happy on April 16, 2013, 06:35:40 PM

<a href="http://www.youtube.com/watch?v=Ll3e6uWhteY" target="_blank">http://www.youtube.com/watch?v=Ll3e6uWhteY</a>

จัดจำหน่ายโดย                  เอ็ม พิคเจอร์ส

ภาพยนตร์เรื่อง     Promised Land         

ชื่อภาษาไทย   สวรรค์แห่งนี้...ไม่สิ้นหวัง

ภาพยนตร์แนว   ดราม่า

จากประเทศ      สหรัฐอเมริกา

กำหนดฉาย      16 พฤษภาคม  2556

ณ โรงภาพยนตร์   โรงภาพยนตร์ในเครือเอเพ็กซ์
 
ผู้กำกับ       Gus Van Sant  (กัส แวน แซงต์)

เขียนบทโดย                   Matt Damon  (แมทท์ เดม่อน)   John Krasinski (จอห์น คราซินสกี้)

อำนวยการสร้าง   Chris Moore (คริส มัวร์)

ลิงค์ตัวอย่างภาพยนตร์   http://www.youtube.com/watch?v=Ll3e6uWhteY

นักแสดง      Matt Damon  (แมทท์ เดม่อน) รับบทเป็น Steve Butler  (สตีฟ บัตเลอร์)
จากภาพยนตร์เรื่อง  The Bourne Ultimatum , Ocean's Thirteen , The Departed
         
Frances McDormand  (ฟรานซิส แม็คดอร์มานด์) รับบทเป็น Sue Thomason (ซู โธมาสัน)
จากภาพยนตร์เรื่อง Moonrise Kingdom , Transformers: Dark of the Moon This Must Be the Place

John Krasinski (จอห์น คราซินสกี้)  รับบทเป็น Dustin Noble  (ดัสติน โนเบิล)
จากภาพยนตร์เรื่อง It's Complicated , Away We Go , Leatherheads

Rosemarie DeWitt  (โรสแมรี เดอวิทท์)  รับบทเป็น Alice  (อลิซ) 
จากภาพยนตร์เรื่อง  The Odd Life of Timothy Green , United States of Tara , Margaret

Hal Holbrook (ฮัล ฮอลบรู๊ค) รับบทเป็น  Frank Yates  (แฟรงค์ เยทส์)
จากภาพยนตร์เรื่อง Into the Wild , Lincoln , Wall Street



เรื่องย่อ

               สตีฟ บัตเลอร์ (รับบทโดย แมทท์ เดม่อน) เซลส์แมนบริษัท ผู้ซึ่งการเปลี่ยนแปลงจากหนุ่มบ้านไร่ไปเป็นเซลส์แมนมือทองต้องเจอกับอุปสรรคที่ไม่คาดฝันเมื่อเขาจับพลัดจับผลูไปอยู่ในเมืองเล็กๆ ที่ซึ่งเขาเจอกับหัวใจที่เปิดกว้างและประตูที่ปิดสนิทอย่างน่าแปลกใจ กัส แวน แซงต์ กำกับภาพยนตร์เรื่องนี้ จากบทภาพยนตร์ดั้งเดิมที่เขียนโดยจอห์น คราซินสกี้และแมทท์ เดม่อน จากเรื่องราวโดยเดฟ เอ็กเกอร์ส

               สตีฟถูกส่งตัวไปยังเมืองชนบทที่มีชื่อว่าแม็คคินลีย์ กับซู โธมาสัน (รับบทโดย ฟรานซิส แม็คดอร์มานด์) คู่หูการขายของเขา เมืองนี้เจอกับภาวะเศรษฐกิจเสื่อมถอยอย่างหนักมาหลายปีแล้ว และพนักงานขายไฟแรงทั้งสองคนก็มองชาวเมืองแม็คคินลีย์ว่าน่าจะยอมรับข้อเสนอของบริษัทพวกเขา ในเรื่องการขอสิทธิในการขุดเจาะที่ดินของพวกเขา ว่าเป็นสิ่งที่จะมาช่วยเหลือพวกเขา สิ่งที่ดูเหมือนเป็นงานง่ายๆ และไม่น่าจะใช้เวลานานสำหรับทั้งคู่กลายเป็นเรื่องซับซ้อน ทั้งทางอาชีพ เมื่อมีการเรียกร้องให้มีการทำประชาคมเรื่องข้อเสนอนี้ในชุมชน โดยครูที่ได้รับการนับหน้าถือตาอย่าง แฟรงค์ เยทส์ (รับบทโดยฮัล ฮอลบรู๊ค)  และทางส่วนตัวด้วยการที่สตีฟได้พบกับอลิซ (รับบทโดย โรสแมรี เดอวิทท์)  เมื่อดัสติน โนเบิล(รับบทโดยจอห์น คราซินสกี้) นักเคลื่อนไหวเพื่อสิทธิมนุษยชนตัวเอ้เดินทางมาถึง ทันใดนั้นเองความเสี่ยงทั้งในแง่ของอาชีพการงานและส่วนตัวของเขา ก็พุ่งขึ้นถึงขีดสุด


เกี่ยวกับงานสร้าง

นักแสดงและมือเขียนบท แมทท์ เดม่อนกล่าวว่า...
“ Promised Land เป็น เรื่องราวที่เข้าถึงได้ที่มีตัวละครที่เราทุกคนต่างก็รู้สึกได้ว่าเป็นคนที่เรารู้จัก มันเป็นเรื่องราวสะเทือนอารมณ์เกี่ยวกับสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อคนจริงๆ และเงินจริงๆ มาชนกัน และวิธีการน่าประหลาดใจที่คนตอบสนองในตอนที่การตัดสินใจเร่งด่วนผ่านเข้ามาครับ”   
   
