happy on September 21, 2012, 08:04:46 PM

ภาพยนตร์เรื่อง Won’t Back Down
จัดจำหน่ายโดย      เอ็ม พิคเจอร์ส              

ชื่อภาษาไทย      วอนท์ แบ็ค ดาวน์ เพียงเธอหัวใจไม่ยอม

ภาพยนตร์แนว      ดราม่า

จากประเทศ      สหรัฐอเมริกา

กำหนดฉาย      4 ตุลาคม  2555

ณ โรงภาพยนตร์      โรงภาพยนตร์ในเครือเมเจอร์ ซีนีเพล็กซ์

ผู้กำกับ          Daniel Barnz  (แดเนียล บาร์นซ์)  

อำนวยการสร้าง      Mark Johnson (มาร์ค จอห์นสัน)  


            นักแสดง   Maggie Gyllenhaal (แม็กกี้ จิลเลนฮัล) จาก Hysteria , The Dark Khight , Donnie Darko ,Paris Je t’aime
   
                                Viola  Davis (วิโอลา เดวิส) จาก The Help , Doubt , Solaris
   
                                Holly Hunter (ฮอลลี ฮันเตอร์) จาก The Piano , O Brother , Where Art Thou , Raising Arizona
   
                                Oscar Issaac (ออสการ์ ไอแซ็ค) จาก Drive , Robin Hood , Body of Lies
 

จุดเด่น   

ภาพยนตร์เรื่องนี้สะท้อนธีมที่ทะเยอทะยานแบบเดียวกับภาพยนตร์ที่เป็นที่ชื่นชมอย่าง “The Blind Side,”  “Erin Brockovich” และ “Norma Rae” ซึ่งทุกเรื่องต่างก็เล่าเรื่องของผู้หญิงที่ต่อสู้เพื่อแก้ไขสิ่งที่ไม่ถูกต้องด้วยการลงมือกระทำด้วยตัวเองและบีบให้เกิดความเปลี่ยนแปลงที่จำเป็นเพื่อส่วนร่วม ตัวละครเหล่านี้ตอบรับโอกาสที่จะก้าวสู่สมรภูมิ และต่อสู้เพื่อสิ่งดีๆ เพราะไม่มีใครคนอื่นที่ยอมทำ





เรื่องย่อ

               WON’T BACK DOWNเป็นเรื่องราวที่ทรงพลัง และได้รับแรงบันดาลใจจากเหตุการณ์จริง เกี่ยวกับการเป็นพ่อแม่ มิตรภาพ ความหวังและความกล้าหาญ แม็กกี้ จิลเลนฮัลและวิโอลา เดวิส รับบทคุณแม่ผู้มุ่งมั่น ที่ไม่ยอมให้อะไรมาหยุดยั้งพวกเธอจากการเปลี่ยนแปลงระบบโรงเรียนที่อ่อนแอของลูกๆ ของพวกเธอ เมื่อเผชิญหน้ากับพนักงานรัฐเขี้ยวลากดิน และระบบที่หยั่งรากลึกในแนวคิดแบบดั้งเดิม พวกเธอก็ยอมเสี่ยงทุกสิ่งทุกอย่างเพื่อสร้างความแตกต่างให้กับการศึกษาและอนาคตของลูกๆ พวกเธอ

