happy on January 20, 2013, 07:48:23 PM

ข้อมูลงานสร้าง

               เล มิเซราบล์ เป็นภาพยนตร์ที่ดัดแปลงจากละครเพลงที่ดังก้องโลก มีผู้ชมมาแล้วทั่วโลกกว่า 60 ล้านคน ใน 42 ประเทศ และแปลงเป็น 21 ภาษา แต่ยังคงทำรายได้ทุบสถิติทุกหนแห่งในการเปิดการแสดงปีที่ 28 ของละครเพลงเรื่องนี้

               ภาพยนตร์กำกับโดยทอม ฮูเปอร์ ผู้กำกับรางวัลออสการ์จาก The King’s Speech สร้างโดยเวิร์คกิ้ง ไตเติ้ล ฟิล์มส์ และคาเมรอน แม็คอินทอช โปรดักชั่น นำแสดงโดย ฮิวจ์ แจ็คแมน(The Prestige และ The Wolverine ที่กำลังจะเข้าฉาย), นักแสดงรางวัลออสการ์ รัสเซล โครว์  (Gladiator, A Beautiful Mind), แอน แฮทธาเวย์ (The Dark Knight Rises, The Devil Wears Prada), อแมนดา ไซย์ฟรีด (Mamma Mia!, Dear John), เอ็ดดี้ เรดเมย์น (My Week With Marilyn, The Other Boleyn Girl), แอรอน ทเวทท์ (ซีรี่ส์ทางทีวีชุด Gossip Girl, Premium Rush) และดาวรุ่งดวงใหม่ ซาแมนธา บาร์กส์ ร่วมด้วยเฮเลนา บอนแฮม คาร์เตอร์ (ภาพยนตร์ชุด Harry Potter, Sweeney Todd) และซาชา บารอน โคเอน (Hugo, Borat)

               ฉากหลังของ Les Misérables เป็นฝรั่งเศสในศตวรรษที่ 19 บอกเล่าเรื่องราวอันตราตรึงของความฝันที่แตกสลาย ความรักที่ไม่หวังผลตอบแทน ความปรารถนา การเสียสละ และการไถ่บาป อันเป็นข้อพิสูจน์อมตะถึงการอดทนของจิตวิญญาณมนุษย์ แจ็คแมนรับบทเป็นอดีตนักโทษชื่อว่าฌอง วัลฌอง ที่ถูกตามล่าตัวร่วมนับสิบปีโดยตำรวจจอมโหดชื่อว่าฌาแวร์ (โครว์) หลังจากเขาหนีทัณฑ์บน เมื่อวัลฌองตกปากรับคำจะดูแลโคเซ็ตต์ ลูกสาวตัวน้อยของคนงานโรงงานที่ชื่อฟองทีน (แฮทธาเวย์) ชีวิตของพวกเขาก็เปลี่ยนไปตลอดกาล

               ด้วยเรื่องราวที่พูดถึงกลุ่มคนที่ถูกริดรอนสิทธิ์ ได้ผนึกกำลังกันท้าทายการฉ้อราษฎร์บังหลวง และเรียกร้องให้เกิดการเปลี่ยนแปลง ทำให้ละครเพลงที่ได้แรงบันดาลใจจากบทประพันธ์ที่มีอายุกว่า 150 ปี ของวิคเตอร์ อูโก้ ซึ่งเล่นมายาวนานที่สุดของโลกเรื่องนี้ไม่เคยล้าสมัยไปเลย บัดนี้ Les Misérables ได้นำพลังของมันมาขึ้นสู่จอใหญ่ ด้วยการตีความอันครอบคลุมและน่าตื่นเต้นของฮูเปอร์ต่องานมหากาพย์อันคลาสสิคชิ้นนี้ ด้วยซูเปอร์สตาร์ระดับอินเตอร์และบทเพลงอันเป็นที่รักมากมาย เช่น “I Dreamed a Dream,” “Bring Him Home,” “One Day More” และ “On My Own” สุดยอดของการแสดงได้ถือกำเนิดใหม่ในฐานะประสบการณ์การชมภาพยนตร์เพลงแบบที่ชั่วชีวิตนี้หาดูยากมาก

