happy on April 18, 2013, 05:00:14 PM

THE SAPPHIRES

จัดจำหน่ายโดย                  เอ็ม พิคเจอร์ส

ชื่อภาษาไทย      เดอะแซฟไฟร์ ปั้นดินให้เป็นดาว

ภาพยนตร์แนว      ดราม่า

จากประเทศ      ออสเตรเลีย

กำหนดฉาย      20 มิถุนายน  2556

ณ โรงภาพยนตร์      โรงภาพยนตร์ในเครือเมเจอร์ซีนีเพล็กซ์

ผู้กำกับ                   Wayne Blair  ( เวย์น แบลร์)

อำนวยการสร้าง    Rosemary Blight (โรสแมรี่ ไบลท์)
    Kylie Du Fresne  (ไคลีย์ ดู เฟรสเน)


นักแสดง      Chris O'Dowd  (คริส โอ’ ดาวด์)  รับบทเป็น Dave Lovelace (เดฟ เลิฟเลซ)
จากภาพยนตร์เรื่อง  Monsters vs. Aliens , Bridesmaids , Friends with Kids
         
         Deborah Mailman  (เด็บราห์ เมลแมน) รับบทเป็น Gail (เกล)
จากภาพยนตร์เรื่อง The Secret Life of Us , The Book of Revelation , Lucky Miles

         Jessica Mauboy (เจสสิก้า โมบอย) รับบทเป็น Julie (จูลี่)
ผลงานที่ผ่านมา The Sapphires , The X Factor , Dancing with the Stars , Bran Nue Dae

         Shari Sebbens (ชารี เซ็บเบนส์) รับบทเป็น Kay  (เคย์)
จากภาพยนตร์เรื่อง  The Sapphires ,  Redfern Now , Violet

         Miranda Tapsell มิแรนด้า แท็ปเซล รับบทเป็น  Cynthia (ซินเธีย)
จากภาพยนตร์เรื่อง Vote Yes , Words with Gods , Redfern Now , Mabo







เรื่องย่อ

               THE SAPPHIRES บอกเล่าเรื่องราวของเกล (เด็บราห์ เมลแมน), ซินเธีย (มิแรนด้า แท็ปเซล), จูลี่ (เจสสิก้า โมบอย) และเคย์(ชารี เซ็บเบนส์) ในตอนที่พวกเธอตัดสินใจทำการเสี่ยงที่จะยึดอาชีพร้องเพลงขับกล่อมกองกำลังทหารสหรัฐฯในเวียดนาม ภายใต้การฝึกสอนของเดฟ เลิฟเลซ (คริส โอ’ ดาวด์) นักดนตรีชาวไอริชผู้ชื่นชอบอาร์แอนด์บี สาวๆ ก็ได้เปลี่ยนตัวเองกลายเป็นวงดนตรีโซลสุดฮ็อต ผู้มุ่งมั่นที่จะสร้างชื่อเสียงให้กับตัวเองในดินแดนที่ห่างจากบ้านหลายร้อยไมล์ THE SAPPHIRES ที่ได้รับแรงบันดาลใจจากเรื่องจริง เป็นเรื่องราวที่ยกย่องดนตรี ครอบครัวและการค้นพบตัวเอง....




สารจากผู้กำกับ

               “ตอนที่ผมอ่านบทหนังเรื่องนี้ ผมก็รู้สึกถึงพลังงานและอารมณ์ของมันแทรกซึมเข้าไปในเส้นเลือดของผม เดอะ แซฟไฟร์สเป็นการรวมตัวกันของผู้หญิงผิวสีวัยยี่สิบกว่าๆ สี่คน ผู้ซึ่งในชั่วระยะเวลาหนึ่ง มีโอกาสที่จะก้าวข้ามสถานภาพตามการถือกำเนิดของตัวเอง และปลดปล่อยศักยภาพของตัวเองออกมาอย่างเต็มที่ ซึ่งก็ไม่ใช่เพียงแต่ศักยภาพด้านดนตรีเท่านั้น แต่ยังรวมถึงในฐานะมนุษย์ด้วย ในออสเตรเลีย ปี 1968 การแบ่งแยกทางเชื้อชาติยังคงปรากฏให้เห็นเด่นชัด ชาวอะบอริจิ้นเพิ่งได้รับสิทธิในการลงคะแนนเสียง ย่าของผมเสียชีวิตในปี 1966...ท่านเสียชีวิตในประเทศของตัวเอง ในฐานะคนนอก

               ในหนังของเรา หญิงสาวที่เป็นคนนอกเหล่านี้ มีแรงใจที่เด็ดเดี่ยวไม่แพ้พรสวรรค์ของพวกเธอ และด้วยสายตาเฉียบคมของชายชาวไอริชและด้วยจังหวะของดนตรีโซล พวกเธอก็ถูกผลักดันจากการเป็นวงโนเนมให้ได้ร้องเพลงให้กับทหารในเวียดนาม โอกาสครั้งหนึ่งในชีวิตนี้ทำให้พวกเธอเป็นอิสระชั่วคราว

               ดนตรีโซลเป็นองค์ประกอบสำคัญอย่างหนึ่งในโปรเจ็กต์นี้ ครอบครัวผมโตมากับเสียงของอารีธาและมาร์วิน, สลายและแฟมิลี่ สโตน แต่พลังที่แท้จริงของดนตรีโซลคือคนทุกชนชั้นต่างก็รักมัน มันเป็นสิ่งที่มีเสน่ห์เกินห้ามใจ มันจะติดตรึงในใจคุณและกลายเป็นส่วนหนึ่งของตัวคุณ

               The Sapphires ได้รับแรงบันดาลใจจากเรื่องจริง และมันก็มีคุณสมบัติทุกอย่างของคนธรรมดาที่สามารถทำในสิ่งที่น่าทึ่งได้ในสถานการณ์ที่ไม่ธรรมดา หญิงสาวผิวสี ที่มีพรสวรรค์ เข้มแข็งและเซ็กซีสี่คน ได้ตัดสินใจและพวกเธอก็กล้าที่จะเสี่ยง โอกาสที่คุณย่าของผมไม่เคยได้รับ แต่จากความเด็ดเดี่ยวและความเข้มแข็งของเธอ ตอนนี้...ผมมีโอกาสนั้นแล้ว”
« Last Edit: April 18, 2013, 05:07:20 PM by happy »

