FB on September 27, 2012, 06:37:04 PM
Q: ตอนแรกที่รู้ว่าพี่จิกอยากทำรามเกียรติ์รู้สึกยังไง แล้วส่วนตัวรู้สึกยังไงกับรามเกียรติ์
X: ผมรู้สึกว่าคงไม่ใช่ทศกัณฐ์ที่มีกล้ามน่ะ (หัวเราะ) เพราะว่าผมเคยทำภาพประกอบให้พี่จิก ผมรู้ว่าพี่จิกจะไม่ออกอะไรที่เป็นกล้ามๆ ดุดันเป็นคนจริง มันจะไม่ใช่สไตล์พี่จิก พอมาคุยว่าเป็นหุ่นกระป๋องสู้กับทศกัณฐ์ มันก็น่าจะสนุกขึ้น แต่ครั้งแรกพี่จิกพูดพี่ก็รู้แล้วว่าไม่น่าจะใช่รามเกียรติ์ที่ดุดัน ไม่ใช่เป็นกล้ามเนื้อไม่ใช่คน ผมรู้สึกว่าตื่นเต้นกับไอเดียนี้นะครับโดยเฉพาะกับตัวหนุมาน เพราะมีฤทธิ์มาก สามารถสำแดงเดชต่างๆ ยืดหางยาวพันภูเขาได้ผม รู้สึกว่าหนุมานมีเสน่ห์ ทศกัณฐ์ก็มีเสน่ห์ แต่ถ้าเกิดผมทำแอนิเมชั่นผมก็จะไม่ไปอิงกับเรื่องราวต้นฉบับมาก ผมคิดว่ามันจะไม่สนุกถ้าอิงเยอะๆ ชนิดถ้าเป็นทศกัณฐ์ก็ต้องเป็นตัวใหญ่มีกล้ามๆ อะไรอย่างนี้ แต่ผมจะรู้สึกตื่นเต้นไปกับเรื่องราวเสมอ ผมมองเห็นมันเป็นหนังเรื่องหนึ่งเลย

Q: ยากไหมกับการแปลงรามเกียรติ์มาเป็นแอนิเมชั่น
X: ยากครับ ยากเพราะว่ามันต้องมาอิงกับบทเดิม คาแร็คเตอร์เดิมบ้างนิดหน่อย แล้วบทที่เรามาเขียนใหม่เนี่ยเราสร้างมาจากศูนย์เลย เราต้องดีไซน์ฉากจะเป็นอย่างไร ยักษ์จะเป็นยังไง พี่จิกก็ถามเหมือนกันว่าเอ็กซ์เห็นฉากหินที่ลากไปเหลี่ยมหรือคมหรือกลม ผมก็ต้องบอกว่าต้องเป็นหินเหลี่ยมเพราะตอนที่เห็นมือยักษ์ที่ถูกลากไปกับหินเหลี่ยมเวลา หินมันจะคมจะบาดเหล็กด้วยมันจะดูสะเทือนใจขึ้น แล้วผมจะไปออกแบบให้พี่จิกเห็นด้วยว่าสภาพของหินผาที่พูดถึงมันเป็นยังไง รายละเอียดมากครับ (หัวเราะ)

Q: พอรู้โจทย์แล้วคิดไหมว่าจะเป็นงานที่ต้องใช้เวลาทำต่อเนื่องนานถึงหกปี
X: ปกติแอนิเมชั่นเรื่องหนึ่งจะใช้เวลาประมาณนี้อยู่แล้วครับ เพราะว่าหนังอย่าง Brave ของ Pixar ก็ใช้เวลาประมาณนี้ ห้าถึงจ็ดปี เพราะว่ามันเป็นแอนิเมชั่น ดูของฝรั่งส่วนใหญ่ก็เป็นอย่างนี้ครับ ผมไม่ได้ตกใจเลยนะเตรียมใจแล้วมากกว่า หนังแอนิเมชั่น 2D บางเรื่องใช้เวลานานถึงสิบปีก็มี แต่ผมไม่ได้กังวลนะเพราะว่ามันเป็นหุ่นยนต์ ทิศทางในการทำเรามีชัดเจนอยู่แล้ว หกปีนี้ก็จะมีช่วงที่ต้องพัฒนาเรื่องต่างๆ ควบคู่ไปด้วย ทั้งเรื่องเครื่องมืออุปกรณ์ ,แอนิเมเตอร์ที่จะรับมาทำก็ต้องมาทดลองงานกันก่อนว่าทำไว้ได้อย่างที่เราวางแผนไว้หรือไม่ และก็ทำบทด้วยทำควบคู่กันไป กว่าจะเรียนรู้ระบบที่ทำให้มันเร็วขึ้นหรือให้มันตอบโจทย์กับบทที่เขียนมาลงตัวก็ใช้เวลาประมาณสามปี ค่อยๆ พัฒนากันไป

Q: เรื่องราวของเรื่อง “ยักษ์” นั้นบอกเล่าถึงอะไรบ้าง
X: คุยกันเริ่มแรกเป็นเรื่องรามเกียรติ์ครับ แต่เราไม่ทำรามเกียรติ์ เราจะไปทำหุ่นยนต์ที่มีกลิ่นไอเป็นรามเกียรติ์ มันเป็นเรื่องราวของมิตรภาพหลังจากที่ทศกัณฑ์กับหนุมานสู้กัน ทั้งสองสู้กันในสงครามยิ่งใหญ่และก็เกิดระเบิดขึ้น จากรามที่ยิงศรลงมาเพื่อนฆ่าทศกัณฑ์ ทำให้ทุกอย่างหายเกลี้ยง ยกเว้นหนุมานกับทศกัณฐ์ พอเวลาผ่านไปทั้งสองตื่นขึ้นมาทั้งสองคนนี้จำไม่ได้เลยไม่รู้ว่าตัวเองเป็นใคร แต่ตอนที่สู้กัน โซ่ของหนุมานไปปักที่ทศกัณฑ์ และเนื้อเหล็กของทั้งสองนั้นเป็นเหล็กสงคราม เหล็กพิเศษที่ไม่สามารถที่จะตัดได้ ทำให้ทั้งสองต้องตัวติดกันโดยมีโซ่เชื่อมโยงไว้อยู่ไปไหนไม่ได้ต้องไปด้วยกัน ทั้งสองเลยออกเดินทางหาวิธีที่จะตัดโซ่แยกออกจากกันให้ได้ ในระหว่างนั้นก็เกิดความสัมพันธ์ที่เป็นเพื่อนขึ้นมา แต่ในระหว่างที่เดินไปเนี้ยหนุมานดันจำความได้ครับ ว่าตัวเองเป็นทหารเอกของรามและก็รู้หน้าที่ว่าต้องเอาทศกัณฐ์ไปฆ่าไปที่ลานประหารที่รามกำหนดไว้แล้ว เพื่อที่จะให้จบสงครามอันนี้ไป ซึ่งตรงนี้ก็ทำให้เกิดคำถามแล้วว่าจะเลือกอย่างไหนระหว่าง มิตรภาพหรือหน้าที่

Q: ช่วยเล่าขั้นตอนการทำงานของการสร้าง “ยักษ์”สักหน่อยว่ากว่าจะออกมาเสร็จสมบูรณ์จะต้องมีวิธีการสร้างอย่างไรบ้าง
X: ขั้นตอนการผลิตนี้ให้จินตนาการว่าแอนิเมชั่นทรีดีก็เหมือนหุ่นดินน้ำมันปั้นน่ะครับ และก็เริ่มสเก็ตดินสอก่อน จากนั้นก็เป็นการขึ้นโมเดล ต่อด้วยการใส่แกนกระดูก ซึ่งเรียกว่า Rigging ขั้นตอนนี้คือการทำให้แกนกระดูกลิงค์กับตัวโมเดล เพื่อให้โมเดลสามารถขยับได้ จากนั้นก็ลงสีที่โมเดลใส่รายละเอียดเสร็จทุกตัว เราก็เอาตัวนี้ไปวางในฉาก เพิ่มฝุ่น เพิ่มบรรยากาศเรียกว่าสเปเชียลเอ็ฟเฟ็กซ์ พูดง่ายๆ ว่ามันก็เหมือนหุ่นปั้น แต่ปั้นด้วยคอมพิวเตอร์ทุกอย่าง จากนั้นเราก็พากย์เสียงมา พอพากย์เสียงมาปุ๊บเราก็ให้แอนิเมเตอร์มา ขยับปากตัวละครตามเสียงคนพากย์และเราก็เอาหุ่นตัวนี้ไปเล่นในฉาก ซึ่งขั้นตอนการพากย์นี้ เราถ่ายวีดีโอนักแสดงที่มาพากย์ไว้เพื่อให้แอนิเมเตอร์ได้ดูอารมณ์ของตัวละครเป็นไกด์ไว้ให้ก่อน ดูอารมณ์เสร็จมันเป็นหน้าที่ของแอนิเมเตอร์ที่จะนำมาทำให้เกิดการเคลื่อนไหว อย่างเช่น เราจะมีภาพของพี่หนุ่มสันติสุข ที่พี่จิกบอกว่าไหนลองเล่นเป็นทศกัณฐ์ที่น่ากลัวซิ สายตาของพี่หนุ่มจะเปลี่ยนไปเลย พอพี่หนุ่มลองกลับมาเป็นทศกัณฑ์แบบเอ๋อๆ ที่ลืมว่าตัวเองเป็นใครความจะเสื่อม การเล่นของพี่หนุ่มก็จะกลายเป็นคนเอ๋อๆ เราก็จะบันทึกการแสดงของผู้พากย์ให้แอนิเมเตอร์ดูเป็นต้นแบบครับ แต่สุดท้ายแอนิเมเตอร์กำหนดคาแร็คตอร์เองครับว่าจะให้ตัวละครแต่ละตัวมีบุคลิกเป็นอย่างไร ก็เป็นเสน่ห์อย่างหนึ่งของแอนิเมชั่นครับ เพราะหน้าที่ของผู้กำกับ ผมกับพี่จิกจะมาคอยดูว่าการเคลื่อนไหวมันควรจะเป็นอย่างไรเช่น เวลาเอ๋อมันควรจะยกมือแบบนี้หรือเปล่า มันควรจะหลังงุ้มไหม เป็นหน้าที่ของการกำกับอีกทีหนึ่ง

Q: จุดเด่นอีกอย่างหนึ่งของเรื่องนี้คือการได้นักแสดงมืออาชีพมาเป็นต้นแบบตัวละครต่างๆ ช่วยเล่าถึงการทำงานขั้นตอนนี้สักนิด
X: ในเรื่องนี้ผมกับพี่จิกจะทำงานกันแบบประสานงานกันตลอดกันครับโดยผมเป็นคนออกแบบคาแร็คเตอร์มาก่อน ส่วนพี่จิกจะหานักแสดงมาให้เข้ากับตัวละคร จากนั้นก็จะมาปรับให้สมบูรณ์ขึ้นเพิ่มเติมจุดเด่นของดาราแต่ละคนมาใส่ต่อ อย่างเช่นตัวหนุมาน ผมออกแบบเป็นหุ่นกระป๋องก่อนเพื่อที่จะให้พี่จิกดู พอเราได้เสนาหอยมาปุ๊บ ก็รู้สึกเอ๊ะมันใกล้เคียงกับเสนาหอยมาก แต่รู้สึกขาดอะไรบางอย่างไป ก็เลยออกแบบเพิ่มเติม เราจะเห็นว่าเสาไฟบนหัวของหนุมานจะหักๆ เหมือนทรงผมของพี่หอยเลย อย่างพี่เหมี่ยวที่เป็นนกสดายุพี่ก็จะออกแบบง่ายที่สุดเลย ออกแบบมาใกล้ๆ กับพี่เหมี่ยวคือผิวดำนิดๆ (หัวเราะ) ผมก็เป็นทรงม้าก็คือตรงกับพี่เหมี่ยวพอไปให้พี่จิกดูตรงใจพอดี
แต่ตัวที่ออกแบบยากที่สุดในเรื่องนี้ก็คือหนุมานนั่นเอง เพราะหนุมานตอนที่เราออกแบบมาครั้งแรกนี้ยไม่มีความเป็นฮีโร่ ผมก็เลยเอาแบบหัวโขนหนุมาน ลองมาใส่ดูและปรับหน้าให้ดูหักหน้าดูคมขึ้น บวกกับผมหยิกๆ ของ เสนาหอย ทำให้หนุมานแตกต่างจากหุ่นยนต์ตัวอื่น มีความเป็นฮีโร่เพิ่มขึ้น ส่วนตัวเขียวก็ออกแบบไม่ยากเท่าไร เพราะว่าราชายักษ์ตัวต้องใหญ่ ผมออกแบบขาเขาเล็กเพื่อที่จะให้เขาดูตัวใหญ่ขึ้น เวลาเขาเงยหน้าขึ้นมา เขาดูเป็นราชายักษ์ แต่พอก้มมาปุ๊บเขาก็เหมือนคนอ้วนๆ น่ารักๆ ได้

Q: คาแร็คเตอร์ของเรื่องยักษ์เป็นอย่างไรบ้างและแต่ละตัวมีวิธีการออกแบบมาอย่างไร
X: ตัวทศกัณฑ์เขาเป็นจอมราชายักษ์มาก่อน หลังจากนั้นเกิดความจำเสื่อมก็จะกลายเป็นเอ๋อๆ ตัวละครนี้ผมออกแบบให้ช่วงบนใหญ่ และขาเล็ก เวลาเขาเป็นทศกัณฑ์ก็จะดูผงาด ดูยิ่งใหญ่ แต่เป็นน้าเขียวก็จะแสดงออกแบบหลังค่อม หงอๆ งอตัว ดังนั้นมันก็จะเป็นทั้งตัวเอ๋อได้ด้วย ตัวน่ากลัวก็ได้ ผมออกแบบยักษ์รวมๆ มาจากหลายอย่างครับ หน้าท้องจะออกแบบมาจากท้องแมลงครับ เป็นปล้องๆ ข้อดีคือ มันสามารถงอแล้วโมเดลไม่ทับกัน
หนุมานออกแบบยากสุด แก้หลายรอบ ตอนแรกออกแบบมาแล้วมันไม่มีความเป็นฮีโร่ เรากำลังคิดว่าจะทำยังไงต่อดี พอดีว่าพี่จิกก็เอาเสียงพากย์ของเสนาหอยมา ปุ๊บลงตัวเลย เลยเอาทรงผมที่เสนาหอยที่เป็นทรงเดดร็อคมาทำให้แตกต่างจากหุ่นยนต์ตัวอื่น เพราะว่าหุ่นยนต์พวกนี้ทั้งโลกจะถูกบังคับด้วยรามและก็มันจะมีเสาเดียว หนุมานจะแปลกกว่าคนอื่นคือมีสามเขาหักลงมาข้างหนึ่ง ส่วนคิ้วตอนแรกไม่ใช่เป็นคิ้วตัดปกติแต่ดูแล้วไม่เป็นฮีโร่เลย ผมเลยลองหยิบลายจากหัวโขนหนุมานมาลองดัดแปลงดู เป็นกึ่งๆ ลายไทยนิดๆ เหมือนเป็นเหล็กที่โดนตัดออกมาเป็นลายไทย เออมันได้แฮะ เพราะมีความเป็นฮีโร่ เวลาโกรธหรือเวลาสู้จริงๆ เวลาที่ต้องแสดงอารมณ์จริงๆ มีคิ้วทีมันหักๆ อย่างนี้มันจะเพิ่มอารมณ์ให้ได้มากกว่า คิ้วตัวนี้ออกแบบยากสุดครับ
น้องสนิมตัวนี้ออกแบบเป็นตัวการ์ตูนที่น่ารัก แต่ไม่มีเพื่อนและก็ขี้แพ้นิดๆ ครับ ออกแบบหลายรอบเหมือนกัน
ตอนแรกไม่มีปานที่หน้า แต่พอไม่มีมันดูเป็นปกติเกินไป เลยเพิ่มปานขึ้นมา เพราะสนิมมันกินตัวเองนิดหน่อย มีขี้มูกนิดๆ เป็นคราบเพราะว่าชอบจาม ตัวสนิมออกแบบยากเหมือนกัน เพราะว่าหุ่นยนต์ที่เป็นผู้หญิงด้วยน่ารักด้วยทำยาก ก็เลยมากำหนดด้วยตา ด้วยโครง ด้วยสีให้มันสีเบาลงมานิดนึงเป็นชมพูส้ม ถ้าชมพูเกินไปก็หวานไปจะดูไม่สู้ชีวิตก็เลยใส่สีส้มให้หมดเลย สนิมเป็นเด็กที่จามแล้วอะไรที่เป็นเหล็กโดนจามใส่จะเป็นสนิมทันที แต่ถ้าจามโดนเหล็กสงครามอย่างยักษ์จะไม่เป็นสนิมซึ่งก็มีส่วนสำคัญกับเรื่องด้วยต้องไปลองดูครับ
กุมภกรรณ เป็นหุ่นยนต์ยักษ์ หุ่นตัวนี้ทำอาชีพปาหี่ขายของ ที่แขนมันจะมีวิทยุคาสเซ็ทเทปอยู่ครับ ไม่รู้ว่าเด็กสมัยนี้เห็นหรือเปล่า บ่งบอกให้รู้ว่ามันเป็นของเก่า มันจะใส่เทปและก็ฟังเพลงของมันตลอดเหมือนคนไม่ปกติ ชอบสะสมอาวุธ เป็นคนศรัทธาทศกัณฐ์มาก ถึงขั้นสักรูปทศกัณฐ์ที่หน้าอก เหมือนเราชื่นชมใครเราก็สักยันต์เลย แต่รอยสักของโลกหุ่นยนต์ จะไม่เหมือนกับของคนสักของหุ่นจะเอาเหล็กมาแล้วก็ยิงตะปูติด ตัวกุมภกรรณข้างหลังจะสักยันต์เก้ายอดด้วยเป็นลายเลขเก้าเหมือนคนที่สักยันต์ทั้งตัว ผมตั้งใจใส่กลิ่นอายความเป็นไทยลงไปด้วย แต่ที่ไม่ทำรอยสักลงไปในเหล็กเลยเพราะมันจะดูน่ากลัวไป กุมภกรรณออกแบบง่ายหน่อย เพราะออกแบบไม่ได้อิงดารา ผมกับพี่จิกมีความคิดตรงกันว่าคาเร็คเตอร์กุมภกรรณต้องเป็นคนไม่อยู่กับร่องกับรอย พูดแล้วน้ำลายจะไหล พี่ก็เลยออกแบบให้น็อตที่กรามปากมันหลุดอันหนึ่ง มันจะหลุดแล้วมันก็ดูดน้ำลายมันขึ้นมา แขนขามันก็ไม่เท่ากัน ใหญ่ข้างเล็กข้างข้าง แต่ออกมามันก็น่ารักดีนะ (หัวเราะ)
นกสดายุ เราออกแบบไว้แต่แรกว่าตัวนกสดายุต้องเป็นนกดำ และหาคนพากย์ผิวสีคล้ำที่เป็นสีดำเพราะวางโครงสร้างสีทั้งหมดไว้ มีครบทุกสีแล้ว ทศกัณฑ์สีเขียว หนุมานสีม่วง กุมภกรรณสีแดงน้องสนิมเป็นสีส้มชมพู ขาดอีกสีเลยใช้สีดำ และพอได้พี่เหมี่ยว (ปวันรัตน์ นาคสุริยะ) มาตรงเป๊ะพอดี ผมเลยออกแบบทรงผมเป็นหน้าม้านิดๆ ผมว่าออกแบบอันนี้ง่ายสุดแล้ว นกสดายุ ตัวนี้เป็นหุ่นยนต์ที่เหลือมาจากสงครามครั้งก่อนยังไม่ตายกลับถูกขายต่อๆ มาอยู่ที่ยุคนี้ เป็นอาวุธสงครามของรักของหวงที่กุมภกรรณสะสมไว้ มีลักษณะพิเศษอย่างหนึ่งก็คือจะเป็นหุ่นมีใบพัดบินได้ แต่ต้องไขลาน ไขลานปุ๊บก็จะขยับได้ บินได้ ถ้าเกิดลานหมดก็จะเกิดอะไรบางอย่างขึ้นซึ้งเมื่อเวลามันถูกจำกัดด้วยการไขลาน ก็ช่วยให้หนังตื่นเต้นขึ้น ซึ่งจุดรายละเอียดต่างๆ ในเรื่องนี้ออกแบบเพื่อรองรับเนื้อเรื่องไว้ตั้งแต่แรกครับ
ก๊อก ตัวนี้ออกแบบไม่ยากมากครับเพราะว่าคาแร็คเตอร์ชัดเจนว่าต้องเป็นพ่อค้าที่ขายของเก่ง พูดมาก มีเล่ห์เหลี่ยม การออกแบบของผมจะเน้นไปที่ดวงตาโตๆ ลึกๆ แขนขาเล็กๆ ลีบๆ ดูเป็นคนขายของ และพอได้คุณแจ๊ป เดอะ
ริชแมนทอย เข้ามาพากย์เสียงผมก็ใช้ลักษณะโครงหน้าของเขาเข้าไปรวมด้วย หัวของตัวนี้จะแปลกจากตัวอื่นตรงที่มีหัวที่เรียวยาวยื่นไปด้านหลัง ให้มีจุดเด่นและที่พิเศษกว่าตัวละครอื่นก็คือ ตัวนี้จะเป็นหุ่นตัวเดียวที่มีไฝ เพราะผมเอามาจากโหวงเฮ้งของคนที่พูดเก่ง ก็เลยเติมไฝไปแถวๆ ปาก และเจ้าก๊อกก็จะชอบเปลี่ยนอะไหล่ไฝของเขาชอบเอาตัวหุ่นแมลงมาติดเป็นไฝ แสดงให้เห็นว่าเขาเป็นคนขี้งกครับ
นักไต่เขา ตัวนี้เป็นตัวละครพิเศษครับ ตัวนี้ เราได้พี่โน้ส อุดม แต้พานิช มาพากย์ ตอนแรกผมออกแบบมาก่อน โดยมีไกด์มาก่อนว่าอยากได้แบบไหน และพอเอามาลองเทียบแล้วยิ่งเหมือนคุณโน้สเลย ต้องลองไปติดตามดูครับว่าเหมือนยังไง

FB on September 27, 2012, 06:37:45 PM
Q: ความยากง่ายของการออกแบบคาแร็คเตอร์
X: ตอนแรกพี่ออกแบบหนุมานตัวเล็กเกินไป ยักษ์ตัวใหญ่มาก เพราะผมเข้าใจว่ายักษ์มันต้องตัวใหญ่ ตอนนี้มันวางกล้องไม่ได้เพราะพอไปจับหนุมานปุ๊บไม่เห็นยักษ์เลย เพราะว่าผมดีไซน์หนุมานไม่ถึงหัวเข่า มันเลยโต้ตอบกันไม่ได้กล้องมันต้องผ่านหลังยักษ์อย่างเดียวเพื่อมาหนุมาน ผมต้องเลยขยายขึ้นมาให้มันใกล้ๆ กันหน่อย อันนี้มันเลยกลายเป็นข้อปัญหาจากที่เราไม่รู้มาก่อน คาแร็คเตอร์หาเสียงยากสุดคือยักษ์ เพราะว่ายักษ์ต้องมีทั้งความน่ากลัว เสียงต้องใหญ่ แต่พอติงต๊องก็ต้องเสียงน่าสงสารด้วย หามาหลายคนมากจนในที่สุดมาเจอพี่หนุ่ม พอพากย์เสร็จพี่จิกเรียกเข้ามาดู พี่จิกว่าใช่พี่ก็ว่าใช่ ทำให้ใส่การเคลื่อนไหวได้ง่ายขึ้น ช่วงแรกเสียงยังไม่ลงตัว แอนิเมเตอร์ก็ทำการเคลื่อนไหวไม่ได้ เพราะอารมณ์มันไม่ได้ จังหวะการพูดถ้าช้าหรือเร็วกว่านี้จะทำยาก เพราะว่าถ้าเกิดช้ากว่านี้ปุ๊บ แอนิเมเตอร์เขาเรียกว่ามันจะย้วย ภาพมันจะช้า ดังนั้นจังหวะการพูดการให้อารมณ์ของดารานี่สำคัญกับแอนิเมเตอร์เหมือนกัน เพราะว่าเราทำงานตามเสียงพากย์ครับ

Q: แสดงว่าเสียงพากย์มีความสำคัญมากกับเรื่องนี้
X: มีความสำคัญมากครับ ตอนที่ทำก็แอนิเมเตอร์ก็จะเริ่มเข้าใจล่ะ ตอนทำซีนแรกๆ จะยาก พอซีนหลังๆ แอนิเมเตอร์จะเริ่มอินกับความสัมพันธ์ของตัวละครจริงๆ เพราะว่าตอนพากย์พี่จิกให้ดารามาพากย์ด้วยกันเลย โต้ตอบกันจริงๆ แล้วพอมันออกมาปุ๊บแอนิเมเตอร์เริ่มจะเข้าใจในความสัมพันธ์ ว่าเขาโกรธกันจริงๆ เขางอนกันจริงๆ จะทำแอนิเมชั่นได้ดีขึ้นเรื่อยๆ

Q: นอกจากตัวละครหลักแล้ว ยังมีตัวละครอื่นอีกไหม
X: จริงๆ แล้วคาแร็คเตอร์ทั้งหมดไม่ได้มีแค่ห้าตัวนะครับ มีอีกเป็นพันตัวเลย มีทั้งที่เป็นหุ่นยนต์ที่เหลือจากสงครามหุ่นที่น่ารักๆ เป็นชาวเมืองต่างๆ ก็มี ผมจะดีไซน์มาแยกออกมาอีกที หุ่นประชาชนทั่วไปในเรื่องมักจะมีล้อเดียว สองล้อก็จะมีฐานะขึ้นมาหน่อยสามารถจะซื้ออะไหล่มา ถ้าตัวไหนดีมากๆ มีเงินเยอะก็สามารถเปลี่ยนเป็นสองขาได้ แต่สองขาไม่ใหญ่ ในเรื่องจะมีฉากที่เล่าว่ามีการขุดเจอราชายักษ์และเอามาขายชาวเมืองก็ตื่นเต้นกันใหญ่เพราะว่าเหล็กดีมาก แต่ทุกตัวที่มาก็อยากจะเอาอะไหล่มาเปลี่ยนให้ตัวเองครับเราก็ต้องดีไซน์มาเยอะ และเวลาที่ตัวละครเดินทางไปแต่ละเมืองเราก็จะเห็นดีไซน์ของหุ่นที่ไม่เหมือนกัน เมืองแต่ละเมืองก็จะมีสัญลักษณ์บาอย่างง เช่นเมืองที่เป็นเชียงกง เมืองนี้ก็จะเป็นเมืองที่เป็นสนิมๆ ไม่ค่อยสมบูรณ์ และก็พอเข้าไปโรงไฟฟ้าก็จะเป็นอีกเมืองหนึ่งก็จะเป็นอีกสีหนึ่ง ตรงนี้ก็จะใช้เวลานานอยู่ มีออกแบบไว้ ประมาณเกือบพันตัว ครับ ก็มีเอามาใช้สลับๆ กัน

