FB on September 22, 2012, 01:01:11 AM
กระแสเรียกร้องภาคจบ “จันดารา ปัจฉิมบท” “หม่อมน้อย” จัดเต็มความเข้มข้น ตามใจแฟนหนัง เร่งฉายเร็วที่สุด



          จากกระแสผู้ชม “จันดารา ปฐมบท” อย่างล้นหลาม ซึ่งต่างก็เรียกร้องต้องการชมภาค 2 ในชื่อ “จันดารา ปัจฉิมบท” อันเป็นภาคอวสานของเรื่องอย่างต่อเนื่อง ทำให้ผู้กำกับชั้นครู “หม่อมน้อย-ม.ล.พันธุ์เทวนพ เทวกุล” ได้เร่งถ่ายทำอย่างประณีต เพื่อสนองทุกกระแสตอบรับอย่างเร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้หม่อมน้อย เผยความรู้สึกว่า

          “รู้สึกปลื้มใจในกระแสตอบรับครั้งนี้ ทุกกระแสเป็นกำลังใจในการทำงานมาก โดยเฉพาะที่ทุกท่านเข้าใจในเจตนารมณ์ของหนังเรื่องนี้ว่าเป็นงานศิลปะไม่ใช่อนาจาร สำหรับ ‘จันดารา ปัจฉิมบท’ อันเป็นภาคอวสานนี้อารมณ์ของเรื่องจะเข้มข้นและเร้าใจขึ้นกว่าในภาคแรกแน่นอน เพราะจันดาราจะได้ล่วงรู้ว่าบิดาที่แท้จริงของเขาเป็นใคร และรู้เท่าทันเกมการเมืองอันคดโกงของคุณหลวงวิสนันท์เดชา ทำให้เขาต้องกลับมาแก้แค้นและชิงอำนาจกลับคืนแก่ตระกูลพิจิตรวานิชด้วยทุกวิถีทาง ซึ่งบทบาทของทุกตัวละครในเรื่องจะแปรเปลี่ยนไปจากหน้ามือเป็นหลังมือ โดยเฉพาะอย่างยิ่งบทบาทของจันดาราและเคน กระทิงทอง ซึ่งขณะนี้ผมได้เร่งถ่ายทำและตัดต่ออย่างเต็มร้อย เพื่อให้แฟนหนังได้ชมอย่างเร็วที่สุด”

          เตรียมพบกับความเข้มข้นและปมปริศนาที่จะคลี่คลายใน “จันดารา ปัจฉิมบท” อีกไม่นานเกินรอ
« Last Edit: December 28, 2012, 07:28:08 AM by FB »

FB on December 20, 2012, 04:25:04 PM
“หม่อมน้อย” การันตี “มาริโอ้” พลิกบทบาทสุดเข้มเกินคาดหมาย ใน “จันดารา ปัจฉิมบท”








  
          หลัง จากมีกระแสวิพากษ์วิจารณ์ว่าบทบาทของ “มาริโอ้ เมาเร่อ” ใน “จันดารา ปฐมบท” ดูใสๆ อ่อนโยน ไม่มีมาดแมนเท่าบท “เคน กระทิงทอง” (ชัยพล จูเลี่ยน พูพาร์ต) สักเท่าไหร่นั้น “หม่อมน้อย-ม.ล.พันธุ์เทวนพ เทวกุล” ผู้กำกับภาพยนตร์ได้ออกมาชี้แจงและขอให้แฟนหนังอดใจรอกันอีกอึดใจเดียว เพราะบทบาทของมาริโอ้ใน “จันดารา ปัจฉิมบท” ภาคอวสานของเรื่องจะพลิกผันจากหน้ามือเป็นหลังมือจนเกินความคาดหมายอย่างแน่ นอน

          หม่อมน้อยเผยถึงเรื่องนี้ว่า

          “ใน ‘จันดารา ปฐมบท’ ที่ผ่านมานั้น บทของคุณจันยังเป็นวัยรุ่นที่ถูกเลี้ยงดูมาให้อยู่ในกรอบของความเป็นผู้ดีใน ยุครัชกาลที่ 7 ซึ่งต่างจากบทของเคนซึ่งเป็นบ่าวในบ้าน เพราะฉะนั้นลีลาและสีสันในอารมณ์จึงต้องต่างกัน อีกทั้งจัน ดาราในภาคต้นยังเป็นผู้ถูกกระทำและเก็บกดในอารมณ์แค้นซึ่งจะระเบิดออกมา อย่างรุนแรงใน จันดารา ปัจฉิมบท’ ซึ่งโทนของเรื่องจะเปลี่ยนไปอย่างเข้มข้นขึ้นด้วยเนื้อเรื่องที่ว่าด้วยการ ล้างแค้นอันนำไปสู่บทสรุปที่มิอาจคาดเดาได้ของทุกตัวละครในเรื่อง ซึ่งมาริโอ้เองก็แสดงได้อย่างยอดเยี่ยมจนเกินความคาดหมายต่างจากภาคแรกไปเลย จริงๆ แต่แฟนหนังต้องชมภาคต้นจากดีวีดีที่จะออกภายในเดือนธ.ค.นี้ก่อนจึงจะชม ภาคอวสานนี้ได้อย่างมีรสชาติ รับรองได้เลยว่าแฟนหนังจะไม่มีวันผิดหวังอย่างแน่นอนครับ”

          เตรียม พบกับการพลิกบทบาทครั้งสำคัญของ “มาริโอ้ เมาเร่อ” และบทสรุปยิ่งใหญ่แห่งโศกนาฏกรรมชีวิตสุดพลิกผันใน “จันดารา ปัจฉิมบท” พร้อมฉาย 7 ก.พ. 2556 ในโรงภาพยนตร์
« Last Edit: December 28, 2012, 07:28:22 AM by FB »

FB on December 28, 2012, 07:28:33 AM










จันดารา ปัจฉิมบท (official teaser)
<a href="http://www.youtube.com/watch?v=oYMeWxBl_xM" target="_blank">http://www.youtube.com/watch?v=oYMeWxBl_xM</a>
« Last Edit: January 01, 2013, 03:22:20 PM by FB »

FB on December 30, 2012, 02:41:25 PM
Movie Guide: “จันดารา ปัจฉิมบท”

จันดารา ปัจฉิมบท (official teaser)
<a href="http://www.youtube.com/watch?v=oYMeWxBl_xM" target="_blank">http://www.youtube.com/watch?v=oYMeWxBl_xM</a>
 
          จากวรรณกรรมเชิงสังวาสสุดอมตะของนักประพันธ์ชั้นครู "อุษณา เพลิงธรรม"
          สู่มหากาพย์ภาพยนตร์สุดละเมียดของผู้กำกับมากฝีมือ "ม.ล.พันธุ์เทวนพ เทวกุล"
          จากโศกนาฏกรรมแห่งการจองเวร หายนะแห่งกรรมตัณหา
          สะท้อนใจวิปริตของมนุษย์ ใน "จันดารา ปฐมบท"

          สู่บทสรุปอันยิ่งใหญ่แห่งการล้างแค้น ทวงคืนสมบัติ ช่วงชิงอำนาจ
          พลิกผันชะตาชีวิตอันมิอาจคาดเดา

          “จันดารา ปัจฉิมบท”
          7 กุมภาพันธ์ 2556 ในโรงภาพยนตร์

FB on January 05, 2013, 04:33:59 PM
“มาริโอ้-นิว” หนีระเบิดถล่มพระนคร “จันดารา ปัจฉิมบท” โชว์ฉากใหญ่มหาสงครามโลกครั้งที่ 2


 
          ผู้ กำกับชั้นครู “หม่อมน้อย-ม.ล.พันธุ์เทวนพ เทวกุล” พร้อมโชว์ฉากใหญ่อลังการของมหาสงครามเอเชียบูรพาให้สมกับความยิ่งใหญ่ใน ภาคอวสานของภาพยนตร์มหากาพย์โศกนาฏกรรม “จันดารา ปัจฉิมบท” โดยเนรมิตบริเวณตึกโบราณของการรถไฟแห่งประเทศไทยให้เป็นจุดทิ้งระเบิดจาก เครื่องบินรบของฝ่ายสัมพันธมิตรเพื่อทำลายล้างกองทัพทหารญี่ปุ่นซึ่งเข้ามา ยึดพระนครเป็นฐานบัญชาการ เมื่อปี พ.ศ. 2484 ท่ามกลางนักแสดงประกอบกว่า 300 ชีวิตที่รับบทเป็นทหารญี่ปุ่นและประชาชนชาวไทย เพื่อแสดงให้เห็นภัยร้ายแห่งสงครามที่ทำลายทั้งชีวิตและทรัพย์สิน ก่อให้เกิดการสูญเสียครั้งยิ่งใหญ่ในประวัติศาสตร์โลก หม่อมน้อยเผยถึงหนึ่งในหลายฉากไฮไลต์ของเรื่องนี้ว่า

          “ฉากนี้ ป็นฉากที่สำคัญมากนอกจากจะเป็นเหตุการณ์จริงในประวัติศาสตร์แล้ว ผลของสงครามยังมีผลค่อความรู้สึกนึกคิดของจัน ดาราที่ต้องเผชิญหน้ากับความตายของผู้คนนับร้อยที่เสียชีวิตไปในเสี้ยว วินาที ทำให้เขารู้สึกว่าชีวิตเป็นสิ่งมีค่า ความตายนั้นอยู่เพียงแค่เอื้อม เพราะฉะนั้นในระหว่างที่มีชีวิตอยู่มนุษย์เราควรที่จะมอบความสุขให้แก่กัน มิใช่มัวแต่แก่งแย่งชิงดีและแสวงหาอำนาจ ดังนั้นผมจึงต้องถ่ายทำฉากนี้อย่างประณีตพิถีพิถัน เพราะนอกจากจะเป็นฉากใหญ่มีผู้แสดงประกอบเป็นร้อยๆ แล้ว ทางด้านการแสดงของมาริโอ้, นิว ชัยพล และณัฏฐ์ เทพหัสดินฯ ก็เป็นบทบาทที่แสดงอารมณ์ออกมาไม่ง่ายเลย แต่ด้วยบรรยากาศที่ถ่ายทอดออกมาอย่างสมจริงของทุกฝ่าย ไม่ว่าจะเป็นฝ่ายฉาก, ฝ่ายเครื่องแต่งกาย, ทีมเมคอัพ และทีมเอฟเฟ็คต์ระเบิดสงคราม ฯลฯ ทำให้นักแสดงนำและนักแสดงประกอบทุกคนสามารถเข้าถึงบทบาทและสามารถสร้างบรรยา ศอันน่าสะเทือนอารมณ์ของมหาสงครามเอเชียบูรพาได้อย่างน่าอัศจรรย์ใจเลยที เดียว”

          เตรียมพบฉากสุดยิ่งใหญ่พร้อมบทสรุปแห่งการล้างแค้นของโศกนาฏกรรมที่มิอาจคาดเดานี้ได้ 7 ก.พ. 2556 ในโรงภาพยนตร์

FB on January 05, 2013, 04:35:00 PM
แรง อึ้ง คาดไม่ถึง!!! “จันดารา ปัจฉิมบท” จัดเต็ม พลิกบท “มาริโอ้” เข้มข้นเร้าอารมณ์ทุกบทบาทผงาดฉายรับตรุษจีน









