FB on September 14, 2012, 03:33:24 PM
บทสัมภาษณ์ เหมี่ยว ปวันรัตน์ นาคสุริยะ ผู้พากย์เสียง สดายุ ในภาพยนตร์แอนิเมชั่น เรื่อง “ยักษ์”


 
          เหมี่ยว ปวันรัตน์ นาคสุริยะ กับบทบาทพิเศษ“สดายุ”
          นกเหล็ก สุดเก่าเก๋าไม่กลัวใคร ผู้ถือคติ บินไป บ่นไป
          อีกหนึ่งตัวละครที่สร้างมาเรียกเสียงฮาก๊ากจากผู้ชม

          Q: โดยส่วนตัวแอนิเมชั่นมีอิทธิพลอย่างไรกับชีวิตพี่เหมี่ยวบ้าง มีเรื่องไหนที่ชอบเป็นพิเศษบ้างไหม
          M: เด็กๆ ชอบดูการ์ตูนอยู่แล้ว พอโตขึ้นผู้ใหญ่ก็ยังดูการ์ตูนอยู่ เดี๋ยวนี้การ์ตูนมันก็ไม่ได้ใสซื่อเหมือนเมื่อก่อน ถ้าเป็นดิสนีย์มันจะสะอาดมากนะ แต่เดี๋ยวนี้มีหนังอย่าง Shrek มีขุ่นๆ บ้าง การ์ตูนญี่ปุ่นก็จะเป็นซึ้งๆ บีบๆ อารมณ์ แต่มันจะเป็นโลกที่ทุกคนดูแล้วมีความสุขค่ะ แม้ว่าจะเป็นการ์ตูนซีเรียสก็ตาม เพราะมันเหมือนมาแทนความฝันของเราทุกเรื่องเลย
          ส่วนตัวแล้ว พี่ชอบเรื่อง Bambi ชอบเรื่อง The Jungle Book ไม่ได้ชอบตัวเมาคลีนะ ชอบตัวหมี ที่ชื่อบาลู ใน The Jungle Book พี่พูดบทได้หมดเลยเพราะดูซ้ำๆ เป็นร้อยๆ ครั้ง แล้วก็ชอบกลุ่มที่เป็นวอลต์ ดิสนีย์ทั้งหมดค่ะ หลังๆ นี้ก็จะชอบนีโม ชอบการ์ตูนของเขาเพราะมันเป็นการ์ตูนที่บทดีมาก เพราะเราได้มาดูตอนโตขึ้นและเราทำงานสายนี้ด้วย เราเลยรู้ว่า เฮ้ยนี้มันเก่งมาก ตอนเด็กๆ เราดูแล้วสนุก พอทำงานแล้วเราค่อยรู้สึกว่าพวกเขามันชาวมนุษย์มหัศจรรย์ มันเก่งอะไรขนาดนี้ คิดเก่งทำให้การ์ตูนที่เราก็รู้อยู่แล้วเป็นภาพวาด แต่ทำให้เราร้องไห้ได้ ทำให้เราหัวใจฟู ตอนที่นีโมมันเจอพ่อมันหรืออะไรอย่างนี้ และก็ชอบคาแร็คเตอร์ต่างๆ ชอบเชร็คด้วยนะ แต่เชร็คมันจะกวนๆ ประสาทหน่อย มันจะขุ่นๆ หน่อย จะไม่ใส

