happy on July 09, 2012, 01:44:26 PM

The Raid Redemption /ฉะ! ทะลุตึกนรก

นักแสดง - ไอโก อูเวส, โจ ทาสลิม  

ผู้กำกับ - การ์เร็ตต์ อีแวนส์

ประเภท – แอ็คชั่น

กำหนดเข้าฉาย 16 สิงหาคม 2012 เฉพาะที่ APEX เท่านั้น



คุณเคยดูภาพยนตร์แอ็คชั่นมันส์ที่สุดในชีวิตครั้งสุดท้ายเมื่อไหร่
อย่ากระพริบตา นี่คือหนังแอ็คชั่นดุเดือดสุดมันส์แห่งปี สร้างความเซอร์ไพรส์มาแล้วทั่วโลก

               สมาชิกหน่วยรบพิเศษได้มุ่งหน้าไปยังอาคารอพาร์ทเมนต์เสื่อมโทรมเพื่อปฏิบัติภารกิจกำจัดเจ้าของอพาร์ทเมนต์ ซึ่งเป็นเจ้าพ่อยาเสพติดตัวเอ้ อพาร์ทเมนต์หลังนี้ไม่เคยถูกบุกจู่โจมมาก่อน และไม่เคยถูกแตะต้องโดยเจ้าหน้าที่ตำรวจ อาคารหลังนี้ที่ถูกมองว่าเป็นแดนมิคสัญญีได้กลายเป็นแหล่งพักพิงของเหล่าฆาตกร แก๊ง นักข่มขืนและหัวขโมย ที่แสวงหาที่พักในสถานที่ที่พวกเขารู้ว่าพวกเขาจะไม่ถูกแตะต้อง เหล่าเจ้าหน้าที่เริ่มเข้าประจำที่ในช่วงรุ่งสาง และค่อยๆ เข้าควบคุมสถานที่นี้ทีละชั้นๆ แต่ก็ไม่วายถูกปิดล้อมทั้งตึกไว้ โดยดับไฟทั้งหมดและปิดทุกทางเข้าออก ตอนนี้พวกเขาติดอยู่บนชั้นหกโดยที่การสื่อสารทั้งหมดถูกตัดขาด และเจ้าของตึกก็ได้สั่งระดมพลจากบรรดาผู้เช่าของเขาต้อนรับแขกผู้มาเยือนกลุ่มนี้ หน่วยรบพิเศษชุดนี้จะต้องต่อสู้ฟาดฟันผ่านทุกชั้นและทุกห้องไปให้ได้ ไม่ใช่เพียงเพื่อปฏิบัติภารกิจของพวกเขาให้สำเร็จเท่านั้น แต่เพื่อเอาชีวิตรอดจากการต่อสู้ที่นองเลือดนี้ด้วย

               ยูไนเต็ด โฮมเอนเตอร์เทนเมนท์ และเมอรันเตา ฟิล์มส์ ภูมิใจเสนอTHE RAID REDEMPTIONภาพยนตร์ที่ได้รับการกล่าวขวัญว่าเป็นภาพยนตร์แอ็คชั่นที่ดิบ ดุ และมันส์ที่สุดในรอบ 10 ปี สร้างเสียงฮือฮาในทุกเทศกาลฉายและทุกประเทศทั่วโลกที่เปิดฉายรวมทั้งสหรัฐอเมริกา

               กำกับการแสดงโดยจี.เอช. อีวานส์ นำแสดงโดยอิโก อูไวส์, ยายัน รูเฮียน, ดอนนี อลามส์ยาห์, เรย์ ซาเฮทาพี, โจ ทัสลิม, ปิแอร์ กรูโน, เวอร์ดี้ โซไลมานและอนันดา จอร์จ บทภาพยนตร์โดยกาเร็ธ เอช อีวานส์ อำนวยการสร้างโดยอาริโอ ซากันโตโร ควบคุมงานสร้างโดยแรนกา มายา บารัค-อีวานส์, เออร์แวน ดี มุสรี, ท็อดด์ บราวน์และเนท โบโลติน ผู้กำกับภาพคือแมทท์ แฟลนเนอรีและดิมาส ซับโฮโน ผู้กำกับศิลป์คือโทมี ดวี เซ็ทยันโต, มือลำดับภาพออฟไลน์ได้แก่กาเร็ธ เอช อีวานส์ มือลำดับภาพออนไลน์ได้แก่แอนดี้ โนเวียนโต ผู้กำกับแอ็กชันคือกาเร็ธ เอช อีวานส์ ออกแบบท่าต่อสู้โดยอิโก อูไวส์และยายัน รูเฮียน


16 สิงหาคมนี้ ต่อมอะดรีนาลินทะลักจุดแตกพร้อมกันเฉพาะที่ เอเพกซ์ สยามสแควร์

« Last Edit: July 09, 2012, 03:13:53 PM by happy »

happy on July 09, 2012, 03:19:05 PM





เกี่ยวกับภาพยนตร์

                อิโก อูไวส์ ดาราแอ็กชันดาวรุ่งและกาเร็ธ เอช อีวานส์ รู้จักกันมาตั้งแต่ตอนที่อีวาน์ได้ทำงานในภาพยนตร์สารคดีที่อินโดนีเซียในปี 2007
   พวกเขาต่างเคยได้ร่วมงานกันมาก่อนในภาพยนตร์เรื่องแรกของพวกเขา Merantau ในปี 2008 และได้รับความนิยมจากทั้งในและต่างประเทศ ในการสานต่อความสำเร็จจากครั้งก่อน อีวานส์ต้องการคิดภาพยนตร์เรื่องที่สองที่นำแสดงโดยอิโก อูไวส์ และในช่วงปลายปี 2010 พวกเขาก็เริ่มคิดไอเดียสำหรับภาพยนตร์เรื่องที่สอง ระหว่างที่อีวานส์ลงมือคิดเรื่องย่อและบทภาพยนตร์ฉบับเต็มขึ้น อิโก อูไวส์และยายัน รูเฮียน (นักแสดงแอ็กชัน/นักออกแบบท่าต่อสู้อีกคนหนึ่ง ที่มีเมอรันเตา ฟิล์มส์ เป็นผู้จัดการ) ก็ได้เริ่มออกแบบท่าแอ็กชันสำหรับเรื่อง พอมาถึงช่วงต้นเดือนมีนาคม ปี 2011 เมอรันเตา ฟิล์มส์ก็ได้ประกาศว่าการถ่ายทำ The Raid กำลังจะเริ่มต้นขึ้น
   อีวาน์ตื่นเต้นเป็นพิเศษเมื่อเขาได้รับการติดต่อจากโจ ทัสลิม นักกีฬายูโดอาชีพชาวอินโดนีเซีย ผู้แสดงความสนใจที่จะเสนอตัวมาเข้ารับการคัดเลือก หลังจากที่ทัสลิมผ่านการออดิชันและแสดงให้เห็นทักษะการต่อสู้และการแสดงที่ยอดเยี่ยม เขาก็ได้รับบทจากา ผู้บัญชาการหน่วยรบพิเศษตามท้องเรื่อง ไม่นานหลังจากนั้น อูไวส์, รูเฮียนและทัสลิมก็เริ่มการฝึกฝนเข้มข้นสำหรับฉากต่อสู้ของพวกเขา

