happy on September 09, 2012, 08:21:26 PM

END OF WATCH

จัดจำหน่ายโดย      เอ็ม พิคเจอร์ส              

ชื่อภาษาไทย      คู่ปราบกำราบนรก

ภาพยนตร์แนว      แอ็คชั่น

จากประเทศ      สหรัฐอเมริกา

กำหนดฉาย      27 กันยายน 2555

ณ โรงภาพยนตร์      ทุกโรงภาพยนตร์

ผู้กำกับ          David Ayer (เดวิด เอเยอร์)

อำนวยการสร้าง       David Ayer (เดวิด เอเยอร์)


เว็ปไซด์ตัวอย่างภาพยนตร์    http://www.youtube.com/watch?v=S6aQkgHHLtc&feature=plcp


นักแสดง   JAKE GYLLENHAAL (เจค จิลเลนฮัล)  จาก Brokeback Mountain , Donnie Darco , Zodiac

MICHAEL PEÑA (ไมเคิล เพนยา) จาก Shooter , Million Dollar Baby , The Lincoln Lawyer

AMERICA FERRERA  (อเมริกา เฟอร์เรรา) จาก Ugly Betty , Hoe to Train Your Dragon

ANNA KENDRICK  (แอนนา เคนดริค) จาก Up in the Air , 50/50 , Twilight

NATALIE MARTINEZ  (นาตาลี มาร์ติเนซ) จาก Dath Race , Magic City Memoirs  

จุดเด่น   

David Ayer  (เดวิด เอเยอร์ )  ผู้กำกับ , มือเขียนบท และ ผู้อำนวยการสร้าง  มีแรงผลักดันที่จะนำเสนอเรื่องราวของตำรวจลอสแองเจลิสอย่าง “ถูกต้อง” และเปิดประตูให้ผู้ชมได้เห็นโลกของผู้บังคับใช้กฎหมายที่ไม่มีใครเห็นบ่อยนัก ที่เต็มไปด้วยความจริง ความดิบเถื่อนและความเห็นอกเห็นใจ ด้วยทีมนักแสดงที่นำทีมโดยเจค จิลเลนฮัลและไมเคิล เพนา ร่วมด้วยแอนนา เคนดริค, อเมริกา เฟอร์เรรา, โคดี้ ฮอร์น, นาตาลี มาร์ติเนซและแฟรงค์ กริลโล END OF WATCH เป็นเรื่องราวที่ทรงพลังเกี่ยวกับครอบครัว มิตรภาพ ความรัก เกียรติยศและความกล้าหาญ


เรื่องย่อ   
   
ในภารกิจเพื่อยึดมั่นตามคำสัตย์สาบานที่พวกเขาได้ให้ไว้ว่าจะรับใช้และคุ้มครอง เจ้าหน้าที่ไบรอัน เทย์เลอร์ (เจค จิลเลนฮัล) และเจ้าหน้าที่ไมค์ ซาวาลา (ไมเคิล เพนยา) ได้สานสายสัมพันธ์แน่นแฟ้นฉันพี่น้องท้องเดียวกัน เพื่อให้แน่ใจว่าพวกเขาจะได้กลับบ้านอย่างปลอดภัยเพื่อเสร็จสิ้นภารกิจ สิ่งที่เป็นหลักประกันเพียงหนึ่งเดียวสำหรับเจ้าหน้าที่เหล่านี้คือมันไม่มีหลักประกันใดๆ เลยในตอนที่พวกเขาลาดตระเวนตามท้องถนนในเขตเซาธ์ เซ็นทรัล, ลอสแองเจลิส
      ระหว่างแสงสีฟ้า เสียงไซเรนที่แผดร้องกึกก้องและแอ็กชันที่กระตุ้นอะดรีนาลินพลุ่งพล่าน ยังมีการปะทะคารมที่น่าขบขันและตรงไปตรงมาระหว่างคู่หู ที่ใช้เวลาส่วนใหญ่ในแต่ละวันไปกับการนั่งรอการเรียกในรถตำรวจ พวกเขาได้สานสายสัมพันธ์กันในแบบที่ทำให้พวกเขาทำงานร่วมกันเป็นทีมเดียวกันได้เมื่อเผชิญกับภยันตราย โดยพวกเขารู้ดีแก่ใจว่า พวกเขาอาจถูกเรียกตัวให้ไปเสี่ยงชีวิตได้ทุกชั่วขณะ แอ็กชันที่ลุ้นระทึกได้ถูกเผยผ่านทางฟุตเตจจากกล้องแฮนด์เฮลด์ ที่ถ่ายทำจากมุมมองของเจ้าหน้าที่ตำรวจ สมาชิกแก๊ง กล้องวงจรปิด แดชแคมและประชาชนผู้ติดอยู่ตรงกลางระหว่างการต่อสู้ มุมมองแบบ 360 องศานี้ได้ก่อให้เกิดภาพสะท้อนที่น่าติดตามและลุ้นระทึกของท้องถนนและตรอกซอกซอยที่รุนแรงที่สุดและมืดหม่นที่สุดของเมือง รวมถึงวีรบุรุษและวีรสตรีคนกล้าผู้ทำหน้าที่ลาดตระเวนย่านนั้นด้วย







เกี่ยวกับงานสร้าง

“เมื่อเจ้าหน้าที่ตำรวจหมดกะ เขาก็จะมีสมุดบันทึกไว้ลงรายงาน เช่นตรงนี้มีรหัสหก หยุดผู้ชายคนนี้ได้ กักขังผู้ต้องสงสัยไว้…
สิ่งสุดท้ายที่พวกเขาเขียนลงไปคือ ‘EOW’ และเวลา
เจ้าหน้าที่ตำรวจที่ทำงานมานานจะบอกคุณได้ว่า มีสิ่งหนึ่งที่คุณต้องทำในทุกกะ
นั่นคือ EOW เลิกกะ และกลับบ้าน ถ้าคุณไม่กลับบ้าน มันก็เรียกว่าเลิกกะได้เหมือนกัน” –เดวิด เอเยอร์