Q: อีกหนึ่งความน่าสนใจของเรื่องนี้ที่ไม่แพ้ตัวละครเลยก็คือฉาก และบรรยากาศในเรื่อง ในโลกหุ่นยนต์ของเรื่อง “ยักษ์” นี้มีฉากไหนเป็นฉากเด่นน่าสนใจบ้าง
X: ในเรื่องนี้มีฉากเยอะครับ ฉากที่ใช้เวลาทำนานที่สุดจะเป็นฉากมหาสงครามครับ ที่ใช้เวลานานเพราะว่ามันเป็นฉากแรกและเราเริ่มลองทดลองการทำครั้งแรก ใช้เวลาประมาณครึ่งปีสำหรับฉากแค่สี่นาทีนะครับ ในฉากนี้เราจะเห็นหุ่นยนต์เยอะมาก มีการสร้างพวกสเปเชียลเอ็ฟเฟ็กต์มากมายเพราะเป็นฉากโชว์ด้วย เรนเดอร์นาน เพราะว่ามันจะมีทั้งหินแตก ทั้งฝุ่น แสง ฉากนี้เราสร้างเพราะว่าต้องการให้เห็นความโหดร้ายของสงครามก่อนที่จะให้เห็นว่าสงครามมันไม่ดียังไงนะครับ เราก็เลยดีไซน์มาให้มันมีสีสันความเป็นสีส้ม สีแดง สีอะไรที่มันเป็นสงครามและก็มีการสูญสิ้นทั้งหมดเพราะว่าสงคราม และหลังจากนั้นมาหากันว่าเรามาหยุดสงครามกันยังไงในอนาคตในเรื่องครับ
ฉากต่อไปคือฉากเชียงกง เป็นตลาดที่ใช้ขายอะไหล่ให้หุ่นยนต์ตัวอื่นได้มาซื้อเปลี่ยน ฉากนี้ผมได้ไอเดียมาจากตลาดจริงๆ จากตลาดเซียงกงที่ขายพวกอะไหล่รถยนต์ เครื่องยนต์ต่างๆ ในบ้านเรา โดยผมออกแบบเริ่มจากท้องฟ้า สีของบรรยากาศ จะให้ความรู้สึกตอนเช้าๆ ที่เรากำลังจะไปตักบาตร พื้นดินด้านใต้เซียงกงนั้นจะ เต็มไปด้วยเศษเหล็ก หลังจากที่เกิดการระเบิดจากสงครามครั้งใหญ่ดินก็จะทับถมพวกซากต่างๆ ไว้ ทำให้มีอาชีพขุดของเก่าขาย ตอนเราสร้างฉากนี้ เราก็ต้องสร้างดินหรือหินคลุมเหล็กอยู่ข้างล่าง มันก็จะสร้างยากนิดนึงเพราะว่าในดินเราจะซ่อนเหล็กไว้ด้วย เวลาลากหุ่นยักษ์ขึ้นมาจากดินก็ต้องมีเศษเหล็กติดขึ้นมาทำให้เกิดความซับซ้อนในการสร้าง และเนื่องจากการเป็นตลาดก็ต้องมีตัวละครเยอะ ฉากนี้จะมีตัวละครสมทบเยอะมากเลยครับ
ต่อไปเป็นฉากที่เรียกว่าฉากยักษ์ตื่นครับ ในเรื่องฉากนี้พอราชายักษ์ตื่นขึ้นหลังจากที่หลับมานานมันก็จะเกิดความสับสน อลหม่าน เพราะมันทำลายเมืองแบบไม่ตั้งใจ ชาวเมืองก็เลยโกรธและออกไล่ล่า เป็นฉากที่สนุกสนานและ น่ารักครับเพราะตัวยักษ์จะดูเอ๋อๆ ฉากนี้ก็สร้างกันนานครับ เพราะเราเริ่มสร้างจากทุกอย่างเป็นศูนย์ มีทั้งตึกรามบ้านช่องมากมาย และตัวละครชาวเมืองเยอะไปหมด ที่ต้องใช้เวลาเพราะต้องใส่การเคลื่อนไหวให้ตัวละครทุกตัว ให้มันวิ่งตามๆ กัน มีการแสดงอารมณ์ที่สีหน้าไปด้วย และฉากนี้มันมีการเคลื่อนไหวฉากหลังมันก็เลยต้องเปลี่ยนไป เลยจะยากกว่าฉากที่อยู่นิ่งๆ แล้วตัดฉากไป
ฉากปาหี่ของกุมภกรรณ ฉากนี้เป็นฉากเปิดตัวของกุมภกรรณกับน้องสนิม เป็นการเล่าเรื่องแบบละครเวทีมิวสิคคัลฉากนี้ใช้เวลาทำนานเหมือนกัน เพราะมีหุ่นยนต์ที่ใช้หลายร้อยตัวมาดูการแสดงปาหี่ การจัดแสงต่างๆ ได้ไอเดียมาจากงานคอนเสิร์ตครับ แต่ฉากนี้ใช้เวลาจัดแสง จัดไฟ ค่อนข้างยากเพราว่ากุมภกรรณเป็นสีแดง แต่แสงเป็นสีเขียวและมันเป็นสีที่ตัดกัน ใช้เวลาจัดนานกว่าจะลงตัวสวยงาม ต้องใส่ใจเรื่องการจับคู่สีกับอารมณ์ของภาพ บางภาพเราจัดไปปุ๊บมันมืดไปเด็กไม่น่าจะชอบเราก็จะเพิ่มไฟให้สว่างขึ้นมาอีก ส่วนเรื่องการใส่การเคลื่อนไหวของฉากนี้ต้องดูเสียงเพลงประกอบด้วยครับเพราะเป็นฉากมิวสิคคัลเลยต้องทำให้เข้ากับเพลง ยากตรงที่เราต้องทำให้หุ่นเหล็กให้ดูเป็นทั้งการ์ตูนด้วยเป็นทั้งเหมือนจริงด้วย แต่การที่มีเพลงเข้ามานั้นเป็นผลดีเลยครับ ถ้าเกิดมันมีเพลงเข้ามาอยู่ในฉากนั้นมันจะทำให้
แอนิเมเตอร์รู้อารมณ์ของเรื่อง และก็การเคลื่อนไหวของปากที่ถูกเพลงกำหนดไว้ได้ง่ายขึ้น มันจะง่ายขึ้นจากการพากย์ธรรมดา แต่มันยากตรงที่ว่าถ้ามันถูกเพลงกำหนดไว้แล้วการเคลื่อนไหวมันจะเร็วหรือช้าเนี้ย แอนิเมเตอร์จะต้องเรียนรู้กันเองด้วย และผมจะไปช่วยดูอีกทีหนึ่ง
ฉากฟาร์มแม่เหล็ก ฉากนี้ใช้การออกแบบง่ายๆ ครับ ถ้าพูดถึงฟาร์มแล้ว ในความคิดแรกของหลายคนมันต้องเป็นฉากใหญ่ ตอนแรกฟาร์มแม่เหล็กที่เราจินตนาการมันต้องมีเครื่องปั่นไฟฟ้าเยอะมาก แต่ทีนี้ผมลองมาเปลี่ยนการออกแบบให้มันน้อยลง ผมก็เลยใช้เป็นแม่เหล็กเกือกม้าครับ เป็นแม่เหล็กอันใหญ่ๆ อันเดียวเลยก็สื่อความหมายได้แล้ว แม่เหล็กนี้ไว้ใช้เปลี่ยนเหล็กให้กลายเป็นแม่เหล็ก และใช้ผลิตกระแสไฟไฟฟ้าให้กับเมืองหุ่นยนต์ เมื่อหุ่นยนต์ที่เข้าใกล้แม่เหล็กก็จะถูกดูดเข้าไป ฉากนี้เป็นฉากที่น่าตื่นเต้นน่ารอชมอีกฉาก
ฉากตัดโซ่ ในเรื่องนี้จะเห็นสถานการณ์ที่เผือกและเขียวพยายามจะตัดโซ่ออกจากกันหลายครั้งคนดูจะได้สนุกไปกับสถานการณ์หลากหลายที่ทำให้ตัวละครทั้งสองเป็นฮีโร่เพราะได้ช่วยเหลือคนอื่นแบบไม่ได้ตั้งใจ และสร้างความสัมพันธ์ของทั้งคู่ไปตลอดการเดินทาง แต่เบื้องหลังการสร้างนั้นยากเหมือนกันครับเพราะมันเปลี่ยนฉากเยอะ ฉากไหนที่มันเกิดการเปลี่ยนฉากเร็วมันจะส่งผลทั้งการขึ้นโมเดลของเมือง ฉากนี้มีประมาณหกถึงเจ็ดฉากมันเลยต้องเปลี่ยนเร็ว ใช้เวลาในหนึ่งฉากแค่ไม่ถึงหนึ่งนาที แต่ใช้แรงในการทำงานในการสร้างฉากเยอะ ฉากหนึ่งใช้เวลาเฉลี่ยแล้วประมาณ 4-6เดือน บางฉากก็ปีหนึ่งก็มีครับ

FB on September 27, 2012, 06:38:33 PM
Q: คิดว่าเสน่ห์ของเรื่องนี้อยู่ที่ไหน และอะไรที่ทำให้เรื่องนี้มีความน่าใจกว่าหนังแอนิเมชั่นทั่วไป
X: เสน่ห์ของเรื่องนี้ที่ไม่เหมือนใครน่าจะอยู่ที่บท เป็นสิ่งแรกที่ผมอยากทำเลย ทางทีมงานของเราชอบบทก่อนเลยมันเลยทำงานกันแบบรู้ทิศทาง และบทที่พี่จิกเขียน มันแข็งแรงพอที่จะมาทำการ์ตูน แล้วเราก็มาช่วยกันทำให้มันออกมาสมบูรณ์มากขึ้น แล้วคาแร็คเตอร์ที่ผมนำไปให้พี่จิกดูมันเข้ากันได้พอดี มันรองรับกัน ผมเลยรู้สึกว่าอาร์ตไดเร็คชั่นมันตรงกับบท เราก็เลยเริ่มมาสร้างดีไซน์สร้างโมเดล เราก็ใช้อาร์ตไดเร็คชั่นพวกความเป็นไทย พวกบรรยากาศท้องฟ้าอารมณ์ของการใส่บาตรตอนเช้าผมเอาอันนี้ใส่ไปด้วย อาจจะไม่มีลายไทยจ๋านะ เราใส่ความเป็นไทยอย่าง เช่น รอยสักยันต์ของหุ่นยนต์แต่ละตัว บางตัวถ้าสังเกตให้ดีมีเสือเผ่นด้วย ตัวเสือเผ่นนี้พี่จิกมาพากย์ด้วย (หัวเราะ)
เรื่องแสงสีเราก็ศึกษาเอาความเป็นสากลกับความเป็นไทยมาผสมกัน โปรเจ็คนี้มันเปิดโอกาสให้ผมทำอะไรที่มันไม่ปกติ มันไม่ปกติคือมันไม่ใช่การ์ตูนตาใส มันไม่ใช่การ์ตูนที่มันดิสนีย์ทั่วไปอ่ะ หรือที่เราเคยเห็นว่าการ์ตูนมันต้องน่ารัก จริงๆ การ์ตูนเราก็น่ารัก แต่เป็นแบบไม่ปกติแบบป่วยๆ นิด (หัวเราะ) ไอ้ตัวที่มันไม่น่าเป็นพระเอกมันเป็นพระเอกได้
นอกจากนี้พี่ว่าองค์ประกอบภาพของเรื่องนี้มันจะเปิด Space (พื้นที่) ให้คนดูหายใจได้ อย่างฉากที่ตัวละครหลักมันเดินแล้วมีโซ่ติดกันอยู่จะเห็นพื้นที่เป็นท้องฟ้ากว้างๆ หรือ ฉากหลังเป็นทะเลทราย ผมจะออกแบบวางองค์ประกอบกึ่งๆ สไตล์ญี่ปุ่นบวกกับทางอเมริกานิดๆ แต่ก็ไม่ได้ไปด้านไหนด้านหนึ่งเป็นกลิ่นอายมามากกว่า
และผมว่า เรื่องนี้มันไม่ใช่การ์ตูนนะ มันเป็นหนัง เหมือนอย่างหนังคนแสดงนี่แหละ ผมเคยคุยกับพี่จิกนะว่าการ์ตูนเรื่องนี้มันเป็นการ์ตูนคน มันเป็นการ์ตูนคนแสดง เราจะทำการเคลื่อนไหวอิงจากคนจริงๆ ครับ หมายถึงการเคลื่อนไหวมันจะเป็นตามจริง เช่น ยักษ์วิ่ง-เดินก็เดินหนักๆ ช้าๆ จริงๆ ยักษ์เศร้าก็เศร้าจริงๆ มันจะเป็นงานที่ไม่ใช่การ์ตูนที่เด็กมาก เราจะไม่ให้การเคลื่อนไหวดูเป็นการ์ตูนเกินไป แต่ถ้าอันไหนเป็นฉากสนุกๆ เราจะทำการเป็นเคลื่อนไหวเป็นแบบการ์ตูนไว้บ้างเช่นฉากร้องเพลง แต่อะไรที่แสดงอารมณ์เยอะๆ จะให้ผมจะให้แอนิเมเตอร์อิงจากจากการเคลื่อนไหวของคนพากย์ให้ใกล้เคียงที่สุดครับ ถึงจะเป็นหุ่นแต่เราต้องทำคนเชื่อก่อนว่าตัวนี้มันไม่ใช่แค่แอนิเมชั่นนะ มันเป็นหุ่นที่มีชีวิตจริงๆ มีการเคลื่อนไหวแบบคนจริงๆ มีอารมณ์มีความรู้สึกต่างๆ มีโกรธกัน มีงอนกัน มีสู้กัน มีความเจ็บปวด เป็นหนังที่จะเล่าถึงความรู้สึกของเพื่อนเน้นความสัมพันธ์ อารมณ์สูงมาก

Q: บ้านอิทธิฤทธ์ มีทีมงานกี่คน และคนทำงานยังไงบ้าง
X: บ้านอิทธิฤทธิ์ก็มีทีมงานประมาณสามสิบกว่าคนนิดๆ และรวมแม่บ้านแล้วด้วย (หัวเราะ) งานหลักของเราคือเราทำภาพยนตร์แอนิเมชั่นครับ และโปรเจ็คแรกก็เรื่องยักษ์ครับ แต่ตอนนี้เรากำลังร่างโปรเจ็คใหม่อยู่ ซึ่งระหว่างเรากำลังพัฒนาบทของหนังแอนิเมชั่น เราก็จะรับทำงานโฆษณาที่เป็น CG บ้าง เพื่อหาเงินมาจะทำความฝันของพวกเรา (หัวเราะ) เราอยากทำหนังใหญ่ เราก็ต้องเอารายได้จากหลายๆ ทางมาทำให้โปรเจ็คที่สองของเราเกิดขึ้นด้วยตอนนี้ ทีมงานของเราราเรียกว่าน้อยมากถ้าเทียบกับเมืองนอกครับ แต่ศักยภาพของบ้านอิทธิฤทธิ์ไม้แพ้กันเพราะเราทำงานแบบสับเปลี่ยนได้ ผมรู้ว่าทีมงานคนไหนมีศักยภาพด้านไหนบ้าง สมมุติว่าคนนี้สร้างโมเดลเสร็จปุ๊บ คนนี้ผมรู้ว่าสามารถจะใส่ลิงค์กระดูกให้แอนิเมเตอร์ได้ ก็จะสับเปลี่ยนเขามาช่วยทำงานตรงนี้ต่อ และเอาคนอื่นมาสลับงานแทนกันได้ สามสิบคนนี้สามารถจะทำหนังใหญ่ได้เรื่องหนึ่ง ผลงานเราไม่แพ้ต่างชาตินะ แต่คนเราน้อยกว่า แต่เราใช้ความสามารถทางศิลปะช่วยด้วย ซึ่งผมว่ามันทำได้นะโดยที่คนไม่ต้องเยอะ

Q: หนังจากหนังแอนิเมชั่นเรื่องนี้ได้ออกฉาย มีเตรียมผลงานถัดไป บ้างแล้วรึยัง
X: ตอนนี้เราก็กำลังทำผลงานเรื่องที่สองอยู่ครับ กำลังอยู่ในขั้นตอนออกแบบคาแร็คเตอร์กันอยู่ หลังจากที่เราทำยักษ์เราก็จะเรียนรู้ประสบการณ์มาพัฒนากับหนังเรื่องต่อไปครับ แอนิเมชั่นที่กำลังจะทำขึ้นก็เป็นบทจากพี่จิก ประภาส เช่นเดิมครับ แต่เราจะทำด้วยเทคโนโลยีสูงขึ้น อะไรที่เคยทำไม่ได้เมื่อ หกปีที่แล้วตอนนี้เราก็ทำได้แล้ว ทั้งเรื่องเทคโนโลยีและก็บุคลากรก็จะมีพัฒนาขึ้นด้วย เพราะเราก็มีประสบการณ์กันมาแล้วครับ

Q: เรื่องยักษ์นี่ ขึ้นชื่อกันมากว่าได้ทำงานร่วมกับคนเก่งๆ มากมาย สิ่งที่ได้จากการทำงานเรื่องนี้คิดว่าเป็นอะไรบ้าง
X: สิ่งที่ผมได้จากการทำหนังเรื่องนี้ก็คือได้ร่วมงานกับคนเก่งๆมากมาย อย่างเช่น พี่จิกเขามีฝีมือการเขียนบท และการแก้ปัญหาที่แม่นยำมากครับ เรื่องนักพากย์ก็เยี่ยม ถ้าคนพากย์ พากย์เสียงแบบไม่ได้อารมณ์ เราก็จะทำแอนิเมชั่นไม่ได้ขนาดนี้ ทั้งคนแต่งเพลงทำเพลง ฝ่ายประสานงาน ทุกๆ ฝ่ายเลย มันทำให้ผมทำงานดีขึ้นด้วยและโตขึ้นด้วย การทำงานกับคนเก่งๆ มันทำให้ตัวเราพัฒนาขึ้นเยอะและเร็วมากด้วย ผมก็ซึมซับการเรียนรู้ไปด้วยว่าการทำงานอันนี้เราไม่เคยทำอย่างนี้มาก่อน เราก็ศึกษามาจากคนนี้ คนที่มีศักยภาพบางอย่างมารวมกัน โดยที่เราไม่ต้องใช้เงินทุนเยอะหรือสูงมากถ้าเกิดคนเก่งๆ มาทำงานกัน คือเราจะประหยัดทั้งเงินและเวลาด้วย และเราจะได้เรียนรู้ด้วย คือทุกส่วนเลยคนไม่เท่าฝรั่งแน่ๆ แต่คนเก่งๆ มารวมกันเนี่ย แต่ละคนเก่งในสายแต่ละสาย ทำให้งานมันเร็วขึ้น และงานมันตรงที่เราคิดเยอะขึ้น ทำให้บ้านอิทธิฤทธิ์ทำงานง่ายขึ้นด้วย

Q: หนังได้ไปฉายโชว์ ที่เมืองคานส์ และไปโปรโมทตามประเทศต่างๆ มาแล้วหลายครั้ง รู้สึกอย่างไรบ้างที่หนังได้รับการยอมรับจากต่างชาติ
X: ผมก็ดีใจครับที่คุณภาพของหนังของเราฝรั่งเขายอมรับ คุณภาพมันสูงพอที่ออกต่างประเทศได้ ตอนไปฉายโชว์ที่ญี่ปุ่นก็มีคนมาคุยด้วย ไม่รู้ว่าคนนี้เป็นใคร มารู้ทีหลังว่าเขาเป็นนักเขียนการ์ตูนดังเลย เขาบอกว่าอยากจะมาร่วมงานด้วย อยากทำงานด้วย เขาชอบการเคลื่อนไหวของตัวยักษ์ เขาก็พูดภาษาญี่ปุ่นว่าเห็นเราทำดี เห็นแล้วมีไฟกลับไปเขียนการ์ตูนต่อด้วย เราก็ปลื้มครับ

Q: คำนิยามของคำว่า “ยักษ์” ของพี่เอ็กซ์หมายถึงอะไร
X: หากผมคิดถึงยักษ์ จะคิดถึงยักษ์ที่ตัวใหญ่ๆ มีบารมีสูงๆ มีอำนาจ แอบคิดว่าบุคลิกของผมใกล้กับตัวนี้เหมือนกันนะ (หัวเราะ) เพราะว่ามันจะมีความดุร้าย และก็อ่อนโยนด้วย จริงๆ ก็ใกล้ๆ กันกับตัวที่อยู่ในเรื่องนี้

Q: ยักษ์ตัวแรกที่รู้จัก เป็นยักษ์อะไร
X: น่าจะเป็นทศกัณฐ์ครับเพราะส่วนหนึ่งเรียนด้วย แต่ทศกัณฐ์ของผมจะเป็นยักษ์ที่ตัวใหญ่มากใหญ่กว่าวรรณคดีครับ

Q: ในหนังเรื่องนี้มีประเด็นแกนหลัก เกี่ยวข้องกับมิตรภาพ หากอยู่ในสถาณการณ์ที่ต้องเลือกระหว่าง “มิครภาพและ หน้าที่” จะเลือกอย่างไร
X: ผมเลือกทั้งสองอย่างได้ไหม (หัวเราะ)

Q: คิดว่าคนเราจะสามารถเปลี่ยนจากศัตรูมาเป็นเพื่อนกันได้ไหม
X: ได้ครับ ถ้าเราตัดทุกอย่าง เข้าไปคุยกับศัตรูดูบางทีอาจจะดีกว่าที่เราคิดก็ได้ เพราะว่าเราคิดกันเอง บางทีเราคิดว่าคนนี้เป็นศัตรูเพราะว่าอาจจะโหงวเฮ้งไม่ตรงกับเรา หรือว่าโหงวเฮ้งแบบนี้เคยทำร้ายเรามาก่อน (หัวเราะ) แต่ถ้าเข้าไปคุยมันอาจจะไม่ใช่อย่างที่เราคิดครับ

FB on September 27, 2012, 06:40:51 PM
อลังการแอนิเมชั่นฟอร์ม “ยักษ์” ส่ง 2 เวอร์ชั่นให้คนไทย-ต่างชาติ เลือกดู 2 ภาษาทั้ง “เสียงไทยและเสียงอังกฤษ”









                        ยิ่งใหญ่สมชื่อจริงๆ สำหรับ “ยักษ์” ภาพยนตร์แอนิเมชั่นฟอร์มยักษ์ที่ใช้เวลาในการสร้างนาน6ปีเต็มจากผลงานการทุ่มทุนสร้างของ “สหมงคลฟิล์มอินเตอร์เนชั่นแนล” และพันธมิตรอย่าง “บ้านอิทธิฤทธิ์ ซูเปอร์จิ๋ว และเวิร์คพอยท์พิคเจอร์ส” ด้วยทุนสร้างกว่า 100 ล้านบาท เป็นอีกหนึ่งความภาคภูมิใจจนถือได้ว่าเป็นอีกย่างก้าวสำคัญ (BIG STEP) ของภาพยนตร์แอนิเมชั่นสัญชาติไทยที่คอหนังจะได้สัมผัสกับแอนิเมชั่นยักษ์พร้อมกันถึง 2 เวอร์ชั่น นั่นคือในเวอร์ชั่นเสียงภาษาไทย ซึ่งยกทีมนักแสดงระดับแถวหน้าของเมืองไทยอย่าง “หนุ่ม สันติสุข ในบท น้าเขียว (ยักษ์ทศกัณฐ์) หอย เกียรติศักดิ์ ในบท เผือก (หนุมาน), ตั๊ก บริบูรณ์ ในบทกุม, เหมี่ยว ปวันรัตน์ ในบทนกสดายุ, น้องออมสิน ชนินาภ ในบทสนิม พร้อมด้วย แจ๊ป เดอะริชแมนทอย และอุดม แต้พานิช มาร่วมให้เสียงให้ชีวิตเหล่าคาแรคเตอร์การ์ตูนแต่ละตัวได้โลดแล่นอย่างมีสีสัน และในเวอร์ชั่นเสียงภาษาอังกฤษโดยมีทอดด์ ลาเวลล์ ศิลปินนักร้องนักแสดงชาวอเมริกันมารับหน้าที่กำกับการให้เสียงภาษาอังกฤษพร้อมกับรับหน้าที่มาให้เสียงให้ชีวิตตัวน้าเขียวหรือหุ่นยักษ์ทศกัณฐ์ด้วย

          “ปกติเราทำหนังเราก็มีภาษาไทยอยู่แล้ว แต่สำหรับการ์ตูนยักษ์เราตั้งใจว่าต้องทำเป็นเวอร์ชั่นภาษาอังกฤษด้วยก็เพื่อหวังขายต่างประเทศด้วย โดยในประเทศไทยก็มีฉายให้ชมทั้งสองเวอร์ชั่นทั้งไทยและภาษาอังกฤษ เวอร์ชั่นไทยก็ดูกันไป ชาวต่างชาติหรือคนไทยที่ดูหนังที่เป็นเสียงภาษาอังกฤษก็จะได้ชมด้วย หรือบางคนดูไทยแล้วอยากดูภาษาอังกฤษอีกก็ได้

          พาณิชย์ สดสี ผู้ควบคุมงานสร้างแอนิเมชั่นยักษ์ที่ผ่านการทำงานเคียงบ่าเคียงไหล่ในฐานะมันสมองระดับหัวกะทิคู่กับจิกประภาสมากว่า 2 ทศวรรษให้เหตุผลที่ยิ่งเป็นการตอกย้ำถึงความอลังการที่ถือได้ว่าเป็น1 ในความตั้งใจตั้งแต่เริ่มต้นในขั้นตอนการผลิตแอนิเมชั่นยักษ์ที่จะต้องอัดแน่นไปด้วยความพร้อมถึงมาตรฐานในคุณภาพของงานที่จะเกิดขึ้นภายใต้โจทย์ที่ว่า“ยักษ์จะเป็นแอนิเมชั่นสัญชาติไทยเรื่องแรกที่ผลิตขึ้นมาทีเดียว 2 เวอร์ชั่น 2 ภาษานั่นคือเสียงไทยและเสียงภาษาอังกฤษ ตามความตั้งใจของคนเลี้ยงยักษ์อย่างจิก ประภาส ชลศรานนท์เลยทีเดียว

          “ก็ตั้งใจจะทำให้เป็นสองภาษาตั้งแต่แรกเลย เพราะฉะนั้นในการทำงานพี่ก็ถือว่าเอาคนไทยเป็นต้นฉบับ ปากทุกคำ ขยับปากเป็นภาษาไทยเป๊ะ สระอูสระโอเป๊ะ สิ่งที่ยากมากคือทอดด์จะต้องมานั่งข้างๆ เพราะว่าภาษาอังกฤษเคยถูกแปลมาแล้วทีหนึ่งโดยเดลล์ ซึ่งเป็นนักเขียนบทที่อเมริกา แปลไปแล้วรอบหนึ่งแล้วก็ถูกเกลาไปแล้วอีกหลายรอบเหมือนกันเพราะในแง่ด้วยของเรื่องภาษา จนมาถึงมือทอดด์อีกครั้งหนึ่งเนื่องจากทอดด์เก่งภาษาไทยมาก และนั่งคุยกันว่าท็อดด์ต้องตรงปากให้ขยับใหม่ภาษาใหม่แล้วก็ใส่มุกฝรั่งลงไปแทนภาษาไทย แล้วเชิญคนฝรั่งชาติอื่นที่ไม่ใช่อเมริกันมานั่งดูด้วย เขาขำในมุกอเมริกันของคุณหรือเปล่าเอาขนาดนั้นเลย ตัวอย่างเช่นในเวอร์ชั่นเสียงไทยหุ่นกระป๋องสนิมจะร้องเพลงในฉากมิวสิคคัลแนะนำตัวเองร้องว่าสนิมคือชื่อหนู มันลงท้ายสระอูคนแรกที่แปลแปลไว้ว่า รัสตี้อีสมายด์เนม ความหมายตรงแต่ปากมันไม่ตรงกันทอดด์ต้องทำงาน ก็จะกลายเป็นรัสตี้เยสอีสทรู แล้วค่อยเป็นอิสมายเนมคือความหมายเหมือน เดิมแต่เขาแค่ให้ขยับคำใหม่ เพื่อมให้การขยับปากกับเสียงไปด้วยกัน ซึ่งถ้าดูภาษาฝรั่งแล้วเราอาจจะงงว่านี่มันหนังฝรั่งนี่นาเพราะว่าปากมันค่อนข้างใกล้มาก”

ละเอียดพิถีพิถันกันขนาดนี้ ตั้งแต่บทภาพยนตร์ เรื่องราว การออกแบบคาแรคเตอร์การ์ตูนแต่ละตัวมาจนถึงการคัดเฟ้นผู้ที่จะมาให้เสียงให้ชีวิตของตัวการ์ตูนทั้งสองเวอร์ชั่นทั้งภาษาไทยภาษาอังกฤษเลยทีเดียว ไปร่วมภาคภูมิใจกับ ยักษ์ ภาพยนร์การ์ตูนแอนิเมชั่นที่จะทำให้ทุกคนล้วนอิ่มเอมไปกับความสนุกสนานพร้อมกัน 4 ต.ค.นี้ทุกโรงภาพยนตร์

FB on September 27, 2012, 06:42:10 PM
“ยักษ์ FESTIVAL” ขอชวนแฟนๆ ร่วมสนุกกับกิจกรรมสนุกสนาน สัมผัสประสบการณ์ “ยักษ์บุกเมือง”



YAK Trailer (Eng Version)
<a href="http://www.youtube.com/watch?v=LD1nX7aib6g" target="_blank">http://www.youtube.com/watch?v=LD1nX7aib6g</a>

Yak Ost.- Mv.เพลง แบ่ง
<a href="http://www.youtube.com/watch?v=O3JaklY0dwo" target="_blank">http://www.youtube.com/watch?v=O3JaklY0dwo</a>

          “ยักษ์ FESTIVAL” ขอชวนแฟนๆ ร่วมสนุกกับกิจกรรมสนุกสนาน สัมผัสประสบการณ์ “ยักษ์บุกเมือง” รวมทุกสิ่งละอันพันละยักษ์ กระทบไหล่นักแสดงและผู้สร้าง พร้อมมินิคอนเสิร์ต ROOM39

          ต้อนรับการมาของ “ยักษ์” ภาพยนตร์แอนิเมชั่นพันธุ์ไทยทุนสร้างกว่า 100 ล้านบาท บ.สหมงคลฟิล์ม อินเตอร์เนชั่นแนลร่วมกับ บ้านอิทธิฤทธิ์ ซูเปอร์จิ๋วและเวิร์คพอยท์พิคเจอร์ส ชวน น้องๆ หนูๆ ยักษ์เล็กเด็กแดงไปจนถึงวัยรุ่นเด็กแนวและยักษ์ใหญ่ประจำบ้าน เกี่ยวก้อยโอบไหล่กันมาร่วมสัมผัสกับประสบการณ์ “ยักษ์บุกเมือง กับยักษ์ FESTIVAL” อาทิตย์ที่30กันยายนนี้ 11 โมงถึง 2 ทุ่มที่ลาน EDEN 1 ชั้น 1 ศูนย์การค้าเซ็นทรัลเวิลด์

          สนุกสนานกับกิจกรรมยักษ์ๆ ไฮไลท์ที่ทุกคนรอคอยกับ “การแข่งขันยักษ์กะเย่อ” รอบชิงชนะเลิศ วัดพลังยักษ์ในตัวน้องๆ กับรถยักษ์ ให้เห็นกันจะๆ ร่วมลุ้นร่วมเชียร์ว่าใครจะเป็นแชมป์

          พบกับนิทรรศการเรื่องเล่า “หน้ายักษ์แบบน่ารัก” พร้อมสนุกกับการบุกเมืองแบบ “น่ายักษ์แต่น่ารัก” ของยักษ์แอนด์เดอะแก๊ง แล้วอย่าลืมมา ถ่ายภาพ แล้วอัพโหลดอวดเพื่อนๆ กัน

          ครั้งแรกกับมินิคอนเสิร์ตของ 3 เพื่อนซี้ “ROOM39” พร้อมเสียงร้องสดๆ กับ “เกิดมาเป็นเพื่อนเธอ”บทเพลงประกอบภาพยนตร์แอนิเมชั่น “ยักษ์ “จากฝีมือการแต่งของ “แสตมป์-อภิวัชร์ เอื้อถาวรสุข”

          สัมผัสความน่ายักษ์แบบกวนๆ กับทีมนักแสดงที่ให้เสียงให้ชีวิตเหล่าตัวการ์ตูนแอนิเมชั่น “ยักษ์” โลดแล่นได้อย่างสนุกสนานนำทีมโดยพี่หนุ่ม-สันติสุข พรหมศิริ (น้าเขียวทศกัณฐ์ หุ่นยักษ์), ตั๊ก-บริบูรณ์ จันทร์เรือง (กุมหุ่นยักษ์สีแดง), แจ๊ป เดอะริชแมนทอย (ก๊อกหุ่นยนต์พ่อค้าหุ่นเก่า), ทอดด์ ทองดี (ผู้ควบคุมการพากย์ยักษ์ในเวอร์ชั่นเสียงภาษาอังกฤษและให้เสียงของยักษ์เขียวทศกัณฐ์ในภาษาอังกฤษ), น้องออมสิน-ชนินาถ ศิริสวัสดิ์ (หุ่นกระป๋องสนิมน้อย) พร้อมผู้สร้างและทีมงานผู้อยู่เบื้องหลัง “ยักษ์” ฯลฯ

          พิเศษสุดท้าให้ทุกคนที่รักยักษ์ แน่จริงมาขนของที่ระลึกแสนน่ารักจาก “ยักษ์” ที่ทำขึ้นมาเป็นพิเศษให้ทุกคนได้ร่วมสนุกกับกิจกรรมพิเศษตามบูธเกมต่างๆ ฟรี รับประกันความสนุกครบทุกกระบวนท่ายักษ์ที่พลาดไม่ได้อีกเพียบ

          ครั้งแรกและครั้งเดียวหลังจากบ่มเพาะฟูมฟักในทุกขั้นตอนกว่าจะมาเป็นแอนิเมชั่นยักษ์ ด้วยเวลานานถึง 6 ปีเต็ม ถึงเวลาแล้วที่ “ยักษ์” จะออกมาอวดโฉมให้ทุกคนร่วมภาคภูมิใจและเป็นส่วนหนึ่งของประสบการณ์ “ยักษ์บุกเมือง” แล้วอย่าลืมไปตกหลุมรักยักษ์กันนะจ๊ะ
« Last Edit: October 01, 2012, 05:58:56 PM by FB »

FB on October 01, 2012, 05:53:52 PM
บทสัมภาษณ์ โน้ส-อุดม แต้พานิช พากย์เสียง บรู๊ค-นักไต่เขา ในภาพยนตร์แอนิเมชั่น เรื่อง “ยักษ์”



          การพากย์เสียงแอนิเมชั่นครั้งแรกของ โน้ส-อุดม แต้พานิช ในบทบาทเล็กๆ แต่สำคัญ “มาก” “บรู๊คส์ นักไต่เขา” ผู้สอนให้รู้จักหน้าที่ของชีวิต
 
