นุ้ยคัดลอกมาจากบทความของ เดอะจุ๋ย แห่ง zidogang ค่ะ
นุ้ยอ่านที่พี่เค้ารีวิวมาหลายเรื่องแล้ว และก็ชอบ เลยขออนุญาตคัดลอกมาให้อ่านกันค่ะแรกที่ได้รู้ว่า รถไฟฟ้ามาหานะเธอ เป็นผลงานกำกับของ ปิ๊ง อดิสรณ์ ผมรู้สึกดีใจ และเอาใจช่วยครับ ผมเป็นคนที่ได้ดูผลงานของ ผู้กำกับศิษย์เก่า แฟนฉัน อยู่หลายเรื่อง
ผู้กำกับกลุ่มนี้ ที่เขาเรียกกลุ่มตัวเองว่า 365 ฟิล์ม ที่ทำกันออกมาส่วนใหญ่กันคนละสองเรื่องได้แล้ว และส่วนใหญ่ไม่ทำให้เจ้าของค่ายขาดทุน ยกเว้นก็แต่
หมากเตะรีเทิร์น ของปิ๊ง เนี่ยแหละ ที่โดนผลจากการประท้วงต้องกลับไปถ่ายใหม่ พอกลับมากระแสก็แผ่วเสียแล้ว ไม่สด ไม่ได้รับการต้อนรับเหมือนเดิม ปิ๊ง เลยกลายเป็น ผู้กำกับ
คนเดียวในกลุ่ม 365ฟิล์มที่มีเครดิตน้อยกว่าเพื่อนๆในกลุ่ม กับก้าวที่สองของปิ๊ง ด้วย รถไฟฟ้ามาหานะเธอ จากที่ได้ดูตัวอย่างหนัง การแคสท์ติ้ง ถือว่า โดน ครับ
ภาพตัวอย่างที่อัดแน่นด้วยมุก+หน้าหล่อๆของเคน คลอด้วยเพลง "โปรดส่งใครมารักฉันที" ถือว่าสร้างกระแสความสนใจได้สำเร็จ งานนี้ปิ๊งไม่น้อยหน้าเพื่อนๆแล้ว
พล็อตหนังถือว่า ง่ายๆมากเลย "เหมยลี่" ลูกสาวคนเดียวในครอบครัวคนจีน ที่เกิดมารูปร่างหน้าตาหมวยสุดๆ ถูกอบรมมาว่าให้ครองมารยาหญิง จีบผู้ชายก่อนไม่ใช่เรื่องงาม
จนจะเข้าวัย30 เพื่อนฝูงแต่งงานกันไปหมดแล้ว เหมยลี่ได้พบกับ "ลุง" วิศวกรรถไฟฟ้า เธอติดใจเป็นปลื้มกับภาพลักษณ์ของลุงที่เธอตัดสินใจว่าจะคว้าโอกาสนี้ไว้ไม่ให้หลุดมือ
โดยได้น้องเพลิน สาวสก๊อยข้างบ้านเป็นที่ปรึกษา แต่ไปๆมาๆ สาวเพลินกลับจะมาอ่อย หนุ่มลุงซะเอง เหมยลี่ เลยต้องหาทางจีบหนุ่มลุงซะเองและต้องกำจัด เพลินให้พ้นทาง
นั่งดูไปก็นึกไป นี่มัน bridget jones ภาคกรุงเทพชัดๆ
ดูแล้วก็ชื่นชม คริส ครับสำหรับงานภาพยนตร์เรื่องแรกที่เธอทำการบ้านมาได้ดี เพราะว่าในเรื่องนี้เธอปรากฏตัวบนจอเกือบ100%ของหนัง เรียกว่ารับภาระเกือบทั้งเรื่องของหนัง
ไว้คนเดียว ดูจบแล้วก็ถือว่าคริสทำได้ดีมากๆครับ บทเปิดโอกาสให้เธอได้แสดงออกหลายๆบทบาท ทั้งบ้าบอ ไปจนถึงน้ำตาไหลพราก ซีนตลกก็ไม่ใช่ง่าย เพราะเป็นมุกแบบ
ตลกท่าทาง สีหน้า ไมใช่มุกที่ใช้คำพูดแบบตระกูลส่ายหน้า ความสามารถของเธอต้องมองไปถึง อาจารย์สอนการแสดงของ gth ด้วย ด้วยพื้นฐานของ คริส ที่เป็นสาวหมวย
