happy on August 05, 2012, 07:33:32 PM

จัดจำหน่ายโดย      เอ็ม พิคเจอร์ส

ภาพยนตร์เรื่อง      The Dinosaur

ชื่อภาษาไทย      ไดโนซอร์ เจาะแดนลี้ลับช็อกโลก

เว็ปไซด์ตัวอย่างภาพยนตร์  

ภาพยนตร์แนว      ผจญภัย – ลึกลับ

จากประเทศ      อังกฤษ

กำหนดฉาย      23 สิงหาคม 2555

ณ โรงภาพยนตร์      ทุกโรงภาพยนตร์

ผู้กำกับ           Sid Bennett (ซิด เบนเน็ตต์)

อำนวยการสร้าง       Nick Hill (นิค ฮิล)

นักแสดง   Matt Kane (แมทท์ เคน) จาก We Are Your Friends, Niagara

Richard Dillane (ริชาร์ด ดิลเลน) จาก James Boned 007, Argo, Dead in Tombstone

Natasha Loring (นาตาชา ลอริง) จาก Beaver Falls, The Runaway, Women in Love

Peter Brooke (ปีเตอร์ บรู๊ค) จาก Wrong Turn5, Hippie Hippie Shake, Red Lights, Sherlock

Stephen Jennings (สตีเฟน เจนนิงส์) จาก Labyrinth, Death Race2, Auftrag in Afrika

จุดเด่น   

             The Dinosaur  ไดโนซอร์ เจาะแดนลี้ลับช็อกโลก  เป็นภาพยนตร์ ผจญภัย-ลึกลับ  ที่น่าทึ่ง    และใช้ Visual Effect สุดตระการตาราวกับ Jurassic Park ปะทะ Cloverfield   ซึ่งมีเนื้อหาเหมาะสำหรับผู้ที่ชื่นชอบภาพยนตร์แนวตื่นเต้นผจญภัย  โดยที่มีเนื้อหาแปลกแหวกแนวชวนน่าติดตาม  และที่สำคัญดูง่ายไม่ซับซ้อน   ซึ่งหลายคนคิดว่าไดโนเสาร์มันสูญพันธุ์ไปแล้วจริงๆ รึเปล่า?   แต่อีกหลายคนก็คิดเสมอว่าพวกมันยังมีชีวิตอยู่จริงที่ไหนสักแห่งในโลกนี้  The Dinosaur  จะนำผู้ชมเดินทางไปพบคำตอบที่หลายคนค้นหา   ไปพร้อมกับเหล่าทีมสำรวจสัตว์โบราณที่บังเอิญเกิดอุบัติเหตุจากการพุ่งชนของฝูงนกดึกดำบรรพ์ ทำให้เฮริคอปเตอร์ตกลงกลางหุบเขาในป่าคองโก  โชคดีที่ไม่มีใครถึงแก่ชีวิต  ทุกคนต้องเอาตัวรอดจากซากเฮลิคอปเตอร์พร้อมสัมภาระและกล้องวีดีโอ   และนี่คือจุดเริ่มต้นของการผจญภัยในดินแดนลี้ลับแห่งนี้

