ฮัมมิ่งเบิร์ด…สัญลักษณ์การตีความของผู้กำกับ
นกฮัมมิ่งเบิร์ดตัวหนึ่งได้ปรากฏตัวขึ้นระหว่างฝันร้ายของโจอี้ในอพาร์ทเมนต์ ความสำคัญของเรื่องนี้คือการที่นกฮัมมิ่งเบิร์ดเป็นคำที่ใช้เรียกประเภทของเครื่องบินสอดแนมไร้คนขับที่ถูกใช้ในอัฟกานิสถาน อย่างที่ไนท์ขยายความว่า “...ผมใส่นกฮัมมิ่งเบิร์ดลงไปในหนังเพื่อเป็นตัวแทนของดวงตาที่มองเห็นทุกอย่าง ที่เป็นประจักษ์พยานสำหรับการกระทำของเรา เหมือนเครื่องบินสอดแนมน่ะครับ ผมชอบไอเดียที่มันเป็นตัวแทนของสติสัมปชัญญะของเมืองและไอเดียที่ว่ามันเป็นเรื่องของการที่โจอี้เรียกตัวเองให้มารับผิดต่อสิ่งต่างๆ ที่เขาเคยทำมาในอดีต เขาทำในสิ่งที่ค่อนข้างเลวร้ายมาก่อน และมันก็เป็นความรู้สึกผิดชอบชั่วดีของเขา และในแง่หนึ่ง เหตุผลที่เขาตกอยู่ในสถานการณ์เลวร้ายอย่างที่เป็นอยู่ ก็เพราะเขาถูกสังเกตในตอนที่เขาทำในสิ่งที่เขาทำ มันมีเรื่องเล่าขานกันในหมู่ทหารว่ามันมีเครื่องบินสอดแนมขนาดจิ๋วเท่าแมลงที่สามารถมองเห็นได้ทุกอย่าง และคุณคงจะจินตนาการได้ว่าเรื่องเล่าพวกนั้นมันเกิดขึ้นได้ยังไงและผมก็ชอบคอนเซ็ปต์ที่ว่า ในความคิดของบางคน ทุกสิ่งที่พวกเขาทำจะมีคนเห็น แต่ในความจริงแล้ว คนเดียวที่จะสังเกตทุกสิ่งที่คุณทำก็อยู่ในหัวของคุณเองนั่นแหละ ดังนั้น มันก็เป็นการที่โจอี้จะทำใจยอมรับกับสิ่งที่เขาทำลงไป ฮัมมิ่งเบิร์ดในความคิดของผมแล้วเป็นตัวแทนของการสังเกตตัวเองและการกระทำในอดีตของตัวเอง รวมถึงการตอบสนองของคุณต่อสิ่งเหล่านั้นด้วยครับ...”บรรยากาศการถ่ายทำ... ลอนดอน-กลางคืน-กลางวัน-กล้อง
Hummingbird มีเรื่องราวส่วนใหญ่เกิดขึ้นตอนกลางคืนในลอนดอน ภายในโคเวนท์ การ์เดน, ไชน่าทาวน์และโซโห ส่วนใหญ่แล้ว การถ่ายทำเกิดขึ้นในโลเกชั่นจริงมากกว่าจะถูกจำลองขึ้นที่อื่น ซึ่งมันมีส่วนอย่างยิ่งในการช่วยสร้างบรรยากาศของฉากและช่วยในเรื่องการแสดงของนักแสดง
โจอี้และคริสติน่าได้พบกันที่ศูนย์แจกอาหารในปลายฤดูหนาว หลังจากตรุษจีนได้ไม่นาน และพวกเขาก็แยกย้ายกันไปคนละทางเมื่อฤดูร้อนสิ้นสุดลง พวกเขาใช้เวลาส่วนใหญ่อยู่ด้วยกันตอนกลางคืน และจากกันไปก่อนจะรุ่งสาง เรื่องราวส่วนใหญ่เกิดขึ้นภายใต้กำบังของความมืด โลกที่เป็นที่อยู่อาศัยของตัวละครชั่วร้าย ผู้ใช้ชีวิตอยู่ใต้เงามืด มันก่อให้เกิดความขัดแย้งระหว่างลุคและบรรยากาศของฉากในช่วงกลางวัน ที่ซึ่งลอนดอนสดใส มีชีวิตชีวา และโลกที่โจอี้รู้สึกอึดอัดกับมันน้อยกว่า ลอนดอนเป็นตัวละครที่มีตัวตนเคียงข้างพวกเขา เป็นเมืองที่ไม่เคยหลับใหล
ตามที่ฮีลีย์ขยายความว่า “...ตัวละครของเราใช้ชีวิตและซ่อนตัวในตอนกลางคืน ดังนั้น เราก็เลยถ่ายทำตอนกลางคืนเป็นส่วนใหญ่ ผมไม่เคยถ่ายฉากกลางคืนติดต่อกันสี่สัปดาห์แบบนี้เลย และมันก็เป็นตัวกำหนดลุ๊ค ความรู้สึกและบรรยากาศของหนังเรื่องนี้ด้วย เราได้ถ่ายทำลอนดอนตอนที่แทบไม่มีคนอยู่ และมันก็เป็นสิ่งที่คุณไม่ได้เห็นบ่อยนัก ซึ่งผมคิดว่าเราสามารถถ่ายทอดภาพนั้นออกมาได้ครับ...”
