happy on September 09, 2012, 07:05:19 PM

HIT AND RAN

จัดจำหน่ายโดย      เอ็ม พิคเจอร์ส  
ชื่อภาษาไทย      ฮิต แอนด์ รัน ล่าทะลุเมือง         
ภาพยนตร์แนว      แอ็คชั่น-คอเมดี้
จากประเทศ      สหรัฐอเมริกา
กำหนดฉาย      20 กันยายน 2555
ณ โรงภาพยนตร์      โรงภาพยนตร์ในเครือเมเจอร์ซีนีเพล็กซ์
ผู้กำกับ           David Palmer & Dax Shepard
เว็ปไซด์ตัวอย่างภาพยนตร์   http://youtu.be/cgLYz5bcP1k
นักแสดง         Bradley Cooper  จาก  Hangover1 2 , The A Team
                         Kristen Bell จาก When in Rome , You Again
                         Dex Shepard จาก When in Rome , Idiocracy , Parenthood
                         Kristin Chenoweth  จาก Bewitched , The Pink Panther , The West Wing
                         Tom Arnold  จาก Nine Months , Soul Plane


จุดเด่น

               ภาพยนตร์เรื่อง Hit And Run เป็นการรวมตัวกลุ่มเพื่อนสนิทของผู้กำกับและนักแสดงนำอย่างแด็กซ์ เชพเพิร์ด ที่มาร่วมสร้างสีสันให้ภาพยนตร์เรื่องนี้สนุกแบบสุดขั้ว  ตัวละครทุกตัวสามารถถ่ายทอดบทบาทที่ได้รับออกมาอย่างเป็นธรรมชาติ ทำให้ผู้ชมสามารถเข้าถึงโลกตัวละครมากที่สุด ทั้งในฉากดราม่าและแอ็คชั่นบู๊ล้างผลาญที่แฟนๆ จะได้เห็นสองนักแสดงนำอย่าง แด็กซ์ เชพเพิร์ดและคริสติน เบล ที่ลงทุนเล่นจริง ขับจริง แบบไม่ใช้สแตนอินด์แถมยังลงทุนขนรถสุดรักมาร่วมเข้าฉาก งานนี้แฟนๆ จะะได้ยลโฉมรถลินคอล์น คอนติเนนทัล ปี1967 ในภาพยนตร์เรื่องนี้ด้วย รับรองว่า HIT AND RUN ตามแบบฉบับของเชพเพิร์ด โดดเด่นและมีสไตล์ที่มาเหมือนใครอย่างแน่นอน






เรื่องย่อ

               ชาร์ลีย์ บรอนสัน (รับบทโดย แด็กซ์ เชพเพิร์ด) อดีตโจรปล้นธนาคาร ได้ใช้ชีวิตอยู่ในเมืองเล็กๆ ในแคลิฟอร์เนียกับแฟนสาวของเขา แอนนี่ (รับบทโดย คริสติน เบล) เขาตัดสินใจที่จะสลัดตัวเองจากโครงการคุ้มครองพยานเพื่อช่วยให้เธอได้เดินทางไปแอลเอเพื่อคว้างานในฝันมาครอง แต่แฟนเก่าจอมจุ้นของแอนนี่ (รับบทโดยไมเคิล โรเซนบอม) ได้ส่งอดีตเกลอเก่าของชาร์ลีย์ (ที่นำทีมโดยแบรดลีย์ คูเปอร์) และตำรวจศาลจอมเฟอะฟะ (ทอม อาร์โนลด์) มาตามไล่ล่าพวกเขา การเดินทางของพวกเขาก็พลิกผันจากการขับรถสบายๆ ที่เพลิดเพลินไปเป็นการซิ่งไฮสปีดที่แสนชุลมุนแทน

