บทโรซี คนรับพนันจอมวางโตในนิวยอร์ก ผู้ซึ่งความทะเยอทะยานมาทำให้เส้นทางของเบ็ธหักเหหลังจากที่เธอจำต้องทิ้งเวกัสและดิงค์ไว้เบื้องหลัง เป็นบทที่เดอวินเซนทิสสร้างขึ้นมาใหม่ และไม่ได้นำเค้าโครงมาจากบุคคลที่มีชีวิตอยู่จริง การมี “ครู” คนที่สอง ที่ไม่มีอะไรเหมือนกับดิงค์เลย กลายเป็นปัจจัยสำคัญที่นำไปสู่การเปลี่ยนแปลงของเบ็ธจากเด็กใหม่ผู้ทะเยอทะยาน ไปเป็นผู้ชำนาญการ “ผมอยากจะคิดว่า อะไรบ้างที่ไม่ใช่ดิงค์” เดอวินเซนทิสอธิบาย “ผมนึกถึงคนที่อายุน้อยกว่า เร็วกว่า มีศีลธรรมน้อยกว่า สะเพร่ากว่าและควบคุมตัวเองได้น้อยกว่า แต่ก็ไม่ใช่คนเลว โรซีไม่ใช่คนเลวเลยนะครับ เขาไม่ได้ทำร้ายใครจริงๆ แต่เขาไม่แคร์คนอื่นนอกจากตัวเอง ถ้าคุณทำผิดพลาดอย่างร้ายกาจด้วยการนำชะตาชีวิตของคุณไปผูกติดกับเขา อย่างที่เบ็ธทำ คุณก็จะต้องเจอกับปัญหามากมายแน่ๆ” เขาเปรียบเทียบโรซีกับแม็กซ์ เบียลิสต็อค จาก “The Producers” “คนทำอะไรตามอำเภอใจ” ผู้ที่ทั้งน่ารักและอันตราย ในแง่นั้น บทนี้เหมาะสมกับวินซ์ วอห์นอย่างยิ่ง เขาเป็นผู้ถูกเลือกเข้ามาในนาทีสุดท้าย ผู้คร่ำหวอดในวงการภาพยนตร์ ผู้สร้างชื่อให้กับตัวเองจากการรับบทตัวละครที่วางโตแต่มีเสน่ห์ ผู้ชำนาญในการขู่ขวัญคนอื่นเพื่อเอาตัวรอดจากทุกสถานการณ์ ซึ่งคล้ายกับเป็นเวอร์ชันที่โตกว่าและประสบความสำเร็จมากกว่าของตัวละครจาก “Swingers” ที่ทำให้วินซ์โด่งดังเมื่อสิบห้าปีก่อน “ผู้ชมเคยชินกับการได้เห็นวินซ์ในคอเมดีตีหัวเข้าบ้าน และเขาก็มีฐานผู้ชมที่ติดตามเขาตลอด แต่ผมคิดว่าพวกเขาจะได้เห็นอีกแง่มุมและมิติที่ลึกซึ้งในงานของเขา ในแบบที่เราเคยเห็นมาก่อนหน้านี้ในช่วงที่เขาเริ่มเป็นนักแสดงใหม่ๆ เขากลับไปสู่รากเหง้านั้นอีกครั้งกับหนังเรื่องนี้ ผมคิดว่าสตีเฟนดึงเอาแรงปรารถนาที่จะผลักดันตัวเองให้ห่างไกลจากสิ่งที่คนอื่นๆ อาจคาดหวัง ออกมาจากนักแสดงครับ”
อีกบทที่เดอวินเซนทิสได้สร้างขึ้นคือฮอลลี ผู้ผูกมิตรกับเบ็ธในตอนที่เธอย้ายไปเวกัสและแนะนำให้เธอได้รู้จักกับดิงค์ “ฮอลลีเป็นคนแนะนำให้เบ็ธรู้จักโลกการพนันค่ะ” นักแสดงหญิง ลอรา พรีพอน ผู้เป็นที่รู้จักดีจากการแสดงยาวนานของเธอในบทนำของซีรีส์ “That 70s Show” กล่าว ฮอลลี ผู้สวมรองเท้าบู๊ทคาวบอยและแว่นตานักบิน สะท้อนความมั่นใจเต็มเปี่ยม แต่เธอก็ให้ความรู้สึกปลงตกกับโลกใบนี้ ที่เธอพยายามเตือนเบ็ธหลายครั้ง พรีพอน ผู้ที่เป็นขาไพ่โป๊กเกอร์ตัวยง และมักเดินทางไปเวกัสบ่อยๆ ตื่นเต้นที่ได้แสดงให้เห็นอีกมุมหนึ่งของนครหลวงแห่งการพนันของอเมริกาแห่งนี้ “ตอนที่เราถ่ายทำกันในเวกัส ฉันไม่ได้ไปเล่นพนันเลยค่ะ” เธอกล่าวพลางแสร้งแสดงอาการผิดหวัง และอ้างสาเหตุจากตารางการทำงานของเธอ “แต่หนังเรื่องนี้ไม่ได้เกี่ยวกับความเลิศหรู งดงาม แต่มันเป็นแง่มุมจริงๆ ของเวกัสที่ไม่เคยมีใครแสดงให้เห็น และคุณก็จะได้สัมผัสกับคนที่ใช้ชีวิตห่างไกลจากเดอะ สตริปหรือเรื่องราวสำหรับนักท่องเที่ยวแบบนั้นน่ะค่ะ”
ชิ้นส่วนปริศนาสุดท้ายในแง่ของตัวละครหลักคือเจเรมี “ชายธรรมดา” ตามที่นักแสดงหนุ่ม โจชัว แจ็คสัน (“Dawson’s Creek”) บอก “เขาแค่บังเอิญอยู่ตรงนั้นในช่วงเวลาเลวร้ายในชีวิตเบ็ธ” แจ็คสันอธิบาย “และพวกเขาก็หาประโยชน์จากกันและกัน อย่างที่คนทำกันในเวกัสน่ะครับ” จากตอนแรกที่ตั้งใจให้เขาเป็นสัมพันธ์ชั่วคราว เจเรมีกลับมีบทบาทสำคัญยิ่งขึ้นในชีวิตของเบ็ธหลังจากที่เธอทิ้งเวกัสเพื่อมุ่งหน้าไปนิวยอร์ก
“เจเรมีเป็นอีกหนึ่งความเป็นไปได้สำหรับเบ็ธครับ” แจ็คสันบอก “เธอไม่จำเป็นต้องใช้ชีวิตที่ลุ่มๆ ดอนๆ ในชายขอบของสังคม เธอมีทางเลือกที่มั่นคงกว่ากับผู้ชายที่ชอบเธอจริงๆ และชื่นชมในตัวเธอ ถ้าเพียงแต่เธอจะเต็มใจตรงไปตรงมากับเขาเหมือนกัน แต่ในตอนแรก ผมคิดว่าเขาเป็นแค่คนรักชั่วคราวสำหรับเธอ” แต่เมื่อเรื่องราวเดินหน้า ความเอื้อเฟื้อของเจเรมีในการช่วยเหลือเบ็ธในงานใหม่ของเธอทำให้เขาต้องไปพัวพันกับปัญหาที่อาจจะรุนแรงได้ และความชื่นชอบเจเรมีที่เธอเพิ่งตระหนักถึงมันก็เป็นส่วนหนึ่งที่กระตุ้นให้เบ็ธเลือกทำในสิ่งสุดท้ายที่จำเป็นต่อการปกป้องพวกเขาทุกคนให้พ้นจากเงื้อมือของกฎหมาย
นักแสดงทุกคนต่างก็กล่าวอย่างตื่นเต้นถึงอิสระที่สตีเฟน เฟรียส์มอบให้กับพวกเขา “ผมศรัทธาในตัวเขาในฐานะผู้กำกับมาก และผมก็เชื่อในวิสัยทัศน์ที่เขามีต่อเรื่องราวนี้ด้วย” โจชัวอธิบาย “เขามีความสามารถที่จะพูดแค่ว่า ‘โอเค ไม่ว่าคุณจะต้องการอะไร ลองทำแบบนั้นดูก็ได้’ ความเชื่อใจและอิสระให้ความรู้สึกปลดปล่อยอย่างเหลือเชื่อ” “สตีเฟนบอกว่า ‘ลองดูเลย’ น่ะค่ะ” ลอรา พรีพอนบอก “เป็นเรื่องน่าสนใจจริงๆ ที่มีผู้กำกับบอกว่า ‘อย่าถามผมว่าจะแสดงยังไง คุณเป็นนักแสดงนี่’ มันเจ๋งมากเลยค่ะ”
“ผมเป็นแฟนหนังของสตีเฟน เฟรียส์มาโดยตลอดและเขาก็ไม่เคยสร้างหนังห่วยๆ เลย” แฟรงค์ กริลโล ผู้มีหน้าที่คลายความเครียดในบทแฟรงค์กี้ ลูกจ้างผู้ภักดีของดิงค์ กล่าว “เขาไว้ใจคนที่เขาจ้างมาอย่างมาก ซึ่งก็หมายถึงเขาไว้ใจตัวเองที่เลือกคนเหล่านี้มา เมื่อคุณมากองถ่ายพร้อมกับไอเดียของคุณ เขาก็จะยอมรับมัน แน่นอนว่าเขาจะเปลี่ยนแปลงอะไรนิดๆ หน่อยๆ แต่เขาก็คาดหวังอย่างเต็มที่ว่านักแสดงจะมาด้วยความพร้อมจะทุ่มเทสุดตัว ซึ่งผมชอบนะ”
