happy on July 29, 2012, 07:30:22 PM
จากอังกฤษสู่นิวอิงก์แลนด์ และโอเรกอน “ในการสร้างอนิเมชั่นสต็อป โมชัน หรือที่เราเรียกกันในอังกฤษว่าอนิเมชั่นสต็อปเฟรม คุณจะต้องรักมัน…มาเป็นปีๆ ครับ” ผู้กำกับแซม เฟล ผู้มีประสบการณ์มากมายและสอนตัวเองในศิลปะแขนงนี้กล่าว “ใน ParaNorman เราอยากจะลองวิธีการสร้างอนิเมชั่นที่แปลกใหม่ ที่ให้ความรู้สึกแบบละครน้อยลงและให้ความรู้สึกแบบหนังมากขึ้น ParaNorman มีอะไรหลายอย่างเกิดขึ้นมากมายจนคุณไม่น่าจะสร้างมันแบบสต็อป โมชัน มันมีฉากฝูงชนที่มีตัวประกอบ การไล่ล่า ไดอะล็อคทับซ้อนกัน ช็อตโคลสอัพและช็อตปฏิกิริยา โดยที่สองในสามของฉากพวกนี้เกิดขึ้นกลางแจ้ง”
คริส บัตเลอร์ ผู้กำกับ ParaNorman เล่าว่า “มีมาตรฐานบางอย่างที่เรากำหนดไว้สำหรับตัวเอง คุณจะรู้สึกถึงความทะเยอทะยานของโปรเจ็กต์นี้ในทุกวัน แต่คุณก็จะลืมตัวไปกับโลกแฟนตาซีใบนั้น ในตอนที่คุณทำงานในหนังสต็อป โมชัน คุณจะได้ทำในสิ่งที่พิเศษสุดที่คุณหวังว่าจะมีผู้ชมไปอีกหลายสิบปีน่ะครับ”
“ผมทำงานอนิเมชั่นมาโดยตลอด นอร์แมนเป็นเด็กที่ชอบแต่งเรื่อง และผมเองก็เหมือนกัน ตอนที่ผมอายุ 8 ขวบ ผมรู้ว่าผมอยากเล่าเรื่องด้วยอนิเมชั่น ด้วยตัวละครและภาพวิชวล ผมไล่ตามความฝันนั้นและมันก็กลายเป็นความจริงสำหรับผม”
ก่อนหน้าที่บัตเลอร์จะเริ่มทำงานในไลก้า และทำหน้าที่ซูเปอร์ไวเซอร์ฝ่ายสตอรีบอร์ดในภาพยนตร์ของบริษัทเรื่อง Coraline เขามีไอเดียสำหรับภาพยนตร์อนิเมชั่นออริจินอล ที่เขาเริ่มต้นเขียนบท เขาตั้งข้อสังเกตว่า “มีธรรมเนียมที่นักวาดภาพสตอรีบอร์ดและซูเปอร์ไวเซอร์จะกลายเป็นผู้กำกับหนังอนิเมชั่น ก่อนอื่นคุณจะสร้างหนังด้วยภาพวาด แล้วคุณค่อยสร้างมันขึ้นมาจริงๆ ผมอยากเห็นเรื่องราวของผมเป็นภาพจริงๆ ขึ้นมาในรูปแบบสต็อป โมชันครับ”
“การเขียน ParaNorman เป็นงานแห่งรัก ผมอยากจะสร้างหนังซอมบี้สำหรับเด็กๆ เป็นการนำปริศนาแบบสกู๊ปปี้ดูไปสู่บทสรุปที่สมเหตุสมผล แทนที่จะหักล้างความเชื่อนั้นๆ และมันก็มีไอเดียที่ว่า ‘จะเกิดอะไรขึ้นถ้า’ ที่เกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างผมกับยายผมด้วย ผมก็เลยจับมันใส่ลงในบทที่จะแสดงความเคารพต่อเรื่องนั้นและเต็มไปด้วยการผจญภัย ซึ่งเป็นเรื่องเกี่ยวกับตัวตนของเราด้วย หนึ่งในธีมหนังของเราคือ ‘คุณจะตัดสินหนังสือจากปกไม่ได้’ น่ะครับ”