ที่มาของภาพยนตร์ HIT AND RUN

                HIT AND RUN ได้เกิดขึ้นมา “เราถูกถามตลอดเลยว่าเราจะทำอะไรต่อไป และเราก็เริ่มบอกว่าเราจะสร้างหนังไล่ล่าทางรถยนต์” เชพเพิร์ดเล่า “เราไม่มีบทหรือเรื่องย่ออะไรเลย เรารู้แค่ว่าเราชอบหนังไล่ล่าทางรถยนต์ และด้วยความที่เราพูดไปแล้ว เราก็รู้ว่าเราต้องทำครับ”
   ด้วยความที่เขาเติบโตขึ้นในดีทรอยท์ เชพเพิร์ดก็มักถูกห้อมล้อมไปด้วยรถยนต์เสมอ “พ่อของผมขายรถ แม่ผมทำงานให้กับเจเนรัล มอเตอร์ส และพ่อเลี้ยงผมก็เป็นช่างเครื่องให้กับกลุ่มรถคอร์เว็ทท์” เขาบอก “ดังนั้น ตอนเป็นเด็ก ผมก็เลยได้อยู่ใกล้ๆ กับรถน่าทึ่งมากมาย มันเป็นสิ่งที่ผมรักเป็นอันดับหนึ่งเลย”
   พอเข้าไฮสคูล เขาก็ได้เข้าสู่แวดวงการแข่งรถ รวมถึงได้ทำงานที่จีเอ็ม ที่ซึ่งเขามีเวลาทดลองสนามมากมาย ซึ่งก็เป็นสิ่งที่ไม่ธรรมดาเลยสำหรับเด็กหนุ่มอายุ 17 ปี นอกจากนี้ เขายังได้ขึ้นปกนิตยสารมอเตอร์ เทรนด์และคาร์ แอนด์ ไดรเวอร์หลายครั้งด้วย “มันมีภาพคัทเอาท์ผมด้านข้างกับรถคามาโร หรืออะไรทำนองนั้นน่ะครับ คุณมองไม่ออกหรอกว่าเป็นผม แต่ผมเป็นส่วนหนึ่งของภาพถ่ายด้วยครับ”
   อีกสิ่งหนึ่งที่สร้างความประทับใจไม่รู้ลืมให้กับเขาคือภาพยนตร์ที่เชพเพิร์ดได้ดูตั้งแต่ตอนอายุห้าขวบ นั่นคือ Smokey and The Bandit ของฮัล นี้ดแฮม ซึ่งเมื่อนำมาฉายในสามปีก่อนหน้านี้ก็ประสบความสำเร็จยิ่งใหญ่  แบนดิท ที่ซิ่งรถคามาโร ที่นำแสดงโดยเบิร์ท เรย์โนลด์ส ร่วมกับแฟนสาวแซลลี ฟิลด์ส ได้แซงหน้านายอำเภอปากร้ายจอมหยิ่งชาวใต้ บูฟอร์ด ที. จัสติซ (แจ็คกี้ กลีสัน) ผู้คอยไล่ตามพวกเขาอย่างไม่ลดละ ขณะที่แบนดิทแข่งกับกฎหมายด้วยความตั้งใจจะชนะพนันให้ได้
   “ตอนแรก ผมชอบหนังเรื่องนี้เพราะเรื่องรถ” นักแสดงหนุ่มเล่า “แต่เมื่อผมดูมันเรื่อยๆ ผมก็เริ่มชื่นชมอัจฉริยภาพในเรื่องตลกของแจ็คกี้ กลีสัน ผมกับพี่จะขับบิ๊ก วีลส์ และจะทะเลาะกันว่าใครจะได้เป็นนายอำเภอบูฟอร์ด ที. จัสติซ เราจำบทพูดทั้งหมดของเขาได้ มันเป็นส่วนสำคัญใหญ่ยักษ์สำหรับวัยเด็กของผมเลยล่ะครับ” เช่นเดียวกับภาพยนตร์เกี่ยวกับรถยนต์เรื่องอื่นๆ เช่น The Cannonball Run โดยนี้ดแฮมและที่ขาดไม่ได้คือ Bullitt โดยสตีฟ แม็คควีน
   ท้ายที่สุดแล้ว เชพเพิร์ดก็ตระหนักว่าเขาอยากจะสร้าง Smokey ของตัวเอง “แต่มีคอเมดีมากหน่อย และเรท ‘R’ เพิ่มขึ้นอีกนิดน่ะครับ” เขาบอก ทัคกล่าวเสริมว่า “ผมคิดว่าเขาตั้งใจจะทำหนังที่ได้รับแรงบันดาลใจจาก Smokey and the Bandit และหนังไล่ล่ารถยนต์สมัยเก่า ที่มันเป็นการไล่ล่าที่สนุกสนาน ไม่อันตราย และแน่นอนว่าด้วยวิธีการเขียนบทของแด็กซ์ มันก็จะออกมาตลกอยู่แล้วล่ะครับ”
   เชพเพิร์ดกล่าวว่า ภาพยนตร์เป็นเหมือนการทำความฝันของผู้ชมให้เป็นจริง “เราใช้ชีวิตผ่านทางประสบการณ์ที่เราเห็นในหนังครับ ใน Smokey เบิร์ท เรย์โนลด์สมีอิสรภาพที่เกือบจะเหมือนซูเปอร์ฮีโร ตรงที่เขาไม่ได้เกรงกลัวกฎหมาย และขับรถตามใจชอบ และถ้าคุณเป็นผู้ชายชาวอเมริกันที่น่านับถือ ทันทีที่คุณได้ใบขับขี่มา ความคิดแรกของคุณก็จะเป็นว่า ‘ตอนนี้ ฉันจะขับรถยังไงก็ได้แล้ว และถ้าฉันเห็นไฟกระพริบ ฉันก็จะซิ่งโลด’ มันเป็นความฝันของหนุ่มๆ ทุกคนตอนถือพวงมาลัยอยู่น่ะครับ ดังนั้น โดยหลักการแล้ว หนังไล่ล่าทางรถยนต์จะนำเสนอความฝันที่เข้าถึงได้ ของการขับรถยังไงก็ได้หรือที่ไหนก็ได้ ตามที่คุณต้องการน่ะครับ"
   หลังจาก Brother’s Justice แล้ว เชพเพิร์ดก็กลับไปทำงานใน Parenthood ซึ่งตอนนั้นเป็นซีรีส์ฮิตของเอ็นบีซี แต่ไอเดียของการไล่ล่าทางรถยนต์ก็ยังไม่ถูกลืม โดยเฉพาะโดยแอนดรูว์ พาเนย์ “แด็กซ์นำเสนอไอเดียของหนังไล่ล่าทางรถยนต์ให้ผม และผมก็หมกมุ่นเรื่องนี้และอยากจะสร้างหนังเรื่องนี้กับเขา” ผู้อำนวยการสร้างเล่า พาเนย์เสนอให้ทาบทามสตูดิโอภาพยนตร์ด้วยไอเดียนี้ พร้อมกับผลักดันให้เชพเพิร์ดพัฒนาคอนเซ็ปต์นี้ขึ้นมา และเพียงสามสัปดาห์ให้หลัง ในช่วงกลางเดือนมีนาคม ปี 2011 บทภาพยนตร์ที่พร้อมถ่ายทำก็เสร็จสมบูรณ์
   “เรามีทรีทเมนต์ของเขาและเราก็ไปเสนองานกัน ในที่สุด แด็กซ์ก็ได้เขียนบทขึ้นมาจากบทสเป็คนั้น ซึ่งก็เป็นบทที่ยอดเยี่ยมตั้งแต่ต้นแล้ว” เดวิด ปาล์มเมอร์กล่าว “วิธีที่แด็กซ์เขียนโครสร้างการเล่าเรื่องของเขายอดเยี่ยมมาก เขาได้วางจังหวะของเรื่องราวต่างๆ ไว้ทั่วๆ เช่นเนื้อเรื่องเกี่ยวกับปืนของแรนดี้ (ทอม อาร์โนลด์) และเนื้อเรื่องเกี่ยวกับรถของเขา เรื่องพวกนั้นจะถูกจัดให้มารวมกันอย่างยอดเยี่ยมในช่วงท้ายเรื่องน่ะครับ”
   เชพเพิร์ดมีกระบวนการที่ผ่านการลองผิดลองถูก ซึ่งใช้ได้เสมอ เขากล่าวว่า “ผมชอบไปเขียนเรื่องในโรงแรมที่ปาล์ม สปริงส์ครับ ผมจะไปที่นั่นด้วยตัวเองและจะอยู่ที่นั่นเขียนงานอย่างเดียวประมาณสองสามสัปดาห์” กิจกรรมที่เขาโปรดปรานก็เช่นระหว่างที่เขาออกไปรับประทานอาหาร เขาก็จะหยิบไกด์อสังหาริมทรัพย์ในท้องถิ่นและพลิกหาชื่อที่มีศักยภาพที่จะเป็นชื่อตัวละครที่น่าสนใจได้ “นายหน้าอสังหาริมทรัพย์พวกนี้มีชื่อที่ฮามากครับ พวกเขามีชื่อเหมือนในการ์ตูนเลย” เขากล่าวกลั้วหัวเราะ
   ชาร์ลีย์ บรอนสัน ชื่อของตัวละครของเขาเอง ไม่ได้มาจากโลกอสังหาริมทรัพย์ หรือมาจากโลกภาพยนตร์ อย่างที่ใครๆ คิด “ผมหลงใหลในอาชญากรครับ แล้วก็มีผู้ชายคนหนึ่งในอังกฤษชื่อไมเคิล ปีเตอร์สัน เขาเป็นคนโหดเหี้ยม ที่เปลี่ยนชื่อตัวเองไปเป็นชาร์ลส์ บรอนสัน” อย่างที่สวมบทโดยทอม ฮาร์ดี้ในภาพยนตร์ปี 2008 เรื่อง Bronson “ผมคิดว่า ‘ตลกดีนะที่มีคนตั้งชื่อตามชาร์ลส์ บรอนสันด้วย’ แล้วผมก็คิดว่ามันคงตลกยิ่งขึ้นถ้าคนตั้งชื่อตัวเองตามอาชญากรที่ตั้งชื่อตัวเองตามชาร์ลส์ บรอนสันน่ะครับ!”
   ในทำนองเดียวกัน ยุล เพอร์กินส์ ชื่อจริงที่ไม่ธรรมดาของ ชาร์ลีย์ โจรปล้นธนาคาร ที่ถูกเผยออกมาระหว่างเรื่อง  ก็ไม่ได้เกี่ยวข้องกับยุล บรินเนอร์หรือภาพยนตร์เกี่ยวกับยุลอื่นๆ เลย “ตอนผมเป็นเด็ก มีผู้สื่อข่าวในดีทรอยท์คนหนึ่งที่ชื่อยุล เพอร์กินส์ เขาเป็นคนดังในท้องถิ่นครับ” เชพเพิร์ดเล่า
   การสร้างตัวละครตัวอื่นๆ สำหรับภาพยนตร์เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องยากสำหรับเชพเพิร์ด เพราะโดยมากแล้ว ตัวละครเหล่านี้สร้างขึ้นจากเพื่อนของเขาเอง ที่ร่วมแสดงในเรื่องนี้ด้วย “หนึ่งในสิ่งที่โดดเด่นที่สุดเกี่ยวกับแด็กซ์คือความจงรักภักดีต่อเพื่อนๆ และที่สำคัญกว่านั้น คือต่อเพื่อนๆ ที่เขารู้สึกว่ามีพรสวรรค์น่ะครับ” พาเนย์กล่าว “แด็กซ์ล้อมรอบตัวเองด้วยคนเก่งๆ ที่ฉลาดและเขาก็เชื่อในตัวพวกเขาจริงๆ และผมก็คิดว่าเพราะอย่างนั้น ทุกคนก็เลยทุ่มทุกอย่างให้กับหนังเรื่องนี้และทำงานหนักจริงๆ เพื่อทำให้มันออกมาดีที่สุด” ทัคกล่าวว่า “นั่นเป็นพลังของแด็กซ์ครับ เขามีเพื่อนดีๆ มากมาย ผู้ซึ่งทุกคนเป็นคนที่มีพรสวรรค์ ตลกและซื่อสัตย์ทั้งนั้น พวกเขารักการทำงานกับเขา มันเป็นสิ่งแวดล้อมที่เหมือนกับครอบครัวมากๆ ครับ”
   จริงๆ แล้ว ภาพยนตร์เรื่องนี้ไม่มีผู้กำกับฝ่ายคัดเลือกนักแสดงด้วยซ้ำ “เราไม่ได้เลือกใครแปลกหน้าเลยครับ” ปาล์มเมอร์อธิบาย “พวกเขาต่างก็ได้รับค่าตัวในสเกลของหนังทุนต่ำ เพราะทุกคนต่างก็รักแด็กซ์ครับ มันมีมิตรภาพ ความไว้ใจและความน่ารักในตัวเขาที่ทำให้ทุกคนมารวมตัวกัน” เชพเพิร์ดตั้งข้อสังเกตว่า “นี่อาจจะเป็นสิ่งแวดล้อมด้านการทำงานที่เลวร้ายที่สุดที่นักแสดงส่วนใหญ่ต้องเจอในรอบหลายปีเลยล่ะครับ เพราะมันวุ่นวายมาก แต่ทุกคนก็สนุกกันจริงๆ ครับ”
   ส่วนเรื่องงานเขียน เขากล่าวว่า “ผมรู้จักคนพวกนี้ดี ผมก็เลยพยายามทำให้ตัวละครของพวกเขาใกล้เคียงกับตัวจริงมากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ เว้นแต่คูเปอร์ ที่ไม่ใช่คนไม่ดีเลยครับ” พาเนย์กล่าว “มันทำให้หนังฮาสุดๆ เพราะตัวละครทุกตัวจริงใจมากๆ มันไม่ใช่เรื่องเกินเอื้อมสำหรับนักแสดง ไม่มีใครแสดงอะไรที่ผิดไปจากตัวตนของพวกเขา พวกเขาเชื่อในสิ่งที่พูดจริงๆ พวกเขามีความเชื่อมั่นครับ และนั่นก์คือเสน่ห์ของหนังเรื่องนี้ครับ”
« Last Edit: September 09, 2012, 07:13:36 PM by happy »