แม่น้ำเธมส์ก็เป็นส่วนหนึ่งของความมืดอันธการนี้ด้วยเช่นกัน ตามที่ไนท์กล่าวว่า “...แม่น้ำสายนี้ถูกพูดถึงในบทว่าอยู่ตรงนั้น เพื่อพัดพาร่างของเด็กสาวอย่างอิซาเบลไปไกลๆ ผมชอบไอเดียที่ว่ามันเป็นเหมือนตัวขจัดความลับที่น่าหวาดสะพรึง ซึ่งไหลอยู่ระหว่างแสงสีในเมือง มันอาจจะมีอิทธิพลเลวร้ายในหนังก็ได้ ยกตัวอย่างเช่น บนสะพานวอเตอร์ลู โจอี้ตัดสินใจซ้อมคนเก็บภาษีเพราะเขาจ้องลงไปในแม่น้ำ ส่วนเซนต์ปอลและสภาผู้แทน โบสถ์และรัฐก็อยู่กันคนละฝั่งครับ...”
ธีมที่ร้อยเรียงอยู่ตลอดในบทของไนท์ ทั้งการมองเห็นและการมองไม่เห็น กลางวันและกลางคืน ความมืดและแสงสว่าง ส่งผลกระทบต่อการตัดสินใจในเรื่องลุคของภาพยนตร์เรื่องนี้ ซีเควนซ์เปิดเรื่องตอนกลางคืน ซึ่งรวมถึงฉากการหนีขึ้นหลังคาของโจอี้ มีชีวิตชีวาขึ้นมาด้วยฝีมือของไนท์และทีมงานมากประสบการณ์ของเขา เว็บสเตอร์อธิบายว่า “...ซีเควนซ์เปิดเรื่องเป็นอะไรที่เหนื่อยมากและต้องอาศัยเวลาถ่ายทำนาน มันมีการต่อสู้ที่ซับซ้อน ทุกอย่างเกิดขึ้นตอนกลางคืน และมันเกิดขึ้นบนหลังคา และมันก็ถูกถ่ายทำในโลเกชั่นต่างๆ มากมายในช่วงเวลาหลายวัน ซึ่งผมคิดว่ามันคุ้มค่าครับ มันเป็นซีเควนซ์ที่มีชีวิตชีวาทเดียว สตีฟเป็นผู้กำกับหน้าใหม่ ดังนั้น หลายสิ่งหลายอย่างเลยเป็นเรื่องใหม่สำหรับเขา แต่เราก็ห้อมล้อมเขาด้วยทีมงานระดับโลกและคนที่รู้ในสิ่งที่พวกเขาทำจริงๆ ซึ่งก็รวมถึงคริส เมนเกส ผู้กำกับภาพของเรา, ไมเคิล คาร์ลิน ผู้ออกแบบงานสร้างและหลุยส์ สเติร์นสวอร์ด ผู้ออกแบบเครื่องแต่งกายของเรา คุณจะดีพอๆ กับทีมงานของคุณนั่นแหละครับ นั่นเป็นหนึ่งในสิ่งที่คุณต้องทำในฐานะผู้อำนวยการสร้าง คุณต้องเลือกทีมงานที่ดีพอๆ กับที่คุณเลือกนักแสดงที่ดี เพื่อก่อให้เกิดความสัมพันธ์ในการทำงานที่เอื้ออาทรต่อกันครับ...”
