happy on January 22, 2013, 06:19:20 PM
เจเรมี เรนเนอร์ ชอบใจบทฮันเซล เลือกดาราสาวเจมม่า มาแสดงคู่เป็นพี่น้องด้วย
เตรียมมันส์กับการผจญภัยล่าแม่มดของฮันเซล-เกรเทล 24 ม.ค.นี้ในระบบ 3D



               Hansel & Gretel Witch Hunters 3D คือภาพยนตร์จากนิทานเด็กชื่อดัง ฮันเซล & เกรเทล ได้ถูกนำมาต่อเติมเป็นภาพยนตร์แอ็กชั่นที่มีความจัดจ้านน่าติดตามมากขึ้น  โดยผู้กำกับทอมมี่ เวอร์โคล่า ที่รู้ดีว่าเขาต้องหาคนสองคนที่มีบุคลิกแข็งแกร่ง ผู้สามารถเปลี่ยนตัวละครจากเรื่องเล่าขานนี้ให้กลายเป็นคนจริงๆ การค้นหา ฮานเซล และเกรเทล ที่เติบโตมาพร้อมความฝันที่จะได้แก้แค้นพวกแม่มดที่ชั่วร้าย นำไปสู่การจับคู่ระหว่าง เจเรมี่ เรนเนอร์ นักแสดงชายผู้ได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลออสการ์ จากบทผู้เชี่ยวชาญด้านระเบิดในสงครามอิรัก ในภาพยนตร์เรื่อง The Hurt Locker กับนักแสดงสาวชาวอังกฤษที่กำลังมาแรงอย่าง เจมม่า อาร์เทอร์ตัน ที่เคยเผยเสน่ห์แรงเร้าใจเมื่อเธอรับบทเป็นสาวบอนด์ในภาพยนตร์ Quantum of Solace 

               เจเรมีไม่อาจต้านทานความสนุกสนานของคอนเซ็ปต์ของเรื่องนี้ได้ “ตอนที่ผมได้อ่านบทภาพยนตร์เรื่องนี้ ความคิดแรกที่ผมมีก็คือ ไม่อยากเชื่อเลยว่าเรื่องนี้ยังไม่เคยถูกนำมาสร้างมาก่อน’ มันเป็นไอเดียสุดแจ่มที่มีโอกาสประสบความสำเร็จอย่างสูง ผมก็คิดว่าคงจะตื่นเต้นดีที่จะได้สำรวจความผูกพันระหว่างพี่ชายและน้องสาวที่แสนน่าทึ่งภายในโลกสุดจินตนาการแบบนี้ บทของฮันเซลเป็นคนมีความคิดเฉียบคมและเป็นขาลุยที่มาพร้อมอาวุธครบมือเพื่อตามล่าแม่มดที่ฆ่าไม่ตาย ผมต้องเตรียมตัวให้พร้อมสำหรับฉากแอ็กชั่นแรงที่สุดที่เคยแสดงมา”


               “ในภาพยนตร์เรื่องนี้ มีฉากแอ็กชั่นแรงๆ อยู่เยอะมาก” เรนเนอร์เล่า “หนึ่งในความแตกต่างสูงสุดในภาพยนตร์เรื่องนี้ ก็คือขณะที่ฮีโร่โดยทั่วไปสามารถเอาชนะศึกได้ทุกครั้ง แต่ฮันเซลและเกรเทลกลับโดนเล่นงานจนยับหลายครั้งด้วยกัน ดังนั้นในทางหนึ่ง พวกเราก็ต้องโดนเล่นจนน่วมทุกวัน! แต่เราก็สนุก ทอมมี่ใส่โทนสุดมหัศจรรย์ลงไปในงานทั้งหมด เป็นการผสมผสานทั้งเรื่องราวซีเรียสและตลก ซึ่งผมว่ามันได้เพิ่มคุณสมบัติของการผจญภัยที่แท้จริงลงไปในภาพยนตร์เรื่องนี้”


               ส่วนดาราสาว เจมมี่ อาร์เทอร์ตันเอง ซึ่ง เจเรมี เรนเนอร์พูดถึงเจมม่าว่า “เจมม่าคือเพชรแท้ เราโชคดีที่ได้ตัวเธอมา เพราะไม่เพียงแต่หน้าตาเธอและผมจะดูคล้ายกันเท่านั้น แต่เธอยังใส่ความลึกลงไปในตัวเกรเทลได้อย่างน่ามหัศจรรย์ด้วย”

               เจมม่าบอกว่า “ฉันชอบตัวเทพนิยายต้นเรื่องอยู่แล้ว ภาพยนตร์เรื่องนี้นำเสนอภาพของฮันเซลและเกรเทลในช่วงเวลาที่พวกเขาโด่งดังที่สุดในฐานะนักล่าแม่มด ความสัมพันธ์ระหว่างพี่ชายและน้องสาวที่จะมีปริศนาซ่อนเร้นอยู่ ทำให้คนดูจะติดตามและสงสัย ฮํนเซลและเกรเทลมีฃมีความแตกต่างกันอย่างมาก เธอเป็นมันสมองของงาน เขาเป็นพวกใช้กำลัง เขาเป็นตัวฮาและชอบโชว์ เธอเป็นพวกชอบดูมากกว่า เป็นพวกชอบค้นคว้า เป็นคนที่พยายามทำความเข้าใจวิชาของพวกแม่มด พวกเขาต้องเสริมจุดแข็งของกันและกัน”

               ฮันเซล & เกรเทล นักล่าแม่มดพันธุ์ดิบ 3D ถ่ายทำกันที่เยอรมัน ดินแดนแห่งเทพนิยายกริมม์ ต้นฉบับของฮันเซล&เกรเทล แท้ๆ และถ่ายทำด้วยกล้อง 3D แท้ๆ เพื่อความมันส์ของฉากแอ็คชั่นไล่ล่า 24 ม.ค.นี้ เปิดฉากความมันส์ก่อนอเมริกา 24 ม.ค.นี้ ทุกโรงภาพยนตร์