happy on September 09, 2012, 07:16:15 PM





เกี่ยวกับภาพยนตร์

               HIT AND RUN เป็นรูปเป็นร่างได้อย่างรวดเร็ว ตั้งแต่ตอนที่แอนดรูว์ พาเนย์รบเร้าให้แด็กซ์ เชพเพิร์ดคิดเรื่องย่อสำหรับภาพยนตร์ไล่ล่าทางรถยนต์เยี่ยมๆ ในช่วงกลางเดือนกุมภาพันธ์ ปี 2011 ไปจนถึงตอนที่บทเสร็จในหนึ่งเดือนให้หลัง และการรวมนักแสดงมาอยู่หน้ากล้องในช่วงต้นเดือนมิถุนายน “ผมมีเวลาน้อยมากๆ ระหว่างซีซันที่สองและสามของ Parenthood” เชพเพิร์ดตั้งข้อสังเกต “ดังนั้น เนทและแอนดรูว์กับผมก็เลยพูดกันว่า ‘ทำเลยเถอะ’ น่ะครับ” ทัคกล่าวว่า “ทุกอย่างเหมือนกับเข้าแถวพร้อมเพื่อเรา เรามีบทดีๆ เราได้ตัวแด็กซ์มาระหว่างที่เขาว่างจากซีรีส์ คริสติน เบลเองก็ว่างจากซีรีส์โชว์ไทม์ของเธอ (House of Lies) เรารู้ว่าทอม อาร์โนลด์ว่างในช่วงเดือนมิถุนายน เรารู้ว่าแบรดลีย์ คูเปอร์ว่างหนึ่งสัปดาห์ครึ่งในเดือนมิถุนายน ถ้าเราไม่ลงมือตอนนี้เราก็ไม่มีโอกาสแล้วล่ะครับ”
   แม้ว่าเดิมทัคและพาเนย์จะพิจารณาการทำงานร่วมกับสตูดิโอโดยตรง ท้ายที่สุดพวกเขาก็ตัดสินใจอำนวยการสร้างภาพยนตร์เรื่องนี้อย่างเป็นอิสระ ด้วยการสนับสนุนของคิม แอนด์ จิม โปรดักชันส์ของจิม เคซีย์และคิม วอลทริปและโอเพน โร้ด ฟิล์มส์ “เราไม่มีสตูดิโอมาหายใจรดต้นคอเราเพื่อสั่งการอะไรเราทั้งนั้น” เดวิด ปาล์มเมอร์บอก “เราไม่ต้องส่งฟิล์มไปขอการอนุมัติจากใครทั้งนั้น ผมกับแด็กซ์จะถ่ายทำ มองหน้ากันและกันแล้วบอกว่า ‘ได้แล้ว’ แล้วก็ขยับไปฉากต่อไป โอเพน โร้ดปล่อยให้เราสร้างหนังเรื่องนี้เอง พวกเขาทำแค่ให้กุญแจเรา เขียนเช็คให้แล้วบอกว่า ‘คุณจะทำอะไรก็ทำไปเถอะ’ น่ะครับ”
   การถ่ายทำตามบทภาพยนตร์ 150 หน้าของเชพเพิร์ด เกิดขึ้นในช่วงเวลาหกสัปดาห์ “การถ่ายทำตามบท 120 หน้าในเวลาเท่านั้นก็เป็นเรื่องยากอยู่แล้ว แต่การถ่ายทำตามบทหลายหน้าขนาดนั้นเป็นงานที่สาหัสสากรรจ์ครับ” ปาล์มเมอร์บอก เชพเพิร์ดตั้งข้อสังเกตว่า “เรามีตารางการถ่ายทำที่สั้นมากๆ และส่วนใหญ่ก็เป็นฉากการไล่ล่าทางรถยนต์ ซึ่งคุณก็ต้องให้เวลากับมันครับ” ทีมงานได้ถ่ายทำภาพยนตร์ไล่ล่าทางรถยนต์เรื่องนี้โดยใช้เวลาเพียงครึ่งเดียวจากการถ่ายทำคอเมดีแบบเพียวๆ “ตอนที่เราปิดกล้อง เราไม่ได้ช้ากว่ากำหนดเลยซักวัน เราไม่มีทางเลือกนั้นครับ” เบลกลับไปแสดงใน House of Lies หลังจากที่ปิดกล้องหนึ่งวัน ส่วนเชพเพิร์ดก็กลับไปกองถ่าย Parenthood ในสามวันให้หลัง “ถ้าเราพลาดไปแค่วันเดียว เราเสร็จแน่ครับ”
   ด้วยงบประมาณจำกัดและตารางการทำงานที่กระชับ ทีมงานได้ใช้ประโยชน์จากทางลัดและความสัมพันธ์ส่วนตัวทั้งหมดเท่าที่มี “ผมโทรไปหาเจเนรัล มอเตอร์สเป็นการส่วนตัวแล้วขอร้องให้พวกเขาให้เรายืมรถ ซึ่งพวกเขาก็ยอม เราจะยืมรถก็ได้ ตราบเท่าที่เราไม่ทำมันพังน่ะครับ” เชพเพิร์ดเล่า “ผมก็แบบ ‘โอเค แต่มันเป็นหนังไล่ล่าทางรถยนต์นะ…’ มันเครียดมากๆ เลยครับ” นอกจากนี้ ทีมงานยังให้ยืมรถของพวกเขาเองด้วย และแบรดลีย์ก็ยอมให้กองถ่ายไปถ่ายทำที่บ้านของเขาในฉากหนึ่งด้วยซ้ำไป “ทุกคนต่างมีข้อเสนอ ทำนองว่า ‘ฉันทำนั่นได้’ หรือ ‘คุณอยากได้รถเพิ่มมั้ย ใช้รถของเราก็ได้นะ’ มันเหลือเชื่อเลย เมื่อคุณไม่มีทางเลือกและไม่มีเงิน คุณต้องทำมันให้ได้ครับ”
   ในขณะที่ใน Brother’s Justice เดวิด ปาล์มเมอร์ได้สวมหมวกหลายใบ เช่นเดียวกับทีมงานหลายๆ คน เขาทั้งร่วมกำกับและทำหน้าที่ผู้กำกับภาพ ในครั้งนี้ เขาตัดสินใจที่จะโฟกัสไปที่การกำกับร่วมกับเชพเพิร์ดเป็นหลัก “ครั้งนี้ ผมก้าวถอยหลังแล้วบอกว่า ‘หาผู้กำกับภาพเถอะ เรียกแบรดลีย์มา’ น่ะครับ”
   ก่อนหน้านี้ แบรดลีย์ สโตนไซเฟอร์ เคยร่วมงานกับทั้งปาล์มเมอร์และทัคมาแล้วในมิวสิค วิดีโอและโฆษณาหลายชิ้น “พวกเขาคุยถึงเรื่องโปรเจ็กต์หนังของพวกเขา และพวกเขาก็รู้ว่าผมเคยผ่านงานหนังมาหลายเรื่อง” เขาบอก “ดังนั้น เมื่อถึงเวลาสร้าง HIT AND RUN พวกเขาก็พาผมไปพบแด็กซ์ และเราก็เข้ากันได้ดี มันสนุกมากครับ” ปาล์มเมอร์กล่าวเสริมว่า “เราใช้กล้องสองตัวถ่ายทำทั้งเรื่อง ผมก็เลยยังควบคุมอยู่ครึ่งหนึ่ง แต่มันเป็นเรื่องดีที่มีคนอื่นมาทำงานหนักแทนผม โดยเฉพาะคนที่มีความสามารถอย่างแบรดลีย์ เขาทำงานได้อย่างยอดเยี่ยมครับ”
   เขาได้นำคติการทำงานที่เพอร์เฟ็กต์สำหรับกองถ่าย HIT AND RUN ที่เหมือนกองโจรอย่างยิ่งมาด้วย “แบรดลีย์เป็นนักสู้ ซึ่งเป็นเหตุผลให้ผมนำเขาเข้ามาด้วย” ปาล์มเมอร์บอก “ผมรู้ว่าเรามีงบน้อย มีเวลาน้อย มีบทที่ต้องถ่ายทำเยอะ และเขาก็จะทำทุกอย่างเพื่อให้ได้ช็อตมา” นอกจากนี้ พาเนย์เองก็รู้สึกยินดีกับการได้สโตนไซเฟอร์มาร่วมงานด้วย “เขาให้แสงได้งดงามมาก หนังเรื่องนี้ดูดีจริงๆ การสร้างสไตล์ที่โดดเด่นและต่อเนื่องตั้งแต่ต้นจนจบจำเป็นต้องอาศัยพรสวรรค์อย่างแท้จริง ซึ่งแบรดลีย์ก็ได้สร้างมันให้กับเราได้ครับ”
   สโตนไซเฟอร์กล่าวว่า ลุคของภาพยนตร์เรื่องนี้พัฒนาจากการพูดคุยในตอนแรกไปสู่ภาพที่ปรากฏผ่านเลนส์เล็กน้อย “ในตอนแรก พวกเขาคุยกันว่า ‘เอาล่ะ เราอยากจะสร้างดรามาอินดีสนุกๆ’ แต่มันก็เปลี่ยนเป็น ‘เอาล่ะ มาสร้างหนังแอ็กชัน พลังงานพลุ่งพล่านที่ดิบเถื่อนกันเถอะ’ เรารู้ดีว่าเราคงจะหลอกใครไม่ได้แน่ถ้าเราพยายามจะสร้าง Fast and Furious ภายใต้งบของเรา ผู้ชมมีความคาดหวังถึงสตันท์รถที่อลังการและซีเควนซ์แอ็กชันใหญ่โต ซึ่งเราก็ไม่มีศักยภาพแบบนั้นครับ”