การเปลี่ยนแปลงตัวเองของโจอี้จากการใช้ชีวิตอยู่ในลังกระดาษบนท้องถนนไปใช้ชีวิตอยู่ในอพาร์ทเมนต์ในโคเวนท์ การ์เดน เป็นสองโลกที่แตกต่างกัน อย่างที่ผู้ออกแบบงานสร้าง ไมเคิล คาร์ลินบอกว่า “...เขาได้ไปลงเอยอยู่ในอพาร์ทเมนต์ของเกย์รสนิยมหรูคนหนึ่ง ที่มีของสวยๆ งามๆ มีรูปผู้ชายเปลือยทุกหนทุกแห่ง มีของประดับตกแต่งบ้านสวยๆ และมีเสื้อผ้าที่เขาสวมใส่ได้ เขาก็เลยสวมรอยเป็นผู้ชายคนนี้ซะเลย และนั่นก็คือสิ่งที่มีเสน่ห์จริงๆ เกี่ยวกับหนังเรื่องนี้ มันคือความขัดแย้งระหว่างโลกสองใบนี้ และผมก็คิดว่าเราจะผลักดันโลกแต่ละใบให้ไกลห่างจากกันให้มากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ ทั้งศูนย์แจกอาหาร ตรอกซอกซอย ไชนาทาวน์ ทุกที่จะมืดหม่นและมีแสงสีเล็กๆ วิบวับ ซึ่งจะตรงข้ามกับโทนสีเทาเรียบของแฟลทที่ดูดีมีระดับแห่งนี้ครับ...”
การทำงานตอนกลางคืนในโลเกชั่นจริงของลอนดอนหมายถึงทีมงานจะต้องคล่องแคล่วและฝีเท้าไวให้มากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ซึ่งมันรวมถึงกล้องโปรโตไทป์อเล็กซา ซึ่งสามารถถ่ายทำในระดับแสงต่ำมากๆได้และสามารถแยกออกเป็นสองส่วนได้ ทำให้มันสามารถวางตั้งบนบ่า และแทรกเข้าไปในพื้นที่แคบๆ ได้ และมันก็เล็กพอที่จะแบกมันวิ่งไปมาภายในพื้นที่จำกัด เช่นบันไดหนีไฟที่ โจอี้ปีนระหว่างที่เขาพยายามจะหนีจากบูซานิส ที่ซ้อมด้วย
ไนท์ทำงานอย่างใกล้ชิดกับผู้กำกับภาพเจ้าของสองรางวัลอคาเดมี่ อวอร์ด คริส เมนเกส เพื่อทำให้ได้ภาพที่ออกมาสะกดสายตามากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ แทนที่จะเป็นเทคนิคกระชากแบบที่มักจะใช้กันในภาพยนตร์ที่ถ่ายทำเวลากลางคืน พวกเขาใช้เวลาเดินไปรอบๆ เซ็นทรัลลอนดอน เพื่อมองสิ่งรอบตัวแบบใกล้ๆ และมองหาความงามที่ซ่อนอยู่ภายใน เพราะพวกเขาต้องการจะทำงานกับสิ่งที่ลอนดอนนำเสนอ ตั้งแต่เงาสะท้อนบนผิวน้ำ ไปจนถึงสถาปัตยกรรม ไปจนถึงโคมแดงของเทศกาลตรุษจีนด้วย