Production Notes

“ข้ากับน้องสาว? เราเคยมีอดีต”
-- ฮันเซล

               เรื่องราวเทพนิยายที่เล่าขานกันมานาน กับจุดหักมุมอันมืดมิด ก้าวสู่เส้นทางใหม่ กลายเป็นเรื่องราวสนุกตื่นเต้น อัดแน่นด้วยฉากแอ็กชั่นเดินเรื่องฉับไว เต็มไปด้วยเล่ห์เหลี่ยม ในภาพยนตร์ผจญภัยแอ็กชั่นปนสยอง เรื่อง Hansel & Gretel: Witch Hunters (ฮันเซล แอนด์ เกรเทล : นักล่าแม่มดพันธุ์ดิบ) เวลาล่วงเลยไปนาน 15 ปีหลังจากสองพี่น้อง ฮันเซล (เจเรมี่ เรนเนอร์) และเกรเทล (เจมม่า อาร์เทอร์ตัน) หลบหนีพ้นจากแม่มดที่ชอบจับตัวเด็ก และชีวิตพวกเขาเปลี่ยนแปลงไปตลอดกาล....เมื่อพวกเขาได้ลิ้มรสชาติของเลือด บัดนี้ พวกเขาเติบโตและกลายเป็นนักล่าที่มีทักษะฝีมือ ดุดันเกรี้ยวกราด ผู้อุทิศทั้งชีวิตให้กับการติดตามและกำจัดแม่มดในป่าลึกลับทุกแห่ง เพื่อเป็นการแก้แค้น และเมื่อจันทราสีเลือดใกล้ถึงเวลาปรากฏบนท้องฟ้า และเมืองชายป่าที่แสนคุ้นเคยต้องเผชิญกับฝันร้ายเมื่อเด็กๆ ที่ไร้เดียงสาในหมู่บ้านหายตัวไป ฮันเซลและเกรเทลต้องเผชิญกับปีศาจที่ชั่วร้ายเกินกว่าแม่มดทุกตนที่พวกเขาเคยตามล่ามา เป็นปีศาจร้ายที่กุมความลับจากอดีตที่แสนน่ากลัวของพวกเขา

               พาราเม้าต์ พิคเจอร์ส และเมโทร-โกลด์วิน-เมเยอร์ พิคเจอร์ส ภูมิใจเสนอผลงานการสร้างของ แกรี่ ซานเชซ ซึ่งนำแสดงโดย เจเรมี่ เรนเนอร์, เจมม่า อาร์เทอร์ตัน, แฟมเก้ แจนส์เซ่น และปีเตอร์ สตอร์แมร์ เรื่อง Hansel & Gretel: Witch Hunters ภาพยนตร์เรื่องนี้เขียนบทและกำกับโดย ทอมมี่ เวอร์โคล่า ผู้อำนวยการสร้างได้แก่ วิลล์ เฟอร์เรลล์, อดัม แม็คเคย์, เควิน เมสซิค และโบ ฟลินน์, ทีมผู้อำนวยการสร้างบริหาร ได้แก่ เดนิส แอล สจ๊วร์ต, คริส เฮนชี่ และทริปป์ วินสัน ผู้ที่ช่วยกันมอบชีวิตให้กับโลกอันแสนมหัศจรรย์ของ Hansel & Gretel ก็คือทีมงานหลังกล้องที่ประกอบไปด้วย ผู้กำกับภาพ ไมเคิล บอนวิลเลน (Cloverfield), โปรดักชั่น ดีไซเนอร์ สตีเฟ่น สก็อตต์ (Hellboy, Hellboy 2), ผู้ลำดับภาพ จิม เพจ (Disturbia), ผู้ออกแบบเครื่องแต่งกาย มาร์ลีน สจ๊วร์ต (Real Steel, Tropic Thunder), ผู้แต่งดนตรีประกอบ แอ็ทลี ออร์วัสสัน, เอ็กเซ็กคูทีฟ มิวสิค โปรดิวเซอร์ ฮันส์ ซิมเมอร์ และวิชวล เอฟเฟ็กต์ ซูเปอร์ไวเซอร์ จอน ฟาร์ฮัท (Book of Eli, Wanted)

happy on January 22, 2013, 06:28:56 PM



เมื่อเทพนิยายเติบโต – และขอเอาคืน

               เด็กๆ ทั่วโลกต่างเคยได้ตื่นเต้นปนขนลุกกับเรื่องราวเทพนิยายคลาสสิกเกี่ยวกับฮันเซลและเกรเทล พี่ชายและน้องสาวที่เกิดหลงทางกลางป่า ก่อนจะถูกล่อลวงและถูกจับโดยแม่มดใจร้ายที่จับเด็กๆ ไว้กินเป็นอาหาร เมื่อเรื่องราวนี้จบลง สองพี่น้องสามารถทำลายแม่มดตนนั้นได้ แต่หลังจากนั้น เกิดอะไรขึ้นกับพวกเขาอีก นั่นคือสิ่งที่มือเขียนบท/ ผู้กำกับ ทอมมี่ เวอร์โคค่า หาญกล้าจินตนาการต่อมาจนกลายเป็นเรื่อง Hansel & Gretel: Witch Hunters กับการนำเสนอคำตอบของคำถามนี้ในเรื่องราวที่ทั้งน่ากลัว สนุก และตื่นเต้นหวาดเสียว นอกจากสองพี่น้องจะเติบใหญ่และกลายมาเป็นนักล่าแม่มดฝีมือฉกาจที่สุดเท่าที่เคยพบเจอมาในป่า ภาพยนตร์เรื่องนี้ยังเปลี่ยนเรื่องราวเทพนิยายเก่าแก่เรื่องนี้ให้กลายเป็นเรื่องราวเอพิคที่อัดแน่นไปด้วยฉากแอ็กชั่นอันทันสมัยและการผจญภัยที่ไร้ขีดจำกัด