          ใกล้จะได้ชมภาพยนตร์ไทยกระแสแรงแห่ง ยุคที่หลายคนจับตามองกันแล้วสำหรับ “จันดารา ปัจฉิมบท” ภาคต่อที่เป็นบทสรุปอันยิ่งใหญ่แห่งการล้างแค้นทวงคืนอำนาจที่พลิกผันทุก ชะตาชีวิตอันมิอาจคาดเดาได้เลย ผ่านเนื้อหาสุดแรงและการแสดงสุดเข้มข้นของทีมนักแสดงคุณภาพระดับแนวหน้าที่ พลิกบทบาทกันอย่างสุดฝีมือ

          ผู้กำกับชั้นครู “หม่อมน้อย-ม.ล.พันธุ์เทวนพ เทวกุล” ที่ขณะนี้กำลังอยู่ในช่วงตัดต่อและทำโพสต์โปรดักชั่นให้ทันฉาย 7 ก.พ. 56 ฉลองเทศกาลตรุษจีน ก็ได้รับประกันความเข้มข้นเร้าอารมณ์ในทุกฉากทุกตอนในภาคนี้ว่าสมกับเป็นบท สรุปในโศกนาฏกรรมชีวิตของ “จัน ดารา” ที่สมบูรณ์แบบเกินความคาดหมายของผู้ชมกันเลยทีเดียว

          “ภาคนี้ เป็นภาคอวสานที่จะดำเนินเรื่องต่อจากการเดินทางไปเมืองพิจิตรของ ‘จัน ดารา’ และ ‘เคน กระทิงทอง’ ที่นั่นจันได้พบกับความจริงอันน่ารันทดใจเกี่ยวกับพ่อที่แท้จริงของเขา รวมทั้งได้ล่วงรู้สถานภาพที่แท้จริงว่าเขาคือเจ้าของบ้านวิสนันท์โดยชอบธรรม จาก ‘คุณท้าวพิจิตรรักษา’ ผู้เป็นยาย ทำให้สองยายหลานวางแผนแก้แค้นเพื่อชิงอำนาจและทรัพย์สมบัติคืนจากคุณหลวงวิ สนันท์เดชาที่ฉ้อโกงไปตั้งแต่ก่อนเขาเกิด ดังนั้นด้วยเพลิงแห่งความแค้น ทำให้เขาแปรเปลี่ยนจากเด็กหนุ่มที่สุภาพและอ่อนโยน กลายเป็นชายหนุ่มที่เต็มไปด้วยเล่ห์กลและอาฆาตมาดร้ายโดยใช้กามารมณ์เป็น อาวุธในการก่อสงครามแย่งชิงอำนาจและล้างแค้นคุณหลวง คือความสนุกของภาคนี้อยู่ที่ว่าเราจะเดาเรื่องไม่ออก เราจะคิดไม่ถึงเลยว่าตัวละครแต่ละตัวจะมีการพลิกผันไปตามสถานการณ์ที่เกิด ขึ้นได้แบบหน้ามือเป็นหลังมืออย่างคาดไม่ถึงกันเลย ซึ่งถือเป็นการพลิกบทบาทของ ‘มาริโอ้ เมาเร่อ’ ที่ต้องถ่ายทอดด้านมืดของตัวละครซึ่งเขาสามารถเข้าถึงบทบาทในด้านมืดของจิต ใจได้อย่างเข้มข้น เร้าอารมณ์ และสะใจได้อย่างยอดเยี่ยมและสมบูรณ์ในศิลปะการแสดงเลยก็ว่าได้”

          เตรียมพบกับบทสรุปยิ่งใหญ่แห่งโศกนาฏกรรมชีวิตสุดพลิกผันใน “จันดารา ปัจฉิมบท” พร้อมฉาย 7 ก.พ. 2556 ในโรงภาพยนตร์
« Last Edit: January 07, 2013, 06:56:23 PM by FB »

FB on January 09, 2013, 04:57:43 PM
ร้อนแรงทุกองศา เลิฟซีนสุดร้อนฉ่า “มาริโอ้-หญิง รฐา” จัดเต็มครั้งแรกและครั้งเดียว ใน “จันดารา ปัจฉิมบท”



          ถูก จับตามองเป็นพิเศษสำหรับฉากเลิฟซีนสุดร้อนแรงครั้งแรกในชีวิตการแสดงของสอง นักแสดงชั้นนำอย่าง “มาริโอ้ เมาเร่อ” และ “หญิง-รฐา โพธิ์งาม” กับบทรักต่างวัยอันเร่าร้อนในภาพยนตร์มหากาพย์โศกนาฏกรรมอันยิ่งใหญ่เรื่อง “จันดารา ปัจฉิมบท” ที่ทั้งคู่ขอจัดเต็มครั้งแรกและครั้งเดียวเพื่อความสมบูรณ์แบบของภาพยนตร์ ฟอร์มยักษ์นี้

          โดยก่อนที่จะถ่ายทำฉากสำคัญนี้ ผู้กำกับชั้นครู “หม่อมน้อย-ม.ล.พันธุ์เทวนพ เทวกุล” ได้อธิบายถึงเหตุผลที่ตัวละครทั้งคู่จำเป็นต้องกระทำเช่นนี้ให้สองนักแสดง ได้เข้าใจอย่างถ่องแท้และผ่อนคลายความรู้สึกกังวลลงไปได้ จนสามารถแสดงฉากนี้ผ่านไปได้อย่างราบรื่นและงดงามที่สุด

          “มาริโอ้” เผยด้วยความตื่นเต้นกับฉากเลิฟซีนแรกครั้งนี้ว่า
          “สำ หรับฉากเลิฟซีนกับคุณบุญเลื่องก็มีหลายอารมณ์มากๆ ครับ มันค่อนข้างซับซ้อนทางอารมณ์มาก ความต้องการของจันในฉากนี้ไม่ใช่แค่เรื่องของเซ็กส์อย่างเดียว ใจหนึ่งก็เพื่อแก้แค้นคุณหลวง อีกใจเขาก็รักคุณบุญเลื่องจริงๆ ด้วย เขารู้สึกเหมือนมีไออุ่นและสัมผัสถึงความเป็นแม่อยู่ในนั้น เป็นอีกหนึ่งซีนอารมณ์ที่เล่นยากและหนักอยู่เหมือนกันครับ สำหรับการเล่นกับพี่หญิงและการกำกับของหม่อมในฉากเลิฟซีนนี้ โอ้ก็ขอโทษพี่หญิงก่อนทุกครั้ง เพราะว่ามันมีการถึงเนื้อถึงตัวกันด้วย แต่เรารู้ว่าเรามาเพื่อการแสดงและนี่คืองานของเรา ก็มองข้ามจุดนั้นไป หม่อมเขาจะมีการเซฟให้ตลอด เป็นสิ่งที่หม่อมเขาคอยดูให้นักแสดงหญิงและทุกคนด้วยครับ”

            ด้าน “หญิง รฐา” กล่าวถึงฉากเลิฟซีนสุดร้อนแรงที่ทุกคนจับตามองนี้ว่า
          “พูด ถึงจัน ดาราแล้วก็คงหนีไม่พ้นเรื่องของอีโรติก เพราะทั้งหมดเขาใช้เซ็กส์เป็นสื่อในการนำเสนอเรื่องราว บอกถึงความรัก ความใคร่ การแก้แค้น ดังนั้นมันหนีไม่พ้นในเรื่องของเลิฟซีน ซึ่งแต่ละเลิฟซีนมันก็มีความสวยงาม ดูให้งามมันก็งาม ภาคนี้สำหรับคุณบุญเลื่องจะได้เห็นมากขึ้นจากภาคที่แล้วที่จะมีแค่ถูน้ำแข็ง ภาคนี้ก็จะมีเลิฟซีนอยู่หลายฉากเหมือนกัน หญิงก็รู้สึกตื่นเต้น เพราะนี่ก็เป็นหนังเรื่องแรกในชีวิต แล้วก็เป็นอีโรติกที่เราเองก็ไม่เคยเล่นมาก่อน แต่สุดท้ายยังไงมันก็คืองาน แล้วก็มาถึงจุดนี้แล้วเราก็อยากให้ออกมาดี และอยากให้ภาพออกมาสวย ซึ่งภาพทั้งหมดหม่อมก็เป็นคนจัดให้ทั้งหมดว่าอยากให้นอนตรงไหนอะไรยังไง ซึ่งที่ได้ดูแล้วก็ยอมรับค่ะว่าแรงที่สุดในชีวิต ก็ยังไม่เคยรับละครหรือภาพยนตร์อะไรที่แรงขนาดนี้ แล้วเราก็คิดว่า ก็คงจะไม่กล้าเล่นกับใครถ้าไม่ใช่หม่อม เพราะหม่อมทำให้เรารู้สึกว่า พอมองแล้วมันไม่ใช่ความโป๊ มันเป็นความสวยงามจริงๆ”

          เตรียมพบกับฉากเลิฟซีนสุดเร่าร้อนของทั้งคู่ได้ใน “จันดารา ปัจฉิมบท” พร้อมฉาย 7 ก.พ. 2556 ในโรงภาพยนตร์

FB on January 11, 2013, 05:43:46 PM
แถลงข่าวภาพยนตร์ฟอร์มยักษ์ “จันดารา ปัจฉิมบท” พร้อมสู่บทสรุปมหากาพย์โศกนาฏกรรม


 
          สหมงคลฟิล์ม อินเตอร์เนชั่นแนล พร้อมแล้วที่จะให้ทุกคนได้พบกับบทสรุปแห่งมหากาพย์โศกนาฏกรรมอันยิ่งใหญ่ เรื่อง “จันดารา ปัจฉิมบท” ผลงานล่าสุดของผู้กำกับชั้นครู “หม่อมน้อย-ม.ล.พันธุ์เทวนพ เทวกุล” ซึ่งได้ฤกษ์เปิดแถลงข่าวอย่างเป็นทางการไปแล้วเมื่อวันที่ 9 ม.ค. ที่ผ่านมา ณ ห้องบอลรูม 1 โรงแรมดิ โอกุระ เพรสทีจ กรุงเทพฯ โดยได้รับความสนใจจากบรรดาสื่อมวลชนทุกแขนงที่มาร่วมงานกันอย่างคับคั่ง

          งาน นี้ได้ผู้ดำเนินรายการชื่อดัง “กนก รัตน์วงศ์สกุล” รับหน้าที่พาทุกคนเข้าสู่บ้านวิสนันท์พร้อมการกลับมาชำระแค้นของจัน ดาราอย่างเข้มข้นกว่าเดิมเป็นทวีคูณ

          เปิดงานด้วย VTR ย้อนความสำเร็จของ “จันดารา ปฐมบท” พร้อมต้อนรับสู่บทสรุปอันมิอาจคาดเดาของ “จันดารา ปัจฉิมบท” ด้วยการพูดคุยอย่างสนุกสนานกับทัพนักแสดงหลักไม่ว่าจะเป็น “มาริโอ้ เมาเร่อ”, “ชัยพล จูเลี่ยน พูพาร์ต”, “ศักราช ฤกษ์ธำรงค์”, “รฐา โพธิ์งาม”, “บงกช คงมาลัย”, “สาวิกา ไชยเดช”, “รัดเกล้า อามระดิษ”, “ณัฏฐ์ เทพหัสดิน ณ อยุธยา” และทีมนักแสดงรับเชิญเพิ่มสีสันให้กับภาพยนตร์ อาทิเช่น “ปูไข่-พงศ์สิรี บันลือวงศ์”, “วิว-วรรณรท สนธิไชย”, “อเล็กซ์-ทวีศักดิ์ ธนานันท์” และ “อ้อม-กานต์พิสชา เกตุมณี”

