happy on May 19, 2013, 05:12:29 PM

ชื่อภาพยนตร์      Only God Forgives       

ภาพยนตร์แนว   แอ็คชั่น-ดราม่า

จากประเทศ      ฝรั่งเศส

กำหนดฉาย      27 มิถุนายน 2556
 
ณ โรงภาพยนตร์   ทุกโรงภาพยนตร์
 
ผู้กำกับ       Nicolas Winding Refn (นิโคลัส ไวน์ดิ้ง เรฟเฟน)

อำนวยการสร้าง   Johnny Andersen  (จอห์นนี่ แอนเดอร์สัน)    

นักแสดง      Ryan Gosling (ไรอัน กอสลิ่ง) รับบท Julian (จูเลี่ยน)
      ผลงานที่ผ่านมา Drive, The Notebook, Blue Valentine
         
      Kristin Scott Thomas (คริสติน สก็อต โธมัส)  รับบท Crystal (คริสตัล)
      ผลงานที่ผ่านมา The English Patient, Bel Ami    

      Vithaya Pansringarm (วิทยา ปานศรีงาม) รับบท Chang (ช้าง)
      ผลงานที่ผ่านมา ศพไม่เงียบ, The Hangover Part II ,  Largo Winch II

      Rhatha Phongam (รฐา โพธิ์งาม)  รับบท Mai (ใหม่)
      ผลงานที่ผ่านมา จันดารา ปฐมบท และปัจฉิมบท          
         
      Tom Burke (ทอม เบิร์ค) รับบท Billy (บิลลี่)
      ผลงานที่ผ่านมา Cleanskin , Third Star , Chéri





เรื่องย่อ

               Only God Forgives เป็นเรื่องราวของ “จูเลี่ยน” (ไรอัน กอสลิ่ง) ชาวต่างชาติที่อาศัยอยู่ในกรุงเทพ เขาและน้องชาย “บิลลี่” (ทอม เบิร์ค) เปิดค่ายมวยไทยในเยาวราชเพื่อใช้เป็นฉากบังหน้ากิจการค้ายาเสพติดข้ามชาติ แต่เมื่อบิลลี่ถูกสังหารอย่างโหดเหี้ยม ทำให้“เจนน่า” (คริสติน สก็อตต์ โทมัส) แม่ของจูเลี่ยนและบิลลี่ ผู้ดูแลธุรกิจทั้งหมดต้องเดินทางมายังกรุงเทพเพื่อรับศพลูกชาย พร้อมกับต้องการให้ “จูเลี่ยน” ตามล่าหาตัวฆาตกรที่ฆ่าบิลลี่ให้ได้

               เบาะแสที่ จูเลี่ยน ค้นพบทั้งหมดก็นำให้เขาไปเผชิญหน้ากับ “ช้าง” (วิทยา ปานศรีงาม) อดีตเจ้าหน้าที่ตำรวจที่เป็นที่รู้จักจากทุกคนในวงการว่าเป็นทั้งผู้รักษากฏหมายและผู้ประหาร การล้างแค้นให้กับน้องชายนำ  จูเลี่ยนเข้าไปสู่เส้นทางของความรุนแรง การหักหลัง ความอาฆาตแค้น รวมถึงการต้องเผชิญหน้ากับอดีตของตัวเองที่อาจเป็นหนทางที่นำไปสู่การไถ่บาป