แม้ว่าจะเจอกับปัญหาตอนแรกในการทำให้เฟรียส์เลือกเธอ รีเบ็กก้า ฮอลก็มีแต่คำชมเชยให้กับผู้กำกับของเธอ “ฉันชอบเขาค่ะ เขาเข้าใจการทำงานของนักแสดงอย่างถ่องแท้ และเขาก็มีสัญชาตญาณเฉียบขาดว่าฉากนั้นๆ จะออกมาเป็นอย่างไร เขามีสายตาที่เฉียบคมที่สุดเท่าที่ฉันเคยพบมาเลย เขาจะหยุดถ่ายทำและจะเริ่มต้นอีกเทคใหม่เพราะรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ ผิดพลาด เขาละเอียดลออขนาดนั้นและมันก็ทำให้คุณรู้สึกปลอดภัยในฐานะนักแสดงด้วย เพราะเขาจะคอยสนับสนุนคุณในทุกแง่มุมค่ะ”
การปลูกฝังความไว้วางใจแบบนั้นในทีมนักแสดงเป็นสิ่งสำคัญสำหรับเฟรียส์ ผู้เปรียบเทียบการทำงานเป็นเหมือนภาพยนตร์สตูดิโอสมัยเก่า ที่ซึ่งนักแสดงหน้าเดิมๆ มักจะทำงานด้วยกันและรับบทที่คล้ายคลึงกันในหนังเรื่องแล้วเรื่องเล่า มันเป็นการทำงานร่วมกันในแบบที่ทำให้หนังของแฟรงค์ แคปรา, เพรสตัน สเตอร์เกสและบิลลี วิลเดอร์ขึ้นหิ้งคลาสสิก “สตูดิโอเคยมีคณะนักแสดงมาก่อน ซึ่งผมชอบอะไรแบบนั้น” เขาอธิบาย “ตอนที่ผมเป็นเด็ก ผมจะได้ดูหนังอเมริกันพวกนี้ และคณะนักแสดงจากสตูดิโอพวกนั้นก็เป็นเหมือนครอบครัวเดียวกัน และนักแสดงชุดนี้ก็เหมือนกันครับ” แฟนภาพยนตร์ยังอาจพบสิ่งที่ชวนให้รำลึกถึงความหลังเกี่ยวกับจังหวะและเนื้อหาในไดอะล็อคของเรื่องด้วย “มันเป็นไดอะล็อคที่เหมาะสมครับ” เฟรียส์กล่าวอย่างเรียบๆ “และผมก็ไม่มั่นใจว่าหนังในปัจจุบันนี้ให้เกียรติไดอะล็อครึเปล่า แต่ไดอะล็อคเรื่องนี้เป็นของดีจริงๆ ครับ ผมทำให้นักแสดงพูดอย่างเร็วจี๋ เพราะผมชื่นชอบหนังที่ตัวละครพูดกันเร็วๆ มันทำให้เรื่องราวเดินหน้าอย่างรวดเร็ว และผู้ชมก็จะเร็วตามไปด้วยครับ”
ในขณะที่ตัวภาพยนตร์เองครอบคลุมพื้นที่มากมาย จากฟลอริดา ไปเวกัส นิวยอร์ก หรือแม้กระทั่งเกาะคูรากัว ที่งดงามในช่วงสั้นๆ การถ่ายทำตามโลเกชันเหล่านั้นด้วยทุนของภาพยนตร์อินดีคงเป็นไปไม่ได้ ผู้อำนวยการสร้างแรนดัลล์ เอ็มเม็ตต์เป็นคนเสนอแนะให้ถ่ายทำฉากภายในส่วนใหญ่ของเรื่องในโลเกชันที่ประหยัดค่าใช้จ่าย และโลเกชันนั้นก็คือนิวออร์ลีนส์ “เมื่อพิจารณาจากงบแล้ว เราสามารถใช้ประโยชน์จากเงินของเราได้มากกว่าด้วยการถ่ายทำในหลุยส์เซียนา” เอ็มเม็ตต์บอก “ผมโทรหาแอนโธนีแล้วบอกว่า ‘ถ้าเราอยากให้สตีเฟนมีเวลาถ่ายทำนานที่สุดและคุ้มค่าที่สุด