เมื่อพูดถึงเต้าหู้ อาหารที่แสนจะคุ้นเคย เพราะราคาไม่แพงและหาทานง่าย แล้วคุณผู้อ่านทราบกันไหมค่ะว่า เต้าหู้ยังเป็นอาหารเพื่อสุขภาพที่มีคุณค่าและประโยชน์คับตัวเลยล่ะค่ะ
สำหรับเต้าหู้นั้น ทำมาจากถั่วเหลือง การทานเต้าหู้จะทำให้ได้โปรตีนที่มากกว่าเนื้อสัตว์บางชนิดถึงสองเท่าในปริมาณที่เท่ากัน แถมมีสารเลซิติน ซึ่งมีผลในการลดไขมัน ช่วยส่งเสริมการทำงานของระบบประสาทที่เกี่ยวกับความทรงจำ ป้องกันเกล็ดเลือดแข็งตัว และฮอร์โมนจากพืช คือ ไฟโตเอสโทรเจน ที่มีการวิจัยพบว่า ช่วยป้องกันมะเร็งและดีต่อผู้หญิงวัยทอ ช่วยชะลอภาวะหมดประจำเดือน และลดความเสี่ยงมะเร็งเต้านม
หากดูข้อมูลด้านโภชนาการจะพบว่า เต้าหู้ประกอบด้วยโปรตีนร้อยละ 7.4 ไขมันร้อยละ 3.1 น้ำตาลร้อยละ 2.7 โดยเต้าหู้ทุก 100 กรัม จะมีแคลเซียม 277 มิลลิกรัม ฟอสฟอรัส 57 มิลลิกรัม เหล็ก 2.1 มิลลิกรัม นอกจากนี้ยังมีวิตามิน บี 1 วิตามินบี 2 วิตามินบี 3 และเลซิติน อยู่เป็นจำนวนมาก
แต่ที่น่าสนใจคือ โปรตีนในเต้าหู้ประกอบด้วยกรดอะมิโนที่จำเป็น 8 ชนิด ซึ่งร่ายกายไม่สามารถสังเคราะห์เองได้ ต้องได้รับจากอาหารภายนอก และเนื่องจากสารอาหารต่างๆ ในเต้าหู้ ร่างกายสามารถย่อยสลายได้สูงถึงร้อยละ 92-96 เต้าหู้จึงเหมาะสำหรับผู้สูงอายุที่ไม่มีฟันและระบบการย่อยไม่ดี รวมทั้งเด็กเล็กที่ฟันยังงอกไม่สมบูรณ์
นอกจากนี้ เต้าหู้ ที่มีน้ำตาลต่ำ จึงถือเป็นอาหารที่ดีอย่างหนึ่งสำหรับผู้ป่วยโรคเบาหวาน ส่วนผู้ป่วยโรคหลอดเลือดแข็งตัว และโรคโลหิตจางจากสาเหตุขาดธาตุเหล็กก็จะได้ประโยชน์อย่างมาก เพราะเต้าหู้ มีแร่ธาตุต่างๆ มากมาย อาทิ เหล็ก แมกนีเซียม โมลิบเดนนัม แมงกานีส ทองแดง สังกะสี และธาตุซิลีเนียม เป็นต้น โดยเฉพาะธาตุเหล็ก พบว่าในถั่วเหลือง 500 กรัม จะมีสูงถึง 30 มิลลิกรัม และร่างกายสามารถดูดรับได้ง่ายด้วย จึงเป็นผลดีในการใช้บำบัดรักษาโรคโลหิตจางชนิดขาดธาตุเหล็ก
อย่างไรก็ตาม แร่ธาตุต่างๆ เหล่านี้ยังช่วยเร่งสารเอนไซม์ การขับหลั่งฮอร์โมนในระบบร่างกายให้ทำงานอย่างสมดุล รวมทั้งยังช่วยให้ภูมิคุ้มกันกลับสู่ภาวะปกติได้
