happy on November 25, 2012, 08:24:15 PM
AEC กับการปฏิรูปสาขาบริการ   

สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย

               การปฏิรูปสาขาบริการในอาเซียนมีความคืบหน้าน้อยมากหลังจากที่มีการเจรจามาเป็นเวลานาน ล่าสุดกรอบการเปิดเสรีภาคบริการตาม “พิมพ์เขียวเพื่อจัดตั้งประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน” (AEC Blueprint) ก็ยังจำกัดเฉพาะการเพิ่มสัดส่วนการถือหุ้นของชาติสมาชิกอาเซียนโดยไม่ให้ความสำคัญต่อการแก้ไขกฎระเบียบในแต่ละประเทศที่เป็นอุปสรรคต่อการประกอบธุรกิจบริการ 

            ดร.เดือนเด่น นิคมบริรักษ์ ผู้อำนวยการวิจัยด้านการบริหารจัดการระบบเศรษฐกิจ ได้ทำการศึกษาวิเคราะห์ถึงความสำคัญของภาคบริการต่อระบบเศรษฐกิจไทย และจะนำเสนอข้อเสนอแนะในการปฏิรูปสาขาบริการของประเทศไทย ทั้งในกรอบอาเซียนและการดำเนินการของประเทศไทยเอง  โดยจะเน้นสาขาบริการใน 2 กลุ่มคือ บริการที่สนับสนุนภาคธุรกิจ เช่น การสื่อสาร การเงิน การขนส่ง พลังงาน และบริการที่ตลาดมีลักษณะผูกขาดหรือกึ่งผูกขาด  เพื่อสร้างขีดความสามารถในการแข่งขันของระบบเศรษฐกิจไทย ทั้งนี้ผลการศึกษาดังกล่าวจะนำเสนอในการสัมมนาวิชาการทีดีอาร์ไอประจำปี 2555 หัวข้อ  “ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน:  มายาคติ ความเป็นจริง โอกาสและความท้าทาย”(ASEAN Economic Community:  Myths, Reality, Potentials and Challenges) ในวันที่ 26 พฤศจิกายนนี้ ที่โรงแรมเซ็นทาราแกรนด์และบางกอกคอนเวนชันเซ็นเตอร์ เซ็นทรัลเวิลด์

            ผลการศึกษาส่วนหนึ่ง ระบุว่า ภาคบริการเป็นแหล่งจ้างงานที่สำคัญของประเทศ  เนื่องจากแรงงานที่ย้ายออกจากภาคการเกษตรมักเข้าไปสู่ตลาดแรงงานในภาคบริการ เช่น บริการก่อสร้าง บริการค้าปลีก บริการรับใช้ในบ้าน บริการดูแลผู้สูงอายุ  ฯลฯ ในปี พ.ศ. 2554 การจ้างงานในภาคบริการมีสัดส่วนสูงถึงร้อยละ   ของแรงงานทั้งหมดของประเทศเกือบ 40 ล้านคน  ในขณะที่ภาคอุตสาหกรรมซึ่งเป็นหัวจักรในการขยายตัวทางเศรษฐกิจของประเทศกลับมีการจ้างงานเพียงร้อยละ 14.5 เท่านั้น 

            การที่ภาคบริการเป็นแหล่งรองรับแรงงานที่มีทักษะน้อยจากภาคการเกษตรทำให้ผลิตภาพแรงงานโดยรวมต่ำ กอปรกับการที่รัฐบาลละเลยที่จะส่งเสริมการลงทุนในสาขาบริการทำให้ภาคบริการล้าหลัง  ดังนั้น นโยบายที่ต้องการจะยกระดับรายได้ของแรงงานไทยนั้นจะต้องให้ความสำคัญกับการพัฒนาผลิตภาพของภาคบริการมิใช่มุ่งเน้นเพียงการส่งเสริมอุตสาหกรรมการผลิตดังที่ผ่านมา

            ในอนาคต  ภาคบริการจะต้องเป็นหัวจักรในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยแทนภาคอุตสาหกรรมซึ่งต้องเผชิญกับแรงกดดันของการแข่งขันจากประเทศที่มีค่าจ้างแรงงานต่ำกว่าที่นับวันยิ่งรุนแรงมากขึ้นทำให้อัตราการขยายตัวของเศรษฐกิจไทยที่พึ่งพาการขยายตัวของภาคอุตสาหกรรมลดลงมาอยู่ในระดับร้อยละ 4-5 ในช่วง 7-8 ปีที่ผ่านมา  ไม่สามารถกลับไปสู่อัตราการเติบโตที่สูงเช่นเดิม   

            ที่ผ่านมา อัตราการขยายตัวของภาคบริการต่ำกว่าอัตราการขยายตัวของภาคอุตสาหกรรมมาโดยตลอด  จึงอาจกล่าวได้ว่าภาคบริการเป็น “ปัจจัยถ่วง” การขยายตัวทางเศรษฐกิจของประเทศ  เนื่องจากภาคบริการสร้างรายได้สูงถึงครึ่งหนึ่งของรายได้ประชาชาติและมีการจ้างงานถึงร้อยละ 47 ของแรงงานของประเทศ  การยกระดับประสิทธิภาพของภาคบริการไทยโดยการเปิดรับทุนและเทคโนโลยีจากต่างประเทศในสาขาบริการที่เป็นเสาหลักของเศรษฐกิจ เช่น โทรคมนาคม และ พลังงาน  รวมทั้งปฏิรูประบบการกำกับดูแลรายสาขาให้เอื้อต่อการแข่งขันมากขึ้น  จะทำให้ประเทศไทยมีโอกาสที่จะขยายตัวในอัตราที่สูงเช่นในอดีตและสามารถหลุดพ้นจาก “กับดักประเทศที่มีรายได้ปานกลาง” หรือที่เรียกว่า middle income trap  ได้ และ ยังจะช่วยยกระดับรายได้ของแรงงานเกือบ 20 ล้านคนที่อยู่ในภาคบริการอีกด้วย