ที่ไม่สวยอยู่แล้ว เธอจึงเล่นแบบปล่อยได้เต็มที่ ไม่ต้องห่วงสวย หลายๆฉากที่เธอต้องขึ้นจอแบบหน้าตาบ้านๆสุดๆ หน้าตาไม่แต่ง สุดท้ายหนังก็สามารถถ่ายทอดเสน่ห์
ความน่ารักของเธอ ออกมาให้สัมผัสได้ เคน นี่ไม่มีไรให้พูดถึงมาก บท ลุง นี่น่าจะง่ายกว่าเล่นละครช่อง3ด้วยซ้ำ โผล่หน้าหล่อๆมาก็เรียกคนดูสาวๆได้แล้ว ผมรู้สึกประทับใจ
กับดาราสมทบหลายๆคนที่ช่วยสร้างสีสันในเรื่องนี้ครับ
คนแรกเลยน้องแพท อังศุมาลิน ที่พลิกบทบาทสาวน้อยสดใสใน ปิดเทอมใหญ่ มาเป็นเพลิน สาววัยใส เด็กสก๊อยเรียนพาณิชย์ที่หว่านเสน่ห์กับหนุ่มๆรอบข้างทั่วไปหมด
น้องแพทมาคราวนี้โชว์จริตจะก้าน แต่งหน้าจัด เป็นเด็กสาวเมืองกรุงยุคปัจจุบันที่เราคุ้นๆตากัน ขยันทำงานพาร์ทไทม์จีบหนุ่มๆสนุกไปวันๆ ใช้มือถือห้อยพวงกระจุ๊กกระจิ๊ก
แต่ยังไงก็เหอะน้องแพทน่ารักกว่าเรื่องก่อนอีก แค่ออกมาก็ชอบแล้ว สองคนที่ผมพยายามหาเครดิตแต่ไม่เจอคือพ่อกะแม่ของเหมยลี่ ตัวพ่อนี่เราคุ้นตากันมากจากหนัง
โฆษณาหลายตัวมาก เคยรับบทพ่อใน กาลิเลโอมาแล้วรอบนึง มาคราวนี้ก็รับบทพ่ออีก มีบทมากขึ้นกว่าเดิม มีโอกาสได้ยิงมุกมากขึ้น เชื่อว่าอีกหน่อยคงได้เห็นหน้าตาพี่แกบ่อยขึ้น
ไม่แน่อาจจะได้ลงละครทีวีด้วยซ้ำ ชอบฉากพ่อนั่งขี้มาก ฮาได้โดยไม่ต้องมีบทพูดเลยตัวแม่นี่หน้าใหม่สำหรับผม แต่ชอบหน้าตาเจ๊แกมาก ดูจี๊นจีน เล่นได้ธรรมชาติสุดๆ ถ้ามีบท
ให้เจ๊แกได้ยิงมุกแกโขมยซีนได้สบายๆ ผมชอบฉากแกนั่งกินปาท่องโก๋ดูทีวีคุยกับลูกสาว กินไปตอบคำถามลูกไป แต่ตามองทีวีได้อารมณ์ธรรมชาติดีจริงๆ เชื่อว่าได้เห็นผลงานเจ๊แก
เรื่องต่อไปแน่ เพราะมีบทพ่อ บทแม่ บทลูก ที่แต่ละคนต่างฮาๆกัน ภาพครอบครัวเหมยลี่ในหนัง จึงดูเป็นครอบครัวที่สนุกสนาน
พอเป็นเรื่องราวในบ้านนี้ทีไร ได้ฮาทุกที หนังถ่ายทอดครอบครัวคนจีนของเหมยลี่ได้เป๊ะตามแบบฉบับบ้านคนจีนจริงๆ บ้านอยู่อาคารพาณิชย์ริมถนน ชั้นล่างขายมอเตอร์ไซค์
นอนพักกันข้างบน มีพ่อแม่เฝ้าร้าน อยู่กะอาม่า ลูกสาวออกไปทำงานข้างนอก มีนัดโต๊ะจีนจับคลุมถุงชน (มุกเรนตอนนี้ เป็นอีกมุกที่เรียกเสียงฮาได้ดี) พอหยุดยาวก็ไปเที่ยว
เมืองจีนกัน แต่พอหัวค่ำก็ติดละครเหมือนกันทุกบ้านทั้งจีนทั้งไทย
เป็นธรรมเนียมของหนัง gth ไปแล้ว ที่ต้องมีศิษย์เก่าของ gth มาเป็นแขกรับเชิญ โดยเฉพาะเรื่องนี้ตรึมครับ ซันนี่ พีค มาเป็นดาราละคร น้ำเน่าที่ครอบครัวติดกันงอมแงม