   อย่างไรก็ดี เขาและผู้กำกับของเขาได้ทำงานอย่างสร้างสรรค์ในการถ่ายทอดตัวละครออกมาในลักษณะที่เป็นธรรมชาติ ซึ่งก็สำเร็จในระดับหนึ่ง ทำให้ผู้ชมเข้าใกล้กับโลกของตัวละครให้มากที่สุด ทั้งในฉากดรามาและซีเควนซ์แอ็กชัน ซึ่งหลายฉากเกิดขึ้นพร้อมๆ กันใน HIT AND RUN ทำให้ภาพยนตร์เรื่องนี้มีสไตล์ที่โดดเด่นตามแบบฉบับของเชพเพิร์ด “รอยร้าวในความสัมพันธ์ครั้งใหญ่ของเราเกิดขึ้นกลางซีเควนซ์แอ็กชันใหญ่สองซีเควนซ์ครับ” นักแสดงหนุ่มตั้งข้อสังเกต
   “เราเดินทางไปกับตัวละครครับ” สโตนไซเฟอร์กล่าว “เราได้ถ่ายทำด้วยแฮนด์เฮลด์ในรถ ใช้ฮู้ดเมาท์และ ‘โฮสเตส เทรย์’ ที่ติดกล้องไว้ด้านนอกหน้าต่างรถ มันประหยัดสำหรับระดับงบของเรา แต่ก็ยังให้ฟุตเตจพลังงานพลุ่งพล่านกับเรา”
   นอกจากนี้ ภาพยนตร์เรื่องนี้ยังถ่ายทำด้วยอัตราภาพ 2.35:1 ไวด์สกรีน ซึ่งทำให้มันมีลุคยิ่งใหญ่ แทนที่จะใช้อัตราส่วน 1.85:1 ที่มักจะเห็นในคอเมดี “ทุกคนรู้ว่าเรากำลังสร้างคอเมดี ที่มีแอ็กชันและการผจญภัยมากมาย แต่ผมชอบหนังครับ ผมชอบการไปดูหนังและสัมผัสกับหนัง และมันก็ไม่มีอะไรยิ่งใหญ่ไปกว่าการได้เห็นช็อตเปิดโล่งของภูมิประเทศและแอ็กชัน ซึ่งเราก็มีภาพแบบนั้นมากมายในหนังเรื่องนี้ครับ”
   เขากับเชพเพิร์ดคิดตรงกัน “ผู้กำกับภาพ/ผู้กำกับทุกคนที่ผมชอบ ทั้งโรเบิร์ต เอลซิท, วอลลี ฟิสเตอร์ ต่างก็ถ่ายทำด้วย 2.35:1 และผมก็อยากให้มันเป็นไปในทิศทางของหนังมากขึ้นครับ” ผู้กำกับกล่าว
   แม้ว่าเชพเพิร์ดและปาล์มเมอร์จะร่วมกำกับภาพยนตร์เรื่องนี้ มันก็ไม่ได้หมายถึงการแบ่งหน้าที่กันทำ “ผมกับเดวิดไม่ได้ทำงานกันแบบนั้นครับ” เชพเพิร์ดกล่าว “เราเป็นทีมกันในทุกแง่มุม” พาเนย์กล่าวเห็นพ้องด้วย “ผมคิดว่าพวกเขาเติมเต็มกันและกัน ปาล์มเมอร์ถนัดเรื่องกล้อง และผมก็คิดว่ามันเป็นสิ่งพิเศษที่เขานำเข้ามา แต่สมดุลระหว่างทั้งคู่คือสิ่งที่ทำให้สิ่งต่างๆ โดดเด่นขึ้นมา พวกเขามีความเห็นพ้องต้องกันเกี่ยวกับทุกอย่าง พวกเขาไว้ใจกันและมีความผูกพันที่เวิร์คครับ”
   สโตนไซเฟอร์ชื่นชอบเซนส์ด้านจังหวะตลกที่ไม่เหมือนใครของเชพเพิร์ด และชื่นชมการทำงานเบื้องหลังกล้องของปาล์มเมอร์ “แด็กซ์มีประสบการณ์ในการแสดงหน้ากล้องและเขาก็เป็นนักแสดงที่เก่งกาจ เขามั่นใจในเรื่องราวของเขาจริงๆ และเขาก็เรียนรู้ได้ไวในเรื่องของเทคโนโลยีด้วย ว่าเลนส์สร้างภาพแบบไหนได้บ้าง แล้วคุณจะวางกล้องตรงไหนได้หรือไม่ได้บ้าง ส่วนเดวิดก็มีความสามารถและรอบรู้ในเรื่องของอุปกรณ์และสุนทรียศาสตร์ ทั้งคู่เป็นคอมโบที่ยอดเยี่ยมในการสร้างโลกที่พวกเขาอยากเห็นมันเกิดขึ้นครับ”
   เชพเพิร์ดไม่เพียงแต่มีปาล์มเมอร์ไว้ปรึกษาเท่านั้น แต่เขายังมีเนท ทัค เกลอเก่าจากกราวน์ลิงส์ด้วย “เนทเป็นชิ้นส่วนตัวต่อชิ้นใหญ่ครับ ผมกับเขาเป็นเพื่อนกันมานานกว่าใครๆ และเราก็มีความคิดอ่านเหมือนกันในทุกเรื่อง มันแปลกมกที่ความคิดของผมกับเขาคล้ายกันขนาดไหน เขาเป็นโซลเมทด้านความคิดสร้างสรรค์ของผมครับ”
   การกำกับพร้อมไปกับการกำกับเป็นความท้าทายสำหรับนักแสดงทุกคน แม้ว่าเชพเพิร์ดจะมองว่ามันเป็นข้อได้เปรียบก็ตาม “คุณจะรู้สึกได้จากภายในในตอนที่มันมีอะไรทะแม่งๆ ผมคิดว่าคุณไม่จำเป็นต้องสังเกตมันจากมอนิเตอร์ ถึงจะรู้สึกได้หรอก จริงๆ แล้ว บางครั้ง การทำแบบนั้นเป็นอุปสรรคด้วยซ้ำไป มันอาจดูสมจริงก็จริง แต่ถ้าคุณเป็นนักแสดงในฉากนั้น คุณจะรู้สึกได้จากข้างในว่ามันไม่สมจริงหรือไม่จริง ผมบอกได้ในตอนที่ผมแสดงไม่ดี และผมก็เห็นได้ในตอนที่นนักแสดงคนอื่นๆ แสดงได้สมบทบาทหรือต้องการความช่วยเหลือในส่วนอื่นๆ ดังนั้น ในแง่นั้นแล้ว การกำกับจากภายในสู่ภายนอกก็เป็นประโยชน์ครับ”
   พาเนย์พบว่าการแสดงพร้อมกับการกำกับของเชพเพิร์ด ซึ่งบ่อยครั้งจะขยับจากฉากไปสู่เบื้องหลังกล้อง เป็นสิ่งที่สร้างแรงบันดาลใจ “มันน่าประทับใจทีเดียวที่ได้เห็นเขากำกับไปด้วยแสดงได้วย เขาจะกลับไปมองเฟรม แล้วค่อยกลับเข้าไปสอนนักแสดงของเขา ตะโกนสั่ง ‘คัท!’ และสอนพวกเขาตรงนั้น ยืนอยู่ข้างพวกเขาน่ะครับ”
   เชพเพิร์ดมีความท้าทายพิเศษในการกำกับเพื่อนของเขา ซึ่งเป็นสิ่งที่ทำให้นักแสดงผู้ทำหลายหน้าที่ผู้นี้เป็นกังวล “มันยากนะครับเพราะไม่เพียงแต่ผมต้องกำกับคู่หมั้นผมเท่านั้น แต่ผมยังต้องกำกับเพื่อนซี้ทุกคนที่ผมรู้จักมาเป็นสิบปีด้วย” แต่ไม่นานนักเขาก็พบว่า ไม่มีอะไรต้องกลัวเลย “เขาเป็นเพื่อนที่ผมรักมากที่สุดในโลกคนหนึ่ง” โรเซนบอมบอก “และเมื่อคุณทำงานร่วมกับเพื่อนรัก คุณก็ได้แต่บอกว่า ‘เขาเป็นคนกำกับ มันเป็นวิสัยทัศน์ของเขา ผมเป็นแค่หุ่นเชิดของเขา’ ผมบอกเขาว่า ‘ทำอะไรก็ได้แล้วแต่คุณต้องการ อะไรก็ได้ ผมทำทั้งนั้น’ น่ะครับ”
   ทีมนักแสดงพบว่า การได้มือเขียนบทของเรื่องมากำกับพวกเขาเป็นเรื่องที่เป็นประโยชน์อย่างยิ่ง “บทเขียนได้ดีมากจนคุณแทบไม่ต้องทำอะไรกับบทเลยครับ” โรเซนบอมเล่า “แด็กซ์อยากให้เราพูดคำของเขาออกไป แต่หลังจากเราพูดในสิ่งที่เขาเขียนบนหน้ากระดาษออกไปแล้ว เขาก็จะปล่อยให้คุณอิมโพรไวส์นิดๆ และทำตามความคิดของตัวเองหลังจากสองสามเทคน่ะครับ” เบลกล่าวเห็นพ้องด้วย “เขายอมให้เราเล่นนิดๆ แต่ด้วยความที่เขาเขียนมันขึ้นมาเพื่อเพื่อนๆ ของเขา เขาก็รู้อยู่แล้วว่าทุกคนพูดยังไง มันเหมือนเขาเขียนคำพูดของคุณลงไปน่ะค่ะ ดังนั้น ไม่ว่าอะไรก็ตามที่คุณมักจะเปลี่ยนในบทเพื่อการแสดง มันก็อยู่รอคุณอยู่แล้วครับ”
   โรเซนบอมรู้ว่า ในตอนที่สร้างตัวละครของเขา เชพเพิร์ดเป็นคนที่รู้จักเสียงของตัวละครดีที่สุด “วันหนึ่ง เรานั่งคุยกันระหว่างอาหารเที่ยงและเขาก็ถามผมว่า ‘คุณไว้ใจผมมั้ย’ และผมก็ตอบว่า ‘แน่นอน’ เขาจินตนาการบทกิลได้ และเขาก็คิดได้ตรงเผงเลย ในฐานะนักแสดง บ่อยครั้งคุณจะคิดว่า ‘ฉันทำน้อยไปรึเปล่า ฉันควรจะทำมากกว่านี้มั้ย’ แต่เขาให้ผมอยู่ในกล่องนั้น ในพื้นที่ที่ผมอยากจะอยู่เลย ผมประทับใจกับเขาจริงๆ”