ผู้อำนวยการสร้างคริส มัวร์กล่าวเสริมว่า…
“Promised Land เป็นภาพสะท้อนที่เป็นส่วนตัวมากๆ ของตัวละครที่มีความสมจริงบางคน แต่มันก็ยังพูดถึงประเด็นใหญ่โตที่เราต่างก็เผชิญหน้ากันอยู่ตอนนี้ นั่นคือคุณค่าของเราคืออะไร อะไรที่สำคัญสำหรับเรา เราจะรับมือกับความขัดแย้งจริงๆ ที่เกิดขึ้นในชุมชนของเราได้อย่างไร”

ผู้กำกับกัส แวน แซงต์เล่าว่า...
“อเมริกาเป็นสถานที่กว้างใหญ่และเราทุกคนต่างก็เป็นส่วนหนึ่งของมัน ดังนั้น บางครั้ง การแยกแยะความเป็นตัวของเราเองก็เป็นเรื่องยากครับ สิ่งที่ผมชื่นชอบเกี่ยวกับบทของจอห์นและแมทท์คือพวกเขาตรงเข้าจัดการกับประเด็นใหญ่โต ด้วยอามณ์ขันและความถ่อมตนครับ มันเป็นเรื่องราวเกี่ยวกับคนจริงๆ ที่มีทั้งจุดอ่อนและจุดแข็งครับ”

แมทท์ เดม่อน พูดถึงคาแร็กเตอร์ของ สตีฟ บัตเลอร์...
“สตีฟ บัตเลอร์ ตัวละครของผม เป็นคนธรรมดาทั่วๆ ไปครับ  เขาเติบโตมาจากชุมชนเกษตรกร  แต่ในขณะนั้นเมืองกำลังจะตาย เขาจึงย้ายไปเมืองใหญ่ อย่างที่หลายคนทำ เพื่อหาโอกาสที่มากขึ้น เขาได้งานดีๆ ทำและทำรายได้เป็นกอบเป็นกำ  สตีฟเป็นพนักงานบริษัท ที่คิดว่าสิ่งที่ตัวเองทำเป็นสิ่งที่ถูกและไม่รู้สึกแย่กับการพยายามแซงหน้าคนอื่น เขาเป็นเซลส์แมนมาได้ซักพักแล้วและตอนนี้ เขาก็มีโอกาสที่จะไต่ไปสู่ระดับผู้บริหารกับเขาเสียที เมื่อสตีฟเดินทางมายังแม็คคินลีย์กับคู่หูของเขา ซู โธมาสัน และเป้าหมายของพวกเขาที่จะกอบกู้เมืองให้รอดพ้นจากการถดถอยทางเศรษฐกิจและความเสื่อมโทรม พร้อมกับเพิ่มรายได้ให้กับบริษัทไปด้วย เขาคิดว่าทุกอย่างจะไปได้สวยเพราะเขาก็มาจากชนบทเหมือนกัน และเขาก็พูดภาษาเดียวกับคนพวกนี้ กลายเป็นว่านั่นเป็นทั้งจุดแข็งและจุดอ่อนของเขา ท้ายที่สุด เขาก็ต้องพิจารณาตัวตนของตัวเองและสิ่งที่เขาอยากให้ชีวิตเขาเป็นน่ะครับ”
   
ฮัล ฮอลบรู๊ค  ผู้รับบท แฟรงค์ เยทส์ ครูสอนวิทยาศาสตร์ชั้นไฮสคูลของแม็คคินลีย์ กล่าวว่า ...   
“ผมอายุ87 ปี และผมก็คิดว่าเรากำลังใช้ชีวิตอยู่ในช่วงเวลาสำคัญอย่างพิเศษสุด ไอเดียของประชาธิปไตยขึ้นอยู่กับการที่คนทำงานร่วมกัน และถ้าไม่มีการประนีประนอมกัน มันก็ไม่มีประชาธิปไตยครับ”
   
ฟรานซิส แม็คดอร์มานด์ ผู้รับบท ซู เล่าว่า…
“จนกว่าเราจะตั้งคำถามทุกอย่างเท่าที่เราสามารถทำได้ เราก็จะมองไม่เห็นทุกความเป็นไปได้ของอนาคต ที่อยู่ภายในการควบคุมของเราค่ะ ความเสี่ยงมันสูงพอๆ กับความเสี่ยงสำหรับเราทุกคน พ่อแม่ของเราหรือปู่ย่าตายายของเราจะรับมือกับสิ่งที่เราเผชิญหน้าในยุคสมัยของเราได้ยังไง? ลูกหลานของเราจะเป็นยังไง? มันเป็นคำถามที่ตอบยากสำหรับเราทุกคนครับ Promised Land ได้กลั่นกรองคำถามที่ว่า คุณค่าของชาวอเมริกันได้พัฒนาขึ้นอย่างไร การสำรวจเหล่านั้นส่วนหนึ่งเกิดขึ้นผ่านการตัดสินใจของเมืองเล็กๆ ในตอนที่บริษัทก๊าซธรรมชาติต้องการจะสกัดก๊าซจากชั้นหิน ผ่านทางกระบวนการที่เรียกว่า ไฮดรอลิค แฟร็คเชอริง หรือ “แฟร็คกิ้ง”
   
เดม่อนอธิบายว่า...
“พล็อตติดตามเรื่องราวของสตีฟและซูขณะที่พวกเขาพยายามเกลี้ยกล่อมให้ชุมชนแม็คคินลีย์ยอมให้บริษัท         โกลบอล ครอสพาวเวอร์ โซลูชันส์ ซึ่งเป็นบริษัทที่สตีฟและซูทำงานอยู่ และเป็นหนึ่งในบริษัทพลังงานที่ใหญ่ที่สุดในประเทศด้วยมูลค่าสินทรัพย์ 9 พันล้านเหรียญ เช่าสิทธิการขุดเจาะพื้นที่นาของพวกเขา ชาวเมืองมีความเห็นที่แตกต่างกันไปว่านี่เป็นเรื่องดีรึเปล่า ในหลายๆ กรณี สัญญาให้เช่าพวกนี้เป็นสิ่งเดียวที่ทำให้ไร่นาของครอบครัวไม่ต้องถูกยึดน่ะครับ”