          จาก นั้นจึงเชิญผู้กำกับมากฝีมือ “หม่อมน้อย” ขึ้นมาพูดคุยกันพอหอมปากหอมคอถึงรายละเอียดภาพรวมของภาพยนตร์ในภาคจบนี้ซึ่ง จะเข้มข้นในทุกองค์ประกอบทั้งเรื่องราว, การแสดง, สาระบันเทิง รวมถึงฉากอีโรติกที่ถูกจับตามองเป็นพิเศษ ก็จะถูกจัดเต็มสวยงามไม่แพ้ภาคแรกอย่างแน่นอน

          ต่อจากนั้นจึง เรียกเสียงฮือฮาทั่วทั้งงานด้วยตัวอย่างภาพยนตร์ “จันดารา ปัจฉิมบท” ฉบับเต็มสมบูรณ์แบบ ที่เปิดให้ชมกันเป็นครั้งแรกในงานนี้ด้วย

          ปิด ท้ายด้วยการถ่ายภาพร่วมกันเป็นที่ระลึกของทีมงานภาพยนตร์และทีมผู้บริหารนำ โดยผู้อำนวยการสร้าง “เสี่ยเจียง-สมศักด์ เตชะรัตนประเสริฐ” ที่ให้เกียรติมาร่วมงานครั้งนี้เป็นพิเศษ

          พร้อมชมบทสรุปอันสุดเข้มข้นของภาพยนตร์ฟอร์มยักษ์ “จันดารา ปัจฉิมบท” เรื่องนี้ได้พร้อมกัน 7 กุมภาพันธ์นี้ ในโรงภาพยนตร์

FB on January 11, 2013, 05:45:15 PM
Movie: จันดารา ปัจฉิมบท

จันดารา ปัจฉิมบท (HD Trailer)
<a href="http://www.youtube.com/watch?v=DV4imhn35Fw" target="_blank">http://www.youtube.com/watch?v=DV4imhn35Fw</a>







          กำหนดฉาย 7 กุมภาพันธ์ 2556
          แนวภาพยนตร์ พีเรียด-ดราม่า
          บริษัทผู้สร้าง-จัดจำหน่าย สหมงคลฟิล์ม อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด
          อำนวยการสร้าง สมศักดิ์ เตชะรัตนประเสริฐ
          ดำเนินงานสร้าง นัยนา อึ้งสวัสดิ์, เติมพันธ์ มัทวพันธุ์
          กำกับภาพยนตร์ ม.ล.พันธุ์เทวนพ เทวกุล
          บทภาพยนตร์ ม.ล.พันธุ์เทวนพ เทวกุล
          กำกับภาพ พนม พรมชาติ
          ออกแบบงานสร้าง พัฒน์ฑริก มีสายญาติ
          กำกับศิลป์ นิติ สมิตตะสิงห์
          ลำดับภาพ สิริกัณณ์ ศรีจุฬาภรณ์
          เทคนิคภาพพิเศษ เซอร์เรียล สตูดิโอ
          ดนตรีประกอบ ชาติชาย พงษ์ประภาพันธ์
          ออกแบบเครื่องแต่งกาย อธิษฐ์ ฐิรกิตติวัฒน์
          แต่งหน้า-แต่งหน้าเอฟเฟ็คต์ มนตรี วัดละเอียด
          ทีมนักแสดง มาริโอ้ เมาเร่อ, ชัยพล จูเลี่ยน พูพาร์ต, ศักราช ฤกษ์ธำรงค์,
          รฐา โพธิ์งาม, บงกช คงมาลัย, โช นิชิโนะ, สาวิกา ไชยเดช,
          ณัฏฐ์ เทพหัสดิน ณ อยุธยา, รัดเกล้า อามระดิษ,
          เรืองศักดิ์ ลอยชูศักดิ์ ฯลฯ
« Last Edit: January 17, 2013, 03:31:31 PM by FB »

FB on January 11, 2013, 05:46:16 PM
         “จันดารา ปัจฉิมบท” บทสรุปแห่งการล้างแค้น พลิกผันชะตาชีวิตอันมิอาจคาดเดา
          โศก นาฏกรรมชีวิตของ “จัน ดารา” แวดล้อมไปด้วยผู้คนรอบข้างที่สะท้อนมวลอารมณ์แห่งความรัก ความใคร่ ความเคียดแค้น กิเลสตัณหา และกามารมณ์อันนำมาซึ่งการพลิกผันในชะตากรรมอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
          หลัง จากเกิดเหตุการณ์ร้ายขึ้นในบ้านพิจิตรวานิช ทำให้ “จัน ดารา” (มาริโอ้ เมาเร่อ) และ “เคน กระทิงทอง” (ชัยพล จูเลี่ยน พูพาร์ต) สหายสนิทของเขาต้องหนีภัยอันเกิดจากการกระทำอันเหี้ยมโหดของ “คุณหลวงวิสนันท์เดชา” (ศักราช ฤกษ์ธำรงค์) ผู้ที่เขาคิดว่าเป็นพ่อบังเกิดเกล้านานถึง 17 ปี ไปพำนักอยู่กับ “คุณท้าวพิจิตรรักษา” (รัดเกล้า อามระดิษ) ผู้เป็นญาติผู้ใหญ่คนเดียวที่ยังมีชีวิตอยู่ที่เมืองพิจิตร
ช่วงระยะเวลา ที่อยู่ที่เมืองพิจิตรนี้ จันเป็นสุขทั้งกายใจ และรู้สึกถึงอิสรภาพของชีวิตอย่างแท้จริง เขายังคงติดต่อทางจดหมายกับ “ไฮซินธ์” (สาวิกา ไชยเดช) เพื่อนหญิงในดวงใจอันเป็นรักบริสุทธิ์ของเขาอยู่เสมอมา และคาดหวังว่าจะเริ่มต้นชีวิตใหม่อันสดใสที่เมืองนี้พร้อมๆ กับการตามค้นหาพ่อแท้ๆ ของเขาไปด้วย
          แต่เหมือนโชคชะตากลั่น แกล้งให้วันชื่นคืนสุขอยู่กับเขาเพียงไม่นาน เมื่อในที่สุดจันก็ได้ล่วงรู้ความจริงอันไม่คาดฝันเรื่องพ่อผู้ให้กำเนิดแท้ จริงที่เขารอคอยมานานจากปากคำของ “ร้อยตำรวจเอกเรืองยศ” (เรืองศักดิ์ ลอยชูศักดิ์) ผู้กุมความลับอันน่าอดสูเกี่ยวกับตระกูลพิจิตรวานิชนี้ไว้มาตลอดทั้งชีวิต
          จัน พยายามทำใจให้ผ่านช่วงชีวิตอันแสนทุกข์ทรมานนี้ไปให้ได้ จนกระทั่ง “น้าวาด” (บงกช คงมาลัย) ได้เดินทางมาแจ้งข่าวเรื่องคุณหลวงล้มป่วยลงอย่างฉับพลัน เนื่องจากเกิดเหตุบางอย่างขึ้นกับ “คุณแก้ว” (โช นิชิโนะ) และ “คุณขจร” (ณัฏฐ์ เทพหัสดิน ณ อยุธยา)
          และแล้วสงครามแห่งการชำระแค้นและ ทวงคืนทุกอย่างให้กลับมาเป็นของเขาและตระกูลพิจิตรวานิชก็ได้เปิดฉากขึ้นใน ทันทีตามคำสั่งเสียสุดท้ายของคุณท้าวยายผู้คอยบงการและพลิกผันชะตาชีวิตของ จันให้ตกอยู่ในด้านมืดอย่างคาดไม่ถึง
          จันกลับมาอย่างสง่า ผ่าเผยในฐานะเจ้าของบ้านคนใหม่ และมีสิทธิในทรัพย์สมบัติและอำนาจทั้งหมดภายในบ้าน แต่เท่านั้นยังไม่สาแก่ใจของเขา เมื่อสัตว์ร้ายและตัณหาราคะในใจปะทุออกมาอย่างรุนแรง เมื่อเขาเห็นภาพ “คุณบุญเลื่อง” (รฐา โพธิ์งาม) กับคุณหลวงยังรักใคร่กันเป็นอย่างดี จันจึงใช้เสน่ห์แห่งความเป็นชายหนุ่มรูปงามหลอกล่อจนคุณบุญเลื่องตกเป็นของ เขาอย่างสมยอม และเมื่อคุณหลวงได้เห็นภาพร่วมรักอันเร่าร้อนของทั้งคู่ ทำให้เขาสิ้นสติและกลายเป็นอัมพาตไปในที่สุด
          กระจกเงาแห่งความชั่วร้ายได้สะท้อนภาพคุณหลวงมาสู่ตัวจันอย่างไม่มีผิดเพี้ยน
          การ ล้างแค้นอันน่าขยะแขยงนี้ดูเหมือนจะปิดฉากอย่างสมบูรณ์แบบด้วยชัยชนะของจัน ดาราแต่เพียงผู้เดียว ถ้าเขาไม่ได้รับบทเรียนชีวิตอันยิ่งใหญ่จากศัตรูคู่อาฆาตอย่างคุณแก้วที่เอา คืนจันอย่างสาสม รวมถึงคนรอบข้างที่คอยห่วงใยเขาเสมอมาอย่างน้าวาด, เคน และคุณบุญเลื่องที่ค่อยๆ ตีตัวออกห่างจากจันไปเรื่อยๆ
          อำนาจและทรัพย์สมบัติจะมีค่าอะไร หากไร้คนที่รักและห่วงใยเราอย่างจริงใจอยู่เคียงข้าง
 