               เวอร์โคล่าผู้เริ่มมีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักไปทั่วจากผลงานภาพยนตร์ตลกเกี่ยวกับซอมบี้เรื่อง Dead Snow ซึ่งเขาสร้างเอาไว้ในประเทศนอร์เวย์บ้านเกิด เฝ้ารอเวลามาทั้งชีวิตเพื่อจะกลับไปเยือนเรื่องราวเทพนิยายที่เคยทำให้เขาหวาดผวาสมัยเป็นเด็ก เขาไม่เคยสลัดความรู้สึกนี้ทิ้งไปได้ รวมถึงภาพของเหล่าแม่มดน่าเกลียด น่ากลัว หิวกระหายเนื้อเด็กและเฝ้ารอเพื่อดักจับมนุษย์เด็กที่ไร้เดียงสาเหล่านี้ และแล้ว วันหนึ่งเขาเริ่มจินตนาการต่อไปอีกว่าสองพี่น้องที่มีชื่อเสียงโด่งดังที่สุดในโลกเทพนิยาย “ตอนนี้พวกเขาไปอยู่เสียที่ไหน” ภาพของ ฮันเซล และเกรเทล ที่เติบโตเป็นผู้ใหญ่และกลายเป็นนักสู้สุดทรหด เป็นผู้คอยจัดการกับเหตุเหนือธรรมชาติ ได้ผุดขึ้นมาในหัวของเขา

               “เรื่องราวของฮันเซลและเกรเทล กลายเป็นส่วนหนึ่งในตัวผมมาตั้งแต่ผมยังเด็ก” เวอร์โคล่าอธิบาย “ผมมีความทรงจำที่ติดแน่นจากวัยเด็กว่าเรื่องราวของฮันเซลและเกรเทลนั้นมันช่างลึกลับและสยดสยองสักแค่ไหน และผมก็สงสัยว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับพวกเขาสองคนเมื่อพวกเขาโตเป็นผู้ใหญ่ พวกเขามีอดีตอันแสนหดหู่ และพวกเขาเกลียดแม่มดเข้าไส้ ดังนั้นเมื่อผมคิดถึงเรื่องนี้ สำหรับผมแล้วจึงเป็นเรื่องสมเหตุผลที่สุดที่พวกเขาจะถูกฟ้ากำหนดให้กลายเป็นนักล่าแม่มดฝีมือฉกาจ”

               ทันใดนั้น เวอร์โคล่ามองเห็นถึงงานสร้างภาพยนตร์ที่จะสร้างประสบการณ์ที่อัดแน่นไปด้วยฉากแอ็กชั่น เสียงหัวเราะ และภาพที่ดุดันสำหรับคนดูในศตวรรษที่ 21 จากเรื่องนี้ในทันที เมื่อเขาเริ่มต้นเขียนบท เขาตั้งใจว่าจะยึดมั่นต่อจิตวิญญาณของเรื่องราวเล่าขานสัญชาติเยอรมันเรื่องนี้ ซึ่งได้ถูกนำมาบันทึกเผยแพร่เป็นครั้งแรกในปี 1812 โดยสองพี่น้องนักสะสมเรื่องเหนือธรรมชาติที่มีชื่อเสียงโด่งดังอย่างพี่น้องตระกูลกริมม์ แต่ขณะเดียวกัน เขาไม่ต้องการจำกัดจินตนาการของตัวเอง

               “ผมอยากรักษาความรู้สึกของเรี่องราวเทพนิยายต้นฉบับเอาไว้ แต่ผมก็อยากจะเพิ่มรสชาติจัดจ้านให้มันด้วยทุกสิ่งทุกอย่างที่ผมรักมากที่สุดในภาพยนตร์ นั่นก็คือ อารมณ์ขัน ความน่ากลัว และฉากแอ็กชั่นเก๋ไก๋” เวอร์โคล่ากล่าวสรุป “อารมณ์สยองนั้นมีอยู่แล้วในเรื่องต้นฉบับ แต่ผมแค่ดึงมันออกมาให้เห็นชัดๆ ขณะที่ใส่อารมณ์ขันเข้าไป เรื่องนี้ยังคงเป็นเรื่องเกี่ยวกับความผูกพันอันแน่นแฟ้นระหว่างพี่ชายและน้องสาว ความสัมพันธ์ที่ฮันเซลและเกรเทลผูกพันกัน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องใดเมื่อพวกเขาต้องเผชิญกับปีศาจร้าย”

               เมื่อเวอร์โคล่าเสนอไอเดียนี้กับทีมผู้อำนวยการสร้าง วิลล์ เฟอร์เรลล์, อดัม แม็คเคย์, เควิน เมสซิค และคริส เฮนชี่พวกเขาถึงกับติดหนึบ “ไอเดียที่เขานำเสนอคือสิ่งที่คุณจินตนาการได้จากชื่อเรื่องเลย” เมสซิคเล่า “ฮันเซลและเกรเทลเติบโตเป็นผู้ใหญ่พร้อมกับพละกำลังในการต่อสู้กับพวกแม่มด บัดนี้พวกเขากลายเป็นนักล่าแม่มด ดังนั้นถ้าเมืองของคุณเผชิญกับแม่มด และมีเด็กๆ ที่หายตัวไป เตรียมเรียกฮันเซลและเกรเทลมาได้เลย”

               เวอร์โคล่าที่เป็นแฟนพันธุ์แท้ของภาพยนตร์ที่มีเนื้อหาจริงจังและกล้าเล่นกับเรื่องราวที่มีสีสัน เริ่มต้นสร้างภาพจินตนาการที่เขามีต่อโลกของฮันเซลและเกรเทลเมื่อพวกเขาเติบโตเป็นผู้ใหญ่ เป็นโลกที่ยังคงมีลักษณะและความรู้สึกของโลกยุคโบราณ แต่หลอมรวมเข้ากับฉากแอ็กชั่นมันส์สะใจในแบบที่คนดูคุ้นเคยในยุคปัจจุบัน  “เราอยากให้ภาพยนตร์เรื่องนี้ให้ความรู้สึกเหมือนกับว่าเรื่องนี้สามารถเกิดขึ้นได้เมื่อ 300 ปีที่แล้ว แต่ขณะเดียวกัน ก็มีความทันสมัยแทรกอยู่ในฉากแอ็กชั่น ตัวละคร และอาวุธยุทโธปกรณ์ต่างๆ” เวอร์โคล่าอธิบาย “มันเป็นวิธีที่สนุกในการสร้างโลกคลาสสิกที่มีความรู้สึกสดใหม่ เรานำสิ่งที่คุณเคยเห็นในเรื่องราวเทพนิยายมา จากนั้นก็ใส่จุดหักมุมใหม่ๆ เข้าไปในแต่ละเรื่องราวนั้น”