happy on April 18, 2013, 05:09:37 PM





เกี่ยวกับงานสร้าง

                ในปี 2005 นักแสดง/ผู้กำกับเวย์น แบลร์ได้นำแสดงในละครออริจินอลเรื่อง “The Sapphires” ซึ่งเป็นเรื่องเกี่ยวกับวงเกิร์ลกรุ๊ปชาวอะบอริจิ้น ที่ร้องเพลงขับกล่อมทหารอเมริกันระหว่างสงครามเวียดนาม เขาไม่รู้เลยว่าเรื่องราวที่น่าอัศจรรย์ใจนี้ ที่ได้รับแรงบันดาลใจจากเหตุการณ์จริง จะมีอิทธิพลที่พิเศษสุดต่อชีวิตของเขาในช่วงเวลาหลายปีต่อจากนั้นอย่างไร
   มือเขียนบท/นักแสดงโทนี บริกส์ได้เขียนเรื่อง “The Sapphires” ขึ้นเพื่อบอกเล่าเรื่องราวชีวิตของครอบครัวเขาเอง ละครเวทีเรื่องนั้นได้รับความนิยมทันที และมีผู้ชมเข้าชมแน่นโรงละครทั่วออสเตรเลีย ตัวบริกส์เองเข้ารับบทของแบลร์เมื่อแบลร์ถูกเชิญไปร่วมงานเทศกาลภาพยนตร์เบอร์ลินพร้อมกับภาพยนตร์ขนาดสั้นเรื่อง THE DJARNS DJARNS ของเขา
   แบลร์กลับจากเบอร์ลิน พร้อมด้วยรางวัลหมีคริสตัลสาขาภาพยนตร์ขนาดสั้นยอดเยี่ยม และไอเดียริเริ่มในการกำกับภาพยนตร์ที่สร้างจากละครเวทีเรื่อง “The Sapphires” บริกส์เองเริ่มนึกถึงการสร้างภาพยนตร์เรื่องนี้อย่างจริงจัง และเขาก็ได้รับการทาบทามจากผู้อำนวยการสร้างหลายรายแล้ว และเขาก็อยากให้แบลร์เป็นผู้กำกับ แบลร์นำไอเดียนี้ไปเสนอไคลีย์ ดู เฟรสเน จากโกลโพสท์ พิคเจอร์ส ผู้อำนวยการสร้าง THE DJARN DJARNS ตัวดู เฟรสเนและโรสแมรี่ ไบลท์ หุ้นส่วนที่โกลโพสท์ของเธอ รู้จัก “The Sapphires” อยู่แล้วจากคีธ ธอมป์สัน มือเขียนบทผู้ร่วมงานกับพวกเธอเป็นประจำ สำหรับไบลท์และดู เฟรสเน ละครเวทีเรื่องนี้ให้ความรู้สึกโดดเด่นและเหมาะที่จะนำมาสร้างเป็นภาพยนตร์ ด้วยอารมณ์ อารมณ์ขัน ดรามาและดนตรีของมัน พวกเธอร่วมงานในภาพยนตร์เรื่องนี้ในฐานะผู้อำนวยการสร้างและบริกส์กับธอมป์สันก็เริ่มต้นงานเขียนบท หลังจากนั้น ไบลท์และเดอ เฟรสเนก็ได้นำหุ้นส่วนในออสเตรเลียและต่างชาติของพวกเธอมาร่วมงานด้วย ซึ่งก็ประกอบไปด้วยฮ็อปสก็อตช์ ในฐานะผู้จัดจำหน่ายในออสเตรเลีย, ทริสแทน วอลลีย์จากโกลโพสท์ ฟิล์ม บริษัทพี่น้องในอังกฤษและไอเอฟเอสในสิงคโปร์
   และแล้วก็ถึงงานหนักหนาสาหัสของการเลือกนักแสดงนำหญิงทั้งสี่และนักแสดงนำฝ่ายชาย ทีมผู้สร้างเริ่มต้นด้วยการออดิชันนักแสดงหญิง 150 คน พวกเขาได้จับคู่นักแสดงคนนั้นคนนี้เข้าด้วยกัน สัปดาห์แล้วสัปดาห์เล่า ฉากแล้วฉากเล่า
   “มันเป็นความท้าทายเพราะสำหรับสาวๆ แล้ว เราต้องการหาคนสี่คนที่มีลักษณะโดดเด่น พวกเธอต้องเป็นชาวอะบอริจิ้นและอย่างน้อยที่สุด คนหนึ่งก็จะต้องเป็นนักร้องที่วิเศษสุดค่ะ” ดู เฟรสเนกล่าว “แล้วเราก็ได้เรียนรู้เกี่ยวกับสมดุลเสียงที่คุณต้องการสำหรับวงดนตรีผู้หญิงสี่คน สมดุลเสียงเป็นสิ่งที่สำคัญพอๆ กับฝีมือการแสดง เราก็เลยต้องมองหาคุณสมบัติเพิ่มเติมจากกระบวนการคัดเลือกนักแสดงตามปกติสองสามประการค่ะ” ผู้อำนวยการสร้างไคลีย์ ดู เฟรสเนกล่าว
   ไบลท์กล่าวต่ออีกว่า “ฉันคิดว่ามันเป็นกระบวนการคัดเลือกนักแสดงที่ยาวนานที่สุดเท่าที่เราเคยทำมาเลยค่ะ! นี่เป็นเรื่องเกี่ยวกับสาวๆ สี่คน แน่นอนว่า เรามีละครเวทีหลายโปรดักชันและการจับคู่สาวๆ หลายแบบให้ได้พิจารณา แต่เวย์น ผู้มีความชำนาญในการคัดเลือกนักแสดง อยากจะเข้มงวดกับกระบวนการนี้และทำให้แน่ใจว่าเขาจะได้วงแซฟไฟร์สที่ใช่จริงๆ เราก็เลยเปิดเว็บไซต์ และเราก็ให้นิกกี้ บาร์เร็ตต์ ผู้กำกับฝ่ายคัดเลือกนักแสดงของเรา ส่งสารออกไปตามชุมชนอะบอริจิ้นทั้งหมดทั่วประเทศ รวมถึงตามโรงเรียนการแสดง เพื่อขอให้สาวๆ โหลดฉากและเพลงทดสอบขึ้นที่เว็บไซต์นี้ แล้วเราค่อยสำรวจดูว่าใครที่โดดเด่นขึ้นมาบ้าง มันน่าตื่นเต้นมากๆ ค่ะ”
   ท้ายที่สุดแล้ว มีนักแสดงจากเวอร์ชั่นละครเวทีคนหนึ่งได้รับบทสำคัญใน THE SAPPHIRES ด้วย เธอคือเด็บราห์ เมลแมน ผู้เคยร่วมแสดงในละครเวทีโปรดักชั่นแรกๆ กับเวย์น แบลร์ เธอรู้สึกตื่นเต้นที่ได้รับบท เกล ผู้น่าเกรงขาม ในเวอร์ชั่นภาพยนตร์ เธออธิบายว่า “ด้วยความที่ฉันเคยเล่นละครเวทีเรื่องนี้มาในปี 2005 ฉันก็รู้ว่าเรื่องราวนี้วิเศษสุดแค่ไหน สำหรับฉันแล้ว THE SAPPHIRES เป็นเรื่องราวของการสร้างอำนาจ โดยเฉพาะสำหรับคนรุ่นหลัง มันทำให้เราเข้าใจว่าการใช้ชีวิตอยู่ในออสเตรเลีย ในปี 1968 สำหรับคนอะบอริจินเป็นอย่างไร การที่มีอคติและการขาดแคลนโอกาสที่เป็นเรื่องปกติในชีวิตประจำวัน การได้เห็นว่าผู้หญิงพวกนี้รับมือกับสถานการณ์เหล่านี้อย่างไร ทั้งด้วยความเข้มแข็งและอารมณ์ขันของพวกเธอ และอดทนเพื่อตอบรับโอกาสและกลายเป็นนักร้อง มันเป็นแรงบันดาลใจจริงๆ ค่ะ การที่ในที่สุดเราก็ได้เห็นเรื่องราวของพวกเธอขึ้นสู่จอเงิน และการที่ฉันได้เป็นส่วนหนึ่งของมัน เป็นเรื่องน่าอัศจรรย์ใจ มันเป็นการเดินทางที่เหลือเชื่อค่ะ”