เขาขยายความต่อว่า “ผมใช้เวลา 10 ปีกว่าจะเขียนบทเสร็จ ผมจะเขียนๆ หยุดๆ เช่นว่าผมจะทำงานในหนังของคนอื่นทั้งวัน แล้วก็กลับมาบ้าน รีแล็กซ์ด้วยการเขียนบท ดังนั้น ParaNorman ซึ่งตอนแรกยังไม่มีชื่อ เป็นแค่หนังซอมบี้ซักเรื่อง ก็ใช้เวลาถือกำเนิดนานมากครับ”
ผู้อำนวยการสร้างเอรีแอนน์ ซุทเนอร์มาร่วมงานนี้ตั้งแต่เริ่มแรก ก่อนหน้าที่บทจะเขียนเสร็จเสียอีก เธอเล่าว่า “เรื่องราวเกี่ยวกับเด็กนอกกลุ่มและเรื่องราวเกี่ยวกับสัตว์ประหลาดมีเสน่ห์ที่มีความเป็นสากลและอมตะ แต่เรื่องนี้จะแตกต่างจากเรื่องอื่นๆ ที่เราเคยดูมา สิ่งที่ทำให้ฉันประทับใจเกี่ยวกับบทของคริสคือการที่เขาคิดหนังเรื่องนี้ว่าเป็นหนังสำหรับเด็กและเกี่ยวกับเด็ก โดยไม่ได้ดูถูกพวกเขา และการที่หนังเรื่องนี้ได้พูดกับคนเป็นพ่อแม่อย่างฉันด้วย คริสแสดงให้เห็นว่านอร์แมนเผชิญหน้ากับความกลัวและยอมรับพรสวรรค์พิเศษที่เขามีอย่างไร”
“คริสทำงานอย่างหนักเพื่อผสมผสานตัวละครเยี่ยมๆ เรื่องอบอุ่นหัวใจ ซีเควนซ์แอ็กชัน/ผจญภัยที่น่าตื่นตาตื่นใจ และคอเมดี ที่ไม่ได้เป็นแค่แก๊ก แต่เป็นอารมณ์ขันจริงๆ ด้วยค่ะ”
สิ่งหลังนี้เป็นองค์ประกอบสำคัญเสมอเพราะบัตเลอร์ตระหนักตั้งแต่เริ่มแรกแล้วว่า “เรื่องน่ากลัวไม่ใช่สิ่งที่พาคุณไปได้ตลอดเรื่อง แต่มันเป็นอารมณ์ขันที่เกิดจากตัวละครต่างหาก”
ซุทเนอร์ ผู้ซึ่งประสบการณ์สต็อป โมชันของเธอรวมถึงการร่วมมือกับเฮนรี เซลิค ผู้กำกับ Coraline มากว่าสิบปี ได้ร่วมงานกับบัตเลอร์เพื่อพัฒนาบทภาพยนตร์เรื่องนี้ต่อ เธอตั้งข้อสังเกตว่า “สต็อป โมชันเป็นวิธีการสร้างหนังที่งดงาม และเป็นวิธีการที่พัฒนามาเป็นกระบวนการการร่วมมือกันที่แท้จริง แม้แต่ในระหว่างการพัฒนาบท เพราะเรื่องของสื่อและประสบการณ์ในแผนกเรื่องราวของคริส เราก็เลยโฟกัสไปที่การสำรวจด้านวิชวลเพิ่มเติมจากเรื่องของจังหวะและโครงสร้าง”
ที่ไลก้า ผู้อำนวยการสร้างทราวิส ไนท์ได้อ่านบทภาพยนตร์ที่ยังไม่สมบูรณ์ เขายอมรับว่า “ได้เห็นหลายส่วนของตัวเองและลูกๆ ของผมในนอร์แมน” ดังนั้น เขาก็เลยอยากรู้ว่าเรื่องราวจะลงเอยอย่างไร ดังนั้น ระหว่างการถ่ายทำ Coraline เรื่อง ParaNorman จึงถูกเพิ่มเข้ามาในตารางการพัฒนางานของไลก้า ก่อนจะถูกขยับเลื่อนมาอยู่แถวหน้าอย่างรวดเร็ว
ซุทเนอร์รำพึงว่า “ในโลกอนิเมชั่น ไม่มีอะไรเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว แต่การผลักดันหนังเรื่องนี้ให้เข้าสู่ตารางการทำงานเกิดขึ้นได้เร็วมากเลยค่ะ!”
