happy on October 07, 2012, 08:20:49 PM

The Watch / เพื่อนบ้าน แก๊งป่วน ป้องโลก

นักแสดง - เบน สติลเลอร์, วินซ์ วอห์น, โจนาห์ ฮิลล์,

ผู้กำกับ - อากิวา แชฟเฟอร์

ประเภท – เบาสมอง / ไซไฟ  

กำหนดเข้าฉาย 11 ตุลาคม 2012


               พ่อบ้านสี่คนที่หลีกหนีชีวิตชานเมืองอันจำเจด้วยการรวมกลุ่มเป็นผู้คอยสอดส่องชาวบ้าน จนพบว่าพวกเขาต้องการเป็นกลุ่มคนพิทักษ์โลกจากการรุกรานของเอเลี่ยน เมื่อพวกมันแอบเข้ามาซุ่มกำลังอยู่ในระแวกบ้านพวกเขา


THE WATCH

<a href="http://www.youtube.com/watch?v=nX-X5SwOtDA" target="_blank">http://www.youtube.com/watch?v=nX-X5SwOtDA</a>

                เมืองเกลนวิว รัฐโอไฮโอ ประเทศสหรัฐอเมริกา สถานที่พักพิงอันสงบสุขและปลอดภัย เอแวน, บ๊อบ, แฟรงคลิน และจามาร์คัส ตัดสินใจร่วมเป็นอาสาสมัครคอยดูแลความปลอดภัยในชุมชนของพวกเขา ด้วยเหตุผลที่ว่าการเป็น “ผู้เฝ้าดู” นั้นสนุกพอๆ กับการนั่งดื่มเบียร์และคุยเรื่องสัพเพเหระ หรืออาจเป็นเพราะเสื้อแจ็คเก็ต Watch สุดเท่ติดสัญลักษณ์รูปหัวเสือประดับปีก ที่หนุ่มทั้งสี่คิดว่ามันจะทำให้คนในชุมชนเคารพยำเกรงพวกเขามากขึ้น ซึ่งตรงกันข้าม พวกเขาถูกเด็กๆ ปาด้วยไข่ไก่ แถมตำรวจท้องที่ก็คิดว่านี่คือเรื่องตลก แต่เมื่อสี่หนุ่มลาดตะเวนไปพบของสิ่งหนึ่งซึ่งดูคล้ายลูกโบว์ลิ่งที่สามารถปล่อยสัญญาณพลังงานออกมาได้ พวกเขาก็รู้ทันทีว่า ตัวเองกำลังเผชิญกับอะไรบางอย่างที่อันตรายกว่าโจรลักเล็กขโมยน้อยธรรมดา
              “เมื่อตั้งทีม Band of Brothers ประจำหมู่บ้านขึ้นมา ชายทั้งสี่คนคิดว่าจะต้องไล่จับพวกนักย่องเบาหรือนักถ้ำมอง ที่ไหนได้พวกเขาต้องเจอกับสถานการณ์ที่ไม่ธรรมดา” ผู้อำนวยการสร้าง ชอว์น เลวี เจ้าของผลงานกำกับภาพยนตร์สุดฮิตอย่าง Night at the Museum และ Real Steel กล่าว “แก๊ง The Watch ไม่ได้เตรียมตัวเตรียมใจ หรือมีเครื่องไม้เครื่องมืออะไรมาจัดการกับปัญหานี้ แต่ถึงอย่างไร นี่คือหน้าที่ของพวกเขาที่ต้องหยุดมันให้ได้” ในการคัดสรรผู้ที่จะมารับบทสมาชิกสี่คนของกลุ่ม The Watch เลวีและผู้กำกับ อากิวา เชฟเฟอร์ ตกลงใจเลือกสามนักแสดงตลกมากพรสวรรค์ “เราต้องการสิ่งที่ดีที่สุด” เลวีบอก “เราจับนักแสดงตลกที่เก่งที่สุดสามคน มาไว้ในหนังเรื่องเดียวกัน แล้วก็ขว้างระเบิดไปอีกหนึ่งลูก โดยการคว้าตัวริชาร์ด อายโอวาดี มาด้วย”