   เมลแมน ผู้มีชื่อเสียงโด่งดังจากผลงานจอแก้วและจอเงินของเธอ เป็นนักแสดงหญิงชาวอะบอริจิ้นคนแรกที่ได้รับรางวัลที่เทียบเท่ากับรางวัลออสการ์สาขานักแสดงนำหญิงยอดเยี่ยมจากสถาบันภาพยนตร์ออสเตรเลีย ไบลท์กล่าวว่า “เด็บเป็นหนึ่งในนักแสดงที่ยอดเยี่ยมที่สุดของออสเตรเลีย และเธอก็นำหัวใจ ประสบการณ์กว้างขวาง ‘ความติดดิน’ และจิตวิญญาณมาสู่หนังเรื่องนี้ เกลเป็นเหมือนแม่หมีค่ะ เธอเป็นคนที่พาลูกหมีตัวน้อยของเธอเดินทางในเวียดนามและรักษาชีวิตพวกเธอเอาไว้ ในขณะที่เธอก็หมายตาผู้ชายคนหนึ่งเอาไว้ เธอต้องหาวิธีว่าจะดูแลครอบครัวเธอไปพร้อมๆ กับการทำตามใจปรารถนาได้อย่างไร เด็บ เมลแมนได้ถ่ายทอดเรื่องทั้งหมดนั้นออกมาได้ด้วยความสง่าและความงดงามค่ะ”
   ในบางแง่มุม บทจูลี่ เด็กสาวคนเก่งผู้ทะเยอทะยานแห่งวงแซฟไฟร์ส เป็นบทที่คัดเลือกนักแสดงได้ยากที่สุด เจสสิก้า โมบอย       ผู้เริ่มต้นอาชีพนักร้องของเธอตั้งแต่เป็นวัยรุ่นและกลายเป็นดาราเจ้าของเพลงฮิตติดชาร์ทหลังจากเข้าถึงรอบสุดท้ายของรายการ “Australian Idol” เป็นผู้เข้ารับออดิชั่นในช่วงท้ายๆ ดู เฟรสเนเล่าว่า  “เราหานักแสดงสำหรับบทนี้มาได้ซักพักแล้ว และเราก็ตระหนักว่า    จูลี่เป็นตัวละครที่จะต้องมีเสียงที่พิเศษสุด เพราะเราไม่อยากจะหาเสียงมาแทนเธอ ในที่สุด ในตอนที่เรากำลังจะตัดสินใจบางอย่างลงไป เจสสิก้าก็เข้ามาและตกลงที่จะออดิชันกับเรา เธอเป็นคนดังในแวดวงดนตรีและเราก็รู้ว่าเธอเป็นนักร้องที่น่าทึ่ง เจสสิก้าเคยแสดงหนังเรื่อง BRAN NUE DAE มาก่อน และตอนที่เธอออดิชัน เวย์นก็เห็นอะไรบางอย่างที่น่าตื่นเต้นเกี่ยวกับเธอ มันเปล่งประกายจริงๆ และเจสก็เกิดมาเพื่อร้องเพลงโซลค่ะ!”
   ทีมงานได้เจอกับการค้นพบที่น่าตื่นเต้นอีกสองครั้งสำหรับชารี เซ็บเบนส์และมิแรนด้า แท็ปเซล สำหรับบทเคย์และซินเธีย ทั้งคู่มาจากเมืองดาร์วินและสำเร็จการศึกษาจากสถาบันเวสเทิร์น ออสเตรเลียน อคาเดมี ออฟ เดอะ เพอร์ฟอร์มิง อาร์ตส์และเนชั่นแนล อินสติติวท์ ออฟ ดรามาติค อาร์ตส์ และทั้งคู่ก็รู้จักกันดี เซ็บเบนส์และแท็ปเซลได้ออดิชั่นสำหรับบทของตัวเองหลายครั้ง ทั้งด้วยกันและแยกกัน
   ดู เฟรสเนกล่าวว่า “หลังจากนั้น ชารีและมิแรนด้าบอกเราว่า ด้วยความที่พวกเธอโตมาด้วยกัน พวกเธอก็เลยเข้าออดิชั่นด้วยการสนับสนุนกันและกัน แม้ว่ามันจะมีบางครั้งที่พวกเธอกลัวเกินกว่าจะบอกอีกฝ่ายว่าพวกเธอได้เข้ารอบต่อไปแล้ว แต่พวกเธอก็ยังเดินหน้าฝึกและอ่านบทด้วยกัน ก่อนที่พวกเธอจะเข้ามาหาเราในห้องทดสอบ การเดินทางของพวกเธอจริงๆ แล้วก็เลยอยู่เบื้องหลังฉากตั้งแต่เริ่มต้นและอยู่หน้ากล้องด้วยค่ะ”
   แบลร์รายงานว่าหลังจากการออดิชั่นหลายครั้ง การฝึกซ้อมการแสดงที่เข้มข้นและการซ้อมเต้นกับสตีเฟน เพจ ผู้ออกแบบท่าเต้นชื่อดังจากบังการ์รา แดนซ์ เธียเตอร์ สายสัมพันธ์ระหว่างนักแสดงนำทั้งสี่ก็แน่นแฟ้นอย่างมาก “มันเป็นสิ่งที่เราไม่ได้กำหนดเอาไว้ พวกเธอเลือกที่จะขลุกอยู่ด้วยกันสี่คนและสานสายสัมพันธ์จริงๆ ขึ้นมาครับ” ผู้กำกับให้ความเห็น “ผมคิดว่าพวกเธอรู้ว่าพวกเธอจะต้องทำความรู้จักกันให้ดีพอที่จะรับบทเป็นพี่น้องกันได้ พวกเธอก็แค่อยากจะใช้เวลาด้วยกัน และการได้รับความเอื้อเฟื้อจากสตีเฟน เพจก็เป็นตัวกระตุ้นให้เกิดสิ่งดีๆ ตามมาครับ มีผม มีโค้ชละครของเรา ราเชล คูปส์ มีคีธ ธอมป์สัน มีโรสและไคลีย์ และอีโก้ทั้งหมดก็ถูกกองทิ้งไว้ที่ประตู เราต่างก็ฝึกร่างกายอย่างหนักหน่วงด้วยกัน เราร้องเพลงด้วยกัน เรากินด้วยกันและเราก็ซ้อมฉากต่างๆ ด้วยกัน วอร์วิค ธอร์ตัน        ผู้กำกับภาพของเรา ได้เดินทางมาซิดนีย์ก่อนหน้าที่เราจะเริ่มต้นสองสามเดือน ดังนั้น ก่อนหน้าที่เราจะเริ่มต้นถ่ายทำซักฉากหนึ่ง ทุกคนก็รู้จักกันดีอยู่แล้วและเราก็ไว้วางใจกันมากครับ”
   บทสำคัญที่ยังขาดนักแสดงอยู่คือเดฟ ผู้จัดการชาวไอริชของวงแซฟไฟร์ส ที่รับบทโดยคริส โอ’ ดาวด์ ดาราดาวรุ่งที่มีชื่อเสียงโด่งดังระดับโลก แบลร์เป็นแฟนผลงานของเขาในซีรีส์คอเมดีอังกฤษเรื่อง “The IT Crowd” และระหว่างเดินทางไปคัดเลือกนักแสดงที่แอลเอ เขาก็ได้ดูคอเมดียอดนิยมเรื่อง BRIDESMAIDS แบลร์รู้สึกว่าโอ’ ดาวด์มีคุณสมบัติครบถ้วนสำหรับบทเดฟ และได้ติดต่อไบลท์และดู เฟรสเน ผู้เห็นพ้องด้วยในทันที
   โอ’ ดาวด์ได้ทำงานอย่างใกล้ชิดกับแบลร์และทีมเขียนบทในการขัดเกลาตัวละครของเขา โอ’ดาวด์เล่าว่า “ผมไม่เคยอ่านอะไรอย่างบทหนังเรื่องนี้มาก่อน มันครอบคลุมเรื่องต่างๆ ที่ผมไม่คุ้นเคย แต่ผมก็สนใจ และมันก็เป็นแนวดนตรีที่ผมรักด้วย ผมคิดว่าเป็นเรื่องน่าสนใจที่จะได้รับบทตัวละครแบบนั้น ผมไม่เคยรับบทตัวละครที่สามารถทำอะไรได้มาก่อนเลย!”
