ทุกท่านคงเคยได้ยินคำว่า "ย้ำคิดย้ำทำ" และรู้สึกเหมือนกับเข้าใจ แต่บางครั้งเวลามีใครมาถามว่าย้ำคิดย้ำทำนี่มันเป็นอย่างไรเรากลับตอบไม่ถูก
การหมกมุ่นครุ่นคิดกังวลกับเรื่องบางเรื่องนั้นใช่ย้ำคิดย้ำทำหรือเปล่า คำตอบคือ ไม่ใช่ ครับ
การฝันกลางวัน ฝันอยากถูกรางวัลที่ 1 สักงวดจะได้ซื้อของที่อยากได้นั้นใช่ย้ำคิดย้ำทำหรือเปล่า ก็ ไม่ใช่ อีกแหละครับ
อาการย้ำคิด นั้นคือ ความคิดที่ผุดเข้ามาในสมองของเราโดยไม่ตั้งใจและทำให้เกิดความกลัวหรือความกังวล
อาการย้ำทำ คือการกระทำหรือการคิดเพื่อลดความกลัวหรือความกังวลที่เกิดจากอาการย้ำคิด
อาการย้ำคิดย้ำทำนั้นบางครั้งก็อาจเกิดขึ้นได้ในคนปกติ เช่น บางครั้งเราเพิ่งปิดไฟไปหยกๆแต่อยู่ๆก็มีความคิดผุดขึ้นมาในสมองว่าเอ...ตะกี้นี้ปิดไฟเรียบร้อยหรือเปล่า สวิทซ์อาจค้างปิดครึ่งๆ กลางๆ เดี๋ยวไฟจะชอร์ทนะต้องมากดสวิทซ์ซ้ำอีก 1 หรือ 2 ทีเพื่อลดความกังวลที่เกิดขึ้นจึงจะ "ผ่าน" แบบนี้ใช่ครับ เป็น อาการ ย้ำคิดย้ำทำ แต่ถ้าบางทีเป็นบางทีไม่เป็นหรือนานๆ จะเป็นสักครั้งหนึ่งแบบนี้ก็ยัง ไม่ถือว่าป่วย เป็นโรคย้ำคิดย้ำทำครับ
เราจะถือว่าป่วยเป็นโรคย้ำคิดย้ำทำเมื่ออาการย้ำคิดย้ำทำนั้นเป็นมากจนทำให้เกิดปัญหาหนึ่งใน 3 อย่างต่อไปนี้ครับ
1. อาการเป็นมากเลิกคิดเลิกทำไม่ได้จนทำให้รู้สึกเป็นทุกข์ทรมานมาก
2. อาการเป็นมากจนทำให้เสียงานเสียการเพราะมัวแต่ย้ำคิดย้ำทำหรือต้องคอยหลีกเลี่ยงสิ่งที่จะมากระตุ้นให้เกิดอาการย้ำคิด
3. อาการต่างๆทำให้ต้องทำอะไรที่อาจก่อให้เกิดปัญหาตามมาได้เช่น ต้องกินเหล้ากินเบียร์เพื่อลดความเครียด โกรธและทำร้ายตัวเอง หรือบางรายเกิดอาการซึมเศร้าอยากตายหรือพยายามฆ่าตัวตายก็มี
อาการย้ำคิดย้ำทำมีรากฐานมาจากความกลัว
อาการย้ำคิดย้ำทำมีรากฐานมาจากความกลัว โดยเรื่องที่ผู้ป่วยมักจะกลัวมีอยู่ 2 เรื่องใหญ่ๆ คือ
1. กลัวโชคร้าย
2. กลัวความสกปรก