          Q: พี่เหมี่ยวทำงานในวงการมายาวนานได้ทำงานที่หลากหลาย เคยมีประสบการณ์ที่เกี่ยวข้องกับการใช้เสียงบ้างไหม
          M: งานที่ใช้เสียงที่พิถีพิถัน ที่ต้องยุ่งกับเสียงมากที่สุดก็คือละครเวทีค่ะ ถ้าทีวีนี้ยังไม่เท่า แต่ละครเวทีทำให้เรารู้ว่า จะต้องบังคับเสียงใช้เสียงสื่ออารมณ์ทำให้เสียงมันกว้างใหญ่ และก็ต้องให้มันเสถียรด้วย และเราต้องเล่นเป็นหลายรอบ ยี่สิบสามสิบรอบห้าสิบรอบ อย่างทีวีมันจะเป็นฉากๆ มันยังช่วยกันได้มี พักมีอะไรได้ ถ้าเล่นละครเวทีนั่นคือสุดๆ ของการใช้เสียงสำหรับตัวพี่นะ และยิ่งละครเวทีที่ร้องเพลงด้วย ส่วนการพากย์เสียงก็เคยพากย์เรื่อง ทาร์ซาน Tarzan (1999) พากย์เป็นลิงเพื่อนสนิททาร์ซาน เรื่องนี้คือทำให้ได้เข้าสู่วงการพากย์ นอกนั้นก็จะเป็นการลงเสียงที่หนังที่เล่นบ้าง เป็นการเข้าไปพากย์ซ่อมเสียงตัวเอง มีพากย์สปอตโฆษณาบ้างซึ่งก็ต้องพากย์ให้ตรงปาก แต่สำหรับการพากย์การ์ตูนสำหรับพี่มันเหมือนการแสดงเลยแหละ มันไม่ใช่แค่ไปพากย์ให้เสียง เราไม่ใช่แค่นักพากย์หมายถึงเราต้องแสดงด้วย

          Q: เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของภาพยนตร์แอนิเมชั่นเรื่อง “ยักษ์” นี้ได้อย่างไร และยังเป็นการร่วมงานกับ พี่จิกประภาส ชลศรานนท์รู้สึกอย่างไรบ้าง
          M: ตอนนั้นก็ทำงานในวงการตามปกติก็ได้รับการติดต่อมาจากพี่จิกนะคะ รู้ว่าพี่จิกจะทำการ์ตูนนานมาก ตั้งแต่เล่นซิทคอมของเวิร์คพอยท์เรื่องแรกๆ ของโต๊ะกลมนะคะแต่ถ่ายที่สตูดิโอเวิร์คพอยท์ เวิร์คพอยท์ ตอนนั้นเพิ่งสร้างเสร็จ สียังไม่แห้งเลย จำได้เลย (หัวเราะ) ว่ายังเป็นปูนๆ อยู่ยังไม่แห้ง เขาก็ชวนมาก็พากย์การ์ตูน ถามว่าพากย์เรื่องอะไร เรื่องรามเกียรติ์ โอ้โห พี่จิกทำการ์ตูนเรื่องรามเกียรติ์ เฮ้ยคงจะรำกันเลยทีเดียว (หัวเราะ) ได้สิพี่ และก็จะหายไป เป็นปี สองปี ก็ติดต่อมา อ้าวให้พากย์แล้วหรอไปก็พากย์ แต่เอ๊ะทำไมเป็นหุ่นยนต์ล่ะ และก็ไม่ใช่เรื่องรามเกียรติ์ไม่ใช่แบบขนบธรรมเนียมเดิมเป็นแบบคิดใหม่อีกมุมหนึ่ง
          พี่จิกเป็นคนที่มองอีกมุมเก่งเป็นบ้า เวลาแกแต่งเพลง ก็รู้จักพี่จิกมาตั้งแต่แกเริ่มแต่งเพลง เขาเรียนสถาปัตย์ จุฬาฯ และเขามาเล่นเรื่องเจ้าสมุทรในเรื่องพรายน้ำ และพี่ไปฝึกงานเป็นช่างแต่งหน้า ก็รู้สึกคนนี้ประหลาด (หัวเราะ) เขาเล่นละครแล้วเสียงเขากว้าง และหน้าเขาประหลาดมากเขาผอมๆ หน้ายาวๆ เล่นเป็นเจ้าสมุทรเหมือนโพไซดอนน่ะ ก็รู้สึกว่าคนนี้ที่ชื่อพี่จิกเนี่ยเก่งมาก! และเขาก็แต่งเพลงด้วย โอ้โหสุดยอด ชอบคนนี้ฉันชอบคนนี้ และชอบมุมมองของพี่จิก และที่ชอบมากที่สุดคือเพลงของเขาอย่าง ต้นชบากับคนตาบอด และเขาจะเล่าเบื้องหลังเวลาแต่งเพลง ให้ฟังอย่างเพลงดอกมะลิมาจากแฟนเขาให้ดอกมะลิมา เราก็จะแซวว่าว้ายเอาเรื่องส่วนตัวมาแต่งเพลง (หัวเราะ) เราก็ชอบแหย่ ในกลุ่มเขาก็จะมีพี่จิก พี่ดี้ (นิติพงษ์ ห่อนาค) พี่ตั้ว(ศรัณยู วงษ์กระจ่าง) พี่เจี๊ยบ (วัชระ ปานเอี่ยม) พี่อั๋น (วัชระ แวววุฒินันท์) และทุกคนจะเป็นมนุษย์มหัศจรรย์สำหรับพี่มาก ชอบนั่งฟังเขาพูดกันน่ะค่ะ รุ่นน้องเขาก็จะเป็นกิ๊ก (เกียรติ กิจเจริญ) ,ดู๋ (สัญญา คุณากร) พี่โค้ก (สมชาย เปรมประภาพงศ์) พี่ชอบความคิดของพี่จิกอย่างตอนที่เขาทำละคร เทวดาตกสวรรค์สนุกดี พอพี่จิกทำการ์ตูนพี่เลยคิดว่าไม่ต้องธรรมดา แต่พี่ก็ไม่นึกว่าจะเป็นอย่างนี้นะ รามเกียรติ์มันก็ต้องมีใส่ชฎากันบ้างนะ แต่นี่ไม่มีเลย(หัวเราะ)