   ระหว่างที่ถ่ายทำภาพยนตร์โดยจั๊ดด์ อพาโทว์เรื่อง THIS IS 40 ไปด้วย เขาก็กระตือรือร้นกับการตอบรับไอเดียของการเดินทางมาที่ออสเตรเลียและเวียดนามเพื่อถ่ายทำภาพยนตร์เรื่องนี้ “ในแง่ของสิ่งที่ผมรู้เกี่ยวกับออสเตรเลีย พี่ชายผมเคยเดินทางไปทั่วเลย และตอนผมยังเด็ก เขาก็เล่าเรื่องดีๆ ให้ผมฟังมากมาย ผมก็เลยรู้ตัวว่าผมอยากจะมาเห็นด้วยตัวเองว่ามันเป็นยังไงน่ะครับ” เขากล่าว “ผมรู้เรื่องสงครามเวียดนามนิดๆ หน่อยๆ ผมเรียนจบรัฐศาสตร์มา ผมก็เลยคิดว่าโลกใบนั้นเป็นอะไรที่น่าสนใจที่จะไปเยือนและไปดูชม ผมไม่เคยแสดงหนังเกี่ยวกับสงครามมาก่อนด้วย เพราะผมดูน่าชันมากเวลาสวมชุดเครื่องแบบ นี่ก็เลยเป็นโอกาสดีเยี่ยมครับ”
   โอ’ ดาวด์ไม่รู้จักแบ็คกราวน์ของเวย์น แบลร์มาก่อน แต่เขาก็ทำการค้นคว้าข้อมูลและตระหนักว่าพวกเขาเคยร่วมงานกับใครบางคนเหมือนกัน และหนึ่งในนั้นคือฟิลิป เซย์มัวร์ ฮอฟแมน ผู้กล่าวยกย่องแบลร์ โอ’ดาวด์เล่าว่า “ผมคุยกับเวย์นหลายครั้งทางโทรศัพท์และทุกอย่างก็เกิดขึ้นเร็วมาก เขาพร้อมรับทุกอย่าง มีไอเดียเยี่ยมๆ ผมชื่นชมเขาจริงๆ”
   ผู้กำกับภาพวอร์วิค ธอร์นตันเป็นทั้งผู้กำกับภาพและผู้กำกับ ในฐานะผู้กำกับ เขาได้รับรางวัลคาเมรา ดิ ออร์จากงานเทศกาลภาพยนตร์เมืองคานส์ปี 2009 จากภาพยนตร์เรื่อง SAMSON & DELILAH แบลร์ไปเยี่ยมธอร์นตันที่บ้านของเขาในเมืองทะเลทราย อลิซ สปริงส์ ในตอนที่บทสนทนาเปลี่ยนไปเป็นเรื่อง THE SAPPHIRES “เราคุยกันถึงเรื่องนักแสดงหญิงและการกำกับภาพ” แบลร์เล่า “ผมคิดกับตัวเองว่า ผมน่าจะขอให้วอร์วิคมาทำงานใน THE SAPPHIRES แต่ผมก็ไม่ได้เอ่ยปากถามไปในวันนั้น แล้วความคิดนี้ก็กลับมาหาผมอีกในอีกประมาณหนึ่งสัปดาห์ให้หลัง ผมอ่านบทอีกสองสามครั้งและพูดชื่อวอร์วิคให้โรสมีและไคลีย์ฟัง และมันก็เหมือนหลอดไฟสว่างวาบขื้นมาในความคิดของพวกเธอเลยครับ” แบลร์กล่าว
   เขากล่าวต่อไปว่า “วอร์วิคอยู่ในวงการนี้มานานกว่าผมเสียอีก เขามีประสบการณ์สูงมาก เขาเริ่มต้นสร้างสารคดีที่คามา (เซ็นทรัล ออสเตรเลียน อะบอริจินัล มีเดีย แอสโซซิเอชัน) ในตอนที่เขาอายุ 15 หรือ 16 ผมก็เลยไม่แน่ใจว่าเขาจะมีปฏิกิริยายังไงกับการถูกขอให้เป็นผู้ถ่ายทำ THE SAPPHIRES แต่เขาตื่นเต้นจริงๆ ตอนที่ผู้อำนวยการสร้างโทรหาเขา แล้วช่วงสุดสัปดาห์ ผมก็ได้ไปอลิซ สปริงส์ และเราก็เหมือนเด็กสองคนในร้านขนมเลยครับ หนังเรื่องนี้คงจะไม่เป็นอย่างที่มันเป็นอยู่ทุกวันนี้ ถ้าไม่มีมิตรภาพของเราและความเป็นมืออาชีพที่เขาใส่เข้ามา ตารางการทำงานมันกระชับมากๆ เราต้องถ่ายทำเพลง 14 เพลง และนอกเหนือจากเด็บ เมลแมนแล้ว เราก็มีนักแสดงนำหญิงสามคนที่แทบไม่มีประสบการณ์เลย เรามีโลเกชันมากม ทั้งในเขตเมืองและเขตชนบทของออสเตรเลีย บวกกับเวียดนามด้วย เรามีทั้งเฮลิคอปเตอร์และปืน ทั้งหมดเกิดขึ้นในปี 1968 ดังนั้น มันก็เป็นหนังพีเรียดด้วยครับ”
   เมื่อถึงเวลาที่การถ่ายทำเริ่มต้นขึ้น เวลาก็ผ่านไปหลายปีแล้วนับตั้งแต่เรื่องราวของนักร้องอะบอริจิ้นสี่คนได้ตราตรึงในใจของผู้ชมละครเวทีออสเตรเลีย แต่ผู้กำกับก็ไม่เคยคิดที่จะปล่อยวางจากโปรเจ็กต์นี้ แบลร์กล่าวว่า “หนังเรื่องนี้ใช้เวลาสร้างสองสามปีและเราต่างก็มีงานอย่างอื่นไปพร้อมๆ กัน แต่ THE SAPPHIRES ก็ยังเป็นโปรเจ็กต์สำคัญสำหรับเราเสมอครับ”
   หัวหน้าแผนกใน THE SAPPHIRES ประกอบด้วยผู้ที่มีประสบการณ์สูงสุดในแวดวงภาพยนตร์ออสเตรเลีย ได้แก่ผู้ออกแบบงานสร้างเมลินดา ดอริ่ง, ผู้ออกแบบเครื่องแต่งกาย เทส โชฟิลด์, หัวหน้าแผนกทรงผมและเมคอัพ นิกกี้ กูลีย์, มือลำดับภาพ เดนี คูเปอร์และผู้บันทึกเสียง เบน ออสโม
   “ผู้ออกแบบงานสร้างเป็นคนที่สำคัญและเป็นกุญแจความสำเร็จของหนังอย่างแท้จริง เราที่อยู่ในออสเตรเลียโชคดีที่มีกลุ่ม          ดีไซเนอร์มากความสามารถมากมายให้ได้เลือกสรร เราก็เลยได้พบคนมากมาย แต่เมลินดามีสายตาจับจ้องรายละเอียดที่ไม่เหมือนคนอื่น ในการพูดคุยกันของเรา เธอรู้ดีว่าตัวละครทุกตัวจะต้องทำอะไร พวกเขาจะสวมเสื้อผ้าอะไร พวกเขาจะอยู่ในห้องไหน เก้าอี้หน้าตาเป็นยังไง พวกเขาจะมีนิตยสารยังไง เธอค้นคว้ามาอย่างไร้ที่ติเลยค่ะ” ไบลท์เล่า
   พอแบลร์, ธอร์นตันและดอริงมารวมตัวกันแล้ว หนึ่งในจุดเริ่มต้นของพวกเขาสำหรับลุคของภาพยนตร์เรื่องนี้คือสถานอนุรักษ์บนแม่น้ำเมอร์เรย์ ที่ซึ่งสาวๆ โตขึ้นมา ดู เฟรสเนให้ความเห็นว่า “พวกเขาต้องการหนังที่งดงาม โลกที่เชื้อเชิญและเป็นที่ที่คุณอยากจะใช้ชีวิตอยู่ นั่นไม่ใช่ภาพของสถานอนุรักษ์ชาวอะบอริจินที่ปรากฏในหนังเสมอไป เวย์นพูดถึงการใช้ THE COLOR PURPLE เป็นต้นแบบบ่อยๆ ว่ามันมีความงามอยู่ในทุกแห่ง ไม่ว่าที่ไหนก็ตาม”
   ฉากของดอริ่งรวมถึงฐานทัพทหารอเมริกันและโรงพยาบาล ที่สร้างขึ้นชานเมืองทางตะวันตกของซิดนีย์ ซิดนี่ย์ถูกใช้แทนเวียดนามสำหรับบางฉาก และดอริ่งก็เปลี่ยนไนท์คลับในคิงส์ ครอส, ซิดนีย์ในปัจจุบัน ให้เป็นไนท์คลับในเมืองไซง่อนปี 1968 ส่วนฉากอื่นๆ ถูกถ่ายทำในโลเกชันที่เมืองโฮจิมินห์ ซิตี้ ซึ่งอดีตก็คือเมืองไซง่อนนั่นเอง ทีมงานและนักแสดงพักกันอยู่ที่โรงแรมเร็กซ์ ที่โด่งดัง