ตัวอย่างผู้ป่วยที่กลัวโชคร้าย เช่น กลัวสิ่งศักดิ์สิทธิ์จะลงโทษทำให้ต้องยกมือไหว้วัดหรือศาลทุกชนิดที่พบเห็น กลัวปิดประตูหน้าต่างไม่เรียบร้อยแล้วขโมยจะขึ้นบ้านทำให้ต้องคอยตรวจตราประตูหน้าต่างทั่วบ้านซ้ำแล้วซ้ำอีกหลายๆรอบจึงจะเข้านอนได้ กลัวแก๊สรั่วทำให้ต้องปิดแก๊สทุกครั้งที่ปิดไฟในเตาทั้งๆที่ยังทำกับข้าวไม่เสร็จ มีคำว่า "ตาย" ผุดขึ้นมาในสมองทุกครั้งที่เย็บผ้าทำให้ต้องเลาะด้ายที่เย็บไปแล้วออกพร้อมกับนึกคำว่า "ไม่ตาย" ทุกครั้งที่เลาะ กลัวทิ้งสิ่งมีค่าทำให้ต้องรื้อขยะในถังมาดูทีละชิ้นๆให้แน่ใจ
ตัวอย่างผู้ป่วยที่กลัวสกปรก เช่น ล้างมือซ้ำแล้วซ้ำอีก เพราะยังรู้สึกว่าไม่สะอาด อาบน้ำนานมาก เพราะกลัวว่าจะล้างสบู่ออกไม่หมด เดินผ่านกองขี้หมาก็ต้องดูรองเท้าซ้ำแล้วซ้ำอีกเพราะกลัวว่าจะเผลอไปเหยียบมันเข้า
นอกจากใช้การย้ำทำมาลดความกลัวแล้วบางครั้งผู้ป่วยยังต้องคอย ถามคนใกล้ชิด เพื่อให้แน่ใจว่าไม่มีสิ่งที่ผู้ป่วยกลัวเกิดขึ้นด้วยเช่น ถามคนที่เดินไปด้วยกันว่าตะกี้ฉันเหยียบขี้หมาหรือเปล่า หรือคอย หลีกเลี่ยง สิ่งที่จะทำให้เกิดความย้ำคิดเช่น ให้สามีเป็นคนปิดประตูหน้าต่างก่อนเข้านอน หรือเดินอ้อมใช้ทางที่ไม่ผ่านศาลเจ้าเพราะกลัวจะเกิดคำด่าผุดขึ้นมาในสมองเวลาเดินผ่านศาล
คนที่เป็นโรคย้ำคิดย้ำทำไม่ใช่คนบ้า
คนที่เป็นโรคย้ำคิดย้ำทำนั้นยังรู้ว่าอะไรจริงอะไรไม่จริง ผู้ป่วยรู้ว่าสิ่งที่ตนกลัวนั้นไร้สาระแต่หยุดการย้ำคิดและอดที่จะกลัวไม่ได้ และไม่กล้าฝืนที่จะไม่ย้ำทำ
โรคย้ำคิดย้ำทำเป็นโรคที่รักษาได้
ถึงแม้ว่าเราจะยังไม่รู้สาเหตุที่แน่ชัดของโรคย้ำคิดย้ำทำแต่เราก็มีวิธีรักษาโรคนี้อย่างได้ผล
การรักษาโรคย้ำคิดย้ำทำในปัจจุบันมี 2 วิธี คือ
1. พฤติกรรมบำบัด
2. ใช้ยา
พฤติกรรมบำบัด
การรักษาโรคย้ำคิดย้ำทำด้วยพฤติกรรมบำบัดนั้นอาศัยหลักที่ว่า เมื่อเราพบกับสิ่งที่เรากลัวและเกิดความกลัวขึ้นแล้วเรารีบหนีความกลัวก็จะหายไปพักหนึ่งแต่เมื่อเราพบกับสิ่งนั้นอีกเราก็จะอยากหนีอีก แต่ถ้าเราเข้าหาและเผชิญหน้ากับสิ่งที่เรากลัวเป็นเวลานานๆ (exposure) เมื่อเวลาผ่านไปความกลัวที่เกิดขึ้นจะค่อยๆลดลงเองเพราะเราจะเกิความชินชาขึ้น (habituation หรือ desensitization) เช่น ให้ผู้ป่วยโรคย้ำคิดย้ำทำที่กลัวปิดน้ำไม่สนิทจงใจเปิดน้ำให้หยดแหมะๆ ทิ้งไว้แล้วออกไปทำงานเลย ผู้ป่วยจะเกิดความกังวลตะหงิดๆ อยากกลับไปปิดน้ำอยู่พักใหญ่ๆ แล้วความกังวลจะค่อยๆ ลดลงจนลืมไปเอง ตอนเย็นกลับบ้านมาค่อยไปปิด ถ้าทำทุกวันๆ จะใช้เวลาเพียง 1 สัปดาห์ ผู้ป่วยก็จะเลิกกลัวการปิดน้ำไม่สนิทได้ หลักในการปฏิบัติมีอยู่ 3 ข้อ คือ