เราต้องทำแบบนี้’ ตอนแรกทุกคนก็แปลกใจ แต่พอเราผ่านขั้นตอนวางแผนการถ่ายทำแล้ว ทุกคนก็เข้าใจถึงข้อดีของมัน” “เราถ่ายทำสัปดาห์แรกในเวกัส เพื่อให้ได้ภาพภายนอกครับ” แอนโธนี เบร็กแมนอธิบาย “แต่ตอนนี้ มีหนังถ่ายทำในนิวออร์ลีนส์มากกว่าในฮอลลีวูดเสียอีก เพราะพวกเขามีเงื่อนไขในการถ่ายทำที่เป็นประโยชน์อย่างมาก”
“อากาศที่นั่นร้อน แต่ไม่มีอะไรผิดพลาดครับ” สตีเฟน เฟรียส์พูดถึงการถ่ายทำในนิวออร์ลีนส์ “เราไม่มีปัญหาในการหาโลเกชันหรืออะไรแบบนั้นเลย เราก็เลยสามารถถ่ายทำฉากที่เกิดขึ้นในโลเกชันที่จำเป็นต่อหนังได้” บรรยากาศนอกกองถ่ายก็ไม่มีอะไรเทียบได้เช่นกัน “คงไม่มีอาหารอะไรที่ดีไปกว่าในนิวออร์ลีนส์ หรืออาจเลวร้ายกว่า ขึ้นอยู่กับว่าคุณมองยังไงน่ะครับ” ดี.วี. เดอวินเซนทิสกล่าวติดตลก “เราโชคดีที่มีทีมงานชุดนี้ ได้ถ่ายที่เมืองนี้และทุกอย่างเลย เราบุกไปที่นั่นระหว่างงานมาร์ดิกราส ซึ่งน่าสนใจทีเดียว แต่การทำงานที่นี่เป็นเรื่องวิเศษสุดครับ”
“สำหรับผม นี่เป็นหนังฟีลกู๊ดที่สุดเท่าที่ผมเคยเขียนบทมา” เดอวินเซนทิสสรุป “มันเป็นเรื่องของคนที่มีพรสวรรค์และมีคุณสมบัติพิเศษสุด แต่ไม่รู้ว่าจะโฟกัสกับมันและใช้ประโยชน์จากมันในชีวิตเธอได้อย่างไร และเธอก็บังเอิญเจอคนที่นำทางเธอและช่วยเหลือเธอในสถานที่ที่ไม่น่าจะเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นได้มากที่สุดในโลก และมันก็เป็นเรื่องจริง ตอนนี้ เบ็ธ เรย์เมอร์ยังใช้ชีวิตที่เหลือเชื่อของเธออยู่ที่ไหนซักแห่ง และมันคงไม่เกิดขึ้นถ้าเธอไม่ได้ทำงานอย่างหนักและได้พบกับดิงค์ เราโชคดีมากที่ได้ค้นเหล่านี้มาช่วยเราบอกเล่าเรื่องราวนี้ ผมไม่อยากจะเชื่อเลยว่าผมโชคดีแค่ไหน” เขาอาจจะโชคดีก็จริง แต่เขาก็ยังมีความศรัทธา การทำงานหนักและความไว้วางใจ ซึ่งเป็นคุณสมบัติเดียวกับที่ช่วยให้เบ็ธ เรย์เมอร์สร้างโชคชะตาของเธอเองในตอนแรกด้วยทีมงาน
ผู้ควบคุมงานสร้าง
แอ็กเนส เมนเตร
วินเซนต์ มาราวัล
เจมส์ ดับบลิว. สก็อตช์ดูโพล
ผู้ควบคุมงานสร้าง
ริชาร์ด แจ็คสัน
เคอร์ติส แจ็คสัน
ผู้ควบคุมงานสร้าง
แบรนด์ แอนเดอร์สัน
แบรนดอน กริมส์
ผู้ควบคุมงานสร้าง
แอนโธนี กูดัส
ไมเคิล คอร์โซ
ปีเตอร์ แฮมป์เดน
เจมส์ กิ๊บบ์
ผู้กำกับภาพ
ไมเคิล แม็คโดนัฟ
ผู้ออกแบบงานสร้าง
แดน เดวิส
มือลำดับภาพ
มิค อ็อดส์ลีย์
ผู้ออกแบบเครื่องแต่งกาย
คริสโตเฟอร์ ปีเตอร์สัน
ประพันธ์ดนตรีโดย
เจมส์ เซย์มัวร์ เบรทท์
คัดเลือกนักแสดงโดย
วิคตอเรีย โธมัส