   ในตอนแรก อีวานส์กังวลเล็กน้อยเกี่ยวกับบทจากา เพราะตัวละครตัวนี้จะต้องเพอร์เฟ็กต์ทั้งในทักษะการต่อสู้และการแสดง แต่หลังจากได้เห็นเทคนิคที่น่าประทับใจของโจ อีวานส์ก็คิดว่าทัสลิมเป็นนักแสดงที่เพอร์เฟ็กต์สำหรับบทนี้:
   “เขา (โจ ทัสลิม) พิสูจน์ให้เห็นว่าสามารถเล่นได้อย่างเป็นธรรมชาติมากๆ ครับ”
   ใน The Raid ทัสลิมรับบท จากา ผู้บัญชาการหน่วยรบพิเศษ ผู้มีวินัยขั้นสูง เขามีทัศนคติอย่างมืออาชีพและมีความใส่ใจในลูกทีมของเขาเป็นอย่างดี
   “จากาที่ผมต้องการนำเสนอคือนายทหารผู้ไม่ใส่ใจกับลาภยศหรือตำแหน่งสูงๆ เขาเป็นทหารผู้อุทิศตนเพื่อต่อสู้กับอาชญากรรม จากาเป็นทหารผู้ผ่านประสบการณ์ต่างๆ ที่ซึ่งเขาได้เห็นเพื่อนร่วมทีมได้รับบาดเจ็บจนถึงชีวิตหรือถูกยิงตายต่อหน้าต่อตาเขา เขาเคยทำผิดพลาดมาแต่เขาก็ประสบความสำเร็จด้วยเช่นกัน แสดงให้เห็นว่าเขารู้ว่าเขาทำอะไรอยู่และเขาต้องทำอะไร ดังนั้น การบุกอาคารของทามาก็ไม่ใช่เรื่องใหม่สำหรับเขา จาการู้ดีว่าการบุกอาคารของทามาเป็นเรื่องเสี่ยงอันตรายอย่างมาก เขาก็เลยอยากทำให้แน่ใจว่าลูกทีมทั้งหมดของเขาจะรอดชีวิตจากภารกิจนี้น่ะครับ”
   แม้ว่าจากาจะมีบทบาทสำคัญในหน่วยรบพิเศษ แต่ก็มีคนๆ หนึ่งที่พยายามจะทำตามความต้องการของตัวเอง ซึ่งมันก็นำไปสู่ความขัดแย้งและแสดงให้เห็นถึงความเป็นมืออาชีพของจากามากยิ่งขึ้น
   จากาจะมีฉากต่อสู้ที่ยาวนานกับตัวละครที่รับบทโดยยายัน รูเฮียน (แมด ด็อก) และแม้ว่าทั้งคู่ต่างก็เป็นนักสู้มืออาชีพ อีวานส์ก็อยากทำให้แน่ใจว่าพวกเขาจะได้ทำความรู้จักกันและกันอย่างดีก่อนที่พวกเขาจะแสดงฉากต่อสู้ที่ดุเดือดด้วยกัน เพื่อที่พวกเขาจะสามารถไว้วางใจกันและกันได้อย่างเต็มที่
   “ระหว่างกระบวนการคัดเลือกนักแสดงสำหรับบทนี้ ไปจนถึงช่วงเตรียมงานสร้าง เขาได้ฝึกกับยายันบ่อยๆ และพวกเขาก็สร้างความไว้วางใจให้เกิดขึ้นระหว่างกันได้ครับ”
   ยายัน รูเฮียนและโจ ทัสลิม มีความเห็นต่อฉากต่อสู้ระหว่างแมด ด็อกและจากาว่า:
โจ :   “นี่เป็นฉากต่อสู้ทั้งด้านร่างกายและจิตใจเพราะจาการู้ว่าแมด ด็อกเป็นใคร มันเป็นการต่อสู้เพื่อเอาชีวิตรอด ต้องฆ่าไม่งั้นก็ถูกฆ่าน่ะครับ”
ยายัน:   “นี่เป็นฉากที่แสดงให้เห็นว่าแมด ด็อกคือใคร เขาเป็นเครื่องจักรสังหารโรคจิต ที่เชี่ยวชาญด้านการต่อสู้เป็นพิเศษครับ”
   สำหรับทั้งอิโกและยายัน The Raid มีแง่มุมที่น่าสนใจมากมาย โดยไม่เพียงแต่พวกเขาจะได้ทำงานอย่างใกล้ชิดกับโจ ทัสลิม นักต่อสู้อาชีพอีกคนหนึ่งเท่านั้น แต่มันยังแตกต่างจากใน  Merantau ตรงที่ทั้งอิโกและยายันต่างก็มีหน้าที่สำคัญในการออกแบบท่าต่อสู้ที่มีพื้นฐานจากปันจักสีลัต เพื่อเติมเต็มสไตล์การต่อสู้แบบสากลด้วย
อิโก:   “เราพยายามสร้างท่าการต่อสู้ที่ซับซ้อนเป็นชุดขึ้นมาในหนังเรื่องนี้ เราใช้ปันจักสีลัตเป็นสไตล์การต่อสู้พื้นฐานของเรา แต่เราก็ปรับเปลี่ยนท่าทางบางอย่างสำหรับโจ เพราะโจเป็นนักกีฬายูโด มันก็มีบางท่าที่เราสร้างขึ้นมา ซึ่งอาจดูแข็งๆ หรือฝืนธรรมชาติสำหรับโจ เราก็เลยทำงานร่วมกันอย่างใกล้ชิดเพื่อให้ได้รายละเอียดของท่าต่อสู้ที่เหมาะสม ที่เราใส่ทักษะยูโดของโจลงไปในท่าต่อสู้ของเขาด้วย”
ยายัน:   “ดังนั้น ท่าต่อสู้ระหว่างแมด ด็อกและจากาก็เป็นอะไรที่น่าสนใจทีเดียว แมด ด็อก ตัวละครของผมเป็นคนร่างเล็ก ในขณะที่จากา ที่รับบทโดยโจ นักยูโด ตัวใหญ่กว่าผม เราพยายามทำให้ฉากต่อสู้นี้ออกมาน่าตื่นเต้นและน่าสนใจ มีทั้งการแลกหมัด การเตะ ต่อย...ทุกอย่างมีพื้นฐานมาจากท่าศิลปะการต่อสู้ทั้งนั้น ไม่มีลูกเล่น หรือลูกไม้ใดๆ ทั้งนั้น ฉากการต่อสู้ระหว่างแมด ด็อกและจากาเป็นตัวแทนของการต่อสู้ที่เร้าใจระหว่างนักฆ่าสองคนครับ”
โจ:   “สิ่งที่ผมไปมีส่วนเกี่ยวข้องกับการออกแบบท่าต่อสู้ของผมคือการใส่ท่าที่เป็นไปตามสไตล์และสัญชาตญาณของผมใส่เข้าไป ดังนั้น ทุกอย่างที่ผมแสดงออกไปในหนังเรื่องนี้ก็จะเป็นไปตามธรรมชาติของร่างกายและสไตล์ของผม แต่ท่าต่อสู้หลักๆ ถูกออกแบบมา สำหรับผมแล้ว มันมีทั้งการปล่อยหมัด การคว้าตัว ทุกอย่างอยู่ในนั้นทั้งหมดครับ”
ในฐานะผู้กำกับและผู้กำกับฉากแอ็กชัน อีวานส์ต้องการทำให้แน่ใจว่า ทักษะด้านยูโดของโจจะยังคงอยู่ในรูปแบบสไตล์การต่อสู้ของจากา ดังนั้น อิโกและยายันจะได้เสริมท่าต่อสู้เข้าไปเพียงไม่กี่ท่าเพื่อเพิ่มความไหลลื่นและภาพที่น่าตื่นเต้นสำหรับท่าต่อสู้ของจากา กาเร็ธให้ความเห็นถึงการประชันกันระหว่างยูโดและปันจักสีลัตว่า:
   “เราวางแผนที่จะแนะนำสไตล์การต่อสู้ที่แตกต่างกันในหนังเรื่องนี้เสมอมา การให้ตัวละครทุกตัวต่อสู้แบบปันจักสีลัตไม่เพียงแต่ไม่สมเหตุสมผลเท่านั้น แต่อาจเป็นการจำกัดเทคนิคที่แสดงออกมาจนอาจน่าเบื่อหน่ายก็ได้ เราอยากจะล้วงลึกให้เห็นว่าศิลปะการต่อสู้แต่ละแขนงสามารถต่อสู้กันได้ เหมือนหมากรุก และได้เห็นว่าแต่ละฝ่ายจะสามารถเอาชนะจุดแข็งและจุดอ่อนของคู่ต่อสู้ได้อย่างไรบ้าง
   เมื่อเราเลือกโจ ทัสลิมมารับบทจากาแล้ว และรู้ว่าเขามีแบ็คกราวน์ด้านยูโดและเป็นแชมป์ระดับประเทศ เราคงจะงี่เง่าน่าดูถ้าเราไม่ใส่ยูโดเข้าไปในการต่อสู้ระหว่างเขากับยายัน รูเฮียน (แมด ด็อก) เราปูพื้นฐานสำหรับการต่อสู้ครั้งนี้เอาไว้แล้ว แต่ระหว่างเซสชันการฝึกกับโจในช่วงเตรียมงานสร้าง เราเริ่มปรับการออกแบบท่าต่อสู้เพื่อให้เหมาะกับจุดแข็งของเขายิ่งขึ้น เราลดทอนความเป็นปันจักสีลัตลงและเน้นความแข็งแกร่งของร่างกายส่วนบนของเขาและความสามารถในการพลิกตามสถานการณ์ การยึดจับและการเหวี่ยงตัวมากขึ้น
   ยูโดและปันจักสีลัตเป็นศิลปะการต่อสู้สองอย่างที่แตกต่างกันอย่างมาก ดังนั้น การที่ปรมาจารย์จากศิลปะการต่อสู้ทั้งสองแบบจะมาเผชิญหน้ากันในการต่อสู้ที่มีชีวิตเป็นเดิมพันก็เลยกลายเป็นการดวลที่มีเสน่ห์น่าสนใจมากๆ”
   ทัสลิมไม่ได้สนใจโปรเจ็กต์นี้เพียงเพราะแนวภาพยนตร์เท่านั้น แต่เขายังสนใจโอกาสในการได้ร่วมงานกับกาเร็ธ เอช อีวานส์และเมอรันเตา ฟิล์มส์ ซึ่งเป็นสองชื่อที่โดดเด่นในฐานะผู้สร้าง Merantau หนึ่งในภาพยนตร์ศิลปะการต่อสู้จากอินโดนีเซียที่ประสบความสำเร็จสูงสุด และถูกนำเข้าฉายในต่างประเทศได้อย่างแพร่หลายอีกด้วย
โจ:   “เมื่อปี 2009 ผมกับเพื่อนที่ฝึกปันจักสีลัตได้ไปดูหนังเรื่อง Merantau และผมก็ประทับใจมาก ผมคิดกับตัวเองว่า 'ฉันอยากจะเป็นส่วนหนึ่งของหนังดีๆ แบบนี้บ้าง' นับตั้งแต่นั้นมา ผมก็เลยคอยติดตามอัพเดทเกี่ยกับหนังเรื่องนี้ ความสำเร็จทั้งหมดของหนังเรื่องนี้เป็นเรื่องน่าประทับใจมาก วันหนึ่งผมก็เลยทำใจกล้าแล้วติดต่อกับกาเร็ธผ่านทางข้อความ Facebook ผมแสดงความยินดีกับกาเร็ธในความสำเร็จของ Merantau และบอกว่าผมคิดว่า Merantau เป็นจุดเปลี่ยนสำคัญสำหรับหนังแอ็กชันอินโดนีเซียและมันจะเปลี่ยนแปลงมุมมองที่คนมีต่อหนังแอ็กชันจากนี้ไปอย่างแน่นอน และผมก็แนะนำตัวเองบอกว่าผมเป็นนักยูโดและนักแสดง และผมก็อยากจะเป็นส่วนหนึ่งของโปรเจ็กต์หนังเรื่องถัดไปของคุณ ผมไม่คิดว่าเขาจะถือคำพูดผมเป็นจริงเป็นจังอะไร เพราะผมติดต่อเขาผ่านทาง Facebook นี่ครับ...ผมก็เลยประหลาดใจและตื่นเต้นมากๆ เมื่อได้รับคำตอบจากกาเร็ธ”
   การได้โจมารับบทจากาเป็นเรื่องเพอร์เฟ็กต์เพราะอีวานส์ไม่เพียงแต่ต้องการให้ The Raid มีการต่อสู้แบบปันจักสีลัตเท่านั้น แต่เขายังต้องการให้ภาพยนตร์เรื่องนี้มีเทคนิคศิลปะการต่อสู้ชนิดอื่นๆ ด้วย
   ในระหว่างที่กาเร็ธกำลังเก็บรายละเอียดเกี่ยวกับเนื้อเรื่องและตัวละคร มายา บารัค ผู้ควบคุมงานสร้างและกรรมการผู้จัดการแห่งเมอรันเตา ฟิล์มส์ ก็กำลังมองหาหุ้นส่วนที่จะมาช่วยสนับสนุนด้านเงินทุนให้กับภาพยนตร์เรื่องนี้ วันหนึ่ง บารัคได้พบกับเออร์แวน มุสซี ระหว่างการดื่มกาแฟ และทุกอย่างก็เริ่มต้นจากจุดนั้น มายาเล่าถึงตอนที่เธอได้พบกับมุสรีว่า “เขาเป็นเพื่อนสนิทของครอบครัวฉันและเขาก็ให้กำลังใจและคำชื่นชมมากมายกับเราในตอนที่เราสร้าง Merantau ในปี 2008 ไม่เพียงแต่เขาจะเป็นคนดังที่ได้รับการนับหน้าถือตาและเป็นนักธุรกิจที่ประสบความสำเร็จในแวดวงบันเทิงและไลฟ์สไตล์เท่านั้น แต่เขายังเป็นผู้ที่อุทิศตนให้กับการสนับสนุนธุรกิจสร้างสรรค์อีกด้วย ดังนั้น พอเราได้ประชุมกันและเขาแสดงให้เห็นถึงความกระตือรือร้นและพลังงานที่เขาอยากจะทุ่มเทให้กับโปรเจ็กต์ของเรา เราก็ตื่นเต้นกันมาก”
      มุสรีเล่าว่า “ผมมีโอกาสได้ดู Merantau หนังเรื่องแรกที่สร้างโดยเมอรันเตา ฟิล์มส์ ทั้งเรื่องราว แอ็กชันและงานสร้างหนังเรื่องนั้นทำให้ผมประทับใจมากจนเมื่อมายาหยิบยื่นโอกาสในการได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับ The Raid ให้ผม ผมก็ไม่คิดซ้ำสอง ผมกระโจนเข้าใส่มันทันที” มุสรีเล่าต่ออีกว่า “ผมเป็นคนรักหนังครับ การได้ดูหนัง โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับครอบครัว เป็นหนึ่งในงานอดิเรกที่ผมโปรดปรานที่สุด นอกเหนือจากนั้น ผมยังมีความสนใจอย่างลึกซึ้งกับทุกสิ่งที่เป็นงานศิลป์หรืองานสร้างสรรค์ ดังนั้น พอผมได้พบกาเร็ธ ที่ทำให้ผมประทับใจกับหนังเรื่องแรกของเขา ผมก็รู้ว่าผมจะต้องเป็นส่วนหนึ่งของโปรเจ็กต์นี้ กาเร็ธไม่เพียงแต่มีทักษะท่จะกำกับหรือผลิตหนังแอ็กชันคุณภาพสูงเท่านั้น แต่เขายังมีความรักลึกซึ้งและมีวิสัยทัศน์ที่ชัดเจนว่าเขาต้องการอะไรสำหรับ The Raid ด้วย ทีมงานที่เมอรันเตา ฟิล์มส์ได้สร้างหนังที่น่าอัศจรรย์ใจขึ้นมา และไม่ต้องสงสัยเลยว่านี่จะต้องเป็นหนังที่สร้างความภาคภูมิใจให้กับประเทศชาติของเราได้อย่างแน่นอน”
   The Raid เป็นผลงานสร้างของเมอรันเตา ฟิล์มส์และเอ็กซ์วายแซด ฟิล์มส์ ร่วมกับเซลลูลอยด์ ไนท์แมร์ เมอรันเตา ฟิล์มส์เป็นผู้ถือครองสิทธิในการสนับสนุนด้านเงินทุนของเรื่องและการดูแลการประชาสัมพันธ์ภาพยนตร์เรื่องนี้ในอินโดนีเซีย รวมถึงการจัดจำหน่ายภายในประเทศด้วย ในขณะที่เอ็กซ์วายแซดรับหน้าที่เป็นหนึ่งในผู้ควบคุมงานสร้างของเรื่องและเป็นตัวแทนของเมอรันเตา ฟิล์มส์สำหรับการจำหน่าย The Raid ในทั่วโลก (เว้นอินโดนีเซีย) ผ่านทางเซลลูลอยด์ ไนท์แมร์
   ผู้ที่ร่วมทีมผู้ควบคุมงานสร้างของเรื่องด้วยคือท็อดด์ บราวน์ เมอรันเตา ฟิล์มส์และบราวน์เริ่มต้นทำงานร่วมกันใน Merantau ที่ซึ่งบราวน์มีหน้าที่ดูแลการเข้าฉายตามงานเทศกาลและการจัดจำหน่ายภาพยนตร์เรื่องนี้ในเขตอเมริกาเหนือ การร่วมงานกันครั้งนั้นไม่เพียงแต่นำมาซึ่งความสำเร็จและชื่อเสียง แต่ยังวางรากฐานที่มั่นคงสำหรับแผนการร่วมงานกันต่อไปในอนาคตของพวกเขาอีกด้วย ในตอนที่อีวานส์ยังวางแผนไอเดียสำหรับ The Raid บราวน์ก็เริ่มพูดคุยกับเขาเกี่ยวกับโทนของเรื่องและแง่มุมด้านการตลาด ไม่ต้องสงสัยเลยว่าท็อดด์ บราวน์จะมีส่วนเกี่ยวข้องกับโปรเจ็กต์ The Raid อย่างใกล้ชิด ไม่นานนัก เขาก็ได้เข้ามามีส่วนร่วมกับภาพยนตร์เรื่องนี้อย่างเป็นทางการ