แจ๊คโผล่มาเท่าที่เห็นในเทรลเลอร์นั่นแหละ โอปอลล์โผล่มาในบทประจำ เพื่อนนางเอก ท่าทางจะต้องเล่นบทนี้จนตาย ที่ไม่ชอบเลยคือบท โอเวอร์แอคติ้งของ ฮิเดะเจ้านาย
ของ เหมยลี่ ที่ดูหลุดจนเป็นการ์ตูนเกินไป แน็ค ชาลี ไตรรัตน์ ที่เพิ่งผ่านตากันมาจาก 5แพร่ง มาในมาดเด็กแว้น กับมุกใส่กางเกงรัด ที่ก็โผล่มาทำท่าทางเอาฮาได้
แต่ก็ดูหลุดโลกไปอีกคน ในเรื่องมีแถม น้องแอ๊ฟ ทักษอร ที่ข้ามค่ายมาเล่นแบบเซอร์ไพรส์เพราะไม่เห็นในเครดิต หรือในตัวอย่างมาก่อน แอ๊ฟ มาเล่นเป็นนางเอก
ละครหลังข่าวชื่อดัง ที่ค่อนข้างสำคัญในเรื่องคนหนึ่ง
ซิ่ม ที่มารับบท อาม่า ดูจะเป็นคนเดียวในเรื่อง ที่ยังดูขัดๆ เล่นได้แข็งๆ พยายามจะมองผ่านๆไป แต่มุกพูดภาษาจีนของอาม่าแล้วให้แม่เป็นคนแปล ก็เป็นมุกที่ในเรื่อง
เล่นบ่อยเสียด้วยที่เห็นว่าเป็นมุกแปลกใหม่ก็คือ ช็อต insert ที่เป็นภาพcgแนวการ์ตูนสั้นๆไม่กี่วิ ที่ยิงสอดเข้ามาเรื่อยๆส่วนใหญ่ได้ผลครับ มีเสียงฮาขานรับได้เกือบทุกครั้ง
เชื่อว่าหนังน่าจะประสบความสำเร็จ โดยเฉพาะใน กรุงเทพ เพราะหนังสร้างให้คนกรุงเทพดู หนังสนุกกับการหยิบเรื่องใกล้ตัวในชีวิตประจำวันมาเล่นเป็นมุกซึ่งน่าจะโดนใจคนกรุงเทพ
เป็นพิเศษถึงแม้ไม่มีมุกที่ขำก๊าก แต่ก็เป็นมุกเล็กๆน้อยๆที่ทำให้ดูไปขำๆได้ตลอดทั้งเรื่อง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องชีวิตประจำวันในการเดินทาง ขึ้นรถตู้ก็โดนแย่ง โหนรถก็ต้องดมจั๊กกะแร้
ซ้อนมอเตอร์ไซค์หัวเข่าก็กระแทกท้ายรถเก๋งไปทำงานก็มีระเบียบต้องออกกำลังกายในที่ทำงาน เวลาพักผ่อนก็พูดถึงที่เที่ยวอย่าง สวนสยาม ท้องฟ้าจำลอง ห้างเซ็นทรัล ชวนกัน
ไปมิดไนท์เซลส์ พอเป็นเรื่องใกล้ตัวแบบนี้คนกรุงเทพดูแล้วน่าจะอินมากกว่า หลังๆนี่ gth ฉลาดในการหยิบประเด็นฮอทใกล้ตัวมาใส่ในบทหนังด้วย แม้กระทั่งเรื่องนี้ก็หยิบเรื่องภาพ
หลุดดาราตามหน้าหนังสือก๊อสซิปมาใส่เป็นประเด็นสำคัญในเรื่องด้วย
หนังใส่รายละเอียดในเรื่องบ้านของทั้งเหมยลี่ และ ลุง ว่าอยู่ในซอยใกล้ๆกัน เลยทำให้เรื่องบังเอิญที่ว่าทำไมลุง กับ เหมยลี่ ถึงมาเจอกันได้อีกดูพอมีเหตุผลที่รับได้ เหมือนๆจะให้
เห็นว่า ทั้งคู่อยู่แถวๆเจริญนครหรือไม่ก็บางรักเนี่ยแหละเพราะทั้งคู่ขึ้นลงรถไฟฟ้าที่สถานีสะพานตากสินแล้วบ้านลุงก็เป็นบ้านเช่า ริมเจ้าพระยาเสียด้วย หนังได้รับความร่วมมือดีจาก