เรื่องย่อ   
   
              The Dinosaur เป็นภาพยนตร์ไดโนเสาร์ที่น่าตื่นเต้นที่สุดนับตั้งแต่ Jurassic Park  ภาพยนตร์เรื่องนี้บอกเล่าเรื่องราวของการค้นพบสิ่งลึกลับที่สุดของสายพันธุ์สัตว์ดึกดำบรรพ์ที่เรียกว่า “ไดโนเสาร์”  ที่ใครๆหลายคนคิดว่ามันสูญพันธ์ไปแล้วตั้งแต่เมื่อ 65 ล้านปีก่อน    ทีมนักสำรวจสัตว์โบราณจากสมาคมสัตว์ประหลาดวิทยาจากประเทศอังกฤษ   ที่นำทีมโดย โจนาธาน มาร์แชนท์   พร้อมด้วยทีมงานถ่ายทำเดินทางมุ่งหน้าสู่ดินแดนลี้ลับที่มีชื่อว่า “คองโก”   เพื่อค้นหาสัตว์ดึกดำบรรพ์เหล่านี้   แต่จู่ๆ ทีมนักสำรวจต้องประสบชะตากรรมอย่างที่คาดไม่ถึง   เมื่อเฮลิคอปเตอร์ของพวกเขาร่วงลงใจกลางป่าคองโก    เพราะถูกพุ่งชนด้วยฝูงนกดึกดำบรรพ์  จึงเป็นที่มาของการผจญภัยอันสุดแสนจะลุ้นระทึกท่ามกลางดินแดนลี้ลับที่เต็มไปด้วยสิ่งมีชีวิตก่อนประวัติศาสตร์   “คองโก” ที่ๆ เต็มไปด้วยความอันตรายจากสัตว์ดุร้าย  และการค้นพบสัตว์ลึกลับครั้งสำคัญที่มีชื่อว่า  “โมเคลลี  มเบมเบ้”  ที่เชื่อว่าสืบเชื้อสายตรงมาจากไดโนเสาร์  มันเป็นเหมือนกับสัตว์ประหลาดล็อคเนสแห่งทวีปแอฟริกา  ทีมนักสำรวจยังคงเดินทางไขปริศนาที่ซ่อนอยู่ในดินแดนลี้ลับอย่างต่อเนื่อง  แต่เหมือนกับว่ายิ่งพวกเขาเข้าไปในป่าลึกมากเท่าไหร่    พวกเขาก็จะยิ่งตัดขาดโลกปัจจุบันมากขึ้นเท่านั้น  ดินแดงแห่งมนต์อาถรรพ์ของป่าลี้ลับและสัตว์ดึกดำบรรพ์ผู้แปลกหน้าแห่งแดนคองโกเหล่านี้   จะเป็นผู้กลืนชะตาชีวิตของทีมสำรวจจริงหรือไม่??
             ความลับของ “คองโก” กำลังจะถูกเปิดเผยขึ้นในไม่ช้าจากปากคำให้การณ์ของสองชาวประมงจากคองโก  ที่บังเอิญพบเป้สะพายหลังลอยตามแม่น้ำมา  ภายในนั้นมีกล้องวีดีโอและฮาร์ดดิสก์ที่บรรจุภาพวิดีโอกว่า 100 ชั่วโมง  ซึ่งในนั้นเป็นวัตถุพยานชิ้นสำคัญที่บอกเล่าเรื่องราวการหายสาบสูญของคณะสำรวจที่หลงเข้าไปในป่าคองโก   และเป็นสิ่งเดียวเพื่อยืนยันว่าเหล่าไดโนเสาร์ยังมีชีวิตอยู่  
             เตรียมพบคำตอบทุกเรื่องปริศนาที่ทุกคนสงสัยได้ใน The Dinosaur  ภาพยนตร์ แอ็คชั่น-ลึกลับ ที่จะทำให้คุณลุ้นไปทุกเฟรมตั้งแต่ต้นจนจบแบบเต็มตาๆ







