happy on December 29, 2012, 07:09:46 PM

Killing Them Softly / ค่อยๆล่า ฆ่าไม่เลี้ยง

นักแสดง - แบรด พิทท์, แซม ร็อคเวลล์, เรย์ ลิออตต้า, ริชาร์ด เจนกินส์, เจมส์ แกนโดลฟินี่

ผู้กำกับ - แอนดรูว์ โดมินิค

ประเภท – แอ็คชั่น  

กำหนดเข้าฉาย 17 มกราคม 2013 เฉพาะเครือ SF และ เครือ APEX เท่านั้น


<a href="http://www.youtube.com/watch?v=9Tx8zUOG-sg" target="_blank">http://www.youtube.com/watch?v=9Tx8zUOG-sg</a>

               แจ็คกี้ โคแกน คืออาชญากรมืออาชีพที่ถูกจ้างมาเพื่อสืบสวนการปล้นซึ่งเกิดขึ้นในระหว่างการพนันไพ่โป๊กเกอร์ของพวกมาเฟีย

               ชายโง่สามคน ผู้คิดว่าตัวเองฉลาด เข้าปล้นบ่อนของแก๊งมาเฟีย ที่อยู่ภายใต้การคุ้มกัน ทำให้เศรษฐกิจของบรรดาแก๊งมาเฟียในท้องถิ่นต้องพังครืนลงมา แบรด พิตต์รับบท ผู้คุ้มกฎ ที่ถูกจ้างวานให้ไล่ล่าพวกเขา และฟื้นฟูกฎระเบียบให้กลับมาเป็นเหมือนเดิม KILLING THEM SOFTLY ยังร่วมแสดงโดยริชาร์ด เจนกินส์ (THE VISITOR), เจมส์ แกนดอลฟินี (THE SOPRANOS), เรย์ ลิออตต้า (NARC), สกู๊ต แม็คแนรี (MONSTERS), เบน เมนเดลซอห์น (ANIMAL KINGDOM) และวินเซนต์ คูราโทลา (THE SOPRANOS) นอกจากนั้นแล้ว แม็กซ์ คาเซลลา, เทรเวอร์ ลอง, สเลนและแซม เชพเพิร์ดก็ได้ร่วมแสดงด้วยเช่นกัน
            KILLING THEM SOFTLY เขียนบทและกำกับโดยแอนดรูว์ โดมินิค (THE ASSASSINATION OF JESSE JAMES BY THE COWARD ROBERT FORD) จากนิยายโดยจอร์จ วี. ฮิกกินส์เรื่อง COGAN’S TRADE แบรด พิตต์, ดีดี้ การ์ดเนอร์, สตีฟ ชวอร์ทซ์, พอลลา เมย์ ชวอร์ทซ์และแอนโธนี คาตากัส อำนวยการสร้างภาพยนตร์เรื่องนี้ โดยมีโรเจอร์ ชวอร์ทซ์, แมทธิว บัดแมน, วิล เฟรนช์และดักกลาส เซย์เลอร์ จูเนียร์รับหน้าที่ผู้ร่วมอำนวยการสร้าง ผู้กำกับภาพ เกร็ก เฟรเซอร์และผู้ออกแบบงานสร้างและออกแบบเครื่องแต่งกาย แพทริค นอร์ริส นำทีมงานเบื้องหลัง ผู้คัดเลือกนักแสดงสำหรับ  KILLING THEM SOFTLY คือฟรานซิน ไมส์เลอร์และไบรอัน เอ. เคทส์, เอ.ซี.อี. รับหน้าที่มือลำดับภาพ ผู้ควบคุมงานสร้างคือเมแกน เอลลิสัน, มาร์ค บูตัน, บิล จอห์นสัน, จิม ซีเบล, บ็อบ วีนสไตน์, ฮาร์วีย์ วีนสไตน์, เอดี้ แชงการ์ และสเปนเซอร์ ซิลนา
            วีนสไตน์ คัมปะนีและอินเฟอร์โน ภูมิใจนำเสนอ ผลงานสร้างโดยแพลน บี เอนเตอร์เทนเมนต์ ร่วมกับแอนนาพูร์นา พิคเจอร์สและ 1984 ไพรเวท ดีเฟนซ์ คอนแทร็คเตอร์ส KILLING THEM SOFTLY ภาพยนตร์เรื่องนี้จัดจำหน่ายในอเมริกาโดยวีนสไตน์ คัมปะนี ในขณะที่อินเฟอร์โนเป็นตัวแทนจำหน่ายในต่างประเทศ KILLING THEM SOFTLY ยังไม่ได้รับการจัดเรทโดยสมาพันธ์ภาพยนตร์แห่งอเมริกา