อย่างที่ไนท์อธิบายว่า “...สิ่งที่ผมตั้งใจจะทำคือการบอกว่า โอเค เราจะถ่ายทำในตรอกที่คนเร่ร่อนนอนอยู่ หรือมุมมืดของโซโห และวิธีง่ายๆ คือการทำให้ภาพดูดิบ หรืออะไรทำนองนั้น แต่สิ่งที่ทผมอยากทำคือทำให้มันสวย และการทำให้กล้องให้ภาพที่สวยสง่า และให้ทุกอย่างออกมาดูราวกับมันเป็นทิวทัศน์ที่สวยงามน่าชม เพราะเมื่อคุณมีแหล่งกำเนิดแสงมากมายและมีแสงสีสันต่างๆ เป็นประกายวิบวับ แทนที่มันจะดูน่าเกลียดน่ากลัวแต่มันจะทำให้ภาพออกมานิ่งและสวยงาม ซึ่งผมคิดว่านั่นเป็นสิ่งที่คริสอยากจะทำด้วยเหมือนกันครับ”เกี่ยวกับสถานที่ถ่ายทำ
การถ่ายทำ Hummingbird เกิดขึ้นระหว่างฤดูใบไม้ผลิ ปี 2012 โดยการถ่ายทำส่วนใหญ่ในช่วง 8 สัปดาห์นั้นเกิดขึ้นในโลเกชั่นในเซ็นทรัล ลอนดอน รวมถึง 3 มิลส์ สตูดิโอส์ในอีสต์ ลอนดอน
โลเกชั่นในโคเวนท์ การ์เดนรวมถึงฉากที่ถ่ายทำในและรอบๆ เปียซซ่าแห่งโคเวนท์ การ์เด้นที่โด่งดังระดับโลก, รอยัล โอเปรา เฮาส์ ที่ซึ่งเป็นที่จัดการแสดงอำลาของบัลเลรินาสาว มาเรีย ซีลินสก้า ซึ่งคริสตินาเข้าร่วม, โบสถ์เซนต์ปอล ที่ตั้งศูนย์แจกอาหาร รวมถึงฉากที่ถ่ายทำภายในโบสถ์ด้วย และยังมีการแขวนโปสเตอร์ใบใหญ่ตรงเสาระเบียงขนาดใหญ่บนเปียซซา เพื่อโฆษณาการแสดงบัลเลต์อีกด้วย เพื่อจุดประสงค์ในการค้นคว้าข้อมูล ไนท์, สเตแธมและบูเซ็คได้ไปเยือนคอนเน็กชั่น แอท เซนต์ มาร์ติน อิน เดอะ ฟิลด์ ซึ่งเป็นมูลนิธิเพื่อคนเร่ร่อน , โลเกชั่นในไชนาทาวน์รวมถึงถนนวาร์ดูร์, ถนนเจอร์ราร์ด, แดนซีย์ เพลซ รวมถึงร้านอาหารฮวงจุ้ย อินน์ และดัมพลิงส์ ลีเจนด์ด้วย , โลเกชั่นในโซโหได้แก่ ถนนโอลด์ คอมป์ตัน, ทิสเบรี คอร์ท รวมถึงแชฟท์เบรี อะเวนิวและเคมบริดจ์ เซอร์คัส , โลเกชั่นในอีสต์ ลอนดอนได้แก่ คานารี วอร์ฟ สำหรับปาร์ตี้ค็อกเทล ที่โจอี้เจอกับฟอร์เรสเตอร์, บริเวณไลม์เฮาส์ สำหรับฉากของดอว์นกับรูบี้
โลเกชั่นอื่นๆ ในลอนดอนได้แก่แกลเลอรีบนถนนคอร์ค ซึ่งเป็นฉากสำหรับงานนิทรรศการที่โจอี้เชิญคริสตินาไปเข้าร่วมด้วย, การพบกันระหว่างโจอี้และคริสตินาในตลาดเนื้อตอนกลางคืนถูกถ่ายทำที่ตลาดโบโรห์ที่เก่าแก่, ฉากบนหลังคาถ่ายทำบนหลังคาโรงแรมชาริง ครอส บนเดอะ สแตรนด์, บางฉากถูกถ่ายทำบนสะพานวอเตอร์ลูและสะพานควีนอลิซาเบธ, รีเจนท์ ปาร์คเป็นฉากให้กับการนัดพบกันช่วงกลางวันสำหรับโจอี้และคริสตินาที่ไม่เกิดขึ้นบ่อยนักและฉากโรงงานจีนถูกถ่ายทำที่แรม บรูว์เออรีในแวนด์เวิร์ธ, เซาธ์ ลอนดอน