              เบน สติลเลอร์ รับบทเอแวน ผู้จัดการอาวุโสของคอสท์โค ซูเปอร์สโตร์ ที่แม้ว่าเขาจะเป็นพนักงานผู้ทุ่มเท แต่หัวใจของเอแวนก็มอบให้แก่ทีม The Watch ที่เขาเป็นผู้ก่อตั้งและซีอีโอ นอกจากนี้เขายังเป็นคนจัดตั้งชมรมนักวิ่งเกลนวิว, ชมรมรีไซเคิลของใช้ และชมรมเชื้อสายสเปน “เอแวนเป็นคนดังของชุมชน” สติลเลอร์กล่าว “เพราะเขามีเพื่อนเยอะ และชมรมพวกนั้นก็ทำให้เขามีโอกาสได้พบปะผู้คนใหม่ๆ” อากิวา เชฟเฟอร์เสริมว่า “เอแวนเป็นคนจิตใจดี ชอบความสมบูรณ์แบบ และเจ้าเล่ห์ แต่เขาใช้เล่ห์เหลี่ยมในทางสร้างสรรค์” สติลเลอร์พบความท้าทายในการค้นหาด้านลึกของชายผู้มีชีวิตที่ยึดติดกับกฎเกณฑ์อย่างเคร่งครัด “ผมเป็นคนไม่มีระเบียบเลย ไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะเข้าใจคนที่ละเอียดถี่ถ้วน และเป็นระเบียบแบบแผนอย่างเอแวน” สติลเลอร์รู้สึกสบายใจในการแสดงฉากแอ็คชั่นที่ทีม The Watch ต้องต่อกรกับผู้รุกรานจากแดนไกล “หนังเรื่องนี้มีฉากแอ็คชั่นอยู่มากพอสมควร แต่ฉากที่ผมต้องขับรถยกของดูจะเป็นฉากที่ทำให้ทีมงานหวาดเสียวที่สุด” สติลเลอร์กล่าว
              ขั้วตรงข้ามของเอแวนคือบ๊อบ ที่รับบทโดยวินซ์ วอห์น ถ้าบ๊อบคือ “อิด” เอแวนก็คือ “ซูเปอร์อีโก” ถ้าบ๊อบเป็น “หยาง” เอแวนก็ต้องเป็น “หยิน” ซึ่งผู้กำกับ เชฟเฟอร์ให้คำจำกัดความบ๊อบไว้ว่า “แฟมิลีแมนผู้รักสนุก” สำหรับบ๊อบ The Watch เปรียบเสมือนการหนีจากภาระหน้าที่ประจำวันอันซ้ำซากจำเจ The Watch ทำให้เขาได้ดื่มเบียร์, ดูหนังสือโป๊ และคุยเรื่องลามก “บ๊อบอยากออกไปหาอะไรดื่มกับเพื่อนๆ และคุยเรื่องที่พวกผู้ชายชอบคุยกัน” วอห์นกล่าว และเลวีเสริมว่า “บ๊อบคือหมีเท็ดดี้ตัวใหญ่ในรูปแบบของคน เขาเป็นคนครื้นเครง รักเพื่อนฝูง และมีความรับผิดชอบต่อหน้าที่ในการทำให้เพื่อนบ้านปลอดภัย” การดูแลครอบครัวเป็นงานหนักของบ๊อบ ผู้รักภรรยา และลูกสาวหนึ่งคนที่ย่างสู่วัยรุ่น และเริ่มมีเด็กหนุ่มๆ มาติดพัน ซึ่งเป็นเรื่องที่เขาไม่ชอบใจนัก “เธอโตเร็วเกินกว่าที่บ๊อบจะควบคุมอยู่” วอห์นทิ้งท้าย
              สมชิกที่อายุน้อยที่สุดในทีม The Watch คือแฟรงคลิน ที่รับบทโดยโจนาห์ ฮิลล์ เขาเป็นหนุ่มน้อยอายุยี่สิบกว่า ที่ภายนอกดูดุดันแข็งกร้าว ทว่า “ซ่อนความอ่อนหวานไว้ข้างใน” อย่างที่ผู้กำกับ เชฟเฟอร์บอก แฟรงคลินยังอาศัยอยู่กับแม่ เขาถูกคัดออกจากการสมัครเป็นตำรวจ รวมถึงเจ้าหน้าที่ประจำองค์กรอื่น ดังนั้น The Watch จึงเป็นหนทางเดียวที่จะทำให้เขาได้ต่อสู้กับเหล่าร้ายอย่างถูกต้องตามกฎหมาย “แฟรงคลินแปลกแยกจากทุกสิ่ง” ฮิลล์กล่าว “เขาเป็นคนแปลกมาก