               จากละครเพลงฉบับดั้งเดิมของอัลเลง บูบลิล และ คล้อด-มิเชล โชนเบิร์ก อำนวยการสร้างเป็นละครเวทีโดยคาเมรอน แม็คอินทอช Les Misérables ได้ถูกดัดแปลงเป็นบทภาพยนตร์โดยผู้เขียนบทสองรางวัลออสการ์ วิลเลียม นิโคลสัน (Gladiator, Shadowlands) ร่วมกับบูบลิลกับโชนเบิร์ก และเฮอร์เบิร์ท เครทซเมอร์ (Les Misérables in Concert: The 25th Anniversary) ประพันธ์ดนตรีโดยโชนเบิร์ก และแต่งคำร้องโดยเครทซเมอร์

               ทิม บีแวน และ เอริก เฟลล์เนอร์ (Atonement, Notting Hill, Pride & Prejudice, Frost/Nixon) ของเวิร์คกิ้ง ไตเติ้ล ฟิล์มส์ ได้อำนวยการสร้างหนังเรื่องนี้ร่วมกับเดบรา เฮย์เวิร์ด (ผู้อำนวยการสร้างฝ่ายบริหารของภาพยนตร์เรื่อง Tinker Tailor Soldier Spy, Anna Karenina) และคาเมรอน แม็คอินทอช (ผู้อำนวยการสร้างละครเพลง Miss Saigon, The Phantom of the Opera, Cats)

               ทีมงานเบื้องหลังอันเชี่ยวชาญ ก็ยังเป็นการรวมเอาเหล่ามือฉมังระดับแถวหน้าของวงการมาช่วยสร้างสรรค์งานสร้างครั้งนี้ นำโดยผู้กำกับภาพที่เคยเข้าชิงรางวัลออสการ์ แดนนี่ โคเอน (The King’s Speech, This Is England), ผู้ออกแบบงานสร้างที่เคยเข้าชิงรางวัลออสการ์ อีฟ สต๊วร์ต (The King’s Speech, Topsy-Turvy), ผู้ตัดต่อ เมลานี แอน โอลิเวอร์ (Anna Karenina, Jane Eyre) และผู้ตัดต่อรางวัลออสการ์ คริส ดิคเคนส์ (Slumdog Millionaire, Paul), เช่นเดียวกับนักออกแบบเครื่องแต่งกาย พาโค เดลกาโด (Biutiful, Bad Education) อำนวยการด้านดนตรีและออร์เคสตรา โดย แอนน์ ดัดลี่ย์ (The Full Monty, Tristan + Isolde), ขณะที่ควบคุมวงออร์เคสตรา โดย สตีเฟ่น เม็ทคาลฟี (Les Misérables in Concert: The 25th Anniversary) และบันทึกเสียงการร้องสด โดยผู้ควบคุมการมิกซ์เสียงของงานสร้าง ไซมอน เฮย์ส (Mamma Mia!, Prometheus)

เรื่องย่อภาพยนตร์และลำดับเพลง

               ปี 1815 ที่เมืองตูลง และดีญ หลังจาก 19 ปี ที่ถูกล่ามโซ่จองจำ (เพลง “Look Down”) ฌอง วัลฌอง (แจ็คแมน) นักโทษหมายเลข 24601 ได้รับการปล่อยตัวโดยฌาแวร์ (โครว์) ผู้คุมที่ดูแลการใช้แรงงานนักโทษ เมื่อวัลฌองดิ้นรนระหว่างเดินทางจากตูลงไปดีญ (เพลง “Freedom Is Mine”) ทั้งการหาอาหาร หาที่พัก และหางานทำ เขาได้พบว่าตัวเองได้กลายเป็นคนนอกรีต ถูกผลักไสจากผู้คนทั่วไป มีเพียงบิชอปมีเรียลแห่งดีญ (คอล์ม วิลกินสัน นักแสดงคนแรกที่สวมบทวัลฌองในละครเพลงที่ลอนดอน และบรอดเวย์) ที่ปฏิบัติต่อเขาอย่างเมตตา แต่เพราะวัลฌองมีชีวิตที่ขมขื่นเนื่องจากตกระกำลำบากมานาน เขาจึงตอบแทนบิชอปด้วยการขโมยเครื่องเงินของโบสถ์ ไม่ช้าวัลฌองก็ถูกจับตัวได้ และถูกนำตัวกลับมา แต่แล้วเขาก็ถึงกับประหลาดใจเมื่อท่านบิชอปปฏิเสธตำรวจว่าเขาเป็นหัวขโมยเพื่อช่วยเขาไว้ ดังนั้น วัลฌองจึงตัดสินใจที่จะเริ่มต้นชีวิตใหม่ (เพลง “What Have I Done?”)