   ผู้ออกแบบเครื่องแต่งกาย เทส โชฟิลด์ เป็นที่รู้จักจากผลงานของเธอในโอเปร่า ละครเวทีและภาพยนตร์ ไบลท์กล่าวว่า “เราตกหลุมรักเทส โชฟิลด์ค่ะ เธอพิเศษสุด สุดโต่ง เป็นอัจฉริยะที่วิเศษสุด เธอทำงานหนักขึ้นๆ เรื่อยๆ และเธอก็พยายามทำให้หนังเรื่องนี้ดีขึ้นเสมอๆ ยกตัวอย่างเช่น เธอสร้างลุคทั้งหมดสำหรับเพลงๆ หนึ่ง แต่พอเราทดสอบหน้ากล้อง เธอมองเราแล้วบอกว่า ‘มันไม่เวิร์ค’ แล้วเธอก็สร้างมันใหม่ทั้งหมด เธอมีวิธีการมองสิ่งต่างๆ อย่างอิสระเสรีเหลือเกินค่ะ”
   ผู้ออกแบบท่าเต้นสำหรับภาพยนตร์เรื่องนี้คือสตีเฟน เพจ ผู้อำนวยการศิลป์ของบังการ์รา คณะนักเต้นท้องถิ่นที่โด่งดังของออสเตรเลีย ผู้อำนวยการฝ่ายบันทึกเสียง ไบรอัน โจนส์ สมาชิกผู้ก่อตั้งของเดอะ ร็อคเมลอนส์ ตำนานแห่งวงการดนตรีออสเตรเลีย ถูกนำมาร่วมงานด้วยตั้งแต่ช่วงเริ่มแรกเพื่อทำงานกับแบลร์และผู้อำนวยการสร้างในเรื่องของการเลือกเพลง โจนส์กลายเป็นผู้อำนวยการสร้างฝ่ายดนตรีของเรื่อง และได้ร่วมงานกับนักแสดงนำฝ่ายหญิงทั้งสี่ในสตูดิโอ เพื่อบันทึกเสียงเพลงโซลคลาสสิกยุค 60s ที่คลอไปกับ THE SAPPHIRES เพลงเหล่านี้รวมถึงเพลงที่ได้รับความนิยมสูงสุดในยุคนั้น อย่าง “I Heard It Through the Grapevine,” “I Can’t Help Myself/Sugar Pie Honey Bunch,” “What a Man” และ “Land of a Thousand Dances” ด้วย
   “สิ่งที่ยอดเยี่ยมเกี่ยวกับยุคนี้คือคุณไม่ได้งมเข็มในมหาสมุทร แต่คุณมองหาเพลงที่ดีที่สุดในกองทองครับ” โจนส์บอก “ยุคทองของเพลงโซลในปี 60s เต็มไปด้วยเพลงเยี่ยมๆ และนักร้องเยี่ยมๆ อย่างเหลือเชื่อ มันเป็นซาวน์แทร็คอมตะสำหรับช่วงเวลาที่สับสนวุ่นวายในประวัติศาสตร์ ที่ปรับเปลี่ยนมุมมองในแง่ของดนตรียอดนิยมและมุมมองที่สังคมมีต่อตัวเองเสียใหม่ ในตอนที่คุณบันทึกเสียงเพลงพวกนี้ คุณจะตระหนักได้ว่า พวกมันดีที่สุดแล้วน่ะครับ”
   ไบลท์พูดถึงทีมงานสร้างสรรค์ที่มารวมตัวกันเพื่อ   THE SAPPHIRES ว่า “เรามีเอทีมค่ะ ง่ายๆ แค่นั้นเลย พวกเขาร่วมกันนำประสบการณ์รุ่มรวย ที่ไม่มีหนังออสเตรเลียสมัยใหม่เรื่องไหนเทียบได้ พวกเขาเป็นทีมงานวิเศษสุดที่คอยสนับสนุนเวย์นในผลงานการกำกับหนังเรื่องแรกของเขาน่ะค่ะ”
   เธอกล่าวต่อไปว่า “มันเป็นเรื่องท้าทายอย่างเหลือเชื่อสำหรับเราทุกคน เพราะเรากำลังจำลองสงครามเวียดนามขึ้นมาในย่านชานเมืองซิดนี่ย์ และพวกเราก็ไม่มีใครสนใจเรื่องของการประนีประนอมค่ะ” การไขว่คว้าความสมจริงถูกท้าทายเพิ่มเติมด้วการต้องจำลองแง่มุมอเมริกันในสงครามเวียดนาม ที่มาพร้อมกับยานพาหนะ เฮลิคอปเตอร์ เครื่องแบบทหาร อาวุธของฝั่งอเมริกัน วงแซฟไฟร์สถูกพาตัวมาเวียดนามเพื่อร้องเพลงปลุกใจทหารอเมริกัน ไม่ใช่ทหารออสเตรเลีย
   ตัวประกอบท้องถิ่นหลายสิบคนทั้งในและรอบๆ เมืองอัลเบรีในนิวเซาธ์เวลส์รู้สึกตื่นเต้นที่ได้รับบทผู้คนที่อาศัยอยู่ในสถานอนุรักษ์อะบอริจิ้น ในขณะที่ผู้คนหลากชาติพันธุ์ในซิดนี่ย์ ที่รวมถึงชุมชนซูดานในแถบชานเมืองด้านตะวันตกของเมือง ได้รับการว่าจ้างให้รับบททหารแอฟริกัน/อเมริกันหลายร้อยคน วันที่วงแซฟไฟร์สแสดงต่อหน้ากองทัพเป็นอะไรที่เหนื่อยแสนสาหัส แต่ก็เกิดบรรยากาศแบบงานเฉลิมฉลองขึ้นมาและบรรดาตัวประกอบต่างก็ชื่นชมกับการขับร้องเพลงโซลที่เป็นที่รักที่สุดของคนทั่วโลกหลายเพลงด้วยกัน
   “มันมีการเต้นรำอย่างสุดเหวี่ยงค่ะ” ไบลท์กล่าวกลั้วหัวเราะ “เป็นบรรรยากาศที่วิเศษสุดจริงๆ”
   หลังจากใช้เวลาหลายสัปดาห์ในออสเตรเลีย บนฝั่งแม่น้ำเมอร์เรย์และในซิดนี่ย์ ทีมงานหลักๆ และนักแสดงก็เคลื่อนตัวไปยัง       โฮจิมินห์ ซิตี้ ที่ซึ่งในเมืองที่มีประชากร 8 ล้านคน พวกเขาสามารถปิดการจราจรระหว่างถ่ายทำบนสะพานใจกลางเมืองได้
   “การถ่ายทำในโฮจิมินห์ ซิตี้เป็นประสบการณ์ครั้งหนึ่งในชีวิตค่ะ” ดู เฟรสเนกล่าว “มันเป็นสถานที่ที่สุดเหวี่ยงทีเดียวในการสร้างหนังซักเรื่อง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง สำหรับหนังพีเรียด ตอนที่เรามาถึง เราพบว่าเราเป็นหนังต่างประเทศเรื่องแรกที่ได้รับอนุญาตให้ถ่ายทำในนั้นในรอบ 10 ปีและอาจจะเป็นหนังต่างประเทศเกี่ยวกับสงครามเรื่องแรกที่ได้รับอนุญาตให้ถ่ายทำที่นั่น มันก็เลยเป็นเรื่องสำคัญทีเดียวที่เราไปที่นั่นและมันก็เป็นเรื่องน่าตื่นเต้นสุดๆ สำหรับเราทุกคนค่ะ”
   ไบลท์กล่าวสรุปว่า “THE SAPPHIRES เป็นหนังที่ต้องใช้ความอุตสาหะอย่างหนักในทุกระดับ และเวย์น แบลร์ก็รับมือกับมันได้อย่างเหลือเชื่อ ตอนนี้ เราตั้งตารอที่จะได้นำเสนอมันกับทั่วโลกและก็หวังว่าผู้ชมจะรักมันมากพอๆ กับเรา และก็หวังว่าพวกเขาจะตกหลุมรักสาวสวยพวกนี้และหนุ่มไอริชสุดเพี้ยนคนนี้นะคะ”