บทสัมภาษณ์....นิโคลัส ไวน์ดิ้ง เรฟเฟน ผู้กำกับ

Q:   ภาพยนตร์เรื่องนี้เป็นเรื่องเกี่ยวกับอะไร

A:   คอนเซ็ปต์แรกเริ่มสำหรับภาพยนตร์เรื่องนี้คือการสร้างภาพยนตร์เกี่ยวกับชายผู้อยากจะสู้กับพระเจ้า ซึ่งแน่นอนว่านั่นเป็นอุปสรรคที่ยิ่งใหญ่มากๆ แต่ตอนที่ผมเขียนบทหนังเรื่องนี้ ผมกำลังผ่านช่วงเวลาที่ผมคิดคำนึงถึงการดำรงอยู่ของตัวเองมากๆ เรากำลังมีลูกคนที่สอง และการตั้งครรภ์ครั้งนี้ก็มีปัญหา ไอเดียของการสร้างตัวละครที่อยากจะสู้กับพระเจ้าโดยไม่รู้ว่าทำไมเป็นอะไรที่ทำให้ผมสนใจมากๆ เมื่อได้คอนเซ็ปต์แบบนั้นมาแล้ว ผมก็ขยายความต่อด้วยการเพิ่มตัวละครที่เชื่อว่าตัวเองเป็นพระเจ้า (ช้าง) ซึ่งชัดเจนว่าเป็นตัวร้าย กับตัวเอกที่เป็นแก๊งสเตอร์ที่มองหาศาสนาที่เขาจะเชื่อได้ (จูเลี่ยน) แน่นอนว่ามันเป็นเรื่องเกี่ยวกับการดำรงชีวิตอยู่ของมนุษย์มากๆ เพราะศรัทธามีที่มาจากความต้องการคำตอบที่ลึกซึ้งกว่า แต่ส่วนมากแล้ว เราไม่รู้หรอกว่าคำถามคืออะไร แต่เมื่อคำตอบมาถึง เราจะต้องย้อนรำลึกชีวิตของเราเพื่อหาคำถาม ในแง่นี้แล้ว ภาพยนตร์เรื่องนี้ถูกคิดมาเพื่อเป็นคำตอบ โดยมีคำถามถูกเผยออกมาในตอนจบ

Q:   ทำไมตัวละครที่เป็นพระเจ้าถึงถูกนำเสนอเป็นตัวร้ายแทนที่จะเป็นตัวเอก

A:   การเป็นพระเจ้าไม่น่าสนใจพอน่ะสิครับ ความต้องการจะสู้กับเขาเป็นอะไรที่น่าดึงดูดใจมากกว่าเพราะมันมีความรู้สึกของความสูญเสียและความอ่อนแอ ซึ่งเป็นสิ่งที่ผู้ชมเข้าถึงได้ เราทุกคนต่างก็ชื่นชมความเข้มแข็ง ซึ่งเป็นสิ่งที่ช้างแสดงให้เห็น แต่เรากลับไม่รู้สึกถึงความเชื่อมโยงด้านอารมณ์ ในทางกลับกัน เรื่องของการค้นหากลับเป็นอะไรที่เป็นมนุษย์มกๆ เพราะมันมีความอ่อนแอในเรื่องของความไม่รู้ หรือในการไม่สามารถเติมเต็มทุกสิ่งในชีวิตเราได้ มันย้อนกลับไปถึงเรื่องของศรัทธา ที่ไม่ได้เกิดจากการที่เรามีคำถาม แต่เกิดจากการที่เราได้รับคำตอบ และพยายามหาคำตอบว่าคำถามนั้นจริงๆ แล้วคืออะไร

Q:   ช่วยพูดถึงความสำคัญของตัวละครของคริสติน สก็อต โธมัสหน่อยสิ

A:   เราเคยชินกับการเห็นอาชญากรรมและความรุนแรงเกิดขึ้นจากตัวละครชาย แต่ไอเดียของการที่ผู้หญิงเป็นตัวร้ายซ้ำร้ายกว่านั้น  เธอยังเป็นแม่คนด้วย เป็นอะไรที่เขียนสนุกทีเดียว มันช่วยเพิ่มน้ำหนักให้กับปัญหาหนักใจที่จูเลี่ยนกำลังเผชิญอยู่เพราะแม่เขาเป็นชิ้นส่วนของ  ปริศนาที่ว่าทำไมเขาถึงอยากจะต่อสู้กับพระจ้า มันเป็นเรื่องน่าสนใจครับ การที่เอาดราม่าระหว่างแม่กับลูกชายมาวางอยู่ในความจริงที่ถูกทำให้เข้มข้นขึ้นของภาพยนตร์ต่อสู้แล้วการบวกโลกของเอเชีย หรือพูดให้ถูกก็คือ กรุงเทพฯ เข้าไป ทำให้ภาพยนตร์เรื่องนี้มีกลิ่นไอของความมหัศจรรย์ เมืองนี้มีความเป็นอนาคตมากๆ ในแง่ของเทคโนโลยี และมันก็มีประชากรมากถึง 12 ล้านคน แต่ในขณะเดียวกัน มันก็มีเรื่องทางด้านจิตวิญญาณที่แรงกล้ามากๆ ด้วย การยอมรับว่าคนเราสามารถมีชีวิตอยู่ในคนละภพ และยังสามารถติดต่อหากันได้ทำให้ทุกอย่างดูราวกับจะเป็นการทดลอง ทั้งสองโลกนั้นเดินไปควบคู่กัน ไม่เคยมีใครตั้งคำถามเรื่องนั้นเลย