การสร้างภาพยนตร์

คำแถลงการณ์ผู้กำกับ

               ผมได้ดู THEFRIENDSOFEDDYCOYLE ทางโทรทัศน์และทึ่งกับความสมจริงของตัวละคร สถานการณ์และไดอะล็อคในทันที ผมเสิร์ชหาชื่อของจอร์จ วี. ฮิกกินส์ทางอินเทอร์เน็ตและพบว่าเขาเคยเป็นอัยการในบอสตันมา 20 ปี และจนถึงตอนนี้ ผมก็เกิดความสนใจในตัวเขา...เขาเป็นคนที่รู้ว่าตัวเองกำลังเขียนเกี่ยวกับอะไร และได้เขียนนิยายอีก 20 เรื่อง ซึ่งทุกเรื่องดูเหมือนจะขาดตลาดไปแล้ว ตามตรรกะแบบฮอลลีวูด เบื้องบนน่าจะเขี่ยฮิกกินส์ทิ้งไปหลังจากที่ EDDY COYLE ไม่ได้สร้างเสียงฮือฮาในบ็อกซ์ออฟฟิศ และนี่คือขุมทรัพย์ที่เปี่ยมด้วยศักยภาพ ที่ยังไม่ถูกใช้ ผมสั่งหนังสือของเขามาสิบเล่มจากร้านขายหนังสือมือสอง และก็อ่านมันในทันทีที่พวกมันถูกส่งมาถึงบ้านผม COGAN’STRADEก็เป็นเรื่องที่สามที่ผมอ่าน และดูเหมือนว่ามันจะเหมาะต่อการนำไปสร้างเป็นบทภาพยนตร์ในทันที มันมีทั้งตัวละครเยี่ยมๆ ไดอะล็อคเยี่ยมๆ และพล็อตที่เรียบง่ายมากๆ
      เดิมทีผมจินตนาการภาพยนตร์เรื่องนี้ว่าเป็นดรามา แต่พอผมล้วงลึกเข้าไป ผมก็เกิดความคิดว่า นี่คือเรื่องราวเกี่ยวกับวิกฤตเศรษฐกิจ วิกฤตเศรษฐกิจของพวกอาชญากร ที่มีเงินไหลเวียนเป็นเงินจากการพนัน และปัญหาก็เกิดจากความล้มเหลวในการบังคับใช้กฎระเบียบ พูดอีกอย่างก็คือมันเป็นเหมือนหน่วยย่อยของเรื่องราวที่ใหญ่กว่า ที่กำลังเกิดขึ้นในอเมริกาขณะนั้น
   แล้วผมก็เริ่มนึกถึง REDALERT หนังสือที่เป็นที่มาของ FAILSAFE ดรามายอดเยี่ยมแต่ก็ไม่น่าจดจำเกี่ยวกับอุบัติเหตุทางนิวเคลียร์และ DR.STRANGELOVE ซึ่งเป็นคอเมดีที่มีพล็อตเดียวกัน คูบริคได้เปิดโอกาสให้เราได้หัวเราะกับความกลัวของเราและผมก็เริ่มนึกว่าบางที ผมน่าจะหาวิธีให้คนได้หัวเราะกับวิกฤตเศรษฐกิจ ที่ทำให้โลกมาอยู่บนขอบเหวของหายนะด้วยเหมือนกัน
   ผมรู้สึกเสมอว่า ดรามาอาชญากรรมมักเป็นเรื่องเกี่ยวกับทุนนิยม ด้วยความที่ภาพยนตร์เหล่านั้นจะแสดงให้เห็นถึงไอเดียของเหล่านักทุนนิยมในรูปแบบพื้นฐานที่สุด นอกจากนั้น มันยังเป็นภาพยนตร์เพียงแนวเดียวที่เป็นที่ยอมรับได้แม้ว่าตัวละครจะมีแรงจูงใจจากความต้องการเงินก็ตาม มันไม่มีเข็มทิศศีลธรรมจำพวก ‘ค่านิยมของครอบครัว’ หรือ ‘ทำตามความฝันของคุณ’ ทั้งนั้นครับ
   ผมมองเห็นภาพยนตร์ ที่ตัวละครเป็นคนที่ใฝ่ฝันถึงเงินทอง ผู้ไม่รู้ตัวเลยว่าตัวเองไร้ความสุขขนาดไหน พวกเขาพบว่างานของตัวเองเป็นอะไรที่น่าเบื่อหน่าย พวกเขาเป็นเหยื่อของเจ้านายไร้ความสามารถ ที่ตัดสินใจไม่เด็ดขาด และพวกเขาก็ทำให้ตัวเองเฉยชาต่อความเจ็บปวดด้วยยาเสพติด เซ็กส์และแอลกอฮอล์ ผู้ไม่เคยต้องการจะมองตาเหยื่อของตัวเอง และผมก็คิดว่า นี่จะต้องเป็นคอเมดี
   ผมติดต่อแบรดและอธิบายไอเดียพื้นฐานของผมด้วยข้อความ ผมพยายามจะหยั่งความสนใจของเขาก่อนที่ผมจะรุกคืบหน้า ผมคิดเอาเองว่าตอนนั้น เขาน่าจะมีโปรเจ็กต์ใหญ่กว่ารออยู่ และคงจะไม่สนใจที่จะแสดงหนังทุนไม่สูงนัก ที่ได้รับการติดต่อล่วงหน้าไม่เท่าไหร่ แต่เขาตอบสนองในทันทีและ 45 นาทีหลังจากนั้น ไม่เพียงแต่เขาจะตกลงเล่น แต่เราก็ทำข้อตกลงร่วมกันเป็นที่เรียบร้อย สิ่งที่เหลือมีเพียงแค่การแจ้งเอเจนท์ให้รู้เรื่องนี้ โทรหาดีดี้ (การ์ดเนอร์) และเลือกนายทุน จริงๆ แล้วตอนนั้นผมก็มีอยู่คนหนึ่ง แต่เงินทุนเท่านี้สำหรับหนังแบรด พิตต์ ดูเหมือนจะดีเกินจริง เขาก็เลยถอนตัว ฮอลลีวูดเป็นเมืองประหลาดครับ ถ้าคุณพยายามจะทำดีกับใคร พวกเขาก็มักจะวิ่งหนีหัวซุกหัวซุน
   ส่วนที่เหลือค่อนข้างตรงไปตรงมาครับ เราอยากจะถ่ายทำเรื่องราวเกี่ยวกับเศรษฐกิจที่ล่มสลาย ในรัฐที่นำเสนอส่วนลดการเงินให้กับเรามากที่สุด และนิวออร์ลีนส์ก็ดูเหมือนตัวเลือกที่เหมาะกว่าดีทรอยท์ แล้วเราก็เลือกทีมงานหลักจาก THEASSASSINATIONOF JESSEJAMESBYTHECOWARDROBERTFORD ให้มากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ รวมถึงนักแสดงที่ดีที่สุด ที่คิวว่างด้วย เพื่อไปถ่ายทำกันที่นั่น และผลที่ได้คือ KILLINGTHEMSOFTLY ครับ
« Last Edit: December 29, 2012, 07:40:32 PM by happy »