   “ผมจำได้ชัดเจนตอนที่ผมตระหนักว่าอูไวส์และอีวานส์มีปฏิกิริยาเคมีพิเศษใน Merantau ซึ่งถ้าคุณโชคดี คุณอาจพบได้ในทุกสิบหรือสิบห้าปี ผมฉกฉวยโอกาสในการได้มีส่วนร่วมกับหนังเรื่องแรกของพวกเขาและอีกครั้งกับ The Raid เท่าที่ผมคิด ผมจะคอยช่วยเหลืออีวานส์และอูไวส์ในทุกทางเท่าที่ผมทำได้ในโปรเจ็กต์อื่นๆ ในอนาคตด้วยเช่นกันครับ” ท็อดด์ บราวน์กล่าว
   แน่นอนว่า The Raid เป็นโอกาสที่ทีมนักแสดงไม่สามารถปล่อยให้หลุดลอยไปได้
อิโก:   “ผมดีใจมากที่ได้เป็นส่วนหนึ่งของโปรเจ็กต์นี้และผมก็รู้สึกว่าความอุตสาหะพยายามทั้งหมดของเราเป็นสิ่งที่คุ้มค่า”
ยายัน:   “นี่เป็นโอกาสที่พิเศษสุดสำหรับตัวผม เพราะผมมองว่าตัวเองเป็นมือใหม่ในวงการนี้และการได้พบและร่วมงานกับคนที่ผมนับถือในวงการนี้เป็นประสบการณ์ที่มีความหมายจริงๆ”
โจ:   “ผมซาบซึ้งกับความไว้วางใจที่กาเร็ธมีต่อผมและการที่เขายอมให้ผมได้เป็นส่วนหนึ่งของโปรเจ็กต์นี้ ในบทสำคัญด้วย ในฐานะนักยูโด ผมคิดว่าความไว้วางใจที่ใครบางคนมีต่อคุณเป็นสิ่งล้ำค่าครับ”