1. ค่อยเป็นค่อยไป โดยเริ่มจากสิ่งที่ผู้ป่วยกลัวไม่มากนักก่อนเพื่อให้ผู้ป่วยได้เรียนรู้ว่าวิธีรักษาแบบนี้ได้ผลจริง แล้วค่อยฝึกกับเรื่องที่ผู้ป่วยกลัวมากขึ้นเรื่อยๆ
2. ให้เวลาให้นานพอ ควรให้เวลาฝึกแต่ละครั้งประมาณ 1 ชั่วโมง เพื่อให้มีเวลานานพอที่จะเกิดความชินชาขึ้น
3. ทำซ้ำๆ อย่างต่อเนื่องเช่นทุกวันหรืออย่างน้อยวันเว้นวันจนกว่าจะหาย
นอกจากการฝึกโดยการเข้าหาและเผชิญหน้ากับสิ่งที่ผู้ป่วยกลัวแล้วผู้ป่วยยังจะต้องงดเว้นการย้ำทำในขณะฝึกด้วย (response prevention) เช่น เมื่อให้ผู้ป่วยฝึกโดยการปิดเตาแก๊สโดยไม่ต้องปิดถังแก๊สในช่วงกลางวัน ระหว่างฝึกผู้ป่วยจะต้องไม่มาคอยตรวจตราห้องครัว และต้องไม่คอยถามคนใกล้ชิดเช่น “แก๊สคงไม่รั่วใช่ไหม” เพื่อให้เขาตอบว่า “ ม่รั่วหรอก” ในกรณีนี้ถ้าผู้ป่วย “เผลอถาม” ให้คนใกล้ชิดตอบว่า “หมอไม่ให้ตอบ” เพื่อให้ผู้ป่วยต้องฝึกที่จะทนกับความกังวลที่เกิดขึ้นจนเกิดความชินชาขึ้นในที่สุด
การรักษาโดยการใช้พฤติกรรมบำบัดนั้นไม่ค่อยสนุกเท่าไรเพราะผู้ป่วยต้องทนทำสิ่งที่ตนกลัวแต่ถ้าผู้ป่วยยอมร่วมมือการรักษามักได้ผลดี อาการต่างๆจะหายได้อย่างรวดเร็วและหายได้อย่างค่อนข้างถาวร ที่สำคัญคือ ต้องลงมือทำจริงๆและให้เวลากับการฝึกแต่ละครั้งนานพอ
การใช้ยา
ยาที่ใช้รักษาโรคย้ำคิดย้ำทำได้ผลคือยาในกลุ่มยาแก้โรคซึมเศร้าชนิดที่ออกฤทธิ์กับสารสื่อนำประสาทในสมองที่เรียกว่า ซีโรโทนิน (serotonin)
ในการรักษาโรคย้ำคิดย้ำทำต้องใช้ยาในขนาดค่อนข้างสูงและใช้เวลารักษานาน โดยทั่วไปถ้าจะรักษาด้วยยาเพียงอย่างเดียวจะต้องให้ผู้ป่วยรับประทานยาอยู่นานประมาณ 1-2 ปี แต่การรักษาด้วยยาก็มีข้อดีคือ สะดวกกว่าการฝึก ในบางรายที่มีอาการมากๆ และไม่กล้าฝึกแพทย์อาจให้การรักษาด้วยยาไปก่อน เมื่ออาการย้ำคิดย้ำทำน้อยลงและผู้ป่วยพร้อมที่จะฝึกค่อยให้ผู้ป่วยเริ่มฝึกก็ได้