happy on September 09, 2012, 07:20:00 PM





สถานที่ถ่ายทำ

                 HIT AND RUN ถ่ายทำตามโลเกชันในเซาเธิร์น แคลิฟอร์เนีย โดยมีเมืองปิรูและฟิลมอร์แทนที่สถานที่ต่างๆ ในเซ็นทรัล แคลิฟอร์เนีย ซึ่งเป็นที่ตั้งของบ้านของชาร์ลีย์และแอนนี, บ้านของกิลและวิทยาลัยที่แอนนีทำงานในนตอนเริ่มต้นเรื่อง โดยมีเวนทูรา ฟาร์มส์ ใกล้กับเวสต์เลค วิลเลจ ถูกใช้แทนบ้านไร่ของคลินท์ เพอร์กินส์ “ผมโตขึ้นมาในย่านเบย์ แอเรียครับ” เนท ทัคบอก “และเมื่อคุณขับรถไปทาโฮ คุณก็มักจะขับผ่านเมืองเล็กๆ อย่างออเบิร์นและโรสวิลล์ เมืองปิรู, ฟิลมอร์และนิวฮอล แรนช์ให้ความรู้สึกแบบเดียวกัน ที่มีแนวภูเขาอยู่ล้อมรอบน่ะครับ”
   ฉากการขับรถบนถนนเปิดโล่งและการไล่ล่าทางรถยนต์ถูกถ่ายทำที่ฟอร์ท เทจอน แรนช์ ใกล้กับเฟรเซอร์ ปาร์ค “มันเป็นสนามเด็กเล่นยักษ์ใหญ่ครับ” เชพเพิร์ดบอก “มันเป็นผืนดินขนาดยักษ์ใหญ่ ที่คุณจะทำอะไรกับมันก็ได้ มันเป็นถนนตามภูเขาและหุบเขาเล็กๆ พวกมันเปิดโอกาสให้คุณได้ทำอะไรสุดเหวี่ยงที่นั่นครับ”
   “มันเป็นการถ่ายทำตามโลเกชันทั้งหมดครับ” เนท ทัคกล่าว “คาเล็บ ดัฟฟี ผู้จัดการฝ่ายโลเกชันของเรา มีเวลาน้อยมากในการหาโลเกชันมากมายขนาดนี้ภายในเวลาสี่สัปดาห์ สิ่งที่เขาทำสำเร็จน่าทึ่งมาก” ปาล์มเมอร์ตั้งข้อสังเกตว่า “เราทุกคนต่างก็ขับรถส่วนตัวของตัวเองประมาณ 2500 ไมล์ แต่เราก็สามารถนอนหลับที่บ้านได้ ซึ่งเหมาะเจาะกับงบของเรา รวมไปถึงทำให้ทุกคนรู้สึกสบายขึ้นด้วยครับ”