happy on July 09, 2012, 03:26:06 PM





เกี่ยวกับสถานที่ถ่ายทำ

               The Raid ถูกกำหนดให้เกิดขึ้นในสถานที่และช่วงเวลาที่คลุมเครือ สิ่งที่บ่งบอกว่าเรื่องราวเกิดขึ้นที่ไหนซักแห่งในอินโดนีเซียมีเพียงภาษาที่ใช้ในเรื่องเท่านั้น 98% ของโลเกชันที่ใช้ในภาพยนตร์เรื่องนี้อยู่ภายในอาคารที่เก่าซอมซ่อ ไม่เพียงแต่ฉากของภาพยนตร์เรื่องนี้ในสถานที่เช่นนั้นจะก่อให้เกิดบรรยากาศที่ตึงเครียดภายในเรื่องเท่านั้น แต่พื้นที่ที่จำกัดนี้ยังเป็นตัวช่วยส่งเสริมฉากแอ็กชันที่สร้างสรรค์ที่สุดและแปลกใหม่ที่สุดหลายฉากของเรื่องด้วย

กาเร็ธ:   “ผมสนใจหนังที่มีเรื่องราวเกิดขึ้นในสถานที่แห่งเดียวเสมอ เพราะมันเป็นความท้าทายของการรักษาแอ็กชันให้สดใหม่และบันเทิงใจ สำหรับโลเกชันของเรื่องนี้ สิ่งสำคัญคืออาคารหลังนี้จะต้องเป็นเหมือนหนึ่งในตัวละครของเรื่อง มันจะต้องให้ความรู้สึกเหมือนเขาวงกตที่ไม่มีทางออก ที่มีแต่ระเบียงและห้อง ซึ่งมีเอกลักษณ์ของตัวเองเพื่อทำให้ภาพภูมิประเทศของเรื่องน่าสนใจ เราใช้เวลาของเรื่องเกือบ 80% ภายในอาคารและด้วยท่าต่อสู้ที่ออกแบบไว้เรียบร้อยแล้ว เพราะซีเควนซ์แอ็กชันบางฉากจำเป็นต้องอาศัยเลย์เอาท์หรือแบบดีไซน์ภายในที่เฉพาะเจาะจง การหาโลเกชันจริงๆ ที่มีแบบดีไซน์อย่างที่เราต้องการเป็นเรื่องยาก ดังนั้น ฉากภายในส่วนใหญ่จะถูกแผนกศิลป์สร้างขึ้นภายในพื้นที่ของสตูดิโอ ก่อนที่เราจะต่อยอดงานดีไซน์ของพวกเขา และเสริมมันเข้ากับโลเกชันจริงๆ เพื่อช่วยลบช่องว่าง เพราะในซีเควนซ์การไล่ล่า เราจะต้องเคลื่อนย้ายจากสตูดิโอต่างๆ ไปยังโลเกชันจริงๆ ได้อย่างแนบเนียนในช่วงลำดับภาพ การที่รอยต่อเหล่านี้ไม่ได้เป็นสิ่งที่สังเกตเห็นได้ชัดเจนไม่เพียงแต่เป็นข้อพิสูจน์ถึงฝีมือการถ่ายทำและการลำดับภาพเท่านั้น แต่ยังพิสูจน์ให้เห็นถึงฝีมือของแผนกศิลป์และทีมงานดูแลความต่อเนื่องอีกด้วย
   มีฉากหนึ่งที่เราจะต้องสร้างโครงสร้างสองชั้นเพื่อใช้เป็นสวนภายในสำหรับซีเควนซ์แอ็กชันใหญ่หลายฉากในเรื่อง แบบดีไซน์ที่ซับซ้อนนี้จะต้องสามารถปรับเปลี่ยนสำหรับฉากที่มีประทัดดังกว่า 100 ลูกแต่ก็ปลอดภัยสำหรับฉากผาดโผนใหญ่ที่จำเป็นต้องมีการรื้อถอนกำแพงออก โมตี้ ผู้กำกับศิลป์จาก Merantau ของเรา พัฒนาตัวเองขึ้นไปอีกใน The Raid ด้วยการออกแบบฉากต่างๆ ที่ไม่เพียงแต่รองรับท่าต่อสู้ได้เท่านั้น แต่ยังกระตุ้นให้เกิดความรู้สึกสะพรึงกลัวและหวั่นประพรึงตามที่เรื่องต้องการด้วยครับ
   ในตอนที่เราส่งตัวผู้จัดการฝ่ายโลเกชันของเราออกไป เราขอให้เขาหาอาคารเก่าๆ ที่ซึ่งคุณสมบัติบางอย่างของมันสามารถนำตัวละครบางตัวเข้ามาในฉากได้ พอเราไปดูอาคารที่เราพบ ซึ่งเราได้ถ่ายทำในนั้น เราก็พอใจมากกับทั้งภายในและภายนอกของอาคารหลังนั้น
   มันเป็นอาคารเก่าที่สร้างขึ้นตั้งแต่ยุค 50s และลิฟท์ หน้าต่างสูง บันไดหินและโลหะในอาคารก็แสดงให้เห็นถึงความเก่าแก่จริงๆ โดยไม่เผยถึงยุคสมัยหรือสถานที่ที่เฉพาะเจาะจงว่าเรื่องราวนี้เกิดขึ้นที่ไหนน่ะครับ
   หนึ่งในพื้นที่กว้างที่อยู่ชั้นบนของอาคารเหมาะอย่างยิ่งสำหรับการที่เราจะถ่ายทำซีเควนซ์แอ็กชันแบบลองเทค ไม่เพียงแต่เราจะสามารถปรับแต่งพื้นที่ตามที่เราต้องการได้โดยไม่ต้องทำอะไรมากมาย แต่พื้นที่กว้างนี้ยังเพอร์เฟ็กต์สำหรับการถ่ายทำฉากแอ็กชันต่อสู้แบบแฮนด์เฮลด์ฟรีสไตล์ด้วยครับ
   อย่างไรก็ดี อาคารหลังนี้ก็ไม่สามารถรองรับแผนการถ่ายทำทั้งหมดของเราได้เพราะในบางฉาก เราจะต้องทำลายพื้นที่หลายชั้นเพื่อฉากแอ็กชัน เราก็เลยตัดสินใจที่จะสร้างฉากนั้นขึ้นในพื้นที่สตูดิโอ การสร้างฉากเพื่อการรนี้เป็นเรื่องที่ท้าทายหน่อยๆ สำหรับแผนกศิลป์/สร้างฉากของเรา แต่มันก็ออกมาเยี่ยมมากๆ และหนึ่งในกลไกด้านงานกล้องที่สร้างสรรค์ของเราก็เกิดขึ้นในฉากนี้ด้วยครับ”