          จากวรรณกรรมอมตะสู่ภาพยนตร์คุณภาพแห่งปี
          “นวนิยาย เรื่องนี้เป็นเรื่องยาวเรื่องแรกของผู้เขียน ซึ่งต้องขอบอกกล่าวไว้เสียด้วยว่า เป็นเรื่องอ่านเล่น ซึ่งไม่ใช่ของสำหรับเด็ก และเป็นของแสลงอย่างยิ่งสำหรับบุคคลประเภท ‘มือถือสาก ปากถือศีล’”
          “เรื่องของจัน ดารา” จัดเป็นงานที่พรรณนาภาพอันน่าสังเวชของมนุษย์ที่ตกอยู่ใน “เขาวงกตแห่งกามตัณหา” นักประพันธ์ชั้นครู “อุษณา เพลิงธรรม” เขียนเรื่องนี้อย่างผู้ที่มากด้วย “ประสบการณ์” และ “ประสบกาม” จัดได้ว่าเป็นแบบ “อัตถนิยมแท้ๆ” (Realism) เล่มหนึ่งของวงวรรณกรรมไทย
          ความ น่าสนใจของวรรณกรรมเรื่องนี้ มิใช่การรจนาอันละเมียดละไมอย่าง “วิจิตรบรรจง” ใน “บทอัศจรรย์เชิงสังวาส” แต่เพียงอย่างเดียว หากอยู่ที่การสร้างสรรค์ลักษณะนิสัยของ “ตัวละคร” ทุกตัวอย่างมีจิตวิญญาณและเลือดเนื้อ เป็นมนุษย์ปุถุชนในโลกของความเป็นจริง ทุกตัวละครล้วนมี “มิติ” ของความเป็น “คน” ที่พบเห็นได้สัมผัสได้ในทุกยุคทุกสมัย มีทั้งด้านดีและเลวคละเคล้ากันไป ซึ่งขึ้นอยู่กับอิทธิพลทาง “กรรมพันธุ์” และ “สภาพแวดล้อม” อันป็น “เบ้าหลอม” ทำให้มนุษย์ก่อพฤติกรรมไม่ว่าจะเป็นไปใน “ด้านบวก” หรือ “ด้านลบ”
          ตัว ละครอย่าง “จัน ดารา” จึงเป็นตัวแทนของมนุษย์ที่ตกเป็นทาสของชะตากรรมที่น่าสังเวช อันมีเหตุมาจาก “กรรมพันธุ์” และ “สภาพแวดล้อม” อันโหดร้ายทารุณอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
          “ที่เราเลือกทำ ‘จัน ดารา’ ในตอนนี้ก็เพราะรู้สึกว่า โดยเนื้อหาสาระจากหนังสือที่อุษณา เพลิงธรรม (ประมูล อุณหธูป) เขียน ถึงแม้ว่าจะเขียนมานานเกือบ 50 ปีที่แล้ว แต่เนื้อหาสาระก็ยังทันสมัยมาก ยังสะท้อนให้เห็นถึงธาตุแท้ของมนุษย์ซึ่งในปัจจุบันก็ยังเป็นแบบนี้อยู่ และเหมือนเป็นกระจกที่จะสะท้อนให้เห็นกิเลสในใจของคน มันไม่ใช่แค่ตัณหาราคะอย่างเดียว แต่คนที่ยึดมั่นกับความเคียดแค้นมันจะก่อให้เกิดปัญหาและหายนะยังไงกับตัว เองและคนรอบข้างจนนำไปสู่ปัญหาสังคมในระดับรวมด้วย”
          “จัน ดารา” เวอร์ชั่นดัดแปลงโดยผู้กำกับมือเอก “หม่อมน้อย-ม.ล.พันธุ์เทวนพ เทวกุล” นี้ สะท้อนภาพความวิปริตของมนุษย์แต่ละคน เพื่อชี้ให้เห็นถึงอิทธิพลของ “สิ่งแวดล้อมใกล้ตัว โดยเฉพาะพ่อแม่ ความหิวโหยความรัก ความทารุณเหี้ยมเกรียม ตัวอย่างโสมม” ที่ประทับหูประทับตาอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน มันเป็นเบ้าหลอมที่มีประสิทธิภาพอย่างยิ่ง
          คนที่จะปีนขึ้นจากเบ้าหลอมนี้ได้ จะต้องอาศัย “ความแกร่ง” ชนิดพิเศษ และ “กรรมดี” ช่วยสนับสนุนประกอบกัน
          แต่เผอิญ “จัน ดารา” ไม่ได้เป็นคนเช่นนั้น เขาจึงตกเป็นเหยื่อของสิ่งแวดล้อมนั้นอย่างน่าสมเพช

          บทสรุปแห่งมหากาพย์โศกนาฏกรรม “จันดารา ปัจฉิมบท”
          บท สรุปแห่งการล้างแค้นอันสืบเนื่องมาจากอดีตอันแสนรันทดของ “จัน ดารา” ผู้ถูก “คุณหลวงวิสนันท์เดชา” ผู้ที่เขาคิดว่าเป็นบิดาบังเกิดเกล้าทารุณกรรมมานานนับ 17 ปี ส่งผลให้เกิดการชิงอำนาจใน “บ้านพิจิตรวานิช” กลับคืนมาครอบครอง โดยใช้ตัณหาราคะและโทสะจริตเป็น “อาวุธ” ในการก่อกรรมทำเข็ญโดยปราศจากศีลธรรมจรรยาอันเป็นต้นเหตุโศกนาฏกรรมแก่ทุก ชีวิตในครอบครัวอันมั่งคั่งแห่งนั้น
          โดยเฉพาะอย่างยิ่ง “จัน ดารา” ซึ่งต้องมีชีวิตอยู่เพื่อเผชิญชะตากรรมอย่างโดดเดี่ยวไร้ผู้คนรอบข้างจนวาระสุดท้าย
          “ใน ‘จันดารา ปัจฉิมบท’ จะเป็นบทสรุปของชีวิตจัน ดาราซึ่งเป็นภาคต่อจากภาคปฐมบท หลังจากที่จันและเคนได้หนีไปอยู่กับคุณท้าวยายที่พิจิตร ที่นั่นจันก็ได้ใช้ชีวิตอย่างสงบสุข และได้ออกตามหาพ่อที่แท้จริงของเขาจนได้พบกับความจริงอันน่ารันทดใจ ขณะเดียวกันคุณท้าวยายก็พยายามชักจูงและฝังหัวให้จันกลับไปแก้แค้นเอา ทรัพย์สินมรดกคืนจากคุณหลวงให้ได้ และเมื่อโอกาสแก้แค้นเอาคืนมาถึง จันก็เริ่มล้างแค้นในสิ่งที่ตัวเองเคยได้รับมาจากคุณหลวงตั้งแต่วัยเด็ก และเพื่อทดแทนบุญคุณคุณท้าวยาย รวมถึงเพื่อรักษาผลประโยชน์ของตระกูลพิจิตรวานิชด้วย ซึ่งความรุนแรงจากการแก้แค้นของจันนี้เองที่ทำให้เขาเดินไปสู่หายนะ และที่สำคัญคือจันก็ได้ใช้กามารมณ์ในการแก้แค้นเพื่อชิงอำนาจคืนมาจากคุณ หลวง เช่นเดียวกับที่คุณหลวงเคยทำเมื่อก่อนที่จันจะเกิด ฉะนั้นโศกนาฏกรรมของจันจึงเกิดขึ้นจากโศกนาฏกรรมของมนุษย์ที่เต็มไปด้วยความ เคียดแค้น และทำทุกสิ่งทุกอย่างเพื่อที่จะได้มาซึ่งอำนาจของตน ในภาคนี้ก็จะบอกถึงผลอันเกิดมาจากเหตุปัจจัยจากภาคแรกนั่นเอง”
 
           หลากหลายฉากอีโรติก...ความรัก ความใคร่ หรืออาวุธประหัตประหาร
          “จัน ดารา” เป็นเรื่องราวของมนุษย์ที่ประกอบขึ้นและรายล้อมไปด้วยกิเลสตัณหา และกามารมณ์อันเป็นส่วนหนึ่งของวิถีชีวิตที่สามารถให้ทั้งคุณเมื่อใช้อย่าง เหมาะสม และหนีไม่พ้นที่จะให้บทลงโทษเมื่อใช้มันไปในทางที่ผิดและเกินพอดี เฉกเช่นบางตัวละครในเรื่องจนนำไปสู่โศกนาฏกรรมอย่างมิอาจหลีกเลี่ยง
          เช่น นี้แล้ว จึงเป็นธรรมดาที่ภาพยนตร์เรื่องนี้จะนำเสนอหลากหลายฉากอีโรติก เพื่อสะท้อนให้เห็นถึง “เซ็กส์” ในหลากหลายมุมมอง
“ถ้าเกิดคุณจะทำจัน ดารามันก็หนีเรื่องอีโรติกไปไม่ได้หรอก เพราะฉะนั้นมันก็เป็นส่วนหนึ่งที่สำคัญของเรื่องทีเดียว มันเป็นไปตามท้องเรื่อง ตามลักษณะนิสัยของตัวละครทั้งหมด จะพูดว่าหวือหวากว่าหรืออะไรก็ตาม แต่ถ้าจะพูดแล้วโดยแท้มันไม่ใช่ภาพยนตร์กามารมณ์ จริงๆ มันเป็นภาพยนตร์ชีวิตซะมากกว่า แล้วชีวิตคนเรามันก็มีตั้งหลายแบบหลายบทบาทในหนึ่งวัน ทั้งความเป็นพ่อ ความเป็นแม่ ความเป็นสามี ความเป็นแฟน ความเป็นหน้าที่ในการทำงาน มันมีคุณความดี มีความไม่ดี การกินข้าว การนอน เพราะฉะนั้นเรื่องกามารมณ์ก็เป็นส่วนหนึ่งของมนุษย์ มันเป็นส่วนหนึ่งที่เราก็ไม่เห็นว่ามันจะเด่นไปกว่าส่วนอื่นเลย
          ใน ภาพยนตร์เรื่องนี้ก็เช่นกัน ทุกพฤติกรรมของตัวละครมีความสำคัญเท่าๆ กันหมดเพราะเป็นส่วนหนึ่งของชีวิต คุณปฏิเสธไม่ได้หรอกว่าอะไรมันสำคัญกว่ากัน คุณจะมองว่าชีวิตคนจะมองเรื่องเพศอย่างเดียวคงเป็นไปไม่ได้ มนุษย์เราไม่มีใครมานั่งคิดแต่เรื่องเพศตลอด 24 ชั่วโมง มันก็ไม่ต่างอะไรกับคนที่ทำดี ไหว้พระ สวดมนต์ ทำอาหาร ทำงาน หรือว่าการมีสังวาสกันก็เป็นเรื่องธรรมดา มันเป็นธรรมชาติมากๆ ของมนุษย์โลก เพราะฉะนั้นทุกอย่างในเรื่องนี้เป็นชีวิตของมนุษย์ ทุกพฤติกรรมที่อยู่ในเรื่องนี้ก็เหมือนกับมนุษย์ทุกคนในโลก ไม่มีอะไรสำคัญมากน้อยไปกว่ากัน เพราะถ้าจะพูดไปมันคือภาพยนตร์ชีวิต เพียงแต่ว่าภาพยนตร์เรื่องอื่นอาจจะไม่มี อย่างถ้าเป็นหนังสงคราม มันก็ต้องมีความโหดร้ายน่ากลัวของสงคราม เรื่องนี้ในเมื่อตัวละครใช้กามารมณ์เป็นอาวุธในการแก้แค้น ตรงนี้ก็มีน้ำหนักเดียวที่เราควรจะเน้นไปตามท้องเรื่องเท่านั้นเอง”