               เมสซิคตั้งข้อสังเกตไว้ว่า “ข้อดีของสไตล์ของภาพยนตร์เรื่องนี้ ก็คือ คุณจะไม่คิดว่า ‘ฉันอยู่ในฝรั่งเศสทศวรรษ 1850 หรือ 1730’ คุณคิดว่า ‘ฉันอยู่ในโลกเทพนิยายจริงๆ’”

               นั่นคือสิ่งที่เวอร์โคล่ากำลังมองหาจริงๆ นั่นก็คือโลกเทพนิยายที่ถูกปรับเปลี่ยนให้กลายเป็นความฉับไวและดุดันมากขึ้นสำหรับคนดูยุคศตวรรษที่ 21 “สิ่งที่ผมหวังเอาไว้ ก็คือ Hansel & Gretel: Witch Hunters จะทำให้คนดูได้ดูหนังที่ไม่ธรรมดา และมีพลังสุดโลดโผนในแบบที่คุณไม่ค่อยได้เห็นในภาพยนตร์แอ็กชั่นส่วนใหญ่” เวอร์โคล่ากล่าวสรุป  “เหนือสิ่งอื่นใด ผมอยากให้ภาพยนตร์เรื่องนี้มีความตื่นเต้นและสนุก”

เมื่อเรื่องราวของฮันเซล และเกรเทล ถูกเริ่มต้นใหม่

               เพื่อดึง ฮันเซล และเกรเทล ออกจากบันทึกในตำนาน และกลายมาเป็นภาพยนตร์แอ็กชั่นที่มีความร่วมสมัย ทอมมี่ เวอร์โคล่ารู้ดีว่าเขาต้องหาคนสองคนที่มีบุคลิกแข็งแกร่ง ผู้สามารถเปลี่ยนตัวละครจากเรื่องเล่าขานนี้ให้กลายเป็นคนจริงๆ การค้นหา ฮันเซล และเกรเทล ที่เติบโตมาพร้อมความฝันที่จะได้แก้แค้นพวกแม่มดที่ชั่วร้าย นำไปสู่การจับคู่ระหว่าง เจเรมี่ เรนเนอร์ นักแสดงชายผู้ได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลออสการ์ จากบทผู้เชี่ยวชาญด้านระเบิดในสงครามอิรัก ในภาพยนตร์เรื่อง The Hurt Locker กับนักแสดงสาวชาวอังกฤษที่กำลังมาแรงอย่าง เจมม่า อาร์เทอร์ตัน ที่เคยเผยเสน่ห์แรงเร้าใจเมื่อเธอรับบทเป็นสาวบอนด์ในภาพยนตร์ Quantum of Solace

               เรนเนอร์ไม่อาจต้านทานความสนุกสนานของคอนเซ็ปต์ของเรื่องนี้ได้ “ตอนที่ผมได้อ่านบทภาพยนตร์เรื่องนี้ ความคิดแรกที่ผมมีก็คือ ‘ฉันไม่อยากเชื่อเลยว่าเรื่องนี้ยังไม่เคยถูกนำมาสร้างมาก่อน’ มันเป็นไอเดียสุดแจ่มที่มีโอกาสประสบความสำเร็จอย่างสูง” เรนเนอร์บอก “ผมชอบสิ่งที่ทอมมี่เขียนเอาไว้ ซึ่งเปิดช่องว่างให้กับตัวละครมากมาย และผมก็คิดว่าคงจะตื่นเต้นดีที่จะได้สำรวจความผูกพันระหว่างพี่ชายและน้องสาวที่แสนน่าทึ่งภายในโลกสุดจินตนาการแบบนี้”

               เขายังพบว่ารู้สึกอินไปกับสิ่งที่กลายมาเป็นปรัชญานำชีวิตของฮันเซล “เขากับเกรเทลผ่านเรื่องราวร้ายๆ ที่น่าทึ่งมา” เรนเนอร์ตั้งข้อสังเกต “พวกเขาไม่มีพ่อแม่ แม่มดพยายามจะกินพวกเขา และสิ่งที่ฮันเซลได้ติดตัวมาก็คือ คุณต้องนำเอาความโกรธและความเจ็บปวดของคุณมา และใช้มันทำความดี”

               ปรัชญาที่ว่านี้ทำให้ฮันเซลกลายเป็นคนมีความคิดเฉียบคมและเป็นขาลุยที่มาพร้อมอาวุธครบมือเพื่อตามล่าแม่มดที่ฆ่าไม่ตาย สำหรับเรนเนอร์ นั่นหมายถึงการที่เขาต้องเตรียมตัวให้พร้อมสำหรับฉากแอ็กชั่นแรงที่สุดที่เขาเคยแสดงมา เขารู้สึกสนุกเพลิดเพลินไปกับมุมมองที่เวอร์โคล่ามีต่อวิธีการต่อสู้ในแต่ละครั้งที่ฮันเซลและเกรเทลต้องต่อกรกับเหล่าศัตรูที่มีพลังวิเศษ

               “ในภาพยนตร์เรื่องนี้ มีฉากแอ็กชั่นแรงๆ อยู่เยอะมาก” เรนเนอร์เล่า “หนึ่งในความแตกต่างสูงสุดในภาพยนตร์เรื่องนี้ ก็คือขณะที่ฮีโร่โดยทั่วไปสามารถเอาชนะศึกได้ทุกครั้ง แต่ฮันเซลและเกรเทลกลับโดนเล่นงานจนยับหลายครั้งด้วยกัน ดังนั้นในทางหนึ่ง พวกเราก็ต้องโดนเล่นจนน่วมทุกวัน! แต่เราก็สนุก ทอมมี่ใส่โทนสุดมหัศจรรย์ลงไปในงานทั้งหมด เป็นการผสมผสานทั้งเรื่องราวซีเรียสและตลก ซึ่งผมว่ามันได้เพิ่มคุณสมบัติของการผจญภัยที่แท้จริงลงไปในภาพยนตร์เรื่องนี้”