               ด้วยการเติบโตมาบนท้องถนนในย่านเซาธ์ เซ็นทรัลของลอสแองเจลิส ชีวิตของมือเขียนบท/ผู้กำกับเดวิด เอเยอร์ อาจออกมาแตกต่างจากที่เป็นอยู่ก็ได้ เขาได้เห็นว่าย่านที่อยู่อาศัยนั้นต้องสั่นสะเทือนจากความรุนแรงของแก๊งอันธพาลอย่างไร แต่แทนที่เขาจะเข้าไปมีส่วนร่วมกับมัน เขากลับนำเอาประสบการณ์เหล่านั้นใส่ลงไปในเรื่องราว ระหว่างที่เขาเข้าประจำการในกองทัพเรือสหรัฐฯ เรื่องราวของเขาเริ่มเป็นรูปเป็นร่างและท้ายที่สุดก็กลายเป็นบทภาพยนตร์ เช่นภาพยนตร์ที่โด่งดังอย่าง Training Day
   “ในหลายๆ แง่มุม การเคลื่อนจาก Training Day ไปสู่ End of Watch เป็นเหมือนการเดินครบรอบวงกลมครับ” เอเยอร์กล่าว “มีบางสิ่งเกี่ยวกับการเขียนถึงตำรวจที่ทำให้มันเป็นเรื่องง่ายสำหรับผม ผมมีสายเลือดที่ทำให้ผมเขียนเกี่ยวกับตำรวจได้ง่ายๆ ครับ”   เนื่องจากผลงานภาพยนตร์ที่ตามมาเป็นทิวแถวหลังจาก Training Day ซึ่งรวมถึง S.W.A.T. และ Street Kings เอเยอร์ก็กังวลถึงเรื่องการถูกจัดประเภทในฮอลลีวูด และเริ่มถอยห่างจากภาพยนตร์แนวนี้ไปซักพัก “ชัดเจนว่าผมกำลังมุ่งหน้าไปยังถนนสายหนึ่งสายใด” เอเยอร์บอก “แต่ครูคนหนึ่งของผม (เวสลีย์ สตริค มือเขียนบทชื่อดัง) บอกให้ผมหาแนวถนัดของตัวเองและใช้ประโยชน์จากมัน ตอนนั้นเองที่ผมบอกกับตัวเองว่า ฉันรู้เรื่องนี้ และฉันก็จะกลับไปหาเรื่องนี้ น่ะครับ”
   แต่ครั้งนี้ เอเยอร์จะใช้วิธีที่แตกต่างออกไปอย่างมาก ด้วยความที่เขาเป็นเพื่อนกับเจ้าหน้าที่รักษากฎหมายหลายคน เขาก็เลยต้องการจะบอกเล่า “เรื่องราวของพวกเขา” ในขณะที่ผลงานเรื่องก่อนๆ ของเขาจะให้น้ำหนักไปที่ตำรวจเลวหรือตำรวจขี้ฉ้อ บทภาพยนตร์เรื่องนี้จะสะท้อนว่างานนี้จริงๆ แล้วเป็นอย่างไร
   “มีข้อน่าสังเกตอย่างหนึ่งเกี่ยวกับหนังตำรวจคือเราจะไม่ได้เห็นว่าพวกเขาทำงานจริงๆ อย่างไร” เอเยอร์กล่าว “เราได้เห็นในสิ่งที่ฮอลลีวูดคิดว่าพวกเขาทำ เราได้ดูหนังตำรวจทุกเรื่อง...ที่คุณจะมีฉากที่ตำรวจสองนายเถียงกันเรื่องเขตอำนาจ”
   ในการสัมภาษณ์ครั้งก่อนๆ เอเยอร์เองเคยบอกว่าเรื่องราวเกี่ยวกับเจ้าหน้าที่ตำรวจกังฉินเป็นหัวข้อที่น่าสนใจที่สุดสำหรับภาพยนตร์ตำรวจ END OF WATCH ทำให้เขาครุ่นคิดถึงความรู้สึกเหล่านั้นใหม่ “ในที่สุด ผมก็พิสูจน์กับตัวเองได้แล้วว่ามันไม่จริง” เอเยอร์กล่าว “และผมก็คิดว่าผมได้พิสูจน์ให้คนอื่นๆ เห็นแล้วว่ามันไม่จริง” สำหรับเอเยอร์ อันตรายในการทำงานประจำวันของตำรวจ บวกกับ “การต้องกลับบ้านและมีความสัมพันธ์ตามปกติ” กับคู่ชีวิตของคุณ เป็นแนวทางในการสร้างเรื่องของเขา
   “คนพวกนี้เห็นความวุ่นวายและการฆ่าฟันมาและต้องเผชิญหน้ากับสถานการณ์ที่ทำลายสุขภาพจิตอย่างเหลือเชื่อ ก่อนที่พวกเขาจะต้องกลับบ้านแล้วต้องพยายามรักษาความสัมพันธ์นั้นให้คงอยู่ให้ได้” เอเยอร์กล่าว “คนที่สามารถทำแบบนั้นได้สำเร็จสำหรับผมแล้วเป็นคนที่น่าทึ่งครับ”
   ผลงานที่เอเยอร์หวนคืนสู่แนวตำรวจลอสแองเจลิสอีกครั้งคือบทภาพยนตร์สำหรับ END OF WATCH ที่เขาเขียนขึ้นภายในเวลาหกวัน เอเยอร์ได้ใช้ทักษะทั้งหมดที่เขาได้เรียนรู้มาโดยตลอดในการบอกเล่าเรื่องราวที่เป็นไปตามขนบมากๆ แต่ยังไม่เคยถูกบอกเล่าจนหมดมาก่อน “ผมอยากจะถ่ายทอดเรื่องราวของกลุ่มคนที่ออกปราบเหล่าร้าย ทำงานหนักเพื่อปฏิบัติการกิจ และโดยเนื้อแท้แล้วเป็นคนดีครับ” เอเยอร์กล่าว “สิ่งที่เราถูกฝึกให้คาดหวังจากหนังตำรวจจะไม่ปรากฏในหนังเรื่องนี้ แต่นี่คือความจริงครับ เป็นเรื่องที่น่าเบื่อ ว่าคนเราผูกพันกันอย่างไร ตำรวจมีสายสัมพันธ์กันอย่างไร หนังเรื่องนี้เหมือนการที่เราได้เข้าไปสู่โลกเร้นลับนั้นครับ”
   วิธีการของเอเยอร์ในการพลิกโฉมหน้าของประเด็นเดิมๆในภาพยนตร์ตำรวจดึงดูดความสนใจของผู้อำนวยการสร้าง จอห์น เลเชอร์ “สิ่งที่ผมคิดว่าพิเศษเกี่ยวกับบทของเอเยอร์คือมันไม่ได้เป็นหนังตำรวจแบบทั่วๆ ไปหรือเป็นหนังเกี่ยวกับตำรวจกังฉิน”     เลเชอร์บอก “แต่มันเป็นเรื่องเกี่ยวกับเพื่อนรักสองคนและสิ่งที่พวกเขาพบเจอในการเป็นตำรวจ หนังเรื่องนี้มีทั้งแอ็กชันและความรุนแรง และท้ายที่สุดแล้ว มันก็เป็นเรื่องราวเกี่ยวกับมิตรภาพ ครอบครัวและธีมสากลทั้งหลาย ที่เข้าถึงทุกคนครับ”
   ในฐานะที่ปรึกษาด้านเทคนิคตำรวจในภาพยนตร์เรื่องนี้และผู้ที่เคยเป็นตำรวจในสังกัดกรมตำรวจแอลเอมานานถึงสิบห้าปี เจมี ฟิทซ์ไซมอนส์ชื่นชมความตั้งใจของเอเยอร์ที่จะบอกเล่าเรื่องราวที่สมจริง “ผมคิดว่าลักษณะที่หนังเรื่องนี้ถ่ายทำและลักษณะที่เดวิดเขียนบทขึ้นมา ทั้งเจ้าหน้าที่ตำรวจและคนในสังคมพอดูหนังเรื่องนี้แล้วจะเกิดความคิดว่า ‘ในที่สุด’ น่ะครับ” ฟิทซ์ไซมอนส์กล่าว “ในที่สุด ก็มีคนแสดงให้เห็นถึงทั้งสองด้านว่าการใช้ชีวิตอยู่ในสังคมแบบนี้เป็นยังไงและการที่เจ้าหน้าที่ตำรวจสองนายที่เป็นเพื่อนรักกันมาลาดตระเวนในชุมชนแบบนี้เป็นยังไง เอเยอร์เข้าใจความสำคัญของการเป็นคู่หูของพวกเขาจริงๆ ว่ามันมีความหมายอย่างไรสำหรับคนที่พวกเขารักและครอบครัวของพวกเขา ซึ่งครอบคลุมทุกแง่มุมในชีวิตของนายตำรวจทั้งสองนายนี้น่ะครับ”
   แอ็กชันใน END OF WATCH ดำเนินไปเหมือนกับสารคดี เอเยอร์ได้พัฒนาภาพยนตร์เรื่องนี้ให้มีภาพที่น่าตื่นเต้นเพื่อดึงผู้ชมให้รู้สึกเหมือนอยู่ในทุกฉาก “ผมจะใช้มุมมองตามของจริงครับ” เอเยอร์กล่าว “ผมอยากให้มันเป็นเหมือนกับการดู YouTube    ที่มีบางสิ่งในหัวคุณบอกคุณว่านี่เป็นของจริง หนังเรื่องนี้เป็นเหมือน YouTube ปะทะ Training Day ในหลายๆ แง่มุมครับ” ตลอดการถ่ายทำ เอเยอร์ได้วางลำดับแต่ละช็อตเพื่อที่ผู้ชมจะดำดิ่งลงไปในโลกใบนี้ลึกลงไปเรื่อยๆ สำหรับเอเยอร์ END OF WATCH ได้ผสมผสานคุณค่าด้านการถ่ายทำชั้นเลิศเข้ากับความรู้สึกของความสมจริงและตื่นเต้นของ YouTube
   “ผมสนใจความทะเยอทะยานของเอเยอร์ที่จะสร้างลุคที่สมจริงของการอยู่ในกรมตำรวจน่ะครับ” เลเชอร์กล่าว “เทคนิคการถ่ายทำของเขาให้ความรู้สึกมีชีวิตชีวาและไม่เหมือนกับสิ่งที่ผมเคยเห็นมาก่อนเลย”
   จากความสัมพันธ์ของบรรดาเจ้าหน้าที่ตำรวจ ไปจนถึงโลเกชันที่มีอยู่จริงและมุมกล้องที่กว้างไกล ความสมจริงเป็นสิ่งที่สำคัญอย่างยิ่งยวดต่อความสำเร็จของ END OF WATCH ในการทำให้แอ็กชันมีความลุ้นระทึกและทำให้ผู้ชมจดจ่อกับเรื่องอย่างเต็มที่ กล้องจะถ่ายทำภาพแอ็กชันเสมือน 360 องศา ไม่ว่าเวลาใดก็ตาม จะมีกล้องสี่ตัวทำงานตลอด ซึ่งรวมถึงกล้องสองตัวที่ติดอยู่กับตัวของนักแสดง เจค จิลเลนฮัลและไมเคิล เพนยา เพื่อขับเน้นความสมจริงของฉาก (ตัววละครของจิลเลนฮัลกำลังเรียนคอร์สภาพยนตร์ในฐานะส่วนหนึ่งของการเตรียมพร้อมเพื่อศึกษากฎหมายของเขา และกล้องก็จะปรากฏให้เห็นและถูกร้อยเรียงเข้าไปในเรื่องราวด้วย)
   “คนจะรู้สึกเหมือนว่าพวกเขาทำงานเคียงบ่าเคียงไหล่กับไบรอัน เทย์เลอร์และไมค์ ซาวาลาครับ” เจมี ฟิทซ์ไซมอนส์ ที่ปรึกษาฝ่ายเทคนิคบอก “พวกเขาจะรู้สึกเหมือนกับว่าพวกเขาเป็นส่วนหนึ่งของมัน ในแง่มุมตำรวจของเรื่องนี้ ในความเป็นคู่หูนี้ รวมถึงความสัมพันธ์ส่วนตัวของพวกเขาด้วยครับ”
   เรื่องราวเริ่มต้นขึ้นด้วยฉากไล่ล่าทางรถยนต์ที่บีบหัวใจเมื่อเจ้าหน้าที่ไบรอัน เทย์เลอร์ (เจค จิลเลนฮัล) และเจ้าหน้าที่ไมค์ ซาวาลา (ไมเคิล เพนยา) ต้องรีบเร่งผ่านตรอกซอกซอยในเขตนิวตันของเซาธ์ เซ็นทรัล ลอสแองเจลิส เพื่อพยายามไล่จับรถที่เต็มไปด้วยสมาชิกแก๊ง ขณะที่กล้องแดชแคมจากรถตำรวจของเทย์เลอร์และซาวาลาได้บันทึกภาพการไล่ล่านั้นเอาไว้ทุกช็อต มันลงเอยด้วยกระสุนห่าใหญ่ ซึ่งมีนัดหนึ่งฝังอยู่ในเสื้อเกราะเคฟลาร์ของเทย์เลอร์ มันเป็นแค่หนึ่งในอันตรายที่พวกเขาต้องเจอในการทำงานเท่านั้นเอง
   การออกปฏิบัติหน้าที่แต่ละครั้งจะตามมาด้วยความไม่แน่นอน ความท้าทายครั้งใหม่ และความรีบเร่งสำหรับเจ้าหน้าที่ตำรวจหนุ่มสองนาย เช่นตัวป่วนประจำซอยไปมีปัญหากับบุรุษไปรษณีย์, สาวขี้ยาที่ทำลูก “หาย” แต่เทย์เลอร์กับซาวาลาไปเจอเด็กพวกนั้นถูกเทปกาวมัดไว้ในตู้เสื้อผ้า, พวกเขาจับ “คาวบอยเม็กซิกัน” ได้พร้อมกับรถบรรทุกที่เต็มไปด้วยอาวุธและเงินสด, พวกเขาช่วยเหลือเด็กๆ จากตึกที่ไฟกำลังไหม้ได้อย่างกล้าหาญ, พวกเขาค้นพบเซฟเฮาส์ที่ถูกใช้ในการค้ามนุษย์ และการเยี่ยมเยือนบ้านของหญิงชราก็นำไปสู่การยึดยาเสพติดล็อตใหญ่ และในตอนเลิกกะทุกครั้ง พวกเขาก็ลงบันทึกว่า “EOW” ในบันทึกประจำวันก่อนจะมุ่งหน้ากลับบ้าน
   เจ้าหน้าที่เทย์เลอร์ ผู้เป็น “นักรัก” มายาวนาน กำลังตกหลุมรัก เจเน็ต (แอนนา เคนดริค) หญิงสาวสวย ส่วนเจ้าหน้าที่ซาวาลาก็เพิ่งมีลูกคนแรกกับแก็บบี้ (นาตาลี มาร์ติเนซ) ภรรยาของเขา ขณะที่พวกเขารอการเรียกตัวครั้งถัดไป พวกเขาก็คุยกันอย่างสนิทสนมเกี่ยวกับความเสี่ยงในอาชีพการงาน และความตื่นเต้นและความกลัวที่เกิดขึ้นตามมา บทสนทนานี้ค้านกับการพูดคุยเกี่ยวกับหญิงสาวในชีวิตของพวกเขาและช่วงเวลาที่อ่อนโยนเกี่ยวกับความหวังที่พวกเขามีต่อครอบครัวของตัวเอง
   ในอีกด้านหนึ่งของกฎหมาย เราได้ทำความรู้จักกับคนนอกกฎหมายจากแก๊งค้ายาซินาลัวและแก๊งข้างถนนของแอลเอ ที่มีชื่อเหมือนมาจากนิยายภาพ ได้แก่บิ๊ก อีวิล, วิคเค็ด, ลา ลา และ ดีมอน ท่ามกลาง “พวกอันธพาลและขี้ยา” อื่นๆ อีกนับไม่ถ้วน ขณะที่สมาชิกแก๊งลัดเลี้ยวไปทางเซาธ์แลนด์ กล้องวิดีโอส่วนตัวก็ได้บันทึกภาพพวกเขาขณะสร้างความฉิบหายวายป่วงในละแวกนั้นอย่างไร้ศีลธรรม
   “เทคโนโลยีได้เปลี่ยนแปลงงานของตำรวจครับ ตอนนี้มันเป็นเรื่องธรรมดาไปแล้วที่ตำรวจจะพกกล้องวิดีโอ ไมโครโฟนและเทปบันทึกเสียง” ฟิทซ์ไซมอนส์กล่าว “คุณจะได้เห็นมันจากฝั่งของแก๊งด้วยเหมือนกัน ลองดูที่ YouTube สิครับ ตอนนี้ พวกแก๊งบันทึกภาพทุกอย่างเอาไว้ทั้งนั้นแหละครับ”