และก็ตลกมาก” หลังจากได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลออสการ์ สาขานักแสดงสมทบชายยอดเยี่ยมจาก Moneyball ฮิลล์ก็ไม่คิดหวนกลับไปแสดงภาพยนตร์ตลกซึ่งสร้างชื่อให้กับเขาอีก “แต่ผมไม่อาจปฏิเสธการร่วมงานกับเบน, วินซ์ และริชาร์ด” ฮิลล์บอก “ผมต้องเล่นหนังเรื่องนี้ให้ได้ ถ้าผมจะเล่นหนังตลกอีก ผมอยากให้มันเป็นเรื่องเหนือจริงที่ตัวละครจะพูดหรือทำอะไรก็ได้ ยิ่งเป็นเรื่องที่ตัวละครติงต๊องต้องเจอกับเรื่องอันตรายร้ายแรง ผลที่ออกมาต้องมันส์แน่ๆ”
              สมาชิกคนสุดท้ายของThe Watch คือจามาร์คัส พ่อหม้ายป้ายแดง ผู้โหยหาความรักและความอ่อนหวานของอิสตรี “จามาร์คัสคิดว่า The Watch คือโอกาสที่เขาจะได้ฟันหญิง” ริชาร์ด อายโอวาดี ผู้รับบทเป็นจามาร์คัสกล่าว “เขากำลังหาทางที่จะได้ออกไปรู้จักกับพวกสาวๆ” ดูเผินๆ จามาร์คัสไม่เชี่ยวชาญเท่าสมาชิกคนอื่นในทีม แต่เขาก็พิสูจน์ว่าตัวเองมีทีเด็ดอยู่เหมือนกัน เมื่อต้องรับมือกับผู้รุกรานจากนอกโลก ผู้อำนวยการสร้าง เลวี บอกว่า “ความสามารถเฉพาะตัว” ของอายโอวาดีทำให้เขาเหมาะสมกับบทนี้ที่สุด เขามักมีมุกแปลกๆ ที่เราจะไม่มีทางคาดเดาได้เลย”
              เพื่อเพิ่มรสชาติให้กับภาพยนตร์ จึงไม่น่าประหลาดใจที่ความชุลมุนวุ่นวายบางส่วน จะมีจุดกำเนิดมาจากตัวละครหญิงผู้เป็นภรรยาของเอแวนที่ชื่อแอ๊บบี้ ซึ่งรับบทโดยโรสแมรี เดอวิทท์ “เอแวนและแอ๊บบี้มีชีวิตคู่ที่ดี” สติลเลอร์กล่าว “แต่ก็มีบางเรื่องที่ไม่ลงตัว พวกเขายังไม่มีลูก” ขณะที่เอแวนชอบใช้ชีวิตอยู่ในย่านชานเมือง แต่แอ๊บบี้ “อยากออกไปสัมผัสโลกที่กว้างใหญ่กว่านี้ และมีลูกให้ได้สักที” เดอวิทท์กล่าว การร่วมงานสี่ดาวตลกมือโปร ทำให้เดอวิทท์ผู้สร้างชื่อมาจากบทบาทในภาพยนตร์ดรามาหลายเรื่อง ต้องพบกับความยากลำบากไม่น้อย “มันเหมือนกับการที่คุณใช้เวลาทั้งชีวิตฝึกฝนเพื่อไปแข่งวิ่งระยะไกล แต่สุดท้ายพวกเขาดันส่งคุณไปแข่งว่ายน้ำ”
              เหล่านักแสดงและทีมงานล้วนต้องการทำให้ The Watch เป็นภาพยนตร์เบาสมองที่แปลกแหวกแนว “ดีเอ็นเอของหนังเรื่องนี้ไม่เหมือนใคร เราอยากได้ผู้กำกับที่สดใหม่และใจกล้าบ้าบิ่น” เลวีกล่าว อากิวา เชฟเฟอร์คือคนที่ได้รับเลือกให้มากำกับผลงานเรื่องนี้ “ในหัวของอากิวาเต็มไปด้วยมุกตลก เขาคืออัจฉริยะเรื่องการตัดต่อ และเป็นเด็กยุคดิจิทัลตัวจริง” สติลเลอร์ชม และเลวีเสริมว่า “อากิวาช่วยสร้างแนวทางของหนังเบาสมองในยุคดิจิทัล และเขาจะไปไกลกว่านี้อีก”