               อาร์เทอร์ตันเองก็รู้สึกสนใจในจุดหักมุมต่างๆ ของเรื่องนี้ด้วย “ฉันชอบตัวเทพนิยายต้นเรื่องอยู่แล้ว และเรื่องราวนี้ก็เริ่มต้นขึ้นตรงนั้น และเริ่มสร้างความแตกต่างออกไปอย่างแท้จริง” อาร์เทอร์ตันกล่าว “ภาพยนตร์เรื่องนี้นำเสนอภาพของฮันเซลและเกรเทลในช่วงเวลาที่พวกเขาโด่งดังที่สุดในฐานะนักล่าแม่มด แต่มันยังเป็นช่วงเวลาที่พวกเขาเริ่มสงสัยว่าพวกเขาเป็นใคร และทำไมเรื่องราวน่ากลัวเหล่านี้ถึงได้เกิดขึ้นกับพวกเขา นำพวกเขาไปสู่สถานการณ์ที่แสนตึงเครียดนี้”

               ท่ามกลางความตึงเครียด อาร์เทอร์ตันยังชอบความสัมพันธ์ระหว่างพี่ชายและน้องสาว ที่ยังคงแทรกอยู่ ณ ใจกลางของฉากแอ็กชั่น ไม่สำคัญว่าเหตุการณ์ต่างๆ จะสุดขั้วแค่ไหน “ความสัมพันธ์ของพี่น้องคือเรื่องที่เหมาะจะสำรวจอย่างมาก” อาร์เทอร์ตันบอก “ฮันเซลและเกรเทลมีความผูกพันที่ไม่มีวันสิ้นสูญ แต่พวกเขาก็มีความแตกต่างกันอย่างมาก เธอเป็นมันสมองของงาน เขาเป็นพวกใช้กำลัง เขาเป็นตัวฮาและชอบโชว์ เธอเป็นพวกชอบดูมากกว่า เป็นพวกชอบค้นคว้า เป็นคนที่พยายามทำความเข้าใจวิชาของพวกแม่มด พวกเขาต้องเสริมจุดแข็งของกันและกัน”

               เมื่ออยู่ในกองถ่าย เรนเนอร์และอาร์เทอร์ตันต่างเผยให้เห็นถึงการให้ความช่วยเหลือกันและกันที่ทำให้สองพี่น้องสนิทสนมกัน รวมถึงความเป็นคู่ปรับ ซึ่งให้ความรู้สึกที่เหมือนจริงมาก อาร์เทอร์ตันพูดถึงเรนเนอร์ว่า “เจเรมี่น่าทึ่งมากในฉากแอ็กชั่น แต่ขณะเดียวกันเขาก็มีความรู้สึกอ่อนไหวในยามจำเป็น เขานำความสนุกสนานมาสู่มิตรภาพของพวกเขาอย่างมากมาย”

               ในทางกลับกัน เรนเนอร์พูดถึงอาร์เทอร์ตันว่า “เจมม่าคือเพชรแท้ เราโชคดีที่ได้ตัวเธอมา เพราะไม่เพียงแต่หน้าตาเธอและผมจะดูคล้ายกันเท่านั้น แต่เธอยังใส่ความลึกลงไปในตัวเกรเทลได้อย่างน่ามหัศจรรย์ด้วย”

               ทั้งเรนเนอร์และอาร์เทอร์ตันต่างต้องทำงานประสานอย่างใกล้ชิดกับ ผู้ประสานงานสตั๊นต์ (และยังเป็นผู้กำกับกองถ่ายย่อยที่สอง) เดวิด ไลทช์ เพื่อฝึกฝนฝีมือให้พร้อมสำหรับบทบาทที่จะต้องใช้ทั้งงานแสดงฉากแอ็กชั่นและฉากฮาๆ ในสไตล์ยุคสมัยใหม่ และรูปแบบตามธรรมเนียมของเรื่องราวเทพนิยายที่มีอายุเก่าแก่ ไลทช์บอกว่า “ฉากแอ็กชั่นในภาพยนตร์เรื่องนี้ทั้งหนัก เร็ว และเหนือสิ่งอื่นใดก็คือสนุก ผมชอบลักษณะในแบบที่ แจ็คกี้ ชาน ผสมผสานฉากแอ็กชั่นและบทตลกเข้าด้วยกันอย่างมาก ทอมมี่เปิดกว้างให้เราค้นหาสไตล์แอ็กชั่นของเราเอง ดังนั้นมันจึงกลายเป็นเรื่องของการค้นหาอารมณ์ขันและค้นหารูปลักษณ์ของตัวละครเหล่านี้ไปด้วย”

               ฮันเซลและเกรเทลต่างแสดงให้เห็นถึงเอกลักษณ์ประจำตัวผ่านสไตล์การต่อสู้ที่โดดเด่นของพวกเขา “ฮันเซลเป็นผู้ชายประเภทที่กระโดดเข้าใส่ก่อนจะใช้สมองคิด” ไลทช์อธิบาย “แต่เกรเทลจะเป็นพวกที่ชอบวางแผนการไว้ก่อน”

               อาร์เทอร์ตันไม่ได้เข้ามาทำงานในฐานะผู้หญิงที่ทนทรหด “ตอนเราเริ่มต้นทำงานกัน เธอพูดว่า ‘ฉันไม่เคยมองตัวเองว่าเป็นสาวอึด’ แต่เธอขยันทำงานและแข็งแกร่งมาก” ไลทช์บอก อาร์เทอร์ตันทุ่มเทให้กับการฝึกสุดตัว “ฉันเดินเข้ามาทำงานก่อนคนอื่น และทำงานกับทีมสตั๊นต์ตอนเข้าค่ายฝึกหนัก” อาร์เทอร์ตันอธิบาย “มันเยี่ยมมาก เพราะมันช่วยทำให้ฉันโดดเด่นขึ้นในฉากแอ็กชั่นทั้งหลาย เกรเทลต้องเจอกับอะไรมากมายไปหมด!”