happy on September 09, 2012, 08:25:44 PM





เปิดใจนักแสดงนำ...

เจ้าหน้าที่ตำรวจ

“เรายืนหยัดด้วยกัน เป็นเส้นบางๆ สีฟ้า ที่คอยคุ้มครองเหยื่อจากผู้ล่า คนดีจากคนเลว เราคือตำรวจ”

               “คุณสามารถสร้างหนังที่ใช้เทคนิคเลิศหรูอลังการมากๆ และถ่ายทำมันอย่างสวยงามได้ แต่ถ้าคุณไม่ได้นักแสดงที่ใช่ คุณก็ไม่สามารถสร้างหัวใจของหนังขึ้นมาได้หรอกครับ” เอเยอร์กล่าว “เราได้ตัวนักแสดงพรสวรรค์ ผู้เต็มใจทุ่มสุดตัวเพื่อหนังเรื่องนี้จริงๆ ครับ”
   เจค จิลเลนฮัลเป็นนักแสดงคนแรกที่ร่วมทีมนักแสดงของ END OF WATCH จิลเลนฮัลพูดถึงบทภาพยนตร์ของเอเยอร์ว่า “ผมคิดว่าในตอนแรกผมประทับใจว่าผมพลิกแต่ละหน้าเร็วแค่ไหน หนังเรื่องนี้มีโครงสร้างเรื่องราวที่คลาสสิก แต่มันถูกซ่อนไว้ภายใต้การเล่าเรื่องที่แปลกใหม่และน่าทึ่ง ในแบบที่เราไม่เคยเห็นมาก่อนครับ”
   จิลเลนฮัล ผู้ทำหน้าที่ผู้ควบคุมงานสร้างของเรื่องด้วย มุ่งมั่นทำงานในโปรเจ็กต์นี้นานห้าเดือน ซึ่งในช่วงเวลานั้น เขาก็ได้เข้ารับการฝึกตำรวจอย่างเข้มข้นและเตรียมตัวสำหรับบทนี้ “เจคเป็นนักแสดงที่เหลือเชื่อ และมุ่งมั่นอย่างน่าทึ่งครับ” เลเชอร์กล่าว “เขาแข็งแกร่ง แต่ก็อ่อนไหวได้ในตอนที่จำเป็น เขาพัฒนาตัวเองขึ้นมาสำหรับหนังเรื่องนี้จริงๆ เขาเป็นกัปตันของทีมนักแสดง ที่ดึงทุกคนมาร่วมงานและซ้อมกับทีมนักแสดงอยู่บ่อยๆ นอกจากนี้ เขายังเป็นหุ้นส่วนที่ยอดเยี่ยมในฐานะผู้อำนวยการสร้างด้วย และเขาก็ทุ่มให้กับงาน 150% เลย เขาสามารถเข้าถึงผู้คนและสิ่งต่างๆ ได้อย่างเหลือเชื่อครับ”
   “หลังจากที่ผมอ่านบท ผมก็คิดว่าเอเยอร์ได้ยกระดับความเสี่ยงสูงสุดสำหรับหนังแนวนี้” จิลเลนฮัลกล่าว “มันเป็นเส้นแบ่งบางๆ ว่าคุณจะสามารถสร้างสิ่งที่เหมือนคลิป YouTube ให้เป็นประสบการณ์ภาพยนตร์ได้รึเปล่า และเอเยอร์ก็ทำได้ ผมเริ่มนึกว่าทำไมไม่มีคนสร้างหนังแบบนี้มาก่อนล่ะน่ะครับ”
   หลังจากจิลเลนฮัลแล้ว ไมเคิล เพนยาก็ถูกนำตัวเข้ามา หลังจากที่เอเยอร์และผู้อำนวยการสร้างได้พิจารณานักแสดงคนอื่นๆ สำหรับบทนี้ “เราชื่นชมผลงานของไมเคิลมาโดยตลอดครับ” เลเชอร์กล่าว “และเราก็พิจารณาเขาหลายรอบ จนกระทั่งเราได้เห็นเขาใน Lincoln Lawyer ซึ่งทำให้เราเชื่อในการแสดงของเขาครับ”
   “End of Watch จะเกิดขึ้นไม่ได้ถ้าไม่มีสายสัมพันธ์ระหว่างเจ้าหน้าที่เทย์เลอร์และซาวาลา และเมื่อคุณอ่านบท คุณจะรู้สึกทันทีเลยว่า เรื่องราวนี้จะไม่เวิร์คหรือดินไปข้างหน้าได้ถ้าไม่มีแง่มุมสำคัญนั้นน่ะครับ” จิลเลนฮัลกล่าว “ไมค์เป็นอีกครึ่งหนึ่งของผม และเขาก็สวมบทบาทนั้นได้อย่างพิเศษสุด ผมเคยเล่นหนังที่ตัวละครของผมเป็นตัวเดินเรื่องทั้งหมด และจะต้องแบกรับน้ำหนักของทุกฉากเอาไว้ แต่หนังเรื่องนี้ไม่เหมือนกัน เราเป็นครึ่งหนึ่งของมัน มันจะไม่เวิร์คถ้าขาดพวกเราคนใดคนหนึ่งครับ”
   นอกจากนี้ เพนยายังสนใจบทของเอเยอร์ ซึ่งไม่ได้มีการเล่าเรื่องแบบทั่วๆ ไปด้วย เรื่องราวเกี่ยวกับคู่หูสองคนกระทบใจเพนยาและเป็นแรงบันดาลใจให้เขาอยากจะเป็นส่วนหนึ่งของภาพยนตร์เรื่องนี้ “แง่มุมความเป็นพี่น้องของเรื่อง ว่ามันสมจริงขนาดไหน โดนใจผมอย่างจังครับ” เพนยาบอก “ฉากแอ็กชันบางฉากพออ่านแล้วตื่นเต้นมาก แต่มันก็มีบางฉากที่ตัวละครสองตัวนี้พูดคุยกันเฉยๆ ซึ่งมันน่าสนใจในแบบเดียวกับละครของเดวิด มาเม็ตเลยล่ะครับ”
   เพนยาเข้าใจดีว่าการเล่นเป็นเพื่อนสนิทกันในภาพยนตร์คงไม่ใช่เรื่องง่าย “มันค่อนข้างยากเพราะคุณต้องทำตัวเหมือนพี่น้องกันครับ” เพนยากล่าว “คุณต้องแสดงความสนิทสนมในแบบที่เสแสร้งไม่ได้ คุณจะต้องมีความรู้สึกแบบนั้นจริงๆ”