เดอวิทท์กล่าวเสริมว่า…
“ชาวแม็คคินลีย์กังวลเรื่องการหาเลี้ยงลูกๆ ของพวกเขาและพัฒนาระบบโรงเรียนของพวกเขาค่ะ มันเป็นประเด็นซับซ้อนที่ทำให้หลายๆ ชุมชนแบ่งแยกกันอยู่ในตอนนี้ ฉากแบบไหนที่จะดีไปกว่านี้สำหรับเราในฐานะนักเล่าเรื่องที่จะตั้งคำถามเกี่ยวกับว่าพวกเราเป็นใครในฐานะชาวอเมริกัน สตีฟเชื่อในสิ่งที่เขาทำอยู่ และชักจูงให้คนให้เช่าที่ดินของพวกเขาเผื่อว่ามันจะเป็นแหล่งก๊าซธรรมชาติ เพราะเขาอยากให้ชุมชนอยู่ต่อไป”

สกู๊ต แม็คแนรี ผู้ได้รับบทชาวนา เจฟฟ์ เดนนอน เล่าว่า
“ผมรู้สึกว่านี่เป็นเรื่องราวสำคัญที่ต้องบอกเล่าเพราะมันไม่ได้เป็นการสนับสนุนหรือต่อต้านบางสิ่งบางอย่าง แต่มันมีมุมมองที่หลากหลาย และก็ไม่มีใครชอบให้มีคนยัดเยียดความคิดอะไรให้กับพวกเขาหรอกครับ พลังงานเป็นเรื่องใหญ่ที่คนถกเถียงกันอยู่”

คราซินสกี้กล่าวว่า...
“ผู้ชมจะตัดสินใจเองเกี่ยวกับประเด็นนี้ แต่เป้าหมายของเราคือการสร้างผลกระทบต่อผู้ชม ด้วยอารมณ์และอารมณ์ขัน ในการขับเน้นการที่ตัวละครเหล่านี้ทำการตัดสินใจและเผชิญหน้ากับความท้าทายทั้งภายในและภายนอก ตอนที่ดัสติน โนเบิล ตัวละครของผม ปรากฏตัวขึ้น เขาก็กลายเป็นปรปักษ์กับสตีฟในทันที ปฏิกิริยาระหว่างพวกเขาไม่ได้ห่างไกลจากสมัยเรียนซักเท่าไหร่ สิ่งที่ตลกก็คือการที่ประเด็นที่ยิ่งใหญ่กว่ากลายมาเป็นเรื่องที่ว่าใครจะได้เครื่องเล่นที่ใหญ่กว่าในสนามเด็กเล่น สำหรับพวกเขาครับ ผมอยากจะสำรวจพลังของชุมชนในอเมริกา ผ่านทางตัวละครพวกนี้ครับ ผมจำเรื่องเล่าที่พ่อผมเคยเล่าให้ผมฟังเกี่ยวกับการเติบโตขึ้นในเมืองเล็กๆ ได้ มันมีความเชื่อในกันและกันที่ผมคิดว่าเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งยวด ในปัจจุบันนี้ เกิดอะไรขึ้นกับเมืองแบบนั้น ที่เผชิญหน้ากับความเปลี่ยนแปลงใหญ่หลวงท่ามกลางมรสุมทางเศรษฐกิจ และเผชิญหน้ากับคำถามที่ว่า เราจะรับมือกับประเด็นเหล่านี้ด้วกันได้ยังไง ผมได้นำคอนเซ็ปต์ดั้งเดิมไปเสนอ [นักเขียนนิยาย/มือเขียนบท] เดฟ เอ็กเกอร์ส ผู้ซึ่งคำนึงประเด็นเหล่านี้ ผมกับเขาเริ่มคิดไอเดียต่างๆ ด้วยกันและเรื่องราวก็ก่อร่างสร้างตัวด้วยกัน”
   
แวน แซงต์เล่าว่า
“ในตอนอ่านบท ผมสังเกตว่ามันคล้ายกับเรื่องอื่นๆ ที่แมทท์เคยเขียนมาในฐานะมือเขียนบท และผมก็รู้สึกว่าเขากับจอห์นได้ร่วมกันเขียนงานที่ดีเยี่ยมขึ้นมาด้วยกัน สำหรับผม การตอบว่า ‘ตกลง’ เป็นอะไรที่ง่ายมากๆ ครับ”
   
แม็คดอร์มานด์ให้ความเห็นว่า...
“การเขียนบทหนังก็เป็นงานฝีมืออย่างหนึ่ง เหมือนกับการเขียนเรื่องสั้นหรือบทกวีและจอห์นกับแมทท์ก็รู้เรื่องงานเขียนบทเป็นอย่างดี ฉันประทับใจกับความเฉลียวฉลาดของพวกเขา นอกจากนี้ พวกเขายังรู้ตัวดีพอที่จะไม่พยายามทำให้ทุกคนเห็นพ้องไปกับความคิดเห็นของพวกเขาด้วยค่ะ เช่นเดียวกับสมาชิกหลายคนของทีมงานสร้างสรรค์ แม็คดอร์มานด์เองก็เข้าใจดีถึงความท้าทายที่แม็คคินลีย์และชาวเมืองที่อาศัยอยู่ในนั้นหรือได้ไปเยือนต้องเผชิญในเรื่องราวนี้  ฉันเคยไปเรียนไฮสคลูลในเมืองถลุงเหล็กในเพนซิลวาเนีย ตอนนี้ เมืองนี้เจอปัญหาอย่างหนัก แม้ว่าเพื่อนบางคนของฉันจะยังคงใช้ชีวิตอยู่ที่นั่นอย่างมีความสุขเพราะมันเป็นชุมชนของพวกเขาและพวกเขาก็เป็นสมาชิกของชุมชนโบสถ์ที่สำคัญที่นั่นค่ะ”
   