Q:   ทำไมภาพยนตร์เรื่องนี้ถึงอยู่ภายในกรอบการทำงานของคุณในฐานะผู้กำกับ

A:   ผมพบว่ามันเป็นเรื่องยากที่จะตอบคำถามที่เกี่ยวกับการทำงานของผมเพราะผมไม่เคยวางแผนอะไรเลยและในไม่กี่ครั้งที่ผมลองวางแผนดู แผนของผมกลับเปลี่ยนแปลงชนิดหน้ามือเป็นหลังมือ แต่ผมคิดว่าผมบังคับตัวเองให้อยู่ในสถานการณ์ที่ผมวิ่งหนีไม่ได้ ซึ่งทำให้ชีวิตผมยุ่งยากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้เพราะมันทำให้ผมหลีกเลี่ยงเรื่องของสามัญสำนึกเพราะมันเชื่อมโยงกับสิ่งที่เรียกว่า “สิ่งที่ควรทำ” หรือ “วิธีปลอดภัย”
          ในทางตรงข้าม ผมต้องทำตามสัญชาตญาณของผมว่าอะไรที่ผมรู้สึกว่าใช่หรือไม่ใช่ มันเป็นเรื่องของการปิดตาสร้างหนังและส่วนที่ตื่นเต้นก็คือการไม่รู้หรือการไม่สามารถทายผลที่ออกมาได้ ถ้าผมให้คุณดูบทที่ผมเขียนขึ้นเมื่อสองปีก่อนรวมทั้งทุกเวอร์ชั่นของหนังเรื่องนี้ตั้งแต่ช่วงเตรียมงานสร้างไปจนถึงฉบับตัดต่อสุดท้าย คุณจะได้เห็นหนังที่แตกต่างกันเป็นร้อยๆเรื่อง นั่นเป็นเหตุผลว่าทำไมความคิดสร้างสรรค์ถึงมีแรงขับด้านเพศภายแบบนั้น


Q:   ภาพยนตร์เรื่องนี้เป็นภาพสะท้อนส่วนหนึ่งของชีวิตคุณรึเปล่า และในแง่ไหน

A:   ผมคิดว่าทุกสิ่งที่คุณทำก็เป็นภาพสะท้อนส่วนหนึ่งของคุณไม่ทางใดก็ทางหนึ่งทั้งนั้น จนถึงตอนนี้ผมโชคดีมากๆที่ได้สร้างหนังที่ผมอยากจะสร้าง และมันก็เป็นสิ่งที่ผมไม่อาจปฏิเสธได้ อย่างไรก็ดี นอกเหนือจาก Bronson ซึ่งเป็นเหมือนกับชีวประวัติของชีวิตผม ผมก็ไม่สามารถบอกองค์ประกอบที่ชัดเจนออกมาได้ ผมปล่อยเรื่องนั้นให้เป็นหน้าที่ของผู้เชี่ยวชาญก็แล้วกัน

Q:   ดูเหมือนจะมีความคล้ายคลึงกันอย่างชัดเจนระหว่างตัวละครวันอาย, ไดรเวอร์และช้าง มากกว่าตัวละครตัวอื่นๆ ของคุณ ทำไมล่ะ

A:   นั่นเป็นคำถามที่ดีนะครับ ตัวละครทุกตัวต่างมีรากเหง้าจากตำนานเทพนิยายและพบความลำบากในการใช้ชีวิตอยู่ในโลกปัจจุบัน ผมสามารถมองเห็นได้ว่าในทางเทคนิคแล้ว มันมีความคล้ายคลึงกันในพฤติกรรมที่แข็งทื่อ เงียบงันและความวิปริตบางอย่าง แม้ว่าพวกเขาจะอยู่ในยุคสมัยที่แตกต่างกันและแสดงโดยนักแสดงคนละคนก็ตาม ผมไม่แน่ใจเหมือนกันว่าทำไมแต่มันมีความเชื่อมโยงที่ไม่อาจปฏิเสธได้ระหว่างพวกเขาและนี่ก็เป็นตัวละครที่ผมจะนำกลับมาอีกในหนังที่ผมวางแผนจะสร้างขึ้นในอนาคตอันใกล้นี้ครับ