   ทั้งคู่ใช้เวลาห้าเดือนในการฝึกฝนแบบตำรวจ การฝึกการต่อสู้และการฝึกกลยุทธ รวมทั้งการนั่งรถไปกับตำรวจด้วย จิลเลนฮัลและเพนยาได้สร้างความไว้วางใจซึ่งกันและกันผ่านทางประสบการณ์ที่หาได้ยากนี้ ทั้งคู่ได้ใช้เวลาหลายชั่วโมงในการผูกสัมพันธ์และซักซ้อมการแสดงเพื่อที่พวกเขาจะได้รู้จักกันและกันอย่างลึกซึ้ง และเอเยอร์ก็ผลักดันพวกเขาอย่างไม่ปรานีปราศรัย
   “เจคและไมเคิลให้เวลากับผมมากกว่าที่พวกเขาอาจจะให้กับหนังเรื่องอื่นๆ ในชีวิตนักแสดงของพวกเขาเลยก็ได้ครับ” เอเยอร์กล่าว “ผมได้เวลาพวกเขามาห้าเดือนและในช่วงหลายเดือนนั้น คุณก็จะเริ่มเชื่อในมิตรภาพระหว่างพวกเขาและเชื่อจริงๆ ว่าพวกเขาเป็นตำรวจคู่หูกันจริงๆ พวกเขาคือหนังเรื่องนี้ครับ”
   ระหว่างการเตรียมตัวสำหรับภาพยนตร์เรื่องนี้ในช่วงเวลาหลายเดือนนี้เองที่จิลเลนฮัลและเพนยาได้สานมิตรภาพที่แท้จริงขึ้นมา ซึ่งทำให้ปฏิกิริยาเคมีระหว่างทั้งคู่บนหน้าจอดูเป็นเรื่องธรรมชาติ “ทุกอย่างที่คุณต้องเจอในตอนที่คุณเป็นเพื่อนกับใครซักคน เป็นเพื่อนสนิทใครซักคน เรื่องพวกนั้นเกิดขึ้นในช่วงเวลาห้าเดือนครับ” จิลเลนฮัลบอก “ความไว้วางใจที่เกิดขึ้นจากการผ่านการฝึกอาวุธด้วยกันทำให้เราเข้าใจว่าการไว้วางใจอีกฝ่ายด้วยชีวิตเป็นอย่างไร และท้ายที่สุดแล้ว มิตรภาพนั้นก็กลายเป็นของจริงครับ”
   แอนนา เคนดริค ผู้รับบทคนรักของเทย์เลอร์ในเรื่อง สังเกตเห็นถึงมิตรภาพที่ดูเป็นธรรมชาตินั้นทันที “พวกเขาเยี่ยมมากเพราะมันให้ความรู้สึกเหมือนช่วงเวลาที่เส้นแบ่งระหว่างความจริงและหนังเลือนลางไป จนถึงขั้นที่ฉันไม่แน่ใจเลยว่าเทย์เลอร์และซาวาลาหรือเจคและไมเคิลกันแน่ที่เป็นคนพูดอยู่น่ะค่ะ”
   ในฐานะตัวละคร เจ้าหน้าที่ไบรอัน เทย์เลอร์และเจ้าหน้าที่ไมค์ ซาวาลาเป็นคนที่แตกต่างกันอย่างมาก พวกเขาโตขึ้นมาในโลกที่แตกต่างกันและมาเป็นคู่หูกันในกรมตำรวจ ผู้ซึ่งไม่เพียงแต่คุ้มครองคนอื่นๆ เท่านั้น แต่ยังคุ้มครองกันและกันด้วย ไบรอัน เทย์เลอร์ ตัวละครของจิลเลนฮัลมาจากครอบครัวที่ร่ำรวยในดาเวนพอร์ต, ไอโอวา เขาสมัครเข้ากองทัพเรือเพื่อต่อต้านพ่อแม่ตัวเองและหลังจากนั้น เขาก็ตัดสินใจมาแอลเอเพื่อเป็นตำรวจ ที่นี่เองที่เขาได้พบกับซาวาลาที่โรงเรียนตำรวจ ซาวาลามาจากท้องถนนอีสต์แอลเอ เขาเป็นนักมวยสมัครเล่น ผู้เต่งงานกับหวานใจสมัยเรียน แก็บบี้ ตั้งแต่ตอนอายุ 18 ปี
   “ไบรอัน เทย์เลอร์ เป็นคนที่เติบโตมาในครอบครัวที่เย็นชาครับ” เอเยอร์กล่าว “เขาพบกับซาวาลาที่มีชีวิตครอบครัวอบอุ่นและโลกที่อึกทึกครึกโครม มันเต็มไปด้วยความรัก อาหารและผู้คนดีๆ และเทย์เลอร์ก็รู้สึกถูกดึงดูดเข้าหามันในทันทีครับ”
   “คนพวกนี้เป็นคู่หูและเพื่อนรักกันในชีวิตของกันและกันครับ” เพนยากล่าว “ตอนที่ผมอ่านบทครั้งแรก ผมมองเห็นเรื่องราวที่เป็นสากลของคนสองคนที่แตกต่างกันโดยสิ้นเชิง แต่กลายเป็นเหมือนพี่น้องกัน และหลายครั้ง เรื่องแบบนั้นก็เกิดขึ้นในกองทัพและกรมตำรวจเพราะธรรมชาติของเนื้องานน่ะครับ”
   “พวกเขาเป็นคนสองคนที่เต็มใจจะสละชีวิตเพื่อกันและกัน” จิลเลนฮัลกล่าว “แค่นั้นเลยจริงๆ และสิ่งที่น่าขันก็คือพวกเขาพบมิตรภาพนี้ในสถานที่ที่อันตรายที่สุดและมิตรภาพนั้นก็อาจถูกคุกคามและสูญหายไปได้ตลอดเวลา”
   ตามที่ฟิทซ์ไซมอนส์อธิบาย สิ่งที่เกิดขึ้นบนหน้าจอสะท้อนถึงสายสัมพันธ์ที่มักจะปรากฏในกรมตำรวจจริงๆ “เมื่อคุณใกล้ชิดกันอย่างเจ้าหน้าที่เทย์เลอร์และซาวาลา คุณอาจจะใช้เวลาอยู่ด้วยกันมากกว่าที่คุณได้ใช้เวลาอยู่กับภรรยาตัวเองเสียอีก มันเป็นสายสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นขนาดนั้นเลยล่ะครับ ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น คุณก็จะทำให้แน่ใจว่าคู่หูของคุณจะได้กลับบ้านไปในตอนเลิกกะน่ะครับ”