          Q: คิดว่าพี่จิกเลือกเรามาพากย์เพราะอะไร และช่วยเล่าให้ฟังถึงตัวละครของเราสักนิด
          M: ในเรื่องยักษ์นี้ พากย์เป็นนกยักษ์นะคะ ชื่อ สดายุ พี่จิกเขาคงเลือกเราเพราะรู้จักเรา รู้ว่าเราพูดจาเป็นยังไง แต่มารู้ว่าเป็นคาแร็คเตอร์หน้าตาเป็นแบบนี้ไม่นานนี้เอง พี่จิกเขาบอกว่าเป็นตัวละครที่ออกแบบมาจากคนพากย์ ก็โกรธนะเพราะมันแก่ (หัวเราะ) สดายุเป็นเครื่องบินรบสมัยสงคราม มันอยู่ในโกดังแล้วสนิมเขรอะ บินก็ไม่ไหว และก็ขี้บ่น ขี้โมโห และก็ขี้ประชด ผมมันสั้นแต่เป็นเหล็กหมด เวลาพากย์พี่จิกก็จะบอกว่าพูดแบบเหมี่ยวเลยประชดๆ เวลาที่แบบพูดอยู่ไกลๆและก็จะไม่ได้มีบทละเอียด ให้พูดแบบเราได้เลย มีประชดหลายแบบด้วยนะ ประชดโมโห ประชดเบื่อ ประชดเร่งรีบอะไรแบบนี้ แต่พี่ก็มีไปฝังใจกับสดายุเรื่องเดิมว่ามันต้องเหมือนนกทหารใช่ไหม และก็ตายเพื่อพระรามเลยนะ ก็ชอบถามพี่จิกเขาว่าเรื่องนี้หนูตายป่ะ เพราะเราดันรู้เรื่องรามเกียรติ์ด้วยไง หนูตายไหมพี่ๆ เขาจะทำหน้าแบบอะไรของเธอ เซ้าซี้อยู่ได้ สดายุตายไหมๆ เซ้าซี้จนกระทั่งมารู้ อ่อมันไม่ใช่ มันไม่ใช่เรื่องในวรรณคดี มันเป็นสดายุแบบตีความใหม่ นกสดายุมันก็เลยไม่ใช่นกที่มีปีกหรือมีลายไทยแบบในผนังโบสถ์นะ ตัวนี้จะเป็นแบบโกโรโกโสนิด สนิมหน่อย บินก็ไม่ค่อยขึ้น
« Last Edit: September 15, 2012, 07:18:44 AM by FB »