โดยมีรายงานการศึกษาพบว่า ผู้ที่มีปัญหาโลหิตจางจากการขาดธาตุเหล็กจะเจ็บป่วยบ่อย เป็นหวัดได้ง่าย เมื่อให้รับประทานอาหารที่มีธาตุเหล็กเสริม นอกจากระดับสภาวะเหล็กในเลือดจะดีขึ้นแล้ว ยังพบว่า การทำงานของเซลล์เม็ดเลือดขาวชนิดเซลล์ที (T-lymphocyteหรือ T-cell) มีประสิทธิภาพมากขึ้นด้วย
ได้ทราบคุณประโยชน์มากมายของเต้าหู้แล้ว เชื่อว่าผู้อ่านคงอยากทำเมนูอาหารที่มีเต้าหู้เป็นส่วนผสม ดังนั้น ต้องรู้วิธีการเลือกซื้อ สำหรับแบบที่ทำขายทั่วไปในตลาดสด เช่น เต้าหู้อ่อน เต้าหู้แข็ง เต้าหู้เหลือง ที่เป็นแผ่นห่อด้วยใบตองกับที่บรรจุภาชนะอย่างดี ควรเลือกซื้อที่ทำมาใหม่ๆ สีขาวนวลเป็นปกติ มีกลิ่นหอม ไม่มีเมือก ไม่มีกลิ่นเหม็นเปรี้ยว และภาชนะที่บรรจุต้องสะอาด ส่วนเต้าหู้แบบบรรจุภาชนะที่มักขายทั่วไปตามซูเปอร์มาร์เก็ต ควรดูวันที่ผลิตและวันหมดอายุ มีสีสันรูปร่างเป็นปกติ
เต้าหู้เป็นอาหารที่บูดเสียได้ง่าย โดยเฉพาะถ้าเต้าหู้นั้นไม่ใส่สารกันบูด จะสังเกตเห็นว่า บางครั้งที่เราซื้อเต้าหู้มาเก็บไว้ในตู้เย็นเพียงแค่วันสองวัน เต้าหู้ก็จะเริ่มเป็นเมือก มีกลิ่นเหม็นเปรี้ยว ยกเว้นเต้าหู้หลอดที่บรรจุในถุงพลาสติกสุญญากาศอย่างมิดชิด จะเก็บไว้ได้หลายวันมากกว่า
เคล็ดลับในการเก็บเต้าหู้ให้ได้นานยิ่งขึ้น มีกูรูด้านอาหารแนะนำให้ใช้น้ำต้มสุกที่เย็นแล้วใส่ชาม นำเต้าหู้ลงแช่ โดยนำจะต้องท่วมเต้าหู้ด้วย จากนั้นเอาเข้าตู้เย็น จะยืดอายุการเก็บได้นาน 7-15 วัน แล้วแต่ชนิดของเต้าหู้ ถ้าเป็นเต้าหู้อ่อน จะเก็บได้ไม่นานเท่าเต้าหู้แข็ง ในกรณีเต้าหู้หลอด ให้เก็บในตู้เย็นช่องแช่เย็นธรรมดา ก็เก็บได้นานหลายวัน อย่านำไปแช่ช่องแข็ง เพราะลักษณะของเนื้อเต้าหู้จะเปลี่ยนไปไม่คงรูปเหมือนเดิม ส่วนเต้าหู้ทอด แม้จะเก็บในตู้เย็น หากไม่ใช้ช่องแช่แข็ง ไม่นานก็จะขึ้นรา ดังนั้น การทำอาหารจากเต้าหู้ จึงไม่ควรซื้อเต้าหู้มาในปริมาณมาก เพราะกลิ่นรสของเต้าหู้จะเปลี่ยนไปเมื่อเก็บไว้เป็นเวลาหลายวัน
ได้ทราบสาระดีๆ จากอาหารเพื่อสุขภาพอย่างเต้าหู้กันเช่นนี้ อยากรับประทานเต้าหู้กันเลยใช่ไหมค่ะ.
"PrincessFangy"
twitter.com/PrincessFangy
http://www.dailynews.co.th/article/822/201721