ตัวละครสองตัวที่คงอยู่ตลอดทั้งเรื่องแม้กระทั่งในตอนที่พวกเขาไม่ได้อยู่บนหน้าจอคือเจเน็ต (แอนนา เคนดริค) และแก็บบี้ (นาตาลี มาร์ติเนซ) หญิงคนรักของเจ้าหน้าที่เทย์เลอร์และซาวาลา นอกจากความกดดันพิเศษที่เกิดขึ้นกับงานประจำวันของพวกเขาแล้ว ชายทั้งคู่ยังต้องรับมือกับปัญหาความสัมพันธ์ที่แสนธรรมดาด้วย ตัวละครของจิลเลนฮัลมาถึงจุดในชีวิตที่เขาพร้อมจะลงหลักปักฐานแล้ว และเขาก็ได้พบกับเจเน็ต หญิงสาวฉลาดเซ็กซี ผู้ซึ่งแตกต่างจากบรรดาผู้หญิง (เช่นพวกคลั่งตำรวจ) ในอดีตของเขา เจเน็ตเป็นนักศึกษาและพวกเขาก็ได้พบกันระหว่างการศึกษาเพิ่มเติมของเจ้าหน้าที่เทย์เลอร์ สำหรับบทเจเน็ต ผู้กำกับเดวิด เอเยอร์เลือกแอนนา เคนดริค (Up in the Air, The Twilight Films)
   “แอนนาเยี่ยมมาก เธอมีชีวิตชีวาและน่าสนใจในทุกเทค” เอเยอร์กล่าว “เธอเข้าคู่กันได้ดีกับเจค ที่เป็นคนฉลาดเหมือนกัน เธอทำให้เขาตื่นตัวอยู่เสมอ และมีคุณสมบัติที่น่าเห็นใจแต่เกือบจะน่าขบขัน เธอทั้งน่าเอ็นดูและสดใส และมันก็มีเรื่องฮาร์ดคอร์บางอย่างในหนังเรื่องนี้ด้วย ดังนั้น โอกาสในการได้แสดงให้เห็นถึงความอบอุ่นหัวใจและความรักเล็กๆ ความสดใสและความอ่อนโยนเล็กๆ ก็เป็นเรื่องที่น่ายินดีมากๆ ครับ”
   “เจเน็ตไม่รู้หรอกค่ะว่าเธอไปพัวพันกับอะไร” เคนดริคบอก “เธอจะต้องปรับตัวให้เข้ากับสายสัมพันธ์แบบพี่น้องนี้ และสานสายสัมพันธ์ในแวดวงที่สนิทสนมกลมเกลียวกัน ฉันไม่แน่ใจว่าเธอจะยอมคบกับเขารึเปล่าถ้าเขาสวมยูนิฟอร์มในครั้งแรกที่พวกเขาได้พบกัน ฉันคิดว่ามันคงทำให้เธอสติแตกนิดๆ น่ะค่ะ”
   “เหมือนคำที่คนเค้าพูดกันแหละครับว่าเขารักเธอมากจนปวดหัวใจ” จิลเลนฮัลบอก “แอนนาเป็นคนน่ารักและเซ็กซีในแบบที่คุณไม่เคยเห็นเธอมาก่อน สำหรับไบรอัน เทย์เลอร์ เจเน็ตเป็นตัวแทนของความสงบที่เขาไม่เคยมีมาก่อนในชีวิต”
   “ไบรอันเป็นคนฉลาด เจเน็ตเป็นผู้หญิงฉลาด และฉันก็คิดว่าทั้งคู่ต่างก็มีบาดแผลที่พวกเขาไม่อยากแสดงให้คนอื่นเห็น” เคนดริคกล่าว “แต่พวกเขารู้สึกกล้าพอที่จะแสดงให้กันและกันเห็นและความซื่อสัตย์แบบนั้นก็เป็นสิ่งสำคัญสำหรับพวกเขา มันหมายถึงความเข้าใจความนึกคิดและความกลัวของอีกคน การให้อภัยอดีตของใครซักคนเป็นเรื่องใหญ่มากเลยนะคะ”
   เมื่อเรื่องราวดำเนินไป ความสัมพันธ์ระหว่างเจเน็ตและเจ้าหน้าที่เทย์เลอร์ก็พัฒนาขึ้น และภาพยนตร์เรื่องนี้ก็ระบุเวลาตามหลักไมล์ในความสัมพันธ์ของพวกเขา พวกเขาไปดื่มกาแฟกันที่สตาร์บัคส์ พวกเขาเดทกัน มันพัฒนาขึ้นอย่างรวดเร็วและเธอก็ได้พบกับซาวาลาและแก็บบี้ ภรรยาของเขา มีค่ำคืนที่อ่อนโยนที่ห้องของเขา ที่ตัวละครของเคนดริคเก็บกล้องวิดีโอในตอนเช้าและเล่าความรู้สึกของเธอให้เขารู้ ในช่วงท้ายเรื่อง มันมีฉากงานเลี้ยงแต่งงานที่แสนสุข ที่เจ้าบ่าวเจ้าสาวเต้นรำแบบช้าๆ ก่อนจะเปลี่ยนเป็นภาพน่าประหลาดใจที่พวกเขาเริ่มวาดลวดลายเต้นแบบสุดเหวี่ยง เหมือนวิดีโอยอดนิยมทั้งหลายที่ส่งต่อๆ กัน
   ขณะที่ความสัมพันธ์ระหว่างเจ้าหน้าที่เทย์เลอร์และเจเน็ตผลิบาน ความสัมพันธ์ที่น่าสนใจก็เกิดขึ้นระหว่างเทย์เลอร์และซาวาลา ซาวาลา ที่ใช้ชีวิตคู่กับผู้หญิงคนเดียวมาตั้งแต่ไฮสคูล เริ่มสอนเทย์เลอร์เกี่ยวกับความรักในแบบพี่ชายสอนน้องชาย เขาอยากเห็นน้องชายของเขามีความสุขและเป็นที่รักเหมือนเวลาเขาอยู่กับแก็บบี้
   สำหรับแก็บบี้ เอเยอร์เลือกนาตาลี มาร์ติเนซ (Death Race, Detroit 1-8-7) มารับบทนี้ “นาตาลีวิเศษสุดครับ” เอเยอร์กล่าว “ผมมองว่าแก็บบี้เป็นคนเข้มแข็ง เห็นได้ชัดว่าเธอรักเขาอย่างสุดซึ้ง แต่เธอก็เป็นคนมีอำนาจภายในบ้าน ผมชอบไอเดียของตำรวจผู้แข็งแกร่ง ที่ไล่ปราบเหล่าร้าย แต่พอกลับไปบ้าน เขาก็แบบ ‘ได้จ้ะ ที่รัก’ เขายอมเธอ ซึ่งเป็นสิ่งที่พวกเขารู้สึกร่วมกันครับ”
   “นาตาลีมีพลังงานที่มหัศจรรย์ครับ” เพนยากล่าว “การรักเธอเป็นเรื่องง่าย ตัวละครของเรารู้จักกันมาเกือบทั้งชีวิต และผมกับนาตาลีก็ใช้เวลาอยู่ด้วยกันบ่อยๆ เพื่อสร้างความรู้สึกสบายใจนั้น ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งต่อความสัมพันธ์ของพวกเขาครับ”
   ความสัมพันธ์ของซาวาลาเริ่มขั้นตั้งแต่ตอนที่พวกเขาคบกันในสมัยเรียน เขาเรียนตำรวจส่วนเธอก็เป็นครู “พวกเขาอยากจะสร้างชีวิต เป็นครอบครัวเดียวกันค่ะ” มาร์ติเนซบอก ในเรื่อง แก็บบี้ตั้งครรภ์ได้หกเดือน และเมื่อเรื่องราวดำเนินไป เธอก็ให้กำเนิดลูก ซึ่งมันก็ก่อให้เกิดความวิตกกังวลเพิ่มขึ้นจากอาชีพของสามีเธอด้วย
   “ฉันคิดว่ามันเป็นอาจเป็นหนึ่งในเรื่องที่น่ากลัวที่สุดของการเป็นภรรยาตำรวจก็ได้ การที่คุณไม่รู้ว่าเมื่อไหร่พวกเขาจะกลับบ้าน” มาร์ติเนซบอก และเหนือสิ่งอื่นใด ในตอนที่พวกเขากลับบ้านพร้อมด้วยอารมณ์ขุ่นข้องหมองใจ คุณก็จะต้องต้อนรับเขากลับบ้านด้วยความรักและพาสามีของคุณออกห่างจากโลกภายนอกนั่น และเมื่อพวกเขาเดินออกจากบ้านอีกครั้ง คุณก็ต้องรู้ว่านี่อาจเป็นครั้งสุดท้ายก็ได้ที่คุณจะได้พูดว่า ‘ไปดีนะคะ’ ค่ะ”