เกี่ยวกับการออกแบบท่าต่อสู้

               การพัฒนาและสร้างซีเควนซ์แอ็กชันที่ผ่านการออกแบบมาอย่างดีเป็นกระบวนการที่ยาวนาน ก่อนที่อีวานส์จะคิดเรื่องย่อเสร็จ อิโกและยายันก็เริ่มวางแผนท่าต่อสู้ใหม่ๆ ที่น่าสนใจที่จะปรากฏในภาพยนตร์เป็นที่เรียบร้อยแล้ว อย่างไรก็ดี เมื่ออีวานส์เขียนเรื่องย่อและบทภาพยนตร์ของเรื่องเสร็จ พวกเขาสามคนก็เดินหน้ากระบวนการสามเดือนในการเก็บรายละเอียดท่าต่อสู้ทั้งหมดเพื่อให้เข้ากับฉากที่เขียนขึ้นในบท
   ทีมงานออกแบบท่าต่อสู้จะคิดท่าที่แตกต่างกันออกมาทุกวัน ซึ่งอีวานส์ก็จะทดสอบท่าพวกนั้นต่อหน้ากล้องเพื่อพิจารณาภาพที่ออกมาในกล้อง และกระบวนการนี้ก็ยืดยาวไปจนกระทั่งท่าต่อสู้ทั้งหมดเสร็จสมบูรณ์ ในการบันทึกท่าต่อสู้ทั้งหมดเอาไว้ อีวานส์ได้สร้างสตอรีบอร์ดวิดีโอ ที่เขา, นักแสดง/นักสู้ และแผนกทั้งหมดที่เกี่ยวข้องจะใช้เป็นข้อมูลอ้างอิงในการตรวจสอบหลายๆ เรื่อง
   นอกเหนือจากแง่มุมศิลปะการต่อสู้ในฉากแอ็กชันแล้ว เรายังได้สำรวจการใช้อาวุธชนิดต่างๆ เช่น เคเอสซี กล็อค 17, วินกัน รีโวลเวอร์ 4, ทานากะ เอ็ม 327, เอสอาร์ซี เอเค 47, ทานากะ เอ็ม 357, ดับบลิวอี เอชเค 416…การที่หน่วยรบพิเศษจะต้องใช้ภาษามือและอาวุธ รวมทั้งถ่ายทอดทัศนคติแบบทหารเหมือนกับหน่วยรบพิเศษจริงๆ ทำให้เราอยากทำให้แน่ใจว่าสมาชิกทุกคนของหน่วยจะเข้าใจองค์ประกอบทั้งหมดนี้อย่างดี เราอยากให้สมาชิกแต่ละคนเข้าใจความสำคัญของทีมเวิร์คและการสื่อสารภายในทีม ซึ่งมีอยู่ในหน่วยรบพิเศษจริงๆ เช่นถ้าสมาชิกคนหนึ่งปฏิบัติหน้าที่ไม่สำเร็จ ทั้งทีมก็จะต้องรับผิดชอบกับความผิดพลาดนี้ ในการเตรียมลูกทีมให้พร้อมและสร้างความเข้าใจให้เกิดขึ้น เราส่งพวกเขาไปรับการฝึกของทหารเรือที่เรียกว่า โคปาสก้า หนึ่งสัปดาห์ พวกเขาถูกฝึกฝนเพื่อให้มีความรู้จำเป็นขั้นพื้นฐานเพื่อทำความเข้าใจว่าหน่วยรบพิเศษควรทำตัวเช่นไร มันเป็นประสบการณ์ที่ล้ำค่ายิ่งสำหรับนักแสดงทุกคนที่เข้ารับการฝึกนี้ เพราะไม่เพียงแต่พวกเขาจะเข้าใจทักษะและความรู้ที่จำเป็นทั้งหมด แต่พวกเขายังมีความผูกพันเป็นทีมเดียวกันอีกด้วย การฝึกนี้เกิดขึ้นประมาณสองสัปดาห์ก่อนหน้าที่การถ่ายทำจะเริ่มต้นขึ้น


เกี่ยวกับตัวละคร

               อิโก อูไวส์รับบทราม ทหารหนุ่มผู้กำลังจะได้เป็นพ่อคนเป็นครั้งแรก ด้วยความมุ่งมั่นที่จะพาพี่ชายของเขากลับบ้านอย่างปลอดภัย เขาภาวนาว่าภารกิจใหญ่ครั้งแรกของเขาจะผ่านพ้นไปได้ด้วยดี แม้ว่าเขาจะมีเป้าหมายส่วนตัวในใจ แต่เขาก็รักษาเป้าหมายภารกิจของเขาไว้เป็นหลัก กาเร็ธให้ความเห็นเกี่ยวกับตัวละคร ราม ว่า
   “สำหรับ The Raid เราสร้างความท้าทายที่ยิ่งใหญ่กว่าใน Merantau ให้กับอิโก ใน Merantau เราสร้างตัวละครให้ตรงกับนิสัยของอิโก มันใกล้เคียงกับชีวิตจริงของเขามากกว่าและเป็นบทบาทที่สร้างความสบายใจให้กับเขาในตอนที่เขาเปิดตัวในฐานะนักแสดง อย่างไรก็ดี ใน The Raid เราอยากจะสำรวจเฉดสีเทามากขึ้นไปอีก และแม้ว่าเขาจะยังคงเป็นพระเอกของเรื่อง แต่แอ็กชันในเรื่องนี้ก็มีทั้งความมตรงไปตรงมาและความดุเดือดในแบบที่ทำให้อิโกต้องถ่ายทอดความดุดันเข้าไปในการแสดงของเขามากขึ้น แต่การที่เขามีช่วงเวลาอ่อนโยนที่เงียบสงบอยู่บ้างก็ช่วยทำให้ตัวละครของเขามีมิติมากขึ้นพร้อมกับทำให้ผู้ชมมีความผูกพันกับเขามากขึ้นด้วย
   คอนเซ็ปต์ของเรื่องและสถานการณ์ต่อสู้เพื่อเอาชีวิตรอดที่หน่วยรบพิเศษเจอนั้นก่อให้เกิดความเปลี่ยนแปลงทางด้านจิตใจเมื่อถึงเวลาที่จะต้องออกแบบท่าต่อสู้ ในขณะที่ใน Merantau ยูดาจะมองหาทางที่จะปลดอาวุธคู่ต่อสู้ชั่วคราวเพื่อหนีจากการต่อสู้ แต่ใน The Raid เราต้องเจอกับสถานการณ์ที่ต้องฆ่าหรือถูกฆ่า ซึ่งทำให้เราไม่สามารถจะสร้างความเปลี่ยนแปลงของตัวละครในแง่ของท่าต่อสู้ได้ เพราะมันจะต้องมีเป้าหมายเพื่อปลิดชีวิตตั้งแต่การโจมตีครั้งแรกโดยที่ไม่มีการผ่อนแรงเลย
   
