MSN on July 19, 2012, 03:27:54 PM
KTAMเอาใจลูกค้ารับความเสี่ยงต่ำ  ขายตราสารหนี้6เดือนชูยิลด์3.10%
 
      นายสมชัย  บุญนำศิริ  กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน กรุงไทย  จำกัด (มหาชน)   เปิดเผยว่า  บริษัทเปิดจำหน่ายกองทุนเปิดกรุงไทยธนทรัพย์ บี 47 ( KTSUPB47 )  เสนอขาย ในวันที่  18-25    กรกฎาคม 2555   อายุ 6  เดือน   มูลค่าโครงการ 5,000  ล้านบาท    เป็นกองทุนที่มีนโยบายลงทุนตราสารหนี้ทั้งในและต่างประเทศ    โดยกองทุนนี้จะลงทุนในเงินฝากประจำ Standard  Chartered  Bank  ( Hong Kong ) Ltd.     และ เงินฝากประจำ  Union National Bank  (UNB )   ในสัดส่วน  40%  ของมูลค่าทรัพย์สินสุทธิของกองทุนรวม   ส่วนที่เหลือจะลงทุนในตราสารภาครัฐไทย   ,เงินฝากธนาคารแลนด์  แอนด์  เฮ้าส์   ตั๋วแลกเงิน บจ.อยุธยา   แคปิตอล  ออโต้  ลีสซิ่ง  และตั๋วแลกเงินของบมจ.ควอลิตี้เฮ้าส์   โดยผู้ลงทุนจะได้รับผลตอบแทนประมาณ 3.10% ต่อปี      โดยเงินลงทุนในตราสารหนี้ต่างประเทศ จะมีการป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนทั้งจำนวน

                 นอกจากนี้  บริษัทยังอยู่ในระหว่างการเปิดจำหน่าย กองทุนเปิดกรุงไทยสมาร์ท  อินเวส 6 เดือน 4 ( KTSIV6M4 )   ประเภท Roll  Over  เสนอขายถึงวันที่ 20   กรกฎาคมนี้    เป็นกองทุนที่เน้นลงทุนในเงินฝาก /บัตรเงินฝาก   และตั๋วแลกเงินของภาคเอกชนที่มีอันดับเครดิตตั้งแต่ BBB+ ขึ้นไป      โดยผู้ลงทุนจะได้รับผลตอบแทนประมาณ 2.95% ต่อปี    โดยทั้ง 2 กองทุน ขายผ่านสาขาธนาคารกรุงไทยทั่วประเทศ

              สำหรับภาวะการลงทุนในตลาดตราสารหนี้  ยังมีแนวโน้มการปรับลดลง โดยเป็นผลจากการปรับพอร์ตของนักลงทุน รวมถึงได้รับอิทธิพลจากปัจจัยทั้งภายในและภายนอกประเทศ  ตลอดสัปดาห์ตลาดการเงินรอผลคำตัดสินของศาลรัฐธรรมนูญ ซึ่งในที่สุดคำตัดสินใจที่เผยแพร่ออกมาไม่ทำให้เกิดความวุ่นวายทางการเมือง    และไม่เกิดผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจ  สำหรับปัจจัยภายนอก ตลาดการเงินยังให้ความสำคัญกับแนวทางการแก้ไขปัญหาหนี้ในยุโรป รวมถึงตัวเลขเศรษฐกิจในสหรัฐฯ ยุโรป และจีน ซึ่งแสดงสัญญาณถดถอยมาต่อเนื่อง และเริ่มส่งผลกระทบในวงกว้างต่อเศรษฐกิจในตลาดเกิดใหม่ ทำให้เห็นกระแสการทยอยปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย ตั้งแต่คณะกรรมการธนาคารกลางยุโรป  จีน  เกาหลีใต้ และบราซิล ภาวะดังกล่าวสะท้อนให้เห็นถึงทิศทางอัตราดอกเบี้ยทั้งในไทยและต่างประเทศจะยังคงอยู่ในระดับต่ำต่อเนื่องไปอย่างน้อยจนถึงปลายปีนี้

ในส่วนของตลาดอัตราแลกเปลี่ยน แม้ว่าค่าเงินยูโรจะมีทิศทางอ่อนค่าลงต่ำกว่า 1.22 ยูโรต่อดอลล่าร์สหรัฐฯ หลังการปรับอัตราดอกเบี้ยนโยบายในกลุ่มประชาคมยุโรป แต่ในส่วนของค่าเงินบาทยังแกว่งตัวอยู่ในกรอบ 31.50 – 31.90 บาทต่อดอล่าร์สหรัฐฯ และอัตราแลกเปลี่ยนสวอปปรับตัวดีขึ้นเล็กน้อย สะท้อนความกังวลต่อปัญหาการเมืองในประเทศลดลง ซึ่งจะเป็นผลบวกต่ออัตราผลตอบแทนจากการลงทุนในต่างประเทศ