happy on December 29, 2012, 07:15:27 PM



แถลงการณ์จากผู้อำนวยการสร้าง (ดีดี้ การ์ดเนอร์)

               แอนดรูว์บอกฉันว่าเขาเจอหนังสือเรื่องหนึ่งที่เขียนขึ้นในยุค 70s ที่เป็นเรื่องราวเกี่ยวกับการปล้น และมันก็ตลกตรงเรื่องของการชำแหละเรื่องของสถาบันและความล้มเหลวของสถาบันพวกนั้น เขาเกิดไอเดียที่จะใช้ร่างกฎหมายฟื้นฟูเศรษฐกิจของรัฐบาลมาเป็นฉากหลัง เรื่องการคอร์รัปชันเป็นระบบค่ะ มันไม่ได้เกิดขึ้นโดดๆ มันส่งผลต่อเราทุกคน และเราต่างก็เป็นส่วนหนึ่งของมัน เขาได้วางความซับซ้อนเป็นศูนย์กลางแล้วรอดูว่าจะเกิดอะไรขึ้น
      ฉันชื่นชอบบทภาพยนตร์เรื่องนี้ตั้งแต่คำแรก มันเป็นบทภาพยนตร์ที่มีความรักอย่างลึกซึ้งต่อสิ่งที่ผู้คนพูดและวิธีการที่พวกเขาพูด แอนดรูว์สนใจเพียงแต่การถ่ายทอดภาพของผู้คนออกมาอย่างที่พวกเขาพูด หรือส่งเสียงออกมาจริงๆ ซึ่งเราอาจแปลกใจว่ามันสร้างความโล่งใจได้มากแค่ไหน
   การทำงานร่วมกับนักแสดงกลุ่มนี้เหมือนกับการไปงานคืนสู่เหย้าที่คุณอยากจะไปจริงๆ มันเป็นเหมือนการคืนสู่ถิ่น ที่เต็มไปด้วยการค้นพบค่ะ
   การได้กลับมาทำงานร่วมกับแพ็ตตี้ (นอร์ริส) เป็นความสุขอย่างยิ่ง และมันก็ยังเป็นการแสดงความเคารพที่ทรงคุณค่าและเป็นส่วนตัวมากๆ ต่อประสบการณ์ของเราใน THEASSASSINATION OFJESSEJAMESBYTHECOWARD ROBERTFORD การได้แพ็ตตี้มาทำงานกับเราเป็นประโยชน์มากต่อภาพยนตร์เรื่องนี้ และเธอก็ช่วยเราซ้ำแล้วซ้ำอีก การที่ฉันกับแอนดรูว์มีโอกาสนี้ได้เป็นเรื่องน่าแปลกใจค่ะ เพราะหลังจาก JESSEJAMES เราก็คิดว่าเราคงจะไม่ได้ร่วมงานกันอีก แต่กลับไม่เป็นแบบนั้น อย่างน้อยๆ มันก็ทำให้เรายิ้มได้ค่ะ
   เราทั้งคู่ต่างก็เป็นแฟนผลงานของเกร็ก เฟรเซอร์ แอนดรูว์รู้จักเขาจากที่ออสเตรเลียและพวกเขาก็รู้จักคนหลายๆ คนเหมือนกัน เขาเป็นคนกล้า เป็นคนสุดโต่งและเจ๋งมาก เขาก้าวเข้าไปในกลุ่มคนที่รู้จักกันและกันอย่างดี และยกระดับมาตรฐานผลงานตัวเองได้อีกครั้ง คุณจะขออะไรได้มากไปกว่านี้อีกล่ะคะ
      ฉันเชื่อสุดจิตสุดใจเลยว่าแอนดรูว์เป็นหนึ่งในผู้กำกับที่เก่งที่สุดที่ทำงานในปัจจุบันนี้ ฉันรู้ซึ้งถึงกระดูกดำเลย บางที โลกอาจจะยอมรับเรื่องนี้ในชั่วชีวิตของเรา หรืออาจจะไม่ก็ได้ แต่สำหรับฉันแล้ว การได้ร่วมงานกับแอนดรูว์ช่วยสร้างคำนิยามให้กับสิ่งที่ฉันเลือกที่จะทำงาน นั่นคือการอำนวยการสร้างค่ะ เขาเป็นคนน่ารัก ซับซ้อน ไม่อ่อนไหว ตลก และลึกซึ้ง และเขาก็คำนึงถึงแต่ภาพยนตร์เสมอ การที่ระหว่างเราเกิดมิตรภาพ ที่ฉันซาบซึ้งกับมัน เป็นแค่โบนัสค่ะ สิ่งที่ฉันรู้เหนือสิ่งอื่นใดคือฉันรู้สึกว่าตัวเองโชคดี ฉันได้เรียนรู้และฉันก็รู้สึกภูมิใจมาก เราอายุมากขึ้นและเราก็ฉลาดมากขึ้น เรารักกันและกันมากขึ้นกว่าแต่ก่อน เราจะขออะไรมากไปกว่านี้สำหรับความสัมพันธ์กับเพื่อนมนุษย์อีกคนได้ล่ะคะ
   ฉันคิดว่าตัวงานจะพูดด้วยตัวของมันเอง ถ้ามีสิ่งหนึ่งที่ฉันได้เรียนรู้จากเทอร์รี (มาลิค) มันคือคุณรู้อยู่แล้วว่าตัวคุณเองคิดอะไร สิ่งที่สำคัญคือสิ่งที่คนใหม่ๆ คิด นั่นคือตอนที่สิ่งที่คุณทำ หรือสิ่งที่คุณได้ทำ จะเปิดกว้างขึ้น และนั่นก็เป็นเหตุผลเดียวที่เรายังคงทำงานนี้กันต่อไปค่ะ