               สำหรับเวอร์โคล่า เรนเนอร์และอาร์เทอร์ตันมีลักษณะตรงกับภาพที่เขานึกเอาไว้ แต่มีชีวิตชีวาอย่างมาก “เจเรมี่มีคุณลักษณะแบบดารานำชายที่สามารถแบกรับหนังแอ็กชั่นได้ทั้งเรื่อง แต่ขณะเดียวกัน เขาก็มีความลึกลับในตัวและความรู้สึกคาดเดาไม่ถูกในแบบที่ผมชอบมาก ตอนที่เราดึงตัวเจมม่าเข้ามา เธอเหมือนผูกพันกับเขาในทันที แต่เธอได้พิสูจน์ให้เห็นด้วยว่าเธอเล่นตลกก็ได้ เล่นบทแสบสันต์ก็ได้ ผมอยากให้เกรเทลบู๊ได้เท่ากับฮันเซล และเจมม่าก็ทำได้ ทั้งคู่สนุกกับบทบาทของพวกเขามากทีเดียว”

               ผู้อำนวยการสร้าง เควิน เมสซิค กล่าวเสริมว่า “เจเรมี่มีลักษณะแบบ ฮัน โซโล อยู่ในตัว การได้นักแสดงเก่งๆ มารับบทเป็น ฮันเซล ในโลกแฟนตาซีแบบนี้ มันเป็นหลักที่มั่นคงให้กับหนัง และเจมม่าก็สร้างสมดุลระหว่างพี่ชายกับน้องสาวได้อย่างลงตัวกับเขา เธอดูเซ็กซี่และทรหด แต่เธอก็เป็นคนนำคุณสู่ความสัมพันธ์ระหว่างพี่น้อง พวกเขามีความสัมพันธ์แบบทั้งรักทั้งเกลียด แบบพี่น้องสองคนที่โตมาด้วยกันและต้องผ่านเรื่องราวสุดมหัศจรรย์มาด้วยกัน ก็แค่ว่าสิ่งที่พวกเขาต้องพบเจอมา คือพวกแม่มดเท่านั้นแหละ”

happy on January 22, 2013, 06:36:37 PM





ทีมนักแสดงสมทบ

               ภัยคุกคามร้ายกาจที่สุดอย่างหนึ่งสำหรับฮันเซลและเกรเทล ก็คือ มิวรีล วายร้ายที่แปลงร่างได้ ซึ่งรับบทแสดงโดยอดีตสาวบอนด์และหนึ่งในดารานำหญิงจากหนัง X-Men แฟมเก้ แจนส์เซ่น “มิวรีลเป็นผู้ปกครองแม่มดบ้าทั้งหลาย” แจนส์เซ่น ผู้ต้องแปลงร่างจากสาวสวยผมดำ ไปเป็นนังแม่มดหน้าตาน่าเกลียด อธิบาย “และเธอก็ต้องการหัวใจของเกรเทล”

               มิวรีลอาจอาฆาตแค้นนักล่าแม่มดที่มีชื่อเสียงโด่งดังคู่นี้ แต่เธอยังเป็นนักทรมานตัวยง “ฉันไม่ได้ร้ายกาจใส่ฮันเซลและเกรเทลเท่านั้น แต่ฉันร้ายกาจใส่แม่มดทุกตน แม้แต่ลูกสมุนนของฉันเอง” แจนส์เซ่นบอก

               ขณะที่เหล่าแม่มดสุ่มซ่อนอยู่ในเงามืด แต่มีหนึ่งในวายร้ายในโลกของฮันเซลและเกรเทลที่เป็นมนุษย์ เขาก็คือเบอร์ริงเกอร์ นายอำเภอบ้าอำนาจแห่งอ็อกส์เบิร์ก ซึ่งรับบทแสดงโดย ปีเตอร์ สตอร์แมร์ ผู้มีชื่อเสียงโด่งดังจากการรับบทเป็นวายร้ายมานักต่อนัก สตอร์แมร์กล่าวว่า “หนึ่งในไอเดียของภาพยนตร์เรื่องนี้ก็คือ มนุษย์อาจเป็นตัวอันตรายได้เท่ากับภูตผี และก็อบลิน และไอเดียที่ว่าก็เบ่งบานเต็มที่ในตัวละครของผม”

               คนที่เป็นมิตรอย่างมากในเมืองแห่งนี้ ก็คือ เบน เด็กหนุ่มคลั่งเทพนิยายที่หลงใหลในตัวฮันเซลและเกรเทล ประหนึ่งว่าพวกเขาคือดาราดังแห่งยุคนั้น บทนี้รับบทแสดงโดยนักแสดงหนุ่มชาวอเมริกัน โธมัส มานน์ เจมม่า อาร์เทอร์ตันพูดถึงมานน์ว่า “ท่ามกลางความตายที่บ้าคลั่ง เขาเป็นคนที่นำอารมณ์ขันมาสู่เรื่องนี้”

โลกของฮันเซลและเกรเทล : งานโปรดักชั่น

               หนึ่งในความท้าทายที่สร้างความตื่นเต้นให้มากที่สุดสำหรับ ทอมมี่ เวอร์โคล่า ก็คือการได้รับโอกาสสร้างโลกใหม่ให้กับฮันเซลและเกรเทล ในการทำเช่นนั้น เขาได้ปลดปล่อยจินตนาการสุดขั้วของเขาให้โลดแล่นไปอย่างอิสระ เขามีกฎแค่ข้อเดียวที่จะฝ่าฝืนไม่ได้ นั่นก็คือ “ทุกอย่างต้องให้มีภาพลักษณ์และความรู้สึกเหมือนเทพนิยาย” เวอร์โคล่าบอก “เราต้องการสีสันจัดจ้าน เป็นสีที่สะดุดตาทันที สีเขียวของป่า สีแดงของเลือด และสีดำของแม่มด”