อย่างไรก็ดี ท่ามกลางเรื่องทั้งหมดนี้ ก็มีธีมที่เกิดขึ้นในผลงานทุกเรื่องของผมจนถึงปัจจุบัน ไม่ว่าสถานการณ์หรือที่มาของเรื่องราวจะเหลือเชื่อแค่ไหน ผมก็ชื่นชอบการใส่แก่นด้านอารมรณ์ที่เกี่ยวข้องกับครอบครัวแตกแยกหรือความสัมพันธ์ที่แตกร้าวเข้าไป มันเป็นเรื่องสำคัญต่อการให้น้ำหนักกับฉากที่เข้มข้นเหล่านี้ โดยไม่จำเป็นต้องยึดติดกับผลที่ถูกคาดหวังของพล็อตเหล่านี้ ผมรู้สึกว่าสิ่งสำคัญไม่ได้อยู่ที่การคลี่คลายปมเหล่านี้ แต่อยู่ที่การเข้าใจมัน พล็อตรองพวกนี้คือสิ่งที่เป็นหัวใจของเรื่อง แม้ว่ามันจะถูกผลักดันให้อยู่ไกลๆ และคลุมเครือเข้าไว้ แต่มันก็มากพอที่จะสร้างอารมณ์สะเทือนใจได้ครับ”

อิโก:   “ผมรับบทราม เขาเป็นชายหนุ่มที่ภรรยากำลังจะคลอดลูกคนแรก พวกเขาอาศัยอยู่กับพ่อของราม ตัวรามเองเป็นเด็กใหม่ เป็นสมาชิกคนใหม่ของหน่วยรบพิเศษ การบุกอาคารของทามาเป็นงานใหญ่ครั้งแรกสำหรับเขา เขาตระหนักถึงอันตรายที่เขากำลังจะเผชิญเป็นอย่างดี แต่เขาก็ตระหนักถึงความสำคัญของปฏิบัติการลับนี้ด้วยเช่นกัน นอกเหนือจากหน้าที่ที่เขาจะต้องปฏิบัติภารกิจนี้ให้สำเร็จ เขายังมีหน้าที่ส่วนตัวในตอนที่เขาก้าวเท้าเข้าไปในอาคารหลังนั้นด้วย นั่นคือการหาตัวพี่ชายของเขาที่หายตัวไปหลายปี เพื่อนำตัวเขากลับบ้าน ดังนั้น การรับบทรามก็เป็นเรื่องที่ท้าทายทีเดียวเพราะผมไม่ได้แสดงเป็นแค่ทหารหยาบกร้าน แต่ผมรับบทเป็นทหารใหม่ที่ออกปฏิบัติภารกิจครั้งแรก ที่มีเรื่องราวส่วนตัวเบื้องหลังน่ะครับ”

   ยายัน รูเฮียนเจอกับความท้าทายในการรับบทแมด ด็อก มือขวาของทามา บอสอาชญากรตัวเอ้ แมด ด็อกเป็นนักสู้เลือดเย็นที่ดุดัน เขาเชื่อในการปลิดชีวิตผู้ที่อาจเป็นภัยคุกคามมากกว่าที่จะพึ่งพาการให้สินบน
ยายัน:   “แมด ด็อกเป็นคนที่ไร้หัวใจ ไม่มีความเป็นมนุษย์ เขาเป็นคนโรคจิต ที่สามารถททำร้ายและฆ่าคนได้โดยไม่มีความรู้สึกรู้สา หรือกลัวผลลัพธ์ที่ตามมา หรือแม้ว่าเขาจะต้องตาย นั่นก็ไม่ใช่สิ่งที่เขากลัวครับ”

   ในขณะเดียวกัน แอนดี้ ที่รับบทโดยดอนนี่ อลามส์ยาห์ เป็นมือขวาคนที่สองของทามา เขาเป็นชายหนุ่มฉลาดเฉลียว ผู้ตัดสินใจเข้าร่วมกับแก๊งอาชญากรนี้ตั้งแต่เป็นวัยรุ่น แอนดี้ได้รับความไว้วางใจจากทามาให้จัดการปัญหาที่อาจเกิดขึ้นด้วยการให้สินบนเจ้าหน้าที่ทุกคนที่พยายามจะลองดีกับพวกเขา

ดอนนี่:   “แอนดี้เป็นคนที่อยากมีอิสระ ความอิสระที่เขาอยากให้ครอบครัวของเขาเคารพในตัวเขา มีบางสิ่งบางอย่างที่แอนดี้พูดในตอนท้ายเรื่องซึ่งผมชอบ เขาพูดกับรามในความมืดว่า “ในความมืดนี้ ผมสามารถช่วยคุณได้ แต่ข้างนอกนั่น คุณจะช่วยผมได้รึเปล่า ผมไม่สามารถใช้ชีวิตข้างนอกนั่นได้” บางที พ่อแม่ของเขาอาจไม่เข้าใจหรือรู้ว่าแอนดี้มีความพิเศษในตัวเอง แอนดี้มีความสามารถ มีทักษะ แต่ความพิเศษ/ทักษะเหล่านั้นไม่ได้รับการสนับสนุน และไม่ได้ถูกชักนำไปในทิศทางที่ถูกต้องโดยพ่อแม่ของเขา เขาก็เลยต้องมองหาทิศทางด้วยตัวเองครับ”
   เรย์ ซาเฮทาพี นักแสดงชาวอินโดนีเซีย ที่เป็นที่รู้จักและได้รับการยกย่อง รับบท ทามา เจ้าพ่อยาเสพติด ทามาดูเหมือนจะเป็นเจ้าพ่อเลือดเย็น ผู้ไม่ค่อยเอ่ยปากพูด แต่ท่าทีของเขาก็จะบอกคุณได้ว่าเขาเป็นคนที่น่าเกรงกลัวมากแค่ไหน ในตอนที่เขาผิดหวังกับใครบางคน เขาก็จะทำให้แน่ใจว่าคนๆ นั้นจะไม่มีวันทำผิดซ้ำสองด้วยคำเตือนที่น่าสะพรึงกลัวที่สุด ไม่มีใครกล้าจะท้าทายเขา

