“สามารถ” พร้อมลุยครึ่งปีหลัง มั่นใจโตต่อเนื่องทั้งกลุ่ม
กลุ่มบริษัทสามารถเผยว่าผลประกอบการไตรมาส 2 เมื่อเทียบกับไตรมาสแรกปีนี้ มีแนวโน้มการเติบโตสูงขึ้นอย่างชัดเจน โดยมีรายได้รวมทั้งสิ้น 4,437 ล้านบาท เพิ่มถึง 17 เปอร์เซนต์ จาก 3,805 ล้านบาท เป็น 4,437 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิเพิ่มสูงขึ้นถึง 180 เปอร์เซนต์ จาก 43 ล้านบาท เป็น 122 ล้านบาท มั่นใจไอ-โมบายผ่านจุดต่ำสุดแล้ว ครึ่งปีหลังรายได้และกำไรเพิ่มขึ้นแน่นอน ส่วนสามารถเทลคอมทุบสถิติสูงสุดด้วยรายได้ครึ่งปีเกือบ 3 พันล้านบาท
นายวัฒน์ชัย วิไลลักษณ์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท สามารถคอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ผลประกอบการไตรมาสสองของกลุ่มบริษัทสามารถเป็นที่น่าพอใจ เพราะเมื่อเปรียบเทียบรายได้และกำไรสุทธิที่ได้จากการดำเนินธุรกิจกับไตรมาสเดียวกันของปีก่อน พบว่ามีรายได้เพิ่มขึ้น 21 เปอร์เซนต์ และมีกำไรสุทธิเพิ่มสูงขึ้นถึง 76 เปอร์เซนต์ สะท้อนถึงการฟื้นตัวของภาวะเศรษฐกิจ โดยเฉพาะธุรกิจมือถือไอ-โมบาย ซึ่งที่ผ่านมาได้รับผลกระทบค่อนข้างมากจากกำลังซื้อที่ถดถอยทั้งในและต่างประเทศ อย่างไรก็ตาม เมื่อวิเคราะห์ในเชิงจำนวนเครื่องที่จำหน่ายได้แล้ว พบว่าครึ่งปีแรก ไอ-โมบายยังคงจำหน่ายเครื่องได้ถึง 1.2 ล้านเครื่อง ซึ่งใกล้เคียงกับจำนวนเครื่องที่จำหน่ายได้ในช่วงเดียวกันของปีก่อน ดังนั้น บริษัทฯ จึงยังคงตั้งเป้าการจำหน่ายเครื่องในครึ่งปีหลังไว้ที่ 1.5 ล้านเครื่อง เพราะเชื่อว่าเศรษฐกิจเริ่มฟื้นตัวแล้ว และในครึ่งปีหลังจะมีการเปิดตัวมือถือรุ่นใหม่ๆ อีกกว่า 20 รุ่นที่สามารถรองรับเทคโนโลยีชั้นสูง ซึ่งนอกจากจะช่วยสร้างความเชื่อมั่นและภาพลักษณ์ที่ดีให้แก่ไอ-โมบายแล้ว ยังจะสามารถขยับราคาขายโดยเฉลี่ยให้เพิ่มสูงขึ้นตามลำดับได้อีกด้วย ส่วนสายธุรกิจไอซีทีปีนี้มีผลประกอบการที่โดดเด่น ล่าสุดทำสถิติรายได้ครึ่งปีสูงสุด 2,963 ล้านบาท โดยสูงกว่ารายได้รวมของทุกปีที่ผ่านมา อันเป็นผลจากงานโครงการภาครัฐและรัฐวิสาหกิจในการพัฒนาเครือข่ายการสื่อสารโทรคมนาคม
รายละเอียดผลประกอบการแยกตามสายธุรกิจ เริ่มจากสายธุรกิจ ICT Solutions โดยกลุ่มสามารถเทลคอมปีนี้ มีแนวโน้มการเติบโตอย่างชัดเจน ในไตรมาส 2 มีรายได้รวม 1,830 ล้านบาท เติบโต 160 เปอร์เซนต์ มีกำไรสุทธิ 84 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยเปอร์เซนต์เมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวของปีก่อน โดยรวมแล้วมีรายได้ครึ่งปี 2,963 ล้านบาทซึ่งสูงกว่ารายได้ทั้งปีของทุกปีที่ผ่านมา อีกทั้งปัจจุบันยังมีโครงการในมือที่ทยอยรับรู้รายได้อีกกว่า 4,500 ล้านบาท และมีโครงการที่อยู่ระหว่างรอการประมูลในครึ่งปีหลังอีกกว่า 30,000 ล้านบาท ล่าสุดคว้างานประมูลระบบสารสนเทศที่ดินกรมที่ดิน มูลค่า 739 ล้านบาท และอีกหนึ่งโครงการใหญ่ซึ่งจะประกาศผลเร็วๆนี้มูลค่ากว่า 2,500 ล้านบาท