นักแสดง
เบน สติลเลอร์  (เอแวน เทราท์วิก)


                เบน สติลเลอร์เป็นทั้งนักแสดง, นักเขียนบท, ผู้กำกับ และผู้อำนวยการสร้างภาพยนตร์ ผลงานล่าสุดของเขาคือการนำแสดงในภาพยนตร์แอ็คชั่นเบาสมองเรื่อง Tower Heist (2011) และให้เสียงพากย์ในแอนิเมชั่นเรื่อง Madagascar 3: Europe’s Most Wanted (2012) ย้อนกลับไปเมื่อปี 2008 ภาพยนตร์ที่เขาร่วมเขียนบท, กำกับ และนำแสดงเรื่อง Tropic Thunder ได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลมากมาย ทั้งออสการ์, BAFTA, SAG และลูกโลกทองคำ อีกทั้งยังพิชิตรางวัล “ภาพยนตร์เบาสมองแห่งปี” จาก Broadcast Film Critics Award และ Hollywood Film Festival Award ผลงานเด่นเรื่องอื่นของสติลเลอร์ ได้แก่ Reality Bites (1994), There’s Something About Mary (1998), Meet the Parents (2000), Zoolander (2001), The Royal Tenenbaums (2001), Envy (2004), Dodgeball: A True Underdog Story (2004), Meet the Fockers (2004), Night at the Museum (2006), Greenberg (2010) และ Little Fockers (2010) ขณะนี้เขากำลังอยู่ในระหว่างการสร้าง, กำกับ และนำแสดงในภาพยนตร์เรื่องล่าสุด The Secret Life of Walter Mitty

วินซ์ วอห์น  (บ๊อบ)

                หนึ่งในนักแสดงตลกชายยอดนิยมตลอดทศวรรษที่ผ่านมา วอห์นเริ่มต้นแสดงภาพยนตร์เรื่องแรกคือ Rudy (1993) ที่ทำให้เขาได้รู้จักและเป็นเพื่อนกับจอน แฟว์โร ซึ่งต่อมาเป็นผู้ส่งให้วอห์นโด่งดังด้วยการเขียนบทให้เขานำแสดงใน Swingers (1996) จากนั้นทั้งคู่ก็ทำงานร่วมกันเรื่อยมาในภาพยนตร์ชั้นดีอย่าง Made (2001), The Break-Up (2006), Four Christmases (2008) และ Couples Retreat (2009) ผลงานเด่นเรื่องอื่นของวอห์น ได้แก่ The Lost World: Jurassic Park (1997), The Cell (2000), Zoolander (2001), Old School (2003), Dodgeball: A True Underdog Story (2004), Thumbsucker (2005), Mr. & Mrs. Smith (2005), Wedding Crashers (2005), Into the Wild (2007), Fred Claus (2007) และ The Dilemma (2011)

โจนาห์ ฮิลล์  (แฟรงคลิน)