               รายละเอียดทั้งหมดที่เป็นมาตรฐานแบบที่พบได้ในเรื่องราวเทพนิยาย ถูกนำมาจัดวางผสมรวมกับฉากแอ็กชั่นและเอฟเฟ็กต์ยุคใหม่ “ทุกอย่างคือการตัดสินใจเลือกที่โดดเด่นที่สุด” ผู้อำนวยการสร้างเควิน เมสซิคกล่าว “แต่ละองค์ประกอบในเรื่องราวของฮันเซลและเกรเทลถูกสร้างขึ้นใหม่อีกครั้งโดยทอมมี่และทีมงานของเขา”

               เพื่อกระตุ้นอดรีนาลีนในทุกฉาก เวอร์โคล่าตัดสินใจถ่ายทำภาพยนตร์เรื่องนี้ออกมาเป็น 3D “เมื่อคุณสร้างภาพยนตร์แบบเรื่องนี้ คุณต้องการให้คนดูเหมือนหลุดเข้าไปอยู่ในหนัง และเทคนิค 3D ก็ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อสิ่งนั้น” เวอร์โคล่าอธิบาย “มันขยายทุกอย่างออกไปจนถึงจุดที่คุณรู้สึกว่าคุณได้เข้าไปอยู่ในดินแดนเทพนิยายจริงๆ”

               ทีมงานที่นำทีมโดยศิลปินสเปเชียลเอฟเฟ็กต์เม้คอัพ ไมก์ เอไลซัลดี ผู้ก่อตั้งบริษัทเม้คอัพเอฟเฟ็กต์ที่มีชื่อเสียงอย่าง สเป็คทรัล โมชั่น (เจ้าของผลงานในภาพยนตร์เรื่อง Hell Boy, Hell Boy 2) ได้ออกแบบยักษ์โทรลที่ชื่อเอ๊ดเวิร์ดขึ้นมา และยังเป็นผู้สร้างชีวิตให้กับเหล่าแม่มด จากนั้น เวอร์โคล่ายังได้ดึงสตูดิโอสเปเชียลเอฟเฟ็กต์เม้คอัพที่ตั้งอยู่ในเบอร์ลิน อย่างบริษัททไวไลท์ ครีเอชั่นส์ (Inglorious Basterds, Harry Potter and the Deathly Hallows) ให้มาออกแบบแม่มดกลุ่มสโตนเซอร์เคิล แต่ความสนุกที่แท้จริงก็คือการได้เห็นนักแสดงสวมบทบาทเหล่านี้ในฉากแอ็กชั่น “นักแสดงแต่ละคนต้องกลายมาเป็นตัวละครในทันที” เอไลซัลดีบอก “พวกเขาเหมือนโดนช็อตด้วยไฟฟ้าเลย”

               องค์ประกอบสำคัญอีกอย่างสำหรับพวกแม่มดในจินตนาการของเวอร์โคล่า ก็คือ แม่มดต้องบินได้จริงๆ และต้องบินได้เร็วจี๋ ในฉากไล่ล่าที่เหมือนจริง “ผมรู้สึกเสมอว่าแม่มดต้องมีไม้กวาด แต่ผมอยากจะใช้ไม้กวาดในรูปแบบใหม่ ดังนั้นพวกแม่มดต้องเป็นขาซิ่งส์” เวอร์โคล่าเล่า เขาต้องทำงานกับวิชวลเอฟเฟ็กต์ ซูเปอร์ไวเซอร์ จอน ฟาร์ฮาร์ท เพื่อใช้ลวดสลิงและเทคนิคจอกรีนสกรีนเพื่อให้ได้ภาพแม่มดขณะบินผ่านป่า

               ผู้ที่เข้ามาช่วยให้จินตนาการของเวอร์โคล่ากลายเป็นจริงขึ้นมาได้ ก็คือ โปรดักชั่นดีไซเนอร์ สตีเฟ่น สก็อตต์ ผู้เคยทำงานให้กับภาพยนตร์ของผู้กำกับ กีลเลอโม่ เดล โทโร่ เรื่อง Hellboy และ Hellboy 2 เช่นเดียวกับเวอร์โคล่า สก็อตต์รู้สึกหลงใหลในโอกาสที่จะได้สร้างฉากที่มีตั้งแต่กระท่อมยันถ้ำ และห้องใต้ดินต่างๆ “สตีเฟ่นคือหนึ่งในคนที่มีจินตนาการบรรเจิดที่สุดเท่าที่ผมเคยพบมา” ผู้อำนวยการสร้างเมสซิคให้ความเห็นไว้

               สก็อตต์ที่เดินทางไปยังเยอรมัน สู่ภูมิภาคที่เป็นแรงบันดาลใจให้กับเรื่องฮันเซลและเกรเทล รู้สึกตื่นเต้นมากที่ได้สร้างฉากในสภาพแวดล้อมทางธรรมชาติที่ดูหลอนที่สุดแห่งหนึ่งบนโลก นั่นก็คือในป่ามืดลึกลับที่ยังไม่เคยมีใครเข้าไปยุ่งเกี่ยว เป็นป่าที่เต็มไปด้วยกิ่งไม้บิดงอที่เหมือนกับยื่นออกมาเพื่อคว้าตัวคุณ “เราพบป่าหลายแห่งที่ให้ความรู้สึกเหมือนเป็นป่ายุคโบราณ และยังมีต้นไม้ที่มีลักษณะที่ดูน่ากลัวมาก” สก็อตต์อธิบาย

               นอกจากฉากป่าแล้ว สก็อตต์และทีมงานของเขา ยังได้สนุกกับการสร้างถ้ำของมิวรีล (ซึ่งเรืองแสงได้ด้วยดวงวิญญาณของเด็กๆ ที่กำลังใกล้ดับมอด) บ้านลูกกวาดที่ชวนน้ำลายสอแต่ชั่วร้าย และฉากที่พวกเขาเรียกว่า “สโตนเซอร์เคิล” ซึ่งเป็นฉากไคลแม็กซ์ของเรื่อง