           Q: ทราบมาว่าตัวละคร “นักไต่เขา” ของพี่โน้ส ในแอนิเมชั่นเรื่อง “ยักษ์” นี้เป็นอีกหนึ่งบทที่พิเศษสุดๆ มีความสำคัญมากกับเรื่องแม้จะเป็นบทรับเชิญ อยากให้ช่วยพูดถึงบทบาทนี้สักนิด
          N: ผมอุดม แต้พานิชนะครับ ก็ได้รับมอบหมายให้มาให้เสียงตัวละคร “บรู๊คส์” นะครับ เขาเป็นนักไต่เขาครับ ตัวบรู๊คส์เป็นตัวละครเล็กๆตัวหนึ่งนะครับแต่ว่าเขาจะมาบอกสาส์นอะไรบางอย่างในเรื่องเป็นจุดเล็กๆ จุดหนึ่งที่ทำให้ตัวละครหลักทั้งสองตัวนั้นได้เรียนรู้อะไรบางอย่างนะครับ เป็นคำพูดเล็กๆ สั้นๆ แต่ว่าทำให้ตัวละคร ฉุกคิดอะไรบางอย่างได้ ซึ่งบทสนทนาของเขาแม้จะเป็นคำพูดเล็กๆ แต่ค่อนข้างทรงพลังและมีผลต่อเรื่องครับ

          Q: งานนี้เป็นการพากย์แอนิเมชั่นครั้งแรกของพี่โน้ส มีความยากง่ายอย่างไรบ้างช่วยเล่าถึงประสบการณ์การพากย์ให้ฟังกันหน่อย
          N: งานพากย์ของผมครั้งนี้มันทำงานยากนิดหนึ่งนะครับ อย่างคนอื่นในการทำงานทีมงานเขาจะให้มีการโต้ตอบเหมือนละครเวทีแล้วค่อยให้วาดการ์ตูนเป็นแอนิเมชั่นตามบท แล้วทำการขยับปากตามการเคลื่อนไหวของนักแสดง ออกเป็นภาพมาตามเสียง แต่ตัวละครของผมภาพมาก่อนแล้วผมก็มาพากย์ จะยากในการไล่งับจับจังหวะและแสดงอารมณ์ มันก็เหมือนการพากย์หนังในสมัยโบราณน่ะครับ แต่มันเกิดขึ้นเฉพาะตัวละครของผมนะ ไม่รู้ทำไมครับ (หัวเราะ) งานจะยากเพราะผมต้องมาลงเสียงให้ตรงปากแล้วทีนี้มันเป็นตัวการ์ตูนด้วยการ์ตูนปากมันจะไม่เหมือนคนเราพูดมันจะอ้าปากกว้างๆ ดีแต่ว่ามุขไม่ค่อยเยอะครับ

          Q: ตัวละครตัวนี้ทางทีมงานแจ้งมาว่าสร้างขึ้นมาจากตัวพี่โน้สเลย อย่างนี้ตอนพากย์ได้ใส่ความเป็นตัวเองให้กับตัวละครบ้างรึเปล่า
          N: ทางทีมงานก็บอกผมว่าสร้างมาจากผม ก็ดูแล้วหน้าคล้ายๆเหมือนกันนะ (หัวเราะ) ทางโปรดิวเซอร์เขาอยากได้แบบนั้นน่ะครับ เขาบอกว่าเขานึกถึงเรา ทีนี้ผมก็ลองพากย์ให้เค้าหลายแบบเลือกให้เขาไปดูหลายแบบ ดูว่าเขาชอบแบบไหน ทั้งแบบคนแก่มีอายุ คนใต้ นักเลงปากซอย เขาก็ลองเลือกดูนี่ผมก็ไม่รู้นะครับว่าโปรดิวเซอร์จะเอาแบบไหนนะครับ (หัวเราะ)

          Q: ปกติเป็นคนที่ชอบแอนิเมชั่นไหมและคิดอย่างไรกับแอนิเมชั่นไทยบ้าง โดยเฉพาะเรื่อง “ยักษ์” มีจุดเด่นหรือความน่าสนใจต่างจากเรื่องอื่นอย่างไร
          N: ผมชอบดูแอนิเมชั่นโดยเฉพาะของค่ายจิบลิครับ เรื่องโปรดคือเรื่อง Spirited Away ผมชอบแอนิเมชั่นญี่ปุ่นครับส่วนแอนิเมชั่นไทยครั้งล่าสุดที่ได้ดูก็สุดสาครนะ (หัวเราะ) พูดเล่นๆ ครับ ผมอยากดูเรื่องยักษ์นี้มากครับ รอเรื่องนี้มาหลายปี เห็นว่าทำมา 6 ปีแล้ว แล้วก็ดีใจที่ได้เป็นส่วนหนึ่งในเรื่องนะครับถึงแม้มันจะเป็นส่วนเล็กๆ นะครับ ผมว่าบ้านเราน่าจะมีหนังแอนิเมชั่นอย่างนี้เยอะๆ นะครับ จุดเด่นของเรื่องนี้ ผมชอบตรงที่เอาตัวละครจากวรรณคดีมาประยุกต์อันนี้ผมว่าน่าสนใจมากๆ ครับ เรื่องยักษ์นี้นะครับก็จะเป็นแอนิเมชั่นที่ผมว่าจะฝากมุมดีๆ เกี่ยวกับ “มิตรภาพ”แล้วก็ “หน้าที่”ของเราไว้ให้คิด อันนี้น่าสนใจมากอยากให้ลองมาดูกันนะครับ

          Q: เมื่อได้ยินคำว่า “ยักษ์” แล้วนึกถึงอะไรเป็นอย่างแรก และยักษ์ตัวแรกที่พี่โน้สรู้จักคืออะไร
          N: ถ้าได้ยินคำว่ายักษ์ก็จะนึกถึงความดุร้าย มีเขี้ยว ผมคิดว่าคนจะรู้สึกคล้ายๆกันนะ ดุร้ายมีเขี้ยวขี้โมโหส่วนยักษ์ตัวแรกที่รู้จักก็คือยักษ์วัดแจ้งวัดโพธิ์ (จากหนังเรื่อง ท่าเตียน) เป็นหนังที่ดูมายุคเดียวกับหนังพวกหนุมานพบ 7 ยอดมนุษย์น่ะครับ

          Q: ในเรื่องราวของ “ยักษ์” จะมีประเด็นหลักเกี่ยวกับมิตรภาพ อยากถามว่าถ้าอยู่ในสถานการณ์ที่ต้องเลือกระหว่าง “มิตรภาพ”กับ “หน้าที่” จะเลือกอย่างไหน
          N: โหอันนี้ยากนะ อันนี้เป็นคำถามที่ดีนะ ถ้าต้องเลือกระหว่างมิตรภาพกับหน้าที่ มันลึกซึ้งนะมันมีมิตรภาพอยู่หลายระดับทั้ง คนรู้จัก เพื่อน เพื่อนสนิท ญาติพี่น้อง พ่อตัวเอง แม่ตัวเอง (หัวเราะ) อะไรอย่างนี้มันมีสัดส่วนในการที่เราต้องตัดสินใจด้วยนะอันนี้เลือกตอบยากจริงๆ ครับคงขึ้นอยู่กับแค่ละคนจะเลือกครับ

          Q: ในเรื่องนี้ยังมีเรื่องราวของคนที่รบกันมาหลายล้านชาติ แล้วมาเจอกันใหม่ซ้ำแล้วซ้ำอีก คิดว่าคนที่เคยเป็นศัตรูกันมาก่อนจะสามารถกลับมาเป็นเพื่อนกันได้ไหม
          N: ได้สิ ได้จริงๆ เคยทำมาแล้วด้วยครับ ศัตรูเปลี่ยนมาเป็นมิตรได้จริงๆ แต่ว่าใครคนหนึ่ง ใครสักคนในนั้นต้องยอมครับ มันเป็นเคล็ดลับเลยนะหนึ่งในนั้นต้องยอม มันเหมือนพี่ว่ามันเหมือนบางทีเหมือนสามีภรรยาในครอบครัวทะเลาะกันแต่เรื่องมันจะจบเลยถ้าอีกคนยอม ศัตรูเป็นมิตรได้แน่นอนถ้าทั้งสองฝ่ายต่างพากันยอมมันเกิดมิตรภาพแน่นอน นี่ก็รออะไรสักฝ่ายในประเทศยอมอยู่นะเนี่ย (หัวเราะ) ยักษ์จะได้น้อยลง ขอบคุณครับ
« Last Edit: October 01, 2012, 06:34:20 PM by FB »

FB on October 05, 2012, 04:03:44 PM
บทสัมภาษณ์ เอ็กซ์-ชัยพร พานิชรุทติวงศ์ ผู้ร่วมกำกับภาพยนตร์ –ผู้กำกับแอนิเมชั่น (Co-Director , Animation-Director)





          เปิดใจ “คนสร้างยักษ์” เอ็กซ์ ชัยพร พานิชรุทติวงศ์ แอนิเมเตอร์สายเลือดไทย ฝีมือระดับโลก ผู้ร่วมสร้างบ้านอิทธิฤทธิ์ แหล่งผลิตฝัน ร่ายเวทมนตร์ให้กับภาพยนตร์

Q: ในแวดวงแอนิเมชั่นแล้วพี่เอ็กซ์มีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักในวงการมานาน ในฐานะแอนิเมเตอร์ไทยผู้เคยคว้ารางวัลจากต่างประเทศมากมาย และยังทำหน้าที่เป็นอาจารย์สอนนักศึกษาเพื่อสร้างนักแอนิเมเตอร์รุ่นใหม่ๆ มาประดับวงการอีกด้วย อยากให้ช่วยเล่าถึงที่มาของการทำงานในเส้นทางสายแอนิเมชั่น ก่อนจะมาถึงการทำงานในเรื่องยักษ์สักนิด
X: สวัสดีครับ ผมชัยพร พานิชรุทติวงศ์ ผมมีหน้าที่เป็นโคไดเร็คเตอร์ และก็เป็นแอนิเมชั่นไดเร็คเตอร์ รับผิดชอบทั้งหมดเกี่ยวกับแอนิเมชั่นของเรื่องยักษ์ครับ ครั้งแรกที่สนใจผมสนใจแอนิเมชั่น ก็คือหลังจากเรียนปริญญาตรีคณะมัณฑนศิลป์ ที่มหาวิทยาลัยศิลปากร สมัยนั้นยังไม่มีวิชาแอนิเมชั่น พอเรียนจบผมก็ทำงานได้สักพัก แต่วันหนึ่งไปเห็นตัวอย่างหนังเรื่องเดอะ ไลอ้อน คิง (The Lion King) ก็ตกใจมาก ประทับใจมากรู้สึกทึ่งไปกับภาพที่เห็น วันรุ่งขึ้นไปลาออกเลยครับ (หัวเราะ) แล้วตัดสินใจไปเรียนต่อที่อเมริกา ก็ตอนนั้นวัยรุ่นหน่อย อยากไปเจอผู้กำกับที่ทำไลอ้อน คิง ก็ไปอเมริกาเลย ก็เป็นความฝันของเด็กๆ ครับ (หัวเราะ) ผมไปศึกษาต่อปริญญาโทด้านดิจิตอล อาร์ตที่ มหาวิทยาลัย โอเรกอน ตอนที่เรียนอยู่ผมก็ทำผลงานส่งประกวด Siggraph ซึ่งเป็นการประกวดผลงานแอนิเมชั่นประเภทนักศึกษาจาก มหาวิทยาลัยทั่วโลกครับ อันนี้ก็ได้รางวัลชนะเลิศมาและก็มีได้รางวัลแอนิเมชั่นโลก World Animation Celebration อีกด้วยครับ หลังจากกลับมาจากอเมริกา ก็มีบริษัทแอนิเมชั่นไทยติดต่อมาหลายบริษัทครับ หลังจากกลับมา ผมก็ทำงานสายนี้มาตลอดเกือบ 20 ปี แล้ว งานที่ทำก็มีไตเติ้ลของเวิร์คพอยท์เกือบทุกตัว งานสองมิติที่น่าจะพอคุ้นๆ กันก็เป็นกบ One-2 Call วันทูคอลที่ออกมาจากกะลา และงานด้านภาพยนตร์ก็เป็น CG SUPERVISOR ให้กับหนังมาประมาณสิบสามเรื่อง ล่าสุดก็มีตุ๊กกี้ เจ้าหญิงขายกบ, สิ่งเล็กเล็กที่เรียกว่ารัก, 30+ โสด ON SALE ครับ และหลังจากนั้นก็มาเปิดบริษัทบ้านอิทธิฤทธิ์ เพื่อทำภาพยนตร์แอนิเมชั่นเรื่อง “ยักษ์” เป็นเรื่องแรกครับ”

Q: คิดว่าอะไรที่เป็นเสน่ห์ของแอนิเมชั่น ทั้งๆที่รู้ว่าการจะทำให้เสร็จสมบูรณ์เรื่องหนึ่งนั้นไม่ใช้เรื่องง่าย แต่ก็ทุ่มเทสร้างจนเสร็จออกมาได้
X: เพราะมันเป็นศาสตร์ที่เราสามารถทำให้ตัวละครที่เราคิดนั้นเกิดชีวิต เคลื่อนไหวได้ขึ้นมาได้ และมันเป็นการรวมศาสตร์ทางศิลปะทั้งหมดเพื่อสร้างขึ้นมา หรืออีกอย่างหนึ่งคือใครๆ ก็สามารถเป็นผู้กำกับด้วยตัวเองได้ เหมือนเราสามารถใส่ตัวละครเข้าไปในแอนิเมชั่นโดยไม่ต้องกำหนดคนอื่น อย่างถ้าเรากำกับหนังคนแสดง เราจะต้องกำหนดคนให้เป็นอย่างที่เราต้องการ แต่แอนิเมชั่นเราใส่ความเป็นตัวเราเองลงไปในตัวละครที่เราออกแบบ จนทำให้มันเคลื่อนไหวได้ ตัวการ์ตูนที่เรากำหนดเองมันจะน่าเกลียดหรือน่ารักก็เป็นตัวเราที่เราดีไซน์ขึ้นมาเอง เสน่ห์ของมันอยู่ที่เราสร้างโลกที่เรากำหนดเองได้ครับ

Q: หลังจากที่ไปเรียนและทำงานอยู่ต่างประเทศอยู่นาน รู้จักพี่จิก ประภาส ชลศรานนท์ จนมาทำงานร่วมกันได้อย่างไร
X: ครั้งแรกที่รู้จักพี่จิกผมรู้จักผ่านผลงานของพี่จิกเขาครับ ผมเคยได้ยินชื่อเสียงเขามาบ้าง แต่ผมไปอยู่ต่างประเทศนานเหมือนกัน พอกลับมาเสร็จปุ๊บ มีคนชวนว่าเดี๋ยวคุณจิก-ประภาสจะมาคุยด้วย ยอมรับว่าผมไม่เคยเห็นหน้าพี่จิกเลย รู้แค่ว่าเขาเป็นนักคิดนักเขียน ไม่รู้ว่าเขาเป็นผู้บริหาร เวิร์คพอยท์ ก็เลยไม่เกร็งตอนคุย (หัวเราะ) ซึ่งมันกลายเป็นข้อโชคดีของผม พอไม่เกร็งผมก็เล่าเรื่องการ์ตูนไปเรื่อยๆ และก็คุยกันเรื่องทำแอนิเมชั่น พอคุยเสร็จเพื่อนๆ ก็ชื่นชมตื่นเต้นกันมากว่าจะได้ทำงานกับพี่จิก ผมก็เลยลองหาหนังสือเขามาอ่านเรื่องแรกรู้สึกจะเป็นเชือกกล้วยมัดต้นกล้วย ต่อไปก็เริ่มคุยเกี่ยวกับการทำแอนิเมชั่นกับพี่จิก ก็รู้สึกว่าเขาเป็นคนที่มีไอเดียดีมาก และโชคดีว่าลายเส้นการ์ตูนของผมไปตรงใจพี่จิกพอดีครับ

Q: พอทราบไหมว่าพี่จิกถูกใจลายเส้นของเราตรงไหน และทำไมถึงทำงานเข้ากันได้ดี
X: เราได้เริ่มคุยกันก็เพราะ ผมวาดภาพประกอบให้กับพี่จิกในหนังสือหลายๆ เรื่อง ตั้งแต่ เรื่อง สุธี, แม่เภา อภินิหารพระดิน, นิทานล้านบรรทัด, มังกรไฟไม่เรียนหนังสือ และพอเริ่มร่างแบบคาแร็คเตอร์เรื่องยักษ์ พี่จิกก็พูดขึ้นมาว่า ตัวคาแร็คเตอร์เอ็กซ์เหมือนใครนะ ก็นึกกันขึ้นมาได้ว่าน่าจะเป็นคุณอา รงค์ (ณรงค์ ประภาสะโนบล) อารงค์ก็คือคนที่เขียนทาร์ซานกับเจ้าจุ่น ในหนังสือ ชัยพฤกษ์การ์ตูน แต่ชอบวาดแบบนี้มาตั้งแต่เด็กละ จังหวะการเขียนหรือบางอย่างจึงใกล้กันมาก น่าจะเป็นแรงบันดาลใจที่ได้มาแบบไม่รู้ตัว บวกกับผมเขียนการ์ตูนอเมริกาด้วยแต่ก็ชอบการ์ตูนญี่ปุ่นมันจึงออกมาผสมผสานกัน แต่หลักๆ พี่จิกบอกว่าอารมณ์ชัยพฤกษ์ซึ่งพี่จิกเองก็ชอบการ์ตูนของอารงค์เช่นกัน เราจึงเข้ากันได้ดีครับ

Q: คิดว่าอะไรเสน่ห์ลายมือหรือเอกลักษณ์ของพี่เอ็กซ์
X: มันน่าจะอยู่ที่ตัวละครของผมมักจะเป็นตัวละครที่ไม่สมบูรณ์ พี่จิกว่าเป็นตัวละครป่วย (หัวเราะ) มันเป็นการ์ตูนที่ไม่ค่อยสมประกอบผมชอบตรงนั้น ชอบความไม่สมดุล อย่างแขนเล็กขาเล็กต่างกัน ตาห่าง ถ้าดูจริงๆ นะคาแร็คเตอร์ที่ผมชอบออกแบบ ถ้าอยู่ในการ์ตูนเรื่องอื่นมันจะเป็นหมารองบ่อน แต่สำหรับของผม ผมทำให้มันเป็นพระเอก ทำให้มันพิเศษขึ้น โดยเฉพาะในเรื่องยักษ์มีตัวละครกุมภกรรณที่ถูกใจพี่จิกมาก เพราะเป็นตัวละครที่แขนใหญ่มากขาเล็ก ขาเสียเดินไม่ค่อยดี เป็นคนไม่ปกติ และอีกเรื่องหนึ่งคือผมเป็นคนชอบวางโครงสีของภาพรวมทั้งหมดครับ ผมจะวางโครงสีว่าในเรื่องนี้ ใช้สีไหนดี วางสีสันลงไปในแต่ละจุด จุดเด่นของผมอีกอย่างคือการวางโครงสีครับ

Q: เรื่องยักษ์นี้เรียกได้ว่าเป็นผลงานเปิดตัว “บ้านอิทธิฤทธิ์” อยากให้ช่วยเล่าหน่อยว่า กำเนิดบริษัทบ้านอิทธิฤทธิ์ เป็นมาอย่างไร
X: บ้านอิทธิฤทธิ์เกิดขึ้นมาได้เพราะพี่จิก ประภาส ครับ มันเริ่มจากพี่จิกอยากทำหนังแอนิเมชั่น ผมกับพี่จิกเคยคุยกันมาก่อนเพราะว่าแกชอบสไตล์อาร์ตกับแอนิเมชั่นของผม ก็เลยคุยกันว่าเราจะมาเปิดบริษัทกันที่ทำการ์ตูนกันดีไหม ตอนแรกชื่อบริษัท ชื่อว่า “ฤๅษี” จากนั้นก็คุยกันเรื่องยักษ์ ก็รู้สึกว่ามันเป็นอะไรไทยๆ มี หนุมาน มียักษ์ อีกอย่างผมรู้สึกว่าแอนิเมชั่นหรือสเปเชียลเอ็ฟเฟ็กต์ มันทำขึ้นมาเพื่อให้คนเชื่อจากสิ่งที่ไม่มีมาก่อน มันเหมือนเป็นเวทมนต์ เป็นอิทธิฤทธิ์ ก็เลยได้ชื่อว่า “บ้านอิทธิฤทธิ์” แรกๆ บ้านอิทธิฤทธิ์ยังไม่เป็นที่รู้จัก ลูกค้าก็แซวว่าขี่ม้ามาหรือป่าวเพราะเป็นบ้านอิทธิฤทธิ์ (หัวเราะ) ตอนนี้บ้านอิทธิฤทธิ์ก็เกิดได้ประมาณแปด เก้าปีแล้วครับ การทำงานหลักๆ ของบ้านอิทธิฤทธิ์คือทำหนังแอนิเมชั่นเรื่องยักษ์ครับ แต่ในช่วงที่ยักษ์กำลังมีการพัฒนาบทหรือพัฒนาคาแร็คเตอร์ ก็จะมีงานโฆษณา งานสเปเชียลเอ็ฟเฟ็กต์ติดต่อเข้ามา แต่บ้านอิทธิฤทธิ์จริงๆ สร้างขึ้นมาเพื่อสร้างภาพยนตร์แอนิเมชั่นโดยเฉพาะ และเรื่องแรกก็คือเรื่องยักษ์นี่แหละครับ

Q: ช่วยเล่าที่มาของเรื่องยักษ์สักนิด ทำไมถึงมาลงตัวที่เรื่องนี้ได้
X: ที่มาที่ไปของยักษ์มันมาจากหุ่นยนต์ที่พี่ออกแบบให้เวิร์คพอยท์นานมากแล้วถ้าจำได้จะเป็นตอนจบของรายการเป็นหุ่นยนต์ตัวหนึ่งที่เดินมาแล้วแปลงแขนเป็นอาวุธสงคราม มันเอากองขยะมาประกอบจนเขียนคำว่าเวิร์คพอยท์ ตอนจบปุ๊บ พอพี่จิกก็เห็นตัวนี้เขาก็พูดว่าเออมันน่ารักดีนะ เอ็กซ์อยากทำหนังหุ่นยนต์ไหม หุ่นยนต์สงครามอะไรที่มันสนุกเล่าไปมามันก็เป็นรามเกียรติ์ รามเกียรติ์ทำไงให้เป็นหุ่นยนต์หรือว่ารามเกียรติ์มันมีหลายภาคมีตั้งนับล้านภาค ญี่ปุ่นก็มี จีนก็มี เราก็รู้สึกว่ารามเกียรติ์มันมีตายเกิดตายเกิดเป็นล้านๆ ถ้าตายแล้วเกิดใหม่แล้วเป็นหุ่นยนต์ก็น่าจะดีนะและเราก็เลยเอาตรงนั้นมา และตัวที่หุ่นยนต์สังเกตว่าหุ่นยนต์หุ่นกระป๋องส่วนใหญ่ในเรื่องจะเป็นล้อเดียวเหมือนไตเติ้ลเวิร์คพอยท์ตอนจบตอนนั้นนะครับ ตัวหุ่นที่เป็นตัวนักสู้หรือตัวที่มันเป็นวรรณะสูงขึ้นมาเนี้ยจะเดินได้สองขา เราดีไซน์ก่อนหนังเรื่องโรบ็อท Robots (2005) อีกนะครับ แต่พอโรบ็อทออกมาปุ๊บเราก็ต้องเดินหน้าต่อ เพราะว่าเราทำไปแล้ว และเรามานั่งคุยกันว่าถ้าเกิดเป็นปลาทำสัตว์ใต้ทะเลก็เหมือนกับไฟดิ้ง นีโม (Finding Nemo -2003) ทำสัตว์ป่าก็เหมือนมาดากัสการ์(Madagascar -2005) ทำการ์ตูนสัตว์น่ารักก็เหมือน กังฟู แพนด้า ( Kung Fu Panda -2008) และเราทำหุ่นยนต์เนี้ยคนก็ว่าเหมือนโรบ็อท แต่จริงๆ เราทำขั้นตอน Pre – Production ไปปีหนึ่งแล้วครับ เราก็เลยเดินหน้าต่อเพราะว่ามันก็ไม่เหมือน เนื้อเรื่องเราก็ไม่ได้คล้ายกันเลยครับ

Q: ตอนแรกที่รู้ว่าพี่จิกอยากทำรามเกียรติ์รู้สึกยังไง แล้วส่วนตัวรู้สึกยังไงกับรามเกียรติ์
X: ผมรู้สึกว่าคงไม่ใช่ทศกัณฐ์ที่มีกล้ามน่ะ (หัวเราะ) เพราะว่าผมเคยทำภาพประกอบให้พี่จิก ผมรู้ว่าพี่จิกจะไม่ออกอะไรที่เป็นกล้ามๆ ดุดันเป็นคนจริง มันจะไม่ใช่สไตล์พี่จิก พอมาคุยว่าเป็นหุ่นกระป๋องสู้กับทศกัณฐ์ มันก็น่าจะสนุกขึ้น แต่ครั้งแรกพี่จิกพูดพี่ก็รู้แล้วว่าไม่น่าจะใช่รามเกียรติ์ที่ดุดัน ไม่ใช่เป็นกล้ามเนื้อไม่ใช่คน ผมรู้สึกว่าตื่นเต้นกับไอเดียนี้นะครับโดยเฉพาะกับตัวหนุมาน เพราะมีฤทธิ์มาก สามารถสำแดงเดชต่างๆ ยืดหางยาวพันภูเขาได้ผม รู้สึกว่าหนุมานมีเสน่ห์ ทศกัณฐ์ก็มีเสน่ห์ แต่ถ้าเกิดผมทำแอนิเมชั่นผมก็จะไม่ไปอิงกับเรื่องราวต้นฉบับมาก ผมคิดว่ามันจะไม่สนุกถ้าอิงเยอะๆ ชนิดถ้าเป็นทศกัณฐ์ก็ต้องเป็นตัวใหญ่มีกล้ามๆ อะไรอย่างนี้ แต่ผมจะรู้สึกตื่นเต้นไปกับเรื่องราวเสมอ ผมมองเห็นมันเป็นหนังเรื่องหนึ่งเลย
« Last Edit: October 08, 2012, 03:06:16 PM by FB »

FB on October 05, 2012, 04:04:42 PM
Q: ยากไหมกับการแปลงรามเกียรติ์มาเป็นแอนิเมชั่น
X: ยากครับ ยากเพราะว่ามันต้องมาอิงกับบทเดิม คาแร็คเตอร์เดิมบ้างนิดหน่อย แล้วบทที่เรามาเขียนใหม่เนี่ยเราสร้างมาจากศูนย์เลย เราต้องดีไซน์ฉากจะเป็นอย่างไร ยักษ์จะเป็นยังไง พี่จิกก็ถามเหมือนกันว่าเอ็กซ์เห็นฉากหินที่ลากไปเหลี่ยมหรือคมหรือกลม ผมก็ต้องบอกว่าต้องเป็นหินเหลี่ยมเพราะตอนที่เห็นมือยักษ์ที่ถูกลากไปกับหินเหลี่ยมเวลา หินมันจะคมจะบาดเหล็กด้วยมันจะดูสะเทือนใจขึ้น แล้วผมจะไปออกแบบให้พี่จิกเห็นด้วยว่าสภาพของหินผาที่พูดถึงมันเป็นยังไง รายละเอียดมากครับ (หัวเราะ)

Q: พอรู้โจทย์แล้วคิดไหมว่าจะเป็นงานที่ต้องใช้เวลาทำต่อเนื่องนานถึงหกปี
X: ปกติแอนิเมชั่นเรื่องหนึ่งจะใช้เวลาประมาณนี้อยู่แล้วครับ เพราะว่าหนังอย่าง Brave ของ Pixar ก็ใช้เวลาประมาณนี้ ห้าถึงจ็ดปี เพราะว่ามันเป็นแอนิเมชั่น ดูของฝรั่งส่วนใหญ่ก็เป็นอย่างนี้ครับ ผมไม่ได้ตกใจเลยนะเตรียมใจแล้วมากกว่า หนังแอนิเมชั่น 2D บางเรื่องใช้เวลานานถึงสิบปีก็มี แต่ผมไม่ได้กังวลนะเพราะว่ามันเป็นหุ่นยนต์ ทิศทางในการทำเรามีชัดเจนอยู่แล้ว หกปีนี้ก็จะมีช่วงที่ต้องพัฒนาเรื่องต่างๆ ควบคู่ไปด้วย ทั้งเรื่องเครื่องมืออุปกรณ์ ,แอนิเมเตอร์ที่จะรับมาทำก็ต้องมาทดลองงานกันก่อนว่าทำไว้ได้อย่างที่เราวางแผนไว้หรือไม่ และก็ทำบทด้วยทำควบคู่กันไป กว่าจะเรียนรู้ระบบที่ทำให้มันเร็วขึ้นหรือให้มันตอบโจทย์กับบทที่เขียนมาลงตัวก็ใช้เวลาประมาณสามปี ค่อยๆ พัฒนากันไป

Q: เรื่องราวของเรื่อง “ยักษ์” นั้นบอกเล่าถึงอะไรบ้าง
X: คุยกันเริ่มแรกเป็นเรื่องรามเกียรติ์ครับ แต่เราไม่ทำรามเกียรติ์ เราจะไปทำหุ่นยนต์ที่มีกลิ่นไอเป็นรามเกียรติ์ มันเป็นเรื่องราวของมิตรภาพหลังจากที่ทศกัณฑ์กับหนุมานสู้กัน ทั้งสองสู้กันในสงครามยิ่งใหญ่และก็เกิดระเบิดขึ้น จากรามที่ยิงศรลงมาเพื่อนฆ่าทศกัณฑ์ ทำให้ทุกอย่างหายเกลี้ยง ยกเว้นหนุมานกับทศกัณฐ์ พอเวลาผ่านไปทั้งสองตื่นขึ้นมาทั้งสองคนนี้จำไม่ได้เลยไม่รู้ว่าตัวเองเป็นใคร แต่ตอนที่สู้กัน โซ่ของหนุมานไปปักที่ทศกัณฑ์ และเนื้อเหล็กของทั้งสองนั้นเป็นเหล็กสงคราม เหล็กพิเศษที่ไม่สามารถที่จะตัดได้ ทำให้ทั้งสองต้องตัวติดกันโดยมีโซ่เชื่อมโยงไว้อยู่ไปไหนไม่ได้ต้องไปด้วยกัน ทั้งสองเลยออกเดินทางหาวิธีที่จะตัดโซ่แยกออกจากกันให้ได้ ในระหว่างนั้นก็เกิดความสัมพันธ์ที่เป็นเพื่อนขึ้นมา แต่ในระหว่างที่เดินไปเนี้ยหนุมานดันจำความได้ครับ ว่าตัวเองเป็นทหารเอกของรามและก็รู้หน้าที่ว่าต้องเอาทศกัณฐ์ไปฆ่าไปที่ลานประหารที่รามกำหนดไว้แล้ว เพื่อที่จะให้จบสงครามอันนี้ไป ซึ่งตรงนี้ก็ทำให้เกิดคำถามแล้วว่าจะเลือกอย่างไหนระหว่าง มิตรภาพหรือหน้าที่