สาย Mobile Multimedia โดยกลุ่มสามารถ ไอ-โมบาย มีรายได้รวมไตรมาส 2 ปี 52 เท่ากับ 2,148 ล้านบาท ลดลง 10 เปอร์เซนต์ กำไรสุทธิ 46 ล้านบาท ลดลง 8 เปอร์เซนต์จากช่วงเดียวกันของปีก่อน แต่ถ้าเทียบกับไตรมาสแรกของปีนี้ มีกำไรสุทธิเพิ่มขึ้นถึง 360 เปอร์เซนต์ ทั้งนี้ เป็นผลจากการบริหารต้นทุนค่าใช้จ่ายและสินค้าคงคลังอย่างมีประสิทธิภาพ รวมทั้งการรักษายอดจำหน่ายได้อย่างคงที่ ดีกว่าสภาวะตลาดโดยรวม อีกทั้งราคาขายเครื่องโดยเฉลี่ยในไตรมาสสองก็เริ่มขยับตัวสูงขึ้น โดยในครึ่งปีหลัง มีแผนในการเปิดตัวมากกว่า 20 รุ่น รองรับโครงข่ายการให้บริการทั้ง GSM, CDMA และ 3G ส่วนตลาดต่างประเทศ ปีนี้ไอ-โมบายมุ่งเน้นไปที่ประเทศหลักที่บริษัทฯ มีฐานการตลาดที่แข็งแกร่ง เช่น มาเลเซีย อินโดนีเซีย อินเดีย บังคลาเทศ และกัมพูชา เป็นต้น ในส่วนของธุรกิจคอนเทนต์มีรายได้ในไตรมาส 2 ทั้งสิ้น 192 ล้านบาท ยังคงเติบโตสูงขึ้นทั้งรายได้และสัดส่วนการตลาด โดยยังคงรักษาความเป็นอันดับ 1 ของผู้ให้บริการข้อมูล (Content Provider) นอกจากนั้น ยังมีการพัฒนา Application ต่างๆ เพื่อสร้างความแตกต่างและมูลค่าเพิ่มให้กับธุรกิจโทรศัพท์เคลื่อนที่ โดยในครึ่งปีหลังบริษัทฯ มีความพร้อมในการให้บริการ Push mail บนเครื่องโทรศัพท์เคลื่อนที่ i-mobile รวมทั้งยังมีการพัฒนาบริการประเภทใหม่ๆ อาทิเช่น กิน ดื่ม เที่ยว (EDT guide), VDO streaming, VDO on demand เพื่อรองรับการใช้งานบนโครงข่ายไร้สายความเร็วสูง (3G, Wi-Max etc.) ในอนาคตอันใกล้
นอกจากสองสายธุรกิจหลักแล้ว กลุ่มสามารถฯ ยังมีรายได้จากสายธุรกิจอื่นๆ อาทิ บริษัท แคมโบเดีย แอร์ทราฟฟิค เซอร์วิสเซส จำกัด บริษัทกัมปอต เพาเวอร์แพลนท์ จำกัด และบริษัท วันทูวัน คอนแทคส์ จำกัด เป็นต้น ซึ่งในไตรมาส 2 ปีนี้ มีรายได้รวมทั้งสิ้น 451 ล้านบาท เพิ่มขึ้นเล็กน้อย กำไรสุทธิ 38 ล้านบาท เพิ่มขึ้นเท่าตัว สำหรับภาพรวมการดำเนินธุรกิจของกลุ่มสามารถในช่วงครึ่งปีหลัง มั่นใจว่าทั้งรายได้และผลกำไรจะดีขึ้นอย่างแน่นอน ทั้งในสายธุรกิจไอซีทีซึ่งจะมีการทยอยรับรู้รายได้อย่างต่อเนื่องและโอกาสในการเข้าร่วมประมูลโครงการใหม่ๆ มูลค่ากว่า 30,000 ล้านบาท ส่วนธุรกิจไอ-โมบายและคอนเทนต์ นอกจากการเปิดตัวมือถือไอ-โมบาย 3 จีแล้ว ยังจะมีโอกาสทางธุรกิจที่ตามมาจากโครงข่าย 3 จี อาทิ การให้บริการ MVNO ซึ่งบริษัทฯ มีความพร้อมในการเป็นผู้ขายต่อบริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ (MVNO) จากความแข็งแกร่งในธุรกิจอุปกรณ์ลูกข่ายโทรศัพท์เคลื่อนที่และการให้บริการข้อมูล (Content Provider) ผ่านจุดจำหน่ายและศูนย์บริการทั่วประเทศกว่า 600 แห่งและตัวแทนจำหน่ายทั่วประเทศกว่า 3,000 ราย ทำให้มั่นใจว่าจากนี้ไป ไอ-โมบายจะยังคงรักษาความได้เปรียบในอุตสาหกรรมและพร้อมในการเข้าสู่ธุรกิจใหม่ เพื่อสร้างรายได้ให้เติบโตต่อเนื่อง นายวัฒน์ชัยกล่าวปิดท้าย