รถสุดรักของ Dax Shepard ถูกนำมาแสดงในภาพยนตร์เรื่องนี้ด้วย

                  วิธีการประหยัดงบอีกวิธีหนึ่งนำไปสู่การปรากฏตัวของดาราที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของเรื่อง นั่นคือรถ 1967 ลินคอล์น คอนติเนนทัลของแด็กซ์ เชพเพิร์ด “ฉันเรียกเธอว่า ‘เลดี้ ลินคอล์น’ ค่ะ” คริสติน เบลพูดอย่างภาคภูมิใจ “เธอเป็นดาราตัวจริงของหนังเรื่องนี้ ฉันเป็นแค่นักแสดงสมทบหญิงเท่านั้นล่ะ” เชพเพิร์ดกล่าวว่า “คริสตินอยู่ที่ประมาณ 600 แรงม้า ส่วนลินคอล์นตั้ง 700 แรงม้าแน่ะครับ” “แล้วคุณจะทำยังไงได้ล่ะคะ” คริสตินถามยิ้มๆ
   เชพเพิร์ดมีรถคันนี้ในครอบครองมาประมาณสิบหรือสิบสองปีแล้ว แต่ในขณะเดียวกัน เมื่อไม่นานมานี้ เขาเพิ่งตัดสินใจว่ามันควรจะมีการแปลงโฉม “มันเป็นแค่รถลินคอล์นเก่าๆ ที่วิ่ง 49,000 ไมล์ ซึ่งผมขับเป็นครั้งคราว แต่มันหยุดวิ่งและมันก็เชื่องช้า ถูกดูแลไม่ค่อยดีนัก มันเป็นรถซีดานที่ผมชอบที่สุดเท่าที่เคยมีการสร้างมา แต่ผมหวังให้มันวิ่งแบบ M5หรือ CTS-V คันใหม่น่ะครับ”
   เขาก็เลยจ้าง โทนี โลกุซโซ ผู้เชี่ยวชาญด้านการขนส่งเกี่ยวกับภาพยนตร์ และไทเลอร์ ลูกชายของเขา ให้ยกเครื่องรถยนต์คันนี้ให้ใหม่เอี่ยม ภายในเวลาปีครึ่ง ซึ่งการยกเครื่องส่วนหนึ่งก็รวมถึงการใช้เครื่องยนต์ 514 Ford Racing Crate, ระบบหัวฉีด, โช้คสตรัทปรับเกลียวและดิสก์เบรค สตีฟ เดอคาสโทร ผู้ประสานงานฝ่ายสตันท์ของ HIT AND RUN ตั้งข้อสังเกตว่า “เขาอยากได้ลินคอล์นที่โฉบเฉี่ยวที่สุด และมันก็เป็นแบบนั้นจริงๆ มันเป็นลินคอล์นที่โฉบเฉี่ยวที่สุดครับ”
   ในวันที่มันเสร็จสมบูรณ์ เชพเพิร์ดได้พาคู่หมั้นสาวออกไปทดลองขับตอนมื้อกลางวันด้วยความภาคภูมิใจ “ผมตื่นเต้นมากๆ และผมก็ถามเธอว่า ‘คุณคิดยังไง’ เธอตอบว่า ‘คุณหมดเงินมหาศาลไปกับการทำให้รถคันนี้มีเสียงเหมือนมันกำลังจะพัง!’ น่ะครับ” เบลเล่าว่า “มันมีเสียงเหมือนมันกำลังจะระเบิด รถมันสั่นตลอดตอนที่เราขับ” เนื่องด้วยเพลาลูกเบี้ยวขนาดใหญ่ที่เชพเพิร์ดได้ติดตั้งเข้าไป “ฉันไม่เข้าใจว่ามันเป็นสิ่งที่ดี”
   เช่นเดียวกับบทสนทนาอื่นๆ จากชีวิตของเธอและเชพเพิร์ด ข้อสังเกตของเธอเกี่ยวกับรถคันนี้ก็ปรากฏในภาพยนตร์เรื่องนี้ด้วยในตอนที่แอนนีได้นั่งรถซิ่งเป็นครั้งแรก อย่างไรก็ดี เชพเพิร์ดก็ยังยืนยันว่า “รถคันนี้เจ๋งจริง มันเป็นสัตว์ร้ายของแท้เลยครับ”
   ข้อสังเกตอีกอย่างหนึ่งของคริสติน เบลที่ปรากฏอยู่ในเรื่องด้วย เกี่ยวกับคนประเภทที่รถดึงดูด เดอคาสโตรบอกว่า “คริสตินเรียกมันว่า ‘ตัวล่อหนุ่ม’ มันเป็นรถของชายหนุ่มครับ คุณจะได้ยินเสียงมัน แล้วถ้าคุณชอบรถยนต์ล่ะก็ คุณก็ต้องหันไปมองมัน” เชพเพิร์ดสังเกตได้ถึงเรื่องนั้นจากการขับรถครั้งแรกของเขา “หนุ่มโสดทุกคนที่เราขับผ่านจะหยุดสิ่งที่พวกเขาทำอยู่ แล้วหันไปจ้องรถของเราระหว่างที่มันแล่นไปตามท้องถนน มันมีผลกระทบแบบนั้นสำหรับหนุ่มๆ ทุกคน” คนประเภทที่มันดึงดูดเป็นสิ่งที่รบกวนใจเบล “พวกเขาเป็นคนประเภทก้าวร้าวค่ะ และพวกเขาก็ไม่ใช่คนประเภทที่ฉันจะรู้สึกแบบว่า ‘นี่ ชวนพวกเขามาทำอะไรกินกันในคืนวันเสาร์กันดีกว่า’ น่ะค่ะ”
   อย่างไรก็ดี เชพเพิร์ดก็เข้าใจความรู้สึกของผู้ชายที่หลงใหลได้ปลื้มในรถลินคอล์นของเขา “ชาวเขาในฮอลลีวูดไม่ใช่ตำนานนะครับ” เขากล่าว คริสตินกล่าวเสริมว่า “ฉันโชคดีที่เขายังมีฟันครบค่ะ”
   สัตว์ร้ายสี่ล้ออีกคันของเชพเพิร์ดก็ได้เปิดตัวในภาพยนตร์เรื่องนี้ด้วย มันคือรถวิบากคลาส วัย ทาทัม “นั่นเป็นรถแข่งในชีวิตจริงของผม มันเป็นรถแข่ง บาจา 1000 700 แรงม้า และมันก็ร้ายกาจมาก ผมสามารถทำให้มันกระโดดได้สูง 15 ฟุต และมันก็ลงพื้นได้นิ่มนวลเหมือนคุณนั่งโซฟาเลย มันเจ๋งสุดๆ” และแน่นอนว่าหน้าปัดและสวิทช์ทั้งหลายบนแผงของรถทาทัม ซึ่งทำให้ชาร์ลีย์มึนงงในตอนที่เขาพยายามสตาร์ทเครื่อง จริงๆ แล้วทำอะไรได้ ไม่ว่าจะเป็นการควบคุมแสง พัดลม ตัวนำทาง อ็อกซิเจนและอื่นๆ “มันไม่ได้มาพร้อมเครื่องมือ ผมเองก็งงพอๆ กับชาร์ลีย์ในตอนแรกที่ผมได้รถคันนี้มาน่ะครับ” เขากล่าวกลั้วหัวเราะ
   รถคันนี้ได้กระโดดอย่างที่เชพเพิร์ดพูดถึง ในช่วงท้ายเรื่อง เมื่อชาร์ลีย์และแอนนีพยายามจะหลบหนีจากคนที่ไล่ตาม ด้วยการขับรถทาทัมของคลินท์ ที่เขาเก็บไว้ในโรงนา พุ่งออกมา กระโดดข้ามรถตู้ของแรนดี้และรถตำรวจของเทอร์รี “คริสตินอยู่ในรถกับผมด้วย และแม้ว่าผมจะมีรถคันนั้นสองปีแล้ว เธอก็ไม่เคยนั่งรถคันนี้กับผมเลย” เชพเพิร์ดเล่า “ดังนั้น การกระโดดแบบนั้นก็เป็นครั้งแรกของเธอ และเธอก็ชอบมันครับ ครั้งแรกที่เราซ้อม เรายังไม่ทันลงพื้นด้วยซ้ำ เราอยู่บนจุดที่สูงที่สุดของการกระโดด แล้วเธอก็ตะโกนว่า ‘ฉันอยากกระโดดอีกรอบ!’ เหมือนเราอยู่บนโรลเลอร์ โคสเตอร์เลยครับ!”
   จริงๆ แล้ว เชพเพิร์ด ที่อยู่กับเบล ผู้ที่ผู้ชมจะเห็นว่าขับรถในทุกฉากที่ชาร์ลีย์ขับรถ ได้ขับรถผาดโผนทั้งหมดด้วยตัวเอง “ผมชอบ Bullitt ครับ” เขาบอก “และยิ่งผมโตขึ้น ผมก็ได้รู้ว่าสตีฟ แม็คควีนขับรถเองทั้งหมด มันยิ่งยกระดับ Bullitt ให้เป็นยิ่งกว่าหนังขับรถจริงๆ การได้รู้ว่าเขาขับรถเองทำให้ผมสนใจมากขึ้น มันกลายเป็นหนึ่งในพื้นฐานสำคัญของการสร้างหนังเรื่องนี้ การที่ผมจะขับรถด้วยตัวเองน่ะครับ”
   การได้เห็นเชพเพิร์ดและเบลซิ่งในฉากไล่ล่าทางรถยนต์ในภาพยนตร์ด้วยตัวเองจะเป็นการตอบแทนที่คุ้มค่าสำหรับผู้ชม เดอคาสโตรบอก “มันทำให้มันสมจริงครับ คุณรู้ว่ามันเป็นเขาเอง มันชัดเจนในหนังเรื่องนี้ว่าเป็นคริสตินและแด็กซ์ที่ขับรถคันนั้นในทุกฉาก และนั่นก็คือสิ่งที่แด็กซ์ต้องการจริงๆ เขาอยากให้ผู้ชมสัมผัสได้ถึงเรื่องนั้นครับ”
   แม้ว่าเชพเพิร์ดจะเคยมีประสบการณ์บนสนามแข่งมานาน ซีเควนซ์ขับรถกับนักขับรถมืออาชีพก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง “เรามีรถสี่คันวิ่งกันวุ่นเลย และเราก็มีคนขับรถเก่งๆ ขับรถพวกนั้นด้วย แด็กซ์ขับรถเก่งก็จริง แต่การขับรถในสนามก็แตกต่างจากขับรถเข้าหากล้อง แต่เขาก็เรียนรู้ได้ไวเหมือนมือโปรเลยครับ”