นักแสดง

               “บ่อนถูกปิดและเราก็ต้องหาตัวคนทำมาให้ได้”  ริชาร์ด เจนกินส์ ผู้รับบทไดรเวอร์ ทนายความ และผู้ส่งสารไปถึงแจ็คกี้ โคแกน มือปืนที่ถูกจ้างวานให้สืบสวนคดีปล้น ที่เกิดขึ้นระหว่างเกมโป๊กเกอร์ ที่อยู่ภายใต้การคุ้มกันของแก๊งมาเฟีย กล่าว “คนจะไม่ยอมเปิดบ่อนจนกว่าผู้ร้ายจะยังลอยนวลอยู่ เราอยากทำให้พวกเขารู้ว่าเราซีเรียสกับเรื่องนี้ เราก็เลยจ้างโคแกน ผู้มีความชำนาญการเข้ามา” เจนกินส์กล่าวต่อถึงบทของพิตต์ว่า “เขาเป็นคนที่ค่อนข้างฉลาดในแบบของเขา เป็นคนรอบรู้เรื่องกลเม็ดเด็ดพรายทั้งหลาย แต่เพราะเราไม่เคยร่วมงานกับเขามาก่อน เราก็เลยรู้สึกระแวงนิดๆ ครับ”
   “มีการพูดคุยกันอยู่นานในรถคันนั้น ซึ่งก็เป็นเรื่องดีเพราะเราไม่ต้องขยับไปไหน แค่นั่งคุยกันอยู่ตรงนั้นเอง” เจนกินส์และพิตต์ใช้เวลากว่าสัปดาห์อยู่ในรถเพื่อถ่ายทำฉากนั้นด้วยกัน “เรานัดคุยกันในรถ มันเป็นสัปดาห์ที่เยี่ยม เยี่ยมจริงๆ ครับ” เจนกินส์ยอมรับ “ผมชอบทำงานร่วมกับเขา เขาเป็นนักแสดงที่เก่งกาจครับ”
   ในตอนที่เขาอ่านบทครั้งแรก เจนกินส์พบว่า “ตัวละครพูดเหมือนเป็นมนุษย์ที่ซับซ้อน แทนที่จะเป็นแค่ตัวละครในหนัง” เจนกินส์พูดกับโดมินิคเกี่ยวกับบทนี้ครั้งแรกทางโทรศัพท์ และรู้สึกถูกดึงดูดเข้าหาความรักที่ผู้กำกับมีต่อการสร้างภาพยนตร์ “แอนดรูว์เป็นคนมีความคิดสร้างสรรค์ เขามีสิ่งที่อยากพูดหลายอย่างและก็พบสื่อที่จะใช้ มันเหมือนเขาอยู่ในสวรรค์และเราก็ไปกับเขาด้วย แอนดรูว์เป็นหนึ่งในผู้กำกับที่ไม่ได้มองหาอะไรเป็นพิเศษ แต่เขาจะมองสิ่งที่คุณทำ เขาเป็นเหมือนผู้ชมครับ เขาบอกว่า ‘ผมจะดูไปตลอดเลยก็ได้ถ้าผมสนใจ’ น่ะครับ” เจนกินส์เล่า
   เมื่อเร็วๆ นี้ เจนกินส์เพิ่งร่วมงานกับผู้อำนวยการสร้างดีดี้ การ์ดเนอร์และพิตต์ใน EAT PRAYLOVE และ “ผมก็จำได้ว่าแบรดพูดถึงแอนดรูว์ว่าเขาชื่นชอบการได้ร่วมงานกับเขามากแค่ไหน ผมก็เลยคิดในใจว่า ไม่ว่ายังไง ผมก็น่าจะทำงานนี้นะ” นักแสดงหนุ่มบอก
   “แจ็คกี้เชื่อว่านี่ไม่ใช่เรื่องของประเทศ แต่เป็นธุรกิจครับ” เจนกินส์ ผู้อ้างถึงการถ่ายทอดสภาวะด้านศีลธรรมในปัจจุบันออกมาของเดวิด มาเม็ตใน AMERICANBUFFALO กล่าว “เขาเคยกล่าวว่า มิตรภาพก็เรื่องหนึ่ง ธุรกิจก็เรื่องหนึ่ง และหนังเรื่องนี้ก็เป็นแบบนั้นล่ะครับ ถ้าเป็นเรื่องของธุรกิจแล้วล่ะก็ ตัวใครตัวมันครับ”