               ปี 1823 ที่เมืองมองเตย-ซุค-แมร์ แปดปีผ่านไป วัลฌองหนีทัณฑ์บนและหายสาปสูญ เขาได้ใช้เงินที่ได้จากการขายเครื่องเงินของท่านบิชอปสร้างตัวเองขึ้นมาใหม่เป็นเมอซิเออร์มาดเลน นายกเทศมนตรีและเจ้าของโรงงานที่เป็นที่นับหน้าถือตา ฟองทีน (แฮทธาเวย์) หนึ่งในคนงานของเขามีลูกนอกสมรสอยู่อย่างลับๆ ชื่อว่าโคเซ็ตต์ ซึ่งฟองทีนต้องส่งเงินทุกฟรังก์ที่หายได้ไปให้ผู้ที่คอยดูแลลูกสาว คนงานหญิงคนอื่นรู้เรื่องนี้เข้า และเมื่อคิดว่าฟองทีนทำตัวเหนือพวกตนที่ไม่ยอมเปลืองตัวให้หัวหน้าคนงาน ก็เลยยุยงให้ไล่ฟองทีนออกไป (เพลง “At the End of the Day”) ฟองทีนถูกไล่ออกอย่างไร้ความปราณี เธอไปขอให้วัลฌองช่วย แต่วัลฌองก็มัวไปสนใจเรื่องอื่นอยู่
 
               ฌาแวร์ซึ่งตอนนี้เป็นสารวัตรตำรวจแล้ว ได้มายังโรงงานเพื่อพบมาดเลน แม้ว่าฌาแวร์รู้สึกว่าเคยพบกันมาก่อน แต่วัลฌองก็รีบบอกไปว่าเขาจำคนผิด ทั้งคู่ถูกขัดจังหวะเพราะมีเกวียนล้มอยู่ด้านนอกโรงงาน และต้องรีบวิ่งออกไป  แล้วฌาแวร์ก็มองอย่างตะลึงที่เห็นวัลฌองยกเกวียนหนักขึ้นได้ ซึ่งล้มทับชายคนขับที่ชื่อโฟเชอเลอวองต์ (สตีเฟ่น เทต ผู้รับบทเป็นเตนาร์ดิเยร์ อยู่หลายปีในละครฉบับลอนดอน) การแสดงพลกำลังครั้งนี้ทำให้ฌาแวร์นึกถึงนักโทษวัลฌอง แต่เขาก็ไม่มั่นใจมากพอที่จะกล่าวว่าใช่

               เมื่อหมดหนทางหาเงินไปจ่ายค่ายาให้ลูกสาว ฟองทีนจึงไปยังเขตโคมแดงของเมือง  (เพลง “Lovely Ladies”) เพื่อเอาล็อคเก็ตสุดที่รักไปขาย รวมถึงขายเส้นผมและฟัน จากนั้นก็ไปร่วมเป็นโสเภณีขายตัว (เพลง “I Dreamed a Dream”) เคราะห์ซ้ำกรรมซัด เธอเกิดไปทะเลาะกับลูกค้าที่ใช้ความรุนแรง และกำลังจะถูกฌาแวร์จับกุม แต่นายกเทศมนตรีผ่านมาแล้วขอให้พาเธอไปยังโรงพยาบาลแทน ฟองทีนเล่าให้วัลฌองฟังว่าเธอถูกหัวหน้าคนงานของเขาไล่ออก วัลฌองไม่ได้ช่วยเหลือเธอเลย และเธอมีลูกสาวที่ใกล้ตาย ด้วยความตกใจ วัลฌองจึงรับปากที่จะไปยังโรงแรมในเมืองมองต์แฟร์เมล์ ที่ซึ่งลูกสาวของเธออยู่ เพื่อพาตัวมาพบแม่ของเธอ