happy on April 18, 2013, 05:23:49 PM





แซฟไฟร์สตัวจริง

               THE SAPPHIRES ได้รับแรงบันดาลใจจากเรื่องจริง เกี่ยวกับผู้หญิงอะบอริจิ้นที่พิเศษสุดสี่คน พวกเธอคือสองพี่น้องลอเรล โรบินสัน, โลอิส พีลเลอร์และลูกพี่ลูกน้องเบเวอร์ลี่ย์ บริกส์และนาโอมิ เมเยอร์ส

               หญิงสาวจากยอร์ตา ยอร์ตา เกิดบริเวณริมฝั่งแม่น้ำเมอร์เรย์ พวกเขาเป็นส่วนหนึ่งของครอบครัวขยายที่ประกอบไปด้วยพี่น้อง ที่ร้องเพลงด้วยกันเป็นประจำระหว่างยุค 60s และ 70s สองพี่น้องลอเรลและโลอิสได้ตระเวนร้องเพลงปลุกใจทหารอเมริกันในช่วงปลายยุค 60s ซึ่งนับว่าเป็นความสำเร็จที่พิเศษสุดสำหรับหญิงสาวชาวอะบอริจิ้นสองคน หากพิจารณาจากการที่ชาวอะบอริจิ้นเพิ่งได้รับสิทธิในการโหวต