   “แอนดรูว์เป็นคนแบบที่ว่าไม่ว่าคุณจะทำอะไรไปมากน้อยขนาดไหน เขาก็อยากจะได้ยิน ได้เห็นเรื่องนั้น” เรย์ ลิออตต้า ผู้ออดิชันสำหรับหลายบทในเรื่อง แต่จริงๆ แล้ว อยากรับบท มาร์กี้ แทรทแมน กล่าว “ผมเป็นคนที่ดีที่สุดในกลุ่มนี้ เป็นคนที่มีหน้าที่คุมบ่อน เป็นคนที่ควงสาวๆ เสมอ ดังนั้น ทุกคนก็เหมือนจะชื่นชอบมาร์กี้ นั่นเป็นเหตุผลที่ทำให้ผมอยากรับบทนี้…การได้เล่นเป็นคนเลวที่น่ารักน่ะครับ”
   มาร์กี้ตกเป็นผู้ต้องสงสัยเมื่อแก๊งมาเฟียเริ่มหาตัวคนผิดหลังจากที่บ่อนไพ่ของพวกเขาถูกปล้น “ผมเป็นคนระดับต๊อกต๋อย ผมคอยคุมบ่อนไพ่ และดูแลเงินทั้งหมด พวกเขาไม่แคร์หรอกว่าผมเป็นคนทำรึเปล่า พวกเขาก็แค่อยากได้แพะ เพื่อที่ธุรกิจจะได้เดินหน้าต่อได้” ลิออตต้ากล่าว
   “พวกเขาเรียกตัวเจมส์ แกนดอลฟินี (มิคกี้) มาจัดการผม แต่ในหนัง เขายุ่งอยู่กับการกรอกเหล้าเข้าปากครับ” ลิออตต้ากล่าวกลั้วหัวเราะ น่าขันที่มาร์กี้โดนซ้อมโดยชายสองคนที่เขาไปเก็บหนี้พนัน  “ลูกสมุน” ของเขาหักหลังเขา “ซึ่งมันทำให้ผมช็อค และเป็นเรื่องสั่นประสาทจริงๆ ครับ แล้วผมก็รู้ว่าพวกเขาจะทำอะไรและสามารถทำอะไรได้ด้วย พวกเขาก็เลยซ้อมผมจนน่วมเลย”
   บทนี้เป็นบทที่ต้องใช้แรงเยอะและเขาก็รู้ว่า โดมินิค “ต้องการความสมจริง” ลิออตต้าอยากจะทำทุกอย่างเองในฉากต่อสู้ และการกระแทกหน้าต่าง ดังนั้น การซักซ้อมกับทีมสตันท์ ที่นำทีมโดยดาร์ริน เพรสค็อทท์และเว้ด อัลเลนจึงเป็นกุญแจสำคัญ “อย่างที่ผมเคยบอก ก่อนหน้านี้ ผมจะเป็นฝ่ายออกหมัดเสมอ แต่ตอนนี้ ผมต้องเป็นคนมารับหมัดซะแล้ว” ลิออตต้ากล่าว “ทีมสตันท์สอนผมว่าจะทำยังไง ผมมุ่งมั่นที่จะแสดงเองทั้งหมด และมันก็สนุกดีแบบโหดๆ ครับ มันก็เป็นความรู้สึกดีเหมือนกันที่ได้รับหมัดแทนที่จะออกหมัด”
โดมินิคมีความคิดที่เฉพาะเจาะจงทั้งในเรื่องเกี่ยวกับร่างกายและความคิด “มันมีไดอะล็อคหลายตอนที่มีจังหวะบางอย่าง” ลิออตต้า ผู้รู้จักผู้กำกับตั้งแต่หลังจากที่ Chopper เข้าฉาย กล่าว “เขาเป็นผู้กำกับที่เก่ง และผมก็รู้สึกดีที่ได้เห็นคนที่ตื่นเต้นกับสถานการณ์สมมติ  ผมโชคดีที่ได้ร่วมงานกับผู้กำกับบางคน ที่มีความรักในการเนรมิตวิสัยทัศน์ของพวกเขาให้เป็นความจริงขึ้นมาครับ”
   “จอห์นนี อามาโต้ไม่เคยก้าวถึงระดับสูงสุด” วินเซนต์ คูราโตลา พูดถึงตัวละครของเขา ที่คอยวางแผน และแทบจะก้าวขาไม่พ้นคุก “เขาเป็นพวกอยากดัง เขาอยากจะไปมีเอี่ยวกับพวกคนใหญ่คนโต พวกคนใหญ่คนโตไม่ได้ทำงาน แต่พวกเขาจะคิดการใหญ่ คืนวันพรุ่งนี้ พวกเขาอาจจะไฮแจ็ครถบรรทุกหกคัน แล้วอยู่อย่างสบายไปอีกหกปีก็ได้”