happy on September 09, 2012, 08:27:44 PM





                ในการขับเน้นความเป็นพี่น้องในบรรดาเจ้าหน้าที่ตำรวจ เอเยอร์ได้รวบรวมทีมนักแสดงชื่อดังให้มาสวมบทเจ้าหน้าที่ตำรวจมือเก๋า หนึ่งในเรื่องที่น่าแปลกใจที่สุดในเรื่องคือเจ้าหน้าที่โอรอซโก้ ที่รับบทโดย อเมริกา เฟอร์เรรา เฟอร์เรรา ผู้อาจเป็นที่รู้จักดีที่สุดจากการแสดงชื่อดังในซีรีส์ Ungly Betty ได้พลิกบทบาทตัวเองเพื่อรับบทนี้ ในฐานะหนึ่งในตำรวจที่เข้มแข็งที่สุดในเขตนิวตัน
   เดวิด เอเยอร์เล่าว่า “แล้วคุณก็จะเจอโอรอซโก้ ที่รับบทโดยอเมริกา เฟอร์เรรา ตอนที่เธอมา ผมคิดไปเองว่า ‘อ๋อ เธออยากจะรับบทแก็บบี้’ แล้วเธอก็โพล่งออกมาว่า ‘นี่ ฉันอยากจะรับบทโอรอซโก้แหละ’ ผมก็แบบ ‘อะไรนะ?’ โอรอซโก้เป็นบทเล็กๆ แต่มันกลายเป็นบทใหญ่ขึ้นเพราะเธอมองเห็นโอกาสที่จะเปลี่ยนแปลงตัวเองและเชื่อมโยงตัวเองกับบทนี้ครับ”
   “สิ่งที่ทำให้ฉันทึ่งเกี่ยวกับบทเรื่องนี้คือการที่ฉันรู้สึกว่าเอเยอร์รักตัวละครทุกตัวที่เขาเขียนขึ้นมามากแค่ไหน” เฟอร์เรรากล่าว “ทุกบท ไม่ว่าจะเป็นบทเล็ก บทใหญ่ มีบทพูด ไม่มีบทพูด สำคัญสำหรับเขา เขารักตัวละครทุกตัวจริงๆ และใช้ความคิดอย่างรอบคอบในการสร้างตัวละครแต่ละตัวขึ้นมา”
   เอเยอร์กล่าวต่อว่า “เธอเป็นตำรวจสุดเจ๋ง การที่เธอเป็นผู้หญิงไม่สำคัญ ขนาดไม่สำคัญ เพราะในท้องถนน เธอสู้สะบั้นหั่นแหลก และคุณก็อยากให้เธอเป็นคนที่มาสนับสนุนคุณครับ”
   “สิ่งที่ทำให้ฉันสนใจบทนี้คือเธอเป็นตัวละครที่สามารถนำตัวเองให้พ้นจากสถานการณ์นั้นได้ แต่เธอกลับเลือกที่จะเผชิญหน้ากับสถานการณ์นั้น ที่เธอสามารถดึงตัวเองออกมาได้ ซึ่งเธอก็ไม่ได้แค่วิ่งไปอีกทาง เหมือนอย่างที่หลายๆ คนอาจจะทำด้วยค่ะ” เฟอร์เรราบอก
   หนึ่งในความสัมพันธ์ที่น่าสนใจที่สุดใน END OF WATCH คือตอนที่โอรอซโก้เจอกับสมาชิกแก๊งเชื้อสายสเปน ผู้มองว่าความมุ่งมั่นที่จะคุ้มครองและรับใช้ประชาชนของเธอเป็นการหักหลัง โอรอซโก้มาจากท้องถนนที่พวกเขากำลังลาดตระเวนอยู่นี่เอง “สำหรับผู้ชม มันมีความรู้สึกเหมือนการแอบมองอยู่บ้าง และคุณก็รู้สึกเหมือนว่าตัวเองกำลังดูในสิ่งที่ไม่ควรจะดูค่ะ” เฟอร์เรราบอก “มันช่วยเสริมสร้างพลังงานและโลกที่ท้าทายที่ตัวละครเหล่านี้อาศัยอยู่จริงๆ ค่ะ”
   โอรอซโก้และเจ้าหน้าที่เดวิส (โคดี้ ฮอร์น) เป็นทีมตำรวจหญิง ผู้ต้องดิ้นรนในสิ่งที่ยังคงถูกมองว่าเป็นโลกของผู้ชาย พวกเธอมักจะขัดแย้งกับเจ้าหน้าที่เทย์เลอร์และซาวาลาที่แข็งกร้าวกว่าเป็นประจำ
   เฟอร์เรราเล่าว่า “มันน่าตื่นเต้นจริงๆ ที่ในการนั่งรถตำรวจบางครั้ง เราได้ยินตำรวจผู้ชายพูดว่า ‘ผู้หญิงบางคนเป็นคู่หูที่ดีที่สุดเท่าที่พวกเขาเคยมี’ และก็มีผู้หญิงบางคนที่พวกเขาจะเลือกแทนที่ผู้ชาย มันไม่ได้เป็นเรื่องของการเป็นผู้หญิงหรือผู้ชาย ตำรวจที่ดีก็คือตำรวจที่ดี มันเป็นเรื่องของการมีสัญชาตญาณที่จะเป็นตำรวจที่ดีน่ะค่ะ”
   เป้าหมายสำหรับผู้อำนวยการสร้างเอเยอร์, เลเชอร์และจิลเลนฮัลคือการหานักแสดงที่แข็งแกร่ง และสามารถยกระดับฉาก และใส่มิติลึกซึ้งเข้าไปให้กับตัวละครในแค่ฉากหรือสองฉาก หนึ่งในนักแสดงเหล่านั้นคือเดวิด ฮาร์เบอร์ ผู้รับบทเป็น “เจ้าหน้าที่ตำรวจแวน เฮาเซอร์” ตำรวจรุ่นใหญ่ ผู้ปลงกับชีวิตจากการทำงานเป็นตำรวจมานานนม แวน เฮาเซอร์ไม่สบอารมณ์กับเจ้าหน้าที่เทย์เลอร์และซาวาลาเพราะความมีอายุน้อยและพลังงานที่พวกเขาใช้กับการทำงานของพวกเขา แวน เฮาเซอร์เกลียดชังโปรเจ็กต์ถ่ายวิดีโอของเทย์เลอร์เป็นพิเศษ
   “คุณต้องมีพวกแก่ๆ ขมขื่น ที่ถูกระบบเหยียบย่ำ และไม่เชื่อในการปฏิบัติภารกิจอีกต่อแล้วน่ะครับ” เอเยอร์กล่าว “และนั่นคือเดวิด ฮาร์เบอร์ นักแสดงผู้วิเศษสุด ที่รับบท แวน เฮาเซอร์ ผู้ซึ่งเจคและไมค์ชอบล้อและเย้าแหย่น่ะครับ”
   “เขาเป็นเหมือนตัวซวย” ฮาร์เบอร์บอก “เขาเป็นตำรวจมาพักใหญ่แล้ว เขามีค่าเลี้ยงดูต้องจ่าย เขาเกลียดงานตัวเองและรู้สึกเหมือนโดนหน่วยงานกลั่นแกล้ง การกระทำหลายอย่างของเขาเกิดจากการเกลียดตัวเอง เพราะเขาเห็นตัวเองวัยหนุ่มในตัวละครของเจคครับ”
   เช่นเดียวกับนักแสดงส่วนใหญ่ ฮาร์เบอร์เองก็ต้องผ่านการฝึกตำรวจที่ยาวนานเพื่อเตรียมพร้อมสำหรับบทนี้เช่นกัน
   “ผมไม่เคยเห็นสถานการณ์จากมุมมองของตำรวจมาก่อน แต่หลังจากผ่านการฝึกนี้ ผมก็มีความนับถือการตัดสินใจเพียงชั่วพริบตาที่คนพวกนี้ต้องทำ ซึ่งสามารถส่งผลต่อชีวิตคนได้เลยน่ะครับ” ฮาร์เบอร์กล่าว
   สิ่งที่ท้าทายไม่แพ้กันสำหรับฮาร์เบอร์คือการแสดงกับกล้องหลายตัว ซึ่งหลายตัวก็ติดอยู่ที่ตัวของนักแสดงที่เขาแสดงประกบด้วยในฉากนั้นๆ โดยตรง “คุณจะต้องคิดต่างออกไปว่าคุณจะแสดงออกมายังไงน่ะครับ” ฮาร์เบอร์บอก “กระบวนการทั้งหมดมีเป้าหมายเพื่อความสมจริง และมันก็สะท้อนออกมาในการฝึกของเรา และงานกล้อง บทและทุกๆ อย่างเลย เดวิดเป็นคนที่ยึดมั่นกับความสมจริงครับ”
   แฟรงค์ กริลโล (The Grey) เห็นพ้องด้วย “ในหนังเรื่องนี้ ผมคิดว่าคุณจะเกิดความเข้าใจว่างานนี้จริงๆ แล้วเป็นอย่างไร แล้วคนพวกนี้ต้องเจอกับอะไรมากแค่ไหนในแต่ละวัน ว่ามันอันตรายขนาดไหน และผมก็คิดว่าระดับความสมจริงในหนังเรื่องนี้จะทำให้ผู้ชมได้เห็นว่าคนพวกนี้เสี่ยงอันตรายมากแค่ไหนน่ะครับ”
   กริลโลรับบท “ซาร์จ” ตำรวจดี ผู้เป็นผู้บังคับบัญชาของตัวละครของจิลเลนฮัลและเพนยา
   “ซาร์จรักเด็กๆ พวกนี้ครับ” กริลโลบอก “เขารักพวกเขาเพราะพวกเขาเป็นนักล่า พวกเขาออกไปหาผู้ร้าย ซึ่งตำรวจหลายคนไม่ทำแบบนั้นครับ”
   ในขณะเดียวกัน ซาร์จก็ต้องทำให้แน่ใจว่ามันมีความปรองดองกันภายในหน่วยงานและเขาก็ปกป้องแวน เฮาเซอร์ ตำรวจรุ่นใหญ่ด้วยความที่เขาเป็นตำรวจมานานด้วย
   “แฟรงค์เป็นนักแสดงที่นักแสดงชื่นชอบ เป็นคนที่นักแสดงตื่นเต้นที่จะได้ร่วมงานด้วย” เอเยอร์กล่าว “ทุกครอบครัวต้องมีพี่ใหญ่ และ’ซาร์จ’ ก็เป็นพี่ใหญ่ที่แกล้งดึงกางเกงในคุณ ลูบหัวคุณ ซ้อมคุณและแย่งเงินค่าขนมคุณ เขาเป็นพี่ใหญ่ตัวโต เขาเป็นคนที่ให้ความรักแบบเข้มงวดน่ะครับ”
   นอกเหนือจากนักแสดงอาชีพ อีริค การ์เซ็ตติ สมาชิกสภาแอลเอตัวจริง ก็ได้รับคำเชิญจากจิลเลนฮัลให้รับบทนายกเทศมนตรีในฉากสำคัญของเรื่อง ที่มีการมอบเหรียญกล้าหาญด้วย สำหรับการ์เซ็ตติ ประสบการณ์นี้เหมือนกับการทำงานของเขาในสภา
   “การนำเสนอพิธีมอบเหรียญนี้เหมือนจริงครับ” การ์เซ็ตติ “มันเหมือนในการทำงานของผม แต่แค่มีแสงมากกว่าและมีไมโครโฟนดีกว่าน่ะครับ”
   การใช้เวลาในกองถ่ายของเขาทำให้เขาหวนนึกถึงความกล้าหาญจริงๆ ของชายและหญิงผู้สวมเครื่องแบบสีน้ำเงิน
   “พิธีมอบเหรียญกล้าหาญเป็นหนึ่งในพิธีที่น่าประทับใจที่สุดเท่าที่ผมเคยไปร่วมงานมา” การ์เซ็ตติบอก “ในตอนที่คุณได้ยินวีรกรรมของพวกเขา มันจะทำให้คุณหลั่งน้ำตา คนพวกนี้ถูกยิง เกือบหนีไม่รอดจากตึกที่ไฟกำลังไหม้ แต่พวกเขาก็ไม่เคยตั้งคำถามกับหน้าที่ของตัวเอง พวกเขารู้ว่าพวกเขามีหน้าที่คุ้มครองเรา และเราก็เป็นเมืองที่ดีขึ้นกว่าแต่ก่อนเพราะพวกเขาครับ”