                เริ่มต้นอาชีพนักแสดงในภาพยนตร์เรื่อง I Heart Huckabees (2004) ที่เขาประชันบทบาทกับนักแสดงระดับตำนาน ดัสติน ฮอฟฟ์แมน และโด่งดังขึ้นมาจากการปั้นของผู้เขียนบท/ผู้กำกับ จั๊ด อาพาโทว์ ในภาพยนตร์เบาสมองสุดฮิต The 40 Year Old Virgin (2005) ตามด้วย Knocked Up (2007), Superbad (2007), Walk Hard: The Dewey Cox Story (2007), Forgetting Sarah Marshall (2008), Funny People (2009), Cyrus (2010) และ Get Him to the Greek (2010) ในปี 2011 ฮิลล์ผันตัวเองมาสู่การแสดงบทดรามา ด้วยการประกบ แบรด พิทท์ในเรื่อง Moneyball ซึ่งบทบาทอันยอดเยี่ยมของฮิลล์ ส่งให้เขาได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลนักแสดงสมทบชายยอดเยี่ยมบนเวทีออสการ์, BAFTA, ลูกโลกทองคำ, Screen Actors Guild Award, Satellite Awards และ Phoenix Film Critics Society Awards

ริชาร์ด อายโอวาดี  (จามาร์คัส)

                ดาวตลกชาวอังกฤษผู้มีพรสวรรค์และความสามารถหลากหลาย ด้วยการเป็นทั้งนักแสดง, นักเขียนบท และผู้กำกับ เขาโด่งดังขึ้นมาจากการเป็นผู้ร่วมเขียนบท, กำกับ และนำแสดงในซีรีส์โทรทัศน์เรื่อง Garth Marenghi’s Darkplace (2004) ตามด้วยการรับบทเป็นตัวละครชื่อมัวริซ มอสส์ ในซีรีส์สุดฮิต The IT Crowd (2006-2010) ผลงานเด่นทางโทรทัศน์เรื่องอื่นของเขา ได้แก่ The Mighty Boosh (2003-2007), Nathan Barley (2005), Man to Man with Dean Learner (2006) และ Noel Fielding’s Luxury Comedy (2012) ในปี 2010 อายโอวาดีกำกับภาพยนตร์เรื่องแรกคือ Submarine ที่ได้รับคำชมจากนักวิจารณ์ และทำให้เขาได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัล BAFTA สาขานักเขียนบท/ผู้กำกับหน้าใหม่ยอดเยี่ยม รวมถึงการพิชิตรางวัลบทภาพยนตร์ยอดเยี่ยมบนเวที British Independent Film Awards อีกด้วย

โรสแมรี เดอวิทท์  (แอ๊บบี้ เทราท์วิก)

                นักแสดงหญิงผู้ได้รับเสียงชื่นชมจากบทบาทการแสดงอันยอดเยี่ยมของเธอ ทั้งในวงการละครเวที, โทรทัศน์ และภาพยนตร์ ผลงานที่ทำให้เดอวิทท์เป็นที่รู้จักอย่างกว้างขวางคือการรับบท “เรเชล” ในภาพยนตร์เรื่อง Rachel Getting Married (2008) ซึ่งส่งให้เธอได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลนักแสดงสมทบหญิงยอดเยี่ยมแทบทุกเวที ผลงานเด่นเรื่องอื่นของเธอ ได้แก่ Standoff (TV series 2006-2007), The Company Men (2010), Mad Men (TV series 2007-2010), A Little Bit of Heaven (2011), United States of Tara (TV series 2009-2011), Your Sister’s Sister (2011), Margaret (2011), Nobody Walks (2012) และ The Odd Life of Timothy Green (2012)
« Last Edit: October 10, 2012, 06:35:17 PM by happy »

happy on October 10, 2012, 06:28:37 PM



ทีมงาน
อากิวา เชฟเฟอร์  (ผู้กำกับภาพยนตร์)


                นักเขียนบท/ผู้กำกับภาพยนตร์ และสมาชิกวง The Lonely Island ร่วมกับเพื่อนนักแสดง แอนดี้ แซมเบิร์ก และจอร์มา ทัคโคเน (ซึ่งอัลบั้ม Incredibad ของพวกเขาทำยอดขายสูงสุดอันดับ 8 ของอัลบั้มเพลงฮิพฮอพประจำปี 2009) ในฐานะหนึ่งในนักเขียนบทแห่ง Saturday Night Live เชฟเฟอร์รับผิดชอบในการสร้างสรรค์รายการ และจัดการแข่งขันโชว์สั้นๆ ก่อนที่เขาจะก้าวสู่การเป็นผู้กำกับภาพยนตร์ครั้งแรกในปี 2007 ด้วยผลงานเรื่อง Hot Rod ที่นำแสดงโดยเพื่อนสนิททั้งสอง แอนดี้ แซมเบิร์ก และจอร์มา ทัคโคเน The Watch คือผลงานกำกับภาพยนตร์ขนาดยาวเรื่องที่สองของเขา