Q: ช่วยเล่าขั้นตอนการทำงานของการสร้าง “ยักษ์”สักหน่อยว่ากว่าจะออกมาเสร็จสมบูรณ์จะต้องมีวิธีการสร้างอย่างไรบ้าง
X: ขั้นตอนการผลิตนี้ให้จินตนาการว่าแอนิเมชั่นทรีดีก็เหมือนหุ่นดินน้ำมันปั้นน่ะครับ และก็เริ่มสเก็ตดินสอก่อน จากนั้นก็เป็นการขึ้นโมเดล ต่อด้วยการใส่แกนกระดูก ซึ่งเรียกว่า Rigging ขั้นตอนนี้คือการทำให้แกนกระดูกลิงค์กับตัวโมเดล เพื่อให้โมเดลสามารถขยับได้ จากนั้นก็ลงสีที่โมเดลใส่รายละเอียดเสร็จทุกตัว เราก็เอาตัวนี้ไปวางในฉาก เพิ่มฝุ่น เพิ่มบรรยากาศเรียกว่าสเปเชียลเอ็ฟเฟ็กซ์ พูดง่ายๆ ว่ามันก็เหมือนหุ่นปั้น แต่ปั้นด้วยคอมพิวเตอร์ทุกอย่าง จากนั้นเราก็พากย์เสียงมา พอพากย์เสียงมาปุ๊บเราก็ให้แอนิเมเตอร์มา ขยับปากตัวละครตามเสียงคนพากย์และเราก็เอาหุ่นตัวนี้ไปเล่นในฉาก ซึ่งขั้นตอนการพากย์นี้ เราถ่ายวีดีโอนักแสดงที่มาพากย์ไว้เพื่อให้แอนิเมเตอร์ได้ดูอารมณ์ของตัวละครเป็นไกด์ไว้ให้ก่อน ดูอารมณ์เสร็จมันเป็นหน้าที่ของแอนิเมเตอร์ที่จะนำมาทำให้เกิดการเคลื่อนไหว อย่างเช่น เราจะมีภาพของพี่หนุ่มสันติสุข ที่พี่จิกบอกว่าไหนลองเล่นเป็นทศกัณฐ์ที่น่ากลัวซิ สายตาของพี่หนุ่มจะเปลี่ยนไปเลย พอพี่หนุ่มลองกลับมาเป็นทศกัณฑ์แบบเอ๋อๆ ที่ลืมว่าตัวเองเป็นใครความจะเสื่อม การเล่นของพี่หนุ่มก็จะกลายเป็นคนเอ๋อๆ เราก็จะบันทึกการแสดงของผู้พากย์ให้แอนิเมเตอร์ดูเป็นต้นแบบครับ แต่สุดท้ายแอนิเมเตอร์กำหนดคาแร็คตอร์เองครับว่าจะให้ตัวละครแต่ละตัวมีบุคลิกเป็นอย่างไร ก็เป็นเสน่ห์อย่างหนึ่งของแอนิเมชั่นครับ เพราะหน้าที่ของผู้กำกับ ผมกับพี่จิกจะมาคอยดูว่าการเคลื่อนไหวมันควรจะเป็นอย่างไรเช่น เวลาเอ๋อมันควรจะยกมือแบบนี้หรือเปล่า มันควรจะหลังงุ้มไหม เป็นหน้าที่ของการกำกับอีกทีหนึ่ง

Q: จุดเด่นอีกอย่างหนึ่งของเรื่องนี้คือการได้นักแสดงมืออาชีพมาเป็นต้นแบบตัวละครต่างๆ ช่วยเล่าถึงการทำงานขั้นตอนนี้สักนิด
X: ในเรื่องนี้ผมกับพี่จิกจะทำงานกันแบบประสานงานกันตลอดกันครับโดยผมเป็นคนออกแบบคาแร็คเตอร์มาก่อน ส่วนพี่จิกจะหานักแสดงมาให้เข้ากับตัวละคร จากนั้นก็จะมาปรับให้สมบูรณ์ขึ้นเพิ่มเติมจุดเด่นของดาราแต่ละคนมาใส่ต่อ อย่างเช่นตัวหนุมาน ผมออกแบบเป็นหุ่นกระป๋องก่อนเพื่อที่จะให้พี่จิกดู พอเราได้เสนาหอยมาปุ๊บ ก็รู้สึกเอ๊ะมันใกล้เคียงกับเสนาหอยมาก แต่รู้สึกขาดอะไรบางอย่างไป ก็เลยออกแบบเพิ่มเติม เราจะเห็นว่าเสาไฟบนหัวของหนุมานจะหักๆ เหมือนทรงผมของพี่หอยเลย อย่างพี่เหมี่ยวที่เป็นนกสดายุพี่ก็จะออกแบบง่ายที่สุดเลย ออกแบบมาใกล้ๆ กับพี่เหมี่ยวคือผิวดำนิดๆ (หัวเราะ) ผมก็เป็นทรงม้าก็คือตรงกับพี่เหมี่ยวพอไปให้พี่จิกดูตรงใจพอดี
แต่ตัวที่ออกแบบยากที่สุดในเรื่องนี้ก็คือหนุมานนั่นเอง เพราะหนุมานตอนที่เราออกแบบมาครั้งแรกนี้ยไม่มีความเป็นฮีโร่ ผมก็เลยเอาแบบหัวโขนหนุมาน ลองมาใส่ดูและปรับหน้าให้ดูหักหน้าดูคมขึ้น บวกกับผมหยิกๆ ของ เสนาหอย ทำให้หนุมานแตกต่างจากหุ่นยนต์ตัวอื่น มีความเป็นฮีโร่เพิ่มขึ้น ส่วนตัวเขียวก็ออกแบบไม่ยากเท่าไร เพราะว่าราชายักษ์ตัวต้องใหญ่ ผมออกแบบขาเขาเล็กเพื่อที่จะให้เขาดูตัวใหญ่ขึ้น เวลาเขาเงยหน้าขึ้นมา เขาดูเป็นราชายักษ์ แต่พอก้มมาปุ๊บเขาก็เหมือนคนอ้วนๆ น่ารักๆ ได้

Q: คาแร็คเตอร์ของเรื่องยักษ์เป็นอย่างไรบ้างและแต่ละตัวมีวิธีการออกแบบมาอย่างไร
X: ตัวทศกัณฑ์เขาเป็นจอมราชายักษ์มาก่อน หลังจากนั้นเกิดความจำเสื่อมก็จะกลายเป็นเอ๋อๆ ตัวละครนี้ผมออกแบบให้ช่วงบนใหญ่ และขาเล็ก เวลาเขาเป็นทศกัณฑ์ก็จะดูผงาด ดูยิ่งใหญ่ แต่เป็นน้าเขียวก็จะแสดงออกแบบหลังค่อม หงอๆ งอตัว ดังนั้นมันก็จะเป็นทั้งตัวเอ๋อได้ด้วย ตัวน่ากลัวก็ได้ ผมออกแบบยักษ์รวมๆ มาจากหลายอย่างครับ หน้าท้องจะออกแบบมาจากท้องแมลงครับ เป็นปล้องๆ ข้อดีคือ มันสามารถงอแล้วโมเดลไม่ทับกัน
หนุมานออกแบบยากสุด แก้หลายรอบ ตอนแรกออกแบบมาแล้วมันไม่มีความเป็นฮีโร่ เรากำลังคิดว่าจะทำยังไงต่อดี พอดีว่าพี่จิกก็เอาเสียงพากย์ของเสนาหอยมา ปุ๊บลงตัวเลย เลยเอาทรงผมที่เสนาหอยที่เป็นทรงเดดร็อคมาทำให้แตกต่างจากหุ่นยนต์ตัวอื่น เพราะว่าหุ่นยนต์พวกนี้ทั้งโลกจะถูกบังคับด้วยรามและก็มันจะมีเสาเดียว หนุมานจะแปลกกว่าคนอื่นคือมีสามเขาหักลงมาข้างหนึ่ง ส่วนคิ้วตอนแรกไม่ใช่เป็นคิ้วตัดปกติแต่ดูแล้วไม่เป็นฮีโร่เลย ผมเลยลองหยิบลายจากหัวโขนหนุมานมาลองดัดแปลงดู เป็นกึ่งๆ ลายไทยนิดๆ เหมือนเป็นเหล็กที่โดนตัดออกมาเป็นลายไทย เออมันได้แฮะ เพราะมีความเป็นฮีโร่ เวลาโกรธหรือเวลาสู้จริงๆ เวลาที่ต้องแสดงอารมณ์จริงๆ มีคิ้วทีมันหักๆ อย่างนี้มันจะเพิ่มอารมณ์ให้ได้มากกว่า คิ้วตัวนี้ออกแบบยากสุดครับ
น้องสนิมตัวนี้ออกแบบเป็นตัวการ์ตูนที่น่ารัก แต่ไม่มีเพื่อนและก็ขี้แพ้นิดๆ ครับ ออกแบบหลายรอบเหมือนกัน
ตอนแรกไม่มีปานที่หน้า แต่พอไม่มีมันดูเป็นปกติเกินไป เลยเพิ่มปานขึ้นมา เพราะสนิมมันกินตัวเองนิดหน่อย มีขี้มูกนิดๆ เป็นคราบเพราะว่าชอบจาม ตัวสนิมออกแบบยากเหมือนกัน เพราะว่าหุ่นยนต์ที่เป็นผู้หญิงด้วยน่ารักด้วยทำยาก ก็เลยมากำหนดด้วยตา ด้วยโครง ด้วยสีให้มันสีเบาลงมานิดนึงเป็นชมพูส้ม ถ้าชมพูเกินไปก็หวานไปจะดูไม่สู้ชีวิตก็เลยใส่สีส้มให้หมดเลย สนิมเป็นเด็กที่จามแล้วอะไรที่เป็นเหล็กโดนจามใส่จะเป็นสนิมทันที แต่ถ้าจามโดนเหล็กสงครามอย่างยักษ์จะไม่เป็นสนิมซึ่งก็มีส่วนสำคัญกับเรื่องด้วยต้องไปลองดูครับ
กุมภกรรณ เป็นหุ่นยนต์ยักษ์ หุ่นตัวนี้ทำอาชีพปาหี่ขายของ ที่แขนมันจะมีวิทยุคาสเซ็ทเทปอยู่ครับ ไม่รู้ว่าเด็กสมัยนี้เห็นหรือเปล่า บ่งบอกให้รู้ว่ามันเป็นของเก่า มันจะใส่เทปและก็ฟังเพลงของมันตลอดเหมือนคนไม่ปกติ ชอบสะสมอาวุธ เป็นคนศรัทธาทศกัณฐ์มาก ถึงขั้นสักรูปทศกัณฐ์ที่หน้าอก เหมือนเราชื่นชมใครเราก็สักยันต์เลย แต่รอยสักของโลกหุ่นยนต์ จะไม่เหมือนกับของคนสักของหุ่นจะเอาเหล็กมาแล้วก็ยิงตะปูติด ตัวกุมภกรรณข้างหลังจะสักยันต์เก้ายอดด้วยเป็นลายเลขเก้าเหมือนคนที่สักยันต์ทั้งตัว ผมตั้งใจใส่กลิ่นอายความเป็นไทยลงไปด้วย แต่ที่ไม่ทำรอยสักลงไปในเหล็กเลยเพราะมันจะดูน่ากลัวไป กุมภกรรณออกแบบง่ายหน่อย เพราะออกแบบไม่ได้อิงดารา ผมกับพี่จิกมีความคิดตรงกันว่าคาเร็คเตอร์กุมภกรรณต้องเป็นคนไม่อยู่กับร่องกับรอย พูดแล้วน้ำลายจะไหล พี่ก็เลยออกแบบให้น็อตที่กรามปากมันหลุดอันหนึ่ง มันจะหลุดแล้วมันก็ดูดน้ำลายมันขึ้นมา แขนขามันก็ไม่เท่ากัน ใหญ่ข้างเล็กข้างข้าง แต่ออกมามันก็น่ารักดีนะ (หัวเราะ)
นกสดายุ เราออกแบบไว้แต่แรกว่าตัวนกสดายุต้องเป็นนกดำ และหาคนพากย์ผิวสีคล้ำที่เป็นสีดำเพราะวางโครงสร้างสีทั้งหมดไว้ มีครบทุกสีแล้ว ทศกัณฑ์สีเขียว หนุมานสีม่วง กุมภกรรณสีแดงน้องสนิมเป็นสีส้มชมพู ขาดอีกสีเลยใช้สีดำ และพอได้พี่เหมี่ยว (ปวันรัตน์ นาคสุริยะ) มาตรงเป๊ะพอดี ผมเลยออกแบบทรงผมเป็นหน้าม้านิดๆ ผมว่าออกแบบอันนี้ง่ายสุดแล้ว นกสดายุ ตัวนี้เป็นหุ่นยนต์ที่เหลือมาจากสงครามครั้งก่อนยังไม่ตายกลับถูกขายต่อๆ มาอยู่ที่ยุคนี้ เป็นอาวุธสงครามของรักของหวงที่กุมภกรรณสะสมไว้ มีลักษณะพิเศษอย่างหนึ่งก็คือจะเป็นหุ่นมีใบพัดบินได้ แต่ต้องไขลาน ไขลานปุ๊บก็จะขยับได้ บินได้ ถ้าเกิดลานหมดก็จะเกิดอะไรบางอย่างขึ้นซึ้งเมื่อเวลามันถูกจำกัดด้วยการไขลาน ก็ช่วยให้หนังตื่นเต้นขึ้น ซึ่งจุดรายละเอียดต่างๆ ในเรื่องนี้ออกแบบเพื่อรองรับเนื้อเรื่องไว้ตั้งแต่แรกครับ
ก๊อก ตัวนี้ออกแบบไม่ยากมากครับเพราะว่าคาแร็คเตอร์ชัดเจนว่าต้องเป็นพ่อค้าที่ขายของเก่ง พูดมาก มีเล่ห์เหลี่ยม การออกแบบของผมจะเน้นไปที่ดวงตาโตๆ ลึกๆ แขนขาเล็กๆ ลีบๆ ดูเป็นคนขายของ และพอได้คุณแจ๊ป เดอะ
ริชแมนทอย เข้ามาพากย์เสียงผมก็ใช้ลักษณะโครงหน้าของเขาเข้าไปรวมด้วย หัวของตัวนี้จะแปลกจากตัวอื่นตรงที่มีหัวที่เรียวยาวยื่นไปด้านหลัง ให้มีจุดเด่นและที่พิเศษกว่าตัวละครอื่นก็คือ ตัวนี้จะเป็นหุ่นตัวเดียวที่มีไฝ เพราะผมเอามาจากโหวงเฮ้งของคนที่พูดเก่ง ก็เลยเติมไฝไปแถวๆ ปาก และเจ้าก๊อกก็จะชอบเปลี่ยนอะไหล่ไฝของเขาชอบเอาตัวหุ่นแมลงมาติดเป็นไฝ แสดงให้เห็นว่าเขาเป็นคนขี้งกครับ
นักไต่เขา ตัวนี้เป็นตัวละครพิเศษครับ ตัวนี้ เราได้พี่โน้ส อุดม แต้พานิช มาพากย์ ตอนแรกผมออกแบบมาก่อน โดยมีไกด์มาก่อนว่าอยากได้แบบไหน และพอเอามาลองเทียบแล้วยิ่งเหมือนคุณโน้สเลย ต้องลองไปติดตามดูครับว่าเหมือนยังไง

Q: ความยากง่ายของการออกแบบคาแร็คเตอร์
X: ตอนแรกพี่ออกแบบหนุมานตัวเล็กเกินไป ยักษ์ตัวใหญ่มาก เพราะผมเข้าใจว่ายักษ์มันต้องตัวใหญ่ ตอนนี้มันวางกล้องไม่ได้เพราะพอไปจับหนุมานปุ๊บไม่เห็นยักษ์เลย เพราะว่าผมดีไซน์หนุมานไม่ถึงหัวเข่า มันเลยโต้ตอบกันไม่ได้กล้องมันต้องผ่านหลังยักษ์อย่างเดียวเพื่อมาหนุมาน ผมต้องเลยขยายขึ้นมาให้มันใกล้ๆ กันหน่อย อันนี้มันเลยกลายเป็นข้อปัญหาจากที่เราไม่รู้มาก่อน คาแร็คเตอร์หาเสียงยากสุดคือยักษ์ เพราะว่ายักษ์ต้องมีทั้งความน่ากลัว เสียงต้องใหญ่ แต่พอติงต๊องก็ต้องเสียงน่าสงสารด้วย หามาหลายคนมากจนในที่สุดมาเจอพี่หนุ่ม พอพากย์เสร็จพี่จิกเรียกเข้ามาดู พี่จิกว่าใช่พี่ก็ว่าใช่ ทำให้ใส่การเคลื่อนไหวได้ง่ายขึ้น ช่วงแรกเสียงยังไม่ลงตัว แอนิเมเตอร์ก็ทำการเคลื่อนไหวไม่ได้ เพราะอารมณ์มันไม่ได้ จังหวะการพูดถ้าช้าหรือเร็วกว่านี้จะทำยาก เพราะว่าถ้าเกิดช้ากว่านี้ปุ๊บ แอนิเมเตอร์เขาเรียกว่ามันจะย้วย ภาพมันจะช้า ดังนั้นจังหวะการพูดการให้อารมณ์ของดารานี่สำคัญกับแอนิเมเตอร์เหมือนกัน เพราะว่าเราทำงานตามเสียงพากย์ครับ

FB on October 05, 2012, 04:05:34 PM
Q: แสดงว่าเสียงพากย์มีความสำคัญมากกับเรื่องนี้
X: มีความสำคัญมากครับ ตอนที่ทำก็แอนิเมเตอร์ก็จะเริ่มเข้าใจล่ะ ตอนทำซีนแรกๆ จะยาก พอซีนหลังๆ แอนิเมเตอร์จะเริ่มอินกับความสัมพันธ์ของตัวละครจริงๆ เพราะว่าตอนพากย์พี่จิกให้ดารามาพากย์ด้วยกันเลย โต้ตอบกันจริงๆ แล้วพอมันออกมาปุ๊บแอนิเมเตอร์เริ่มจะเข้าใจในความสัมพันธ์ ว่าเขาโกรธกันจริงๆ เขางอนกันจริงๆ จะทำแอนิเมชั่นได้ดีขึ้นเรื่อยๆ

Q: นอกจากตัวละครหลักแล้ว ยังมีตัวละครอื่นอีกไหม
X: จริงๆ แล้วคาแร็คเตอร์ทั้งหมดไม่ได้มีแค่ห้าตัวนะครับ มีอีกเป็นพันตัวเลย มีทั้งที่เป็นหุ่นยนต์ที่เหลือจากสงครามหุ่นที่น่ารักๆ เป็นชาวเมืองต่างๆ ก็มี ผมจะดีไซน์มาแยกออกมาอีกที หุ่นประชาชนทั่วไปในเรื่องมักจะมีล้อเดียว สองล้อก็จะมีฐานะขึ้นมาหน่อยสามารถจะซื้ออะไหล่มา ถ้าตัวไหนดีมากๆ มีเงินเยอะก็สามารถเปลี่ยนเป็นสองขาได้ แต่สองขาไม่ใหญ่ ในเรื่องจะมีฉากที่เล่าว่ามีการขุดเจอราชายักษ์และเอามาขายชาวเมืองก็ตื่นเต้นกันใหญ่เพราะว่าเหล็กดีมาก แต่ทุกตัวที่มาก็อยากจะเอาอะไหล่มาเปลี่ยนให้ตัวเองครับเราก็ต้องดีไซน์มาเยอะ และเวลาที่ตัวละครเดินทางไปแต่ละเมืองเราก็จะเห็นดีไซน์ของหุ่นที่ไม่เหมือนกัน เมืองแต่ละเมืองก็จะมีสัญลักษณ์บาอย่างง เช่นเมืองที่เป็นเชียงกง เมืองนี้ก็จะเป็นเมืองที่เป็นสนิมๆ ไม่ค่อยสมบูรณ์ และก็พอเข้าไปโรงไฟฟ้าก็จะเป็นอีกเมืองหนึ่งก็จะเป็นอีกสีหนึ่ง ตรงนี้ก็จะใช้เวลานานอยู่ มีออกแบบไว้ ประมาณเกือบพันตัว ครับ ก็มีเอามาใช้สลับๆ กัน

Q: อีกหนึ่งความน่าสนใจของเรื่องนี้ที่ไม่แพ้ตัวละครเลยก็คือฉาก และบรรยากาศในเรื่อง ในโลกหุ่นยนต์ของเรื่อง “ยักษ์” นี้มีฉากไหนเป็นฉากเด่นน่าสนใจบ้าง
X: ในเรื่องนี้มีฉากเยอะครับ ฉากที่ใช้เวลาทำนานที่สุดจะเป็นฉากมหาสงครามครับ ที่ใช้เวลานานเพราะว่ามันเป็นฉากแรกและเราเริ่มลองทดลองการทำครั้งแรก ใช้เวลาประมาณครึ่งปีสำหรับฉากแค่สี่นาทีนะครับ ในฉากนี้เราจะเห็นหุ่นยนต์เยอะมาก มีการสร้างพวกสเปเชียลเอ็ฟเฟ็กต์มากมายเพราะเป็นฉากโชว์ด้วย เรนเดอร์นาน เพราะว่ามันจะมีทั้งหินแตก ทั้งฝุ่น แสง ฉากนี้เราสร้างเพราะว่าต้องการให้เห็นความโหดร้ายของสงครามก่อนที่จะให้เห็นว่าสงครามมันไม่ดียังไงนะครับ เราก็เลยดีไซน์มาให้มันมีสีสันความเป็นสีส้ม สีแดง สีอะไรที่มันเป็นสงครามและก็มีการสูญสิ้นทั้งหมดเพราะว่าสงคราม และหลังจากนั้นมาหากันว่าเรามาหยุดสงครามกันยังไงในอนาคตในเรื่องครับ
ฉากต่อไปคือฉากเชียงกง เป็นตลาดที่ใช้ขายอะไหล่ให้หุ่นยนต์ตัวอื่นได้มาซื้อเปลี่ยน ฉากนี้ผมได้ไอเดียมาจากตลาดจริงๆ จากตลาดเซียงกงที่ขายพวกอะไหล่รถยนต์ เครื่องยนต์ต่างๆ ในบ้านเรา โดยผมออกแบบเริ่มจากท้องฟ้า สีของบรรยากาศ จะให้ความรู้สึกตอนเช้าๆ ที่เรากำลังจะไปตักบาตร พื้นดินด้านใต้เซียงกงนั้นจะ เต็มไปด้วยเศษเหล็ก หลังจากที่เกิดการระเบิดจากสงครามครั้งใหญ่ดินก็จะทับถมพวกซากต่างๆ ไว้ ทำให้มีอาชีพขุดของเก่าขาย ตอนเราสร้างฉากนี้ เราก็ต้องสร้างดินหรือหินคลุมเหล็กอยู่ข้างล่าง มันก็จะสร้างยากนิดนึงเพราะว่าในดินเราจะซ่อนเหล็กไว้ด้วย เวลาลากหุ่นยักษ์ขึ้นมาจากดินก็ต้องมีเศษเหล็กติดขึ้นมาทำให้เกิดความซับซ้อนในการสร้าง และเนื่องจากการเป็นตลาดก็ต้องมีตัวละครเยอะ ฉากนี้จะมีตัวละครสมทบเยอะมากเลยครับ
ต่อไปเป็นฉากที่เรียกว่าฉากยักษ์ตื่นครับ ในเรื่องฉากนี้พอราชายักษ์ตื่นขึ้นหลังจากที่หลับมานานมันก็จะเกิดความสับสน อลหม่าน เพราะมันทำลายเมืองแบบไม่ตั้งใจ ชาวเมืองก็เลยโกรธและออกไล่ล่า เป็นฉากที่สนุกสนานและ น่ารักครับเพราะตัวยักษ์จะดูเอ๋อๆ ฉากนี้ก็สร้างกันนานครับ เพราะเราเริ่มสร้างจากทุกอย่างเป็นศูนย์ มีทั้งตึกรามบ้านช่องมากมาย และตัวละครชาวเมืองเยอะไปหมด ที่ต้องใช้เวลาเพราะต้องใส่การเคลื่อนไหวให้ตัวละครทุกตัว ให้มันวิ่งตามๆ กัน มีการแสดงอารมณ์ที่สีหน้าไปด้วย และฉากนี้มันมีการเคลื่อนไหวฉากหลังมันก็เลยต้องเปลี่ยนไป เลยจะยากกว่าฉากที่อยู่นิ่งๆ แล้วตัดฉากไป
ฉากปาหี่ของกุมภกรรณ ฉากนี้เป็นฉากเปิดตัวของกุมภกรรณกับน้องสนิม เป็นการเล่าเรื่องแบบละครเวทีมิวสิคคัลฉากนี้ใช้เวลาทำนานเหมือนกัน เพราะมีหุ่นยนต์ที่ใช้หลายร้อยตัวมาดูการแสดงปาหี่ การจัดแสงต่างๆ ได้ไอเดียมาจากงานคอนเสิร์ตครับ แต่ฉากนี้ใช้เวลาจัดแสง จัดไฟ ค่อนข้างยากเพราว่ากุมภกรรณเป็นสีแดง แต่แสงเป็นสีเขียวและมันเป็นสีที่ตัดกัน ใช้เวลาจัดนานกว่าจะลงตัวสวยงาม ต้องใส่ใจเรื่องการจับคู่สีกับอารมณ์ของภาพ บางภาพเราจัดไปปุ๊บมันมืดไปเด็กไม่น่าจะชอบเราก็จะเพิ่มไฟให้สว่างขึ้นมาอีก ส่วนเรื่องการใส่การเคลื่อนไหวของฉากนี้ต้องดูเสียงเพลงประกอบด้วยครับเพราะเป็นฉากมิวสิคคัลเลยต้องทำให้เข้ากับเพลง ยากตรงที่เราต้องทำให้หุ่นเหล็กให้ดูเป็นทั้งการ์ตูนด้วยเป็นทั้งเหมือนจริงด้วย แต่การที่มีเพลงเข้ามานั้นเป็นผลดีเลยครับ ถ้าเกิดมันมีเพลงเข้ามาอยู่ในฉากนั้นมันจะทำให้
แอนิเมเตอร์รู้อารมณ์ของเรื่อง และก็การเคลื่อนไหวของปากที่ถูกเพลงกำหนดไว้ได้ง่ายขึ้น มันจะง่ายขึ้นจากการพากย์ธรรมดา แต่มันยากตรงที่ว่าถ้ามันถูกเพลงกำหนดไว้แล้วการเคลื่อนไหวมันจะเร็วหรือช้าเนี้ย แอนิเมเตอร์จะต้องเรียนรู้กันเองด้วย และผมจะไปช่วยดูอีกทีหนึ่ง
ฉากฟาร์มแม่เหล็ก ฉากนี้ใช้การออกแบบง่ายๆ ครับ ถ้าพูดถึงฟาร์มแล้ว ในความคิดแรกของหลายคนมันต้องเป็นฉากใหญ่ ตอนแรกฟาร์มแม่เหล็กที่เราจินตนาการมันต้องมีเครื่องปั่นไฟฟ้าเยอะมาก แต่ทีนี้ผมลองมาเปลี่ยนการออกแบบให้มันน้อยลง ผมก็เลยใช้เป็นแม่เหล็กเกือกม้าครับ เป็นแม่เหล็กอันใหญ่ๆ อันเดียวเลยก็สื่อความหมายได้แล้ว แม่เหล็กนี้ไว้ใช้เปลี่ยนเหล็กให้กลายเป็นแม่เหล็ก และใช้ผลิตกระแสไฟไฟฟ้าให้กับเมืองหุ่นยนต์ เมื่อหุ่นยนต์ที่เข้าใกล้แม่เหล็กก็จะถูกดูดเข้าไป ฉากนี้เป็นฉากที่น่าตื่นเต้นน่ารอชมอีกฉาก
ฉากตัดโซ่ ในเรื่องนี้จะเห็นสถานการณ์ที่เผือกและเขียวพยายามจะตัดโซ่ออกจากกันหลายครั้งคนดูจะได้สนุกไปกับสถานการณ์หลากหลายที่ทำให้ตัวละครทั้งสองเป็นฮีโร่เพราะได้ช่วยเหลือคนอื่นแบบไม่ได้ตั้งใจ และสร้างความสัมพันธ์ของทั้งคู่ไปตลอดการเดินทาง แต่เบื้องหลังการสร้างนั้นยากเหมือนกันครับเพราะมันเปลี่ยนฉากเยอะ ฉากไหนที่มันเกิดการเปลี่ยนฉากเร็วมันจะส่งผลทั้งการขึ้นโมเดลของเมือง ฉากนี้มีประมาณหกถึงเจ็ดฉากมันเลยต้องเปลี่ยนเร็ว ใช้เวลาในหนึ่งฉากแค่ไม่ถึงหนึ่งนาที แต่ใช้แรงในการทำงานในการสร้างฉากเยอะ ฉากหนึ่งใช้เวลาเฉลี่ยแล้วประมาณ 4-6เดือน บางฉากก็ปีหนึ่งก็มีครับ