               ต่อมา ฌาแวร์ได้ยินข่าวว่านักโทษวัลฌอง ที่เขาตามล่าตัวมาแปดปี ได้ถูกจับกุมอีกครั้ง ฌาแวร์จึงไปขอโทษมาดเลนที่สงสัยเขา วัลฌองปกปิดความตกใจ แล้วรีบกลับไปบ้าน เตรียมตัวหนีก่อนที่ความจริงจะเปิดเผยว่าเป็นการเข้าใจผิด แต่เพราะไม่อาจเห็นคนบริสุทธิ์ต้องติดคุก วัลฌองบุกเข้าไปในศาลเพื่อสารภาพความจริงว่าเขาคือวัลฌอง นักโทษ 24601 ตัวจริง (เพลง“Who Am I?”) จากนั้น วัลฌองก็ไปที่โรงพยาบาลที่ซึ่งเขาได้รับปากฟองทีนที่ใกล้ตายว่าจะหาโคเซ็ตต์ให้พบและเลี้ยงดูเธอเหมือนลูกของเขาเอง (เพลง “Take My Hand”) เมื่อฟองทีนสิ้นใจ ฌาแวร์ก็มาถึงเพื่อจับกุมวัลฌอง ทั้งสองคนต่อสู้กัน (เพลง “The Confrontation”) แต่วัลฌองหนีไปได้  

               ในเมืองมองต์แฟร์เมล์ (เพลง “Castle on a Cloud”) เด็กน้อยโคเซ็ตต์ (นักแสดงหน้าใหม่ อิซาเบลลา อัลเลน) อาศัยอยู่กับเมอซิเออร์ และ มาดาม เตนาร์ดิเยร์ (บารอน โคเอน และ บอนแฮม คาร์เตอร์) ซึ่งทารุณเธออย่างเลวร้าย ขณะเดียวกันก็ตามใจลูกสาวของตัวเองที่ชื่อ เอโปนีน (นักแสดงหน้าใหม่ นาทัลยา วอลเลซ) ในการดูแลโรงแรม ทั้งคู่เปิดซ่องโสเภณีไปด้วย แล้วแอบฉกเงินลูกค้าเป็นประจำ (เพลง “Master of the House”) วัลฌองพบโคเซ็ตต์หนาวอยู่ในป่าใกล้กับโรงแรม แล้วพาเธอกลับมาพบผู้ดูแล ซึ่งเขาได้จ่ายเงินให้สามีภรรยาเตนาร์ดิเยร์เพื่อให้เขาเอาตัวโคเซ็ตต์ไปปารีส (เพลง “The Bargain”)

               คล้อยหลังจากที่วัลฌองกับโคเซ็ตต์จากไป ฌาแวร์ก็มาถึง และโมโหที่วัลฌองหนีรอดเขาไปได้อีกครั้ง เมื่อทั้งคู่เดินทางไปยังปารีส วัลฌองตื้นตันเพราะความรักที่เขามีให้แก่โคเซ็ตต์ (เพลง “Suddenly” เพลงใหม่ที่เขียนขึ้นเพื่อฉบับภาพยนตร์) แต่ก็ไม่มีเวลาให้เขาได้แสดงความรู้สึกของพ่อออกไป ฌาแวร์ไล่ตามเขามาติดๆ และเมื่อไปถึงยังปารีส วัลฌองกับโคเซ็ตต์ก็หลบเข้าไปแอบอยู่ในคอนแวนท์ พวกเขาพบว่าได้วิ่งตรงไปหาโฟเชอเลอวองต์ ชายผู้ที่วัลฌองเคยช่วยให้พ้นความตาย คืนนั้นเอง ฌาแวร์ได้สาบานต่อเมืองที่หลับไหลว่าเขาจะล่าตัววัลฌองให้กลับมาเข้าคุกให้ได้ (เพลง “Stars”)