ใน Promised Land สิ่งจำเป็นต่อสังคมเป็นสิ่งที่อยู่ในห้วงความคิดของแฟรงค์ เยทส์ ผู้ใช้ชีวิตอย่างเป็นสุขในบ้านนาของครอบครัว และผู้ที่เข้าใจดีถึงความขัดแย้งในใจของสตีฟ เดม่อนตั้งข้อสังเกตว่า...
“พอแก่ตัวลง แฟรงค์ก็มีความรู้สึกแบบผู้ดูแล เขาเชื่อในอุตสาหกรรม เขาเป็นวิศวกรโบอิ้งเกษียณ ที่ตอนนี้มาสอนวิทยาศาสตร์ไฮสคูลเพราะเขาอยากจะให้ความรู้กับเด็กๆ รุ่นใหม่ในชุมชนของเขา เขาตระหนักถึงที่ทางของตัวเองในเมืองแห่งนี้และในโลกใบนี้อย่างดี เขาท้าทายสตีฟเพื่อที่คนอื่นๆ จะได้ตั้งคำถาม ก่อนจะผ่านกระบวนการดีๆ ของการทำการตัดสินใจร่วมกัน ในฐานะชุมชนครับ สำหรับแฟรงค์ มันเป็นเรื่องของการหาเวลาเพื่อการศึกษา สำหรับเรา มันเป็นเรื่องของการหาเวลาให้ฮอลบรู๊คมาสวมบทนี้ครับ”

โรสแมรี่ เดอวิทท์กล่าวชื่นชมว่า...
“ในฐานะนักแสดง ฮัล ฮอลบรู๊คได้ถ่ายทอดทั้งความแข็งแกร่งอย่างเหลือเชื่อและความเปราะบางในเวลาเดียวกัน ซึ่งเพอร์เฟ็กต์สำหรับเรื่องราวนี้ แค่ฉันดูเขา ฉันก็ขนลุกแล้วค่ะ แล้วเขาก็ไม่เคยพูดบทผิดเลย พวกเราทุกคนก็เป็นแบบนั้นนะคะ เพียงแต่เขาพูดบทไม่ผิดเพี้ยนแม้ซักตัวอักษรเดียวทุกครั้ง! ฉันคิดว่านักแสดงทุกคนต่างก็มองหาบทหนังแบบนี้ ที่ทั้งงดงาม เขียนขึ้นมาได้อย่างดีเยี่ยม”    

มัวร์เล่าว่า...
“อลิซเป็นตัวแทนของอนาคต เธอเป็นคนที่ตัดสินใจที่จะกลับบ้านเพื่อสร้างความเปลี่ยนแปลง ซึ่งเป็นองค์ประกอบสำคัญในเรื่องราวของเรา เธอเป็นคนที่อายุรุ่นราวคราวเดียวกับคนจำนวนมากในปัจจุบันที่บอกว่า ‘ก็นี่ชีวิตฉันนี่ มันเปลี่ยนแปลงอะไรไม่ได้แล้วตอนนี้น่ะครับ เสน่ห์ ความมีชีวิตชีวาและความน่าหลงใหลของโรสแมรีเนรมิตชีวิตให้กับบทนี้ และมันก็ทำให้เธออยู่ระหว่างกลางความขัดแย้งระหว่างสตีฟและดัสติน เพราะทั้งคู่ต่างก็หลงเสน่ห์เธอน่ะครับ”

ทีทัส เวลลิเวอร์ ผู้รับบท เจ้าของร็อบส์ กันส์, โกรเซอรีส์, กีตาร์ส แอนด์ แก๊ส ที่อยู่บ้านใกล้เรือนเคียง เล่าว่า...
“แมทท์กับจอห์นเขียนบทเรื่องนี้ได้อย่างดีเยี่ยมชนิดที่เชื้อเชิญให้คุณมามีส่วนร่วมกับกระบวนการนี้ด้วยน่ะครับ”

เดอวิทท์เล่าว่า...
“ดูเหมือนว่าแมทท์กับจอห์นจะมีสมองเดียวกันกับกัสเลยค่ะ! ตอนที่พวกเขาไม่ได้แสดงหน้ากล้อง คุณจะเห็นว่าพวกเขาคุยอยู่กับกัสเพื่อแก้ไขบทหรือปรับรายละเอียดของฉากค่ะ แต่ในตอนที่พวกเขาสวมบทตัวละครเข้าฉาก พวกเขาก็จะกลายเป็นดัสตินและสตีฟอย่างสมบูรณ์ค่ะ”
« Last Edit: April 28, 2013, 04:04:16 PM by happy »

happy on April 16, 2013, 06:41:41 PM



เกี่ยวกับสถานที่ถ่ายทำ

               คราซินสกี้ตั้งข้อสังเกตว่า...
 “มันเป็นหนังเกี่ยวกับชนบทของประเทศเรา ดังนั้น มันก็เมคเซนส์ที่เราจะไปในชนบทและถ่ายทำสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นจริงๆ น่ะครับ ดังนั้น Promised Land จึงถูกถ่ายทำทั้งหมดในโลเกชั่นจริงในชนบทของเพนซิลวาเนียตะวันตก ที่นั่นทั้งงดงาม เพอร์เฟ็กต์และไร้มลทินครับ” ฮอลบรู๊คกล่าวชื่นชม “ผมทึ่งกับภาพหุบเขาเขียวขจีที่ตัดกับท้องฟ้า มันเป็นที่ที่เราจากมาครับ ชนบทแบบนี้ การทำงานในเพนซิลวาเนียเป็นประโยชน์ต่อการทำความเข้าใจกับตัวละคร มันมีการพูดกันถึงสิ่งที่เกิดขึ้นในช่วงหลายปีนี้ในบริเวณนี้ คุณสามารถซึมซับวัฒนธรรมท้องถิ่นได้