   แน่นอนว่าในตอนแรก เดอคาสโตรรู้สึกกังวลถึงไอเดียนี้ “เขาเป็นมือเขียนบท ผู้กำกับ นักแสดง เขาเป็นทุกตำแหน่งเลย ดังนั้น ถ้าเขาเจ็บ มันก็เป็นเรื่องใหญ่เลย เราต้องปิดกองเลยล่ะครับ” ผู้ประสานงานฝ่ายสตันท์ทำให้แน่ใจว่าจะคอยดูแลทุกอย่างอย่างระมัดระวัง และให้มีการซ้อมบ่อยๆ เพื่อทำให้แน่ใจว่านักแสดงจะปลอดภัย และขับรถผาดโผนได้โดยไม่ต้องเกรงกลัวอะไร
   เบล ไซด์คิกของเขา ไม่มีปัญหากับการแสดงฉากผาดโผนเลย “คริสตินสนุกมากครับ” เขากล่าว “เธอไว้ใจแด็กซ์ 125% เลย พวกเขาเยี่ยมมากเมื่ออยู่ด้วยกัน ซึ่งบางครั้งก็น่าหมั่นไส้นิดๆ เพราะพวกเขาน่ารักมากครับ!” เขากล่าวกลั้วหัวเราะ “ผมอยากจะไปตรงนั้นแล้วบอกว่า ‘นี่ พวกคุณ หยุดยิ้มซักทีได้มั้ย? นี่เป็นฉากไล่ล่านะ’ น่ะครับ”
   เชพเพิร์ดไม่ใช่นักแสดงเพียงคนเดียวที่ขับรถด้วยตัวเอง คูเปอร์และโรเซนบอมเองก็ได้โชว์ฝีมือเช่นเดียวกัน “เราจะเซ็ทฉากสถานการณ์ที่ค่อนข้างจะปลอดภัยให้พวกเขาทำ ที่พวกเขาไม่เคยทำมาก่อน หรือไม่ได้ทำมาตั้งแต่อายุ 16 ปีน่ะครับ” เชพเพิร์ดอธิบาย “มันเป็นข้อพิสูจน์ของแด็กซ์” แบรดลีย์ สโตนไซเฟอร์ตั้งข้อสังเกต “เขายืนยันกระต่ายขาเดียวตลอดเลยว่าเขาอยากให้นักแสดงขับรถผาดโผนด้วยตัวเองให้มากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้”
   มันเป็นเรื่องน่าตื่นเต้นสุดๆ สำหรับทีมนักแสดง “ผมไม่ค่อยคลั่งรถซักเท่าไหร่ครับ” ไมเคิล โรเซนบอมยอมรับ “ผมเล่นฮ็อกกี้และกีตาร์และผมก็เล่นเกมกระดาน แด็กซ์พยายามสอนผมว่าจะเปลี่ยนน้ำมันยังไง แต่รถกับการแข่งรถเป็นโลกของแด็กซ์ ไม่ใช่โลกของผมครับ แต่ที่ไหนอีกล่ะครับที่คุณจะแสดงฉากผาดโผนด้วยตัวเองได้” ตอนแรก เขารู้สึกประหม่าเล็กๆ เกี่ยวกับหลายสิ่ง แต่เขาก็ปรับตัวได้อย่างรวดเร็ว “ผมรู้สึกทำนองว่า ‘มันฟังดูน่ากลัวนะ ผมขอผ่านแล้วกัน’ แต่พออะดรีนาลินเริ่มพลุ่งพล่าน คุณก็จะรู้สึกแบบ ‘ผมอยากทำ’ และผมก็ชอบมันครับ ผมอยากทำมันซ้ำแล้วซ้ำอีก”
   ปาล์มเมอร์สังเกตถึงสิ่งเดียวกันกับแบรดลีย์ คูเปอร์ “เขาได้ขับรถผาดโผนด้วยตัวเอง และก็ไม่มีใครเคยปล่อยให้เขาทำแบบนั้น ผมอยู่ในรถคอยบันทึกภาพเขา ในฉากไล่ล่าครั้งสุดท้ายนั่น แล้วเราก็จะหยุดแล้วระเบิดเสียงหัวเราะกัน เขาเพิ่งปล่อยมุขออกมาครับ เขาจะบอกว่า ‘บางทีเราน่าจะลองใหม่อีกรอบ’ หรือ ‘คุณอยากให้ผมแสดงใหม่อีกครั้งไหม’ น่ะครับ ทอม อาร์โนลด์ไม่ได้ขับรถผาดโผนเลย แต่เขาก็โดนรถตู้ของเขาเล่นงานบ้าง ในช่วงเริ่มต้นเรื่อง ตอนที่รถตู้แล่นออกไปโดยไม่มีเขา อาร์โนลด์ที่วิ่งไล่ตามรถก็จะชนเข้ากับตัวรถ อย่างจงใจแค่บางส่วนน่ะครับ “ในหนังเรื่องนี้ เขาโดนหนักจริงๆ” แด็กซ์บอก “เขาโดนเล่นงานในทุกฉากเลย และเขาก็ชอบมาก” ปาล์มเมอร์กล่าวเสริมว่า “ทอมมีรูปร่างดี แต่เขาก็ไม่ฟิตปั๋ง ซึ่งเขาจะต้องออกไปอยู่ท่ามกลางความร้อน 90 องศาเพื่อไล่ตามรถตู้ ยิงปืน แล้วเราก็ต้องบันทึกภาพเขาจากทุกมุมมอง วันนั้น เขาโดนซ้อมหนักเป็นพิเศษ แต่ก็ไม่เคยปริปากบ่นเลย”
   จริงๆ แล้ว ระหว่างการถ่ายทำฉากรถ Tatum กระโดดข้ามรถตู้ของแรนดี้ ชีวิตจริงได้เลียนแบบศิลปะด้วย “ทอมจะต้องขับรถตู้เข้ามา แล้วกระโดดออกไปครับ” สโตนไซเฟอร์บอก “แต่เขาขยับรถตู้ให้เข้าตำแหน่งไม่ได้ซักที ดังนั้น ในตอนที่เขาออกมาพร้อมกับตะโกน รถตู้ก็เริ่มแล่นลงเนิน” อาร์โนลด์วิ่งไล่ตามมันซักพัก แต่ท้ายที่สุดก็เลิกคิด ผู้ช่วยกองถ่ายจะต้องวิ่งไล่ตามรถคันนั้นไปถึงท้องทุ่ง “สิ่งที่น่าขันก็คือตัวละครของเขาทำแบบเดียวกันนี้ในหนังครับ! ให้ทอมทำในสิ่งที่เขาทำเถอะ แล้วความวุ่นวายก็ตามมาเองครับ”
   ปกติแล้ว การวางแผนฉากไล่ล่าทางรถยนต์จะเริ่มต้นขึ้นจากคำอธิบายของมือเขียนบทในบท แม้ว่าตามที่เนท ทัคตั้งข้อสังเกต ทีมงานไม่ได้มีโอกาสแบบนั้นกับโปรเจ็กต์นี้เลย “มันตลกดนะครับ แด็กซ์เขียนทุกฉากอย่างละเอียด แต่พอถึงฉากไล่ล่าทางรถยนต์ มันกลับมีแค่ว่า ‘รถกระเด็นจากถนน มีการขับรถไล่ล่ากัน’ เท่านั้นเอง”
   ปกติแล้ว การวางแผนฉากพวกนั้นจะเกี่ยวข้องกับเชพเพิร์ด, ปาล์มเมอร์, สโตนไซเฟอร์และเดอคาสโตรที่รวมตัวกันที่โต๊ะอาหารเที่ยง และกำหนดการเคลื่อนไหวโดยใช้รถแมทช์บ็อกซ์ที่เดอคาสโตรเก็บไว้ใกล้ๆ เพื่อวัตถุประสงค์นี้  “เราแลกเปลี่ยนไอเดียกันครับ” เดอคาสโตรกล่าว “ผมจะบอกว่า ‘ผมคิดการไล่ล่ากันแบบนี้’ แล้วแด็กซ์ก็จะบอกว่า ‘แต่ผมคิดไว้อย่างนี้’ ทุกอย่างผ่านการคิคคำนวณอย่างดี แต่พอคุณไปถึงวันนั้นจริงๆ ทุกอย่างก็เปลี่ยนครับ”
   นั่นเองคือสิ่งที่เกิดขึ้นกับซีเควนซ์ไล่ล่าที่ใหญ่ที่สุดของเรื่อง เชพเพิร์ดเป็นแฟนของไวรัล เว็บ วิดีโอ Gymkhana ยอดนิยมของเคน บล็อก นักแข่งรถ มาตั้งแต่ที่มันเริ่มต้นเมื่อปี 2008 แล้ว “ผมหมกมุ่นกับวิดีโอพวกนั้นมาก” เขาบอก “พวกมันน่าทึ่งมาก ไม่มีอะไรเจ๋งกว่านั้นอีกแล้ว” ในคลิปพวกนั้น บล็อกลงแข่งในสนามเปิดโล่งและโลเกชันอื่นๆ และขับท่าผาดโผนที่เหลือเชื่อ ในแบบที่ทำให้แฟนๆ รถต้องอ้าปากค้าง “ผมอยากจะทำ Gymkhana ขึ้นใหม่ ผมอยากจะพิสูจน์ว่าผมสามารถขับรถแบบเคน บล็อกได้”
   วีโอต้นฉบับถ่ายทำที่ฐานทัพเรือเอล โทโรในออเรนจ์ เคาน์ตี้ ที่ซึ่งเชพเพิร์ดหวังว่าจะได้ใช้เช่นกัน แต่ค่าใช้สถานที่กลับทำให้พวกเขาไม่สามารถถ่ายทำที่นั่นได้ ทีมงานก็เลยใช้สถานที่ที่ดีที่สุดรองลงมา นั่นก็คือสถานีอากาศกองทัพเรือทัสติน ที่อยู่ใกล้ๆ สถานที่ดังกล่าวมีโรงเก็บเครื่องบินเก่าขนาดใหญ่สองแห่ง ซึ่งแต่ละแห่งยาว 1100 ฟุตและสูงเกือบ 200 ฟุต พวกมันถูกสร้างขึ้นในปี 1942 และได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นสถานที่สำคัญทางวิศวกรรมโยธาแห่งชาติ มันเป็นโครงสร้างไม้ขนาดใหญ่ที่สุดในยุคที่มันถูกสร้างขึ้นมา “มันกว้างขวางมาก และภายในก็โอ่โถงมากด้วยครับ” เชพเพิร์ดบอก “การได้มาปรากฏตัวในสนามเด็กเล่นแบบนี้เป็นเรื่องเหลือเชื่อเลย”
   การวางแผนซีเควนซ์นี้ล่วงหน้าแทบเป็นไปไม่ได้เลย เพราะพวกเขาไม่มีทุนพอสำหรับสตอรีบอร์ดและอนิเมติคส์ ซึ่งเป็นสิ่งจำเป็นต่อการวางแผนซีเควนซ์เหล่านั้น “ผมกับปาล์มเมอร์ไม่เคยมีประสบการณ์การถ่ายทำอะไรแบบนี้มาก่อน” เชพเพิร์ดกล่าว พวกเขาสองคนเดินทางไปสถานที่นั้น กระโดดเข้าไปในรถแล้วปล่อยให้ไอเดียไหลลื่น “เราไปสำรวจสถานที่กันครับ” ปาล์มเมอร์เล่า “ผมกับแด็กซ์ทัวร์โดยรอบ แล้วเราก็เริ่มขับรถเล่น เขาบอกผมว่า ‘เปิดกล้องซิ’ แล้วเขาก็เริ่มขับไปด้วยพร้อมกับบอกว่า ‘ลองขับตามแนวดูว่าเราสามารถระบุการเคลื่อนไหวของมันได้รึเปล่า’ น่ะครับ” สโตนไซเฟอร์กล่าวว่า “แด็กซ์ขับรถในวันนั้น แล้วเราก็ปล่อยให้หนังถ่ายทำตัวของมันเองครับ”