               ปี 1832 ที่ปารีส เก้าปีต่อมา เกิดความระส่ำระสายขึ้นในเมืองเพราะการใกล้เสียชีวิตของนายพลลามาร์ก ผู้นำที่เป็นที่นิยม และชายผู้เดียวในรัฐบาลที่ให้ความสงสารแก่ประชาชนคนยากไร้ที่กำลังล้มตายอยู่ตามท้องถนน เราติดตามเด็กข้างถนนหัวโจกชื่อว่ากัฟรอช (แดเนียล ฮัทเทิลสโตน จากละครเวที  Les Misérables ฉบับเวสต์เอ็นด์) ขณะที่เขาโดดจากรถม้าคันหนึ่งไปยังอีกคัน เต้นรำอยู่บนหัวของเหล่าผู้คนที่ร่ำรวย (เพลง “Look Down”) และกลุ่มนักศึกษาหัวการเมืองที่นำโดยมาริอุส (เรดเมย์น) และ อองฌอลราส์ (ทเวท) ขณะที่พวกเขาชุมนุมกันบนท้องถนน อองฌอลราส์ได้ระดมฝูงชนเพื่อการสนับสนุน เด็กสาวข้างถนนหน้าตาดีซึ่งก็คือเอโปนีน (บาร์กส์) ที่ตอนนี้โตแล้ว ชำเลืองมองมาริอุสด้วยหัวใจปรารถนา ตกหลุมรักเขาอย่างเห็นได้ชัดและอย่างที่สุด

               ต่อมาในวันเดียวกันนั้นเอง แก๊งต้มตุ๋นข้างถนนที่นำโดยเมอซิเออร์กับมาดามเตนาร์ดิเยร์ หมายชิงทรัพย์วัลฌองและหญิงสาวแสนสวย ซึ่งก็คือโคเซ็ตต์ (ไซย์ฟรีด) ที่บัดนี้โตแล้ว ที่กำลังให้เงินขอทานอยู่ มาริอุสมองเห็นโคเซ็ตต์และไม่อาจละสายตาจากเธอได้เลย เป็นรักแรกพบนั่นเอง ทันใดนั้น ฌาแวร์ก็มายุติการทะเลาะวิวาท แต่กลับจำวัลฌองไม่ได้จนกระทั่งอดีตนักโทษหายตัวไป ส่วนเอโปนีนก็ลังเลที่จะช่วยมาริอุสตามหาโคเซ็ตต์ หญิงผู้เดียวที่เขามอง

               เมื่อข่าวการตายของลามาร์กแพร่ไปทั่วปารีส นักศึกษาได้รวมตัวกันอีกครั้งเพื่อเดินขบวนสนับสนุนการปฏิวัติ (เพลง “Red and Black”) อย่างไรก็ตาม มาริอุสวอกแวกเพราะคิดถึงโคเซ็ตต์ เช่นเดียวกับโคเซ็ตต์เองก็คิดถึงมาริอุส (เพลง “In My Life”) เอโปนีนพามาริอุสไปหาโคเซ็ตต์ (เพลง “In My Life”/“A Heart Full of Love”) ขณะที่พ่อผู้ชั่วช้าของเธอพยายามจะปล้นบ้านของวัลฌอง วัลฌองเข้าใจว่าฌาแวร์มาตามล่าเขา เขาจึงบอกโคเซ็ตต์ว่าต้องเดินทางออกนอกประเทศ โคเซ็ตต์แอบเขียนจดหมายถึงมาริอุส เพื่อที่เขาจะได้รู้ว่าจะตามหาเธอได้ที่ไหน เธอเห็นเอโปนีนและขอให้นำจดหมายไปให้มาริอุส เอโปนีนรับจดหมายแล้วเดินไปอย่างท้อแท้บนถนนของปารีส (เพลง “On My Own”) ไปถึงยังอพาร์ทเมนท์ที่มาริอุสอยู่ แต่เพราะหัวใจสลาย เธอเก็บจดหมายไว้แล้วบอกมาริอุสว่าโคเซ็ตต์เดินทางไปอังกฤษ