ผู้ออกแบบงานสร้าง แดเนียล แคลนซี ผู้ซึ่งมีสายใยผูกพันทางครอบครัวกับรัฐอิลลินอยส์ เล่าถึงมุมมองที่ว่า
“พอคุณขึ้นไปบนซาวน์สเตจ คุณก็จะสูญเสียเซนส์ของความเป็นจริง คุณจะได้สัมผัสเท็กซ์เจอร์จริงๆ ความดิบเถื่อนจริงๆ ของสถานที่นั้นๆ กัสให้ความสำคัญกับภาพวิชวลมากๆ ดังนั้น เขากับผมก็เลยคิดอ่านเหมือนกันครับ มันมีปัจจัยสามอย่างในการตัดสินใจเลือกโลเกชั่น หนึ่งคือในเรื่องความสร้างสรรค์ มันมีลุคอย่างที่คุณอยากให้หนังเป็นรึเปล่า สองคือความรู้สึกยิ่งใหญ่ของมัน ถ้าคุณให้นักแสดงและทีมงานอยู่ในสถานที่ที่เหมือนกับสถานที่จริงๆ ที่เรื่องราวกำลังเกิดขึ้น และห้อมล้อมพวกเขาด้วยคนท้องถิ่นจากละแวกนั้นให้มารับบทเล็กๆ หรือมาเป็นส่วนหนึ่งของทีมงาน มันก็ยิ่งดีใหญ่ ส่วนเหตุผลที่สามคือทางด้านการเงิน รัฐต่างๆ มีสิทธิพิเศษทางภาษีที่จะจูงใจให้คุณถ่ายทำหนังที่นั่น แม้ว่าคุณอยากจะไปทำงานในที่ที่เห็นคุณค่าของคนที่สร้างหนังก็จริง แต่มันก็ไม่ใช่แค่เรื่องของสิทธิประโยชน์ทางภาษีเท่านั้น แต่มันเป็นเรื่องที่ว่า ชาวเมืองจะยอมให้คุณไปถ่ายทำในโบสถ์ท้องถิ่นรึเปล่า ใน Promised Land ปัจจัยทั้งสามอย่างนั้นมาผสมผสานกันได้อย่างลงตัวครับ ทุ่งนารอบๆ ถนนสเลท ลิคที่ถูกใช้ในเรื่อง ถูกเลือกเพราะความสวยงาม ความอบอุ่นและความเป็นธรรมชาติของพวกมัน นอกจากนั้น ยังมีประวัติศาสตร์ความเป็นมาจริงๆ ที่เป็นสิ่งสำคัญต่อธีมของเรื่องด้วย รีอาห์ ฟาร์ม ซึ่งเป็นทุ่งนาของเยทส์ในเรื่อง เป็นของครอบครัวรีอาห์มาสี่ชั่วอายุคนแล้ว และตัวโรงนาเองก็มีอายุเก่าแก่กว่าร้อยปี และถูกสร้างขึ้นเมื่อสองชั่วอายุคนที่แล้ว ปัจจุบัน มีการเลี้ยงแพะ นกอีมูและวัวภายในพื้นที่ และมีการทำฟางข้าวด้วย ปัจจุบันนี้ คนจำนวนมากไม่รู้หรอกว่าชนบทอเมริกาเป็นยังไง คุณอาจจะใช้ชีวิตอยู่ในเมืองโดยไม่รู้ถึงสิ่งที่เกิดขึ้นห่างจากที่ที่คุณใช้ชีวิตอยู่เพียงแค่ชั่วโมงเดียวก็ได้ นั่นเป็นเหตุผลที่ทำให้นี่เป็นเรื่องราวสำคัญที่เราจะบอกเล่าครับ”

เมื่อกองถ่ายเข้ามา พวกเขาก็ได้สร้างป้ายและภาพหน้าร้านขึ้นมาใหม่สำหรับร้านค้าบนถนนอินเดีย อะเวนิวในแม็คคินลีย์ ทั้งร้านขนมปัง ร้านขายของชำ ร้านของโครงการช่วยเหลือทหารผ่านศึก ไปรษณีย์และ ฯลฯ ร้านร็อบส์ กันส์, โกรเซอรีส์, กีตาร์ส แอนด์ แก๊ส ถูกสร้างขึ้นจากพื้นที่ว่างเปล่า  บาร์มาย บัดดี้ส์ เพลซ ของเอวอนมอร์ ถูกปรับเปลี่ยนเล็กน้อยให้กลายเป็นบาร์บัดดี้ส์ เพลซ
มีการประกาศระดมนักแสดงหลายครั้ง ซึ่งแต่ละครั้งก็มีคนเข้าออดิชันหลายร้อยคน ท้ายที่สุดแล้ว ทีมงานได้เลือกคนประมาณ 500 คนให้เป็นตัวประกอบ นอกจากนี้ ทีมงานยังเลือกนักแสดงอาชีพในท้องถิ่น ซึ่งรวมถึงนักแสดงเด็ก ที่ได้รับเลือกให้เป็นตัวละครที่อายุน้อยที่สุดด้วย

ไม่ว่าจะได้เข้ากล้องหรือไม่ก็ตาม ชาวเมืองอ้าแขนต้อนรับทีมงานถ่ายทำด้วยความยินดี เพ็นนี ดันไมร์ ผู้ใช้ชีวิตอยู่ในเอวอนมอร์มาตลอดชีวิต และผู้ดำรงตำแหน่งเลขาของสมาคมชุมชนเอวอนมอร์กล่าวว่า “อุตสาหกรรมล่าสุดของเราคือการท่องเที่ยว ที่มีการพายเรือคายัคและแคนูไปตามแม่น้ำ และนี่ก็เป็นสิ่งที่ชักนำผู้คนมากมายให้เดินทางมายังเมืองนี้เป็นครั้งแรก คนที่วิเศษสุดกับเรามาก”
“มันเป็นสิ่งที่ทำให้เราภาคภูมิใจว่าหนังเรื่องนี้ถูกสร้างขึ้นในเอวอนมอร์ คุณคงไม่อยากจะเชื่อถึงความตื่นเต้นที่เกิดขึ้นหรอกค่ะ ทุกคนต่างก็ลุ้นไปกับกระบวนการถ่ายทำ”