Q:   ทำไมถึงไม่มีการพูดถึงชื่อของช้างในภาพยนตร์เรื่องนี้

A:   ในช่วงเริ่มต้น มีหลายฉากที่พูดถึงช้างในสองแบบที่แตกต่างกัน นั่นคือด้วยชื่อปกติสามัญของเขา (ช้าง) และชื่อสมญานามของเขา (เทพบุตรแห่งการล้างแค้น) แต่สำหรับผมแล้ว ทุกครั้งที่เขาได้รับชื่อ เขาจะสูญเสียความลึกลับบางอย่าง และพฤติกรรมที่น่าฉงนของเขาก็เริ่มชัดเจนขึ้น ผลก็คือผมตัดสินใจตัดส่วนใดๆ ก็ตามที่อ้างถึงชื่อจริงหรือสมญานามของเขา และเขาก็กลายเป็นแค่ “มัน”
          ทีนี้ กลับไปคำถามของคุณเกี่ยวกับคล้ายคลึงระหว่างวันอาย, ไดรเวอร์และตัวละคร “มัน” ตัวนี้ ผมบอกได้ว่าใน Valhalla Rising วันอายเป็นคนลึกลับ เราไม่รู้อดีตของเขา แต่เขาถูกจำกัดความด้วยชื่อของเขา ส่วน Drive ไดรเวอร์ถูกจำกัดความด้วยหน้าที่ของเขา และใน Only God Forgives “มัน” ก็ไม่ได้ถูกจำกัดความด้วยชื่อ มีเพียงภาพลักษณ์เท่านั้น


Q:   ในอดีต คุณค่อนข้างเฉพาะเจาะจงเกี่ยวกับความตั้งใจของคุณที่จะสำรวจภาพยนตร์แนวต่างๆ The Pusher Trilogy เป็นภาพยนตร์อาชญากรรม Bronson เป็นชีวประวัติ Valhalla Rising เป็นภาพยนตร์ไซไฟ และ Drive ก็เป็นเทพนิยาย แล้ว Only God Forgives เป็นอะไรล่ะ

A:   ในแง่หนึ่ง Only God Forgives เป็นเหมือนกับการรวมหนังทุกเรื่องที่ผมเคยทำมา ผมคิดว่าผมกำลังมุ่งหน้าด้วยความเร็วเต็มที่ไปสู่การปะทะกันเชิงสร้างสรรค์ เพื่อเปลี่ยนแปลงทุกอย่างรอบตัวและดูว่าจะเกิดอะไรขึ้นหลังจากนั้น ผมพูดเสมอว่าผมตั้งใจจะสร้างหนังเกี่ยวกับผู้หญิงแต่ผมกลับลงเอยด้วยการสร้างหนังเกี่ยวกับผู้ชายรุนแรง ตอนนี้ที่ทุกอย่างประสานกันแล้ว มันอาจจะพลิกสิ่งต่างๆ แบบหน้ามือเป็นหลังมือสำหรับผมเลยก็ได้ การประสานกันนี้น่าตื่นเต้นเพราะทุกสิ่งรอบตัวผมกลายเป็นเรื่องไม่แน่นอนและเราก็จะต้องไม่ลืมว่าศัตรูตัวที่สองของความสร้างสรรค์ นอกจากการมี “รสนิยมดี” แล้วคือการทำตัวปลอดภัยน่ะครับ

Q:   การตัดสินใจเลือกนักแสดงในภาพยนตร์เรื่องนี้ของคุณค่อนข้างจะต่างออกไปตรงที่ว่าคุณให้นักแสดงโนเนมมาแสดงประกบนักแสดงที่มีชื่อเสียง และให้นักแสดงที่มีชื่อเสียงพลิกบทบาทตัวเอง กระบวนการคัดเลือกนักแสดงของคุณเป็นยังไงบ้าง