   “จอห์นนีรู้สึกเสมอว่า วินาทีต่อไปจะต้องดีกว่าที่เป็นอยู่” เขามีแผนการอยู่แล้ว และนั่นเองคือโอกาสให้แฟรงค์กี้ ที่รับบทโดย สกู๊ต แม็คแนรี ก้าวเข้ามา  จอห์นนี ผู้เคยพบกับเขาในคุกและมองตัวเองว่าเป็นลูกพี่ ได้พาแฟรงค์กี้ไปเป็นผู้คุมงาน “ผมชอบที่เขาสวมบทบาทวันละ 24 ชั่วโมง” คูราโตลาเล่าถึงการใช้เวลาร่วมกับแม็คแนรีของเขาในนิวออร์ลีนส์ ซึ่งเป็นโลเกชันถ่ายทำของเรื่อง “เขาจะส่งข้อความหาผมว่า ‘นายฮะ นี่แฟรงค์กี้นะ ผมหิว ไปหาอะไรกินกันเถอะ…แต่ผมไม่มีเงินฮะ’ แน่นอนครับว่าเขาล้อเล่น” คูราโตลากล่าวยิ้มๆ “สกู๊ตเป็นคนที่มีสมาธิอย่างยิ่ง ไม่ว่าคุณจะขว้างอะไรไปทางเขา เขาก็รับได้หมด เขาจะผสมให้มันกลมกล่องแล้วโยนมันกลับไปหาคุณ ซึ่งก็ไม่เหมือนเดิมกับที่เขาเคยทำมาก่อน เขาชำนาญมากครับ!”
   แต่คู่หูของแฟรงค์กี้คือคนที่ทำให้จอห์นนีหวั่นใจ “เขาพารัสเซล (รับบทโดยเบน เมนเดลซอห์น) ซึ่งเป็นหายนะของมนุษยชาติมาด้วย เมื่อชายหนุ่มสองคนนี้เดินเข้ามาด้วยกัน ผมมองพวกเขาแล้วบอกว่า เขาดูเหมือนเพิ่งก้าวออกมาจากห้องขังเลย คุณคงจินตนาการได้ว่าผมพูดถึงเรื่องอะไร มันไม่ใช่ว่าผมจะไปเยล เพื่อประกาศรับสมัครลูกทีมหรอกครับ” คำถามก็คือ พวกเขาจะทำงานนี้ได้รึเปล่า “นั่นคือตอนที่เกิดความลุ้นระทึกเล็กๆ ขึ้นครับ” คูราโตลากล่าวยืนยัน
   “แจ็คกี้ โคแกนเป็นตัวละครที่มุ่งมั่นจะทำให้ทุกอย่างเพอร์เฟ็กต์ เขาทำให้ผมนึกถึงนายพลสมัยจักรวรรดิโรมันโน่นแน่ะครับ” คูราโตลากล่าว “มันจะต้องเพอร์เฟ็กต์ และถ้าใครไม่ทำตามวิธีที่เขาบอกล่ะก็ เขาก็จะจัดการคนๆ นั้น แต่แจ็คกี้ก็ลงมือได้อย่างชาญฉลาดจนคนจะนับถือการที่เขาสามารถฆ่าคน 10 คนแล้วยังไปดินเนอร์ต่อได้น่ะครับ”
   คูราโตลาสนใจการล้วงลึกเข้าไปในธรรมชาติของมนุษย์และอารมณ์ตลกร้ายที่เขาพบในบทของโดมินิค “ไดอะล็อคมันหนามากจนเหมือนกับคัมภีร์ไว้ศึกษาเพื่อเป็นนักบวชเลยล่ะครับ” เขากล่าวติดตลก “ผมเพิ่งผ่านการทำงานเก้าปีใน THE SOPRANOS เรารู้จักตัวละครของเราดีจนเมื่อถึงเวลาที่เรานำตัวผู้กำกับรับเชิญเข้ามา มันก็เหมือนว่าพวกเขาไม่ได้แตะต้องเราด้วยซ้ำ แต่แอนดรูว์รู้จักแก่นแท้ของอามาโต้ในทันที การร่วมงานกับแอนดรูว์เป็นเหมือนวันแรกที่คุณไปโรงเรียน แล้วครูมาบอกคุณว่า ให้ท่องสูตรคูณ 4,800 รอบน่ะครับ”