เกี่ยวกับการออกแบบเครื่องแต่งกาย

               สำหรับ Promised Land กระบวนการทำงานของแวน แซงต์และผู้กำกับภาพลีนัส แซนด์เกรนคือการรักษาลุคให้เคร่งขรึม ก่อนจะค่อยๆ เติมแต้มสีสันตรงนี้นิด ตรงนั้นหน่อยเข้าไปเมื่อเรื่องราวเดินหน้า
ผู้กำกับกล่าวว่า
     “ผมมีนโยบายที่จะไม่ใช่สีสันเลย แต่ผมรู้ว่าทีมงานอาจจะเห็นว่าการจัดระเบียบสีสันซักระดับหนึ่งเป็นเรื่องง่ายกว่าก็ได้ครับ”
     ระดับสีสัน หรือการขาดสีสัน ถูกร้อยเรียงเข้าด้วยกันโดยผู้ออกแบบเครื่องแต่งกาย จูเลียต โพลซา และทีมงานของเธอ ที่ได้ร่วมงานกับแคลนซีและทีมงานของเขา เธอเล่าว่า
     “ฉันอาศัยอยู่ในเมืองเล็กๆ ทางอัพสเตทของนิวยอร์ก ดังนั้น บทหนังเรื่องนี้ก็เลยโดนใจฉันมากๆ ค่ะ เราใช้สิ่งที่ฉันเรียกว่า ‘สีสันสบายๆ’ เสื้อผ้าที่ชาวเมืองแม็คคินลีย์สวมจะดูใหม่ สดใสหรือสะอาดสะอ้านเกินไปไม่ได้” ในการพยายามถ่ายทอดถึงความเป็นจริงทางด้านเศรษฐกิจในปัจจุบันออกมา แผนกเครื่องแต่งกายจึงหันหลังให้กับกระแสแฟชั่นปัจจุบัน โพลซ่าให้ความเห็นว่า เทรนด์ปัจจุบันในการใช้สีสันสว่างๆ ไม่เหมาะกับลุคของหนังเรื่องนี้เลยค่ะ ฉันไปเยี่ยมชมร้านเสื้อผ้ามือสองหลายร้านแต่พวกมันก็ไม่ได้ขายเสื้อผ้าที่ดูผ่านการใส่มาอย่างโชกโชนหรือขาดรุ่งริ่งซักเท่าไหร่ คุณจะต้องระวังในเรื่องของการ ‘เพิ่มอายุ’ ให้กับเสื้อผ้าบนหน้าจอ หรือการทำให้มันสกปรกค่ะเพราะมันอาจดูเป็นของปลอมได้ง่ายๆ”

     ในลักษณะที่สอดคล้องกับตัวประกอบ ชุดส่วนตัวของทีมนักแสดงเองก็ถูกนำมาใช้ด้วยเช่นกัน โพลซ่าเล่าว่า …
     “กัสมีไอเดียที่จะให้นักแสดงสวมเสื้อผ้าของตัวเอง เมื่อคุณรู้สึกสบายในเสื้อผ้าของตัวเอง มันก็จะทำให้คุณรู้สึกสบายกับการสวมบทบาทนี้มากขึ้นค่ะ” เธอคุยกับนักแสดงเพื่อหาว่าเสื้อผ้าแบบไหนของพวกเขาที่น่าจะใช้ได้ และที่พวกเขาจะเต็มใจใส่ สำหรับภาพยนตร์เรื่องนี้ เสื้อกั๊กของสามีฉันกลายเป็นหนึ่งในเสื้อผ้าไม่กี่ตัวที่แฟรงค์ เยทส์สวม และไม่ได้เป็นของฮัล ฮอลบรู๊คเองน่ะค่ะ เขาบอกฉันว่า เขามีกางเกงยีนส์ตัวเก่าและเสื้อเชิ้ตโทรมๆ ตัวหนึ่ง ที่เขายังไม่พร้อมจะโยนทิ้ง ซึ่งเขาก็สวมมันทำงานบ้านและทำสวนค่ะ เขาส่งเสื้อผ้าพวกนี้มาให้ฉัน และฉันก็เตรียมมันให้พร้อมสำหรับการเสริมสร้างลุคของแฟรงค์ กัสมาดูการลองชุดของฮัล เขาสวมกางเกงยีนส์และเสื้อเชิ้ตของเขา ส่วนฉันก็สวมเสื้อกั๊กให้เขา และตัวละครตัวนั้นก็ปรากฏตัวขึ้นอย่างรวดเร็วค่ะ”

   ในการขัดเกลาการสวมบทสตีฟ บัตเลอร์ แมทท์ เดม่อน ได้ใช้กระบวนการอันยาวนานในการรวมเอาองค์ประกอบต่างๆ ที่จะเสริมสร้างความสมจริงให้กับการแสดงของเขาโดยที่ผู้ชมอาจจะไม่ได้เห็นมันชัดเจนซักเท่าไหร่ เขาได้ศึกษาจากการค้นคว้าข้อมูลของโพลซา เนื่องด้วยเราได้เห็นสตีฟเป็นครั้งแรกในสิ่งแวดล้อมของบริษัท ก่อนที่เขาจะเดินทางไปอยู่ในแม็คคินลีย์ “เราคุยกันถึง ‘ชุดทำงานลำลอง’ และ ‘ชุดวันศุกร์ลำลอง’ น่ะค่ะ” โพลซ่าตั้งข้อสังเกต “การเปลี่ยนแปลงในเรื่องเสื้อผ้าของสตีฟจะต้องฉับไวมากกว่า เพื่อสะท้อนถึงสัญชาตญาณความเป็นนักขายของเขาค่ะ”