A:          ตอนแรก มีนักแสดงอีกคนที่จะมารับบทจูเลี่ยน แต่เขาก็ถอนตัวออกไปในช่วงที่ใกล้จะเปิดกล้องอยู่แล้ว ตอนนี้ ผมมองว่ามันเป็นโชคดีเพราะมันเปิดโอกาสให้ผมและไรอันได้ร่วมงานกันอีกครั้ง น่าแปลกที่ผมเขียนบทหนังเรื่องนี้ก่อนจะกำกับ Drive เสียอีก และจูเลี่ยนก็ถูกคิดขึ้นมาให้เป็นตัวละครที่เงียบมากๆ ตอนที่ผมกับไรอันเริ่มดูบทด้วยกันหลังจาก Drive ภาษาของความเงียบงันก็เกิดขึ้นตามธรรมชาติ ซึ่งมันก็ช่วยได้มากตรงที่ว่าจูเลี่ยนเป็นคนที่มีความขัดแย้งภายในใจตามที่กล้องถ่ายทอด คือการเดินทางของตัวละครของเขาเป็นเรื่องของการเคลื่อนไหวภายในไม่ใช่ภายนอกครับ เมื่อมองตอนนี้ ผมนึกไม่ออกเลยว่าจะมีใครที่จะเล่นบทนี้ได้นอกจากไรอัน แต่ก็นั่นแหละ เขากับผมก็เป็นเหมือนคนๆ เดียวกัน
          ในกรณีของคริสติน สก็อต โธมัส เธอถูกเลือกมาตั้งแต่ตอนแรกๆ และผมก็จำได้ว่าตอนที่ผมพบกับเธอครั้งแรก เธอถามผมว่าทำไมผมนึกพิจารณาเธอสำหรับบทคริสตัล ซึ่งคำตอบแรกของผมก็คือ “เพราะแม่ผมชอบคุณมาก” ผมได้ดูเธอในหนังหลายเรื่องตลอดหลายปีที่ผ่านมาและผมก็พบว่าเธอเป็นคนฉลาดมากๆ และเธอก็มีรัศมีของสิ่งที่ผมเรียกว่า “ตำนานหนังฮอลลีวูดคลาสสิก”
          เมื่อถึงเวลาเลือกนักแสดงไทย มันเป็นเรื่องยากอยู่ซักหน่อย ผมนึกเสมอว่ามันจะมีโรงเรียนละครหรือการแสดงในประเทศไทยเพราะพวกเขามีชุมชนภาพยนตร์ที่ค่อนข้างจะกว้างขวาง แต่ผมคิดผิด และมันก็เหมือนกับการงมเข็มในมหาสมุทรในการหานักแสดงสองคนมารับบทช้างและใหม่ ที่พูดภาษาอังกฤษได้ทั้งคู่ มันง่ายขึ้นเมื่อผมตัดบทพูดภาษาอังกฤษออกไปจากช้าง ผมได้พบวิทยา ปานศรีงาม ที่รับบทช้าง ปีครึ่งก่อนที่เราจะเริ่มถ่ายทำ และผมก็รู้ว่าเขาคือคนที่ใช่ ผมบอกคุณไม่ได้หรอกว่าทำไมเพราะมันไม่ใช่ว่าการออดิชั่นของเขาจะโดดเด่นอะไร แต่มันมีอะไรบางอย่างเกี่ยวกับเขา ทั้งความเมตตาและความสงบของเขา แต่ผมก็รู้สึกเหมือนว่าผมไม่สามารถคาดเดาอะไรเขาได้และมันก็ทำให้ผมสนใจเสมอ
          รฐา โพธิ์งาม ที่รับบท “ใหม่” เหมาะกับบทนี้มาก ผมให้น้ำหนักการเลือกนักแสดงสำหรับบทนี้ในเรื่องความเงียบของเธอเพราะเธอจะกลายเป็นเหมือนสิ่งที่ถูกจินตนาการขึ้นมาในโลกของจูเลี่ยน ผมก็พบเธอตั้งแต่แรกๆ เหมือนกัน แต่เพราะผมกำกับ Drive หนังเรื่องนี้ก็เลยถูกเลื่อนออกไปเป็นปี โชคดีที่ทั้งคู่ยังว่างและตกลงที่จะแสดงหนังเรื่องนี้ตอนที่ผมอยากจะสร้างมันเสียทีน่ะครับ
          สำหรับบิลลี่ พี่ชายของจูเลี่ยน ผมเลือกนักแสดงอังกฤษ ทอม เบิร์ค ผู้ที่ผมอยากจะร่วมงานด้วยมาซักพักแล้วเพราะตอนแรก เขาออดิชันสำหรับบทจูเลี่ยนตั้งแต่แรกๆ เลย ทอม เบิร์คและกอร์ดอน บราวน์ (ผู้รับบทสมาชิกแก๊งของจูเลี่ยน ผู้ที่ผมชื่นชอบมากและใช้งานบ่อยเกือบจะพอๆ กับแมดส์ มิคเคลสัน) เป็นนักแสดงสองคนที่ผมอยากจะพามาไทยด้วย