Producer Nick Hill_Director Sid Bennett_DOP Tom Pridham

เกี่ยวกับงานสร้าง

การทำงานกับไดโนเสาร์

      ผู้กำกับซิด เบนเน็ตต์คุ้นเคยกับโลกของการผจญภัยมหัศจรรย์เป็นอย่างดี เพราะเขาเคยกำกับซีรีส์ไอทีวีเรื่อง Prehistoric Park สำหรับอิมพอซซิเบิล พิคเจอร์ส ซึ่งอำนวยการสร้างซีรีส์บีบีซีเรื่อง Walking with Dinosaurs อีกด้วย
   “ซีรีส์พวกนี้ได้ผสมผสานเนื้อเรื่องดีๆ ข้อเท็จจริงเกี่ยวกับไดโนเสาร์ที่น่าสนใจจาก Natural History และ CGI ที่น่าอัศจรรย์ใจ             เข้าด้วยกัน” เขากล่าว เบนเน็ตต์เชื่อว่า อังกฤษเป็นหนึ่งในประเทศระดับแนวหน้าของโลกในเรื่องของการผลิตภาพ CG สำหรับจอแก้ว   และรู้สึกว่าเขาอยู่ในตำแหน่งแห่งที่ที่เหมาะสมกับการใช้ทรัพยากรเหล่านั้นในการสร้างภาพยนตร์แล้ว    แน่นอนว่าถ้ามีรายการไหนต้องการไดโนเสาร์   คนก็จะไปมองหาที่อังกฤษเสมอครับ” เขาบอก “หนังบล็อกบัสเตอร์ฟอร์มยักษ์อย่าง Jurassic Park นั่นเป็นสิ่งที่ฮอลลีวู้ดมี แต่สิ่งที่เรามีคือทักษะที่วิเศษสุดในอังกฤษ ในการทำงานกับ CGI โดยเฉพาะอย่างยิ่งในจอแก้ว และมันก็มักจะได้รับการยกย่องเสมอ”
   “ประสบการณ์นี้ทำให้ผมตระหนักว่าเรามีคนมากความสามารถมากมายในอังกฤษ ที่จะสร้างบางสิ่งที่พิเศษสุดให้กับหนังได้            The Dinosaur เลยถือกำเนิดขึ้นครับ คุณจะต้องคิดนอกกรอบ และนั่นก็คือ The Dinosaur เราจะคิดเรื่องราวที่แตกต่างออกไป หรือวิธีการนำเสนอโลกใบนี้ที่แตกต่างออกไปได้ยังไงกันล่ะครับ”
   ในการใช้ทักษะของตัวเขาเองในฐานะผู้สร้างสารคดี เบนเน็ตต์ได้เลือกใช้วิธีของ ‘ฟุตเตจที่ถูกพบ’ ซึ่งตอนนี้เป็นที่รู้จักอย่างดีแล้ว เพื่อบอกเล่าเรื่องราวการผจญภัยไดโนเสาร์สำหรับครอบครัวของเขา แม้ว่าเขาจะหวังว่า The Dinosaur จะนำเสนอไอเดียนี้ในรูปแบบที่แปลกใหม่
   “เท่าที่ผมรู้ นี่เป็นครั้งแรกที่หนังแนวนี้  มีเป้าหมายที่กลุ่มคนอายุขนาดนี้ ทั้งผู้ชมที่อายุน้อยกว่า และครอบครัวด้วยครับ” เขากล่าว นับตั้งแต่ The Blair Witch Project ไปจนถึง Cloverfieldและ Paranormal Activity “ไม่มีหนังเรื่องไหนถูกนำเสนอสำหรับผู้ชมที่อายุน้อยมาก่อนเลย”
   ตั้งแต่ต้น เบนเน็ตต์ได้สร้างเรื่องราวของเขาบนพื้นฐานของการที่ทีมงานถ่ายทำสารคดีอาชีพได้ถูกส่งเข้าไปสำรวจการพบเห็นสัตว์ประหลาดโบราณลึกลับ
   “และถ้าคุณเป็นทีมงานถ่ายทำสารคดีจริงๆ คุณก็จะต้องมีช่างกล้องฝีมือดี” เขาตั้งข้อสังเกต “และคุณก็จะต้องมีช่างเสียง คุณภาพการถ่ายทำต้องมีมาตรฐานสูงมากๆ ยิ่งไปกว่านั้น พวกเขาจะไม่ได้มีกล้องหลักแค่ตัวเดียว แต่จะมีกล้องมินิคุณภาพสูงหลายตัวที่ถ่ายทำสิ่งที่เกิดขึ้นด้วยเช่นกันครับ”
   “ด้วยกล้องที่หลากหลายในปัจจุบัน มันเลยเกือบจะเหมือนกับงานของกล้องภาพยนตร์ปกติเพราะคุณจะได้มุมกล้องที่แตกต่างกันและจะไม่ถูกจำกัดด้วยกล้องสั่นๆ หรืออะไรแบบนั้นน่ะครับ”
     “แน่นอนว่าเมื่อเหตุการณ์เริ่มวุ่นวาย คนวิ่งหนีไปพร้อมกล้อง มันก็จะส่งผลกระทบต่อสไตล์ของหนังครับ” ผู้กำกับกล่าวต่อ “แต่ในแง่ดีนะครับ มันทำให้หนังตื่นเต้นขึ้นเยอะและเราก็มีทางเลือกสำหรับมุมกลล้องที่แตกต่างกัน อย่างที่ผมบอกนั่นแหละครับ มันไม่ได้เป็นหนัง ‘ฟุตเตจที่ถูกพบ’ ทั่วๆ ไป เราได้นำมันไปสู่ทิศทางใหม่ครับ”
     นิค ฮิล ผู้อำนวยการสร้างของเรื่อง กล่าวว่า มุมมองที่เบนเน็ตต์มีต่อ ‘ภาพที่ถูกค้นพบ’ เป็นหนึ่งในเหตุผลหลักที่ทำให้เขาตัดสินใจร่วมงานนี้
     “เรารู้สึกว่า ‘ภาพที่ถูกค้นพบ’ กลายเป็นรูปแบบที่คนจดจำได้ไปแล้ว” ฮิลกล่าว “และมันก็ไม่ใช่แค่วิธีการสร้างหนังแบบประหยัดเท่านั้น จริงๆ แล้ว มันไม่ใช่วิธีการสร้างหนังที่ประหยัดเลยครับ ลองดูอย่าง Cloverfield ดูสิครับ มันใช้ทุนสร้างมหาศาล ทั้งๆ ที่ใช้ไอเดียของ ‘ภาพที่ถูกค้นพบ”
     “แต่สิ่งที่น่าสนใจคือภาพแบบนี้เป็นภาษาที่คนอายุน้อยคุ้นเคยเป็นอย่างดีเพราะภาพเคลื่อนไหวส่วนใหญ่ที่พวกเขาได้เห็นมักถูกถ่ายด้วยโทรศัพท์”
“    เมื่อหลายปีก่อน มีคนบอกผมว่า โนเกียเป็นบริษัทกล้องที่ประสบความสำเร็จสูงสุดในโลก และมันก็เมคเซนส์ครับ” ฮิลบอก “นี่เป็นภาษาของเด็กๆ พวกเขาเข้าใจการถ่ายทำแบบนี้และการสื่อสารทางลัดที่เกิดขึ้นพร้อมกัน เราก็เลยคิดว่าเราจะใช้ไอเดียนั้นมาสร้างเป็นหนังที่ไม่ธรรมดาน่ะครับ”