Q: คิดว่าเสน่ห์ของเรื่องนี้อยู่ที่ไหน และอะไรที่ทำให้เรื่องนี้มีความน่าใจกว่าหนังแอนิเมชั่นทั่วไป
X: เสน่ห์ของเรื่องนี้ที่ไม่เหมือนใครน่าจะอยู่ที่บท เป็นสิ่งแรกที่ผมอยากทำเลย ทางทีมงานของเราชอบบทก่อนเลยมันเลยทำงานกันแบบรู้ทิศทาง และบทที่พี่จิกเขียน มันแข็งแรงพอที่จะมาทำการ์ตูน แล้วเราก็มาช่วยกันทำให้มันออกมาสมบูรณ์มากขึ้น แล้วคาแร็คเตอร์ที่ผมนำไปให้พี่จิกดูมันเข้ากันได้พอดี มันรองรับกัน ผมเลยรู้สึกว่าอาร์ตไดเร็คชั่นมันตรงกับบท เราก็เลยเริ่มมาสร้างดีไซน์สร้างโมเดล เราก็ใช้อาร์ตไดเร็คชั่นพวกความเป็นไทย พวกบรรยากาศท้องฟ้าอารมณ์ของการใส่บาตรตอนเช้าผมเอาอันนี้ใส่ไปด้วย อาจจะไม่มีลายไทยจ๋านะ เราใส่ความเป็นไทยอย่าง เช่น รอยสักยันต์ของหุ่นยนต์แต่ละตัว บางตัวถ้าสังเกตให้ดีมีเสือเผ่นด้วย ตัวเสือเผ่นนี้พี่จิกมาพากย์ด้วย (หัวเราะ)
เรื่องแสงสีเราก็ศึกษาเอาความเป็นสากลกับความเป็นไทยมาผสมกัน โปรเจ็คนี้มันเปิดโอกาสให้ผมทำอะไรที่มันไม่ปกติ มันไม่ปกติคือมันไม่ใช่การ์ตูนตาใส มันไม่ใช่การ์ตูนที่มันดิสนีย์ทั่วไปอ่ะ หรือที่เราเคยเห็นว่าการ์ตูนมันต้องน่ารัก จริงๆ การ์ตูนเราก็น่ารัก แต่เป็นแบบไม่ปกติแบบป่วยๆ นิด (หัวเราะ) ไอ้ตัวที่มันไม่น่าเป็นพระเอกมันเป็นพระเอกได้
นอกจากนี้พี่ว่าองค์ประกอบภาพของเรื่องนี้มันจะเปิด Space (พื้นที่) ให้คนดูหายใจได้ อย่างฉากที่ตัวละครหลักมันเดินแล้วมีโซ่ติดกันอยู่จะเห็นพื้นที่เป็นท้องฟ้ากว้างๆ หรือ ฉากหลังเป็นทะเลทราย ผมจะออกแบบวางองค์ประกอบกึ่งๆ สไตล์ญี่ปุ่นบวกกับทางอเมริกานิดๆ แต่ก็ไม่ได้ไปด้านไหนด้านหนึ่งเป็นกลิ่นอายมามากกว่า
และผมว่า เรื่องนี้มันไม่ใช่การ์ตูนนะ มันเป็นหนัง เหมือนอย่างหนังคนแสดงนี่แหละ ผมเคยคุยกับพี่จิกนะว่าการ์ตูนเรื่องนี้มันเป็นการ์ตูนคน มันเป็นการ์ตูนคนแสดง เราจะทำการเคลื่อนไหวอิงจากคนจริงๆ ครับ หมายถึงการเคลื่อนไหวมันจะเป็นตามจริง เช่น ยักษ์วิ่ง-เดินก็เดินหนักๆ ช้าๆ จริงๆ ยักษ์เศร้าก็เศร้าจริงๆ มันจะเป็นงานที่ไม่ใช่การ์ตูนที่เด็กมาก เราจะไม่ให้การเคลื่อนไหวดูเป็นการ์ตูนเกินไป แต่ถ้าอันไหนเป็นฉากสนุกๆ เราจะทำการเป็นเคลื่อนไหวเป็นแบบการ์ตูนไว้บ้างเช่นฉากร้องเพลง แต่อะไรที่แสดงอารมณ์เยอะๆ จะให้ผมจะให้แอนิเมเตอร์อิงจากจากการเคลื่อนไหวของคนพากย์ให้ใกล้เคียงที่สุดครับ ถึงจะเป็นหุ่นแต่เราต้องทำคนเชื่อก่อนว่าตัวนี้มันไม่ใช่แค่แอนิเมชั่นนะ มันเป็นหุ่นที่มีชีวิตจริงๆ มีการเคลื่อนไหวแบบคนจริงๆ มีอารมณ์มีความรู้สึกต่างๆ มีโกรธกัน มีงอนกัน มีสู้กัน มีความเจ็บปวด เป็นหนังที่จะเล่าถึงความรู้สึกของเพื่อนเน้นความสัมพันธ์ อารมณ์สูงมาก

Q: บ้านอิทธิฤทธ์ มีทีมงานกี่คน และคนทำงานยังไงบ้าง
X: บ้านอิทธิฤทธิ์ก็มีทีมงานประมาณสามสิบกว่าคนนิดๆ และรวมแม่บ้านแล้วด้วย (หัวเราะ) งานหลักของเราคือเราทำภาพยนตร์แอนิเมชั่นครับ และโปรเจ็คแรกก็เรื่องยักษ์ครับ แต่ตอนนี้เรากำลังร่างโปรเจ็คใหม่อยู่ ซึ่งระหว่างเรากำลังพัฒนาบทของหนังแอนิเมชั่น เราก็จะรับทำงานโฆษณาที่เป็น CG บ้าง เพื่อหาเงินมาจะทำความฝันของพวกเรา (หัวเราะ) เราอยากทำหนังใหญ่ เราก็ต้องเอารายได้จากหลายๆ ทางมาทำให้โปรเจ็คที่สองของเราเกิดขึ้นด้วยตอนนี้ ทีมงานของเราราเรียกว่าน้อยมากถ้าเทียบกับเมืองนอกครับ แต่ศักยภาพของบ้านอิทธิฤทธิ์ไม้แพ้กันเพราะเราทำงานแบบสับเปลี่ยนได้ ผมรู้ว่าทีมงานคนไหนมีศักยภาพด้านไหนบ้าง สมมุติว่าคนนี้สร้างโมเดลเสร็จปุ๊บ คนนี้ผมรู้ว่าสามารถจะใส่ลิงค์กระดูกให้แอนิเมเตอร์ได้ ก็จะสับเปลี่ยนเขามาช่วยทำงานตรงนี้ต่อ และเอาคนอื่นมาสลับงานแทนกันได้ สามสิบคนนี้สามารถจะทำหนังใหญ่ได้เรื่องหนึ่ง ผลงานเราไม่แพ้ต่างชาตินะ แต่คนเราน้อยกว่า แต่เราใช้ความสามารถทางศิลปะช่วยด้วย ซึ่งผมว่ามันทำได้นะโดยที่คนไม่ต้องเยอะ

Q: หนังจากหนังแอนิเมชั่นเรื่องนี้ได้ออกฉาย มีเตรียมผลงานถัดไป บ้างแล้วรึยัง
X: ตอนนี้เราก็กำลังทำผลงานเรื่องที่สองอยู่ครับ กำลังอยู่ในขั้นตอนออกแบบคาแร็คเตอร์กันอยู่ หลังจากที่เราทำยักษ์เราก็จะเรียนรู้ประสบการณ์มาพัฒนากับหนังเรื่องต่อไปครับ แอนิเมชั่นที่กำลังจะทำขึ้นก็เป็นบทจากพี่จิก ประภาส เช่นเดิมครับ แต่เราจะทำด้วยเทคโนโลยีสูงขึ้น อะไรที่เคยทำไม่ได้เมื่อ หกปีที่แล้วตอนนี้เราก็ทำได้แล้ว ทั้งเรื่องเทคโนโลยีและก็บุคลากรก็จะมีพัฒนาขึ้นด้วย เพราะเราก็มีประสบการณ์กันมาแล้วครับ

Q: เรื่องยักษ์นี่ ขึ้นชื่อกันมากว่าได้ทำงานร่วมกับคนเก่งๆ มากมาย สิ่งที่ได้จากการทำงานเรื่องนี้คิดว่าเป็นอะไรบ้าง
X: สิ่งที่ผมได้จากการทำหนังเรื่องนี้ก็คือได้ร่วมงานกับคนเก่งๆมากมาย อย่างเช่น พี่จิกเขามีฝีมือการเขียนบท และการแก้ปัญหาที่แม่นยำมากครับ เรื่องนักพากย์ก็เยี่ยม ถ้าคนพากย์ พากย์เสียงแบบไม่ได้อารมณ์ เราก็จะทำแอนิเมชั่นไม่ได้ขนาดนี้ ทั้งคนแต่งเพลงทำเพลง ฝ่ายประสานงาน ทุกๆ ฝ่ายเลย มันทำให้ผมทำงานดีขึ้นด้วยและโตขึ้นด้วย การทำงานกับคนเก่งๆ มันทำให้ตัวเราพัฒนาขึ้นเยอะและเร็วมากด้วย ผมก็ซึมซับการเรียนรู้ไปด้วยว่าการทำงานอันนี้เราไม่เคยทำอย่างนี้มาก่อน เราก็ศึกษามาจากคนนี้ คนที่มีศักยภาพบางอย่างมารวมกัน โดยที่เราไม่ต้องใช้เงินทุนเยอะหรือสูงมากถ้าเกิดคนเก่งๆ มาทำงานกัน คือเราจะประหยัดทั้งเงินและเวลาด้วย และเราจะได้เรียนรู้ด้วย คือทุกส่วนเลยคนไม่เท่าฝรั่งแน่ๆ แต่คนเก่งๆ มารวมกันเนี่ย แต่ละคนเก่งในสายแต่ละสาย ทำให้งานมันเร็วขึ้น และงานมันตรงที่เราคิดเยอะขึ้น ทำให้บ้านอิทธิฤทธิ์ทำงานง่ายขึ้นด้วย

Q: หนังได้ไปฉายโชว์ ที่เมืองคานส์ และไปโปรโมทตามประเทศต่างๆ มาแล้วหลายครั้ง รู้สึกอย่างไรบ้างที่หนังได้รับการยอมรับจากต่างชาติ
X: ผมก็ดีใจครับที่คุณภาพของหนังของเราฝรั่งเขายอมรับ คุณภาพมันสูงพอที่ออกต่างประเทศได้ ตอนไปฉายโชว์ที่ญี่ปุ่นก็มีคนมาคุยด้วย ไม่รู้ว่าคนนี้เป็นใคร มารู้ทีหลังว่าเขาเป็นนักเขียนการ์ตูนดังเลย เขาบอกว่าอยากจะมาร่วมงานด้วย อยากทำงานด้วย เขาชอบการเคลื่อนไหวของตัวยักษ์ เขาก็พูดภาษาญี่ปุ่นว่าเห็นเราทำดี เห็นแล้วมีไฟกลับไปเขียนการ์ตูนต่อด้วย เราก็ปลื้มครับ

Q: คำนิยามของคำว่า “ยักษ์” ของพี่เอ็กซ์หมายถึงอะไร
X: หากผมคิดถึงยักษ์ จะคิดถึงยักษ์ที่ตัวใหญ่ๆ มีบารมีสูงๆ มีอำนาจ แอบคิดว่าบุคลิกของผมใกล้กับตัวนี้เหมือนกันนะ (หัวเราะ) เพราะว่ามันจะมีความดุร้าย และก็อ่อนโยนด้วย จริงๆ ก็ใกล้ๆ กันกับตัวที่อยู่ในเรื่องนี้

Q: ยักษ์ตัวแรกที่รู้จัก เป็นยักษ์อะไร
X: น่าจะเป็นทศกัณฐ์ครับเพราะส่วนหนึ่งเรียนด้วย แต่ทศกัณฐ์ของผมจะเป็นยักษ์ที่ตัวใหญ่มากใหญ่กว่าวรรณคดีครับ

Q: ในหนังเรื่องนี้มีประเด็นแกนหลัก เกี่ยวข้องกับมิตรภาพ หากอยู่ในสถาณการณ์ที่ต้องเลือกระหว่าง “มิครภาพและ หน้าที่” จะเลือกอย่างไร
X: ผมเลือกทั้งสองอย่างได้ไหม (หัวเราะ)

Q: คิดว่าคนเราจะสามารถเปลี่ยนจากศัตรูมาเป็นเพื่อนกันได้ไหม
X: ได้ครับ ถ้าเราตัดทุกอย่าง เข้าไปคุยกับศัตรูดูบางทีอาจจะดีกว่าที่เราคิดก็ได้ เพราะว่าเราคิดกันเอง บางทีเราคิดว่าคนนี้เป็นศัตรูเพราะว่าอาจจะโหงวเฮ้งไม่ตรงกับเรา หรือว่าโหงวเฮ้งแบบนี้เคยทำร้ายเรามาก่อน (หัวเราะ) แต่ถ้าเข้าไปคุยมันอาจจะไม่ใช่อย่างที่เราคิดครับ

FB on October 05, 2012, 04:07:11 PM
อลังการสุดๆ จิกประภาส-เอ็กซ์ชัยพร เนรมิตฉากมิวสิคคัล “ปาหี่เร่ขายปืนโมกขศักดิ์เปิดตัวกุมหุ่นยักษ์สีแดงและหุ่นกระป๋องสนิมน้อย”








    
          อลังการสุดๆ จิกประภาส-เอ็กซ์ชัยพร เนรมิตฉากมิวสิคคัล “ปาหี่เร่ขายปืนโมกขศักดิ์เปิดตัวกุมหุ่นยักษ์สีแดงและหุ่นกระป๋องสนิมน้อย” ได้โช้ย-จักรพัฒน์ผู้ควบคุมวงคุณพระช่วยออร์เคสตรามาร่วมบรรเลง

          มีครบทุกรสชาติของความบันเทิงที่รับประกันว่าไม่มีพิษไม่มีภัย เพราะทุกฉากทุกซีนของ “ยักษ์” แอนิเมชั่นสุดพิถีพิถันถึง 6 ปีเต็มจากไอเดียคิด และลงมากำกับของ จิก ประภาส ชลศรานนท์ ล้วนแล้วอัดแน่นไปด้วยความสนุกสนานและสอดแทรกแง่มุมที่ลึกซึ้งชวนให้ขบคิดมุมมองบวกๆ ของแอนิเมชั่นเรื่องนี้กันได้ถ้วนหน้า แน่นอนว่านอกเหนือจากฉากรบอันยิ่งใหญ่อลังการระหว่างกองทัพหุ่นกระป๋องหนุมานกับทัพหุ่นยักษ์ที่นำโดยทศกัณฐ์แล้ว

          ฉากที่พูดได้ว่าบ่งบอกถึงลายมือในความเป็นจิก ประภาส ผสมผสานกลมกลืนกับลายเส้น สีสัน แสงเงาของการ์ตูนจากเอ็กซ์ ชัยพร พานิชรุทติวงศ์ รับรองว่า “ฉากเปิดตัวกุมหุ่นยักษ์สีแดงและน้องสนิมน้อยแสดงปาหี่เร่ขายปืนโมกขศักดิ์” จะเป็นฉากที่น้องๆ หนูๆ จะต้องชื่นชอบรวมไปถึงเหล่าคอแอนิเมชั่นตัวจริงจะต้องหลงรักฉากนี้ที่ถูกนำเสนอในรูปแบบของมิวสิคคัล ภายใต้การประพันธ์และควบคุมการบรรเลงดนตรีได้อย่างสนุกสนาน จากฝีมือของ โช้ย- จักรพัฒน์ เอี่ยมหนุน นักดนตรีคู่ใจของจิกประภาส (ที่มีเครดิตเป็นผู้ควบคุมวงดนตรีคุณพระช่วยออร์เคสตรา และแต่งดนตรีประกอบภาพยนตร์หลายเรื่อง เช่นสิ่งเล็กเล็กที่เรียกว่ารัก) แน่นอนว่ายิ่งประกอบกับเสียงร้องใสๆ ของ น้องออมสินด.ญ.ชนินาถ ศิริสวัสดิ์ ซึ่งรับหน้าที่ให้เสียงให้ชีวิตหุ่นกระป๋องสีชมพูได้อย่างน่ารักน่าเอ็นดู (โดยตัวน้องออมสินเองมาร่วมให้เสียงให้ชีวิตน้องสนิมและอยู่กับโปรเจ็คต์ยักษ์ยาวนานมาราธอนตั้งแต่อยู่ ป.2 จนถึง ม.1 ประมาณ 5-6 ปีเลยทีเดียว) ผสมผสานกับเสียงแหบพร่าแต่ซ่าส์ได้ใจของ ยักษ์กุม ที่ให้เสียงให้ชีวิตจัดเต็มไม่มีกั๊กโดยตั๊กบริบูรณ์ จันทร์เรืองอย่างแสบสันต์บ้าพลังมันส์จริงๆ

          นี่คือ1ในหลายๆฉากที่เป็นอีกหนึ่งความภาคภูมิใจของทีมงานทุกคนที่มีส่วนร่วมในย่างก้าวสำคัญเพื่อให้โลกได้รู้ว่าคนไทยก็สามารถทำแอนิเมชั่นที่มีมาตรฐานและเปี่ยมคุณภาพด้วยความรักและความทุ่มเทไม่แพ้ชาติใดในโลกอย่างแน่นอน และแน่นอนว่ากว่าจะเกิดเป็นภาพและเสียงปรากฎขึ้นมาอย่างที่เห็น เอ็กซ์ ชัยพร พานิชรุทติวงศ์ ผู้กำกับร่วมซึ่งรับหน้าที่ในการกำกับในส่วนของงานแอนิเมชั่นของยักษ์เปิดใจว่าทีมแอนิเมเตอร์ต้องพิถีพิถันและใส่ใจในทุกรายละเอียดกันเลยทีเดียว

“ฉากนี้เป็นฉากเปิดตัวของกุมภกรรณกับน้องสนิม เป็นการเล่าเรื่องแบบละครเวทีมิวสิคคัลฉากนี้ใช้เวลาทำนานเหมือนกัน เพราะมีหุ่นยนต์ที่ใช้หลายร้อยตัวมาดูการแสดงปาหี่ การจัดแสงต่างๆได้ไอเดียมาจากงานคอนเสิร์ตครับ แต่ฉากนี้ใช้เวลาจัดแสง จัดไฟ ค่อนข้างยากเพราว่ากุมภกรรณเป็นสีแดง แต่แสงเป็นสีเขียวและมันเป็นสีที่ตัดกัน ใช้เวลาจัดนานกว่าจะลงตัวสวยงาม ต้องใส่ใจเรื่องการจับคู่สีกับอารมณ์ของภาพ บางภาพเราจัดไปปุ๊บมันมืดไปเด็กไม่น่าจะชอบเราก็จะเพิ่มไฟให้สว่างขึ้นมาอีก ส่วนเรื่องการใส่การเคลื่อนไหวของฉากนี้ต้องดูเสียงเพลงประกอบด้วยครับเพราะเป็นฉากมิวสิคคัลเลยต้องทำให้เข้ากับเพลง ยากตรงที่เราต้องทำให้หุ่นเหล็กให้ดูเป็นทั้งการ์ตูนด้วยเป็นทั้งเหมือนจริงด้วย แต่การที่มีเพลงเข้ามานั้นเป็นผลดีเลยครับ ถ้าเกิดมันมีเพลงเข้ามาอยู่ในฉากนั้นมันจะทำให้แอนิเมเตอร์รู้อารมณ์ของเรื่อง และก็การเคลื่อนไหวของปากที่ถูกเพลงกำหนดไว้ได้ง่ายขึ้น มันจะง่ายขึ้นจากการพากย์ธรรมดา แต่มันยากตรงที่ว่าถ้ามันถูกเพลงกำหนดไว้แล้วการเคลื่อนไหวมันจะเร็วหรือช้า แอนิเมเตอร์จะต้องเรียนรู้ด้วยเพื่อให้ภาพออกมาลื่นไหลและสมจริงที่สุด”

          พบกับความอลังการของฉากมิวสิคคัลเปิดตัว 2 คาแรคเตอร์สำคัญ กุมหุ่นยักษ์สีแดง และน้องสนิมน้อย ที่รับรองว่าทุกคนจะต้องหัวเราะไปกับการให้ชีวิตให้เสียงของทั้งคู่จากฝีมือของ ตั๊กบริบูรณ์และน้องออมสิน และชื่นใจไปกับดนตรีเพราะๆ และมุกที่สอดแทรกอยู่ในฉากนี้อย่างแน่นอน สัมผัสกันเต็มๆ ตากับ “ยักษ์” 4 ต.ค. นี้ทุกโรงภาพยนตร์
« Last Edit: October 08, 2012, 03:08:50 PM by FB »

FB on October 05, 2012, 04:10:05 PM
บทสัมภาษณ์ “คนเลี้ยงยักษ์ จิก ประภาส ชลศรานนท์” ใน ภาพยนตร์แอนิเมชั่นเรื่อง “ยักษ์”


 
          คือ ครีเอทีฟ นักคิด นักเขียน กวี นักแต่งเพลง ผู้สร้างสรรค์บทเพลงวรรณกรรม อันหลากหลาย
          คือ หัวกะทิ มือเขียนบท หัวโจก ผู้ก่อตั้ง พลิกโฉมหน้าวงการเพลง โทรทัศน์ ละคร ภาพยนตร์ ค่ายเพลง ให้กำเนิด ปลุกปั้นศิลปินบุคลากรระดับคุณภาพทั้งเบื้องหน้าและเบื้องหลังในแวดวง บันเทิงศิลปวัฒนธรรมนับร้อยนับพัน
          ณ วันนี้ในวัยขึ้นเลขต้นด้วย 5 ด้วยระยะเวลากว่า 6 ปีผู้ชายที่ชื่อ จิก ประภาส ชลศรานนท์พร้อมแล้วที่จะชวนทุกคนร่วมเดินทางไปกับฝันครั้งล่าสุดที่ใช้เวลา บ่มเพาะมากกว่า 10 ปี กับภาพยนตร์
          แอนิเมชั่นเต็มรูปแบบที่มีชื่อสั้นๆ ว่า “ยักษ์”

          Q. เอ่ยชื่อพี่จิก ประภาส ชลศรานนท์ ที่คนทั่วไปรู้จักกันดีในฐานะนักคิดนักเขียนนักแต่งเพลง ฯลฯ ผ่านประสบการณ์ทำนั่นโน่นนี่มาทั้งชีวิต แต่อยู่ๆ ทำไมถึงลุกขึ้นมาทำแอนิเมชั่นในตอนที่อายุขึ้นเลขห้า
          J. อย่าขำผมนะถ้าผมจะบอกว่าผมไม่เคยคิดว่าตัวเองแก่เลย ก็แค่อายุมากขึ้น (หัวเราะ) โดยส่วนตัวแล้วอันนี้ เป็นวิถีทางนะไม่เกี่ยวกับหนังนะ คือตัวผมเป็นคนที่ทำอะไรไปเรื่อยๆ ผมชอบทำงานแบบวิ่งเหยาะ งานที่ทำทั้งทำทั้งแอบทำคือคนทั่วไปไม่รู้มีเยอะแยะ โชคดีที่ผมเป็นคนทำอะไรหลายอย่างได้พร้อมๆ กัน ถ้าถามว่าเรื่องการทำการ์ตูนแอนิเมชั่นเป็นสิ่งที่อยากทำมานานหรือยัง ต้องบอกว่าอยากทำมามากกว่าสิบปีแล้ว แต่ใจอย่างเดียวมันไม่พอ มันต้องพร้อมทั้งฟ้าดินและคน คนก็คือทีม ดินก็คือทรัพยากรทั้งหลาย อุปกรณ์ทั้งหลายส่วนฟ้าก็คือโอกาสและจังหวะ
          เมื่อก่อนแอนิเม ชั่นมันต้องวาดทีละภาพใช้คนวาดเป็นโรงงานเลย ฝรั่งญี่ปุ่นเขาต้องจ้างข้ามประเทศจ้างไต้หวันจ้างอินเดีย คือรู้ว่าถ้าทำไปก็คงได้ประมาณหนึ่งที่ไม่ได้ดังใจทั้งหมด จนกระทั่งวันหนึ่งได้เจอเอ็กซ์ (ชัยพร พานิชรุทติวงศ์) ก็น่าจะตอนที่เขากลับมาจากอเมริกาใหม่ๆ ก่อนที่จะเอ็กซ์เขาไปทำปังปอนด์อีกนะ ณ วันนั้นด้วยโปรแกรมทำแอนิเมชั่นมันได้มีการพัฒนากันไปเยอะแล้ว มีคนทำกันอยู่เยอะแยะแต่ก็ยังแข็งๆ กันอยู่ วันแรกที่เจอเอ็กซ์เรานัดกันไปเจอกันที่ร้านกาแฟแถวๆ ถนนพระอาทิตย์ เรานั่งคุยกันหลายเรื่อง คุยเรื่องแอนิมชั่นที่เราชอบเขาชอบ คุยแล้วมันรู้เลยว่าคอเดียวกัน เขาเอางานสมัยเป็นนักศึกษามาให้ดู ผมก็เล่าความคิดของผมให้เขาฟังว่าผมมองเห็นแอนิมชั่นที่จะทำมันเคลื่อนไหว ยังไง คุยกันจบก็ยังไม่ได้ทำอะไรกันต่อ ผมก็ไปทำงานของผม ตัวเอ็กซ์เองเขาก็ไปทำหนังโฆษณาทำอะไรของเขาไปเรื่อยๆ เปื่อย แล้วก็ไปทำปังปอนด์ ผมก็ได้เห็นอยู่ ก็มีทั้งชอบและไม่ชอบ มันเป็นโปรดักชั่นระดับทีวีไม่ใช่หนังใหญ่ ผมก็ไม่ได้คิดอะไรเพราะผมก็มีงานอะไรให้ทำอยู่ตลอดเวลา เขียนหนังสือไป แต่งเพลงบ้าง ทำทีวีไป

          Q. ตอนแรกที่ที่พี่จิกบอกคิดอยากทำการ์ตูน ตอนนั้นมีพล็อตเรื่องอยู่แล้วเลยรึเปล่า
          J. ก็มีอยู่เยอะแยะ แม้กระทั่งที่คุยกับเอ็กซ์วันแรกยังนั่งเล่าพล็อตให้ฟังตั้งหลายเรื่อง

          Q. พวกเรื่องพล็อตที่คิดอยากจะทำตั้งใจทำออกมาเป็นแอนิเมชั่นเลยอย่างเดียวเลยรึเปล่า
          J. ใช่ครับ เรื่องบางเรื่องมันเหมาะที่จะเป็นแอนิเมชั่นเท่านั้น เพราะแอนิเมชั่นมันมีเสน่ห์ตรงมันโลดโผนได้มากกว่าคนแสดง

          Q. หมายความว่า ไอเดียของพี่จิกเมื่อ 10 กว่าปีที่แล้วที่คิดฝันอยากทำการ์ตูน พี่จิกเองก็มองไปด้วยถึงความเป็นไปได้ขององค์ประกอบและเทคโนโลยีต่างๆ ในการเกิดขึ้นของการ์ตูนว่าที่จะเกิดขึ้นได้จริงว่าอยู่ในสเกลไหน เพราะฟังจากพล็อตหรือไอเดียที่คิดจะทำกับการ์ตูนในยุคนั้น มองว่าคงต้องเป็นการ์ตูนที่เป็นลักษณะของการวาดด้วยมือ เป็นภาพๆหรือ เป็นcellบนแผ่นใสหรือฟิล์ม ที่ยังไม่ได้วาดบนคอมพิวเตอร์ด้วยซ้ำ
          J. ใช่ๆ ตอนนั้นที่คิดๆ อยู่ก็รู้นะถึงความเป็นไปได้ แต่ก็มีความฝันว่าอยากทำนะยังเคยคิดว่าจะรวมมือดีๆที่วาดดีๆ ที่มีสไตล์แม้กระทั่งเพื่อนกันหรือแม้แต่รุ่นน้องกันมาทำได้ไหม คือผมคิดอยู่ตลอด ถึงผมไม่ได้ทำวันนี้ วันหน้าถ้ามีโอกาสผมก็จะทำอีก หาช่องทางทำไปเรื่อยๆ อย่างที่บอกผมชอบวิ่งเหยาะ วิ่งแข่งร้อยเมตรไม่ชอบ เหนื่อยแล้วหมดแรงเลย

          Q. แต่ก็ยังคงเก็บไอเดียความฝันลงในลิ้นชักทางความคิดที่จะทำการ์ตูนไว้รอวันเวลาที่ทุกอย่างพร้อม
          J. ก็มีอยู่ โปรเจ็คต์มีอยู่ในหัวเต็มไปหมดเลย ผมคิดง่ายๆ เมื่อมีโอกาสทำก็ทำ นี่ยังอยากทำหนังคนอีกเรื่องหนึ่งเป็นหนังไซไฟเกี่ยวกับวิถีพุทธ คิดไว้ในหัวแล้ว เขียนบทไปบ้าง จะกำกับเอง แล้วมันต้องใช้แอนิเมชั่นช่วยแยะมากหนังเรื่องนี้ ผมรอเวลารออะไรบางอย่างอยู่

          Q. พูดได้ว่าจุดเริ่มต้นมาจากการที่ตัวเราเองก็เป็นคนที่ชื่นชอบและดูแอนิเม ชั่นมาก่อน จนเกิดเป็นแรงบันดาลใจให้เราคิดฝันอยากทำการ์ตูน
          J. ต้องเรียกว่าเป็นคนชอบดูแอนิเมชั่นตั้งแต่เด็ก และโตแล้วก็ยังชอบอยู่ ดูหมดทุกสไตล์ ไม่ว่าจะดิสนี่ย์ พิกซ่าร์ สตูดิโอ GHIBLI หรือทางฝั่งยุโรป แบบเป็นหนังเงียบๆ ก็ชอบนะ ดูแล้วก็รู้สึกตลอดว่าวันหนึ่งเราต้องเข้าไปเกี่ยวข้องกับมันแน่ๆ เพราะมันดึงดูดเราตลอดเวลา เวลาเดินผ่านของพวกนี้ ผมไม่เคยแม้แต่สักครั้งเดียวที่จะไม่เหลียวไปมอง

          Q. อย่างนี้พูดได้ไหมว่าการ์ตูนมีอิทธิพลต่อชีวิตของผู้ชายที่ชื่อประภาส ชลศรานนท์
          J. พูดอย่างนี้ดีกว่า ทุกอย่างที่อยู่รอบตัวผมมีอิทธิพลต่อผม ดิอิมพอสสิเบิ้ล เดอะบีทเทิ้ล โมสาร์ท สุนทราภรณ์ ไอ้มดแดง หน้ากากเสือ ผมเป็นเด็กบ้านนอกที่เขาเรียกว่าอะไรละ มันชอบอ่าน อยากรู้อยากเห็น แล้วก็จะมีนิตยสารอยู่เล่มหนึ่งที่มาในช่วงวัยเด็กนั่นคือชัยพฤกษ์การ์ตูน นิตยสารเล่มนั้นมีอิทธิพลกับผมมากนะ ต้องเรียกว่ามากถึงขั้นลากผมเข้ามาเรียนกรุงเทพฯ สอบเข้าเรียนเตรียมอุดม สอบเข้าสถาปัตย์ ในนิตยสารเล่มนั้นมีนักวาดการ์ตูนท่านหนึ่งนามปากกาคือ รงค์ (ณรงค์ ประภาสะโนบล) ผมชอบเส้นสายของท่าน เส้นสั่นๆ น่ารักเป็นทั้งสากลและมีความเป็นไทย ผมชอบนะแต่ไม่เคยเขียนตามเพราะเส้นคนละทางกัน เส้นผมมันเป็นแบบเส้นสถาปัตย์เป็นเหลี่ยมๆ ที่น่าแปลกใจคืออารงค์ที่เขียนในชัยพฤกษ์การ์ตูนเขาก็เป็นไอดอลของเอ็กซ์ เหมือนกัน คือพอได้มาเจอกันแล้วคุยกันเลยรู้ แสดงว่าเอ็กซ์กับผมโตมาด้วยอิทธิพลของศิลปินคนเดียวกัน และถ้าสังเกตดีๆ ลายเส้นของเอ็กซ์จะคล้ายอารงค์เลยละ