happy on September 09, 2012, 08:30:47 PM





สถานที่ถ่ายทำ...

เซาธ์แลนด์

               “ผมเข้าใจดีว่าปัจจัยหลายอย่างในชีวิตทำให้การตัดสินการกระทำของคุณเป็นเรื่องง่าย ทั้งความยากจน การไม่มีการศึกษา การใช้ยาในทางที่ผิด การถูกทำร้ายร่างกายและจิตใจอาจพรากความสามารถที่จะเชื่อฟังกฎหมายไปจากคุณ แต่หลายๆ คนก็สามารถอดทนและก้าวข้ามสถานการณ์ที่เลวร้ายกว่าที่คุณเคยเจอมาในชีวิตเสียอีก แต่คุณเองที่ตัดสินใจผิดพลาด”
   การถ่ายทำ END OF WATCH เกิดขึ้นบริเวณสถานีตำรวจนิวตัน ซึ่งเป็นหนึ่งในย่านที่มีอาชญากรรมรุนแรงที่สุดในประเทศ และแม้ว่าทีมผู้สร้างจะมีประสบการณ์ที่วิเศษสุดระหว่างการถ่ายทำ ท้องถนนเหล่านี้ ย่านที่พักอาศัยนี้ ที่มีประวัติศาสตร์รุนแรงของตัวเอง ก็เป็นทั้งโลเกชันและตัวละครไปพร้อมๆ กัน
   เจ้าหน้าที่ตำรวจเทย์เลอร์และซาวาลาทำงานอยู่ในบริเวณที่เรียกว่านิวตันของแอลเอ และเมืองลอสแองเจลิสเองก็ถูกกรมตำรวจแอลเอแบ่งออกเป็นเขตลาดตระเวนหลายเขต และนิวตันก็เป็นหนึ่งในเขตลาดตระเวณที่รุนแรงที่สุด และมีสมาชิกแก๊งมากที่สุดของกรมตำรวจแอลเอ มันมีทั้งคดีฆาตกรรม คดีอาชญากรรมร้ายแรง ในนิวตันมีแก๊งข้างถนนประมาณ 50 แก๊ง ในส่วนอื่นๆ ของเมือง แต่ละพื้นที่จะถูกควบคุมด้วยแก๊งหนึ่ง แต่ในนิวตัน รั้วที่กั้นตรงกลางบล็อกจะเป็นเส้นแบ่งระหว่างสองแก๊ง ที่มีเรื่องบาดหมางกันมาหลายปี ตำรวจที่ทำงานในเขตนิวตันมักจะอยู่ที่นั่น เพราะคนบางประเภทเท่านั้นถึงจะเจริญเติบโตในสิ่งแวดล้อมนั้นได้
   “มันไม่แน่นอนครับ” เอเยอร์พูดถึงย่านที่เขาเคยอยู่มาก่อน “ทีมงานถ่ายทำไม่ค่อยได้มาที่นี่หรอกครับ ดังนั้น กองถ่ายของเราก็เลยเป็นเรื่องแปลก ในเรื่องการถ่ายทำ บางบล็อคเราก็เป็นที่ต้อนรับ ส่วนบางบล็อค เราก็ไม่ได้รับการต้อนรับซักเท่าไหร่”
   นอกเหนือจากสิ่งที่เอเยอร์พูดถึงว่าเป็น “สายสืบ” ทีมงานก็ไม่ได้เจอปัญหาอะไรเลยในเซาธ์ เซ็นทรัล ที่ซึ่งฉากแอ็กชันบนหน้าจอสะท้อนประวัติศาสตร์ที่น่าเศร้าสลดของเมืองด้วย
   นักแสดงสาว ยาฮิรา การ์เซีย ผู้รับบท “ลา ลา” รู้เรื่องนี้ดี “ในการโตขึ้นมาในย่านเซาธ์ เซ็นทรัล แอลเอ” การ์เซียเล่า “ฉันโตขึ้นมาโดยแวดล้อมไปด้วพวกแก๊ง และเพื่อนๆ ฉันก็เป็นสมาชิกแก๊ง ฉันมีเพื่อนหลายคนที่ถูกฆ่า และฉันเองก็เกือบถูกฆ่าหลายครั้ง ไม่มีใครหนีมันได้หรอกค่ะ เพราะมันอยู่รอบตัวคุณ”
   ในภาพยนตร์เรื่องนี้ ลาลาเป็นส่วนหนึ่งของแก๊งที่นำโดย “บิ๊ก อีวิล” (มอริซ คอมป์) และ “ดีมอน” (ริชาร์ด คาบรัล) สิ่งที่ทำให้พวกเขาอันตรายเป็นพิเศษคือสายสัมพันธ์ระหว่างพวกเขากับแก๊งค้ายาซิเนาลา แม้ว่าการกระทำของเธอจะรุนแรง แต่การ์เซียก็เห็นใจตัวละครของเธอ
   “เห็นได้ชัดว่ามีหลายสิ่งเกิดขึ้นในชีวิตเธอ ที่ทำให้เธอกลายเป็นคนแบบนี้ ลา ลาไม่ใช่คนเลวแต่เธอต้องเอาชีวิตรอด เพราะในท้องถนนแอลเอ ถ้าไม่ทำก็ตาย เธอมักอยู่ในโหมดป้องกันเสมอค่ะ”
   เช่นเดียวกับการ์เซีย ริชาร์ด คาบรัลเองก็เติบโตขึ้นมาในย่านอีสต์ แอลเอ ใน “รุ่นของแก๊ง” และเริ่มถูกจับตั้งแต่อายุสิบสาม และท้ายที่สุด เขาก็ต้องต่อสู้กับคำตัดสินจำคุกตลอดชีวิตจากเหตุการยิงที่เกี่ยวกับแก๊ง ซึ่งทำให้เขากลับตัวกลับใจได้ เขาพลิกชีวิตตัวเองเสียใหม่และเริ่มเรียนรู้ศิลปะการแสดง
   “หลายคนอาจคิดว่าการเป็นสมาชิกแก๊งหมายความว่าผมไม่ต้องพยายามอะไรมากมายเพื่อเป็นตัวละครตัวนี้” คาบรัลกล่าว “แต่จริงๆ แล้ว มันเป็นงานหนักเพราะมีพวกเราสี่คน อีวิล, ลา ลาและวิคเค็ด เราต้องสร้างสายสัมพันธ์นั้น...เราต้องสร้างความสัมพันธ์ระหว่างกันขึ้นมา ส่วนดีมอน เขาไม่ได้เป็นหัวหน้าแก๊ง บิ๊ก อีวิลต่างหาก เขาก็เลยต้องทำตัวอ่อนน้อมในหลายๆ ครั้ง และผมก็ต้องพยายามอย่างมากเพื่อเข้าถึงตัวละครตัวนั้นครับ” คาบรัลกล่าวยิ้มๆ
   ชอนเดรลลา เอเวอรี ผู้เติบโตขึ้นมาในเซาธ์ เซ็นทรัลด้วยเช่นกัน ได้ถ่ายทอดการแสดงสุดสะเทือนใจในบท “โบนิต้า” แม่ผู้ติดยาเสพติด เธอได้เห็นตัวละครตัวนี้ในรูปแบบของแม่ในละแวกนั้น ซึ่งการดึงเอาประสบการณ์นั้นมาใช้เป็นเรื่องง่าย เธอรู้ถึงสิ่งดีงามที่มีอยู่ในเซาธ์ เซ็นทรัล “สิ่งดีงามของเซาธ์ เซ็นทรัลคือการที่คนอย่างฉัน สามารถพ้นจากที่นั่นได้ และกลับมาบอกคุณว่า ไม่ใช่ทุกบ้านที่เต็มไปด้วยกระสุน ไม่ใช่ทุกบ้านที่เต็มไปด้วยคนติดยา และการติดยา และสมาชิกแก๊งค่ะ” เอเวอรีบอก “มีผู้คนที่วิเศษสุดมากมาย ที่จำเป็นต้องอยู่ในชุมชนนี้ ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลทางการเมืองหรือเหตุผลใดๆ ก็ตามน่ะค่ะ”
********
   ตั้งแต่การพัฒนาช่วงเริ่มแรก เจมี ฟิทซ์ไซมอนส์ก็คอยให้คำแนะนำอยู่ข้างๆ เอเยอร์ตลอด ฟิทซ์ไซมอนส์ใช้เวลา 15 ปีทำงานในกรมตำรวจลอสแองเจลิส และได้ลาดตระเวนถนนหลายๆ สายที่ปรากฏในภาพยนตร์เรื่องนี้ด้วย “เจมีมีประโยชน์ต่อโปรเจ็กต์นี้มากครับ” เอเยอร์กล่าว “ผมรู้จักเขามานานและเขาก็ไว้วางใจผมกับเรื่องราวของเขา หลายๆ ช่วงเวลาที่เขาเคยประสบมาอยู่ในหนังเรื่องนี้ด้วยและเขาก็เปิดใจกว้างสำหรับเราจริงๆ ครับ”
   เจค จิลเลนฮัลและไมเคิล เพนยาต้องผ่านการฝึกที่ยาวนานกับเจมี ฟิทซ์ไซมอนส์ เพื่อเตรียมตัวสำหรับบทบาทของพวกเขาและสานสายสัมพันธ์ในฐานะคู่หู ที่จะปรากฏต่อหน้ากล้องด้วย (อเมริกา เฟอร์เรรา, แฟรงค์ กริลโล, โคดี้ ฮอร์นและเดวิด ฮาร์เบอร์ต่างก็ได้รับการฝึกฝนด้านกลยุทธจากฟิทซ์ไซมอนส์เช่นกัน”
   การฝึกด้านกลยุทธนั้นรวมถึงการฝึกกับกระสุนจริง การนั่งไปกับรถตำรวจ หรือแม้กระทั่งการได้เป็นส่วนหนึ่งของการจุดไฟโดยเจ้าหน้าที่ดับเพลิงที่อยู่ภายใต้การควบคุมในโอเรนจ์ เคาน์ตี้ ฟิทซ์ไซมอนส์มากองถ่ายทุกวันและเป็นหนึ่งในที่ปรึกษาหลายคนของเรื่อง ที่ช่วยฝึกด้านกลยุทธให้กับนักแสดง นอกจากนี้ ที่ว่าการอำเภอของแอลเอและกรมตำรวจในแอลเอและอิงเกิลวู้ดยังช่วยจิลเลนฮัลและเพนยาในการเตรียมพร้อมอีกด้วย
   จิลเลนฮัลได้รับประโยชน์จากคำแนะนำของฟิทซ์ไซมอนส์ทั้งในเรื่องอารมณ์และเทคนิค “เขาอยู่กับเราตลอดครับ” จิลเลนฮัลบอก “ทุกวัน ผมจะขอให้เขาเล่าสถานการณ์ที่เขาเคยเจอให้ผมฟัง ทุกอย่างเลย ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเลวร้ายหรือเรื่องพิเศษสุด และจากตรงนั้น ผมก็จะเข้าใจว่าทำไมคู่หูถึงกลายมาเป็นคู่หูกัน ทำไมพวกเขายังคงความเป็นคู่หูกัน และทำไมพวกเขาถึงยอมสละชีวิตเพื่อกันและกันได้น่ะครับ”
   สำหรับฟิทซ์ไซมอนส์ บางครั้ง ความสมจริงของภาพยนตร์เรื่องนี้ก็ทำให้เขาทำใจลำบากเหมือนกัน “หลายเรื่องเป็นเรื่องส่วนตัวของผม” ฟิทซ์ไซมอนส์บอก “ดังนั้น วันหนึ่งๆ ที่คุณได้เห็นผ่านทางหนังเรื่องนี้ก็เป็นวันหนึ่งๆ สำหรับเราเหมือนกัน มันมีหลายอย่างจากตัวผมและคู่หูของผมอยู่ในตัวของเจ้าหน้าที่เทย์เลอร์และซาวาลา มันมีเรื่องราวมากมายถูกนำไปใช้จากประสบการณ์นั้นครับ”
   จิลเลนฮัลกล่าวสรุปว่า “มันเป็นเรื่องเกี่ยวกับความสัมพันธ์ฉันพี่น้องครับ”