          เหตุใด “จัน ดารา” ต้องเผชิญกับโศกนาฏกรรมเช่นนี้
          มนุษย์ เราทุกคนล้วนแล้วแต่เกิดมาด้วยดวงจิตอันสะอาดบริสุทธิ์ แต่ “สภาพแวดล้อม” และ “บุคคลผู้ใกล้ชิด” ต่างหากที่เป็นผู้แต่งเติมสีสันให้เป็นไปในทิศทางที่แตกต่างกันไปเปรียบได้ กับผ้าใบของจิตรกร หากได้รับการแต่งแต้มสีสันจากจิตรกรที่ละเอียดอ่อนลึกซึ้ง ภาพนั้นก็จะงามวิจิตร
          แต่ชีวิตของ “จัน ดารา” มิได้เป็นเช่นนั้น
          เขา ถือกำเนิดขึ้นมาท่ามกลางสงครามแห่งความแค้นและการแย่งชิงอำนาจเพื่อความเป็น ใหญ่ในครอบครัว ตลอดจนบรรยากาศแห่ง “กามราคะ” ที่คละคลุ้งอยู่ในทุกอณูของคฤหาสน์ และยิ่งไปกว่านั้นก็คือ การตั้งข้อกังขาว่า บิดาที่แท้จริงของเขาคือใคร เขาเกิดมามีชิวิตอยู่บนโลกนี้จากผู้ใดและมีชีวิตอยู่เพื่ออะไร
          เมื่อ เขาเดินทางไปเมืองพิจิตรเพื่อลี้ภัยจาก “คุณหลวงวิสนันท์เดชา” ผู้จ้องจะเอาชีวิตของเขา และเผชิญกับ “ความจริง” อันน่ารันทดใจเกี่ยวกับชาติกำเนิดที่แท้จริงของเขา มันจึงเป็นเสมือนเปลวเพลิงที่จุดประกายความแค้นอันเผาผลาญคุณงามความดีทั้ง ปวงในจิตใจอันเปราะบางของเขา
          “จัน ดารา” จึงกลับกลายเป็น “ผู้ล้างแค้น” อันโหดเหี้ยมยิ่งไปกว่า “คุณหลวงวิสนันท์เดชา” อย่างถึงที่สุด
          “ใน ภาคปัจฉิมบทนี้จันได้เปลี่ยนไปในทางลบ ซึ่งต่างจากจันที่แสนจะเต็มไปด้วยความบริสุทธิ์และอ่อนโยนในภาคปฐมบท คือจะกลายเป็นคนอีกคนหนึ่งที่ไม่ต่างอะไรจากคุณหลวงตอนวัยหนุ่มเลย แล้วก็ดูเหมือนจะใช้วิธีการที่รุนแรงกว่าคุณหลวงซะด้วยซ้ำไป ทำให้เห็นได้ว่าทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นในครอบครัวนี้เป็นกฎแห่งกรรมทั้ง สิ้น สิ่งที่คุณหลวงเคยได้ทำกับจัน จันก็ได้ทำคืนกับคุณหลวง มันเป็นโศกนาฏกรรมของมนุษย์ที่ไม่เคยได้อำนาจ แล้วพอได้อำนาจมาแล้วก็หลงในอำนาจนั้น แล้วก็ใช้อำนาจนั้นในทางที่ผิด เปรียบได้กับคนขี่หลังเสือ เหมือนจันพอมารู้ความจริงในภาคนี้ว่าเขาคือเจ้าของบ้านตัวจริง มันก็ทำให้พฤติกรรมของจันเป็นไปในทางที่รุนแรงมาก เพราะว่ามีความแค้นสุมอยู่ข้างใน ประกอบกับการที่จันจริงๆ แล้วเป็นคนหัวอ่อนมาก เป็นคนที่เชื่อฟังผู้ใหญ่มาก แล้วก็โดนคุณท้าวยายเสี้ยมสอนให้โกรธคุณหลวงมากขึ้นๆ รวมถึงได้สัญญากับคุณท้าวยายด้วยว่าจะแก้แค้นและเอาทุกอย่างคืนกลับมาเพื่อ ตระกูลพิจิตรวานิช ทั้งหมดนี้มันจึงเป็นแรงผลักดันที่รุนแรงมาก
          เปรียบ ได้กับมนุษย์ ซึ่งบางทีเราทำความรุนแรงอะไรก็ได้โดยยึดความกตัญญูในบรรพบุรุษ บางครั้งตรงนี้ก็ก่อให้เกิดสงครามได้ ซึ่งในเรื่องของจันดาราจะเป็นสงครามภายในบ้าน แต่ถ้าเปรียบเทียบจริงๆ แล้วสงครามในโลกนี้ ในประเทศต่อประเทศก็เช่นกัน ทุกคนรักและกตัญญูในประเทศของตน ฉะนั้นต่างก็จะมองในมุมของตัวเองมุมเดียวที่จะทำทุกอย่างเพื่อผลประโยชน์และ ความเจริญของครอบครัวหรือประเทศตนเอง เพราะฉะนั้นเรื่องนี้ตอนจบจะแสดงให้เห็นถึงความหายนะของมนุษย์คนหนึ่งที่ทำ ทุกอย่างเพื่อความกตัญญูกตเวทีที่มีต่อครอบครัว ซึ่งจริงๆ แล้วความกตัญญูเป็นไปได้หลายทาง ถ้าเป็นไปในทางบวกก็จะเป็นสิ่งที่บวก แต่จันดาราเลือกที่จะใช้พลังทางด้านลบในการแก้แค้นครั้งนี้ ตอนจนของเรื่องก็จะสะท้อนให้เห็นว่า มนุษย์ที่หลงอำนาจในทางที่ผิด ท้ายที่สุดแล้วจะได้รับผลกรรมอย่างไร”

FB on January 14, 2013, 02:58:05 PM
เปลี่ยนลุค เลิกเจ้าชู้ “นิว ชัยพล” ปลื้มได้ดีเพราะเมีย!!! ใน “จันดารา ปัจฉิมบท”



          กลายเป็นดาวรุ่งพุ่งแรงทันทีหลังจากแจ้งเกิดไปเต็มๆ กับบท “เคน กระทิงทอง” จาก “จันดารา ปฐมบท” หนุ่มฮ็อต “นิว-ชัยพล จูเลี่ยน พูพาร์ต” ก็ปลื้มอีกครั้งที่ได้เปลี่ยนลุคและบทบาทจากหน้ามือเป็นหลังมือใน “จันดารา ปัจฉิมบท” อันเป็นภาคอวสานของภาพยนตร์

          โดยในภาคนี้เคน กระทิงทองจะเปลี่ยนจากหนุ่มนักรักวัยคะนองแสนเจ้าชู้ มาเป็นชายหนุ่มที่เอาการเอางานขยันขันแข็งและรักครอบครัวจากการที่ได้พบรักกับ “มาลัย” สาวสวยชาวพิจิตรที่รับบทโดย “วิว-วรรณรท สนธิไชย” นางเอกดาวรุ่งค่ายเอ็กแซ็กท์

          หนุ่มนิวเผยว่า
          “ผมกับวิวเป็นลูกศิษย์หม่อมน้อย เรียนการแสดงในคลาสเดียวกันมาสี่ปีแล้ว ทำให้การแสดงภาพยนตร์เรื่องนี้เข้าขากันได้เป็นอย่างดี และการที่เคน กระทิงทองเปลี่ยนไปในทางที่ดีขึ้นเรียกว่าพลิกหน้ามือเป็นหลังมือเลยในภาคนี้ก็ทำให้ตัวละครตัวนี้มีพัฒนาการที่เป็นผู้ใหญ่ขึ้น ทำให้ผู้ชมได้เห็นเคนในอีกแง่มุมหนึ่งที่น่าสนใจมากๆ คือจะเลิกเจ้าชู้เที่ยวผู้หญิง ปิดฉากการเป็นคนเสเพลไปเลยเมื่อได้มาพบรักกับผู้หญิงคนหนึ่งที่เรารักอย่างจริงจัง เป็นรักแท้ของเรา รวมไปถึงการที่โตขึ้นในหน้าที่การงาน มีความรับผิดชอบมากขึ้น โตขึ้นในบทบาทต่างๆ แต่สิ่งที่ยังเหมือนเดิมก็คือ ความซื่อสัตย์ที่มีต่อจัน ดาราที่เป็นเหมือนทั้งเจ้านายและเพื่อนรักของเขา”

          ด้านวิว วรรณรท พูดถึงการแสดงภาพยนตร์ครั้งแรกนี้ว่า
          “อาจจะเป็นเหตุการณ์ที่เรียกว่ารักแรกพบเลยก็ได้ที่ทำให้เคนเปลี่ยนไปจากภาคแรกที่จะเจอแต่ผู้หญิงเซ็กซี่ พอเจอผู้หญิงเรียบร้อยอย่างมาลัย ก็เลยหลงรักจริงๆ พูดได้เลยว่าตัวมาลัยได้เปลี่ยนเคนจากคนเจ้าชู้ ด้วยความดีจริงๆ ทำให้ผู้ชายที่เป็นเหมือนเพลย์บอย เปลี่ยนมาเป็นแฟมิลี่แมนผู้ชายที่รักครอบครัวมากๆ เลย
          นี่เป็นการเล่นหนังครั้งแรกของวิวเลยค่ะและก็ได้มาร่วมงานกับอาจารย์ของเราครั้งแรกนี้ก็รู้สึกตื่นเต้นมากๆ มันจะเกิดอาการเกร็งมากๆ แต่หม่อมก็บอกไม่ต้องเกร็ง เล่นตามบทบาท ให้เรารู้สึกเหมือนเป็นตัวละครตัวนั้นจริงๆ สำหรับนิวได้รู้จักกันมาอยู่แล้วตั้งแต่เล่นละครด้วยกัน พอมาเป็นหนังเราก็ต้องฝากเนื้อฝากตัวเพราะถือว่าเขาเป็นรุ่นพี่ใหญ่เราเป็นเด็กใหม่ก็ถือว่าโชคดีที่ได้เล่นกับนิวซึ่งรู้จักกันอยู่แล้วความเกร็งต่างๆ ก็จะลดน้อยลงไป เขาก็จะมาสอนเราว่ามันต้องเป็นธรรมชาติจริงๆ รู้สึกยังไงก็แสดงออกไป นิวเป็นคนที่ตั้งใจในการทำงานอยู่แล้วไม่ว่าบทอะไร เราก็ถือว่าได้ร่วมงานกับคนที่มีวินัยสูง มันก็ทำให้ง่ายต่อการทำงานด้วยค่ะ”

          เตรียมพบคู่รักข้าวใหม่ปลามัน “นิว ชัยพล” และ “วิว วรรณรท” ได้ใน “จันดารา ปัจฉิมบท” พร้อมฉาย 7 ก.พ. 2556 ในโรงภาพยนตร์

janzilla on January 15, 2013, 11:17:14 AM
 :D ภาคที่แล้ว คุณบุญเลื่องไม่ค่อยมีบทบาทเท่าไหร่เลย สงสัยจะจัดเต็มภาคนี้ อิอิ

FB on January 16, 2013, 03:29:33 PM
บทสัมภาษณ์ “หญิง-รฐา โพธิ์งาม” ใน “จันดารา ปัจฉิมบท”



          บทบาท-คาแร็คเตอร์เปลี่ยนแปลงไปอย่างไรบ้าง
          ความ เข้มข้นของตัวคุณบุญเลื่อง ก็คือครั้งนี้คุณบุญเลื่องจะประสบปัญหาแล้วทำให้เธอมีจุดพลิกผันของชีวิต จากคนที่เคยมีความสุขตลอดชีวิต ไม่เคยทุกข์อะไร วันหนึ่งต้องมาเจอความทุกข์ที่สุดในชีวิต ก็จะเป็นคนที่ค่อนข้างนิ่งขึ้นกว่าภาคที่แล้ว มีความเป็นผู้ใหญ่มากขึ้น และระยะเวลาจากภาคที่แล้วจนถึงภาคนี้คุณบุญเลื่องก็จะอายุประมาณ 40 ก็จะเป็นคนที่เรียกได้ว่าวัยกลางคนที่ค่อนข้างมีความทุกข์จากเรื่องราวที่ ตัวเองได้ทำขึ้นเอง