โมเคลลี มเบมเบ้

      เมื่อรูปแบบและไอเดียสำหรับเรื่องราวเริ่มเป็นรูปเป็นร่างขึ้นแล้ว ผู้กำกับและผู้อำนวยการสร้างก็ต้องการภารกิจที่จะเป็นเป้าหมายของทีมงานถ่ายทำสารคดี ภารกิจที่จะนำทีมสำรวจเข้าสู่สิ่งแวดล้อมที่ห่างไกลและไร้ผู้คนพักอาศัย ที่ซึ่งพวกเขาอาจจะเจอสิ่งมีชีวิตก่อนประวัติศาสตร์ได้
   “ผมจำได้ว่าเคยอ่านบทความหนึ่งเกี่ยวกับกลุ่มนักสำรวจจริงๆ” เบนเน็ตต์เล่า “เป็นกลุ่มนักสำรวจชาวอังกฤษที่แปลกประหลาด พวกเขาจะไปตามที่ต่างๆ ในโลกและพยายามค้นหาความจริงว่าสิ่งมีชีวิตลึกลับต่างๆ นั้นมีตัวตนอยู่จริงหรือเปล่า”
   “มันมีทั้งตัวเยติ สัตว์ประหลาดล็อคเนส สัตว์ประหลาดในทะเลและทะเลสาบของญี่ปุ่น แต่ตัวที่มักถูกพูดถึงบ่อยๆ คือตัว                   โมเคลลี มเบมเบ้ ซึ่งเชื่อว่าอาศัยอยู่ในคองโก  ในบทภาพยนตร์เรื่องนี้ ผมอ้างถึงข้อเท็จจริงที่ว่าโมเคลลี มเบมเบ้เป็นเหมือนสัตว์ประหลาดล็อคเนสของแอฟริกาครับ”
   บ่อยครั้งที่นักสำรวจได้เดินทางไปยังคองโกด้วยความหวังที่จะหาหลักฐานการมีตัวตนของสิ่งมีชีวิตชนิดนี้ให้พบ “ในบรรดาสิ่งมีชีวิตลึกลับที่ปรากฏในเรื่องราวต่างๆ จากทั่วโลก” ผู้กำกับกล่าว “โมเคลลี มเบมเบ้เป็นตัวที่น่าจะมีตัวตนอยู่มากที่สุด ซึ่งเป็นเรื่องน่าสนใจจริงๆ ครับ”
   เบนเน็ตต์ตั้งข้อสังเกตว่า มีคนกล่าวว่าโมเคลลี มเบมเบ้ อาศัยอยู่ในหนึ่งในป่าที่ลึกที่สุดในโลก “แต่กลับมีคนพบเห็นมันมากเหลือเกิน” เขากล่าวเสริม
   “มีข้อมูลบันทึกที่น่าเชื่อถือได้เกี่ยวกับการพบเห็นโมเคลลี มเบมเบ้มากมายย้อนกลับไปตั้งแต่เมื่อสองสามร้อยปีที่แล้ว คนกลุ่มแรกคือพวกมิชชันนารี ซึ่งหลายคนได้สเก็ตช์ภาพมันเอาไว้ แล้วก็มีเรื่องแบบนี้เกิดขึ้นเรื่อยๆ ชาวบ้านเห็นมันเป็นครั้งคราว และพวกเขาก็กลัวสัตว์ประหลาดตัวนี้มาก”
   “มันมีความขัดแย้งในเรื่องรูปร่างหน้าตาของมัน” เขากล่าวเสริม “แต่ก็ดูเหมือนว่าจะมีสัตว์ประหลาดขนาดใหญ่ที่ไม่อาจระบุสายพันธุ์ได้มีชีวิตอยู่บริเวณนั้นจริงๆ”
   ผู้กำกับเล่าว่าเขาเคยอ่านบทความหนึ่งเกี่ยวกับทีมนักสำรวจที่จะไปตามล่าสัตว์ประหลาดชนิดนี้ “คนหลงใหลในเรื่องราวของสัตว์ประหลาดครับ” เขาบอก “พวกนักสัตว์ประหลาดวิทยาเป็นคนที่จะออกไปตามหาสัตว์ลึกลับหรือสัตว์ที่คนคิดว่าสูญพันธุ์ไปแล้ว แต่จริงๆ แล้วยังมีชีวิตอยู่น่ะครับ”
   “คนทั่วโลกสนใจในเรื่องนางเงือก สิ่งมีชีวิตในทะเล สัตว์ประหลาดในทะเล และคนก็ออกตามหาสัตว์ประหลาดพวกนี้ด้วยความหวังว่าพวกมันจะอยู่ที่นั่นจริงๆ และพอผมได้ยินเกี่ยวกับทีมสำรวจที่กำลังจะเดินทางไปคองโกเพื่อตามหาโมเคลลี มเบมเบ้ ผมก็คิดว่า ‘ว้าว! มันจะต้องเป็นสารคดีที่วิเศษสุดแน่ๆ’”
   “แต่ผมก็คิดว่า ‘แล้วถ้าพวกเขาเจออะไรจริงๆ แล้วล่ะก็ พวกเขาจะทำยังไง พวกเขาจะเตรียมพร้อมมากน้อยแค่ไหน’”
   “คุณมีคนกลุ่มหนึ่งที่น่าจะเป็นพวกนักวิชาการ นักวิทยาศาสตร์ พวกคนที่น่าจะมีนิสัยแปลกๆ หน่อย หรือบางคนอาจคิดว่าตัวเองเป็นอินเดียนา โจนส์ แต่จะเกิดอะไรขึ้นล่ะถ้าพวกเขาเห็นอะไรบางอย่างจริงๆ นั่นเป็นไอเดียเริ่มต้นครับ”
« Last Edit: August 05, 2012, 07:51:45 PM by happy »