          Q. แล้วทำไมต้องรามเกียรติ์ ทำไมต้องยักษ์
          J. ก็พอเริ่มมาหาเรื่องที่จะทำกัน ก็คิดกันอยู่ว่าจะทำเรื่องอะไรกันก็นั่งคุยหนักกับๆ ทีม ทีแรกเลยคิดเล่นๆ ง่ายๆ ก่อน คิดแบบตื้นๆ เลยนะ คิดว่าจะเอารามเกียรติ์มาทำสัก EPISODE หนึ่ง คิดแค่นั้นจับนางสีดาไป คิดแบบสนุกๆ ง่ายๆ มีแปลงร่างมีแปลงเป็นกวาง คือก็ตีความจากการกลายเป็นกวางคือการทรานสฟอร์มเมอร์ คิดไปเรื่อยๆ คิดจนถึงกระทั่งว่าเราจะสะกดว่ารามเกียรติ์เป็นรามเกียร์ รามเกียร์คือเฟืองของรามก็คือหุ่นยนต์คิดไปเรื่อยว่ารามเราไม่ต้องเขียนรามา (RAMA) ตามแบบวิธีสะกดที่ถูกต้องหรอกที่เราจะเขียนรามเป็น “RAM” = แรม เป็นแรมของคอมพิวเตอร์หรืออย่างพระลักษณ์ก็ให้เป็น LUX ลักซ์ที่เป็นหน่วยความสว่างของแสง CDR ซีดีอาร์พ้องเสียงกับคำว่าสีดาเครื่องไร้ท์แผ่นซีดี ก็พยายามตีความจากรามเกียรติ์แท้ๆ เลยฉบับของไทยนะ
          ทีนี้พอ เริ่มนั่งคุยกันไปเรื่อยๆ มันก็มีความคิดหนึ่งเกิดขึ้นว่ามันน่าจะมีเรื่องของยุคสมัยนี้ในแง่ของ ปรัชญาชีวิตมนุษย์ทุกวันนี้เข้าไปเกี่ยว พอเราไปศึกษาเรื่องว่ารามเกียรติ์มีหลายอวตารมากแต่ละประเทศก็ไม่เหมือนกัน นะ มีหลายอย่างแตกต่างกัน วิธีออกแบบไม่ต้องพูดถึงนะต่างกันลิบลับเลยไม่ว่าจะมาจากอินโดนีเซีย เขมร ลาว หรือว่าทางทิเบต อินเดียนี่ไม่เหมือนกัน แต่ทั้งนี้มีสิ่งหนึ่งที่อยู่ในรามเกียรติ์ที่พูดมาตลอดแล้วที่ฤาษีวาลมิกิ (ชาวอินเดียผู้ประพันธ์มหากาพย์รามายณะขึ้นเป็นภาษาสันสกฤตเมื่อกว่า 2,400 ปีก่อน) พูดเอาไว้ก็คือว่ามันเป็นการอวตารมาเกิดใหม่หลายชาติหลาย มีประโยคหนึ่งน่าสนใจมาก เพราะมันทำให้ผมคิดเนื้อเรื่องออกมาทันที ท่านบอกว่า ‘มีรามเกียรติ์เกิดขึ้นตลอดเวลาในโลกใบนี้ในชีวิตของมนุษย์เรา’ ผมนำประโยคนี้มาตีความต่อเลย ในกรุงเทพก็มีรามายนะ ในนิวยอร์ก ก็มี
          ราม มายณะ ในโรงเรียน ในที่ทำงาน แม้แต่ในหัวของเราเอง ผมคิดเรื่องขึ้นใหม่เดี๋ยวนั้นว่า อวตารที่ผมจะทำ ผมจะไม่ให้เขาเป็นศัตรูกันแล้วสองตัวเอกหนุมานกับทศกัณฐ์ แล้วก็เริ่มตั้งคำถาม เรื่องจะเดินอย่างไรให้ไม่รบกัน นี่คือจุดเริ่มต้น แล้วก็คิดต่อว่าจะเอาจุดเด่นบางอย่างในรามเกียรติ์ที่ผู้คนคุ้นเคยมาใช้เช่น ตัวละคร,ฉากที่คนจำได้ ฉากที่เด็กๆ พวกเราจำได้เอามา REVERSE ใหม่ ใครโดนหอกโมกศักดิ์นะคราวนี้เราจะเปลี่ยนตัวคนโดน นี่คือต้นที่มาของความคิดที่เราจะทำเรื่องนี้

          Q. พอฟังอย่างนี้แสดงว่าตัวพี่จิกเองหลงใหลหรือสนใจอะไรในเรื่องราวของ รามเกียรติ์อยู่แล้วเป็นทุนเดิมเยอะทีเกียว กลับกันในโปรเจ็คต์ในลิ้นชักความคิดที่จะทำแอนิเมชั่นก็มีอยู่ตั้งเยอะแยะ แต่ต้องมีอะไรดีในมหากาพย์รามายณะนี้ถึงโดนใจให้เราตัดสินใจหยิบมาทำเป็นแอ นิเมชั่นเรื่องแรก
          J. รามายณะเป็นมหากาพย์ของชาวเอเชีย ผมใช้คำว่าเอเชียนะเวลาเราจะพูดถึงรามเกียรติ์ เราจะพูดว่ามันคือมหากาพย์ของเอเชียนะไม่ใช่ของไทยอย่างเดียว เพราะว่ารามเกียรติ์ของไทยนี่ก็แปลงมาจากฮินดูนะ เพราะฉะนั้นพอเราชอบประเด็นและภาพในหัว มันก็เกิดขึ้นว่าเราจะเล่าอย่างไร เพราะรามายณะนี่ยอมรับเลยว่ามีความครีเอทีฟสูงมากในเนื้อเรื่องและตัวละคร แต่ว่าเวลาเราเล่าให้ใครฟังว่าเราจะทำรามเกียรติ์คนก็ถามว่าจะแบบทำแบบโบราณ เลยหรือ เราก็ไม่รู้จะบอกอย่างไรดีเลยบอกตรงๆ ว่ามันเป็นเรื่องของหุ่นยนต์ พอบอกหุ่นยนต์ทุกคนจะสนใจ แสดงว่าการที่รามเกียรติ์เป็นหุ่นยนต์นี่คนทั่วไปเขารู้สึกว่ามันไม่โบราณ

          Q. แล้วทำไมต้องเป็นหุ่นยนต์
          J. จะบอกอะไรให้ ระหว่างที่ผมทำหนังเรื่องนี้อยู่ ผมเคยคิดนะว่าหนังเรื่องยักษ์เรื่องนี้ถ้าสร้างให้เป็นหนังคนแสดงจะได้ไหม แล้วก็ตอบตัวเองว่าได้เพราะเนื้อเรื่องมันเป็นแบบทำให้ผู้ใหญ่ดูก็ได้ แต่ถ้าเป็นแอนิเมชั่นเรื่องนี้มันควรเป็นหุ่นยนต์ มันมีสองเหตุผลคือ หนึ่ง มันเขียนบทได้โลดโผนกว่า รุนแรงได้โดยที่ไม่รู้สึกว่ารุนแรง มันอาจจะแค่รู้สึกว่ามันน่ารักหรือมันเด๋อเท่านั้นเอง ที่น่าสนใจคือมันมี MOVEMENT ของความเป็นแอนิเมชั่นสูง
          สอง ความเป็นหุ่นยนต์มันทำให้อวตารครั้งนี้ประหลาดกว่าครั้งอื่นๆ สมกับเป็นอวตารครั้งล่าสุด แม้เราจะคงไว้ซึ่งพระเจ้าผู้สร้างอย่างเดิม อย่างเราก็เคยได้ยินอยู่แล้วว่ามีคนคิดรามเกียรติ์เป็น
          เวอร์ ชั่นต่างๆ หรือแม้แต่ว่าพระอภัยมณีซึ่งอันนี้ก็ถือว่าไม่ใช่เรื่องใหม่ การที่รามเกียรติ์เป็นหุ่นยนต์ก็เคยมีคนคิด แต่พอเราเริ่มออกแบบก็รู้สึกสนุกดี หนุมานจะเป็นยังไงทศกัณฐ์จะเป็นยังไง แล้วเราจะแต่งเรื่องขึ้นใหม่อย่างไรให้ไม่เหมือนเดิมแต่มีเค้าเดิม แต่งอย่างไรให้สมัยใหม่และยังมีขนบ เพราะเรื่องมันก็เกิดเรื่องใหม่ขึ้นมา เมื่อคิดสะระตะเสร็จก็ตั้งชื่อเรื่องว่า “ยักษ์” เลย เพราะตั้งใจจะเล่าตัวนี้เป็นตัวเอกไม่เคยคิดเป็นชื่ออื่นเลย

          Q. นี่แสดงว่าพี่จิกพุ่งเป้าตรงไปที่จะเล่าเรื่องตัวทศกัณฐ์เป็นตัวแรกเลย
          J. ตัวแรกเลย

          Q. ทำไมถึงชอบตัวนี้
          J. มันเป็นตัวละครที่น่าสนใจมากนะในแง่ของความคิดสร้างสรรค์ คนคิดนี่สุดยอดครีเอทีฟเขาออกแบบมาให้มีสิบหน้า วิธีคิดแบบครีเอทีฟแบบนี้ไม่ง่าย ต้องบอกว่าตอนเด็กๆ พออ่านถึงทศกัณฐ์แล้วชอบมาก ยิ่งของรามเกียรติ์ไทยนี่สุดยอด ออกแบบให้หัวอีกเก้าหัวเรียงบนกระหม่อม ไม่เหมือนชาติอื่นเลย เท่มาก ต้องบอกว่าผมชอบทศกัณฐ์จนถึงขั้นเอามาตั้งชื่อรายการทีวีเลยนะ

          Q. อย่างนี้ไปๆ มาๆ ความลุ่มหลงสนใจในยักษ์ทศกัณฐ์ของพี่จิกที่กลายมาเป็นแรงบันดาลใจให้เกิด เป็นแอนิเมชั่นเรื่องแรกคงไม่ใช่แค่6ปีแล้วละมั้ง
          J. ว่านับเอาความชอบทศกัณฐ์ด้วยน่าจะเกินครึ่งชีวิตนะ ผมชอบทศกัณฐ์และหลงเสน่ห์หนุมานด้วยนะ ตัวละครในรามเกียรติ์แต่ละตัวครีเอทีฟทั้งนั้น เช่นหนุมานหาวเป็นดาวเป็นเดือน คิดได้ไงหรือหางหนุมานที่พันรอบภูเขาได้ ผมว่าฝรั่งมาได้ยินรามเกียรติ์อาจลอกเอาไปใช้แล้วไม่บอกใครเลยละ หลายอย่างที่เราคุ้นเคยในรามเกียรติ์ผมเอามาเขียนเลย แล้วก็บิดให้คนดูตกใจ
« Last Edit: October 08, 2012, 03:09:19 PM by FB »

FB on October 05, 2012, 04:12:11 PM
          Q. ย้อนกลับไปจากครั้งแรกที่ได้เจอกับพี่เอ็กซ์จนมาถึงวันแรกที่ตัดสินใจทำยักษ์ห่างกันนานแค่ไหนอย่างไร
          J. เกือบๆสิบปีนะ

          Q. ในทีมมีแต่คนไทยเท่านั้นใช่ไหม
          J. ปีที่ผ่านมาโอ๋โปรดิวเซอร์หนังเรื่องนี้เขาเอาหนังไปต่างประเทศ ชาวต่างชาติเขาไม่รู้หรอกว่าคุณทำได้รึเปล่าคุณทำได้จริงเหรอ ให้ดูแค่คลิป เขาก็สนใจ เราเอาหนังที่เสร็จแล้วสองชั่วโมงตัดให้ให้สั้นลงไปฉายให้เขาดูก่อน พอเขาก็เห็นตัวหนังเต็มๆ แล้วเขาก็ทึ่งเขาก็อึ้ง เขาพูดมาประโยคหนึ่งไม่รู้ว่าจะดีใจหรือน้อยใจดีว่าคนไทยทำได้ด้วยเหรอทำจาก เมืองไทยทั้งหมดเลยหรือ มีฮอลลีวู้ดมาช่วยหรือเปล่า เราบอกติดตลกว่าแม้แต่คนซื้อโอเลี้ยงก็ยังเป็นคนไทยเลย จะมีขั้นตอนเดียวที่มีฝรั่งก็คือตอนเข้าแล็ปเทคนิคคัลเลอร์ซึ่งสตาฟบางคน เป็นฝรั่งแล้วก็ขั้นตอนการทำเวอร์ชั่นภาษาอังกฤษ แต่ถามว่าทีมนี้ทั้งหมดตั้งแต่พล็อตไปจนถึงคนออกแบบจัดแสงทั้งหมดทุกคนมี บัตรประชาชนเป็นคนไทยหมดเลย

          Q. จากจุดเริ่มต้นตรงนั้นคิดไหมว่าจะใช้เวลานานขนาดนี้
          J. ไม่คิดนะ รู้ว่านานแต่ไม่คิดว่าถึงหก แต่พอปีที่สี่ผมก็รู้แล้วว่ายาวแน่ เพราะเราคิดว่าที่เราศึกษามาเยอะพอแล้วกลายเป็นไม่พอ ทำไปรู้ไป อาจเป็นเพราะมาตรฐานที่ตัวเองวางไว้ด้วย บางอันไม่ได้ไม่ถึงเราก็ไม่เอา มันยังไม่เหมือนอย่างในหัวผม ผมก็ยังไม่ผ่าน หาวิธีทำให้ได้

          Q. ถ้างั้นคงต้องถามแล้วว่าพอเริ่มต้นจะทำแอนิเมชั่นโดยประภาส ชลศรานนท์ พี่จิกวางเกณฑ์หรือมาตรฐานในการทำอย่างไร
          J. ก็ตัวเองต้องชอบก่อนเลย ไม่ว่าเราจะทำอะไรต้องเป็นสิ่งที่เราต้องชอบคือถ้าเราเป็นโปรดิวเซอร์ไม่ได้ เป็นผู้กำกับเราก็จะให้เกียรติผู้กำกับมากกว่า ก็อาจจะบอกว่าเฮ้ยเอาประมาณนี้ได้ไหมก็อาจจะต่อรองกัน แต่ถ้าเราเป็นผู้กำกับเองเราก็ต้องต่อรองกับตัวเอง อีกอย่างต้องยอมรับว่าแอนิเมชั่นขั้นตอนมันไม่เหมือนหนังคน แม้แต่ฝรั่งเองอย่างต่ำนะสตูดิโอที่มีคนห้าหกร้อยคนต้องมีเวลาอย่างน้อยสาม ปี ตอนแรกผมยังคิดเลยว่าผมเป็นอยู่คนเดียวหรือเปล่านะ ไปอ่านสัมภาษณ์ถึงได้รู้ว่าเขาก็สามสี่ปี เนื่องจากเราคนไม่เยอะแล้วก็ประสบการณ์เป็นเรื่องแรกด้วยแล้วก็อันนี้พี่ก็ คิดว่าน่าจะเป็นเหมือนๆ กันหมดนะไอ้ความรู้สึกอยากแก้ไปเรื่อยๆ หมายถึงว่าอย่างตอนแรกสตูดิโอของบ้านอิทธิฤทธิ์ไม่ได้อยู่ที่นี้ (บ.เวิร์คพอยท์ บางพูน ปทุมธานี) อยู่ที่เหม่งจ๋ายผมก็เดินทางไปบ้างอาทิตย์ละสองวันไปถึงก็หมดแรงแล้ว กรุงเทพรถติดจะตาย
          พอย้ายบ้านอิทธิฤทธิ์มาอยู่ที่นี่ (บ.เวิร์คพอยท์) ปุ๊บผมไปทุกวันเลย ไปเหมือนไปเยี่ยมเพื่อน ไปทำยักษ์ทุกวันวันละนิดวันละหน่อย มีอะไรไม่มีอะไรก็ไปดูเพิ่ม เหมือนไปดูต้นไม้ เป็นความเคยชินว่าบ่ายๆ ก็ต้องแวะไปดูละ ไปแก้โน่นนี่แวะไปคุยแล้วก็กลับมาทำงานต่อ พวกผู้กำกับแอนิเมชั่นฝรั่งเขาขับรถไปทุกวันสามสี่ปีเหมือนกันคือมันไม่ใช่ อยู่กองถ่ายแล้วแอ็คชั่นแล้วเล่นเลย แอ๊คชั่นของเราทีหนึ่งกว่าจะขยับเป็นเดือน ต้องเริ่มจากสตอรี่บอร์ดก่อนเริ่มจากมุมกล้องแล้วก็เริ่มตั้งโมเดลขึ้นมา เราก็เลยมานั่งคุยกันแล้วก็ไปขั้นตอนในการไปพากย์ก็เอาเสียงพากย์มาตีความ ภาพควรจะเป็นอย่างไรตรงนี้มันต้องขยับไหมกว่าจะเสร็จออกมาพอใจพอออกมาเสร็จ ปั๊บปาเข้าไปครึ่งเดือนแล้วอย่างต่ำแค่คัทสั้นๆ แล้วก็ไปจัดแสง จัดแสงเสร็จดูว่ามันสวยแล้วหรือยังมาจัดแสงเหมือนหนังคนเลยนะเอาดวงไฟไว้ตรง ไหน มันเยอะไปไหมควันไม่มีงั้นใส่ควันนิดนึงซึ่งถือได้ว่ามันเป็นการสร้างขึ้น จากทุกอย่างที่มันเริ่มต้นจากอยู่ในอากาศหมดเลย มันก็เลยว่าต้องไปทุกวันทำไปเรื่อยๆในบางอารมณ์ก็เหมือนนั่งสมาธิครับทำไป เรื่อยๆ ทำงานเพื่องานไม่ได้คิดว่าจะได้อะไร มีแค่ช่วงหลังๆ ที่ต้องเสร็จๆ ต้องเริ่มกระชับให้สั้นให้อยู่ในกรอบบางกรอบบ้าง อุ๋ย (ชมศจี เตชะรัตนประเสริฐ รองประธานกรรมการฝ่ายขาย บ.สหมงคลฟิล์ม อินเตอร์เนชั่นแนล) บอกว่าไม่ได้นะพี่ยาวกว่านี้ไม่ได้แล้วนะก็ต้องตัดออก การทำงานจะเอาแต่ใจตัวอย่างเดียวไม่ได้ ผมไม่ชอบอย่างนั้น ทำงานด้วยกันต้องสนุกทั้งทีมไม่ใช่ผู้กำกับสนุกคนเดียว แต่ช่วงสี่ห้าปีที่ผ่านมาต้องใช้ว่าโคตรมีความสุข ทำไปเรื่อยๆ แก้ไปหัวเราะชอบใจเหมือนกับเด็กได้ของเล่น คือตอนจะเริ่มต้นทำผมคุยกับเอ็กซ์
          ชัยพรเลยว่าเราจะทำให้ได้ คุณภาพสูงสุดที่เครื่องไม้เครื่องมือในเมืองไทยจะทำได้ ณ วันนั้นนะ เอ็กซ์ก็เขาก็บ้าคล้ายๆ กัน ไม่ดีไม่เลิกทำแก้ไปเรื่อยๆ เราก็คุยกันหนักๆ กันในทีมแอนิเมเตอร์และทีมที่ทำแอนิเมชั่นทั้งหมด หลายอย่างที่ผมอยากได้ เราทำได้จำกัด พิกซาร์มันทำได้เพราะมันมีวิศวกรออกแบบซอฟท์แวร์เอง แม้แต่ดรีมเวิร์คยังทำไม่ได้เลย ผมก็คิดกันว่าเราต้องหาวิธีทำให้ได้อย่างเรา วิธีอ้อมก็เอา ไปหาวิธีทำมาให้ได้ อันนี้ยังไม่รวมที่ทำได้เสร็จแล้วยังไม่พอใจนะมันมีความกลมกล่อมที่แบบว่าสี ตรงนี้อยากให้เป็นอย่างนี้ สีฉากนี้มันไม่ใช่แจ๊ดขนาดนี้ เราก็จะคุยกัน เราก็จะคุยกันเยอะก็จะไปหาวิธีเอามาดูกัน ในช่วงแรกๆ ผมเอาอาร์ทติสท์หลายคนมาช่วยกันวาดนะ แม้กระทั่ง ชาติ (สุทธิชาติ ศราภัยวานิช) ที่วาดการ์ตูนหัวปลาหมึก (Joe the Sea-cret Agent -นักสืบโจ หัวปลาหมึก) ก็เชิญมาช่วยจินตนาการ นักวาดคนที่เอ็กซ์รู้จักก็ชวนมาๆ ลองวาดดูและก็รู้ว่ามันไม่ตรงกับที่ผมต้องการ แม้จะไม่ใช่ทางที่เราเลือกแต่สิ่งที่เขาวาดมีประโยชน์มาก พอเราเปิดใจแต่แรกเราเลยได้ไอเดียมาเปรียบเทียบเยอะ

          Q. พี่จิกมีเกณฑ์ไหมว่าในการทำแอนิเมชั่นเรื่องยักษ์อยากบอกหรือสอดแทรกแนวคิดอะไรลงไปในการ์ตูนเรื่องนี้
          J. ทุกงานที่ผมทำมันก็จะมีตัวเราเข้าไปอยู่ เราก็จะบอกในสิ่งที่เราอยากจะบอก มันก็จะมีชั้นของมันอยู่เหมือนเพลงของเฉลียงหรือหนังสือหรืออะไรก็ตามนะ หรือเหมือนอย่างละครเรื่องเทวดาตกสวรรค์ต่อให้ไม่รู้ไม่เก็ทสิ่งที่ผมอยากจะ บอกเลยนะ อย่างน้อยที่สุดคุณก็จะได้ความสนุกออกไปอย่างมหาศาล แต่ละคนมีแบ็คกราวน์ไม่เท่ากันด้วยบางคนก็ไม่อยากรับรู้ บางคนแบ็คกราวน์อยากรู้เรื่องนี้ก็จะโดนเรื่องนี้ ก็จะมีสิ่งที่อยากบอกไว้หลายๆ ชั้นอยู่ เรื่องมันมีหลายระดับนะหัวใจคือเรื่องมิตรภาพ เรื่องหน้าที่ แม้แต่คำถามที่ว่าเราเกิดมาทำไม แม้แต่เรื่องพลังอีโก้ในตัวมนุษย์ เรื่องที่พูดบางเรื่องก็อยู่ในเนื้อเรื่อง บางเรื่องก็อยู่ในตัวคาแร็คเตอร์ บางเรื่องมันก็อยู่ในบทพูดเช่นคำถามว่าถ้าเราเป็นศัตรูกันเราต้องเป็นศัตรู กันตลอดไปหรือ

          Q. เป็นความตั้งใจของพี่จิกอยู่แล้วว่าคอนเซ็ปท์ของเรื่องที่จะทำแอนิเมชั่นเรื่องนี้คืออยากให้คนดูได้ทุกวัย
          J. ต้องบอกเลยว่ายักษ์ไม่ใช่หนังเฉพาะเด็ก มันเป็นหนังของคนทุกวัย ในหนังอาจพูดเรื่องถึงสามสี่เรื่องนะ แต่ผมคิดว่าในแต่ละคนที่ดู ด้วยวัย ด้วยแบ็คกราวน์ ทุกคนจะเก็ทในเรื่องที่ผมอยากบอกต่างกัน แม้แต่ชื่อยักษ์ที่ตั้งขึ้นมา ยักษ์ภาษาไทยมันไม่ได้แปลว่าไจแอ้นท์อย่างเดียว มันแปลว่ามอนสเตอร์ด้วยนะ

          Q. ฟังๆ ดูแล้วยักษ์คือหัวใจของเรื่องจริงๆ
          J. มันชื่อเรื่องยักษ์เพราะว่าอะไร ยักษ์มันคือจิตใต้สำนึกของคนที่มีพลังมาก อันนี้เป็นสิ่งที่ผมพูดเรื่องนี้มานานแล้วมนุษย์เรามีพลังแบบนี้มันเอาไปทำ อะไรก็ได้นะ แต่ถ้าเราคุมมันได้มันก็จะเป็นพลังที่เยี่ยม นานมาแล้วผมเคยมองหัวโขนทศกัณฐ์แล้วก็คิดว่าเก้าหัวของทศกัณฐ์เขาคิดอะไร อยู่ แล้วเขาคิดเหมือนหัวที่ใหญ่ที่สุดหรือเปล่า

          Q. ถึงแม้ว่าแอนิเมชั่นจะเป็นสิ่งที่เด็กชอบดูแต่เรื่องนี้ตั้งใจทำให้ผู้ใหญ่ดูด้วยไหม
          J. อยากทำให้ผู้ใหญ่ดูมากๆ บ้านเราผู้ใหญ่ชอบคิดว่าการ์ตูนเป็นเรื่องของเด็ก คิดอย่างนั้นโลกเรามันจะแข็งและเย็นชาเกินไป

          Q. เป็นความตั้งใจตั้งแต่แรกเริ่มเลยที่จะทำแอนิเมชั่นยักษ์ที่มีรูปแบบของ มิวสิคคัลเข้ามาสำคัญที่ผสมผสานอยู่ในตัวเรื่องด้วย
          J. อย่างมิวสิคคัลสำหรับแอนิเมชั่นเรื่องยักษ์ก็มีความจำเป็นนะ มันทำให้อิ่มหรือแม้แต่งานของผมเองหลายชิ้นก็มักใส่ความเป็นมิวสิคคัลเข้าไป อยู่ตลอดเวลาอยู่แล้ว มันคล้ายๆ กับเป็นความชอบส่วนตัวด้วย มิวสิคคัลมันจะช่วยทำให้แอนิเมชั่นมีความเป็นกวีเพิ่มขึ้นมา บางทีมันลดโทนของความหนักลงมาด้วยแล้วเวลามันเล่าอะไรด้วยเพลงสักอย่างถ้า มันจังหวะดีนะมันจะรู้สึกมาก
          ตั้งแต่เริ่มแรกที่มีตั้งแต่ อยู่ในบทเลยว่าจะต้องมีเพลงตรงนี้ๆ หรือมีฉากที่เป็นมิวสิคคัล เป็นคนวางเองแต่ก็มีแก้ไขบ้างบางอย่าง เพลงนี่ก็ไม่ได้เขียนเองทั้งหมดใช้ปากกาหลายคน บางทีก็ให้ ต้อง (บัวไร-พัลลภ สินธุ์เจริญ) ช่วยเขียนบางเพลงและที่มันไม่มีก็ให้เขาเขียนเลย หรืออย่างเพลงตอนจบ คิดไว้เลยนะว่าจะพูดเรื่องอะไรนะแต่ไม่อยากเขียนเองก็เลยไปชวนแสตมป์มาเขียน บอกเขาเลยว่า ตั้งใจอยากให้แสตมป์มาเขียน เรื่องมันมาอย่างนี้แล้วให้ดูหนังคร่าวๆ แล้วเล่าให้ฟังว่ามันกำลังจะพูดเรื่องอะไร จบมันควรจะพูดเรื่องอะไรนะ เพลงเกิดมาเป็นเพื่อนเธอคือเราได้ประโยคหนึ่งมาจากหอย ขณะที่หอยเขาพากย์อยู่ แล้วเวลาที่เขาพากย์กันมันก็จะมีความสนุกสนานของมันก็จะมีเหมือนแหย่กันไป แหย่กันมา ผมก็จะบอกว่าหอยฉากนี้มันต้องมีอารมณ์มากกว่านี้ ได้พี่ ได้เลยครับพี่ ผมเกิดมาเพื่อสิ่งนี้ แล้วหอยเขาก็ไปพากย์ เขาจะแหย่ทีมงานด้วยประโยคนี้บ่อยๆ ผมเกิดมาเพื่อสิ่งนี้แล้วเราก็จะหัวเราะกัน ไอ้คำนี้เวลาเราพูดกันแล้วหัวเราะนี่ ผมคิดนะมันมีอะไรบ้างอย่างที่สอดคล้องกับสิ่งที่อยากจะบอกมากเลย
          เรา อวตารลงมาเกิดมาเพื่อที่จะรบกันมาโดยตลอดแต่ตอนนี้เราเกิดมาเพื่อสิ่งนี้ เราอวตารมาเกิดมาเพื่อสิ่งนี้ เพื่ออะไร นี่แหละเพลงนี้มันเลยเกิดขึ้นมา เคยคิดเหมือนผมไหมว่าบางทีเราเข้าไปอยู่ที่ไหนสักแห่งเพื่อรู้จักใคร เหมือนเกิดมาเพื่อเป็นคู่กัน เหมือนกับว่าเวลาผมให้กำลังใจเด็กๆ ที่แบบว่าเอ็นทรานซ์ติดอีกที่หนึ่งที่ไม่ได้ดั่งใจ ผมจะบอกว่ามีใครบางคนรอคุณอยู่ที่นั่น ก็เลยบอกสแตมป์ไปว่าประโยคนี้ผมอยากได้นะ คือผมต้องการลายมือเขาลายมือเขา เป็นลายมือของเด็กยุคนี้ที่ผมชอบมากที่สุดคนหนึ่ง ผมเขียนเองก็ได้แต่บางทีก็เบื่อลายมือตัวเอง

          Q. ฟังๆ ดูแล้วเหมือนพี่จิกมีภาพอยู่ในใจของการทำการ์ตูนเรื่องนี้อยู่ในทุกส่วนเลย
          J. มีภาพอยู่ในใจทั้งหมดเกือบทุกส่วนเลย แต่ว่าบางทีให้ศิลปินคนไหนไปแล้วเขาบิดอะไรบางอย่างเติมเข้ามาแล้วรู้สึกว่า มันมากกว่าที่เราคิดเราก็ชอบ แต่ถ้ามันผิดทางเราก็บอกว่าไม่ใช่

          Q. ฟังๆ ดูแล้วนอกจากจะเป็นต้นน้ำทางความคิด ต้นตอของไอเดียต่างๆแล้ว ในการทำแอนิเมชั่นเรื่องยักษ์ พี่จิกยังทำหน้าที่เหมือนต้นไม้ใหญ่ที่จะพร้อมจะพากิ่งก้านที่ออกรากแตกหน่อ ไอเดียต่างๆ ให้มันต่อยอดออกไปอีกได้อย่างไม่รู้จบ
          J. ไม่อย่างนั้นจะทำงานกันคนหลายคนทำไม ไม่งั้นเราจะมีศิลปินเก่งๆ มารวมตัวกันทำไม ถ้าเราคิดว่าเราเอาไอเดียของเราเป็นหลักอย่างนี้คนที่มาก็ต้องเรียกว่าช่าง ทุกคน ไม่ได้เป็นช่างนะทุกคนเป็นศิลปินหมดนะ แม้ แต่หอยเองหรือแม้แต่โน้สที่มาช่วยพากย์รับเชิญเขานำเสนอบางอย่างในสิ่งที่ เขามองเห็นอีกแบบหนึ่ง เราก็บอกเออเฮ้ย นี่ก็เป็นสิ่งที่เราไม่เคยคิดถึงนะ หนุ่มนี่ช่วยเยอะมากเลย แม้แต่โน้สที่มาช่วยพากย์เขาก็ให้ความเห็นอีกแบบหนึ่ง ทุกคนช่วยกันไม่ว่าจะเป็นฝั่งของแอนิเมเตอร์ ฝั่งของซีนดีไซน์ทุกคนมีสิทธิ์นำเสนอหมดไม่ว่าจะมาด้วยปากหรือทำมาให้ดูเลย