FB on September 14, 2012, 03:34:23 PM
          Q: คาแร็คเตอร์ของตัวนี้มีเสน่ห์ ความน่าสนใจอย่างไรบ้าง
          M: พี่ว่าขาแขนมันเล็กไปหน่อยนะ ก็ดูกงโก้ แน่จริงทำตัวอ้วนๆ สิ (หัวเราะ) มันเป็นเครื่องบินที่มีชีวิตประหลาดดีค่ะ ท่าทางเอะอะมะเทิ่ง ดูกะเปิ๊บกะป๊าบ ไม่มีความสง่างามใดๆ ทั้งสิ้น คือไม่มีฟอร์ม แต่ไม่รู้ตัวหรอกนะ มันมั่นใจในความเป็นนกยักษ์ของมัน และก็มุ่งมั่นให้ทำอะไรก็ทำ แต่ว่าอย่าขัดใจมากอย่าเยอะ เยอะด่า สำหรับตัวนี้ เหมือนกับว่าไม่มีอะไรมากมาย แต่พอพี่พากย์ไป ไอ้สดายุมันคือคนที่มีภารกิจมันต้องทำให้สำเร็จนะ ไอ้การประชดประชันก็คงเป็นตามนิสัย นิสัยของตัวละครตัวนี้ แต่อันหนึ่งคือจุดมุ่งหมายที่มันเจอ ต้องทำให้สำเร็จอ่ะ และก็บ้าๆ บอๆ ยังไงก็ทำ เพราะว่าตั้งใจทำแล้ว มาด้วยกันแล้วยังไงก็ต้องทำ ก็ต้องเอาให้สำเร็จ สดายุเนี้ย มันก็ต้องเจอเรื่องแก้ไขแปลกๆ เวลาเจอท่านทศก็จะเปลี่ยนเลย จากขี้ประชดก็จะเป็นสอพอ รักแบบเลิฟ เป็นบอสที่หายไปนานก็จะรักๆ และก็จะยอมทุกอย่าง

          Q: ประสบการณ์การพากย์เสียงแอนิเมชั่นครั้งนี้เป็นอย่างไรบ้าง ทราบมาว่าต้องทำมากกว่าหน้าที่ให้เสียงอย่างเดียวต้องมีการแสดงเพื่อให้เหล่าแอนิเมเตอร์นำไปสร้างคาแร็คเตอร์อีกด้วย มีความยากง่าย ความสนุกอย่างไร
          M: เราไม่ใช่นักพากย์ที่ใช้เสียงอย่างเดียว อารมณ์มันต้องเกิดขึ้นจริงๆ ในตอนพากย์ อย่างถ้าช่วงเหนื่อยเราต้องกระโดด กระพือปีก ในห้องพากย์จริง เพราะไม่อย่างนั้นมันก็จะไม่ออก เหนื่อยชิบเป๋ง มันเหนื่อยมาก (หัวเราะ) เหนื่อยแบบว่าหน้ามืดเลย เพราะมันต้องหอบจริงๆ เพราะไม่อย่างนั้นมันจะทำเสียงไม่เป็น เพราะฉะนั้นต้องเล่นจริง วันนั้นเป็นวันที่เหนื่อยจริงๆ วันนั้นต้องพูดบทเองเยอะ เจ้าประคุณเอ๋ย แล้วไม่หยุดไงมันต้องพูดหลายๆเทคไง ให้เขามีเลือกหลายๆ แบบ แล้วพี่จิกเขาจะอยากให้เราพากย์ด้วยเสียงจริง เขาก็จะถามว่าดัดเสียงหรือเปล่า ไม่ดัดใช่ไหม ไม่ดัดพี่ พากย์ให้ทันยังลำบากให้หนูดัดเสียงอีกหรอ (หัวเราะ) แสดงว่าพี่จิกเขาเอาคาแร็คเตอร์ของเราด้วยส่วนหนึ่ง
          บางทีการพากย์ในฉากที่ตัวละครสองตัวมันอยู่ในซีนเดียวกันแต่ตัวหนึ่งก็ต้องพูดอยู่ พอตัดมาที่เราบางทีมันไม่ทันไง ก็ต้องใช้ความสามารถส่วนตัว คือต้องกะจังหวะเอา ต้องพูดให้ในเวลาเท่านี้ เท่านั้นวินาที แต่จะว่าไปการทำงานก็ค่อนข้างจะฟรีอยู่เหมือนกัน ไม่เครียดค่ะ เหมือนไปเล่นละคร เราไม่เคยคิดว่าคาแร็คเตอร์ เราเนี่ยจะเป็นนกแก่ที่ขี้บ่น ขี้โมโห ขี้ประชด จนกระทั่งได้พากย์เรื่องยักษ์นี้ แล้วปรากฏว่าไอ้ที่พากย์ๆ ไปอ่ะมันตัวเองทั้งนั้นเลย (หัวเราะ) มันเป็นอารมณ์จริงๆ ที่เรารู้สึกกับเรื่องและก็เหตุการณ์ที่อยู่ในการ์ตูน ลองพูดมาปรากฏว่าอ้าวนี้มันฉันนิ อ้าวตายแล้วฉันคือสดายุหรอ ก็เครียดเหมือนกันนะ พอพากย์หลายๆ ทีเข้าเออฉันกับสดายุมันก็เหมือนๆ กันอยู่แหละ (หัวเราะ)

