happy on August 02, 2012, 06:06:45 PM

จับตาตลาดอาหารอินโดนีเซียนำเข้า-ส่งออกยังพุ่ง

                 ศูนย์อัจฉริยะเพื่ออุตสาหกรรมอาหาร สถาบันอาหารรายงานสถานการณ์มูลค่าการค้าอาหารของไทยกับประเทศอินโดนีเซีย ซึ่งเป็นประเทศในกลุ่มอาเซียนที่มีศักยภาพทางการค้าและการบริโภคสูงว่า ในช่วงปี 2550-2554  มูลค่าการนำเข้าอาหารจากอินโดนีเซียของไทยมีอัตราขยายตัวเฉลี่ยร้อยละ 6.43 ต่อปี ส่วนมูลค่าการส่งออกของไทยมีอัตราขยายตัวเฉลี่ยร้อยละ 22.451 ต่อปี และในปี 2555 ระหว่างเดือนม.ค.- เม.ย. ไทยมีการนำเข้าอาหารจากอินโดนีเซียมูลค่า 6,884 ล้านบาท ปรับเพิ่มขึ้นร้อยละ 31.09 ต่อปีเมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันในปี 2554 ที่มีมูลค่า 5,251 ล้านบาท กลุ่มสินค้านำเข้าที่สำคัญ 5 อันดับแรกได้แก่ 1)กลุ่มผลิตภัณฑ์ประมง เช่น ปลาทะเลแช่แข็งและปลาสคิปแจ็ก 2)กลุ่มน้ำมันและไขมัน เช่น น้ำมันปาล์มดิบและบริสุทธิ์ 3)กลุ่ม ชา กาแฟ โกโก้ เช่น เมล็ดโกโก้และผงโกโก้ 4)กลุ่มเนื้อสัตว์และผลิตภัณฑ์ และ 5)กลุ่มผลิตภัณฑ์จากแป้ง เช่น แวฟเฟิลและเวเฟอร์เป็นต้น

                 ส่วนการส่งออกสินค้าอาหารของไทยไปอินโดนีเซีย ในปี 2555 ระหว่างเดือน ม.ค.- เม.ย. มีมูลค่า 22,563 ล้านบาท ปรับตัวเพิ่มขึ้นร้อยละ 14.07 เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันในปี 2554 ที่มีมูลค่า 19,780ล้านบาท  โดยกลุ่มสินค้าส่งออกที่สำคัญ 5 อันดับแรกได้แก่ 1)กลุ่มน้ำตาลและน้ำผึ้ง เช่น น้ำตาลดิบและน้ำตาลทราย 2)กลุ่มข้าวและธัญพืช เช่น ข้าวเจ้าขาว 15% ข้าวที่สีแล้วและปลายข้าวเหนียว 3)กลุ่มแป้งและสตาร์ช เช่น สตาร์ชมันสำปะหลัง 4)กลุ่มผลไม้ เช่น ลำไยสดและทุเรียนสด และ 5)กลุ่มผัก เช่น หอมหัวเล็ก เป็นต้น

                 ปัจจุบันอินโดนีเซียมีอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจร้อยละ 6.1 และมีประชากรมากถึง 243 ล้านคน นับถือศาสนาอิสลามถึงร้อยละ 85.2 ผู้ส่งออกจึงควรให้ความสำคัญกับผลิตภัณฑ์อาหารฮาลาล โดยข้อมูลจากกระทรวงเกษตรของสหรัฐอเมริกาในปี 2553 พบว่า ชาวอินโดนีเซียมีค่าใช้จ่ายในการซื้ออาหารสำเร็จรูปและเครื่องดื่มร้อยละ 23  ธัญพืชร้อยละ 19  ผักและผลไม้ร้อยละ 13  ปลา/อาหารทะเลร้อยละ 8 นมและไข่ร้อยละ 6 อาหารประเภทอื่นๆ เช่น เนื้อวัวร้อยละ 31

                 นอกจากนี้ ด้วยอุปนิสัยของชาวอินโดนีเซีย มักนิยมซื้ออาหารเป็นจำนวนมาก ทั้งเพื่อรับประทานเองภายในครอบครัว และซื้อเป็นของฝากซึ่งกันและกัน ส่งผลให้ชาวอินโดนีเซียมีค่าใช้จ่ายในการซื้อสินค้าอาหารเฉลี่ยต่อเดือนสูงถึงร้อยละ 50 ของค่าใช้จ่ายทั้งหมด ขณะที่สินค้าอาหารที่มีอยู่ในประเทศก็ยังมีปริมาณการผลิตไม่เพียงพอต่อการบริโภคภายในประเทศ จึงมีความจำเป็นต้องนำเข้าอาหารหลายชนิดจากต่างประเทศ โดยเฉพาะเนื้อสัตว์ ข้าวสาลี ผัก ผลไม้ และนม เป็นต้น