   เราได้พบกับแฟรงค์กี้ ที่เพิ่งพ้นคุกมาหมาดๆ ท่ามกลางวิกฤตเศรษฐกิจและการเลือกตั้งประธานาธิบดีในปี 2008  “แฟรงค์กี้อยากได้บ้าน อยากมีรถ และอยากควงสาว” แม็คแนรีกล่าว “เขายอมทำทุกสิ่งเพื่อให้ได้สิ่งเหล่านั้น และจอห์นนี อามาโต้ก็เป็นคนที่ปิ๊งไอเดียขึ้นมา พวกเขาคิดแผนการสุดฉลาดนี้ขึ้นมา และหนังเรื่องนี้ก็เริ่มต้นจากจุดนั้นครับ”
   แม็คแนรีอยู่ในยูทาห์ตอนที่เขาได้รับโทรศัพท์ให้มารับการคัดเลือกนักแสดงกับโดมินิค “เขาให้ผมจำบทโมโนล็อกสามหน้า” นักแสดงหนุ่มเล่า “ผมอ่านมันจบจบ แอนดรูว์บอกขอบคุณ แล้วเราก็ล่ำลากัน ความคิดแรกของผมก็คือ ‘ผมบินมาตั้งไกลจากยูทาห์ เพียงเพื่อจะมาอ่านบทแค่ครั้งเดียวเนี่ยนะ ตอนเย็นวันนั้น เขาขอให้ผมกลับมาใหม่ แล้วคืนนั้น เขาก็โทรบอกผมว่าผมได้บทนั้น” ในช่วงหนึ่งเดือนหลังจากนั้น ทั้งคู่ได้คุยโทรศัพท์กัน และโดมินิคก็ได้ส่งบทออริจินอลที่หนาเกือบ 400 หน้าให้เขา “พอคุณอ่านหนังสือเล่มนั้น ทุกอย่างจะถูกตีแผ่มาให้คุณเบ็ดเสร็จ มันบอกเล่าเรื่องราวเบื้องหลังทั้งหมดของคุณเลย…แล้วพอผมมีคำถามเกี่ยวกับแฟรงค์กี้ ผมกับแอนดรูว์ก็จะคุยกันเพิ่มเติมครับ”
   “การร่วมงานกับวินนี (คูราโตลา) ยอดเยี่ยมมาก” แม็คแนรีเล่า “เขาเป็นคนที่ยอดเยี่ยมและมีพรสวรรค์จริงๆ และเขาก็เป็นคนสนุกมากด้วย เขาเป็นเหมือนอันธพาล ที่เดินคาบซิการ์ในปาก และคุณก็จะรู้สึกเสมอว่า ถ้าคุณอยู่ใกล้ๆ เขา คุณอาจโดนเก็บก็ได้น่ะครับ”
   รัสเซล มือปืนของแฟรงค์กี้ ทำตัวเองให้คึกคักด้วยยาเสมอ และอามาโต้ก็ไม่ค่อยแน่ใจซักเท่าไหร่กับการนำตัวเขามาร่วมงานด้วย เขารู้สึกว่าคุณคงไม่อยากจะทำธุรกิจกับคนแบบนี้ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องอาชญากรรมหรือไม่ก็ตาม “แต่แฟรงค์กี้ต้องการงานนี้และมันก็ไม่ใช่ประเด็น เขาคิดในใจว่า ‘ช่างมันเถอะ เรามาเดินหน้ากันดีกว่า’ น่ะครับ” แม็คแนรีกล่าว และทั้งคู่ก็เริ่มลงมือปฏิบัติการตามแผนการที่วางเอาไว้
   “ไม่นานนัก แฟรงค์กี้ก็มีเงิน เขามีรถ ได้ควงสาว ทุกอย่างไปได้สวยจนกระทั่งการได้พบกันโดยบังเอิญในบาร์” แม็คแนรีเผย “ผมบอกแอนดรูว์ว่าผมไม่อยากพบแบรด (โคแกน) จนกระทั่งวันนั้น มันก็เลยไม่มีการแนะนำ ไม่มีการซ้อม หรืออะไรซักอย่าง ผมนั่งอยู่ที่บาร์ เขาเข้ามา และเราก็เริ่มบรรเลงกันทันที คูแกนทำแบบนี้เพื่อทดลองว่าเขาจะสืบอะไรได้จากผมบ้าง และแฟรงค์กี้ก็เต็มไปด้วยความคิดสลับซับซ้อนและคาดเดาไม่ได้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นในสองวินาทีถัดไป หรือ 48 ชั่วโมงถัดไป คุณจะได้เห็นเราพบกันเป็นครั้งแรกทั้งในหนังและในชีวิตจริงครับ”