happy on August 05, 2012, 07:50:08 PM







ไดโนเสาร์

       ใน The Dinosaur นักสัตว์ประหลาดวิทยาและทีมถ่ายทำสารคดีของพวกเขาได้เห็นบางอย่างจริงๆ ในความเป็นจริงแล้ว พวกเขาได้เห็นมากกว่าที่พวกเขาคาดคิดไว้เสียอีก หลังจากที่มุ่งหน้าเข้าไปในป่าลึกของคองโกเพื่อตามหาตัวโมเคลลี มเบมเบ้ พวกเขากลับเจอสถานการณ์ไม่คาดฝันเมื่อเฮลิคอปเตอร์ของทีมร่วงลงหลังจากชนกับสัตว์บินได้ขนาดใหญ่ ทำให้พวกเขาตกลงไปใจกลางป่าหนาทึบ
   ขณะที่ลูกทีมพยายามค้นหาทางออกจากป่ารกชัฏที่หนาทึบนี้ ไม่นานนักพวกเขาก็ตระหนักได้ว่า พวกเขาได้มาอยู่ในดินแดนที่มีความเป็นยุคก่อนประวัติศาสตร์ และสิ่งมีชีวิตที่อยู่บนผืนดิน หรือโบยบินอยู่บนท้องฟ้าเบื้องบน มาจากอีกยุคสมัย พวกมันเป็นสัตว์ประหลาดดึกดำบรรพ์ทั้งสิ้น
   ท่ามกลางความตื่นเต้น การผจญภัย และการกัดกิน ที่เกิดขึ้นตามมา นิค ฮิล ผู้อำนวยการสร้างของเบนเน็ตต์ กล่าวว่าทีมผู้สร้างอยากให้สัตว์ประหลาดในภาพยนตร์เรื่องนี้ “ถ้าไม่สมจริงหรือตรงตามความจริงทั้งหมด อย่างน้อยก็จะมีพื้นฐานจากงานวิจัยทางวิทยาศาสตร์ที่เชื่อถือได้”
   ไดโนเสาร์ในภาพยนตร์เรื่องนี้ ที่ถูกเนรมิตชีวิตโดย เจลลีฟิช พิคเจอร์ส บริษัทสเปเชียล เอฟเฟ็กต์ เจ้าของรางวัลบาฟตา ซึ่งเร็วๆ นี้ เพิ่งทำงานใน Planet Dinosaur ให้กับบีบีซี วัน จะเป็นสัตว์ประหลาดที่เคยมีชีวิตอยู่จริงหรือไม่ก็จะถูกสร้างขึ้นโดยอ้างอิงจากซากฟอสซิลที่ยังหลงเหลืออยู่
   เบนเน็ตต์กล่าวอธิบายว่า “ผมสนใจเรื่องของวิวัฒนาการและแน่นอนว่าไดโนเสาร์น่าจะสูญพันธุ์ไปตั้งแต่เมื่อ 65 ล้านปีที่แล้ว แน่นอนว่าถ้าไดโนเสาร์ที่ปรากฏตัวในหนังเรื่องนี้ไม่ได้ตายลงในตอนนั้น แน่นอนว่ามันจะต้องมีวิวัฒนาการเปลี่ยนแปลงบางอย่างครับ”
   เขายก “สัตว์ประหลาดที่น่ากลัวที่สุดในเรื่อง” เป็นตัวอย่าง มันเป็นสัตว์ประหลาดคล้ายค้างคาวที่จู่โจมเหล่านักสัตว์ประหลาดวิทยาทันทีหลังจากเฮลิคอปเตอร์ตก
   “พวกมันมีที่มาจากสัตว์ที่เรียกว่าเจโฮล็อปเทรัสครับ” เบนเน็ตต์บอก “มันเป็นการค้นพบซากฟอสซิลน่าตื่นเต้นที่นักบรรพชีวินวิทยามักนำเสนอทฤษฎีใหม่ๆ เสมอ มีการถกเถียงมากมายว่าสัตว์ชนิดนี้มีพฤติกรรมอย่างไร และมันมีลักษณะอย่างไรน่ะครับ”
   ทฤษฎีที่เป็นที่ถกเถียงอย่างหนึ่งบ่งชี้ว่า เจโฮล็อปเทรัส อาจจะเป็นแวมไพร์ก็ได้ เพราะตามที่เบนเน็ตต์กล่าวว่า “ฟันของมันเรียงตัวในลักษณะพิเศษ แล้วพอผมอ่านเจอตรงนั้น ผมก็คิดว่า ‘เยี่ยมไปแล้ว อะไรจะน่ากลัวไปกว่าไดโนเสาร์ที่ไม่ได้แค่จู่โจมแต่ดันเป็นแวมไพร์ด้วยล่ะ    น่ะครับ”