บัตเลอร์เล่าว่า “หน้าท้ายๆ ซึ่งรวมถึงตอนไคลแม็กซ์ ถูกกำหนดเอาไว้แล้วทั้งหมด ด้วยความที่ตัวผมเองก็มาจาก [แผนกที่ไลก้า] เรื่องราวอยู่แล้ว ผมก็รู้ดีว่ามันสำคัญขนาดไหน แต่มันก็ถูกเขียนขึ้นระหว่างที่เราทำงานใน Coraline พอหนังเรื่องนั้นเสร็จ เราก็ไปวางแผน ParaNorman กันต่อ จริงๆ แล้ว ผมยังไม่ได้พักผ่อนจริงๆ จังๆ ตั้งแต่ Coraline แล้วนะครับเนี่ย…!”
ซุทเนอร์ตั้งข้อสังเกตว่า “คริสรู้ว่าเขาอยากให้สิ่งที่เขาเขียนลงบนกระดาษไปโลดแล่นบนหน้าจออย่างไร ฉันบอกได้ว่าเขามีความเข้มแข็งพอสำหรับการเป็นผู้กำกับตามศักยภาพของเขา และฉันก็บอกให้เขาเชื่อในสัญชาตญาณตัวเอง”
“ไลก้าไม่ใช่สตูดิโออนิเมชั่นแห่งแรกที่มีผู้กำกับมาจากแผนกเรื่องราว แต่สิ่งที่ทำให้พวกเขาแตกต่างคือในตอนที่พวกเขาเชื่อใจผู้กำกับ พวกเขาเชื่อใจวิสัยทัศน์ของผู้กำกับ พวกเขาศรัทธาในคริสเพราะเขาเป็นนักเล่าเรื่องด้วยภาพอยู่แล้วค่ะ”
บัตเลอร์เล่าว่า “สตูดิโออื่นคงอยากจะเปลี่ยนแปลงมันและสร้างหนังเรื่องนี้โดยตัดองค์ประกอบที่ท้าทายออกไป แต่ทราวิสมองความท้าทายเหล่านี้ว่าเป็นโบนัส และนั่นก็คือสิ่งที่ทำให้ไลก้าพิเศษสุด ที่นี่ เราอยากจะสร้างเนื้อหาที่ผิดจากธรรมดา เหมือนตัวนอร์แมนเอง และทุกย่างก้าวที่ไลก้าแห่งนี้ ทราวิสก็ได้สนับสนุนผมและวิสัยทัศน์ของผมครับ”
ในส่วนตัวเขา เฟลรู้สึกมั่นใจพอที่จะเข้าร่วมโปรเจ็กต์นี้ในปี 2009 เขาตั้งข้อสังเกตว่า “ผมเพิ่ง่ได้ดู Caroline และคิดว่างานสร้างของไลก้าทั้งน่าทึ่งและทะเยอทะยาน มันคงจะเกิดขึ้นที่อื่นไม่ได้ ผมอยากจะมาร่วมงานกับคนพวกนี้ ที่สร้างมิติการทำงานใหม่ๆ ให้เกิดขึ้นน่ะครับ”
“ความเฉียบคมแบบอังกฤษในบทของคริสมีเสน่ห์สำหรับผม แต่สิ่งที่โดนใจผมจริงๆ คือนอร์แมน ตัวละครหลักของเรื่องและลักษณะที่เขาเติบโตและเปลี่ยนแปลง ผมเชื่อว่าเป็นเรื่องดีที่เด็กๆ จะได้รู้ว่า การเป็นคนแตกต่าง และโดดเด่นเป็นเรื่องที่โอเคน่ะครับ”