               หนึ่งในฉากที่เวอร์โคล่าชอบมากที่สุด คือฉากบ้านลูกกวาด “ทุกคนต่างมีไอเดียว่าบ้านหลังนี้ควรจะมีหน้าตายังไง” ผู้กำกับบอก “แต่สิ่งสำคัญก็คือ มันต้องดูยั่วน้ำลาย จนทำให้เด็กสองคนหลงลืมความเคลือบแคลงสงสัยไปได้”

               “เราได้เห็นบ้านหลังนี้ครั้งแรกท่ามกลางแสงจันทร์” สก็อตต์อธิบายต่อ “เป็นบ้านที่มีช็อคโกแลตที่กำลังหลอมละลาย ขนมขิงติดอยู่บนกำแพง และมีลูกกวาดส่งแสงวิบวับ แต่มันยังมีด้านมืดที่ถูกซ่อนเอาไว้ เพราะภายในบ้านหลังนั้นก็คือแม่มดลูกกวาด บ้านและแม่มดตนนี้คือสิ่งเดียวกัน และมีลักษณะที่เหมือนกันก็คือ ชั่วร้ายและเลวทรามมาก”

               ฉากที่อาจเรียกได้ว่าทะเยอทะยานที่สุดก็คือสโตน เซอร์เคิล เป็นฉากที่เกิดเหตุการณ์การช่วยเหลือท้าความตายที่เกิดขึ้นท่ามกลางกลุ่มแม่มดกระหายเลือด  ฉากนี้ต้องใช้ทั้งนักแสดงและทีมงานหลายร้อยคน กล้องหลายสิบตัว เครน และเลือดหลายถัง “ผมชอบฉากสุดท้ายที่เป็นฉากแอ็กชั่นใหญ่อลังการ” เวอร์โคล่าบอก “มันเป็นการผสมผสานที่แสนสนุกของแม่มด ปืนกล และการต่อสู้แบบส่วนตัว”

               ความสนุกที่แสนสร้างสรรค์ปรากฏให้เห็นในส่วนของเสื้อผ้า ที่ออกแบบโดย มาร์ลีน สจ๊วร์ต (Terminator 2) ผู้ทำหน้าที่ออกแบบและตัดเย็บเสื้อผ้ากว่า 100 ชุดจากภาพสเก็ตช์ เธอต้องการให้ฮันเซลและเกรเทลดูคล้ายกับอยู่ในโลกเทพนิยาย แต่ขณะเดียวกันก็ต้องดูคล้ายกับเป็นนักล่าสุดแสบได้ในทุกยุคทุกสมัย เสื้อผ้าของพวกเขาอาจตัดเย็บจากหนังและผ้าลินินตามแบบจารีตโบราณ แต่ในตัวพวกเขาจะไม่มีลักษณะที่ดูโบราณเลย “เราพลิกผันธรรมเนียมทั้งหมดด้วยการใส่ลักษณะโหดๆ ดิบๆ ลงไปในตัวพวกเขา” สจ๊วร์ตอธิบาย

               อาร์เทอร์ตันและเรนเนอร์ต่างพอใจกับแรงบันดาลใจที่เสื้อผ้าที่พวกเขาใส่มีให้ เจมม่า อาร์เทอร์ตันบอกว่า “ทุกคนต่างชอบชุดของเธอมาก เสื้อผ้าที่ฉันใส่มีลักษณะแบบทอมบอยเล็กน้อย และดูเซ็กซี่มาก เธอทำงานได้เยี่ยมมากเลย บอกตามตรง ฉันอยากใส่ชุดพวกนั้นใส่ไปเดินตามถนนจะตายไป ฉันชอบมันมากๆ”

               ขณะที่เสื้อผ้าของพวกเขาดูไร้กาลเวลา แต่อาวุธล่าแม่มดของฮันเซลและเกรเทล กลับเป็นอาวุธอันตรายร้ายแรงพอๆ กับอาวุธจากยุคปัจจุบัน ไซม่อน บูเชอรี ผู้ออกแบบอาวุธจากกรุงเบอร์ลิน ได้ร่วมมือกับเวอร์โคล่า ในการออกแบบอาวุธทุกชิ้นในภาพยนตร์เรื่องนี้ สำหรับเรื่องอาวุธ เวอร์โคล่าจินตนาการถึงปืนแบบโลกอนาคตที่มีอารมณ์ย้อนยุค และหน้าไม้ที่แม้จะดูหน้าตาโบราณ แต่กลับสามารถยิงได้แรงราวกับอาวุธยุคใหม่ “เรามีกฎว่าอาวุธทุกชิ้นจะต้องดูเหมือนพวกเขาทำขึ้นเองด้วยมือ” เขาอธิบาย “เราสนุกกันมากกับการคิดงานออกแบบอาวุธบ้าๆ ขึ้นมา”

               เวอร์โคล่ายังเลือกอาวุธของฮันเซลและเกรเทลด้วยตัวเอง “ฮันเซลเป็นผู้ชายที่เป็นขาลุยที่บุกทะลวงเข้าไปและพยายามช่วยทุกคนออกมาด้วยปืน แต่เกรเทลจะมีความแม่นยำมากกว่า ดังนั้นเธอจึงใช้หน้าไม้แบบสองลำกล้องที่บ่งบอกถึงลักษณะนิสัยของเธอ แต่สามารถทำในสิ่งที่เธอต้องทำได้ด้วย”

               จากอาวุธ จนถึงงานเอฟเฟ็กต์ และฉากแอ็กชั่น การผสมผสานของจินตนาการสุดบรรเจิดและความน่าสยดสยองได้กลายมาเป็นกฎเหล็กสำหรับ Hansel & Gretel: Witch Hunters ทอมมี่ เวอร์โคล่าสรุปปิดท้ายว่า “ภาพยนตร์เรื่องนี้มีฉากแอ็กชั่นเยอะมาก แต่ที่สำคัญไม่แพ้กันก็คือมันมีความรู้สึกผจญภัย และความรู้สึกสนุกอยู่ในตัว มันยังคงเป็นเทพนิยาย แต่เป็นเทพนิยายที่ดูจริงจังที่สุด”