เกี่ยวกับภาพยนตร์

               WON’T BACK DOWNมีโครงสร้างเหมือนตำนานเดวิดปะทะยักษ์โกลิแอธ ผู้กำกับแดเนียล บาร์นซ์กล่าว มันเดินเรื่องในแบบที่ไม่คาดฝันสำหรับดรามาที่ให้น้ำหนักไปที่ตัวละครสองตัวอีกด้วย “ในแง่หนึ่ง เรามองหนังเรื่องนี้เป็นเหมือนหนังสงคราม เราก็เลยพยายามจะสร้างสโคปของ WON’T BACK DOWN ให้มากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ครับ” เขาอธิบาย เรื่องราวนี้บอกเล่าเรื่องของการต่อสู้หลายต่อหลายครั้ง ที่ตัวละครเอกคือผู้ที่ก่อสงครามกับระบบที่ด่างพร้อย อาวุธที่พวกเขาใช้คือความหวังและการกระทำ
            ผู้ชมจะสามารถเข้าถึงอุปสรรคนานัปการที่ เจมี ฟิทซ์แพทริค (รับบทโดย จิลเลนฮัล) และโนนา อัลเบิร์ตส์ (รับบท เดวิส) ต้องเผชิญขณะที่พวกเธอต่อสู้กับพนักงานรัฐผู้ทรงอำนาจ เพื่อลูกๆ ของพวกเธอ เรื่องราวของพวกเธอได้ปลุกความกล้าหาญและกระตุ้นความคิด รวมถึงจุดประกายว่าคนๆ เดียวก็สามารถสร้างความแตกต่างได้ บาร์นซ์กล่าวว่า “ผมหวังว่าผู้ชมจะรู้สึกถึงพลังของปัจเจกบุคคล เรามีพลังที่จะเปลี่ยนแปลงสิ่งต่างๆ เพื่อลูกๆ และเพื่อคนรุ่นต่อๆ ไป ผู้อำนวยการสร้างเจ้าของรางวัลออสการ์ มาร์ค จอห์นสัน (“Rain Man”) กล่าวเห็นพ้องด้วย “การเปลี่ยนแปลงสำคัญสามารถเริ่มต้นได้ด้วยคนๆ เดียว และอีกคนหนึ่ง และก่อนที่คุณจะทันรู้ตัว มันก็จะมีกลุ่มคนที่เรียกร้องว่า ‘เราอยากให้ลูกเราได้สิ่งที่ดีกว่านี้’ น่ะครับ”
            วิโอลา เดวิส ผู้ได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลอคาเดมี อวอร์ดจากผลงานของเธอใน “The Help” ยกระดับไอเดียนี้ไปอีกขั้น “มันเป็นหน้าที่ของเรา ในฐานะมนุษย์ ที่จะใช้ชีวิตที่ยิ่งใหญ่กว่าตัวเราเอง ไม่อย่างนั้น มันก็ไม่ใช่การใช้ชีวิตหรอกค่ะ เราจะต้องเสี่ยงมากขึ้น รักให้ลึกซึ้งขึ้นและทิ้งบางสิ่งบางอย่างที่ยิ่งใหญ่กว่าตัวเราให้กับโลกใบนี้ค่ะ”
            บาร์นซ์นำเสนอไอเดียใหญ่โตนี้ด้วยการถ่ายทอดชีวิตที่สะเทือนใจของตัวละครหลักสองตัว ผู้เป็นหัวใจและจิตวิญญาณของภาพยนตร์เรื่องนี้ อย่างน่าติดตาม พวกเธอเป็นแม่ที่มาจากอีกด้านหนึ่งของกลุ่มทางเศรษฐกิจและสังคม แต่พวกเธอก็มุ่งมั่นไม่แพ้กันที่จะรักษาอนาคตของเด็กๆ รวมถึงลูกๆ ของพวกเธอเองเอาไว้ให้ได้ สำหรับเจมี บทของจิลเลนฮัล การเดินทางนี้เป็นเรื่องของการทำให้แน่ใจว่าลูกสาวของเธอจะไม่เจอกับการศึกษาที่เลวร้าย และสำหรับ โนนา ตัวละครของเดวิส มันก็เป็นเรื่องของการรื้อฟื้นความรักของเธอที่มีต่อการสอน