ซุทเนอร์ตั้งข้อสังเกตว่า “แซมสามารถผลักดันไอเดียของคริสให้ไปไกลกว่าเดิม แต่ก็ยังชี้ให้เห็นถึงวิธีการสร้างเนื้อหานี้ให้เป็นจริงขึ้นมาค่ะ”
เฟลถูกใจคอนเซ็ปต์ของบัตเลอร์ในเรื่อง “จอห์น คาร์เพนเตอร์ปะทะจอห์น ฮิวจ์” และเขาก็ชื่นชอบไอเดียของการที่คนนอกกลุ่มเบรคฟาสต์ คลับของฮิวจ์ต้องรับมือกับคำสาปของพวกซอมบี้ที่เหมือนกับหมอกด้วย
เฟลกล่าวว่า “กลายเป็นเราทำงานร่วมกันเพื่อถ่ายทอดจิตวิญญาณดังกล่าว คริสเปิดกว้างต่อไอเดียของผมเกี่ยวกับการคิดโครงสร้าง เราอยากจะสร้างสิ่งที่ครอบครัวจะชอบดู และได้เล่นกับแนวหนังที่เป็นที่รัก ผมกับคริสรู้ว่าเรากำลังถ่ายทอดกลิ่นไอของยุค 80s ไม่ได้ทำงานผสมผสานศิลปะ และเราก็คงจะนำทางภาพไปยังแนวทางนั้น ไปสู่เมืองอเมริกันเล็กๆ แม้ว่าเราจะเป็นคนอังกฤษก็ตามที!”
บัตเลอร์ให้ความเห็นว่า “มันต้องเป็นนิวอิงก์แลนด์ครับ นั่นเป็นส่วนสำคัญของเรื่องราว ผมเคยใช้เวลาอยู่ที่นั่น และมันก็เหมือนกับการอยู่กับบ้านที่มีขอบประตูบิดเบี้ยวและรั้วโทรมๆ น่ะครับ…”
ไนท์ตั้งข้อสังเกตว่า “ผมคิดว่าศิลปินทุกคนจะดึงแรงบันดาลใจมาจากสามแหล่ง คือประสบการณ์ส่วนตัวหรือความทรงจำ, สิ่งที่พวกเขาสังเกตหรือค้นคว้าและสุดท้ายคือจินตนาการครับ ถ้าคุณดึงอะไรจากสองแหล่งแรกไม่ได้ จินตนาการก็จะต้องถูกใช้อย่างหนัก และมันก็จะประสานร้อยเรียงทุกอย่างที่กล่าวถึงข้างต้น และอื่นๆ เข้าด้วยกันครับ”
“ParaNorman มีภาพที่น่าทึ่งและเป็นการแสดงความเคารพที่น่าตื่นเต้นสำหรับสิ่งบันเทิงต่างๆ ที่เราโตขึ้นมากับมัน แต่มันยังกระตุ้นความประทับใจและความสงสารที่ลึกซึ้งด้วย แม้กระทั่งในช่วงเวลาขำขันและที่ไร้สาระที่สุด เราก็ยังปฏิบัติต่อประเด็นต่างๆ อย่างจริงจังครับ”
บัตเลอร์เล่าว่า “หนังที่แอมบลินอำนวยการสร้างจากยุค 80s อย่าง The Goonies มีประกายวูบวาบ ความอบอุ่นและความน่าเอ็นดู และพวกเขาก็ไม่ได้ดูแคลนเด็กๆ ในหนังที่สนุกสนานตื่นเต้นเรื่องนี้ มันจะมีสิ่งที่เด็กๆ ต้องเจอในชีวิตประจำวันของโลกแห่งความเป็นจริง เช่นการเข้ากลุ่ม การเผชิญหน้ากับอันธพาล รวมถึงสิ่งที่พวกเขาไม่เคยเจอในสถานการณ์ปกติ อย่างเช่นการโจมตีของซอมบี้น่ะครับ”