          Q: รู้สึกยังไงบ้างที่คนออกแบบตัวละคร พี่เอ็กซ์ ชัยพร ทำตั้งใจให้เหมือนพี่เหมี่ยว
          M: ตอนแรกไม่เชื่อหรอกค่ะ พอพากย์ไปก็เชื่อแล้วค่ะ พอไปพากย์หลายๆ ทีมันใช่เลยค่ะ เพราะหน้าตาเพราะตาเขาจะตาโปนๆ หูตาเหลือกตลอดเวลา ก็ต้องทำกันขนาดนี้เชียวหรอ ก็คือตอนแรกที่คิดก็คือการ์ตูนก็หน้าตาแบบนี้แหละ แต่พอมันมีตัวละครอื่นเข้ามามันไม่ใช่นิ มีฉันคนเดียวที่หูตาเหลือกขนาดนี้ ไอ้สนิมก็น่ารัก เออไอ้เขียวก็เป็นแบบเท่ห์ๆ

          Q: คาแร็คเตอร์ในเรื่องนี้ มีการออกแบบให้ดูเป็นตัวรอง แต่สามารถมาเป็นพระเอกได้ รู้สึกอย่างไรบ้างกับประเด็นนี้
          M: มันเป็นสิ่งที่ทำให้เรารู้สึกว่าถึงแม้ว่าคนที่หมดสภาพดูเป็นไก่รองบ่อน หรือว่าไม่มีอะไรที่จะทำให้ใครเชื่อได้ว่าจะทำสิ่งที่สำคัญได้สำเร็จ แต่พอมันอยู่กับกลุ่มที่ใช่ ความเชื่อที่มีและก็ทำอะไรที่ยากๆ ได้จนสำเร็จ จริงๆ แล้วภารกิจของสดายุมันถึงชีวิตเลยนะ มันตายได้นะ แต่มันก็ทำ สำเร็จหรือเปล่า ก็ต้องไปดูกันอีกที ในเรื่องพี่ชื่นชมตัวสดายุที่มันทำจนสำเร็จ ถ้าเป็นพี่ พี่อาจจะไม่ทำนะ เพราะมันเสี่ยงอันตรายเกินไป ทั้งที่พี่ว่าเขาไม่พร้อมอะไรเลยนะ สภาพร่างกาย มีแต่จิตใจอย่างเดียวก็พาไปจนได้ เอาสิเหมือนกับลงเรือลำเดียวกันแล้ว มันทำให้ทุกตัวมีเสน่ห์ ตัวพี่ตอนมาร่วมงานนี้ใหม่ๆ พี่จะเปรียบเทียบกับเรื่องรามเกียรติ์ตลอดเลย อ้าวทำไม เป็นอย่างนั้น ไอ้นี้เป็นอย่างนี้คู่อริกันนิ เอ๊ะและเป็นเพื่อนกัน ทำไมเป็นอย่างนี้หรอ เราก็จะลุ้นไปกับเรื่องนี้เราก็จะลืมเรื่องดั้งเดิมของรามเกียรติ์ไป และเราก็จะเข้าถึงบท และพอพากย์ด้วยมันต้องมีอารมณ์เข้าไปในนั้น เราก็จะผูกพันกับไอ้ตัวกุมภกรรณ เริ่มผูกพันกับน้าเขียวๆ และไอ้สนิมอีก เพราะมันก็จะน่ารักน่าเอ็นดูและก็ ไอ้ตัวไอ้เผือกอีก และพอเราก็จะเห็นเหตุการณ์บางอัน ก็เป็นสิ่งที่ดูแล้วก็รู้สึกว่าเราจะอยู่กับเพื่อนเราหรือเราจะอยู่กับคนที่เกลียดหรืออยู่ด้วยความรัก
          พี่ว่าการ์ตูนเรื่องนี้มันจะมันจะบอกเราหลายอย่าง เช่นบางทีเราจะทำอะไรเราก็ไม่มีสิทธิ์เลือกนะ แต่การ์ตูนเรื่องนี้จะทำให้เราเห็นว่า จำเป็นไหมที่เราจะต้องโกรธเกลียดกันไปทั้งโลก จะด้วยอะไรก็ไม่รู้ที่เกลียดกัน แต่พอไม่มีโจทย์พวกนั้นมา ก็เพื่อนกันได้ เป็นเรื่องที่ทำได้ เพราะฉะนั้นก็ไม่รู้จะโกรธกันไปทำไม เราจะฆ่ากันทำไม พี่คิดอย่างนั้นแต่มันก็ไม่ได้ซีเรียสแบบนี้ เป็นเรื่องตลก