            เจมี ที่มีรอยสักและสวมชุดแบบร็อคเกอร์สาว แตกต่างจากนักเคลื่อนไหวทั่วๆ ไปที่จะเป็นผู้นำในการปฏิรูปการศึกษา จิลเลนฮัลบอก “ฉันอยากให้เจมีสร้างความแปลกใจ ว่าเธอเป็นคนสุดท้ายที่คุณคาดหวังว่าจะแคร์เรื่องนี้มากพอที่จะปล่อยางทุกอย่างและเสี่ยงทุกสิ่งเพื่อกระตุ้นให้เกิดความเปลี่ยนแปลงใหญ่โต เธอไม่สนใจการเมือง ดังนั้น การเคลื่อนไหวนี้จะมาจากหัวใจของเธอค่ะ”
            การตัดสินใจของจิลเลนฮัลที่จะเนรมิตชีวิตให้กับเจมีสร้างความประทับใจให้กับผู้กำกับของเธอ “แม็กกี้ได้สร้างตัวละครออริจินอลที่ไม่เหมือนใครขึ้นมา” บาร์นซ์บอก “เธออยากให้เจมีมีอดีตที่ไม่เกี่ยวข้องกับประเด็นทางด้านการเรียนหรือการปฏิวัติทางการศึกษา”
            โนนาเป็นครูสอนเกรดสอง แต่ความรักที่เธอมีต่องานกลับมอดลงไป ซึ่งส่วนใหญ่แล้วก็เกิดจากความหงุดหงิดกับระบบที่ดูเหมือนจะไม่เวิร์คอีกต่อไปแล้ว ในตอนที่เราได้พบโนนา เธอกำลังประเมินชีวิตและทางเลือกของตัวเองใหม่ “เธอต้องเจอกับการเสียชีวิตของแม่เธอ การหย่าร้าง และเธอก็รู้สึกผิดเกี่ยวกับลูกชายตัวน้อย ที่เป็นนักเรียนที่ไม่ประสบความสำเร็จด้วยค่ะ” เดวิสเล่า “แต่การร่วมมือกับเจมีช่วยให้โนนาเข้าถึงสิ่งต่างๆ ทั้งหลายทั้งปวงที่ทำให้เธอรู้สึกมีชีวิตชีวา และปลุกความรักที่เธอมีต่อการสอนขึ้นมาอีกครั้ง ระหว่างการรื้อโครงสร้างโรงเรียนของลูกเธอ โนนาก็กำลังรื้อโครงสร้างตัวเองใหม่ด้วยค่ะ” มันเป็นบทที่ซับซ้อน ซึ่งเดวิสได้สื่อสารออกมาในแบบที่ทรงพลังแต่เรียบง่าย “สิ่งที่พิเศษสุดเกี่ยวกับวิโอลาคือความสามารถของเธอที่จะถ่ายทอดอารมณ์นับหมื่นออกมาได้ด้วยสีหน้าเดียว” บาร์นซ์กล่าวชื่นชม
            การที่เจมีและโนนาแตกต่างกันเหลือเกิน ทั้งทางสังคม เศรษฐกิจและส่วนตัว ทำให้การร่วมมือกันของทั้งคู่ยิ่งทรงพลังมากขึ้น “ทั้งคู่เป็นคนที่มีอะไรตรงข้ามกัน ที่เข้าคู่กันได้อย่างเพอร์เฟ็กต์ครับ” บาร์นซ์ตั้งข้อสังเกต “เจมีและโนนาแตกต่างกันเหลือเกินในตอนที่พวกเธอมาเจอกัน จนประกายไฟลุกวูบวาบ ประกายไฟนั้นเป็นอะไรที่น่าดูชมขณะที่พวกเธอพยายามฝ่าฟันสิ่งที่ขวางกั้นระหว่างพวกเธอเอาไว้ครับ” และมันก็เป็นความจริงทั้งในเรื่องของบุคลิกและวิธีการที่นักแสดงทั้งคู่ใช้ในการสวมบทนี้ด้วย ซึ่งก็ช่วยยกระดับให้กับปฏิกิริยาเคมีและประกายวูบวาบนั้นมากขึ้นไปอีก “แม็กกี้เป็นคนที่ร้อนแรง ดุเดือดและสนใจทางการเมืองครับ” บาร์นซ์ตั้งข้อสังเกต “ส่วนวิโอลาเป็นคนช่างคิดและเงียบขรึมกว่า แต่ทั้งคู่ต่างก็มีความคิดที่ลึกซึ้งอย่างมากครับ”