เฟลเล่าว่า “ผมเองก็เคยดูหนังพวกนั้นเหมือนกัน ตอนที่ผมเป็นวัยรุ่น พวกมันมีความพิเศษ และกล่าวถึงประเด็นต่างๆ แม้ว่าจะมีเรื่องของบ้านผีสิงก็จริง แต่ ParaNorman ก็พูดถึงการกลั่นแกล้ง แต่ไม่ใช่ในเชิงสั่งสอน และบทของคริสก็นำเรื่องราวของนอร์แมนและผู้ชมไปสู่ตอนจบที่แข็งแรงจริงๆ ครับ”
“หนังเรื่องนี้มีหัวใจครับ มันทั้งดรามา ทั้งสะเทือนอารมณ์ เต็มไปด้วยคอเมดี แอ็กชันและการผจญภัย นอกจากนี้ เรายังตื่นเต้นที่จะผลักดันให้มันยิ่งใหญ่ขึ้นในทิศทางต่างๆ เหล่านี้ รวมถึงในทั้งสองฟากฝั่งของสเกลสต็อป โมชันในแง่ของสโคปและการเคลื่อนไหวด้วยครับ”
ทริสแทน โอลิเวอร์ ผู้กำกับภาพสต็อป โมชันชื่อดังประทับใจกับบทภาพยนตร์เรื่องนี้และมุมมองทะเยอทะยานที่ผู้กำกับมีต่อเนื้อหานี้ ทั้งสามคนร่วมกันระดมความคิดสำหรับสิ่งที่ซุทเนอร์กล่าวชื่นชมว่าเป็น “มุมกล้องและการเคลื่อนไหวที่มีชีวิตชีวา ซึ่งจะผลักดันขอบเขตของสต็อป โมชันออกไปอีก”
โอลิเวอร์กล่าวอธิบายว่า “สำหรับผม ในการถ่ายทำหนัง ผมจะต้องมีวิสัยทัศน์จากบนลงล่างเพื่อให้ทุกอย่างสอดคล้องต่อเนื่อง รวมถึงผมต้องร่วมงานกับผู้กำกับด้วย หนังเรื่องนี้ใหญ่กว่าทุกเรื่องที่ผมเคยทำมาแต่ผมมาถึงจุดๆ นี้ในอาชีพของผม ที่ผมมองหาสิ่งที่แตกต่างในหนังทุกเรื่อง ภาพอาร์ตเวิร์คคอนเซ็ปต์ของ ParaNorman ที่ผมได้ดูทำให้ผมประทับใจ ผมรู้จักแซมมากว่า 20 ปีแล้ว และผมก็ชื่นชอบความกระตือรือร้นของคริสในทันที บทของเขาเป็นบทที่สมบูรณ์ที่สุดเท่าที่ผมเคยทำงานมา โดยเฉพาะอย่างยิ่งในองก์ที่สามน่ะครับ”
“ตอนที่ผมนั่งคุยกับคริสและแซมในช่วงเริ่มแรก เราได้คุยกันว่าลุคหลักๆ ของ ParaNorman จะเป็นอย่างไร รวมทั้งแรงบันดาลใจและข้อมูลอ้างอิงสำหรับหนังเรื่องนี้ด้วย ผมนำ ‘รีลมู้ด’ จากคลิปหนังและภาพถ่ายจากหนังเรื่องต่างๆ มาให้พวกเราดู และพวกเขาก็สนใจ เราทุกคนมาจากอังกฤษ เราก็เลยพูดภาษาเดียวกันครับ!”