          Q. พูดถึงทีมเขียนบทหน่อย นอกจากพี่จิกแล้วมีใครอีก
          J. ก็มีต้อง-บัวไร (พัลลภ สินธุ์เจริญ) บัวไรนี่เป็นผู้ช่วยผู้กำกับด้วย นั่งเกลาบทกันตลอดเวลา ในระหว่างนั้นก็มีคนมาแจมบ้าง ชลากรณ์นี่ก็เคยมาช่วยหาข้อมูลเคยนั่งล้อมวงคุยบทด้วย แล้วก็มีโจ้กับแปลนจากทีมโต๊ะกลมที่เขียนบทละครเวทีเร่ขายฝันมาผสมโรงตอน นั่งคุยเรื่องบทด้วย

          Q. จนมาถึงขั้นตอนต่อไปที่ถือได้ว่าเป็นจุดเริ่มต้นของการแปรความคิดไอเดียจากตัวหนังสือมาเป็นภาพ
          J. บทเรื่องนี้เขียนกันหลายเดือน พอเริ่มเขียนเสร็จร่างแรกๆก็เข้าสู่ขั้นตอนพรีโปรดักชั่น เริ่มด้วยการดีไซน์คาแร็คเตอร์ก่อน ซึ่งในขั้นตอนนี้ทางเอ็กซ์ก็จะเข้ามาเกี่ยวข้อง มานั่งคุยกันเลยว่าตัวหนุมานเป็นยังไง เก่งมากไวมากเป็นฮีโร่แต่เราอยากให้พูดมาก จะขี้โม้มั้ย หน้าตามันต้องกวนๆ หน่อยไหม หนุมานในรามเกียรติ์นี่ขี้เล่นแน่นอน เพราะเป็นลิง อีกตัวทศกัณฐ์คืออะไรคือพญายักษ์ที่ดุร้าย เก่งที่สุดและก็ใช้คำว่าฆ่าไม่ตายเอามาใช้ด้วย เพราะเรื่องแก่นหลักของรามายณะคือทศกัณฐ์ฆ่าไม่ตายนะ เขาเอาหัวใจไปฝากไว้ที่พระฤาษี เราจะแปลคำว่าฆ่าไม่ตายให้เป็นอะไร เพราะอย่างหนุมานทศกัณฐ์เราก็เอามาตีความว่าต้องเป็นคนแบบนี้มีบุคลิกลักษณะ แบบนี้
          บทร่างแรกๆ นี่ตอนมีความยาวเต็มๆ หนุมานตอนฟื้นนี่ผมใส่เจ้าเล่ห์มากกว่านี้นะ อันนี้ลดลงตัดออกไปเยอะ ในขณะเดียวกันพอทศกัณฐ์ในคาแรคเตอร์แบบลงไปจิตใต้สำนึกลึกสุดเลยเขาจะเป็นคน ซื่อแบบไม่มีอะไร นอกจากหนุมานกับทศกัณฐ์แล้วในส่วนตัวละครอื่นในรามเกียรติเราก็เลือกมาใช้ ว่าต้องใช้ใครโดยไม่ได้คิดว่าจะต้องเอามาทั้งหมด พอเราคิดถึงหอกโมขศักดิ์ที่คนจำได้ก็ต้องมีตัวที่ใช้หอกออกมาก็มีกุมภกรรณ แต่ในรามายณะเขาเป็นน้องชายกัน แต่ในเรื่องนี้เราให้หนุมานกับทศกัณฐ์รบกันแล้วพัง พระรามทำลายล้างสูญสิ้นสงครามแล้วเวลาก็ผ่านไปเป็นล้านๆ วันแล้วก็เกิดขึ้นใหม่ กุมภกรรณในอวตารนี้เขาจะเหมือนคนคลั่งสงครามในยุคใหม่ ตัวภุมภกรรณสร้างจากคาแรคเตอร์แบบนั้น ถามว่าคนแบบนี้ในโลกยังมีอยู่ไหมมีนะ ชอบสงครามเพราะมันเท่ทั้งๆ ที่ไม่เคยรบ กุมภกรรณไม่ใช่หุ่นที่อยู่ยุคเดียวกันกับทศกัณฐ์ในช่วงที่รบหรือทำสงครามกัน เพียงแต่เป็นหุ่นพันธุ์เดียวกันเป็นหุ่นพันธุ์ยักษ์เท่านั้นเอง แต่ว่าเขาเห็นแต่แค่เทวรูปทศกัณฐ์ที่ไม่เหมือนจริง เพียงแต่ยังคิดเสมอว่าท่านยังอยู่ท่านยังอยู่ แล้วเขาก็เก็บอาวุธสงครามไปเรื่อยๆ แม้กระทั่งเครื่องบิน สดายุจริงๆ ตัวละครตัวนี้ใสมากเลยนะเขาเชื่ออยู่เรื่องเดียวเขาไม่มีเรื่องอื่นเลยและ เขาภักดีมากคือคิดอย่างเดียวคิดไปทางเดียวเลย เขาคิดทำเพื่อสิ่งนั้นสิ่งเดียวจริงๆ ไม่ได้เป็นตัวละครที่ร้ายนะ เพียงแค่เขามีความเชื่อว่าสักวันทศกัณฐ์จะต้องกลับมา
          ในแอนิเม ชั่นยักษ์มีตัวละครที่สร้างขึ้นใหม่ที่ไม่เกี่ยวกับรามายณะเลยคือน้องสนิม น้อย เราสร้างตัวนี้ขึ้นมาเป็นตัวแทนคนดูที่เป็นเด็ก ผมอยากให้เด็กเป็นตัวเชื่อมมิตรภาพของสองศัตรู แล้วเราก็วางคาแร็คเตอร์ให้เป็นเด็กมีปม เป็นเด็กกำพร้าเป็นเด็กที่มอมแมมและแปลคำว่ามอมแมมให้กลายเป็นสนิมซะ มีน้ำมูกตลอดเวลาจนกลายเป็นปมด้อย น้ำมูกโดนใครก็เป็นสนิมกันหมด แต่สุดท้ายมันกลับกลายเป็นสิ่งสำคัญในการดำเนินเรื่องได้ ดีไซน์ตอนแรกน่ากลัวกว่านี้นะปากนี้เป็นสนิมจริงๆ เราเถียงกันหนักเหมือนกัน และเอ็กซ์ก็เป็นคนเสนอเองว่าเอาสนิมออกเถอะเอาแค่ป้านๆ ว่าเคยเป็นสนิมแล้วพ่นสีทับ ก็มีคนทักว่าไม่เห็นมีสนิมเลย มันจะดูแบบน่ากลัวไม่น่ารัก มาจนถึงสดายุก็เป็นตัวหนึ่งที่เป็นเครื่องมือ พอเรามีตัวนี้ปุ๊บเราก็คิดเลยว่ามันน่าจะทำเป็นมุกนะ เรื่องเดิมเป็นนกตัวหนึ่งที่อยู่ฝั่งพระราม มาคราวนี้เราให้เป็นผู้หญิงซะแล้วก็เอามาเป็นเครื่องบินรบของกับทศกัณฐ์ด้วย เป็นเหมือนวัตถุโบราณสมัยสงครามที่กุมภกรรณเขาก็เก็บๆ มาเรื่อยๆ ประมูลมา

FB on October 05, 2012, 04:12:54 PM
         Q. ไม่เพียงแค่สี่ตัวละครหลักที่พูดถึง ความอลังการงานสร้างของแอนิเมชั่นเรื่องยักษ์ “มีการสร้างเรื่องเนรมิตรดีไซน์ตัวการ์ตูนอีกเป็นร้อยๆตัวในหนังเรื่องนี้ ด้วย
          J. ใช่ ต้องออกแบบหุ่นในเรื่องนี้เป็นร้อยๆ ตัว ตัวที่อยู่ใกล้ๆ ก็ต้องดีไซน์หน่อย ตัวที่มีบทนะ อย่างเพื่อนเด็ก ลูกนายกเทศมนตรี ตัวนายกเทศมนตรี ลุงช่างที่คนแก่ๆ ที่รู้ตำนาน พวกนี้เราจะดีไซน์ละเอียดหน่อย แต่พอไกลๆ ไปก็ถือเป็นกองทัพไป อย่างพวกหุ่นทหารยักษ์ อันนี้ก็จะกลุ่มหนึ่งๆ พวกที่อยู่ในย่านซื้อของ กลุ่มคนขายของเก่าก็เป็นร้อยๆ ตัวนะ แต่ว่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นเราก็จะเห็นตัวละครที่เป็นหุ่นยนต์ที่ถูกแบ่งออก เป็นหุ่นกระป๋องกับหุ่นยักษ์ มันเหมือนกับลิงกับยักษ์นั้นแหละ เราแปลงลิงเป็นหุ่นกระป๋องและแปลงยักษ์เป็นหุ่นยักษ์ แล้วยักษ์ก็จะไม่ค่อยมายุ่งกับหุ่นกระป๋อง เหมือนคนป่าที่ไม่ค่อยมายุ่งอยู่กับคนเท่าไหร่ แต่ก็มีอยู่บ้างนะ แล้วหุ่นกระป๋องส่วนใหญ่มักจะใช้ล้อ แต่ที่ไม่ใช้ก็จะมีบ้าง ส่วนยักษ์ก็จะมีขา
          แล้วก็พวกพันธุ์ผสมก็มี แล้วก็มีนักปีนเขาเป็นคีย์แมน เป็นตัวที่โน้ส พากย์ ซึ่งตัวนี้มันคือคนเขียนบท คนที่อยากจะบอกอะไรกับคนดู เราเลือกเชิญโน้สเพราะบุคลิกตัวตนจริงๆ ของโน้ส แม้บทจะไม่เยอะเลยแต่สำคัญมาก ตัวนี้มันเป็นเหมือนคนที่มีเป้าในชีวิตที่จะทำสิ่งที่คนคิดว่าเป็นไปไม่ได้ คือเขาคิดอะไรไม่เยอะมาก ทำไปเรื่อยๆ เขามาให้สติอะไรบางอย่าง คำพูดของเขาเหมือนไร้สาระ แต่ตรงไร้สาระนี่มีสาระที่สุด เราตั้งชื่อเขาว่าบรู๊คส์เพราะมีความประทับใจมาจากหนังเรื่อง THE SHAWSHANK REDEMPTION คือบรู๊คส์ ในหนังฝรั่งเรื่องนั้นเขาจะไปขูดอะไรไว้ใช้ชื่อเดียวกันคือ BROOKS WAS HERE เราชอบหนังเรื่องนี้กัน เราจะตั้งชื่อว่าอะไรกันดีนะ ชื่อว่าอู๊ดแอ๊ดก็ไม่มีประโยชน์อะไร เผอิญมันมีประเด็นว่าเขาชอบไปขูดเอาไว้ตามที่ต่างๆ เหมือนกัน และมันควรว่าจะเขียนว่าไงนะ อู๊ดอยู่นี่ ซึ่งเราก็คิดว่าเออมันมีหนังอยู่เรื่องหนึ่งนะ ก็จะเขียนคำว่าอะไรที่ทำให้คนทั้งโลกรู้ ก็ BROOKS WAS HERE การออกแบบนอกจากจะเอาลักษณะของนักไต่เขาที่ชอบพกอุปกรณ์มากมายแล้ว หน้าตาก็เอามาจากโน้ส แต่ตั้งใจไม่ให้มีจมูกใหญ่เพราะจมูกมันไม่เหมาะกับหุ่น มีแล้วมันดูเป็นคนมากเกินไป การออกแบบให้หุ่นไม่มีจมูกใหญ่แล้วดูออกว่าเป็นโน้สเป็นความท้าทายของคนออก แบบนะ

          Q. มาพูดคุยในส่วนของบรรดานักแสดงที่มาให้ชีวิตให้เสียงกับตัวการ์ตูนกันบ้าง
          J. มันเริ่มจากตัวคาแร็คเตอร์ของการ์ตูนแต่ละตัวมันถูกกำหนดถูกดีไซน์ไว้ก่อน แล้วตามท้องเรื่อง แล้วเราต้องหาเนื้อเสียงให้ตรงกับคาแร็คเตอร์ แล้วผมต้องการนักแสดงที่เก่ง ที่มีบุคลิกโดดเด่น แล้วคล้ายตัวละครที่ออกแบบมาแล้ว หลายตัวละครเราก็เลยปรับ เอาเอกลักษณ์ของคนพากย์มาใส่ลงไปในตัวการ์ตูนด้วย เช่นเสนาหอยก็จะมีผมที่เป็นเร้กเก้ เราก็เอามาดัดเป็นเสาอากาศที่ประหลาดกว่าตัวอื่น ตัวอื่นมีเขาอันเดียวแต่อันนี้มีถึงสามอัน ปากหนาตาโปนก็จะมีความเป็นหอยอยู่ ตัวหอยฉลาดคล่องแคล่วพูดเก่งติดตลก ตรงนี้เป็นบุคลิกเดียวกันกับเผือก
          ส่วนหนุ่มสันติสุขเข้ามา เป็นตัวทศกัณฐ์หรือน้าเขียวเป็นยักษ์เราไม่ได้เลือกหนุ่มที่หน้าตาเพราะเขา หล่อเกินไป แต่ว่าที่เราเลือกเขาเพราะเสียงหนุ่ม เขาเคยพากย์การ์ตูนเป็นตัวร้ายบ่อยๆเสียงเขามีน้ำหนักคือหุ่นตัวนี้เราเคย เทสต์มาหลายคนละพอพากย์แล้ว ถ้าเสียงไม่มีเนื้อพอมันดูจะตัวเล็กกว่าตัวละครเพราะเนื่องจากมันเป็นหุ่นรบ ตัวใหญ่ เสียงที่ต้องออกมาแล้วมันต้องใหญ่มีอำนาจ ที่สำคัญคนที่จะสามารถพากย์เป็นตัวร้ายได้และในขณะเดียวกันพากย์ให้อารมณ์ แบบใสซื่อแบบบุญชูได้ในตัวเดียวกันในเมืองไทยมันมีไม่กี่คน ตัวหนุ่มเองเขาเป็นนักแสดงที่ไม่ได้มาพากย์อย่างเดียวนะ เขาแสดงเลย ตอนที่พากย์ครั้งแรกนี่ นักแสดงแต่ละคนยังไม่เห็นหนังยังไม่เห็นการ์ตูนเคลื่อนไหวเลย เห็นแต่ภาพนิ่งแต่เขาต้องแสดงออกมาแล้ว บอกได้เลยว่าเขาเหนื่อยไม่แพ้แสดงหนังจริงๆ ตอนพากย์ฉากสำคัญนี่เราถ่ายวิดีโอไว้ด้วยนะ เราก็จะเห็นอารมณ์จากดวงตาของเขาเลย เราเอามาดูเพื่อศึกษาด้วย แล้วงานของคนวาดหรือแอนิเมเตอร์ก็ต้องคิดคำนวณและต้องเก่งด้วยว่าจะต้อง เคลื่อนไหวแค่ไหน เพราะถ้าเคลื่อนไหวเหมือนคนมากเกินไปมันไม่เป็นแอนิเมชั่น มันไม่น่ารักมันแท้เกินไป แต่ขณะเดียวกันมันก็ต้องได้อารมณ์ตามนักแสดงด้วย โกรธ เศร้า สนุก ต้องได้ตามเสียงของนักพากย์

          Q. แสดงว่านักแสดงเข้ามามีส่วนร่วมในขั้นตอนการทำการ์ตูน ตั้งแต่ขั้นตอนที่มีการดีไซน์ตัวละคร เพราะกลับกันแอนิเมชั่นบางเรื่องวาดเสร็จหรือทำเสร็จแล้วถึงค่อยมีนักพากย์ เข้ามาพากย์ใหม่
          J. ใช่ครับ ตอนคัดเลือกนักแสดงเสร็จ เรามีการอ่านบทแบบ First lips เหมือนหนังเลยนะ มีหนุ่มสันติสุขมีเสนาหอยนั่งอ่านบทปะทะกันอยู่กับน้องออมสิน (ที่พากย์เป็นสนิมน้อย) เลย และพี่ก็นั่งฟังว่าเสียงสามคนเวลานั่งอยู่ด้วยกันแล้วมันเป็นยังไง เอออันนี้เสียงเล็กกว่าไอ้นี่เสียงใหญ่กว่า คือผมอยากเห็นการเข้าคู่กับของเสียงทั้งเรื่องด้วย ต้องดูทั้งคอนทราสต์ต้องดูทั้งฮาโมนี่ด้วย คือในเรื่องเขาต้องเดินเรื่องไปด้วยกัน

          Q. คราวนี้อยากให้พี่จิกพูดถึงนักแสดงที่มาให้เสียงให้ชีวิตกับตัวการ์ตูนแต่ละตัว
          J. หอยเป็นหนุมานจริงๆ ถ้าตอนเขาเด็กๆ ไปสมัครโขน ครูบาอาจารย์ก็คงคัดหอยให้อยู่ในกลุ่มลิง หอยเป็นคนหัวไว ความคิดซน มีลูกตอดต่อเนื่องตลอดเวลา คือเป็นหนุมานในโทนคอมมิดี้ ตัวลิงเป็นอย่างนี้ทั้งนั้นแม้แต่ทางกรมศิลป์คนที่เคยเล่นเป็นบทหนุมานทุกคน ซนหมด ครูมืด (ประสาท ทองอร่าม)
          ยังเคยเล่นหนุมานเลย ที่สำคัญที่สุดคือเนื้อเสียงของหอย มันลงตัวกับเสียงของหนุ่ม แม้กระทั่งสนิมเองเราเคยคิดว่าจะเอานางเอกดังๆ มาพากย์นะ ให้พากย์เสียงเด็ก แต่สุดท้ายเราคิดว่าเราต้องการการแสดงจริงๆ อย่างเป็นธรรมชาติ งอนแบบเด็ก ขำแบบเด็ก เราก็เลยตัดสินใจยอมเหนื่อยคัดเด็ก เชิญมานั่งอ่านให้ฟังเป็นสิบๆ คน เด็กส่วนใหญ่เสียงน่ารักอยู่แล้ว แต่สิ่งหนึ่งที่มีในเด็กเดี๋ยวนี้หายากมากเลยคือธรรมชาติ
          เด็ก ที่ถูกคัดมามาพากย์มีสองแบบคือเด็กโนเนมที่ไม่เคยแสดงซึ่งส่วนใหญ่ขี้อาย เสียงได้แต่เวลาให้แสดง มันทำงานยาก ต้องกล่อม ต้องบอกพ่อแม่ให้มาอยู่ด้วย ทำงานยากแน่ๆ มีประเภทหนึ่งคือเป็นดาราเด็กมีประสบการณ์ เราเชิญคนที่เคยเล่นเป็นนากเอกตอนเด็กๆ มาคัดตัวก็หลายคน น้องออมสินโผล่มาคนสุดท้าย โดดเด่นมาก อ่านบทให้ฟัง เราฟังแล้วเรารู้สึกตาม มีความเป็นธรรมชาติสูง ร้องเพลงเก่ง ฉลาด แล้วมีวินัย สามารถทำงานได้แบบมืออาชีพ จะพักจะทำงานไม่มีงอแง พอเริ่มงานดีดนิ้วปั๊บเข้าฉากปั๊บธรรมชาติมาเลย ร้องไห้หัวเราะดูไม่เสแสร้ง เป็นเด็กที่มีพรสวรรค์สูงมาก

          Q. ตั๊กบริบูรณ์เป็นกุม เห็นว่าตัวบทนี้มีหลายคนมาแคสติ้งมากกว่าจะลงตัว
          J. มาแคสติ้งเยอะ เพราะว่ากุมมันเป็นตัวละครที่มีสีสัน เป็นตัวเติมสีของเรื่องเลย แล้วก็มีหลายคนที่มาแคสบางคนเล่นดีแต่น้ำเสียงแก่ไป บางคนคาแร็คเตอร์ใช่หนุ่มแน่นฉกรรจ์แต่เล่นแล้วไม่บ้าพอ แต่อย่าง ตั๊กเขาเป็นคนบ้าแบบว่าถวายหัว ถ้าเขารักใครเขาทำอะไรให้ใครเขาก็จะทำอย่างนั้นนะ สังเกตว่าตัวละครตัวนี้ก็จะเป็นเหมือนตั๊กตรงที่หลงใหลและชื่นชมทศกัณฐ์ ทำทุกอย่างได้เพื่อทศกัณฐ์ ตัวละครตัวนี้มันเหมือนมีเส้นบางๆ กั้นอยู่ระหว่างความบ้ากับความโหดร้าย ตั๊กก็คล้ายๆ กันมีอยู่ตรงกลางระหว่างความบ้ากับความจริงจัง คิดเหมือนผมไหมถ้าตั๊กเป็นคนบ้าจริง เขาจะเป็นคนบ้าที่ทุกคนอยากอยู่ใกล้ๆเขาไม่ใช่คนบ้าที่แบบว่าคนกลัวแล้วเดิน หนี คือแค่เห็นเขาทำอะไรเราก็ยิ้ม มีความสุข

          Q. พี่เหมี่ยวปวันรัตน์เป็นนกสดายุ
          J. พี่เหมี่ยวนี่พอเราบอกว่าเราจะมีเครื่องบินรบ เราจะมีนกสดายุ คาแร็คเตอร์เป็นนกตัวหนึ่งเฮ้ยเอาเป็นนกออกสีดำๆ ไหม แล้วเราก็หัวเราะกันผมบอกไปเลยว่าเดี๋ยวเอาเหมี่ยวมาพากย์ เพราะรู้มือกันอยู่เหมี่ยวนี้เล่นละครกับพี่มาตั้งแต่สมัยเทวดาตกสวรรค์ก็ เกือบสามสิบปีแล้ว เหมี่ยวเป็นนักแสดงคอมมิดี้ก็จริงนะ แต่เขาเป็นนักแสดงคอมมิดี้ที่เข้าใจบทมาก เขาเล่นลึกเขาเล่นกระแหนะกระแหนเก่งมาก และตัวละครตัวนี้เป๊ะเลย คือถูกสร้างขึ้นมาเพื่อมากระแหนะกระแหนคนตลอดเวลา แล้วเหมี่ยวเป็นนักแสดงที่อิมโพไวซ์บทได้เก่ง ประโยคไหนไม่เข้าปาก ผมให้เขาบิดคำได้เลย ฟังเหมี่ยวพากย์แล้วสนุก คนทำงานในห้องพากย์หัวเราะกันทุกครั้ง ไม่น่าเชื่อว่าคนที่พากย์เป็นฝรั่ง (เวอร์ชั่นเสียงภาษา อังกฤษ) เป็นผิวดำโอ้โหพากย์มันส์เหมือนเหมี่ยวเลยคือเรื่องกระแหนะกระแหนประชด ประชันตลอดเวลา

          Q. มีแจ๊ปเดอะริชแมนทอยด้วย
          J. ผมเห็นเขาในคอนเสิร์ตมันจะออกแบบมันส์ๆ หน่อย รู้สึกหนุ่มคนนี้น่าสนใจก็เลยเชิญมาเขาสนุกกัน ผมบอกบทไม่เยอะนะ เขาก็อยากสนุก มีร้องเพลงด้วย แต่หนังมันยาวไปหน่อยผมเลยตัดเพลงออก เขาพากย์ก็เหมือนเวลาที่เขาเล่นคอนเสิร์ตก็มีความสนุกสนานตลอดเวลาสไตล์ของ เขา แบบพ่อค้าเร่เข้ามาโวยวายๆ เวลาเขาอยู่บนเวทีเขาก็ใช้เสียงคุมคนเยอะๆ เหมือนกัน

          Q. เห็นว่ามีโน้ส อุดมด้วย
          J. มีตัวละครตัวหนึ่งมันคือหุ่นยนต์นักไต่เขา เป็นตัวสำคัญมาก แล้วผมอยากให้เป็นโน้สมาสวมบท ตั้งแต่คิดตัวละครตัวนี้ขึ้นมา ตอนที่บอกอุดมให้มารับบทนี้ ผมบอกว่าบทไม่เยอะเลยแต่บทสำคัญมาก เพราะเป็นตัวที่ทำให้เรื่องดำเนินต่อไปได้ด้วยคำพูดของเขา เขาตั้งคำถามที่ทำให้ตัวละครเอกต้องทบทวน ที่เลือกอุดมมาพากย์ตัวนี้ก็เพราะ ตัวละครตัวนี้เหมือนคนพูดจาไร้สาระ แต่ตรงที่ไร้สาระนั้นเป็นสาระที่สุด เอ็กซ์ออกแบบหุ่นตัวนี้ให้มีอุปกรณ์ปีนเขาเต็มไปหมด รวมไปถึงขาที่เป็นจุกแบบติดผนัง และเสาอากาศที่เป็นล้อบนหัวเพื่อให้กลิ้งตัวไปมาแบบกลับหัวได้ แม้จะบทน้อยแต่อุดมกลับพากย์อย่างสนุก เขาให้ผมเลือกสามสี่แบบ แบบนักเลงปากซอย แบบลุงขี้บ่น แบบคนใต้ อีกเหตุผลหนึ่งที่เลือกอุดมมารับบทนี้ก็เพราะ ตัวละครตัวนี้มีความคิดอยากทำสิ่งที่คนอื่นคิดว่าเป็นไปไม่ได้นั่นคือการปีน ไปหาดวงอาทิตย์ ซึ่งผมคิดว่าอุดมเองก็เป็นศิลปินที่มุ่งมั่นคนหนึ่ง ผมว่าเขาทำสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ให้เราเห็นหลายครั้งแล้วนะ, มีคนถามว่าหน้าตาของหุ่นมีคนถามว่าทำไมไม่มีจมูกใหญ่ๆ ผมคิดว่าหุ่นถ้ามีจมูกมันมีหน้าตาเป็นคนมากไปแล้วการออกแบบให้ไม่มีจมูกแต่ ยังดูออกว่าคล้าย มันเป็นความสนุกและท้าทายอย่างหนึ่งนะ

          Q.นอกจากนี้ก็จะมีอีกหลายๆ คนที่มาร่วมด้วยช่วยกันสร้างสีสันให้กับตัวละครอื่นๆ ในลักษณะของ cameo รับเชิญ
          J. คือพอโปรดักชั่นเฮ้าส์พอสตูดิโอเราอยู่ที่นี่ปุ๊บ (เวิร์คพอยท์) มันอยู่ใกล้โรงถ่ายมาก บางอารมณ์มานั่งนึกว่าจะหาใครมาพากย์เป็นตัวประกอบดีนะ เดินผ่านมาเราก็เรียกเลยตุ๊กกี้!!มาฝากเสียงใส่ไว้ให้หน่อยนะได้เลยค่ะพี่ ส้ม (ส้มเช้ง) มาเลยๆ กลายเป็นว่าเราได้มืออาชีพเลย ต้องไปลองนั่งฟังดูว่าจะร้องอ๋อ อย่างส้มเช้งเล่นเป็นเมียนายกเทศมนตรี ขี้โวยวาย ไปฟังเสียงแล้วจะรู้ ตุ๊กกี้เดินมาหามาปรึกษาอะไรบางอย่าง ถ้าผมพี่ทำอะไรอ่ะ คุมพากย์หนังอยู่ หนูเอาด้วย เป็นตัวประกอบก็ได้ ก็ให้เข้าไปห้องพากเลย แล้วก็จะเป็นพวกทีมงานที่เข้าไปช่วยลงเสียง ครีเอทีฟที่เวิร์คพอยท์ นักดนตรี เข้าห้องพากย์เป็นตัวประกอบกันหมด ก็มันมีหุ่นเป็นร้อยๆ ตัว คนที่พากย์เยอะสุดคือบัวไร (พัลลภ สินธุ์เจริญ) รับหน้าที่ร่วมเขียนบทภาพยนตร์และเป็นผู้ช่วยผู้กำกับ

          Q. ทราบมาว่าแอนิเมชั่นเรื่องยักษ์นอกจากเสียงพากย์ในเวอร์ชั่นเสียงไทยแล้วยัง มีการทำงานควบคู่กันไปในเวอร์ชั่นเสียงภาษาอังกฤษด้วย
          J. เวอร์ชั่นเสียงภาษาอังกฤษเราได้ ทอดด์ ทองดีเป็นคนที่ช่วยหามา แล้วก็เอามาให้คัด ก็มีเอาฝรั่งที่อยู่เมืองไทยบ้างอยู่แถวๆ นี้บ้างอยู่สิงคโปร์บ้าง ที่ผมให้ฝรั่งมาช่วยดูการพากย์เวอร์ชั่นนี้เพราะฝรั่งเขาจะไม่ตีความเหมือน เรานะ มุกอย่างเดียวกันฝรั่งจะเปลี่ยนเป็นอะไร ที่สำคัญน้ำเสียง เราคนไทยบางทีเราก็ฟังไม่ออกว่า น้ำเสียงประชดหรือโกหกกำกวมน้ำเสียงจะเป็นอย่างไร แล้วก็อยากได้ฝรั่งที่เข้าใจภาษาไทยมากๆ ด้วย ทอดด์เหมาะด้วยประการทั้งปวง แน่นอนเขาเก่งทั้งสองภาษา หนำซ้ำยังเป็นนักเขียนนักแต่งเพลงเหมือนผม แล้วสนิทกันรู้ทางกัน เขาฟังเพลงผมมาเยอะ รู้มุกคนไทยแล้วรู้วิธีที่จะแปลงเป็นฝรั่ง อย่างเช่นเผือกเขาตีความว่าตัวละครตัวนี้จะเป็นนิวยอร์กเกอร์ เขาตีความว่ายักษ์น้าเขียวเป็นพวกแอลเอ คนขายเหล้าก็จะเป็นพวกไอริช หรืออย่างพวกเม็กซิกันก็จะเป็นพวกลุงช่างเราก็เออเขาตีความไม่เหมือนเรา เพราะเราคนไทยเราตีความว่าแค่นิสัย เพราะคนไทยสำเนียงคล้ายกันกันหมด แต่เขาตีความเป็นน้ำเสียงเป็นเผ่าพันธุ์ในโลกสากล
อย่างหุ่นที่ปีนเขา เราก็จะไปเชิญโน้สเพราะโน้สเขามีภาพพจน์อย่างหนึ่งอยู่ในเมืองไทย แต่ทอดด์ตีความว่าพวกปีนเขาพวกนี้เป็นพวกออสเตรเลียพวกที่ชอบแอดเวนเจอร์ หรืออย่างสดายุเขาบอกว่าต้องเป็นผู้หญิงผิวดำเท่านั้นเหมือนพวกขี้บ่นตลอด เวลา มีเรื่องน่ารักของคนที่พากย์เป็นสดายุเวอร์ชั่นฝรั่งด้วย เขาเป็นนักร้องผิวดำอเมริกันที่เซ็นสัญญามาร้องแถวเอเซียไม่กี่เดือน ทอดด์ทาบทามต่อๆกันมา เขาพากย์ดีมากๆ ใช้เสียงเป็น คงเพราะเป็นนักร้องอาชีพด้วย เขามากระซิบกับทอดด์ทีหลังว่าเขาหลงใหลการ์ตูนมาตั้งแต่เด็กและเคยฝันไว้ว่า อยากเป็นนักพากย์การ์ตูน ไม่คิดว่าฝันจะเป็นจริงได้ คนที่พากย์เป็นเผือกนี่ก็รู้สึกว่ามาจากนิวยอร์กมา เป็นคนโปรดักชั่น เป็นคนเขียนบทด้วย รู้สึกจะมาแถวเอเซียมาทำสกู๊ปอะไรสักอย่าง คนนี้ก็พากย์สนุกมาก อาจเป็นเพราะเป็นเคยเป็นคนเขียนบท เข้าใจเรื่องพวกนี้เร็ว