เรย์:   “นี่เป็นตัวละครที่โดดเด่นมากๆ ผมไม่เคยรับบทตัวละครแบบนี้มาก่อน ผมก็เลยสนใจมันมาก ผมคิดว่าคนน่าจะตระหนักถึงตัวละครแบบนี้ ว่ายาเสพติดเป็นสิ่งอันตรายแค่ไหน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อทั้งหมดนี้เกิดขึ้นภายใต้การบงการของผู้นำโรคจิตแบบนี้น่ะครับ”

happy on July 09, 2012, 03:30:19 PM





เกี่ยวกับดนตรีประกอบและซาวน์เอฟเฟ็กต์

                สำหรับดนตรีประกอบ The Raid กาเร็ธรู้ทันทีว่าเขาจะติดต่อกับใคร คนๆ นั้นคือฟาจาร์ ยุสเคมัลและอาเรีย พราโยกี ทั้งคู่เป็นทีมโปรดิวเซอร์ดนตรีที่ยอดเยี่ยมที่ทำงานให้กับ Merantau ในปี 2008 “พวกเขาทำงานได้อย่างยอดเยี่ยมในการแต่งดนตรีประกอบ Merantau กาเร็ธได้ให้ตัวอย่างดนตรีสำหรับทุกฉากกับพวกเขาและพวกเขาก็จะต่อยอดจากมัน ซึ่งเราก็จะให้ความเห็นในการปรับเปลี่ยนไปเรื่อยๆ แต่ความคิดสร้างสรรค์และระดับความทุ่มเทที่พวกเขามีต่อโปรเจ็กต์นี้เป็นเรื่องเยี่ยมจริงๆ เราก็เลยตั้งใจเอาไว้ตั้งแต่ต้นแล้วว่าเราจะต้องดึงตัวทั้งคู่มาทำงานกับเราใน The Raid ด้วยให้ได้และพวกเขาก็ได้แต่งดนตรีประกอบที่น่าตื่นเต้นและทำให้เลือดในกายสูบฉีด ที่เราพอใจและภูมิใจกับผลงานของพวกเขา” มายากล่าวเสริม
   ดนตรีประกอบจะต้องเติมเต็มและสอดคล้องไปกับภาพยนตร์และจังหวะของเสียงกระหึ่ม เสียงสูงและ/หรือความเงียบก็เป็นสิ่งสำคัญที่จะเสริมสร้างฉากที่ตึงเครียดทุกฉาก รวมถึงโน้ตเสียงที่น่าตื่นเต้น เร้าใจเพื่อสร้างบรรยากาศลุ้นระทึกสำหรับฉากแอ็กชันที่เลือดพลุ่งพล่านและอะดรีนาลินสูบฉีด
   “เป้าหมายของเราสำหรับดนตรีประกอบ The Raid คือการฉีกขนบดั้งเดิมที่เราใช้ใน Merantau และล้วงลึกลงไปในดนตรีสร้างบรรยากาศที่เป็นอิเล็คทรอนิคมากขึ้นสำหรับ The Raid ด้วยความต้องการความแปลกใหม่ ฟาจาร์และโอกีได้ทดลองเทคนิคการบันทึกเสียงต่างๆ ที่จะเปลี่ยนเครื่องดนตรีธรรมดาให้กลายเป็นซาวน์สเคปที่ไม่ธรรมดา ที่จะสอดคล้องไปกับจังหวะการเดินเรื่องที่ปรับเปลี่ยนจากฉากแอ็กชันดุเดือดเลือดพล่านไปสู่การค่อยๆ สร้างความตึงเครียดขึ้นอย่างค่อยเป็นค่อยไป เราได้รับอิทธิพลจากงานของจอห์น คาร์เพนเตอร์และผสมผสานมันกับเทคนิคการแต่งดนตรีประกอบสมัยใหม่ และสับเปลี่ยนไปมาระหว่างการเรียบเรียงเสียงที่เรียบง่ายตรงแบ็คกราวน์และงานซับซ้อนหลายชั้นที่จะผลักดันและเร่งเร้าจังหวะของฉากนั้นๆ
   งานออกแบบของพวกเขา ซึ่งไม่ได้มีเฉพาะดนตรีเท่านั้น แต่ยังรวมถึงการผสมเสียงด้วย เป็นงานที่แสดงให้เห็นฝีมือของพวกเขาอย่างวิเศษสุด ด้วยการนำความคิดสร้างสรรค์และพลังงานที่ไร้ที่สิ้นสุดมาสู่การออกแบบเสียง การใช้ซาวน์เอฟเฟ็กต์และระบบ 5.1 ดอลบี้ เซอร์ราวน์อย่างเต็มที่ The Raid ก็ถูกพัฒนาขึ้นมาด้วยการมีส่วนร่วมของพวกเขา ซึ่งก็ช่วยยกระดับงานสร้างของเรื่องได้อย่างมหาศาล”
   ในตอนที่เราถ่ายทำ Merantau เสร็จ กาเร็ธบอกเราถึงไอเดียของภาพยนตร์ที่เขาอยากจะสร้าง ที่มีชื่อว่า Berandal หลังจากได้ร่วมงานกันมาใน Merantau ทั้งกาเร็ธ, ฟาจาร์และโอกีต่างก็คลิกกันทันทีและพวกเขาต่างก็มีวิสัยทัศน์และมาตรฐานการทำงานแบบเดียวกัน ดังนั้น ในตอนที่กาเร็ธกำลังสร้างคลิปทีเซอร์สั้นๆ สำหรับ Berandal และต้องการงานออดิโอและซาวน์เอฟเฟ็กต์ เราก็เลยติดต่อฟาจาร์และโอกีทันที อย่างไรก็ดี โปรเจ็กต์ Berandal ถูกพักเอาไว้ชั่วคราว และมีโปรเจ็กต์ The Raid เข้ามาแทนที่ และการทำงานร่วมกันระหว่างฟาจาร์และโอกีกับเมอรันเตา ฟิล์มส์ก็เดินหน้าต่อไป โดยที่หน้าที่ของทั้งคู่ไม่ได้จำกัดเพียงแค่การแต่งดนตรีประกอบสำหรับภาพยนตร์เรื่องนี้เท่านั้น แต่พวกเขายังทำหน้าที่เป็นทีมผลิตเสียงของเรื่องอีกด้วย

   สำหรับการสร้างและลำดับดนตรีประกอบภาพยนตร์ The Raid ฟาจาร์และอาเรีย ซึ่งเป็นที่รู้จักในชื่อ โอกี ได้ทำงานที่บ้านของพวกเขาเพื่อคิดไอเดียดนตรีคร่าวๆ ขึ้นมา พอได้โครงสร้างดนตรีที่ชัดเจนมากขึ้นแล้ว พวกเขาก็เริ่มทำงานในสตูดิโอที่บ้านของโอกี เพื่อขัดเกลางานของพวกเขาก่อนที่จะส่งมันไปให้กาเร็ธเพื่อให้เขาให้ความเห็นและแก้ไขอีกครั้งหนึ่ง พอกาเร็ธให้ความเห็นเกี่ยวกับตัวงานกับพวกเขาแล้ว การสื่อสารระหว่างพวกเขามักเกิดขึ้นผ่านอีเมล์และโทรศัพท์เพราะการพบกันทุกครั้งที่มีการเสนองานเพื่อผ่านความเห็นชอบเป็นเรื่องลำบาก พอดนตรีผ่านความเห็นชอบแล้ว มันก็จะถูกส่งไปให้กับทีมงานออดิโอโพสต์โปรดักชัน (ภายใต้โบนาร์) เพื่อผสมเสียงร่วมกับออดิโออื่นๆ
   สำหรับซาวน์เอฟเฟ็กต์ของเรื่อง ส่วนใหญ่สำเร็จได้ด้วยฝีมือของบริษัทโพสต์โปรดักชัน เอสเอฟดี (สยาม ฟิล์ม เดเวล็อปเมนต์) ในกรุงเทพฯ ฟาจาร์และโอกีจะติดต่อกับเอสเอฟดีอย่างใกล้ชิดผ่านทางอีเมล์และวัตถุดิบด้านออดิโอทั้งหมดก็จะถูกส่งจากเอสเอฟดีไปยังทีมออดิโอในจาการ์ตา พอเอสเอฟดีทำงานซาวน์เอฟเฟ็กต์ทั้งหมดเสร็จ ฟาจาร์และโอกีก็จะตรวจสอบซาวน์ทั้งหมดเพื่อทำให้แน่ใจว่าทุกอย่างจะเป็นไปตามมาตรฐานและความต้องการของผู้กำกับ เมื่อกระบวนการตรวจสอบนี้เสร็จสิ้น มันก็จะถูกส่งไปให้โบนาร์ดำเนินการต่อไป มีซาวน์เอฟเฟ็กต์เพียงไม่เท่าไหร่ที่เรามองว่าโดดเด่นหรือเฉพาะเจาะจงกว่า เนื่องมาจากรูปแบบที่เฉพาะเจาะจงของาน ซึ่งการทำงานกับซาวน์เอฟเฟ็กต์จำพวกนี้ก็จะเกิดขั้นในสตูดิโอที่บ้านของโอกี
   นี่คือตัวอย่างสำหรับการออกแบบเสียง:
   การได้ยินของโบโวได้รับผลกระทบจากอาการบาดเจ็บที่หูที่เกิดจากการระเบิดครั้งใหญ่ ส่งผลให้การได้ยินของเขาไม่ปกติ ในฉากที่เหตุการณ์นี้เกิดขึ้น เสียงจะถูกสร้างขึ้นมาให้เหมือนกับเสียงที่เขากำลังได้ยิน มันก็เลยจะเป็นเสียงโทนสูงอย่างที่คุณจะได้ยินถ้าคุณเคยประสบอุบัติเหตุคล้ายๆ กัน
   อีกตัวอย่างหนึ่งคือในฉากเริ่มต้นที่ราม (อิโก) ชกกระสอบทราย ทุกหมัดที่ปล่อยออกไปจะต้องตรงกับเสียง และเสียงการชกนั้นก็เป็นการผสมผสานเสียงออดิโอ 5 ระดับชั้นเพื่อนำเสนอเสียงของการชกแบบเกินจริงเล็กน้อย
   ส่วนการผสมเสียงเซอร์ราวน์ (5.1) ฉบับเสร็จสมบูรณ์ได้ถูกดำเนินการที่เอสเอฟดีในกรุงเทพฯ