   “ในหนัง ลักษณะการโจมตีของมันเหมือนแวมไพร์หน่อยๆ ครับ” เขากล่าวต่อ “เมื่อตัวละครหลักตัวหนึ่งถูกโจมตี มันก็พุ่งไปที่คอ และนั่นก็เป็นเรื่องที่ผมอยากจะขยายความต่อ เช่นทำให้มันเป็นสัตว์กลางคืน เพิ่มเยื่อกระดูกและกล้ามเนื้อที่เกิดจากวิวัฒนาการเข้าไป ซึ่งทำให้มัน    เหินเวหาได้ หน้าตามันอัปลักษณ์ เหมือนส่วนผสมระหว่างตัวการ์กอยล์และค้างคาวแวมไพร์น่ะครับ”
   ในขณะเดียวกัน ผู้อำนวยการสร้างนิค ฮิลกล่าวว่า แม้ว่าเขาจะยินดีให้เบนเน็ตต์เนรมิตรสัตว์อะไรตามแต่ที่เขาคิดฝันไว้ก็ตาม แต่      เบนเน็ตต์ก็อยากจะหวนคืนสู่หลักฐานเสมอ
   “ตอนที่เราออกแบบค้างคาวมฤตยูพวกนี้” ฮิลเล่า “ซึ่งมีพื้นฐานจากตัวเจโฮล็อปเทรัส มันมีการถกเถียงใหญ่โตในแวดวงบรรพชีวินวิทยาว่าสัตว์ตัวนี้เป็นค้างคาวแวมไพร์รึเปล่า มีคนบอกว่าทฤษฎีดังกล่าวเป็นเรื่องน่าขัน แต่ซิดอยากทำให้แน่ใจว่าผู้เชี่ยวชาญที่เราคุยด้วยเกี่ยวกับสัตว์ประหลาดตัวนี้จะร่วมงานกับเราครับ”
   “ผมจะบอกกับซิดว่า ‘ไม่เป็นไรหรอก นี่เป็นหนังนะ ใครจะแคร์ล่ะว่าเราทำทุกอย่างตรงตามความจริงรึเปล่า?’ แต่เขาก็บอกว่า ‘ไม่นะ มันเป็นเรื่องสำคัญ’ และในแง่ของการค้นคว้าข้อมูล เขาอยากจะทำให้ทุกอย่างตรงตามความจริงที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ มันเป็นสิ่งที่สำคัญมากสำหรับเขาและเมื่อเขาอธิบายเรื่องนี้ให้ผมฟัง ผมก็ตกลงครับ”
   ในขณะที่ไดโนเสาร์ทุกตัวที่ปรากฏใน The Dinosaur สร้างขึ้นจากซากฟอสซิลที่ยังหลงเหลืออยู่ มันก็ไม่ได้เป็นสัตว์กระหายเลือดทุกตัว จริงๆ แล้ว ทีมงานได้บังเอิญเจอสัตว์ประหลาดตัวหนึ่ง ที่ค่อนข้างจะไม่เป็นพิษเป็นภัย และได้มีบทบาทสำคัญในเรื่องด้วย ไดโนเสาร์ตัวนี้ ซึ่งทีมผู้สร้างเรียกว่า คริปโต้ มีเค้าโครงจากตัวเลโซโธเซารัส
   “เหตุผลที่ผมเลือกเลโซโธเซารัสเพราะข้อแรก ซากฟอสซิลของไดโนเสาร์ชนิดนี้ถูกพบในบริเวณนั้นครับ” เบนเน็ตต์กล่าว “และข้อสอง เชื่อกันว่ามันเป็นไดโนเสาร์ที่ฉลาดมากๆ และด้วยความเปลี่ยนแปลงตามวิวัฒนาการ สายพันธุ์นั้นก็น่าจะฉลาดเพิ่มขึ้นอีกได้ ผมอยากได้ไดโนเสาร์ที่จะถูกใจผู้ชมจริงๆ ครับ”
   “มันเหมือนกับสัตว์หลายสายพันธุ์ที่เรามีอยู่ตอนนี้” ผู้กำกับกล่าวต่อ “มีสัตว์บางชนิดที่ช่างสงสัยและเข้ากับมนุษย์ได้ดีกว่าชนิดอื่นๆ มันไม่ได้เป็นเรื่องที่เกินคาดที่ไดโนเสาร์จะเป็นมิตรได้หรอกนะครับ”