          เรื่องราวในภาคนี้เข้มข้นขึ้นอย่างไรบ้าง
          สำหรับ จันดาราภาคนี้ เราก็จะเห็นจันในวัยที่เติบโตขึ้น เป็นคนที่ถูกสิ่งแวดล้อมหรือผู้ใหญ่ออกคำสั่งแล้วก็สอนให้มีความโกรธแค้น ความเคียดแค้น ถูกปลูกฝังในสิ่งที่ผิด จากภาคที่แล้วเราจะเห็นจันเป็นเด็กผู้ชายที่อ่อนต่อโลก พอเจอสิ่งใหม่ๆ ในชีวิต ไม่ว่าจะเป็นในเรื่องของการเป็นลูกผู้ชายคนหนึ่งหรือว่าเรื่องราวที่ทำให้ เขาต้องออกจากบ้านไป สำหรับภาคนี้เขากลับมาทวงทุกสิ่งทุกอย่างคืนในสิ่งที่เขาควรจะได้ แต่วิธีการคือการใช้อำนาจบาตรใหญ่หรือเกินความพอดี เลยทำให้คนเราเมื่อใช้อำนาจมากจนเกินไปมันทำให้สุดท้ายเราไม่เหลืออะไร มากกว่า ตรงนั้นก็เลยทำให้จันดาราในภาคนี้เข้มข้นมากทั้งในส่วนของตัวละครและตัว ภาพยนตร์ทั้งเรื่อง มีความเข้มข้นและก็เครียดมากกว่าเดิม ดังนั้นภาคนี้เรียกได้ว่าภาคที่แล้วเป็นปั๊บปี้เลิฟ ภาคนี้น่าจะเรียกว่าเป็นภาคของความแค้น มันต่างมุมโดยสิ้นเชิง โดยภาคที่แล้วเราจะเห็นเป็นสีขาว ภาคนี้จะสีดำโดยสิ้นเชิงค่ะ
          เรียก ได้ว่าการแก้แค้นของจัน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องใดๆ ก็ตาม คือเขาจดจำภาพของพ่อเขาที่ทำร้ายเขาตั้งแต่เด็ก เขามีความแค้นลึกๆ ในใจ แต่ว่าเมื่อกลับไปบ้านพิจิตรไปเจอคุณท้าวยาย คุณท้าวยายก็บอกความจริง แล้วก็บอกว่าต้องกลับไปเอาสมบัติทุกอย่างกลับคืนมา ดังนั้นทุกอย่างที่คุณหลวงรัก ไม่ว่าจะเป็นความรักภายนอกอย่างเช่นบ้านพิจิตรวานิช หรือว่าบริษัทต่างๆ เงินทองต่างๆ ทั้งหมดคือเป็นเงินของคุณดารา เป็นเงินของบ้านดารา ดังนั้นจันก็ยึดหมด และสิ่งสุดท้ายทุกสิ่งที่คุณหลวงรัก ไม่ว่าจะเป็นคุณแก้ว หรือแม้กระทั่งคุณบุญเลื่องก็ตาม จันก็พยายามที่จะดึงกลับมา ดึงเอามาเพื่อที่จะทำร้ายคุณหลวง ก็เรียกได้ว่ามีการห้ำหั่นการในเรื่องของอารมณ์ ซีนอารมณ์ แม้กระทั่งเลิฟซีนต่างๆ เราก็มีเนื้อเรื่องที่เข้มข้นขึ้น

          ตัวคุณบุญเลื่องเองก็มีความพลิกผันในชีวิตมากมายเหมือนกัน
          ใช่ ค่ะ ก็อย่างที่พูดไว้ข้างต้น คุณบุญเลื่องเป็นผู้หญิงที่มีความสุขมาตลอดชีวิต ตั้งแต่อยู่สิงคโปร์ อยู่ยุโรป ไม่เคยมีความทุกข์ใดๆ ในชีวิตเลย ดังนั้นจากภาคแรกที่คุณบุญเลื่องมองอะไรก็สดใส หัวเราะ ยิ้มแย้มแจ่มใส มองอะไรเป็นสีสันตลอดเวลา ภาคนี้เนี่ยสิ่งที่คุณบุญเลื่องปิดมานาน แล้วความผิดในเรื่องของการปกปิดความลับตรงนี้เนี่ย มันทำให้เกิดผลเสียต่างๆ ตามมาในอนาคต เรียกได้ว่าเธอทำให้คนที่เธอรักมากที่สุดเสียใจ ดังนั้นจากคนที่ไม่เคยผิดหวังในชีวิต คนที่ไม่เคยมีความทุกข์ กลับพบกับความทุกข์ที่ตัวเองสร้างขึ้นเอง มันก็เลยเป็นจุดพลิกผันให้คุณบุญเลื่องในภาคนี้เจ็บและก็เสียใจ และทุกข์ที่สุดของที่สุด
          หม่อมบอกมันทุกข์เหมือนมีคนเอามีด มากรีดที่ท้อง คือทุกข์เท่าไหร่ มีใครมาทำให้ทุกข์เท่าไหร่ ไม่เท่ากับเราทำตัวเอง แต่นี่เราทำให้คนที่เรารักมากที่สุด ให้เขาต้องทุกข์ไปตลอดชีวิต ให้เขาต้องเสียใจ ให้เขาต้องไม่ประสบผลในเรื่องที่เขาต้องการ ไม่ประสบผลในเรื่องของความรัก เรายิ่งทุกข์หนัก เหมือนเราทำให้คนที่เรารักต้องเสียใจ ดังนั้นมันทุกข์หนักเข้าไปอีก มันก็เลยเหมือนกับคุณบุญเลื่องในภาคนี้ก็จะกลับมาในอีกมุมหนึ่ง จากภาคแรกที่เป็นผู้หญิงสดใสร่าเริง เข้ามาในบ้านพิจิตรวานิชแล้วทุกอย่างดูสวยงาม ครั้งนี้เธออยู่ด้วยความทุกข์ อยู่ด้วยความเจ็บปวด เห็นบ้านแล้วก็ไม่ได้มีความสุขเหมือนครั้งแรกที่ก้าวเข้ามา

          นั่นทำให้การแสดงหรือการเข้าถึงบทบาทในภาคนี้มีความยากขึ้น
          ใช่ ค่ะ จากภาคที่แล้วหม่อมบอกให้หญิงมองทุกอย่างเป็นความสวยงาม แม้กระทั่งเห็นคนเก็บขยะต้องสวยงาม คือตอนนั้นในช่วงที่ถ่ายปฐมบทคือมองอะไรสวยงามไปหมดเลย คือเป็นคนที่ยิ้มแย้มมองอะไรในด้านบวกหมด แต่ว่าสำหรับครั้งนี้พอเป็นปัจฉิมบทปุ๊บ หม่อมบอกว่าคนเราพอเหมือนมีความผิดสักอย่างในชีวิตที่มันไม่สามารถลบล้างได้ ให้หญิงรู้สึกเหมือนมีมีด เอามีดมากรีดตัวเองอยู่ตลอดเวลา ทุกครั้งที่คนที่เรารักเจ็บ เหมือนพอเรารู้ว่าเขาเจ็บเพราะเรา มันเหมือนเราต้องเจ็บหนักกว่าเขาหลายพันเท่าทวี ดังนั้นด้วยบทที่เรารับเป็นผู้หญิง 40 เป็นแม่คนด้วย เราต้องพยายามหาจุดตรงนั้นให้ได้ว่า การเป็นแม่คน เวลาเจ็บ เขาเจ็บกันยังไง การที่ทำให้ลูกเสียใจ หรือการที่ทำให้คนรักเสียใจ สามีเสียใจ การที่เราทำผิดสักอย่างมันต้องเก็บขนาดไหน โดยคาแร็คเตอร์คุณบุญเลื่องไม่ใช่คนที่จะมีคนที่คอยให้คำปรึกษามากนัก จากในเรื่องคือเธอมาคนเดียวไม่ได้มีเพื่อนฝูงอะไร เวลาเธอทุกข์ก็จะเก็บไว้คนเดียว สิ่งที่เธอทำได้ก็คือนั่งเล่นเปียโนร้องเพลง นั่งวาดภาพ นี่คือการระบายความทุกข์ของเธอ ทั้งๆ ที่เธอไม่ได้มีโอกาสที่จะได้พูด เราต้องอย่าลืมว่าคุณบุญเลื่องเคยมีความทุกข์ เมื่อมีความทุกข์แล้วมันจะไม่เหมือนคนที่มีประสบการณ์ หรือเรียนรู้ความทุกข์มา เธอเหมือนเธอไม่รู้จะทำอะไร สิ่งที่ทำได้คือการระบายกับการร้องเพลง การอยู่กับตัวเองหรือว่าวาดภาพอะไรอย่างนี้ค่ะ

          การแสดงของมาริโอ้ในภาคนี้ที่เปลี่ยนมาเล่นบทร้ายเลย เป็นอย่างไรบ้าง
          เรื่อง นี้เคยได้นั่งคุยกับหม่อม ตอนที่เราถ่ายปฐมบท ซึ่งเราก็พอถ่ายเสร็จก็เข้ามาดูในมอนิเตอร์ หม่อมให้ดูในช่วงที่ตัด โอ้เป็นคนที่มีสายตาเศร้า แล้วพอเล่นในปฐมบททุกคนคือเห็นว่าน่าสงสารจัน ดาราจังเลย ทำไมจันต้องใช้ชีวิตแบบนี้ ต้องเจอพ่อที่ใจร้ายอย่างนี้ ยังคุยกับหม่อมว่าแล้วภาคปัจฉิมบทโอ้จะเป็นยังไง คือด้วยความที่เห็นน้องใสมาก แล้วก็มีความไร้เดียงสาในมุมของเด็กที่มีความสุขตลอดเวลา แล้วโอ้เองคือน้องเป็นคนที่คิดโลกในแง่บวก เขารับแต่สิ่งบวกๆ เข้ามาในชีวิต ดังนั้นเราคิดไม่ออกเลยว่าจะเล่นเป็นคนที่เคียดแค้นหรืออาฆาตยังไง แต่พอวันที่เขาเข้าฉากเป็นคุณจัน ดาราในวัย 25 ปี เราอึ้งมาก เพราะว่าโอ้นิ่ง นิ่งแล้วเป็นผู้ใหญ่ขึ้นโดยสิ่งที่เราเคยกังวล ด้วยความที่น้องใสมาก คือเรียกได้ว่าหน้าแบ๊ว เห็นแล้วแบบสงสาร เราจะเกลียดคนๆ นี้ได้ยังไง แต่พอถึงเวลาที่เขาเล่น เขาเล่นจนทำเอาพวกเราอึ้งค่ะ คือเราไม่เคยเห็นมาริโอ้ในมุมนี้ หญิงไม่เคยเห็นน้องในมุมที่พลิก แล้วแบบมันไม่มากจนเกินไปและมันไม่น้อยจนเกินไป ไม่ใช่ว่าร้ายซะจนคนดูเกลียดตัวละคร หญิงเชื่อว่าตัวละครจะไปได้ดี คนต้องไม่เกลียดขนาดที่ไม่อยากดู และโอ้สามารถทำให้คนจับคาแร็คเตอร์ที่น่ากลัว คาแร็กเตอร์ที่เคียดแค้น ทำให้คนดูรู้สึกว่าในมุมนั้นมีความน่าสงสารอยู่ เพราะเขาไม่น่าเป็นแบบนี้เลย ทำไมไม่หยุดสักที ทำไมถึงต้องทำแบบนี้ ซึ่งหญิงคิดว่าเขาประสบความสำเร็จมากกับปัจฉิมบท เพราะว่าตัวจัน ดาราพลิกถึงขั้นทำให้คนดูเกลียดเลยกับสิ่งที่เขาทำ ซึ่งแต่ละอย่างที่เขาทำมันรุนแรงมาก ต้องไปติดตามในภาพยนตร์ค่ะ แต่พอเราได้ดูเรารู้สึกว่า แม้เขาจะทำอะไรรุนแรงก็ตาม เรารู้สึกว่าในความรุนแรงในความเป็นคนไม่ดีของเขา เรายังมองเห็นถึงความน่าสงสารของจัน ดารา ซึ่งอันนี้มันตอบโจทย์ว่าเนี่ยคือจัน ดาราจริงๆ และเป็นอย่างที่หม่อมคิดไว้