FB on October 05, 2012, 04:13:57 PM
         Q. ฟังดูแล้วเป็นความตั้งใจตั้งแต่เริ่มแรกเลยว่าแอนิมชั่นเรื่องยักษ์นี้จะไม่จบอยู่แค่คนดูแอนิเมชั่นในบ้านเรา
          J. ก็ตั้งใจจะทำให้เป็นสองภาษาตั้งแต่แรกเลย เพราะฉะนั้นในการทำงานพี่ก็ถือว่าเอาคนไทยเป็นต้นฉบับ ปากทุกคำ ขยับปากเป็นภาษาไทยเป๊ะ สระอูสระโอเป๊ะ สิ่งที่ยากมากคือทอดด์จะต้องมานั่งข้างๆ เพราะว่าภาษาอังกฤษเคยถูกแปลมาแล้วทีหนึ่งโดยเดลล์ ซึ่งเป็นนักเขียนบทที่อเมริกา แปลไปแล้วรอบหนึ่งแล้วก็ถูกเกลาไปแล้วอีกหลายรอบเหมือนกันเพราะในแง่ด้วยของ เรื่องภาษา จนมาถึงมือทอดด์อีกครั้งหนึ่งเนื่องจากทอดด์เก่งภาษาไทยมาก และนั่งคุยกันว่าท็อดด์ต้องตรงปากให้ขยับใหม่ภาษาใหม่แล้วก็ใส่มุกฝรั่งลงไป แทนภาษาไทย แล้วเชิญคนฝรั่งชาติอื่นที่ไม่ใช่อเมริกันมานั่งดูด้วย เขาขำในมุกอเมริกันของคุณหรือเปล่าเอาขนาดนั้นเลย ตัวอย่างเช่นในไทยเขาร้องว่าสนิมคือชื่อหนู มันลงท้ายสระอูคนแรกที่แปลแปลไว้ว่า รัสตี้อีสมายด์เนม ความหมายตรงแต่ปากมันไม่ตรงกันทอดด์ต้องทำงาน ก็จะกลายเป็นรัสตี้เยสอีสทรู แล้วค่อยเป็นอิสมายเนมคือความหมายเหมือน เดิมแต่เขาแค่ให้ขยับคำใหม่ ดูภาษาฝรั่งแล้วเราอาจจะงงว่านี่มันหนังฝรั่งนี่นาเพราะว่าปากมันค่อนข้าง ใกล้มาก

          Q. กลายเป็นว่าการที่ได้ทอดด์ ทองดีที่เป็นชาวต่างชาติพูดเข้าใจและรู้จักภาษาไทยดีแถมมีพื้นฐานทางด้าน ดนตรีด้วยมารับหน้าที่ควบคุมดูแลการกำกับเสียงในแอนิเมชั่นยักษ์ในเวอร์ชั่น เสียงภาษาอังกฤษจึงเป็นอะไรที่ลงตัว
          J. ทอดด์เขาเหมือนผมเป็นนักแต่งเพลง พอมีมิวสิคคัลมีร้องเพลงไทยเขาก็แปลเป็นเพลงฝรั่งให้ คำบางคำฝรั่งมันไมมีจริงๆ ทอดด์ต้องหาให้ใกล้เคียงที่สุด อย่างสำนวนต่างคนต่างมาที่ผมเอามาแต่งเพลง ทอดด์คิดหนักมากเพราะแค่สี่คำความหมายของไทยไปได้ไกล เขาก็จะเสนอคำอื่นที่ไม่ตรงนักแต่ได้อารมณ์เดียวกัน

          Q. อยากให้พี่จิกเล่าให้ฟังถึงขั้นตอนในการทำแอนิเมชั่นเรื่องยักษ์หลังจากที่ ได้ตัวบทเรื่องราว ได้ตัวคาแรคเตอร์ดีไซน์ได้ตัวนักแสดงแล้ว
          J. พอได้บทร่างแรกๆ ที่เราคิดว่าใกล้กับความคิดมากที่สุดแล้ว ก็ลองแคสติ้งระหว่างที่แคสติ้งก็ทำงานไปพร้อมกับการวาดสตอรี่บอร์ดไปเรื่อยๆ เหมือนสตอรี่บอร์ดหนังแต่ก็จะละเอียดกว่าหน่อยละเอียดในมุมกล้องนะเพราะจาก บอร์ดจะถูกนำไปสร้างเป็นเลย์เอาท์ เลย์เอาท์นี่คือเป็นภาพร่างของหนังที่เป็นเหมือนกับดูหนังได้เลยแต่ยังไม่ ได้แอนิเมท อย่างเช่นจะมีตัวละครเดินทางแบบนี้มีกล้องเป็นแบบนี้มีพูดอย่างนี้คุยกันแบบ นี้แล้วตัดไปเป็นแบบนี้ รู้ด้วยนะว่ามีกี่คัทมีกี่ช็อตรู้หมดในเลย์เอาท์ คนทำเลย์เอาท์ต้องรู้เรื่องมุมกล้องแล้วมีฟิลของคนตัดต่ออยู่ขั้นตอน เลย์เอาท์นี่ถือว่าสำคัญมาก
          มันเหมือนภาพร่างที่สองหลังจากสต อรี่บอร์ด แต่มันมีอารมณ์มากกว่าสตอรี่บอร์ด แล้วก็มาผมกับทีมงานก็จะมานั่งดูกัน มุมกล้องเป็นแบบนี้เคลื่อนกล้องแบบนี้ยาวไปสั้นไป ทิศทางใช่ไหมแล้ว จบที่เลย์เอาท์ก็จะประชุมกับแอนิเมเตอร์ ฉากนี้มันมีความหมายอย่างไร แต่ละตัวละครรู้สึกอย่างไร มันเคลื่อนไหวแบบไหน เร็วช้า แอนิเมเตอร์แต่ละคนก็จะแยกกันทำ แล้วก็เอามาประกอบร่างกันเป็นหนึ่งซีน และก็มาดูทั้งซีนอีกทีหนึ่งที่ประกอบร่างแล้วเป็นยังไงบ้างเอาฉากใส่เอาตัว ละครเข้าไปใส่และก็เริ่มเรนเดอร์จัดแสงก่อน ไฟอยู่ตรงนี้กลางวันกลางคืนมีแสงตกตรงนี้หน่อยมีอะไรไหมก็ว่ากันไปมีพระ อาทิตย์ไหม ทำเสร็จแล้วก็มาคอมโพสต์ใส่สีเพิ่มตรงนั้นจะโฟกัสยังไงมีชัดหลังเบลอลึกก็ ว่ากันไปก็ใส่เอ็ฟเฟ็กต์จะควันจะไฟเอามาเติมลงไหม ถึงเสร็จแล้วก็มานั่งดู แล้วก็มานั่งปรับ

          Q. กว่าจะออกมาเป็นภาพที่สวยงามลงตัวอย่างที่เห็น เห็นบอกว่าไม่ว่าจะเป็นตัวละคร หรือฉากแต่ละฉากต้องผ่านการออกแบบออกมาหลายร่างมากๆ
          J. เยอะๆ แต่ละร่างก่อนที่เราจะทำฉากแต่ละฉาก เราจะทำนี่ขึ้นมาดูก่อนๆ “คอนเซ็ปท์อาร์ต” ของแต่ละซีน ว่าตัวหนังจะออกมาเป็นอย่างไรนะ เหมือนสร้างบ้านต้องมีแปลนแล้วต้องมีภาพ perspective เคยเห็นใช่ไหม ภาพสีสวยๆ ดูเป็นแนวทางว่าบ้านเสร็จแล้วจะเป็นอย่างไร แต่ในแอนิเมชั่นนี่ต้องใช้ภาพคอนเซ็ปอาร์ตเยอะมาก คนทั้งทีมจะได้เห็นภาพตรงกัน ว่าบรรยากาศรวมๆ มันเป็นอย่างไร

          Q. พวกฉากเหล่านี้เป็นแรงบันดาลใจหรือเอามาจากสถานที่จริงหรือเป็นจินตนาการที่สร้างขึ้นมาใหม่
          J. ก็ส่วนใหญ่มันจะมาจากประสบการณ์ของเรานะของแต่ละคน อย่างในหนังเราก็จะเห็นฉากเซียงกงที่เขาวิ่งหนีกันที่ขายของเหมือนกับบ้าน เราที่ตึกด้านหน้าเป็นที่สวยๆ แต่พอเข้าไปในซอยก็จะเป็นอะไรที่อีเหละ เขะขะ ที่พวกหุ่นวิ่งไล่กัน อันนี้ผมเอาความเป็นไทยๆ แบบทุกวันนี้ใส่ลงไปเลย บางทีเราก็ไปถ่ายรูปของจริงมาศึกษากัน ฉากตลาดนัดเราเอาตลาดนัดไทยเลย มีกระบุงกระจาดแล้วเราก็เปลี่ยนให้เป็นหุ่นยนต์ซะ บางทีเราก็อธิบายกันแบบไทยๆ ท้องฟ้าเช้าเหมือนตอนใส่บาตรพระนึกออกไหม คนจัดแสงจะนึกออกทันที เราสร้างฉากกันเยอะมาก ฉากสงครามฉากแรกที่เป็นสมรภูมิ, ฉากเมืองเป็นเมืองเซียงกง, ฉากเดินทางในทะเลทราย, ฉากโรงไฟฟ้า, ฉากบาร์, ฉากสนามแม่เหล็ก, ฉากเสาสูงเสียดฟ้า, ฉากสนามเด็กเล่น, ฉากปาหี่ของกุมภกรรณ
          แล้ว แต่ละฉากคนขึ้นโมเดลก็ต้องมานั่งเขียนอุปกรณ์ประกอบฉากเติมเข้าไปๆ อีกไม่รู้กี่ร้อยกี่พันชิ้นแล้วเอาไปวาง เวลาเราพูดว่าฉากใหญ่นี่คือมันใหญ่จริงๆ นะ เราต้องสร้างขึ้นมาเลยเราต้องสร้างโมเดลฉากขึ้นมาเหมือนจริงเป็นพันๆ ไร่เหมือนของจริง เหมือนไอ้ยักษ์ที่เป็นทีเซอร์นี้ต้องสร้างโมเดลขึ้นมาใหญ่ๆ เลยอันหนึ่ง เสาใหญ่มาก ท้องฟ้าใหญ่ตามไปหมด ฉากยิ่งใหญ่ก็ยิ่งใช้เมมโมรี่ของคอมฯมาก เรนเดอร์ก็จะช้ามากข้ามวันข้ามสัปดาห์ เพราะผมอยากให้มันสวยเหมือนจริง แค่กล้องโคลสอัพดวงตาตัวละคร ฉากแวดล้อมทั้งหมด ผมอยากให้เห็นมันสะท้อนอยู่ในดวงตาด้วย

          Q. มีฉากไหนง่ายสุดหรือใช้เวลาน้อยสุด
          J. ฉากตัวหนังสือเครดิตขึ้นตอนจบ (หัวเราะ)

          Q. ในส่วนของพาร์ทที่เป็นดนตรีประกอบของภาพยนตร์ที่ค่อนข้างโดดเด่นและมีความสำคัญมากๆ
          J. จักรพัฒน์ เอี่ยมหนุน เป็นคนทำ เพราะถือว่าเป็นมือดนตรีคู่ใจที่สุดแล้ว เราทำเพลงกันมาไม่รู้กี่แบบต่อกี่แบบ แค่ฮัมก็รู้แล้วว่าผมต้องการอะไร หนังที่เนื้อเรื่องใหญ่ๆ อย่างนี้อย่างไรก็ต้องออเคสตรา เรื่องนี้
          จักร พัฒน์ต้องทำทั้งสองแบบที่ผมอยากได้คือละเอียดตามความเคลื่อนไหวที่การ์ตูน มันขยับ ของตก คนวิ่ง โซ่สะบัด ดนตรีจะวิ่งตามเลย แล้วเอามาเข้าจังหวะ อีกส่วนก็คือการบิวท์อารมณ์ซึ่งสำคัญมากเพราะหนังเรื่องนี้มันมีอารมณ์เยอะ ส่วนเพลงประกอบภาพยนตร์ที่พี่เลือก Room39 เพราะวงเขามีสามคนมันตรงกันเลย กับมิตรภาพสามคน เขียว เผือก สนิม วงเขามีผู้ชายสองคนผู้หญิงหนึ่งคนตรงกันเป๊ะเลย โดยมีแสตมป์มาแต่งให้คือพี่คิดอยู่แล้วว่าพี่จะต้องมีเพลงตอนจบที่พูดเรื่อง นี้แล้วพี่ก็คิดถึงแสตมป์ขึ้นมา พี่ชอบภาษาเขาวัยรุ่นแต่ลึก มีคนถามทำไมไม่เขียนเอง ในเรื่องเขียนเยอะแล้วอยากได้ลายมือคนอื่นบ้าง อยากให้หนังเรื่องนี้เป็นความร่วมมือร่วมใจกันของหลายๆ ศิลปิน แสตมป์ก็ยินดี นั่งคุยกันเปิดฟุตเตจให้ดูสักครึ่งเรื่อง เปิดให้ดูตอนจบหน่อย ก็ได้เพลงนี้มา

          Q. พอได้เห็นเนื้อได้ฟังเสียง Room39 แล้วเป็นไงบ้าง
          J. ผ่านไปสักเดือนสองเดือนแสตมป์เขาก็ส่งท่อนแรกมาให้ฟังก่อนหลังจากที่ได้คุย กัน เราก็ส่งอีเมล์ตอบกลับไปว่าแต่งต่อได้เลยทางนี้แหละ ส่วนเสียงร้องของ Room39 พอได้ฟังก็ดี เขาเป็นเพื่อนกันจริงๆ ด้วยมันก็ยิ่งเข้ากับหนัง มีความเป็นเพื่อนสูงมากเลย แล้วพอทำเพลงเสร็จรู้สึกว่าอยากทำ MV จำได้เคยชวน
          เอ๋-นิ้วกลม มาดูหนัง ถามอยากทำไหม ปล่อยอิสระให้คิดเองเลย เขาบอกว่าถ้าเป็นวัยรุ่นอยากทำอะไรให้มันป๊อปให้มันสัมผัสได้ ให้เป็นเรื่องมิตรภาพ เรื่องคนที่เป็นเพื่อนกัน เพราะมีความรู้สึกว่าถ้า Room39 มาร้อง แล้วถ้าให้เขาทำ MV มันคงจะพูดถึงเรื่องมิตรภาพ นี่เป็นไอเดียของเขานะเพราะว่าเขาเป็นนักทำโฆษณานะ ก็เลยบอกว่าก็ทำเองเลยเอ๋ เขาก็ยินดีทำมันก็เลยออกมาเป็น MV ที่เราจะเห็นมิตรภาพความผูกพันของเพื่อนหลายลักษณะ น่ารักดี MV ไม่ได้พูดถึงหนังเลยนะ ซึ่งผมก็ชอบมาก

          Q. การ์ตูนแอนิเมชั่นเรื่องยักษ์ถูกวางไว้ตั้งแต่เริ่มต้นแล้วว่ายังไงต้องมุ่งหน้าสู่ตลาดต่างประเทศให้ได้ด้วย
          J. ครับ ตั้งแต่หนังเพิ่งทำไปสักสิบเปอร์เซ็นต์ก็ลองเอาไปให้เขาดู เริ่มจากนักธุรกิจสื่อในญี่ปุ่นที่เราสนิทก่อน เป็นอย่างไรยอมรับในโปรดักชั่นในควอลิตี้ของเราไหม เขาตื่นเต้นนะ ก็เริ่มเอาออกไปขายบ้างอะไรบ้างไปถึงบริษัทร่วมลงทุนที่อเมริกา ทุกประเทศชอบหมด ทุกคนถามประโยคซ้ำๆ เมดอินไทยแลนด์จริงหรือ แต่ถึงเขาจะชอบหนังสิบยี่สิบเปอร์เซ็นต์ของเรามาก แต่เขาก็ยังคิดว่าเราจะทำจบหรือ คือเขาเคยโดนประเทศเล็กๆ ทำหนังตัวอย่างมาหลอกขายแล้วหนีไม่ทำต่อมาเยอะแล้ว ถึงตอนนี้หนังก็จบทั้งเรื่องแล้ว ต่อไปคงจะคุยได้ง่ายขึ้นเพราะเรามีตัวอย่างหนังเต็มๆ แล้ว

          Q. ไม่กลัวคนต่างชาติไม่รู้จักรามเกียรติ์หรือ
          J. เป็นสิ่งแรกที่คิดตอนเขียนบท หนังเรื่องนี้ต่อให้คนที่ไม่รู้จักรามเกียรติ์เลยต้องดูรู้เรื่อง ไม่ว่าจะเป็นคนรุ่นใหม่หรือคนต่างชาติ และต้องดูสนุกด้วย ผมเอารามเกียรติ์มาแต่ตัวละครเอามาแต่ฉากสำคัญบางฉาก แล้วตัวละครทุกตัวเราปูคาแรคเตอร์หมด ทดลองฉายมาแล้ว ฝรั่งดูรู้เรื่องและชอบในความคิด ไอ้ครั้นที่จะใส่ดนตรีไทยลงไปเลยผมกลับคิดว่าก็เรากำลังจะบุกตลาดโลกอยู่ เราจะขายความเป็นไทยแบบทื่อๆ ไม่น่าจะเหมาะ คนดูเขาไม่ได้มาเที่ยวเมืองไทยแล้วมากินอาหารไทยแล้วดูรำไทย คนดูเขากำลังดูหนัง
          เราใส่บางอย่างลงไปให้มีวิญญาณไทยแค่นี้ ก่อน คือโจทย์นี้ผมว่าเราต้องตีให้แตก เอ๊ะเราควรจะใส่ดนตรีไทยไหม เขาไม่รู้จักนะเพราะหนังญี่ปุ่นเขาไม่ใส่ดนตรีญี่ปุ่นนะ เราต้องออกแบบตัวละครให้ไทยจ๋าไหมหรือเอาแค่มีกลิ่นอาย ผมว่าเรากำลังทำหนังให้เป็นสากล เราไม่ควรยัดเยียดวัฒนธรรมแท้ๆ ที่เรารักลงไปในหนังขนาดนั้น สมมุติมีหนังจากสเปนที่มีเพลงสเปนแท้ๆ คนไทยยังไม่สนใจเลย ผมคิดอย่างนี้ไม่ว่าอย่างไรความเป็นไทยอย่างไรมันก็อยู่ในหนัง เพราะคนไทยเป็นคนทำ ในหนังมีการยกมือไหว้ มีการแสดงความเคารพนอบน้อม มีลายอะไรบางอย่างที่ฝรั่งไม่มีทางเขียนได้อยู่ในตัวละครในฉาก แม้แต่ทำนองเพลงในดนตรีประกอบมันก็มีสเกลของเพลงไทยอยู่

          Q. เสียงตอบรับที่สะท้อนกลับมาจากต่างประเทศ
          J. แทบทั้งหมดยอมรับในคุณภาพว่าเป็นสากล บางคนให้เกียรติเราว่างานที่ออกมาเทียบเท่างานจากฟากฮอลลีวู้ด หลายประเทศสนใจอยากซื้อไปฉาก รัสเซีย แคนาดา เกาหลีนี่เซ็นสัญญาซื้อแล้ว ขายเกาหลีได้นี่ทีมงานหลายคนดีใจเลยนะ สงสัยเป็นเพราะคนไทยเราซื้อเขามาเยอะแล้วอยากขายเขาบ้าง แล้วก็มีอีกหลายประเทศอยากจ้าง อยากชวนเราร่วมทุนกับเขา บางเจ้าอยากย้ายงานที่จ้างมาเลเซียผลิตอยู่มาให้เราทำแทน แต่เรื่องรับจ้างผมยังเฉยๆ นะ ผมอยากทำหนังจากเมืองไทยไปฉายในตลาดโลกมากกว่า ยังไงก็อยากอวดฝีมือเด็กไทยทั้งงานศิลป์และความคิดจากคนไทย เด็กไทยยังมีเก่งๆ อีกเยอะครับ

          Q. พี่จิกคิดว่าหลังจากใช้เวลากว่า6ปีที่ทุ่มเทไปกับแอนิเมชั่นเรื่องยักษ์จน ตอนนี้เสร็จสมบูรณ์แล้วคิดว่าสิ่งที่เราได้รับกลับคืนมา
          J. ก็เหมือนปลูกต้นไม้ ตอนนี้มันโตแล้ว มันจะสร้างร่มเงาให้คนได้ร่มรื่นหรือเปล่า ให้คนได้กลิ่นได้ผลได้อะไรจากมันหรือเปล่า ก็แล้วแต่คนมองแล้ว หน้าที่ของผมคนทำมันจบไปแล้ว สิ่งหนึ่งที่รู้สึกเลยนะ ความรู้ในการทำแอนิเมชั่นเรื่องนี้ไม่อยากให้หายไป ผมทำไปศึกษาไปนี่องค์ความรู้อันนี้เป็นของใหม่ในเมืองไทยเลยนะ ผมบอกได้เลยนะไม่ง่ายเหมือนที่ทุกคนคิด ผมอยากถ่ายทอดนะ และผมยืนยันเด็กไทยเก่งเยอะ เก่งเยอะมาก พวกเขาขาดการสนับสนุน ขาดคนเดินนำ ผู้ใหญ่บ้านเราต้องทำหน้าที่นี้ ไม่ว่ารัฐหรือเอกชน และไม่ว่าหนังเรื่องนี้จะประสบความสำเร็จหรือเปล่าก็ตาม ผมว่าผมดีใจอย่างหนึ่งที่ได้ลองนำเดินไปก่อน ดีหรือเปล่าไม่รู้ เจ็บตัวหรือเปล่าไม่รู้ แต่โคตรจริงใจ อยากทำมานานแล้ว งานที่คนต่างชาติดูแล้วยอมรับ แล้วก็อยากบอกน้องๆที่ร่ำเรียนด้านนี้อยู่ เดินต่อไปอย่าหยุด งานของคนไทยไปได้ไกลกว่านี้ คิดไปไกลๆ โน่นตลาดโลก อย่ามัวแต่มากระแนะกระแหนทำลายกำลังใจกันเอง โจมตีกันเอง แข่งกันเอง วันนี้เราทำได้แค่นี้เราก็ทำไปแก้ไป ทำให้สุดตัว เราไม่แพ้ใครจริงๆ

          Q. อะไรที่ทำให้พี่จิกคิดว่าเราสามารถทำแอนิเมชั่นที่ใช้เวลายาวนานขนาดนี้ได้ จนเสร็จเพราะบางคนอาจคิดว่าการใช้เวลาถึง6ปีก็ไม่เอาแล้วเพราะอย่างพี่จิก เองถือได้ว่ามีหน้าที่ความรับผิดชอบในงานประจำเต็มมืออยู่แล้ว
          J. อย่างแรกนะต้องมีความสุขกับมันก่อนในทุกวินาทีที่ทำเลย ก็ถ้าเราไม่ปลีกเวลามาเราก็ไม่มีเวลานะ เหมือนวิ่งจ๊อกกิ้ง คนที่ไม่ไปวิ่งเพราะว่าไม่มีเวลาอ้างว่าไม่มีเวลา ผมทำหนังเรื่องนี้ทำทุกวันทำจนเหมือนเป็นกิจกรรมอย่างหนึ่งเหมือนต้องไปกิน ข้าวไปวิ่ง บางทีดูเหมือนว่าเราไม่ได้ทำงานอาจเป็นเพราะว่าเราตื่นมาแล้วเราสนุก เวลาที่เราเหนื่อยแล้วสนุกนี่ดีจะตาย ไอ้ตอนเหนื่อยเราไม่ค่อยรู้สึกจะรู้แต่เสร็จแล้วจะเห็นว่ามันดี เห็นว่ามันงอกเงยในแง่ของงาน
          เหมือนเราปลูกบ้านปลูกต้นไม้ที่ เราค่อยเห็นมันเติบโตขึ้นทีละนิดเห็นของใหม่เกิดขึ้นทุกวัน เอ๊ะอีกวันเห็นเป็นอย่างนี้พออีกวันเห็นเกิดขึ้นเป็นอีกอย่าง คือมันงอกทุกวันมันไม่เหมือนกับถ่ายหนังคนนะ เพราะถ้าถ่ายหนังคนเราสามารถดูกันได้เลย อย่างวันนี้ทำได้แค่นี้ อีกวันยักคิ้วแล้วอีกวันมีแสงมาแล้ว แล้วมันงอกเงยในแง่ของคนด้วย เพราะว่าคนที่เราเรียนรู้มาด้วยกันมีความรู้เพิ่มขึ้น มีความรักเพิ่มขึ้น ทำให้เรารู้สึกว่ามันมีอนาคต ต่อให้หนังไม่ทำเงินเลยก็รู้สึกว่ามันมีอนาคต ไม่ใช่แค่อนาคตของหนังเรื่องนี้เท่านั้นนะ มันเป็นอนาคตของคนที่ชอบแอนิเมชั่นด้วย

          Q. คิดว่าต้นทุนความฝันครั้งนี้มันคุ้มไหมกับผลที่เกิดขึ้น
          J. ยิ่งกว่าคุ้มครับ ทุกครั้งที่ผมมองไปยังกลุ่มน้องๆ ที่กำลังนั่งขยับตัวละครให้มีชีวิตอยู่หน้าคอมฯ มองดูน้องๆ ทำงานกันอย่างขะมักเขม้น ผมแอบเห็นตัวเองตอนหนุ่มๆ อยู่ตรงนั้น อย่างที่บอกผมกำลังปลูกอะไรบางอย่าง เวลาที่เราปลูกอะไรนี่ มีหรือไม่คุ้มต่อให้เป็นหัวหอมผักชีก็เถอะ ดินบ้านเรามันดีจริงๆ

          Q. เส้นทางนี่ยังไปได้อีกไกลแค่ไหน
          J. อันที่หนึ่งคนไทยมีฝีมือ มีฝีมือเลยในแง่ศิลปะ ใครๆ ก็รู้ในเอเชียว่าคนไทยมีฝีมือมากในแง่ของศิลปะ รากเราลึก วิญญาณทางศิลป์เราพลิ้ว ในแง่ของวัฒนธรรมรากเราใหญ่และลึก ประวัติศาสตร์เรายาวนาน ในขณะเดียวกันทรัพยากรเราที่มีอยู่ในแง่ของเนื้อหาอารมณ์หรือว่าคอนเซ็ปท์ บ้านเราไม่ด้อยกว่าใครนะ ขออย่างเดียวอย่าทะเลาะกัน ทุกวงการแหละครับ

          Q. พี่จิกกำลังจะบอกว่าที่ผ่านมาคนนั้นเก่งคนนี้เก่ง แต่จริงๆ แล้วทุกคนเก่งหมด แต่ลึกๆ แล้วพื้นฐานที่มันจะต่อยอดให้คนได้เก่งขึ้นไปอีก ไม่ได้วัดกันแค่แชมป์ที่ 1, 2, 3
          J. คือบ้านเราดินอุดมนะ ดินอุดมทางด้านศิลปะมากด้วยซึ่งถ้าจะว่าไปแล้วผมเลยคิดว่าศิลปินบ้านเราทุก คนพร้อมที่จะงอกรากได้เยอะเลยก็ดีนะที่พอเราได้มาทำตรงนี้มันก็จะมองเห็น โอกาส แต่ต้องสร้างสมดุลกันหน่อย บาลานซ์กันหน่อย บาลานซ์อีคิวกับไอคิว บาลานซ์ความต้องการตัวเอง จะชั่งอย่างไร

          Q. ความหมายของยักษ์ในมุมมองของประภาส ชลศรานนท์
          J. คนไทยแปลยักษ์ได้สองความหมาย ใหญ่ และร้าย ผมตั้งคำถามอะไรบางอย่างในหนังเรื่องนี้ เราจะเป็นยักษ์ไหม แล้วเราจะยิ่งใหญ่โดยที่ไม่ต้องโหดร้ายได้ไหม

FB on October 08, 2012, 03:10:04 PM
เอาใจคอแอนิเมชั่นทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติ “ยักษ์” เปิดฉายให้เลือกชม 2 ภาษา “เสียงไทยและอังกฤษ” พร้อมคำบรรยาย
 


MOVIE GUIDE: ตัวอย่าง “ยักษ์” Version ภาษาอังกฤษ
<a href="http://www.youtube.com/watch?v=LD1nX7aib6g" target="_blank">http://www.youtube.com/watch?v=LD1nX7aib6g</a>

[Audio] We Were Born To Be Friends (Ost. YAK The Giant King)
<a href="http://www.youtube.com/watch?v=y9-5MLwkmbA" target="_blank">http://www.youtube.com/watch?v=y9-5MLwkmbA</a>

          เปิดมิติใหม่ทั้งในส่วนของคุณภาพในเนื้องานการผลิตแอนิเมชั่นไทยที่ใช้ทุนสร้างกว่า 100 ล้านบาทและใช้เวลาถึง6ปีเต็มสำหรับ “ยักษ์” ภาพยนตร์แอนิเมชั่นสัญชาติไทยที่ “สหมงคลฟิล์มอินเตอร์เนชั่นแนล” และพันธมิตรอย่าง “บ้านอิทธิฤทธิ์ ซูเปอร์จิ๋ว และเวิร์คพิคเจอร์ส” มาร่วมผนึกกำลังผลักดันฝันของครีเอทีฟนักคิดนักเขียนนักแต่งเพลงมือ1ของประเทศอย่าง “จิก ประภาส ชลศรานนท์” ที่กลั่นสมองและสองมือกำกับภาพยนตร์เรื่องยักษ์จนเสร็จสมบูรณ์พร้อมเตรียมเข้าฉายให้คอภาพยนตร์ทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติได้ร่วมเป็นส่วนหนึ่งและสนุกสนานไปกับเรื่องราวการผจญภัยของ หุ่นยักษ์น้าเขียว (ทศกัณฐ์) และหุ่นกระป๋องเผือก (หนุมาน)

          โดยแอนิเมชั่น “ยักษ์” จะฉายทั้งในระบบฟิล์ม และระบบ DIGITAL โดยในระบบ DIGITAL มีให้เลือกชมทั้งในรูปแบบของเสียงภาษาไทยพร้อมคำบรรยายภาษาอังกฤษ และในรูปแบบของเสียงภาษาอังกฤษที่จะฉายพร้อมคำบรรยายภาษาไทย
 
          สำหรับโรงภาพยนตร์ที่ฉายในระบบเสียงภาษาอังกฤษ พร้อมคำบรรยายภาษาไทยมีให้เลือกชมดังนี้
-โรงภาพยนตร์สยามพารากอนซีนีเพล็กซ์
-โรงภาพยนตร์เอสเอฟเวิลด์ซีเนม่า เซ็นทรัลเวิลด์
-โรงภาพยนตร์เอสเอฟเอ็กซ์ ซีเนม่า เอ็มโพเรียม
-โรงภาพยนตร์เอสพลานาด รัชดาภิเษก
« Last Edit: October 18, 2012, 08:05:54 AM by FB »