นักสำรวจ



       ในขณะที่ไดโนเสาร์ก่อให้เกิดความตื่นเต้นและระทึกขวัญ เรื่องราวของภาพยนตร์เรื่องนี้มีพื้นฐานจากเรื่องราวความสัมพันธ์ระหว่าง    พ่อ-ลูกที่คลาสสิก ผู้เป็นพ่อคือโจนาธาน มาร์แชนท์ ที่รับบทโดยริชาร์ด ดิลเลน ผู้เป็นหัวหน้าทีมสำรวจ ที่มุ่งหน้าไปยังคองโก ส่วนลูกชายคือ      ลุค มาร์แชนท์ วัยรุ่นที่รับบทโดยแมทท์ เคน ผู้แอบติดตามทีมสำรวจมาด้วย
   “มันเป็นความสัมพันธ์ที่ยอดเยี่ยม” เบนเน็ตต์บอก “เพราะลุคถึงช่วงอายุที่เขาเริ่มจะท้าทายอำนาจของพ่อตัวเอง แต่ในขณะเดียวกัน เขาก็โหยหาความรักและความสนใจจากพ่อ เราก็เลยมีความแตกต่างที่วิเศษสุดในความสัมพันธ์นั้น ที่จะเปลี่ยนแปลงไประหว่างการดำเนินเรื่อง”
   “ความสัมพันธ์นั้นได้ถูกถ่ายทอดออกมาได้อย่างยอดเยี่ยมโดยแมทท์ และริชาร์ดครับ”
   เบนเน็ตต์กล่าวว่า โจนาธาน มาร์แชนท์ หัวหน้าคณะสำรวจเป็น “นักสำรวจแบบเก่า เขาเป็นนักวิชาการแต่เขาก็เป็นนักบู๊ด้วย และแม้ว่าเขาจะไม่เหมือนกับอินเดียนา โจนส์ เวอร์ชั่นอังกฤษซะทีเดียว แต่ก็มีนักผจญภัยหลายคนที่เป็นเหมือนเขาครับ”
   ความตึงเครียดระหว่างพ่อและลูกขยายตัวขึ้นระหว่างองก์แรก “พ่อไม่ทันตระหนักว่าลูกชายของเขากำลังเติบโตขึ้น และมีความชำนาญบางอย่างที่เขาไม่มีน่ะครับ” เบนเน็ตต์กล่าว “โจนาธานไม่รับรู้ถึงความสามารถของลุคและนั่นก็เป็นหนึ่งในความยุ่งยากในความสัมพันธ์นั้นครับ”
   อย่างไรก็ดี เมื่อทุกอย่างเริ่มดิ่งลงเหวหลังจากเฮลิคอปเตอร์ร่วง ความสามารถของลุค โดยเฉพาะกับพวกอุปกรณ์ กลายเป็นสิ่งสำคัญ “ลุคชำนาญด้านอุปกรณ์ และมันก็เป็นเรื่องน่าตกตะลึงสำหรับโจนาธานเมื่อพวกเขาพบตัวเองอยู่ในหมู่บ้านร้าง และบางทีลุคอาจเป็นคนที่สามารถซ่อมโทรศัพท์มือถือ และอาจเป็นคนที่มีความสามารถมากกว่าคนอื่นๆ ก็ได้”
   “บนหน้าจอ คุณจะเห็นว่ามันเป็นเรื่องน่าตกตะลึงสำหรับโจนาธาน ที่ลุคอาจจะทำสิ่งที่เป็นประโยชน์ได้น่ะครับ”
   ในขณะที่ความสัมพันธ์ระหว่างโจนาธานและลุคเปลี่ยนแปลงไป ความสัมพันธ์ระหว่างชาร์ลี (ปีเตอร์ บรู๊ค) มือขวาของโจนาธาน ผู้เป็นนักสำรวจ และลูกทีมที่เหลือก็เปลี่ยนแปลงไปเช่นกัน
   “ไอเดียสำหรับชาร์ลี” เบนเน็ตต์บอก “คือเขาทะเยอทะยานอย่างเหลือเชื่อและเขาก็ไม่ชอบที่โจนาธานได้รับความสนใจอยู่คนเดียว ชาร์ลีเคยร่วมออกสำรวจกับโจนาธานมาแล้วหลายครั้ง แต่เขาอยู่ใต้เงาของโจนาธานมาโดยตลอด ในการเดินทางทุกครั้งที่พวกเขาพบอะไรใหม่ๆ    โจนาธานมักเป็นผู้ที่ได้รับการยกย่องและมันก็บั่นทอนจิตใจของชาร์ลีครับ”