            ผู้ที่รับบท ไมเคิล ครูอีกคน คือออสการ์ ไอแซ็ค หนึ่งในนักแสดงที่เป็นที่ต้องการตัวสูงสุดในปัจจุบัน ผู้ซึ่งปัจจุบัน เพิ่งได้รับบทเจ้าหน้าที่สายลับใน “The Bourne Legacy” ไมเคิล ตัวละครของไอแซ็ค เป็นครูหัวก้าวหน้าที่ใช้วิธีกาแปลกใหม่ในการทำให้การเรียนรู้เป็นเรื่องน่าตื่นเต้นสำหรับลูกศิษย์ เมื่อเขาได้พบกับเจมี ความรักก็ผลิบาน และไมเคิลก็ถูกดึงไปพัวพันกับการเรียกร้องของเธอและโนนาอย่างไม่เต็มใจนัก “สไตล์การสอนของไมเคิลได้ผลสำหรับชั้นเรียนของเขา เขาก็เลยลังเลที่จะลบล้างสิ่งที่ดูเหมือนจะประสบความสำเร็จและสัมฤทธิ์ผล” ไอแซ็คกล่าว “แต่เจมีบีบให้เขามองดูภาพใหญ่และเห็นว่าเขาสามารถสร้างความแตกต่างได้ในชีวิตของนักเรียนทุกคนน่ะครับ”
            โรซี เปเรซ นักแสดงผู้ได้รับการเสนอชื่อชิงอคาเดมี อวอร์ด รับบท บรีนา ฮาร์เปอร์ ครูผู้รู้สึกสับสนระหว่างการเรียกร้องที่นำโดยเจมีและโนนา และการรักษาสภาพเดิมมที่ไม่สมบูรณ์แบบไว้ “บรีนายืนอยู่บนทางแยกค่ะ” เปเรซกล่าว “เธอมีข้อบกพร่องก็จริง แต่เธอก็เป็นคนดี และนั่นคือสิ่งที่ทำให้เธอเป็นตัวละครที่เข้าถึงได้ค่ะ”
            ในการเลือกนักแสดงสำหรับบทนี้ บาร์นซ์บอกให้ผู้กำกับฝ่ายคัดเลือกนักแสดงของเขาหา        “คนแบบโรซี เปเรซ” เพราะเขาไม่แน่ใจว่าจะได้ตัวเธอมารึเปล่า “แต่เราก็ได้ตัวเธอมาครับ!” ผู้กำกับหนุ่มกล่าว “โรซีมีความรู้สึกที่รุนแรงเป็นพิเศษสำหรับตัวละครและเนื้อหานี้ เธอมีชีวิตชีวาและตลกมาก และเธอก็มีความรอบรู้เกี่ยวกับประเด็นที่ครูหลายคนต้องเผชิญในปัจจุบันนี้ด้วยครับ”
            นักแสดงอีกคนของเรื่องคือ ฮอลลี ฮันเตอร์ เจ้าของรางวัลอคาเดมี อวอร์ด ผู้รับบท เอฟเวอลิน ริสค์ หัวหน้าสหภาพครู ผู้รู้สึกสับสนในตัวเอง “เอฟเวอลินตั้งคำถามมากมายเกี่ยวกับตัวเองและตำแหน่งของเธอ” ฮันเตอร์บอก “เธอรู้สึกสับสนระหว่างบทบาทของเธอในระบบและการก่อให้เกิดความเปลี่ยนแปลงที่ส่งให้เกิดผลดีต่อโรงเรียนและเด็กๆ มากที่สุด เธอกำลังเผชิญหน้ากับการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในแนวคิดของเธอค่ะ”
            “ฮอลลีเป็นหนึ่งในนักแสดงที่เป็นที่รักมากที่สุดของเรา แม้กระทั่งในตอนที่เธอรับบทตัวร้าย อย่างใน WON’T BACK DOWN ก็ตาม” บาร์นซ์ตั้งข้อสังเกต “เธอนำความอบอุ่น ความน่าเห็นใจและความซับซ้อนมาสู่ตัวละครตัวนี้ครับ”
            ผู้ที่รับบทสมทบคือแลนซ์ เรดดิค (“Fringe”) ในบท ชาร์ลส์ อัลเบิร์ตส์ สามีที่ห่างเหินกันไปของโนนา, มารีแอนน์ ฌอน-แบ็บติสท์ (ผู้ได้รับการเสนอชื่อชิงออสการ์จาก “Secrets and Lies”) ในบทโอลิเวีย โลเปซ ประธานบอร์ดการศึกษา, วิง ราห์มส์ เจ้าของรางวัลลูกโลกทองคำในบทครูใหญ่ของโรงเรียน, เอมิลี เอลิน ลินด์ในบทมาเลีย ลูกสาวของแม็กกี้และดังเต้ บราวน์ ในบท โคดี้ ลูกชายของโนนา
« Last Edit: September 23, 2012, 08:35:48 PM by happy »