เกร็ดจากภาพยนตร์

Only God Forgives ถือเป็นการร่วมงานกันเป็นครั้งที่สองนับจาก Drive ของ ไรอัน กอสลิ่ง นักแสดงที่มาแรงที่สุดในปัจจุบัน ที่มีผลงานอย่าง The Notebook, Blue Valentine, Crazy, Stupid, Love และล่าสุด Gangster Squad กับผู้กำกับ นิโคลัส วินดิ้ง เรฟเฟน ที่สร้างชื่อจากไตรภาค Pusher และล่าสุดกับหนังฮอลลิวู้ดเรื่องแรก Drive ที่ทำให้เขาได้รับรางวัลผู้กำกับยอดเยี่ยม จากเทศกาลหนังเมืองคานส์ ปี 2011

นิโคลัส วินดิ้ง เรฟเฟน ตั้งใจเขียนบทภาพยนตร์ที่เล่าเรื่องในกรุงเทพทั้งหมดตั้งแต่แรก โดยเขาก็ได้พูดถึงความรู้สึกที่มีกับฉากหลังของเรื่องราวว่า…"ผมหลงรักที่นี่ตั้งแต่เดินทางมาครั้งแรก กรุงเทพในตอนกลางคืนให้ความรู้สึกเหมือนว่าเราอยู่ในโลกอนาคตของ Blade Runner ผมใช้เวลาหลายคืนในการท่องราตรีที่นี่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งไชน่าทาวน์ ที่เรื่องราวส่วนใหญ่ของหนังเกิดขึ้นที่นี่ ผมคิดว่าแสงสีจากนีออนและบรรยากาศโดยรวม จะสะท้อนให้เห็นถึงสภาพจิตใจของตัวละครนำของเรา ที่ต้องการหลบหนีจากโลกใบนี้ได้เป็นอย่างดี"

Only God Forgives เป็นหนังฮอลลิวู้ดที่ถ่ายทำในประเทศไทยตลอดทั้งเรื่อง โดย ไรอัน กอสลิ่ง ก็ใช้เวลาในกรุงเทพถึง 5 เดือนเต็ม เพื่อเตรียมพร้อมทั้งทางร่างกายและการแสดง โดยเขาก็ได้พูดถึงประสบการณ์ว่า…"ผมชอบเมืองไทยมาก โดยเฉพาะหัวหินที่เปรียบเสมือนเมืองตากอากาศชั้นดี สำหรับการแสดงเป็น จูเลี่ยน ผมก็ต้องฝึกมวยไทยก่อนการถ่ายทำเป็นเวลาหนึ่งเดือน ผมรู้สึกเลยว่านี่คือศิลปะการต่อสู้ที่อันตรายที่สุด และก็ยังเจ็บปวดที่สุดเมื่อต้องฝึกให้เชี่ยวชาญอีกด้วย แต่ผมก็คิดว่ามันคุ้ม"

Only God Forgives ยังมีนักแสดงสมทบชื่อดังชาวไทยอย่าง รฐา โพธิ์งาม (ญาญ่า ญิ๋ง) จาก จันดารา ทั้งสองภาค รวมถึง วิทยา ปานศรีงาม นักแสดงมากฝีมือที่ได้รับรางวัล International Thriller and Spy Film Festival สาขานักแสดงชายยอดเยี่ยม จากภาพยนตร์เรื่อง “ศพไม่เงียบ”











« Last Edit: May 19, 2013, 05:30:48 PM by happy »