   ตามบท สตีฟจะต้องสวมรองเท้าบู๊ทคาวบอยแพงระยับคู่ใหม่ มีการเตรียมรองเท้าไว้เรียบร้อย แต่โพลซาและเดมอนก็กังวลว่า มันอาจไม่เหมาะสมที่ตัวละครตัวนี้จะสวมเดินไปมาในแม็คคินลีย์ มีการปรับแก้บท และโพลซ่าก็ไปจัดหารองเท้าบู๊ททำงานมาอีกคู่
   แต่ไม่กี่วันก่อนหน้าการถ่ายทำ โพลซ่า “มองเข้าไปข้างในและเจอว่ามันมาจากประเทศบังกลาเทศ แต่ในบทเขียนเอาไว้ว่ามันเป็นรองเท้าที่ทำขึ้นในอเมริกา ตอนนี้ ฉันก็เลยต้องหารองเท้าที่ดูวินเทจและทำในอเมริกาด้วย ฉันซื้อรองเท้าบู๊ทเรด วิงมาจากอีเบย์ แล้วภาวนาให้มันมาทันเวลา ซึ่งก็ทันจริงๆ แมทท์ได้สวมมันก่อนหน้าการถ่ายทำพอดิบพอดีเลยค่ะ มันดีพอๆ กับถ้าให้ฉันออกแบบและเพิ่มอายุให้มันเลยค่ะ มันเป็นส่วนหนึ่งของสตีฟ คุณไม่สามารถออกแบบตัวละครตัวนี้และตัดให้เขาเหลือแต่ท่อนบนจากเข่าขึ้นไปหรอกนะคะ”

   แผนกของแคลนซียังคงรักษา“สีสันสบายๆ” ของโพลซ่าเอาไว้ใช้สำหรับเรื่องของยานพาหนะ เฟอร์นิเจอร์และฉากทั้งภายในและภายนอก เขาตั้งข้อสังเกตว่า “มันเหมือนภาพวาดของแอนดรูว์ ไวเอธ ที่สีเหลือง น้ำตาลและเขียวจะถูกทำให้ซีดจาง เพื่อแสดงถึงความเสื่อมโทรม สีสันที่โดดออกมาส่วนใหญ่จะเป็นสีแดง ขาวและน้ำเงิน ซึ่งเป็นธีมที่ไม่เด่นชัดนักน่ะครับ กัสอยากได้ลุคที่สมจริง ที่แสดงถึงอายุการใช้งานที่ชัดเจน และไม่มีอะไรที่สวยเกินจริง เราใช้ไม้บุฝาผนังและสิ่งที่เรามีอยู่จำนวนมาก เพื่อทำให้มันสมจริง และดูไม่สวยงามเกินไปน่ะครับ”

   องค์ประกอบที่ถูกใส่เพิ่มเติมเข้าในในเรื่องราวมากขึ้นคือน้ำทรัพยากรยังชีพอันมีค่า ที่ไม่สามารถมองข้ามได้อีกแล้ว ซึ่งรวมถึง ในเมืองเล็กๆ ที่พยายามจะพยุงตัวให้รอดด้วย แคลนซี เล่าว่า
    “เราใส่น้ำเข้าไปในทุกที่เท่าที่เราทำได้ คุณจะเห็นแอ่งน้ำตามทุ่งนาเด็กๆ เล่นกับสายยางฉีดน้ำ สตีฟเอาน้ำลูบหน้า และเขากับซูก็มักจะพกขวดน้ำติดตัวเสมอ แล้วมันก็มีเอาท์บอร์ด มอเตอร์ในทุ่งนาด้วย และตัวโรงแรม ซึ่งภายในเป็นบ้านพักรับรองในเอวอนมอร์ ที่เราแปลงโฉมให้ใหม่และที่เจ้าของในตอนนี้อยากจะคงการปรับเปลี่ยนของเราเอาไว้ ถูกตั้งชื่อว่าโรงแรมมิลเลอร์ ฟอลส์ครับ”


นักแสดงเปิดใจถึงผู้กำกับ

               โดยรวมแล้ว แวน แซงต์ “เป็นผู้กำกับประเภทที่จะไม่พูดจนกว่าจะมีอะไรพูด และเมื่อคนพวกนี้พูด คนจะฟังพวกเขาค่ะ” ฟรานซิส แม็คดอร์มานด์บอก
   ผู้กำกับผู้นี้จะปล่อยให้ทีมงานและนักแสดงแสดงความสามารถของตัวเองออกมาอย่างเต็มที่ก่อนจะเข้ามาปรับอะไรบางอย่างที่เฉพาะเจาะจงลงไป ซึ่งวิธีการนี้ก็ช่วยเสริมสร้างความรู้สึกร่วมแรงร่วมใจกันในภาพยนตร์ของเขาเป็นอย่างดี
   มัวร์เล่าว่า “หลังจากทำงานในหนังด้วยกันมาหลายเรื่อง กัสและแมทท์ก็มีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกันและพวกเขาทั้งคู่ต่างก็เป็นคนสบายๆ ในฐานะผู้กำกับและดารานำของเรื่อง พวกเขาเป็นคนที่กำหนดจังหวะและการเดินเรื่องครับ แต่คนจะกลับมาทำงานให้กับกัส     ซ้ำแล้วซ้ำอีกไม่ว่าจะเป็นนักแสดงหรือทีมงานเพราะเขามีความอ่อนน้อมแต่ก็แสดงถึงความเชื่อมั่ นอย่างแรงกล้าด้วยเขาทั้งคอยให้ความามช่วยเหลือ เป็นคนโอบอ้อมอารีและตลก เขากระตุ้นให้เกิดความไว้เนื้อเชื่อใจครับ”
   
   เดม่อนกล่าวว่า “ผมไว้ใจเขาอย่างยิ่ง เขามีความเข้าอกเข้าใจคนอื่นอย่างเหลือเฟือ ในฐานะนักแสดง เมื่อคุณได้อยู่กับเขา คุณก็มีคนดีๆ คอยดูแลคุณแล้วครับ แค่ดูการแสดงในหนังของเขาคุณก็จะมองเห็นเรื่องนั้นแล้วครับ”
   
   มัวร์เล่าว่า “หนังของเขาถ่ายทอดถึงสถานที่ เวลาและตัวละคร ผมต้องบอกว่าเขาเป็นผู้ศึกษาความเป็นมนุษย์ครับ”
   เดม่อนกล่าวเสริมว่า “เขาไม่ชอบของเทียมครับ วันแรกที่ผมเข้าฉาก เขาบอกว่า ‘คุณแต่งหน้ามารึเปล่า’ ผมก็บอกว่า ‘นิดหน่อยนะ’ แล้วเขาก็ให้ผมล้างออกครับ”
   