FB on January 16, 2013, 03:30:10 PM
          ซึ่งฉากที่เห็นความร้ายกาจของจัน ดารามากที่สุดฉากหนึ่งก็คือฉากกลับมาทวงทุกสิ่งคืนจากคุณหลวง ฉากนี้โดดเด่นอย่างไรบ้าง
เรียก ได้ว่าฉากนี้เหมือนโอ้เล่นคนเดียว คือจริงๆ หญิงก็มีการตอบโต้กับจัน ดารา คือคุณบุญเลื่องกับจัน ดาราตอบโต้กัน แต่ว่าในส่วนของหญิงน้อยมาก และก็เป็นการตอบโต้ในลักษณะของการหยั่งเชิง การเทียบเชิงกันว่ายินยอมในข้อตกลงในแต่ละข้อ และซีนนั้นเป็นซีนที่มาริโอ้หรือจัน ดาราพูดอยู่คนเดียว และบทยาวมาก หญิงจำได้ว่าวันนั้นถ่ายกันเกือบทั้งวันในห้องที่ไม่มีแอร์ แล้วก็แต่ละช็อตต้องรับหน้าทีละคน เพราะว่าทุกคนในเรื่องอยู่หมด รู้สึกได้เลยว่า เหมือนโอ้เล่นอยู่คนเดียวจริงๆ แล้วเขานิ่งมาก แล้วพอเขาตัดออกมา หญิงได้มีโอกาสดูในห้องตัดก่อน ฉากนี้เป็นฉากที่ห้ามพลาด เพราะว่าโอ้ได้แสดงความเป็นนักแสดงจริงๆ แล้ว ไม่ว่าจะเป็นในทุกการก้าว ในทุกน้ำเสียง ในทุกสายตาที่มอง คือหญิงรู้สึกได้เลยว่ามันมีความเคียดแค้น แล้วพร้อมที่จะไม่ใช่ในลักษณะของคนที่หยิบปืนขึ้นมาแล้วยิงคู่ต่อสู้ มันเหมือนคนที่ค่อยๆ เอามีดกรีดคู่ต่อสู้ตั้งแต่หัวลงมาจนถึงเท้า เอาให้มันเจ็บแต่พูดไม่ได้ เจ็บอยู่ข้างใน แล้วพี่เจี๊ยบ (ศักราช ฤกษ์ธำรงค์) ที่เล่นเป็นคุณหลวงเองที่ไม่ได้พูดเลยทั้งซีน มาพูดตอนจบนิดเดียว คือหญิงต้องยืนข้างๆ พี่เจี๊ยบอยู่แล้ว คือแม้กระทั่งเราไม่เห็นเขาพูดในซีนแม้แต่คำเดียวจนกระทั่งจบซีน เรารู้สึกได้เลยว่าเหมือนมีมีดมากรีดเขา แล้วเขาต้องกลั้นความรู้สึกเจ็บตรงนั้นไว้ เพื่อที่จะไม่ให้ใครเห็นว่าเขาอ่อนแอ คือทั้ง 2 คน ในขณะที่อีกคนพูดทั้งซีนแล้วก็เรารู้สึกได้ถึงความเคียดแค้นของเขา แต่ว่าในน้ำเสียงที่นุ่มและก็นิ่ง กับอีกคนหนึ่งที่ไม่พูดเลย แล้วก็ได้รับแอ็คติ้งจากตัวจัน ดารา ในห้องมันเป็นอะไรที่อบอวลไปด้วยความกดดัน แล้วมันเข้มข้นมากสำหรับฉากนี้ ก็อยากให้ติดตามสำหรับฉากนี้ค่ะ

          ฉากเลิฟซีนที่หลายคนจับตามอง
          พูด ถึงจัน ดาราแล้วก็คงหนีไม่พ้นเรื่องของอีโรติก เพราะทั้งหมดเขาใช้เซ็กส์เป็นสื่อในการนำเสนอเรื่องราว บอกถึงความรัก ความใคร่ การแก้แค้น ดังนั้นมันหนีไม่พ้นในเรื่องของเลิฟซีน แต่ว่าอย่างที่หญิงบอกแต่ละเลิฟซีนมันก็มีความสวยงาม ดูให้งามมันก็งาม อย่างที่บอกไว้ตั้งแต่ปฐมบทแล้ว เรื่องนี้สำหรับคุณบุญเลื่องจะได้เห็นมากขึ้นจากภาคที่แล้วที่จะมีแค่ถูน้ำ แข็ง ภาคนี้ก็จะมีเลิฟซีนที่อาจจะถูกข่มขืนด้วย แล้วก็มีความสมยอมด้วยในบางซีน
          ลิมิตจริงๆ ของหญิงก็คงเป็น Topless เท่าที่คุยกับหม่อมไว้ คือเห็นข้างบน แล้วข้างล่างก็จะมีเซฟมีอะไรบ้าง เพราะว่าจริงๆ เป็นภาพยนตร์เรื่องแรกในชีวิต แล้วก็เป็นอีโรติกเราเองก็ไม่เคยเล่นมาก่อน แล้วก็ถามตัวหญิงเอง หญิงก็รู้สึกตื่นเต้น ที่สำหรับภาคนี้ก็คงจะได้เห็นมากขึ้นในมุมเลิฟซีนหลากหลายของคุณบุญเลื่อง ที่มีกับหลายๆ คนในเรื่องเลย
          แต่สุดท้ายยังไงมันก็คืองาน แล้วก็มาถึงจุดนี้แล้วเราก็อยากให้ออกมาดี และอยากให้ภาพออกมาสวย ซึ่งภาพทั้งหมดหม่อมก็เป็นคนจัดให้ทั้งหมดว่าอยากให้นอนตรงไหนอะไรยังไง ซึ่งที่ได้ดูแล้วก็ยอมรับค่ะว่าแรงที่สุดในชีวิต ก็ยังไม่เคยรับละครหรือภาพยนตร์อะไรที่แรงขนาดนี้ แล้วเราก็คิดว่า ก็คงยังไม่กล้าเล่นกับใครถ้าไม่ใช่หม่อม เพราะรู้สึกว่าหม่อมทำให้เรารู้สึกว่า พอมองแล้วมันไม่ใช่ความโป๊ มันเป็นความสวยงามจริงๆ

          ฉากที่ประทับใจหรืออยากพูดถึงเป็นพิเศษ
          จริงๆ สำหรับตัวหญิงเอง ถ้าชอบมากก็จะเป็นฉากจบของคุณบุญเลื่อง คือรู้สึกว่าเธอเป็นผู้หญิงที่หาได้ยากมากในยุคปัจจุบัน การอภัยอะไรไม่เท่าการอภัยตัวเอง ซึ่งหญิงเห็นและรู้สึกว่า นี่แหละมนุษย์มีแค่นี้เอง คือเคียดแค้นกัน เคียดแค้นคนอื่น ทำร้ายคนอื่น กดขี่ข่มเหงคนอื่น อาฆาตแค้น แก้แค้นคนอื่น สุดท้ายแล้วกว่าที่เราจะคิดได้ เราต้องรอให้มาคิดได้ในวันที่สายเกินไป อย่างตัวจันถ้าเขาคิดได้ตั้งแต่ตอน 25 เวลาอีกประมาณ 30-40 ปี เขาอาจจะเป็นผู้ชายที่มีความสุขที่สุดในโลก ถ้าเขาให้อภัยตัวเองสักนิดว่าทุกอย่างเป็นเรื่องของอดีต เรามีโอกาสที่จะสร้างวันพรุ่งนี้ แต่การที่ยึดติดอยู่กับอะไรที่เป็นอดีตแล้วไม่ปล่อยมันออกไปสักที มันคือกรรมที่ไม่มีใครทำให้คุณได้ คุณต้องแก้ด้วยตัวเอง ด้วยการละ การให้อภัย ให้อภัยตัวเอง ให้อภัยคนรอบข้าง ก็คืออโหสิกรรมในพระพุทธศาสนานั่นเอง
          พอดูแล้วรู้สึกว่า คุณบุญเลื่องเธอเป็นผู้หญิงที่เข้าใจโลกมากคนหนึ่ง และพร้อมที่จะให้โอกาสคนอื่น แม้กระทั่งให้โอกาสตัวเอง แล้วทุกคำพูดของคุณบุญเลื่องมันเป็นคำสอน มันมีคำหนึ่งที่หญิงชอบมาก คือ “คนเราจะรักคนอื่นไม่ได้เลย ถ้าไม่รู้จักรักและเคารพตัวเองเสียก่อน” หญิงรู้สึกว่าจริง ถ้าเราไม่รักตัวเอง ถ้าเราไม่เคารพในสิทธิของตัวเอง เราพร้อมที่จะไปรับไปแชร์ไปเผื่อแผ่ให้ใครได้ที่ไหน บางคนรู้สึกว่าการรักตัวเองคือการเห็นแก่ตัว หญิงมองว่ามันไม่ใช่ มันต่างกัน การเห็นแก่ตัวคือการที่คุณไม่รักตัวเองต่างหาก หลายๆ คำของคุณบุญเลื่อง หญิงรู้สึกว่ามันเป็นคำสอน และรู้สึกว่าผู้หญิงคนนี้เจ๋งดี ถ้ามีโอกาสได้เจอกันจริงๆ คงดี

          เท่าที่ฟังแล้วรู้สึกว่าหญิงมีความผูกพันกับตัวละครนี้ค่อนข้างมากทีเดียว
          ใช่ คะ ก็จริงๆ อาจจะเป็นเพราะตัวหญิงเองคลุกคลีอยู่กับตัวละคร และก็อยู่กับคุณบุญเลื่องมา 4-5 เดือนตลอดระยะเวลาทำงาน บวกกับช่วงเวลาที่เป็นภาคปฐมบท เราได้ซึมซับบางอย่างมาจากคุณบุญเลื่อง ทุกวันนี้เวลาคิด หรือเวลามองใครคือมันเหมือนกับว่าเราติดตัวละคร แล้วยิ่งเราได้มองกลับไปดูเรารู้สึกผู้หญิงคนนี้มีเสน่ห์เหลือเกิน ถ้าคุณบุญเลื่องมีชีวิตจริงๆ เขามีเสน่ห์เหลือเกิน แล้วก็เป็นผู้หญิงที่ไม่ต้องมองในเรื่องของรูปร่างหรือว่าสมบัติ สมบัติของเธอคือใจกับสมองจริงๆ คือมันยากมากนะกับการที่จะเจอเรื่องราวร้ายๆ ในชีวิต แล้วสุดท้ายก็พร้อมที่จะเหมือนหนังสือเล่มหนึ่งที่อ่านจบแล้วก็วางไป แล้วก็พร้อมที่จะเดินไปหยิบหนังสือเล่มใหม่มาอ่านต่อ มันยากตรงที่ว่ามันมีคนแบบนี้กี่คนในโลกที่พร้อมที่จะลืมเรื่องที่ไม่ดีของ ตัวเอง หญิงว่ามันไม่มีหรอก หญิงเองก็เคยเป็นเด็กดื้อเด็กซนในชีวิตที่ผ่านมา แต่ถ้าเรามองว่ามันเป็นประสบการณ์ในชีวิตแล้วเราพร้อมที่จะก้าวออกมาไปเจอ ประสบการณ์ใหม่ๆ ชีวิตก็จะมีความสุข
          คือตัวคุณบุญเลื่องกับ จันต่างกัน จันอาจจะมาคิดได้ตอน 80 ในขณะที่คุณบุญเลื่องคิดได้ตอน 40 ถ้าคุณบุญเลื่องมีชีวิตอยู่ เธออาจจะเป็นผู้หญิงที่มีความสุข ใช้ชีวิตอยู่คนเดียว อาจจะมีลูกหลาน อาจจะรับเลี้ยงใครมาเป็นลูกหลานตัวเอง เธออาจจะเป็นผู้หญิงที่เดินทางรอบโลก เที่ยวรอบโลกอยู่ก็ได้ตอนนี้ ตอนคุณบุญเลื่อง 80 อาจจะนั่งชมต้นไม้อยู่บ้าน นั่งฟังเพลงอยู่บ้าน คงเป็นผู้หญิงที่อาวุโสที่มีความสุขคนหนึ่ง ในขณะที่จัน ดาราต้องอยู่คนเดียว เพราะว่าเขาเลือกที่จะเก็บความทรงจำ ความเคียดแค้น หรือแม้กระทั่งวันที่เขาตัดสินใจได้ว่าเขาจะจบทุกอย่างในชีวิตของเขานะ แต่ว่าเขาก็ยังไม่ลืมมัน เก็บมันไว้ ใช้ชีวิตอย่างนั้นกับมัน เอาอดีตลากไปด้วย คนเราถ้าไม่รู้จักทิ้ง เราก็จะเดินช้าลง มันจะหนักอยู่ตลอดเวลา คือถ้าเราทิ้งได้แล้วตัวเบาๆ เราจะไปไหนก็ได้