   “ดังนั้น เมื่อเกิดสถานการณ์คับขันใน The Dinosaur ที่พวกเขาตระหนักว่ามีไดโนเสาร์อยู่จริงๆ ถ้าชาร์ลีสามารถเป็นคนที่กลับออกไปบอกโลกได้ว่าเขาค้นพบไดโนเสาร์ เขาก็จะเป็นนักวิทยาศาสตร์ที่โด่งดังที่สุดที่เคยมีชีวิตอยู่ และนั่นก็สร้างปัญหามากมายตามมาให้กับสมาชิกทีมคนอื่นๆ”
   ในขณะเดียวกัน นิค ฮิลก็กล่าวเสริมว่า นักแสดงทุกคนพร้อมรับมือกับทุกสิ่ง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อพวกเขาไปถ่ายทำในเซาธ์แอฟริกา “นักแสดงที่รับบทโจนาธาน ลุคและชาร์ลี ทั้งสามคนเป็นอย่างที่เราคิดเอาไว้ตอนที่เราเขียนบทเรื่องนี้ขึ้นมาเลยครับ” ฮิลกล่าว
   “แมทท์ เคนเป็นนักแสดงรุ่นเยาว์ที่เก่งกาจ เขาดูน่ารักและสาวๆ ก็จะต้องชอบเขา และผมก็คิดว่าเขานำความรู้สึกสนุกสนานมาสู่หนังเรื่องนี้ด้วย ส่วนปีเตอร์ บรู๊คก็สนุกกับการรับบทผู้ร้ายอย่างที่คุณไม่อยากจะเชื่อเลย และเขาก็ยังทำแบบนั้นต่อแม้กระทั่งในตอนที่กล้องหยุดเดินไปแล้วด้วยล่ะครับ”
   “ส่วนริชาร์ด ดิลเลนได้สวมบทตัวละครหลัก พ่อผู้เคารพในเหตุผล อย่างสมบทบาทตลอดทั้งการถ่ายทำด้วยเช่นกัน ผมคิดว่าพวกเขาสวมบทบาทของตัวเองได้ดีและกระตือรือร้นอย่างเหลือเชื่อตั้งแต่นาทีแรกที่เราเริ่มต้นคัดเลือกนักแสดงไปจนถึงการถ่ายทำหนังจริงๆ น่ะครับ”
   “ทั้งสามคนเห็นด้วยกับไอเดียของการบุกป่าแอฟริกาและยอมลำบากนานหลายสัปดาห์ เราถ่ายทำช่วงฤดูหนาว และสถานการณ์ก็ไม่ค่อยสวยซักเท่าไหร่ แต่ทีมนักแสดงก็ยินยอมพร้อมใจครับ”
   “เราเลือกนักแสดงหลักอีกสี่คนในเซาธ์แอฟริกา คืออเบนา อายิวอร์เป็นอมารา, อังเดร ไวเดอแมนรับบทพีท, นาตาชา ลอริงรับบท       ลิซ เดรเปอร์และสตีเฟน เจนนิงส์รับบทเดฟ พวกเขาต่างก็กระตือรือร้นและให้ความร่วมมืออย่างดี พวกเขาคุ้นเคยกับโลเกชั่นหลายแห่งของเราอยู่แล้ว และทำหน้าที่เหมือนไกด์นำทางของเราเลยครับ”
   การถ่ายทำ The Dinosaur ดำเนินไปในช่วงเวลาห้าสัปดาห์ และได้ถ่ายทำในโลเกชั่นในบริเวณพื้นที่สามแห่งในเซาธ์แอฟริกา
   ฮิลอธิบายว่า “พื้นที่แรกที่เราถ่ายทำคือไวลด์ โคสต์ ที่อยู่ใกล้กับพอร์ต เซนต์จอห์น ที่อยู่ทางใต้ของเดอร์แบน แล้วก็รอบๆ แม่น้ำใกล้ๆ อ่าวเพลทเทนเบิร์ก ซึ่งอยู่ทางตอนใต้ แล้วก็ตัวเมืองเคปทาวน์เองครับ”
   เขากล่าวว่า ไวลด์ โคสต์เป็นสถานที่ที่สมกับชื่อของมันอย่างแท้จริง “บริเวณนี้เหมือนอยู่ในยุคเมื่อ 100 ปีก่อนเลย มันรกชัฏมากๆ และคนพื้นถิ่นก็ใช้ชีวิตอย่างเรียบง่าย หลายคนอยู่ในกระท่อมทรงกลม ภูมิประเทศเต็มไปด้วยภูเขาและแน่นอนว่ามันมีป่าที่น่าประทับใจด้วย เราถ่ายทำระหว่างฤดูหนาวของซีกโลกฝั่งใต้ และเจอกับพายุที่ค่อนข้างรุนแรงหลายครั้ง ที่ทำให้ชีวิตเรายากลำบากขึ้น แต่มันก็เป็นฉากหลังที่น่าทึ่งให้กับเรื่องนะครับ”





happy on August 20, 2012, 12:38:44 PM
 :P