   คราซินสกี้ตั้งข้อสังเกต “กัสมีความมั่นใจอย่างเหลือเชื่อครับ เขาเป็นคนเงียบขรึม พูดจานุ่มนวล เพราะกระบวนการมันเกิดขึ้นภายในความคิดของเขาระหว่างที่เขาคาดหวังให้คนทำงานของตัวเองครับ”

   ฮอลบรู๊คให้ความเห็นว่า “ดูเหมือนเขาจะไม่ได้คิดสรุปอะไรเอาไว้ล่วงหน้าว่ามันน่าจะเป็นยังไง แต่เขาดูเหมือนจะเตรียมพร้อมและเปิดกว้างต่อทุกอย่างที่คุณคิดขึ้นมาได้”

   เดอวิทท์ขยายความว่า “นักแสดงและทีมงานมีอำนาจค่ะ กัสรับรู้ได้ถึงสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นตลอดเวลา ทุกอย่างจะบ่งบอกถึงฉากนั้นๆ สำหรับเขา และทำให้มันเป็นจริงมากขึ้น เขาจะนั่งอยู่ข้างๆ กล้องค่ะ”

   แซนด์เกรนเล่าว่า “เราจะขยายความฉากนั้นๆ และพูดคุยกันถึงไอเดียและสัญชาตญาณต่างๆ แรงจูงใจสำหรับการที่กล้องจะทำอะไรในแต่ละฉากมาจากนักแสดงครับ มันเป็นสิ่งที่กัสบอกผมว่ามาจากหนังยุค 70s ของ [ผู้กำกับเบอร์นาโด้] แบร์โตลุชชีและ [ผู้กำกับภาพวิตโตริโอ] สโตราโรครับ กัสไม่อยากจะดูหนัง แต่เขาอยากจะดูของจริง”
   
   แม็คแนรี่กล่าวเสริมว่า “กัสมองมาที่คุณ ไม่ใช่ที่มอนิเตอร์ คำถามแรกของผมในกองถ่ายคือ ‘แผงจอมอนิเตอร์อยู่ไหน’ ‘ไม่มีหรอก’ ‘จริงเหรอครับ มันเป็นบรรยากาศที่น่าทำงาน ทำให้คุณสามารถสำรวจอะไรต่อมิอะไรได้มากขึ้นเพราะคุณไม่มีคนมารุมล้อมรอบจอมอนิเตอร์และเล่นเพลย์แบ็คอยู่นานสองนานน่ะครับ”

   ภาพยนตร์เรื่องนี้ถ่ายทำภายใต้ตารางการถ่ายทำ 30 วันที่กระชับ มัวร์ตั้งข้อสังเกตว่า “ในฐานะผู้อำนวยการสร้าง ผมสังเกตว่ากัสเข้าใจดีถึงกระบวนการถ่ายทำและกระบวนการงานสร้างสรรค์ครับ”
   “หนังใหญ่เรื่องแรกของผมคือ Good Will Hunting และผมก็อยากให้ทุกกองถ่ายหลังจากนั้นเป็นเหมือนการถ่ายทำของกัส แวน แซงต์ครับ กัสจะเป็นคนตัดสินใจโดยคำนึงถึงทีมงาน และจะไม่เสียเวลาถ่ายทำสิ่งที่เขาไม่ต้องการครับ”
   
   ในผลงานเรื่องล่าสุด แวน แซงต์ได้ใช้เทคนิคที่เขายกย่องเครดิตให้กับผู้กำกับเทอร์เรนซ์ มาลิค นั่นคือเทคเงียบ มันคือการถ่ายทำฉากที่มีนักแสดง แต่ไม่มีการพูดไดอะล็อคใดๆ แต่ปล่อยให้นักแสดงนึกถึงบทพูดในใจและถ่ายทอดอารมณ์ออกมาทางสีหน้าแทน “เทอร์รีอาจจะใช้มันในลักษณะที่ต่างออกไป แต่มันก็กลายเป็นเทคนิคที่มีค่ามากสำหรับผมครับ” แวน แซงต์กล่าว
   เดอวิทท์ขยายความว่า “มันเป็นสิ่งที่จะเกิดขึ้นหลังจากที่กัสรู้สึกว่าเราสำเร็จจากฉากหนึ่งและกำลังจะขยับไปยังอีกฉากหนึ่ง เขาจะถ่ายเทคเงียบ ที่ไม่มีคำพูด แต่ก็ไม่ใช่การทำแพนโทไมม์ มันหมายถึงเราจะต้องคิดตามความคิดของตัวละครหรือรู้สึกในความรู้สึกของพวกเขา คุณจะต้องกระตุ้นให้นักแสดงอีกคนทำแบบเดียวกัน ฉันรู้สึกว่ามันเป็นเรื่องสนุกดีค่ะ”
   
   แม็คดอร์มานด์เล่าว่า “ยิ่งไอเดียมันยิ่งใหญ่แค่ไหน ด้วยความที่คุณไม่ได้มีการปลดปล่อยออกมา คุณก็จะได้กรอบที่ใหญ่ขึ้นสำหรับฉากนั้นๆ ค่ะ”

   “ผมคิดว่าเทคเงียบทำให้ผมเป็นนักแสดงที่ดีขึ้นครับ” ทีทัส เวลลิเวอร์บอก “ในการแสดงฉากโดยไม่มีไดอะล็อค คุณจะต้องหาความนัยโดยไม่สามารถใช้ภาษาสื่อสารได้ คุณต้องฟังในระดับของอารมณ์เพราะไม่มีการพูดอะไรออกมาเลย        ในฐานะนักแสดง มันเป็นความเสี่ยงครั้งใหญ่ แต่พอผมทำไปแล้ว ผมก็พบว่ามันเป็นสิ่งที่ผมอยากทำอีกครั้งครับ”