จาเร็ด สเทิร์น  (ผู้เขียนบทภาพยนตร์)

                หนึ่งในนักเขียนบทดาวรุ่งผู้มาแรงที่สุดในแนวภาพยนตร์เบาสมอง ผลงานที่ผ่านมาของสเทิร์นคือสองภาพยนตร์แอนิเมชั่นเรื่องดัง Bolt (2008) และ The Princess and the Frog (2009) รวมทั้ง Mr. Popper’s Penguins (2011) ผลงานเรื่องล่าสุดของจิม แคร์รีย์

เซธ โรเจ็น  (ผู้เขียนบทภาพยนตร์)

                ได้รับการยกย่องให้เป็นความหวังใหม่ของวงการนักแสดงตลกชาย ด้วยความสามารถอันล้นเหลือ ผลงานล่าสุดของโรเจ็นซึ่งเป็นที่ชื่นชมของบรรดานักวิจารณ์คือ การรับหน้าที่นักแสดง และผู้อำนวยการสร้างภาพยนตร์เรื่อง 50/50 ที่นำเค้าโครงเรื่องมาจากชีวิตจริงของวิล ไรเซอร์ เพื่อนสนิทของเขา โรเจ็นเริ่มทำงานในวงการบันเทิงตั้งแต่อายุ 13 ปี โดยการเป็นนักแสดงตลกเดี่ยวในเมืองแวนคูเวอร์ ประเทศแคนาดา หลังจากย้ายมาอยู่ลอส แองเจลิส เขาก็ได้เป็นนักแสดงตัวประกอบในซีรีส์โทรทัศน์ที่สร้างโดยจั๊ด อาพาโทว์ เรื่อง Freaks and Geeks (1999-2000) และ Undeclared (2001-2003) กระทั่งอายุ 18 เขาก็ได้รับตำแหน่งเป็นหนึ่งในทีมเขียนบทของ Undeclared ก่อนจะก้าวไปสู่ความโด่งดังอย่างแท้จริง ด้วยบทบาทการแสดงในภาพยนตร์เบาสมองที่กำกับโดยจั๊ด อาพาโทว์ เรื่อง The 40 Year Old Virgin (2005) ซึ่งทำรายได้รวมทั่วโลกเป็นเงินมากกว่า 175 ล้านเหรียญ จากนั้นก็ไปรับตำแหน่งผู้อำนวยการสร้างฝ่ายบริหาร และนำแสดงใน Knocked Up (2007) ตามด้วยการเขียนบท (ร่วมกับเพื่อนสนิท เอแวน โกลด์เบิร์ก), นำแสดง และเป็นผู้อำนวยการสร้างฝ่ายบริหารภาพยนตร์เรื่อง Superbad (2007) ที่ทำรายได้เฉพาะในสหรัฐอเมริกาเป็นเงินมากกว่า 120 ล้านเหรียญ ผลงานเรื่องอื่นของโรเจ็นในฐานะผู้เขียนบท ได้แก่ Da Ali G Show (TV series 2004), Jay and Seth Versus the Apocalypse (short 2007), Drillbit Taylor (2008), Pineapple Express (2008), The Simpsons (TV series 2009) และ The Green Hornet (2011)

เอแวน โกลด์เบิร์ก  (ผู้เขียนบทภาพยนตร์)

                เพื่อนสนิทของเซธ โรเจ็น ผู้ร่วมงานกันมาทั้งในฐานะนักเขียนบท และผู้อำนวยการสร้างภาพยนตร์ ดังผลงานต่อไปนี้  Da Ali G Show (TV series 2004), Jay and Seth Versus the Apocalypse (short 2007), Knocked Up (2007), Superbad (2007), Pineapple Express (2008), Funny People (ผู้อำนวยการสร้างฝ่ายบริหาร 2009), The Simpsons (TV series 2009), The Green Hornet (2011) และ 50/50 (ผู้อำนวยการสร้าง 2011)