          เสน่ห์ ความน่าสนใจ และคุณค่าของภาพยนตร์ที่ผู้ชมจะได้รับ
          สำหรับ “จันดารา ปัจฉิมบท” เรียกได้ว่าเป็นภาพยนตร์อีกเรื่องหนึ่งที่พลาดไม่ได้ ไม่ว่าจะเป็นในเรื่องของเนื้อหา นักแสดงที่ภาคที่แล้วเป็นยังไง ภาคนี้คุณจะลืมความสดใสของจัน ดารา ของคุณบุญเลื่องไปเลย จากคุณหลวงเองที่เคยเป็นผู้ชายที่เคียดแค้น มีอำนาจ คุณหลวงจะน่าสงสารที่สุดในภาคนี้ ซึ่งเป็นคนที่ต่อสู้ใครก็ไม่ได้ ทุกอย่างเก็บเอาไว้เพราะรักคนๆ หนึ่ง รักลูกตัวเอง พอที่จะเสียศักดิ์ศรีของตัวเองเพื่อลูกคนเดียว นี่คือสิ่งที่พ่อแม่ทุกคนเป็น ศักดิ์ศรีตัวเองไม่ว่า แต่ขอแค่ให้ได้อยู่กับลูก อยู่ใกล้คนที่เรารัก นี่คือคุณหลวงในภาคนี้จะพลิกไปเลยค่ะ คุณบุญเลื่องเองก็พลิก ดังนั้นเนื้อเรื่องในภาคนี้เรียกได้ว่าภาคที่แล้วเป็นยังไง ภาคนี้มันคือขาวกับดำ พลิกหน้ามือเป็นหลังมือ บวกกับเรื่องราวและคำสอนต่างๆ ในเรื่องนี้ที่จะสอน ทั้งในเรื่องของเซ็กส์ที่บางครั้งอาจจะถูกใช้ในทางที่ผิดแล้วนำพามาซึ่งอะไร แล้วก็กรรมและอโหสิกรรม เรื่องนี้จะสอนให้เรารู้ว่า การทำกรรมใน 1 ครั้ง มันเกิดผลกระทบเป็นวงกว้าง มันไม่ใช่ว่าคุณเดินไปหยิกคนนี้คนหนึ่ง แล้วเขาเจ็บแล้วมันจะจบ คือมันไม่ใช่ คุณไปหยิกเขา เขาโมโหคุณ เขาอาจจะไปทำร้ายคนรอบๆ ข้างคุณก็ได้ ถ้าเขาไม่กล้าเดินไปต่อยตรงๆ นั่นคือนิสัยของจัน ดารา เขาทำร้ายทุกคนที่คุณหลวงรัก สุดท้ายแล้วการทำร้ายคนอื่นๆ สุดท้ายมันคือทำร้ายตัวเอง
          แล้ว ก็เลิฟซีนมันต้องมี ก็อยากให้ดูเพื่อเป็นองค์ประกอบสำหรับความเข้าใจของตัวละครว่า แต่ละตัวละครมีความสัมพันธ์กันในรูปแบบไหน เลิฟซีนสำหรับคุณบุญเลื่องก็จะเยอะขึ้น แต่สิ่งหนึ่งที่มันเยอะขึ้นก็คือ ความเข้มข้นในเนื้อเรื่อง ไม่ว่าจะเป็นตัวจัน ดารา, ตัวคุณบุญเลื่อง, ตัวคุณหลวง และคนอื่นๆ ทุกครั้งที่เล่นในปัจฉิมบทเราจะรู้สึกว่า ไม่ว่าเราจะเล่นอะไรมันจะซ้อนความรู้สึกเยอะมาก ต่อให้เป็นเคียดแค้น ต่อให้เป็นอารมณ์ดี มันซ้อนความรู้สึกเยอะมาก
          ภาคแรกมันเหมือ นไบรท์มากสำหรับตัวหญิง ตัวบุญเลื่องขึ้นมาก็เป็นสดใส คิดเป็นสีชมพู สีม่วง แต่ครั้งนี้คิดไม่ได้เลยว่าจะเป็นสีแบบสีเดียว คือจะเป็นเทา เป็นหม่นเป็นครามตลอด สำหรับปัจฉิมบทมันคือสีที่อยู่ตรงกลางระหว่างขาวและดำ คือมันยากมากและก็สนุกมากๆ มันคือชีวิตคนจริงๆ เราจะได้เห็นแก่นแท้ของชีวิตมนุษย์จริงๆ ว่าถึงเวลาที่มันจนตรอก ถึงเวลาที่เราเอาชนะใครไม่ได้ แล้วเอาชนะด้วยวิธีสกปรก สุดท้ายมันไม่ได้มีอะไรดีในชีวิตเราเลย ก็เลยรู้สึกว่าภาคนี้เป็นอีกภาคที่เรียกได้ว่าเป็นภาคต่อที่ต้องติดตามและ ต้องดูกันเลยค่ะ

FB on January 19, 2013, 05:07:17 PM
พลิกบทตำรวจผู้กุมชะตาชีวิตจัน ดารา “เจมส์ เรืองศักดิ์” ร่วมแจมหนังอาจารย์ ใน “จันดารา ปัจฉิมบท”



          นานๆ จะมีผลงานแสดงภาพยนตร์ให้แฟนๆ ได้ชมกัน ล่าสุด นักแสดงหนุ่ม “เจมส์-เรืองศักดิ์ ลอยชูศักดิ์” ก็ให้เกียรติมาเป็นนักแสดงรับเชิญพิเศษในภาพยนตร์มหากาพย์แห่งโศกนาฏกรรมอัน ยิ่งใหญ่เรื่อง “จันดารา ปัจฉิมบท” ภาคอวสานของชีวิตจัน ดารา ผลงานกำกับเรื่องล่าสุดของอาจารย์ตัวเอง “หม่อมน้อย-ม.ล.พันธุ์เทวนพ เทวกุล”

          โดยหนุ่มเจมส์รับบทเป็น “ร.ต.อ.เรืองยศ” สารวัตรหนุ่มแห่งเมืองพิจิตรผู้สะสางคดีฉุดคร่าและข่มขืน “ดารา พิจิตรวานิช” มารดาของ “จัน ดารา” และเขาเป็นคนเดียวที่ล่วงรู้ว่า บิดาที่แท้จริงของจันคือใคร ซึ่งเขาได้กุมความลับสุดยอดในคดีนี้มานานถึง 17 ปี จนกระทั่งคดีนี้ต้องถูกเผยออกมาเมื่อเขาได้เผชิญหน้ากับจัน ผู้มาขอให้รื้อฟื้นคดีข่มขืนปริศนาในครั้งนั้น ซึ่งก่อให้เกิดความปวดร้าวสะเทือนขวัญอย่างแรงต่อคนทั้งคู่ถึงขนาดที่จันเอง ทนแทบไม่ไหวและไม่อยากจะมีชีวิตอยู่ต่อไป

          ฉากนี้ หม่อมน้อยได้ยกกองไปถ่ายทำในกลางป่าริมแม่น้ำแคว จ.กาญจนบุรี เพื่อความสมจริงและให้ได้ภาพที่สวยงาม

          หนุ่มเจมส์ เปิดเผยว่า
          “การ แสดงในเรื่องนี้ค่อนข้างจะละเอียดในการตีความ คือผมได้มีโอกาสเรียนกับหม่อมน้อย และได้คุยกับหม่อมว่าผมอยากร่วมงานกับหม่อมซักเรื่องหนึ่ง เป็นตัวประกอบก็ยังดี หม่อมก็เลยบรรจงมอบบทร้อยตำรวจเอกเรืองยศให้ ก็เป็นบทตำรวจหนุ่มตงฉิน เป็นคนซื่อสัตย์ในหน้าที่มาก ไม่ชอบสิ่งที่ไม่ถูกต้องในสังคม เป็นคนที่บูชาความรัก เวลาผิดหวังกับความรักก็เลือกที่จะเจ็บคนเดียว
          ผมว่าความยาก ของการแสดงเรื่องนี้มันอยู่ที่ว่าเราเล่นกับอาจารย์ คือหม่อมเป็นคนที่ค่อนข้างมีความละเอียดสูงในเรื่องของการแสดง การตีความ ผมออกมาในจอแค่ไม่กี่นาที แต่ใช้เวลาการซ้อมนานเป็นเดือน มีการตีความบท ทำความคุ้นเคยกับนักแสดงรอบข้างทั้งหมด ผมว่าตัวละครตัวนี้ก็เป็นอีกตัวหนึ่ง ซึ่งเป็นอีกบทบาทที่ไม่เคยเล่น เป็นบทบาทของคนที่ผิดหวัง เก็บตัวเอง มีแผลเป็นอยู่ในใจ
          ผม เพิ่งมีโอกาสได้แสดงกับมาริโอ้ครั้งแรก มันจะเป็นฉากที่จันมาอ้อนวอนเรา เพราะอยากจะรู้ความจริงเรื่องพ่อตัวเอง มันเป็นฉากที่สะเทือนใจมากฉากหนึ่งของเรื่องเลยครับ ซึ่งผมก็ประทับใจการแสดงของมาริโอ้มาก เขาทำให้เรารู้สึกได้ว่าบทหนังที่เราอ่าน พอออกมาเป็นการแสดงมันรู้สึกได้ว่าตัวละครมันมีชีวิตจริงๆ แล้วโอ้ก็แสดงได้ดีมากในมุมมองผม อายุเท่านี้ของมาริโอ้ ผมว่าเขาไปไกลมากแล้ว ผมรู้สึกประทับใจในตัวบทและก็การแสดงของมาริโอ้จริงๆ ครับ”

          เตรียมพบการแสดงของ “เจมส์ เรืองศักดิ์” และฉากสุดสะเทือนอารมณ์นี้ได้ใน “จันดารา ปัจฉิมบท” พร้อมฉาย 7 ก.พ. 2556 ในโรงภาพยนตร์