เขาเล่าว่า “มันไม่แปลกที่มีผู้กำกับสองคนอยู่ในอนิเมชั่น ผมเคยทำงานในโปรเจ็กต์แบบนั้นมาแล้ว และมันก็เวิร์คมากสำหรับ ParaNorman คริสและแซมเติมเต็มช่องว่างของกันและกันในกระบวนการนี้ได้เป็นอย่างดีครับ”
เฟลเล่าว่า “อนิเมชั่นแบบนี้เหมาะกับการมีผู้กำกับสองคน ผมกับคริสดูเหมือนจะคลิกกัน และเติมเต็มกันและกัน หนังเรื่องนี้เป็นหนังฟอร์มยักษ์ที่เราต้องควบคุมให้อยู่ แต่เราก็มีวิสัยทัศน์เหมือนๆ กันและเราก็ทำงานเคียงบ่าเคียงไหล่กันครับ”
“เราตัวติดกันเลยครับ” บัตเลอร์กล่าวเสริม “การไม่แบ่งแยกงานเป็นสิ่งสำคัญ ในตอนเริ่มต้น เราพยายามที่จะคิดไปในทางเดียวกัน และโดยส่วนใหญ่แล้ว เราก็ดูทุกอย่างด้วยกัน คุยกัน และเราก็จะคิดให้ได้เหมือนกันก่อนที่จะเดินหน้า เรารู้ว่า ParaNormann คืออะไรและทุกช่วงเวลาของมันควรจะเป็นอย่างไร แต่บางครั้ง เราก็ต้องคุยถึงวิธีการต่างๆ ในการนำเสนอสิ่งเหล่านั้น ระหว่างการถ่ายทำ เราอาจจะไปเยี่ยมส่วนต่างๆ หรือพูดคุยกับอนิเมเตอร์ แต่ทุกช็อตจะถูกตรวจสอบและพูดคุยจากเราทั้งคู่ก่อนครับ”
“แม้ว่าเราจะไม่เคยพบกันมาก่อน เราต่างก็เคยทำงานในหนังเรื่องเดียวกันมาเมื่อหลายปีก่อน แต่ในช่วงเวลาต่างกัน ผมวาดภาพสตอรีบอร์ดของ The Tale of Despereaux ในช่วงสั้นๆ ก่อนที่แซมจะมารับหน้าที่ผู้กำกับ ตอนนี้ เราก็เลยมาชดเชยเวลาที่ขาดหายไปครับ!”
ประสบการณ์ในอดีตของทั้งคู่ในแวดวงอนิเมชั่น สต็อป โมชันหมายถึงว่าพวกเขารู้ว่าจะต้องใช้อะไรถึงจะสร้างและเติมเต็มโลกของเด็กผู้ชายและซอมบี้ผู้รุกราน ซึ่งบ่อยครั้งจะอยู่ในลักษณะจำลอง ขึ้นมาได้
บัตเลอร์ตั้งข้อสังเกตว่า สุนทรียศาสตร์และกระบวนการสต็อป โมชันเองยังต้องอาศัย “การบันทึกความเป็นธรรมชาติ ไม่ใช่ความสมจริง ในการแสดง ในอนิเมชั่นและการดีไซน์”
“สำหรับผู้ชม มุมมองแรกสู่โลกของนอร์แมนคือการที่วิญญาณมีเวลาให้กับเขามากกว่า พวกเขามีเวลาชั่วกาลนานเลยนี่ครับ แล้วเขาก็สามารถสื่อสารกับพวกวิญญาณได้ดีกว่าด้วย เขามีพรสวรรค์พิเศษที่แบ่งแยกเขาจากคนอื่นๆ แต่พรสวรรค์ของเขานั่นแหละที่สามารถปกป้องเมืองจากคำสาป 300 ปีได้ หัวใจของเรื่องราวนี้คือการที่เขาเกิดความเข้าใจที่ลึกซึ้งขึ้นกับทั้งคนที่มีชีวิตอยู่และวิญญาณ รวมถึงการที่ครอบครัวของเขาเองยอมรับและรับรู้ว่าเขาไม่เหมือนใครด้วย”
ในช่วงการเตรียมงานสร้าง การกำกับศิลป์และการวาดสตอรีบอร์ดเกิดขึ้นก่อน เพราะผู้สร้างภาพยนตร์ทุกคนรู้ดีจากประสบการณ์ถึงความสำคัญของนักวาดภาพสตอรีบอร์ดในการวาดภาพทุกฉากและทุกตัวละครขึ้นมา “มันทำให้ผู้กำกับมีอำนาจควบคุมเหนือรายละเอียดมากมายที่จะเกิดขึ้นตามมาได้มากขึ้นค่ะ” ซุทเนอร์กล่าว
แม้ว่ากระบวนการนี้จะสำคัญต่อภาพยนตร์ไลฟ์แอ็กชันขนาดไหน มันก็สำคัญยิ่งกว่าสำหรับภาพยนตร์อนิเมชั่น บัตเลอร์อธิบายว่า “มันไม่เหมือนไลฟ์แอ็กชัน ที่คุณสามารถใช้กล้องหลายตัวหรือเทคใหม่ได้ อนิเมเตอร์ขยับทีละเฟรมๆ ดังนั้น คุณก็ต้องรู้ว่าคุณจะได้ช็อตอะไรก่อนที่คุณจะลงมือทำเสียอีก ประโยชน์ของการทำสตอรีบอร์ดคือการสามารถวาดภาพหนังทั้งเรื่องขึ้นจากบท ซึ่งบ่อยครั้งก็จะมีการใส่ภาพไอเดียใหม่ๆ เข้าไปด้วย และงานที่ได้ก็จะถูกส่งตรงไปให้กับแผนกกล้องครับ”
“มันเกือบจะเหมือนกับหนังสือการ์ตูนขนาดยักษ์ และแน่นอนว่า นักวาดภาพเรื่องราวก็จะต้องวาดภาพได้ และบอกเล่าเรื่องราวได้ ถ้าจะให้ดี พวกเขาควรจะมีทักษะในการใส่มุขด้วยนะครับ!”