ชอว์น เลวี  (ผู้อำนวยการสร้างภาพยนตร์)

                หนึ่งในผู้กำกับภาพยนตร์ผู้ประสบความสำเร็จเชิงพาณิชย์มากที่สุดในทศวรรษที่ผ่านมา จนถึงวันนี้ ผลงานทั้งหมดของชอว์น เลวีทำรายได้รวมกันทั่วโลกเป็นเงินมากกว่า 1.6 พันล้านเหรียญ เลวีจบการศึกษาสาขาการละครจากมหาวิทยาลัยเยล แล้วไปเรียนต่อด้านภาพยนตร์ที่ USC ระหว่างนั้นภาพยนตร์สั้นของเขาเรื่อง Broken Record ชนะรางวัล Gold Plaque จากเทศกาลภาพยนตร์ชิคาโก และถูกเลือกไปฉายในงาน Director’s Guild of America ผลงานเด่นจากการกำกับของเลวี ได้แก่ The Secret World of Alex Mack (TV series 1996-1997), Lassie (TV series 1997-1998), Animorphs (TV series 1998-1999), Just Married (2003), Cheaper by the Dozen (2003), The Pink Panther (2006), Night at the Museum (2006), Night at the Museum: Battle of the Smithsonian (2009), Date Night (2010) และ Real Steel (2011)

แดน เลอวีน  (ผู้อำนวยการสร้างฝ่ายบริหาร)

                ประธานบริษัท 21 Laps Entertainment ซึ่งเป็นบริษัทผลิตภาพยนตร์ที่ก่อตั้งโดยชอว์น เลวี ก่อนหน้านี้ เลอวีนเคยดำรงตำแหน่งรองประธานฝ่ายผลิตของบริษัทพาราเมาท์ พิคเจอร์ส และย้อนหลังไปนานกว่านั้น เขาเคยนั่งบริหารงานที่ไดเมนชั่น ฟิล์ม, เจอร์ซีย์ ฟิล์ม และนิว รีเจนซี ภาพยนตร์เรื่องดังที่อยู่ในความดูแลของเขาคือ A Time to Kill (1996), L.A. Confidential (1997), City of Angels (1998), Fight Club (1999), Super Troopers (2001), Along Came Polly (2004),The Amityville Horror (2005), Shooter (2007), Freedom Writers (2007), Stardust (2007), Cloverfield (2008) และ G.I. Joe: The Rise of Cobra (2009)

โมนิกา เลวินสัน  (ผู้อำนวยการสร้างฝ่ายบริหาร)

                ผู้อำนวยการสร้างฝ่ายบริหารภาพยนตร์เรื่อง 30 Minutes or Less (2011) และ Borat: Cultural Learnings of America for Make Benefit Glorious Nation of Kazakhstan (2006) นอกจากนี้เธอยังเป็นผู้อำนวยการสร้างภาพยนตร์เรื่อง Bruno (2009) และ The Gin Game (TV movie 2003) รวมถึงเป็นผู้ช่วยผู้อำนวยการสร้างใน Zoolander (2001) และร่วมอำนวยการสร้าง We Married Margo (2000)

แบร์รี ปีเตอร์สัน  (ผู้กำกับภาพ)

                ปีเตอร์สันสนใจการถ่ายภาพตั้งแต่วัยเด็ก มันเป็นทั้งงานอดิเรกและจุดหมายในอนาคตของเขา ภายหลังเรียนจบไฮสคูล เขาก็เริ่มทำงานเป็นช่างภาพตั้งแต่บัดนั้น ผลงานภาพยนตร์ที่เขาเป็นผู้กำกับภาพ ได้แก่ Mustard Bath (1993), Zoolander (2001), Dark Blue (2002), Hollywood Homicide (2003), Starsky & Hutch (2004), Jumper (2008), The Cape (TV series 2011) และ 21 Jump Street (2012)

ดั๊ก เมียร์ดิง  (ผู้ออกแบบงานสร้าง)