          Q: ในฐานะที่รู้จักพี่จิกมานานคิดว่าเสน่ห์ของเรื่องราวแบบ จิก ประภาส อยู่ตรงไหน
          M: พี่จิกเป็นคนที่มีมุมมองที่ไม่ค่อยเหมือนใคร เป็นมุมคิดบวกที่ไม่ใช่เป็นดอกไม้สายรุ้ง แต่เขาจะมองโลกนี้แบบมีความจริงอยู่ในนั้น บางทีมันก็มีความเจ็บปวด ไม่ว่าจะเป็นในเพลงในละครในหนังที่พี่จิกเขาทำมา ก็จะเป็นลายมือพี่จิกที่เขาจะพาเราไปสู่โลกรามเกียรติ์ในแบบของพี่จิก ซึ่งพี่ว่าไม่เคยมีใครทำเลย ก็ไม่ค่อยมีใครค่อยกล้าทำ เฮ้ยจะมาเอามาทำเป็นแบบนี้เหรอ มาทำให้มันเสียหรือเปล่า แต่พี่ว่าไม่ใช่ พี่จิกรักความเป็นไทยมาก ชื่นชมความเป็นไทยและพี่จิกจะทันสมัยและเฮฮา แต่ก็ไทยๆ เหมือนรายการคุณพระช่วยอย่างนี้ก็ไทยที่เป็นไทยแบบที่ไม่ต้องพับเพียบดูหรือว่าต้องใส่ชุดไทยหรือว่าเปิบข้าวด้วยมือ เรื่องนี้ถ้าไม่ใช่พี่จิกก็คงไม่มีใครทำได้นะ อันนี้พูดตรงๆ (หัวเราะ)

          Q: การทำแอนิเมชั่นเรื่องนี้ใช้เวลาใส่ใจในการทำ ถึง 6 ปี คิดว่าคุณภาพของเรื่องนี้เป็นอย่างไรบ้าง
          M: ไม่น่าเชื่อ พี่ยังคิดว่าเขาคงเปลี่ยนคนพากย์ไปแล้วเลย ทิ้งระยะการพากย์ไปเป็นปีๆ มีช่วงหลังนี้แหละที่เข้าที่ เรื่องนี้คิดก่อน Wall-E ก่อนโรบ็อท อีกนะ เอาพี่ไปสาบานที่ไหนก็ได้เพราะพี่ได้รับการติดต่อมาตั้งแต่เวิร์คพอยท์สร้างเสร็จใหม่ๆ จริงๆ บอกแล้วปูนยังไม่แห้ง (หัวเราะ) พี่คะ จะทำอีกนานไหมคะ ทำอยู่นั้นน่ะ แต่ว่าพอออกมาเป็นเรื่องแล้วโอ้โห! มันต้องใช้ความนานอย่างนี้ ก็เพราะแบบนี้นี่เอง และพอถึงขั้นนี้ก็คือพี่จิกไม่ต้องไปห่วงว่าใครจะบอกว่าไปเลียนแบบใคร ไม่ต้องคอยอธิบายด้วย เพราะว่ามันไม่เหมือนก็คอยดูล่ะกัน ตอนแรกที่พี่คิดไง เฮ้ยจะเหมือนวอล-อี เปล่าเนี่ย มีกองขยะอะไรคล้ายๆ กันด้วยแต่มันต่างกันจริงๆ
          การ์ตูนเรื่องนี้เป็นที่ฮือฮาสำหรับทีมงานที่ได้ร่วมงาน ที่ได้ไปพากย์นะ เราอยู่เรื่องนี้มาหกปีทีเดียว แต่เมื่อเราได้เห็นงานแล้วหกปีมันก็ไม่นานหรอก ได้อีกพี่จิกได้อีก พี่เอาอีกไหมเอาด้วย เขาไม่ใช่แบบคิดแค่หลวมๆ มันคือรวมทุกอย่างทั้งหมด ตั้งแต่เนื้อเรื่องในการตีความแล้วก็ภาพที่เป็นแอนิเมชั่นที่ มันน่ารัก ละเอียด พี่ไม่รู้ว่า มันต้องใช้ความยากแค่ไหนนะคะ แต่เราดูแล้วเราเชื่อ ไปกับเรื่องด้วย พี่ว่ามันคงไม่ใช่กดๆ เอา เอามือขีดๆ เอาในคอมพิวเตอร์ ด้วยศักยภาพที่คนที่จะทำงานด้านแอนิเมชั่นในเมืองไทย ก็มีไม่กี่คนอ่ะ ก็คิดว่า แต่ทุกอย่างมันเมดอินไทยแลนด์หมด เพราะฉะนั้น 6 ปีมันก็ไม่นานหรอกพี่จิก เอาอีกไหมอ่ะ ให้อีกปีหนึ่ง พากย์กันให้แก่คาห้องกันเลย (หัวเราะ)

