีกนะครับที่ต้องมานั่งเย็บกันอีกหลายชั้น แล้วก็มาหัวแต่ใหม่ๆนี่บาดนะ แล้วหูผมไม่ได้เจาะนะสังเกตดีๆใช้ตุ้มหูหนีบ ติดกาวครับ ทุกครั้งที่เล่นเสร็จกลับบ้านนี่หูผมห้อเลือดทุกครั้งเลยนะเพราะบีบแน่นสุดๆแล้วเอากาวติดครับ บางทีถลอกเลือดออกก็เป็นเรื่องปกติ น้ำหนักรวมแล้วทั้งหมด 30 กิโลโดยประมาณ ก็ต้องบอกว่าโอ้..สุดยอดแล้ว