               ผู้หญิงทั้งสี่คนยังคงมีชีวิตอยู่ในออสเตรเลีย นาโอมิ เมเยอร์ส เป็น CEO ของอะบอริจินัล เมดิคัล เซอร์วิสมานาน 30 ปี แล้วเบเวอร์ลี่ย์และลอเรลก็ทำงานเคียงข้างเธออย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อยด้วยความต้องการที่จะพัฒนาสุขภาพของชาวอะบอริจิ้น นาโอมิได้รับเหรียญตราออเดอร์ ออฟ ออสเตรเลีย มีดัลในปี 1984

               โลอิส พีลเลอร์กลายเป็นนางแบบชาวอะบอริจิ้นคนแรกของออสเตรเลีย และปัจจุบัน เธอดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการบริหาร อราวา อะบอริจินัล คอลเลจ สถาบันการศึกษาระดับมัธยมสำหรับเด็กสาวชาวอะบอริจิน ที่ก่อตั้งโดย ฮิลลัส มาริส หนึ่งในพี่น้องเจ็ดคนของเธอ นอกจากนี้ โลอิสยังเป็นอดีตหัวหน้าการท่องเที่ยวอะบอริจิ้นแห่งออสเตรเลียอีกด้วย

ประวัตินักแสดง

Deborah Mailman เด็บราห์ เมลแมน รับบท Gail (เกล)

                นักแสดงหญิงอะบอริจิ้นคนแรกที่ได้รับรางวัลนักแสดงนำหญิงยอดเยี่ยมจากเอเอฟไอ เธอได้รับรางวัลในปี 1998 จากการแสดงของเธอในภาพยนตร์เรื่อง Radiance นับตั้งแต่นั้น เธอก็ได้รับรางวัลเอเอฟไออีกสองครั้ง ในสาขานักแสดงสมทบหญิงยอดเยี่ยมจาก Bran Nue Dae (2009) และสาขานักแสดงรับเชิญหรือนักแสดงสมทบหญิงยอดเยี่ยมในซีรี่ส์โทรทัศน์จาก Offspring (2011) และเธอก็ได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลจากผลงานที่เป็นที่ชื่นชอบของเธอในซีรี่ส์ The Secret Life of Us ซึ่งเป็นบทบาทที่ทำให้เธอได้รับรางวัลโลกีส์สาขานักแสดงนำหญิงยอดเยี่ยมในซีรีส์โทรทัศน์สองครั้ง (ปี 2002 และ 2004)
           เด็บได้ร่วมแสดงในภาพยนตร์โดยฟิลิป นอยซ์เรื่อง Rabbit-Proof Fence เป็นส่วนหนึ่งของดิ แอ็กเตอร์ส คัมปะนีสำหรับเดอะ ซิดนีย์ เธียเตอร์ คัมปะนี (2006-2007) และยังได้ร่วมแสดงใน The Alice, Rush, The Book of Revelation และ Monkey’s Mask นอกจากนี้ เธอยังเป็นมือเขียนบทและผู้กำกับที่มีพรสวรรค์อีกด้วย โดยเธอได้รับรางวัลไอเอฟ อวอร์ดสาขาภาพยนตร์ขนาดสั้นยอดเยี่ยมจาก Ralph ที่อำนวยการสร้างโดยเจซซี แม็กนัมจากโกลโพสต์ พิคเจอร์ส  นอกจากนี้ เด็บยังได้แสดงในละครเวทีเรื่อง The Sapphires อีกด้วย


Jessica Mauboy (เจสสิก้า โมบอยฉ รับบท Julie (จูลี่)

                เจสสิก้า โมบอย ปรากฏตัวในแวดวงดนตรีออสเตรเลียเมื่อเธอได้รับรางวัลรองชนะเลิศในการประกวดออสเตรเลีย ไอดอลปี 2006 หลังจากนั้น เธอก็ได้เซ็นสัญญาทำเพลงกับโซนี่ มิวสิค ออสเตรเลีย อัลบัมไลฟ์เดบิวของเธอ The Journey ได้เปิดตัวที่อันดับสี่ในชาร์ตอัลบัมของอาเรีย และทำยอดขายได้ระดับโกลด์โดยออสเตรเลียน เรคคอร์ดดิงส์ อินดัสทรี แอสโซซิเอชันส์ (อาเรีย) Been Waiting อัลบัมเดบิวในสตูดิโอของเธอ ได้รวมถึงซิงเกิลอันดับหนึ่งตัวแรกของเธอในชื่อ “Burn” รวมถึงเพลงที่ติดอันดับท็อปเท็นอื่นๆ เช่น "Because" และ "Running Back" Been Waiting ทำยอดขายได้ถึงระดับดับเบิล แพลตินัมและกลายเป็นอัลบัมออสเตรเลียนที่ขายดีเป็นอันดับสองในปี 2009 อัลบัมนี้ทำให้เจสสิก้าได้รับการเสนอชื่อชิงเจ็ดรางวัลอาเรีย มิวสิค อวอร์ด และคว้ารางวัลมาได้ในสาขา “ซิงเกิลขายดีที่สุด” สำหรับ “Running Back”
           การแสดงครั้งแรกของเจสสิก้าคือภาพยนตร์ที่ดัดแปลงจากมิวสิคัลอะบอริจิ้นเรื่อง Bran Nue Dae ซึ่งกลายเป็นหนึ่งในภาพยนตร์ออสเตรเลียที่ทำรายได้สูงสุดในรอบหลายปีทีผ่านมา นับตั้งแต่นั้นมา เธอก็ได้ปล่อยอัลบั้มสตูดิโอชุดที่สอง Get 'em Girls ซึ่งเปิดตัวที่อันดับหกในชาร์ตอัลบัมอาเรีย และทำยอดขายได้ถึงระดับโกลด์โดยได้รับการรับรองจากออสเตรเลียน เรคคอร์ดดิงส์ อินดัสทรีส์ แอสโซซิเอชัน (อาเรีย) อัลบัมชุดนี้มีเพลงฮิตติดอันดับท็อปเท็น “Saturday Night” ที่เธอได้ร่วมงานกับลูดาคริส แร็ปเปอร์ชาวอเมริกันด้วย


Shari Sebbens (ชารี เซ็บเบนส์) รับบท Kay    (เคย์)