               เมื่อภาพยนตร์เข้าสู่ฉากเพลงร้องกลุ่ม “One Day More” เราได้ติดตามหลายเส้นเรื่องไปพร้อมกัน วัลฌองกับโคเซ็ตต์ขณะที่กำลังจะหลบหนี ขณะที่มาริอุสเสียใจเรื่องโคเซ็ตต์ และอาโปนีนโศกเศร้าในความรักที่เธอไม่มีวันได้รู้จัก อองฌอลราส์กับเหล่านักศึกษาเตรียมกระสุนปืนสำหรับการลุกฮือ ขณะที่ฌาแวร์ปลุกเร้ากองกำลังและรับปากว่าจะเอาชนะให้ได้ มาริอุสนำขบวนนักศึกษาเดินออกสู่ท้องถนน และได้รับการสนับสนุนจากฝูงชน พวกเขาเข้ายึดงานศพของลามาร์ก (เพลง “Do You Hear the People Sing?”) และเรียกร้องให้ประชาชนลุกฮือ ทหารนายหนึ่งยิงกระสุนมา งานศพได้บานปลายกลายเป็นจลาจล นักศึกษาหนีแยกออกไปแล้ววิ่งกลับไปยังที่มั่น ที่ซึ่งพวกเขาได้เตรียมสร้างสิ่งกีดขวาง เพื่อใช้เป็นที่มั่นสุดท้าย เอโปนีนปลอมตัวเป็นผู้ชายและตัดสินใจเข้าร่วมกับมาริอุสที่นั่น และฌาแวร์ซึ่งปลอมตัวแอบสืบข่าวตลอดงานศพก็ไปยังด่านกีดขวางที่กำลังถูกสร้างขึ้น แต่ไม่ช้า กัฟรอชก็ฉีกหน้ากากเผยตัวตนที่แท้จริงของฌาแวร์ และก็ถูกนักศึกษาจับเป็นตัวประกันในฐานะสายลับ

               ด่านกีดขวางยังคงสูงใหญ่ขึ้น และเหล่านักปฏิวัติปฏิเสธคำเตือนของทหารที่สั่งให้ล้มเลิก เอโปนีนถูกฆ่าขณะช่วยปกป้องมาริอุส (เพลง “A Little Fall of Rain”) แต่เธอก็ยังพอมีแรงเอาจดหมายของโคเซ็ตต์ให้เขาก่อนที่จะสิ้นลม มาริอุสได้ขอให้กัฟรอชเอาจดหมายไปให้โคเซ็ตต์ ซึ่งถูกสกัดโดยวัลฌอง เขาจึงได้เข้าใจว่ามาริอุสกับโคเซ็ตต์รักกัน และเพราะรู้ว่าเหล่านักศึกษาคงไม่มีโอกาสรอด เขาจึงไปตามหามาริอุส วัลฌองเข้าไปในด่านกีดขวางได้และก็พบฌาแวร์ถูกคุมตัวไว้ หลังจากเตือนนักศึกษาให้หลบพลซุ่มยิงและยืนยันการเป็นพันธมิตร วัลฌองก็ขอให้อองฌอลราส์ปล่อยตัวฌาแวร์ให้เขาควบคุม วัลฌองได้โอกาสที่จะฆ่าฌาแวร์ แต่ได้แสดงความเมตตาและปล่อยตัวไป เหล่านักศึกษานั่งพักผ่อนในคืนอันยาวนานที่ด่านกีดขวาง (เพลง “Drink With Me”) และในความเงียบงันนั้น วัลฌองก็ภาวนาต่อพระเจ้าให้ไว้ชีวิตมาริอุส (เพลง “Bring Him Home”)

               วันรุ่งขึ้น ขณะที่กัฟรอชอาสาไปหากระสุนปืนมาเพิ่ม (เพลง “Little People”) เด็กน้อยก็ถูกทหารฆ่าตาย ฝ่ายกบฏถูกทหารระดมยิงใส่อย่างหนักในการโจมตีเพียงครั้งเดียว มาริอุสถูกยิงบาดเจ็บ วัลฌองแบกมาริอุสที่ไม่ได้สติหนีจากการฆ่าอย่างโหดเหี้ยม ไปตามอุโมงค์ระบายน้ำใต้ดิน อองฌอลราส์กับนักศึกษาที่เหลืออยู่ไม่กี่คนถูกฆ่า ฌาแวร์เดินสำรวจศพ มองดูชัยชนะของกฎหมายที่อยู่เหนือฝ่ายต่อต้านอย่างเคร่งขรึม แต่เจ้าหน้าที่ไม่พบวัลฌองจนกระทั่งเขาเห็นฝาท่อระบายน้ำถูกเปิดออก...