                เริ่มต้นทำงานเป็นผู้กำกับศิลป์ในภาพยนตร์เรื่องดังอย่าง Jurassic Park III (2001), The Scorpion King (2002), The Italian Job (2003), War of the Worlds (2005), The Good German (2006), Ocean’s Thirteen (2007), Cloverfield (2008) แล้วจึงก้าวขึ้นมาเป็นผู้ออกแบบงานสร้างใน The Informant! (2009) ตามด้วย Undercovers (TV series 2010-2011), Cedar Rapids (2011) และ House of Lies (TV series 2012)

ดีน ซิมเมอร์แมน  (ผู้ลำดับภาพ)

                บุตรชายของดอน ซิมเมอร์แมน ผู้ลำดับภาพฝีมือเยี่ยมที่ได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลออสการ์จาก Coming Home (1978) ดีนทำงานเป็นผู้ช่วยพ่อมานานถึง 15 ปี ก่อนจะได้เป็นผู้ลำดับภาพมือหนึ่งครั้งแรกในภาพยนตร์เรื่อง Date Night (2010) ผลงานเรื่องอื่นของเขา ได้แก่ Rush Hour 3 (2007), Jumper (2008), Night at the Museum: Battle of the Smithsonian (2009), Gulliver’s Travels (2010), Family Album (TV movie 2011) และ Real Steel (2011)

คริสตอฟ เบ็ค  (ผู้ประพันธ์ดนตรีประกอบ)

                เบ็คเริ่มอาชีพผู้ประพันธ์ดนตรีประกอบภาพยนตร์ในซีรีส์โทรทัศน์แคนาดาเรื่อง White Fang (1993) จนถึงวันนี้เขาสร้างผลงานประพันธ์ดนตรีในภาพยนตร์เป็นจำนวนมากกว่าหนึ่งร้อยเรื่อง ยกตัวอย่างเรื่องที่โด่งดัง เช่น Bring It On (2000), The Tuxedo (2002), Just Married (2003), Cheaper by the Dozen (2003), Garfield (2004), The Pink Panther (2006), School for Scoundrels (2006), We Are Marshall (2006), Year of the Dog (2007), Charlie Bartlett (2007), Fred Claus (2007), Phoebe in Wonderland (2008), Drillbit Taylor (2008), What Happens in Vegas (2008), The Pink Panther 2 (2009), The Hangover (2009), I Love You, Beth Cooper (2009), Post Grad (2009), Percy Jackson & the Olympians: The Lightning Thief (2010), Hot Tub Time Machine (2010), Date Night (2010), Red (2010), Due Date (2010), Burlesque (2010), The Hangover Part II (2011), Crazy Stupid Love (2011), Tower Heist (2011) และ This Means War (2012) เบ็คได้รับรางวัลเอ็มมีสาขาผู้ประพันธ์ดนตรียอดเยี่ยมจากซีรีส์โทรทัศน์เรื่อง Buffy the Vampire Slayer (1997-2001)

เวนดี้ ชัค  (ผู้ออกแบบเครื่องแต่งกาย)

                ดีไซเนอร์ฝีมือเยี่ยมแห่งวงการภาพยนตร์, ละคร และบัลเลต์ของสหรัฐอเมริกา แต่พื้นเพเดิมของชัคเป็นชาวออสเตรเลีย ผลงานการออกแบบเสื้อผ้าอันโดดเด่นของเธออยู่ในภาพยนตร์เรื่องดังอย่าง Election (1999), Sugar & Spice (2001), About Schmidt (2002), Bad Santa (2003), Saved (2004), Sideways (2004), The Ring Two (2005), Even Money (2006), Mr. Woodcock (2007), Henry Poole Is Here (2008), Twilight (2008), Conviction (2010), Don’t Be Afraid of the Dark (2010) และ The Descendants (2011) ก่อนเข้าสู่วงการภาพยนตร์ ชัคเคยทำงานที่สถานีโทรทัศน์ ABC TV และที่ Museum of the Moving Image ในกรุงลอนดอน เธอได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลของสถาบันภาพยนตร์ออสเตรเลีย สาขาการออกแบบเครื่องแต่งกายยอดเยี่ยมประจำปี 1994 จากภาพยนตร์เรื่อง Country Life และชนะรางวัล Costume Designers Awards สำหรับการออกแบบเครื่องแต่งกายในภาพยนตร์เรื่อง About Schmidt