bts ก็เลยเสนอภาพพจน์ดีๆของ การรถไฟฟ้า ผ่านตัวละคร ลุง ว่าขยันตั้งใจ มีวิศวกรมาซ่อมรางรถไฟฟ้าทุกคืน รถไฟฟ้าวิ่งทุกวันไม่มีวันหยุดวิศวกรก็เลยต้องทำงานไม่มี
วันหยุดด้วย พอสงกรานต์ก็มีวันครอบครัวให้พาครอบครัวมาเที่ยวที่อู่ซ่อมรถไฟฟ้าได้ด้วย
สัดส่วนของเรื่องค่อนไปในโทน ตลกมากกว่าโรแมนติค พอมา30นาทีสุดท้ายของหนังถึงจะเริ่มใส่จุดหักเหของเรื่องแล้ววกเข้าโทนโรแมนติค พอรับได้ว่าซึ้งแต่ไม่ถึงกับมากกับ
ซีนกล่องที่ระลึกของลุง ไม่เข้าใจว่าน้อยไปหรือมาได้แค่นั้นกับอารมร์ที่ผู้กำกับคาดหวัง จริงๆก็พอแล้วแค่นี้กับหนังคอมเมดี้ที่สอดแทรกโรแมนติคเพราะมากกว่านี้คงจะเป็น
หนังตระกูลยัยตัวร้ายของกวัก แจ ยอง ที่แบ่งครึ่งแรกหัวเราะ แล้วแบ่งครึ่งหลังเรียกน้ำตา ผู้กำกับตั้งใจใส่รายละเอียดเล็กๆน้อยๆให้กับภาพในหนัง ได้ผลบ้างไม่ได้ผลบ้าง อย่างเช่น
ตอนที่เหมยลี่ เหงาเศร้าในช่วงต้นเรื่อง และท้ายเรื่อง เธอจะใส่เสื้อผ้าสีม่วงตลอด แต่ในช่วงกลางที่เธอมีความสุขได้ไปไหนมาไหน กับลุง เธอจะใส่เสื้อผ้าสีขาวตลอด คงจะพยายาม
สื่อให้มีผลกับภาพมั้ง แต่ทำไมต้องสีขาวที่ชอบคือ ภาพมุมกว้างในไคลแมกซ์ตอนท้ายที่ เหมยลี่ กับ ลุง จะจากกันอีกครั้ง เป็นภาพสถานีรถไฟฟ้าสยาม เหมยลี่อยู่ชั้นสอง ลุงอยู่ชั้นสาม
กำลังจะขึ้นรถไฟฟ้าไปคนละทิศทางกัน สื่อให้ถึงความรู้สึกที่ทั้งสองจะแยกกันไปคนละทิศทาง ก็ไปลุ้นดูกันว่าจะมีเซอร์ไพรส์อะไรไหมในตอนจบ
สิ่งที่ผมไม่เข้าใจ ก็คือนัยยะของ ผู้กำกับที่พยายามใส่เรื่องท้องฟ้าดวงดาว เข้ามาในเรื่อง ทั้งเรื่องเหมยลี่ ที่ทำงานกลางวันขายโซลาเซลล์ ลุง ทำงานซ่อมรางรถไฟกลางคืน แต่ไปดู
ท้องฟ้าจำลองด้วยกัน แล้วยังพูดถึงดาวหางแม็คไบรท์ ที่มาในตอนช่วงวันสงกรานต์ที่ว่าเป็นร้อยปีจะมาสักหน ถ้าพี่รอบรู้อ่านมาถึงตรงนี้เฉลยด้วยนะ ว่ามันมีจริงไหม ไอ้ดาวหางเนี้ย
ดูจบ ผมประทับใจกับคำพูดของ โอปอล ในเรื่องนะ "แฟนนะเขาไม่ได้มีไว้ให้อยู่ด้วยตลอดเวลานะ เขามีไว้ให้รับรู้ว่ามีคนที่คอยรักและห่วงใยเราอยู่ตลอดเวลาต่างหาก" ดีจัง จะเอาไปใช้มั่ง
ถึงแม้ไม่ใช่หนังดีขึ้นหิ้ง แต่ก็เป็นหนังที่แนะนำให้ดูต่อได้เต็มปาก ไม่ผิดหวัง เสียตังค่าตั๋วแล้วเดินออกจากโรงด้วยความสุขครับ