happy on September 21, 2012, 08:09:24 PM





เกี่ยวกับงานสร้าง

               WON’T BACK DOWN ถ่ายทำในสถานที่จริงในพิตส์เบิร์ก, เพนซิลวาเนีย ซึ่งบาร์นซ์กล่าวชื่นชมใน “จิตวิญญาณที่ยอดเยี่ยม และส่วนผสมระหว่างกลิ่นไอแบบมิดเวสเทิร์นและความรู้สึกแบบ (อเมริกา) ตะวันออก” ผู้อำนวยการสร้างมาร์ค จอห์นสันกล่าวเสริมว่า “มันเป็นเมืองที่หยิ่งทะนง ที่มีความงามน่าประทับใจครับ” พลางตั้งข้อสังเกตถึงย่านสามเหลี่ยมดาวน์ทาวน์ของพิตส์เบิร์กและจุดรวมของแม่น้ำสามสาย
            บาร์นซ์, ผู้ออกแบบงานสร้าง รัสตี้ สมิธและผู้กำกับภาพ โรมัน โอซิน, บีเอสซี ต้องการสีสันที่จะพัฒนาไปตามเรื่อง สำหรับฉากแรกๆ พวกเขาได้สร้างสิ่งแวดล้อมแบบฤดูหนาว ที่เย็นยะเยือก ด้วยสีที่ดูจืดชืด เมื่อการเดินทางของตัวละครเดินหน้า และความฝันและแผนการของพวกเขาเริ่มเป็นรูปเป็นร่าง สีก็เข้มขึ้น และมีชีวิตชีวาขึ้น สมิธกล่าวว่า “ในตอนท้ายเรื่อง เราอยู่กันในฤดูใบไม้ผลิและทุกสิ่งก็มีชีวิตชีวาและเต็มไปด้วยความหวัง”
            กล้องของโอซินเคลื่อนไหวอยู่ตลอดเวลา ช่วยเสริมสร้างพลังงานที่แข็งแกร่งของ WON’T BACK DOWN และถ่ายทอดถึงความไม่อยู่นิ่งและการเคลื่อนไหวอย่างไม่ลดละของตัวละครเพื่อสนับสนุนในสิ่งที่พวกเขาเชื่อและเพื่อการต่อสู้ของพวกเขา
            แต่สิ่งที่ผลักดันภาพยนตร์เรื่องนี้เหนือสิ่งอื่นใดคือความรู้สึกรุนแรงที่นักแสดงและทีมผู้สร้างมีต่อเนื้อหานี้และความพยายามที่มันถ่ายทอดออกมา บาร์นซ์กล่าวว่า “ความหวังของผมก็คือผู้ชมจะรู้สึกเชื่อมโยงกับ WON’T BACK DOWN ไม่ว่าพวกเขาจะมีลูกหรือไม่ก็ตาม หนังเรื่องนี้พูดถึงธีมที่เป็นสากลและเข้าถึงได้ ซึ่งรวมถึงการเผชิญหน้ากับสิ่งที่ใหญ่กว่าตัวเอง และการค้นพบว่าคุณมีกำลังที่จะทำทุกอย่างให้สำเร็จได้
            “มันเป็นข้อคิดที่ทรงพลังสำหรับผู้ชมทุกหนทุกแห่งครับ” เขากล่าวต่อ “มันไม่ได้เป็นแค่เรื่องราวของชาวอเมริกันเท่านั้น”