            การศึกษามีข้อเสนอแนะว่า  แม้ AEC จะเป็นเพียงมายาคติ  แต่การหลอมรวมของเศรษฐกิจอาเซียนเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นโดยธรรมชาติและการเปิดเสรีภาคบริการก็เป็นสิ่งที่ประเทศไทยไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ด้วยกระแสการค้าและการลงทุนโลกที่ให้ความสำคัญแก่การเจรจาการค้าเพื่อให้สิทธิพิเศษทางเศรษฐกิจระหว่างกัน  หากประเทศไทยยังคงปิดกั้นการลงทุนจากต่างประเทศดังที่ผ่านมาในขณะที่ประเทศอื่นๆ ในอาเซียนเดินหน้าในการดึงดูดเงินทุน เทคโนโลยีและความเชี่ยวชาญจากต่างประเทศเพื่อยกระดับการพัฒนาภาคบริการในประเทศ  ก็จะเสียโอกาสที่จะตักตวงประโยชน์จากการเปิดเสรีภาคบริการในภูมิภาคอาเซียนจากการที่เป็นประเทศที่มีขนาดธุรกิจเป็นที่สอง และมีรายได้เป็นที่สามในภูมิภาคนี้  รวมทั้งมีแหล่งที่ตั้งที่อยู่ใจกลางของภูมิภาคอีกด้วย 

            แนวนโยบายทางเศรษฐกิจในอนาคตจะต้องให้ความสำคัญแก่การพัฒนาประสิทธิภาพและขีดความสามารถในการแข่งขันของภาคบริการของไทยที่ล้าหลังภาคอุตสาหกรรมอย่างมีนัยสำคัญ  ทั้งนี้ประเทศไทยควรมี Roadmap ในการเปิดเสรีภาคบริการที่เป็นประโยชน์สูงสุดของประเทศ  แทนการเปิดเสรีตามข้อข้อผูกพันในความตกลงระหว่างประเทศ ไม่ว่าจะเป็น  AEC หรือ TPP ก็ดี

            คณะผู้วิจัยมีความเห็นว่า  รัฐควรมีแนวนโยบายในการเปิดเสรีและการส่งเสริมการลงทุนในภาคบริการเพื่อที่จะพัฒนาประสิทธิภาพของภาคบริการไทยดังต่อไปนี้

            1.       แก้ไข พ.ร.บ. การประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว  พ.ศ. 2542 ซึ่งเป็นกฎหมายที่กีดกันการลงทุนจากต่างประเทศสู่ภาคบริการที่เข้มงวดมากที่สุดในภูมิภาคอาเซียน  โดยการ (1) แปลงบัญชี 3 ท้ายกฎหมายดังกล่าวที่กำหนดให้บริการทุกประเภทเป็นธุรกิจที่ประเทศไทยยังไม่พร้อมที่จะรับการลงทุนจากต่างประเทศซึ่งมีลักษณะที่เป็น  positive list เป็น negative list โดยการระบุสาขาที่ประเทศไทยไม่พร้อมเปิดรับการลงทุน และ (2) กำหนดสาขาบริการที่ให้การคุ้มครองบนพื้นฐานของผลประโยชน์ของเศรษฐกิจส่วนรวมมิใช่ของผู้ประกอบการในธุรกิจนั้นๆ ตัวอย่าง เช่น สาขาบริการที่โครงสร้างตลาดกระจุกตัวโดยมีผู้ประกอบการขนาดใหญ่รายเดียว หรือ น้อยรายควรเปิดให้มีการแข่งขันจากต่างประเทศเพื่อที่จะให้บริการมีคุณภาพดีขึ้นและราคาต่ำลงอันจะเป็นประโยชน์แก่ผู้บริโภคทั้งประเทศ ทั้งที่เป็นธุรกิจขนาดย่อมและประชาชนทั่วไป

            2.       เปิดเสรีธุรกิจบริการที่เป็นบริการสนับสนุนภาคธุรกิจไทยที่มีการผูกขาด อันได้แก่ พลังงาน และ โทรคมนาคม

            3.       ผลักดันให้หน่วยงานกำกับดูแลรายสาขายกเลิกมาตรการที่เป็นอุปสรรคกีดกันการลงทุนและมีมาตรการที่ช่วยส่งเสริมการแข่งขันในสาขาบริการที่มีความสำคัญในเชิงเศรษฐกิจได้แก่ สาขาโทรคมนาคม พลังงาน และ การเงิน

            4.       เร่งปรับปรุง กฎ ระเบียบที่ไม่จูงใจการลงทุนจากต่างประเทศ เช่น ข้อกำหนดจ้างงานคนไทย 4 คนต่อคนต่างด้าว 1 คน และ ข้อจำกัดเกี่ยวการจ้างงานวิชาชีพที่เป็นคนต่างด้าว (professional services) เพื่อที่จะให้ประเทศไทยกลายเป็นประตูสู่อาเซียนของเงินทุนที่ไหลเข้ามาจากภายนอกแทนสิงคโปร์

            5.       ทบทวนนโยบายการส่งเสริมการลงทุนที่เน้นเพียงธุรกิจอุตสาหกรรม