               วัลฌองดึงมาริอุสไปตามท่อระบายน้ำ และหลังจากพบเตนาร์ดิเยร์กำลังปลดทรัพย์จากศพฝ่ายกบฏ เขาก็ออกจากอุโมงค์ระบายน้ำได้ แต่ก็ต้องพบฌาแวร์รอเขาอยู่อีกครั้ง วัลฌองร้องขอเวลาให้เขาพพามาริอุสไปส่งโรงพยาบาล แต่ฌาแวร์ขู่ที่จะฆ่าเขาหากเขาพยายามจะหนี วัลฌองยังเดินต่อไป แต่ฌาแวร์ก็ไม่กล้าเหนี่ยวไกปืน ฌาแวร์ปล่อยให้วัลฌองหนีไป แต่ไม่อาจทนอยู่ได้ที่หลักการความยุติธรรมของเขานั้นถูกทำลายลง เขาจึงโดดลงจากสะพานฆ่าตัวตาย

               มาริอุสไม่ทราบตัวตนแท้จริงถึงผู้ที่ช่วยชีวิตของเขา ตื่นขึ้นมาจากฝันร้ายในบ้านของชีเยอนอร์มองด์ คุณตาของเขา (แพทริค ก็อดฟรีย์ จาก The Remains of the Day) ขณะที่ยังอ่อนล้าอยู่ มาริอุสไปยังคาเฟ่ที่ที่เหล่านักศึกษาวางแผนการประท้วง และโศกเศร้าให้แก่สหายที่ตายเพื่ออุดมการณ์ (เพลง “Empty Chairs at Empty Tables”) เมื่อกำลังจะกลับ เขาพบโคเซ็ตต์รออยู่ เมื่อกลับมาที่บ้านของคุณตา มาริอุสค่อยหายเป็นปกติเพราะการดูแลของโคเซ็ตต์ และไปหาวัลฌองเพื่อฟังคำสารภาพเกี่ยวกับอดีตของเขา เพราะรู้ว่าเขาจำต้องหนีไปเพื่อไม่ให้โคเซ็ตต์ต้องเสื่อมเสียหากเขาถูกจับได้ (เพลง “Who Am I?”) วัลฌองให้มาริอุสสาบานว่าจะไม่ให้โคเซ็ตต์รู้ที่มาที่แท้จริงของตน

               มาริอุสและโคเซ็ตต์แต่งงานกัน และในงานเลี้ยงวิวาห์นั้น คู่สามีภรรยาเตนาร์ดิเยร์ก็พยายามขู่กรรโชกทรัพย์จากมาริอุส เพื่อแลกกับการปกปิดตัวตนแท้จริงของวัลฌอง แต่เมื่อมาริอุสพบแหวนของเขาที่เตนาร์ดิเยร์ขโมยไปในคืนนั้นที่อุโมงค์ระบายน้ำ มาริอุสก็ได้เข้าใจว่าวัลฌองนั่นเองที่ช่วยชีวิตของเขา เขาชกเตนาร์ดิเยร์แล้วสั่งให้จับโยนสามีภรรยาคู่นี้ออกไปขณะที่ทั้งคู่ร้องเพลงประท้วง (เพลง “Beggars at the Feast”) โคเซ็ตต์ไปกับมาริอุส เร่งรุดสู่คอนแวนท์เพื่อเธออาจได้รู้เกี่ยวกับประวัติแท้จริงของเธอ ทั้งสองอยู่กับวัลฌองขณะที่เขากำลังจะตาย และมีวิญญาณของฟองทีนกับท่านบิชอปมาอยู่ร่วม (เพลง “Take My Hand”)

               หลายปีต่อมา ประชาชนชาวปารีสลุกฮือขึ้นเป็นพันคน สาธารณรัฐใหม่ได้กำเนิดขึ้นมา  มีด่านกีดขวางขนาดมหึมาที่มีผู้คนอยู่นับพัน (เพลง “Do You Hear the People Sing?”) ในหมู่คนเหล่านั้น เราเห็นวิญญาณของอองฌอลราส์กับเหล่านักศึกษา กัฟรอช เอโปนีน ฟองทีน และวัลฌอง ต่างร้องเพลงฉลองชัยชนะร่วมกัน
« Last Edit: January 20, 2013, 07:51:56 PM by happy »