   “แอนดรูว์ใช้สัญชาตญาณกับกระบวนการคิดของเราระหว่างทำงานครับ” แม็คแนรีกล่าว “เขาอยากให้มันเป็นเหมือนโรลเลอร์คอสเตอร์ของความคิดแบบแรนดอมที่ประเดประดังมาหาคุณไม่หยุด แต่มันก็ทำให้เกิดการแสดงในแบบที่พัฒนาขึ้นจริงๆ แอนดรูว์คอยผลักดันคุณไปข้างหน้าและขยันสั่งเทคบ่อยๆ แต่แต่ละเทคก็เป็นโอกาสภายในตัวมันเองครับ”
   แฟรงค์กี้เคยติดคุกอยู่กับรัสเซล ชาวออสเตรเลีย ผู้ซึ่งอาชีพปัจจุบันคือการขโมยสุนัขไปขาย “ความฝันของเขาคือการหาเงินได้มากพอที่จะซื้อยาเสพติดได้มากพอ เพื่อที่จะขายและใช้มันให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้” เบน เมนเดลซอห์น ผู้รับบท รัสเซล นักธุรกิจกระจอก อธิบาย “เขาไม่ใช่คนสะอาดนัก ทั้งทางร่ายกาย จิตใจ อารมณ์ และเขาก็ไม่ได้เป็นคนที่มีประวัติใสสะอาดด้วย เขาเป็นคนประเภทสกปรกโสโครกครับ”หรืออย่างที่โดมินิคพูดถึงตัวละครตัวนี้กับเบนว่า “เขาเป็นหมูที่เสาะหาแต่ความสุข”
   “ไม่มีใครอยากจะกลับตัวกลับใจเพื่อตอบรับกับอเมริกันดรีมแบบดั้งเดิมที่ว่า คุณสามารถเป็นอะไรก็ได้ถ้าคุณพยายามมากพอ” เมนเดลซอห์นพูดถึงมุมมองที่แฟรงค์กี้และรัสเซลมีต่อชีวิต “มันไม่ใช่สิ่งที่พวกเขาเชื่อ แต่พวกเขาก็ผลัดกันดูแลกันและกัน รัสเซลช่วยเหลือแฟรงค์กี้ให้พ้นจากปัญหาหลายครั้งในห้องขัง ในเรื่องที่ว่าเขาอยากจะใกล้ชิดกับนักโทษบางคนมากน้อยแค่ไหน พวกเขาคอยดูแลกันและกันอย่างมากที่สุดเท่าที่จะทำได้ และเท่าที่เรารู้ มันก็ดีที่สุดแล้วสำหรับพวกเขา”
   “ไดอะล็อคยอดเยี่ยมไปเลยและผมก็คิดว่า แอนดรูว์ทำงานได้อย่างยอดเยี่ยมในการดัดแปลงหนังสือเล่มนี้ให้กลายเป็นบทภาพยนตร์” เมนเดลซอห์น ผู้รู้จักกับผู้กำกับผู้นี้มา 20 ปีกล่าว “หลายครั้ง ตัวละครจะพูดคุยกันเอง ซึ่งทั้งคู่ต่างก็มีเรื่องของตัวเอง และแทบจะไม่รู้สึกหรือเข้าใจเลยว่าเกิดอะไรกับคนรอบข้าง แต่พวกเขาก็มีมุมมองที่ชัดเจนว่าโลกเราควรจะดำเนินไปอย่างไรครับ”
   “หนังเรื่องนี้เกี่ยวกับการปล้นที่เกิดขึ้นจากคนที่ไม่ค่อยชำนาญเรื่องนี้นัก” เมนเดลซอห์นกล่าว “มันเป็นคอเมดีเกี่ยวกับการปฏิสัมพันธ์ต่างๆ และมุมมองของโลกอาชญากรรมนี้ รวมถึงกิริยา มารยาทที่ควรจะไปควบคู่กัน สิ่งที่เราพยายามจะทำในหนังเรื่องนี้คือการดำเนินธุรกิจท่ามกลางทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นรอบตัวเรา โคแกนเข้ามาสร้างระบบระเบียบให้กับมัน แต่มันก็ไม่ใช่ภาพที่สวยงามนักหรอกครับ”