   การถ่ายทำซีเควนซ์นั้น รวมถึงซีเควนซ์ไล่ล่าอื่นๆ ในเรื่อง ตามปกติแล้วจะต้องใช้อุปกรณ์กล้องราคาแพง ทั้งแขนบูม เครน หัวไจโรสโคปิค อุปกรณ์ต่างๆ ที่ไกลเกินเอื้อมสำหรับกองถ่ายภาพยนตร์อินดี “เรามีการถ่ายทำรถ 18 วัน แต่เราไม่มีทรัพยากรอย่างที่สตูดิโอใหญ่มี” สโตนไซเฟอร์บอก “เราก็เลยถามตัวเองว่า ‘มีทางเลือกอื่นที่ประหยัดกว่านี้ ในการถ่ายทำฉากพวกนี้ให้ได้รึเปล่า’ น่ะครับ”
   ผู้กำกับภาพได้หันไปหาเพื่อนผู้กำกับภาพ ผู้เป็นอาจารย์ของเขา ผู้เสนอแนะแนวทางที่แหวกแนวให้กับเขา “สิ่งที่เราทำในท้ายที่สุดคือการใช้รถออฟโร้ด ที่มีชื่อว่าโพลาริส เรนเจอร์ อาร์ซีอาร์ แล้วผมก็ให้ทอร์รีย์ โชเนอร์ คนทำอุปกรณ์ สร้างฐานบันจี้ให้ผมห้อยอยู่ด้านหลัง เพื่อถ่ายทำฉากไล่ล่ารถยนต์ด้วยกล้องแฮนด์เฮลด์ครับ” มันฟังดูอัจฉริยะ และบ้าบิ่นสุดๆ ด้วย “เรามีช็อตมากมายที่ต้องอาศัยความใจกล้าครับ” เชพเพิร์ดบอก “แบรดเป็นหมีกรีซลี และผมก็ต้องการหมีกรีซลีครับ เขามีสัญชาตญาณเฉียบคม และเขาก็ทรหดเป็นบ้าเลย”
   “แบรดลีย์เป็นกอริลลาครับ” ปาล์มเมอร์บอก “คุณมัดเขาติดกับรถซิ่งคันไหนก็ได้ คุณสามารถโยนเขาใส่ที่ไหนก็ได้ เขาเป็นกอริลลาหนัก 220 ปอนด์ครับ เขาสามารถลงมือได้ทุกอย่างตามที่เราต้องการ เขาไม่เคยบอกว่า ‘ไม่’ เลย เขาพูดเสมอว่า ‘ได้ เอาเลย’ แล้วเขาก็มีสายตาเฉียบคมด้วย” ผู้กำกับภาพเสริมว่า “ความจำเป็นเป็นที่มาของสิ่งประดิษฐ์ครับ เราพยายามตั้งกล้องในทุกที่ที่เราต้องการ บางครั้งมันก็อันตราย แต่มันก็น่าตื่นเต้นด้วย เราต้องผลักดันให้มันให้ความรู้สึกสมจริง แม้ว่ามันจะหมายถึงการหักเลี้ยวด้วยความเร็ว 50 ไมล์ต่อชั่วโมง โดยที่ผมนั่งเบาะหลัง มือถือกล้อง คุณจะรู้สึกเหมือนอยู่บนโรลเลอร์ โคสเตอร์เลย คุณอยากจะร้องกรี๊ดเหมือนเด็กๆ มันสนุกจริงๆ ครับ”
   มีอีกฉากหนึ่งใน HIT AND RUN ที่นำมาซึ่งความท้าทายของมันเอง ซึ่งอาจจะมากกว่าฉากไล่ล่ารถทัสทินด้วยซ้ำไป นั่นคือฉากเลมอน ปาร์ตี้ “ผมไม่เคยได้ยินคำว่า ‘เลมอน ปาร์ตี้’ มาก่อน แต่พอผมเห็นมันปุ๊ป ผมก็เข้าใจชัดเจนว่ามันคืออะไร” สโตนไซเฟอร์อธิบาย
   เชพเพิร์ดและเบลไปพักผ่อนกันที่เกาะมาวี และวันหนึ่ง พวกเขาก็ได้เดินออกจากห้องโรงแรม เพียงเพื่อจะกลับมาแล้วพบว่ามีอีกครอบครัวหนึ่งได้ย้ายข้าวของของพวกเขาเข้ามา “มันมีของอย่างตุ๊กตากองระเกะระกะเต็มไปหมด เสื้อผ้าของพวกเขาถูกวางอยู่ ทั้งๆ ที่เสื้อผ้าของเราก็ยังอยู่ตรงนั้น” เชพเพิร์ดเล่า “ผมคิดว่า ‘นี่มันบ้าชัดๆ มันเกิดขึ้นได้ยังไง พวกเขาไม่เห็นรึไงว่าของของเรายังอยู่ที่นี่น่ะ’ แล้วถ้าพวกเขาเข้ามาในตอนที่เรายังอยู่ในห้อง พระเจ้าเท่านั้นที่รู้ว่าพวกเขาจะเห็นอะไรบ้าง!”
   เหตุการณ์นี้ติดอยู่ในหัวของเชพเพิร์ด จนถึงตอนที่เขาเขียนบท HIT AND RUN จะเกิดอะไรขึ้นถ้าแบรดลีย์ คูเปอร์เดินเข้าไปในห้องที่เต็มไปด้วยคนแก่เนื้อตัวเหี่ยวย่น เป็นเลมอน ปาร์ตี้ล่ะ? “ผมพูดเรื่องนี้กับเนท ทัค แล้วบอกว่า ‘ผมคงชอบนะ แต่มันอาจจะเกินไปหน่อย’ แต่เขาก็บอกว่า ‘ไม่เลย ไม่เลย ผมก็ชอบเหมือนกัน แล้วถ้ามีแค่คุณกับผมที่หัวเราะ แค่นั้นก็พอแล้วล่ะ’ น่ะครับ”
   ผู้อำนวยการสร้างติดต่อไปตามโฆษณาของพวกเคร็กลิสต์และสำรวจกลุ่มเปลือยกายจนกระทั่งได้ตัวคนชราสี่คน ที่พร้อมจะสร้างเซอร์ไพรส์ให้กับคูเปอร์
   ในภาพยนตร์เรื่องนี้ อเล็กซ์ ดิมิทรี ตัวละครของคูเปอร์ ได้ข่าวแว่วมาว่าชาร์ลีย์และแอนนีซ่อนตัวอยู่ในโมเต็ลที่ไหนซักแห่ง แล้วเขาก็โผล่พรวดเข้าไปในห้องที่เขาเชื่อว่าเป็นห้องของทั้งคู่ แต่กลับเจอกลุ่มคนชราเปลือยกายกำลังเฮฮากันแทน “เราไม่ได้บอกคูเปอร์ว่าพวกเขาเปลือยกายอยู่ เขารู้เอาตอนที่เขาเดินเข้าไปในห้อง เราอยากได้ความรู้สึกประหลาดใจจริงๆ ครับ”
   มันเป็นครั้งแรกสำหรับทีมงานหลายคน แต่ไม่ทั้งหมด “ผมไม่เคยถ่ายทำภาพกลุ่มคนเปลือยกายมาก่อนเลย” สโตนไซเฟอร์ยอมรับ แต่ปาล์มเมอร์เคยมาแล้ว “โชคดีสำหรับผม” เขากล่าว “ผมเคยถ่ายสารคดีโชว์ไทม์ที่ชื่อว่า Strip เกี่ยวกับช่างภาพที่ถ่ายภาพคนที่สวมเสื้อผ้าและคนเปลือยกาย ผมก็เลยเคยใช้เวลาหลายวันถ่ายภาพคนที่เปลือยกายล่อนจ้อน ดังนั้น เมื่อถึงวันนั้น ผมก็แบบ ‘โอเค ผมเคยเห็นมาแล้ว’ น่ะครับ”
   กลุ่มคนชราต่างก็สนุกกับการแสดงฉากนี้ “ผมคิดว่าพวกเขาสนุกกับการเปลือยกายมากกว่าการสวมเสื้อผ้า” สโตนไซเฟอร์เล่า โดยเฉพาะสุภาพบุรุษที่ชื่อว่าเกรแฮม หลังจากเขามาถึง ซึ่งเนท ทัคก็เล่าให้ผู้กำกับเขาฟังว่า “เตรียมตัวมาพร้อมถ่ายทำมากๆ” ซึ่งก็ทำให้เชพเพิร์ดเรียกตัวเขากลับมาอีกในวันที่สองเพื่อ…ช็อตพิเศษ
   “ในคืนหลังจากที่ถ่ายทำกับพวกเขา ผมกลับไปบ้านแล้วก็เกิดความคิดว่า ‘เราน่าจะได้ช็อตตรงหว่างขาของเกรแฮม ที่เราจะให้คูเปอร์อยู่ตรงหว่างขาเขาได้นะ มันคงเยี่ยมไปเลย’ น่ะครับ” เชพเพิร์ดเล่า “และมันก็ออกมาเพอร์เฟ็กต์ ไอ้จ้อนของเขาห้อยอยู่เหนือหน้าเขาพอดี” การจัดเฟรมเป็นเรื่องสำคัญในจุดนี้
   “ผมนั่งอยู่ตรงนั้นกับจอห์น เรเยส ผู้ช่วยช่างกล้องของผม” สโตนไซเฟอร์บอก “แล้วเราก็บอกสุภาพบุรุษคนนั้นว่า ‘ไปทางขวาหน่อย คุณก้าวไปข้างหน้าอีกหน่อยได้มั้ย’ เราทั้งคู่มองหน้ากันแล้วบอกว่า ‘ผมว่าตอนนี้ เราได้ทำทุกอย่างครบหมดจริงๆ แล้วล่ะ’ น่ะครับ”
   แต่ทั้งหมดที่พวกเขาทำไปก็เพื่อความสนุกล้วนๆ “สิ่งที่แด็กซ์และคริสตินอยากทำคือการได้ออกไปใช้เวลาสองสามเดือนอยู่กับเพื่อนๆ และสร้างหนังสนุกๆ น่ะครับ” ผู้กำกับภาพกล่าว
   “หนังเรื่องนี้เป็นเหมือนงานเลี้ยงวันเกิดยิ่งใหญ่สำหรับผม” เชพเพิร์ดบอก “มีผู้หญิงที่ผมรักที่สุดเป็นเพื่อนร่วมแสดง ผมได้เหยียบมิดไมล์ เลี้ยวเป็นวงกลมครบรอบ และกระโดดข้ามรถคันอื่น แล้วก็มีแต่เพื่อนซี้ผมรวมตัวกันหกสัปดาห์ ซึ่งผมคงไม่สามารถทำให้มันเกิดขึ้นได้ถ้าเป็นครั้งอื่น ทุกสิ่งที่ผมรักรวมกันอยู่ในแพ็คเกจขนาดย่อมเยานี้แล้วครับ”