                ชารีเป็นหญิงสาวผู้ภาคภูมิใจชาวบาร์ดี้, จาเบียร์-จาเบียร์ ที่เกิดและเติบโตในดาร์วิน เมื่ออายุ 19 ปี เธอเป็นหนึ่งในสิบศิลปินเยาวชน ที่ได้รับเลือกสำหรับ “SPARK” ซึ่งเป็นหลักสูตรการสอนละครครั้งแรกของสภาศิลปะออสเตรเลีย หลังจาก 20 ปีที่เธอต้องการจะหนีจากเขตภาคเหนือที่ชื้นแฉะไปสู่สิ่งที่ดีกว่าและยิ่งใหญ่กว่า เธอก็ได้รับการตอบรับให้เข้าศึกษาที่ วาปา ที่ซึ่งเธอได้รับประกาศนียบัตร 3 คอร์ส หนึ่งปี ในสาขาการละครอะบอริจิน ในปลายปีนั้น เธอได้ออดิชั่นและได้รับการตอบรับให้เข้าศึกษาที่นิดา ชารีมีความรักในละครท้องถิ่นและการฝึกฝนและโอกาสที่เธอได้รับจากนิดาและการได้สัมผัสแวดวงศิลปะของซิดนี่ย์ทำให้เธอได้พัฒนา (เพิ่มเติม) ความรักที่เธอมีต่อเชคสเปียร์ รวมถึงภาพยนตร์และละครโทรทัศน์ด้วย The Sapphires เป็นการแสดงภาพยนตร์เรื่องแรกของเธอ

Miranda Tapsell  (มิแรนดา แท็ปเซล) รับบท Cynthia  (ซินเธีย)

                มิแรนด้า แท็ปเซล เกิดในเมืองดาร์วิน เธอมีเชื้อสายชาวอะบอริจิ้น และมาจากเผ่าลาร์ราเกีย มิแรนด้าโตขึ้นมาในเขตอุทยานแห่งชาติคาคาดู เธอเริ่มต้นแสดงตั้งแต่อายุเจ็ดขวบเมื่อเธอได้เข้าร่วมคณะเต้นแท็ป พออายุได้ 13 ปี พ่อแม่เธอก็สมัครให้เธอได้เข้าเรียนคอร์สฤดูร้อนระยะสั้นครั้งแรกในหลายๆ ครั้งที่นิดาในซิดนี่ย์ มิแรนดาสำเร็จการศึกษาระดับไฮสคูลในดาร์วิน ในเอกการละคร นอกจากนี้ เธอยังได้แสดงร่วมกับคณะละครเยาวชนในท้องถิ่น คอร์รูเกทเท็ด ไอรอน ยูธ อาร์ตส์ และในปี 2004 เธอก็ได้รับทุนการศึกษาเบล เชคสเปียร์ รีเจียนแนล เพอร์ฟอร์แมนซ์กับคณะเบล เชคสเปียร์ ด้วยวัยเพียงแค่ 16 ปี มิแรนดาสำเร็จการศึกษาจากนิดาในปี 2008 และได้แสดงในละครหลายเรื่อง ซึ่งรวมถึงการได้แสดงนำในละครเรื่อง Yibiyung โปรดักชันของคัมปะนี บี เบลวัวร์ สตรีทและมอลท์เฮาส์ เธียเตอร์ ที่กำกับโดยเวสลี่ย์ อีนอช

Chris O'Dowd (คริส โอ’ ดาวด์) รับบท Dave Lovelace  (เดฟ เลิฟเลซ)

                คริสเป็นที่รู้จักดีจากการแสดงนำใน BRIDESMAID ประกบคริสติน วิกและมายา รูดอล์ฟ การแสดงของเขาในเรื่องนั้นทำให้เขาได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลบาฟต้า สาขา “นักแสดงดาวรุ่งยอดเยี่ยม” รางวัลแซ็ก อวอร์ดสาขา “ทีมนักแสดงยอดเยี่ยมในภาพยนตร์” และได้รับรางวัลไอริช ฟิล์ม แอนด์ เทเลวิชัน อวอร์ดสาขา “นักแสดงสมทบชายยอดเยี่ยม-ภาพยนตร์” BRIDESMAIDS ที่กำกับโดยพอล ฟิกและอำนวยการสร้างโดยจั๊ดด์ อพาโทว์ ได้รับการเสนอชื่อชิงสองรางวัลออสการ์ ได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลลูกโลกทองคำสาขา “ภาพยนตร์ยอดเยี่ยม – คอเมดีหรือมิวสิคัล” และได้รับการยกย่องจากเอเอฟไอให้เป็น “ภาพยนตร์แห่งปี” นอกจากนั้น ภาพยนตร์เรื่องนี้ยังได้รับรางวัลคริติกส์ ชอยส์ มูฟวี อวอร์ด สาขา “ภาพยนตร์คอเมดียอดเยี่ยม” รางวัลพีเพิลส์ ชอยส์ อวอร์ดสาขา “ภาพยนตร์คอเมดียอดนิยม” และได้รับการยกย่องจากสมาคมนักวิจารณ์มากมายทั่วประเทศในสาขา “ทีมนักแสดงยอดเยี่ยม” นอกจากนี้ BRIDESMAIDS ยังประสบความสำเร็จในบ็อกซ์ออฟฟิศด้วยการทำรายได้เกือบ 300 ล้านเหรียญทั่วโลก

ประวัติทีมผู้สร้าง

Wayne Blair (เวย์น แบลร์) ผู้กำกับ

                เวย์น แบลร์ เป็นนักแสดง มือเขียนบท และผู้กำกับ เขาได้กำกับภาพยนตร์ขนาดสั้นหลายเรื่อง ซึ่งรวมถึง The Djarns Djarns ที่ได้รับรางวัลหมีคริสตัลจากงานเทศกาลภาพยนตร์เบอร์ลินและ  Black Talk ที่ได้รับรางวัลเทศกาลภาพยนตร์ซิดนีย์เดนดี้ อวอร์ดสาขาภาพยนตร์ขนาดสั้นยอดเยี่ยม

                สำหรับการแสดงครั้งแรกในซีซั่นที่เปิดตัว เคท บลังเช็ตต์และแอนดรูว์ อัปตัน ผู้อำนวยการศิลป์ของคณะละครซิดนีย์ เธียเตอร์ คัมปะนีได้เลือกเวย์นให้กำกับละครเวทีเรื่อง The Removalists ผลงานการกำกับละครเวทีเรื่องอื่นๆ ของเขาได้แก่ Romeo and Juliet สำหรับซิดนีย์ เธียเตอร์ คัมปะนี (เอสทีซี) และ Reuben Guthrie และ Jesus Hopped the A Train สำหรับเบลวัวร์ เซนต์ เธียเตอร์ นอกจากนี้ เขายังได้กำกับ Unspoken ซึ่งได้รับรางวัลโปรดักชันอินดียอดเยี่ยมจากเวทีซิดนีย์ เธียเตอร์ อวอร์ดอีกด้วย

                ในฐานะนักแสดง เวย์นได้แสดงละครเวทีและภาพยนตร์หลายเรื่อง ซึ่งรวมถึงละครเรื่อง Jesus Hopped the A Train การแสดงในเรื่องนี้สร้างความประทับใจให้กับฟิลิป เซย์มัวร์ ฮอฟแมนอย่างมากจนเขาทาบทามให้เวย์นมาแสดงใน True West ซึ่งเขากำกับให้กับเอสทีซี นอกจากนี้ เขายังได้แสดงละครโดยสตีเวน โซเดอร์เบิร์กห์โปรดักชันของเอสทีซีเรื่อง  The Mystery Project อีกด้วย