การกำกับภาพ

                ในช่วงแรกของการพัฒนาโปรเจ็กต์นี้ เห็นได้ชัดเจนว่าการกำกับภาพจะเป็นส่วนสำคัญสำหรับทั้งโทนของเรื่องและท่าต่อสู้ ในการใช้สไตล์การถ่ายทำแบบแฮนด์เฮลด์ที่กระโชกโฮกฮากเป็นส่วนใหญ่นั้น ทีมผู้สร้างต้องการให้สไตล์การถ่ายทำและการให้แสงดึงดูดผู้ชมเข้าสู่โลกที่ดิบเถื่อนของหน่วยรบพิเศษขณะที่พวกเขาออกปฏิบัติการบุกอาคารหลังนั้น ที่ซึ่งเงาทุกเงาอาจซ่อนอันตรายเอาไว้ การออกแบบงานกล้องที่ละเอียดลออจะต้องรองรับฉากแอ็กชันและฉากต่อสู้ที่น่าตื่นตาตื่นใจ และดึงเอาความตื่นเต้นออกมาให้ได้เต็มประสิทธิภาพ
   หนึ่งในแง่มุมสำคัญของวิธีการถ่ายทำฉากเหล่านี้ในภาพยนตร์เรื่องนี้คือการที่ผู้ชมจะต้องรู้สภาพภูมิประเทศของฉากนั้นๆ เสมอและสามารถเพลิดเพลิดไปกับการออกแบบฉากแอ็กชันที่เคลื่อนไหวรวดเร็วที่สุดได้ โดยที่ยังสามารถมองเห็นและรู้สึกถึงทุกการโจมตีได้ ในขณะเดียวกัน กล้องจะต้องสามารถซอกซอนไปได้ทุกหนทุกแห่ง ไม่ว่าจะเป็นการติดตามผ่านทางหน้าต่างและพื้น ประตูหรือผนัง ขณะที่แอ็กชันเกิดขึ้นรอบๆ ด้วยความรวดเร็วจนหัวหมุน แมทท์ แฟลนเนอรีให้ความเห็นเกี่ยวกับความท้าทายในการกำกับภาพว่า:
   “ความท้าทายชิ้นใหญ่ระหว่างการถ่ายทำ The Raid คือการสร้างลุคมืดหม่นที่เกือบจะสกปรกให้กับเรื่อง แต่ก็ทำให้ผู้ชมได้เห็นแอ็กชันที่เกิดขึ้น เราไม่อยากจะถ่ายทอดรายละเอียดของการต่อสู้ต่างๆ ผ่านทางการลำดับภาพหรือผ่านทางการเคลื่อนไหวกล้องที่ไม่จำเป็น ไอเดียของเราคือให้กล้องเคลื่อนไหวตามแอ็กชันและเพิ่มผลกระทบของศิลปะการต่อสู้เข้าไปโดยไม่พยายาม 'แต่ง' มัน อุปกรณ์ประกอบฉากจำนวนมากถูกวางไว้ทั่วฉาก และกล้องก็จะต้องสามารถเคลื่อนที่ไปรอบๆ ได้โดยไม่มีสิ่งกีดขวาง แม้ว่าการเคลื่อนไหวของกล้องส่วนใหญ่จะถูกวางแผนมาอย่างดีแล้ว ก็มีโอกาสที่กล้องจะต้องเคลื่อนไหวไปในทิศทางอื่น เพื่อตอบสนองกับแอ็กชัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งการต่อสู้ด้วยปืน ดังนั้น จึงมีการวางแผนในเรื่องของการจัดแสงและสถานที่ที่มันจะถูกซ่อนเอาไว้ หรือสามารถถูกวางเอาไว้ได้ เราก็จะร่วมงานกับแผนกศิลป์ในการใส่มันเข้าไปในฉากครับ”
   “ฉากที่ท้าทายเป็นพิเศษคือฉากการสาดกระสุนเข้าใส่กันบริเวณระเบียง ไอเดียของเราคือสร้างการต่อสู้ระหว่างตำรวจและอาชญากรที่เกิดขึ้นในพื้นที่สองชั้น ที่ซึ่งแสง หรือการขาดแสงกลายเป็นส่วนสำคัญของฉากนี้ เราจะต้องให้แสงฉากนี้เพื่อนำเสนอไอเดียที่ว่า ตำรวจอยู่ในความมืด โดยไม่รู้ว่าที่ไหนหรือเมื่อไหร่ที่พวกผู้ร้ายจะจู่โจม แต่ก็ให้ข้อมูลที่มากพอสำหรับผู้ชม เราใช้การควบคุมแสงแบบสดๆ ผ่านทางเจ้าหน้าที่ควบคุมแสง และเราก็ใช้ลูกเล่นเช่นปืนเชื่อม เพื่อสร้างแสงไฟระหว่างการแลกกระสุนกันด้วยครับ”
   “ช็อตที่สนุกสนานแต่ท้าทายในหนังคือตอนที่เราติดตามราม ตัวละครของอิโกขณะที่เขากระโดดลอดรูที่พื้นลงไปยังห้องที่อยู่ด้านล่าง และสู้อย่างต่อเนื่อง เราใช้ช่างกล้องสองคน คนแรกจะแขวนตัวอยู่บนสลิงด้านบน ส่วนอีกคนจะอยู่ห้องด้านล่าง เราสามารถหย่อนตัวช่างกล้องคนแรกที่อยู่บนลวดสลิงลงไปในตอนที่อิโกกระโดดลงไป แล้วเขาก็จะส่งกล้องต่อไปให้อีกคนที่ซ่อนตัวอยู่ด้านล่าง เพื่อถ่ายทำต่อจนจบในตอนที่อิโกลงสู่พื้นดินและเดินหน้าต่อไป มันเป็นการผสมผสานที่ท้าทายของจังหวะและการประสานงานระหว่างทีมงานและนักแสดง แต่ผลท่ได้คือการเคลื่อนไหวที่รวดเร็วและคาดไม่ถึง ซึ่งช่วยเสริมสร้างความเข้มข้นให้กับฉากนั้นได้จริงๆ ครับ”