เฟลเล่าว่า “ทั้งคริสและผมต่างก็เคยวาดภาพสตอรีบอร์ดมาก่อน และเราก็จะลงมือสเก็ตช์บางฉากด้วยตัวเอง เราจะลองไอเดียของกันและกันและดูว่าอันไหนที่เวิร์ค อันไหนไม่เวิร์ค ด้วยความรู้สึกที่ไม่กดดัน เราก็จะทำงานได้อย่างรวดเร็ว เราเป็นคนที่พูดถึงทุกอย่างตั้งแต่การเล่าเรื่อง จนถึงงานกล้องและงานแสดง การวาดภาพสตอรีบอร์ดเป็นสิ่งที่ผมพบว่ามีค่ามาก และเป็นหนึ่งในตอนที่ผมชอบที่สุดในการสร้างหนังอนิเมชั่นด้วย”
บัตเลอร์พบด้วยว่า “บางสิ่งที่นักวาดภาพใส่เข้ามาอาจเป็นแรงบันดาลใจให้ผมเปลี่ยนแปลงตัวละครหรือโลเกชัน โดยผมจะกลับไปรีไรท์บทใหม่ครับ”
“ผมเคยร่วมงานกับทีมงาน ParaNorman หลายคนใน Coraline เราก็เลยมีวิธีการสื่อสารกันทางลัด นี่เป็นทีมงานที่สนิทกันมาก และพวกเขาก็มีประสบการณ์คร่ำหวอดในด้านสต็อป โมชัน พวกเราบางคนเคยร่วมงานกันมาก่อนหน้า Coraline ด้วยซ้ำไป เราโตขึ้นมาในวงการนี้ครับ”
ในกระบวนการนี้ ทุกคนที่ไลก้าทำงานกับมอนิเตอร์ LCD จอแบนซินทิคของวาคอม ซึ่งทำให้พวกเขาสามารถใช้ปากกาอินเตอร์แอ็กทีฟวาดลงบนหน้าจอได้โดยโดยตรง บนปลายปากกาและยางลบมีจุดรองรับแรงกดถึง 1,000 ระดับ เพื่อให้ได้การควบคุมภาพที่แม่นยำ ในขณะที่หน้าจอจะมีสแตนด์ที่ปรับระดับได้ เพื่อให้ได้มุมการทำงานที่เหมาะสมที่สุด
บัตเลอร์ตั้งข้อสังเกตว่า “ด้วยซินทิค เราสามารถสสร้างหนังทั้งเรื่องจากพาเนลสตอรีบอร์ด พร้อมด้วยเสียง ดนตรีและไดอะล็อค เราสามารถดูมันเพื่อทำให้แน่ใจว่ามันจะออกมาดีน่ะครับ”
เฟลกล่าวชื่นชมว่า “ในการมาทำงานใน ParaNorman ที่ไลก้า ผมประทับใจกับโครงสร้างและการดำเนินงานของที่นี่นมาก มันอยู่ในที่ห่างไกลอย่างโอเรกอน ห่างจากกระแสเมนสตรีม และอุดมไปด้วยเทคโนโลยีเก่าและใหม่ นี่เป็นช่วงเวลาที่น่าตื่นเต้นสำหรับอนิเมชั่น โดยเฉพาะในสถานที่ที่มีความคิดก้าวหน้าแบบนี้ครับ”
« Last Edit: July 29, 2012, 07:40:19 PM by happy »
Logged