          Q: การพากย์ครั้งนี้มีฉากประทับใจบ้างไหม
          M: ก็จะมีฉากบินเนี่ยแหละ บินกันอ้วกแตกเกือบเป็นลม อันอื่นก็จะเป็นของเรื่องการคิดบท คือเวลาต้องพูดบทเพิ่ม ก็ต้องทำให้หลายเวอร์ชั่น เพราะฉะนั้นมันก็จะสนุก สนุกฉากที่ประชดไอ้สนิมอ่ะ ที่มันไม่ร้องไห้ซะที อันนั้นขำพากย์ไปก็ขำ คือต้องพากย์เป็นละครน้ำเน่าอ่ะ เหมือนเป็นนังแม่ตัวอิจฉาอะไรอย่างนี้ ให้สนิมมันร้องไห้อ่ะ แล้วมันตลกมากคือทุกคนมองพี่เหมือน เป็นอะไรมากไหม พากย์การ์ตูนแต่มีอารมณ์ขึ้น หลุดใส่การ์ตูน (หัวเราะ)

          Q: หากได้ยินคำว่า “ยักษ์” นึกถึงอะไร
          M: สำหรับพี่คือยักษ์วัดพระแก้ว มันน่ากลัวมาก แม่พาไปตัวสูงมาก มีหลายตนเยอะมาก แล้วก็อยู่ทุกประตูเลย และก็เขาบอกว่าตอนกลางคืนก็ออกไปตีกับยักษ์วัดโพธิ์ ก็เชื่อสิผู้ใหญ่ไม่โกหกหรอก ตีกันเตียนเลย และไปเจอยักษ์วัดโพธิ์หน้าจีนมาก ก็มีเป็นหน้าไทยแต่ตัวเล็กกว่า กลัวนะก็เพราะเป็นเด็ก แต่ผู้ใหญ่ก็เล่าไปไง รู้ไหมเนี่ยว่าเด็กมันเชื่อ โอ๊ยกว่าจะหายกลัว โตจนตัวใหญ่เบ้อเร่อเบ้อร่าแล้ว (หัวเราะ) กลัวยักษ์พระแก้วอยู่ตั้งนาน แล้วคนรุ่นพ่อรุ่นแม่พี่ก็ต้องเข้าวัดพระแก้ว จะไปเมืองนอกทีก็ไปลาพระแก้ว ปีใหม่ เทศกาลก็วัดพระแก้ว ก็กลัวสุดๆ ขาเข็งเลยอ่ะ เดี๋ยวนี้ไปก็เฉยๆ ล่ะ

          Q: ในเรื่องนี้มีประเด็นหลักอยู่ที่มิตรภาพระหว่างหุ่นยนต์ทั้งสอง ที่ไม่รู้ว่าตัวเองเป็นใครและต้องทำอะไรในชีวิหากอยู่ในสถานการณ์ที่ต้องเลือกระหว่าง“หน้าที่”กับ“มิตรภาพ”จะเลือกอย่างไหน
          M: เลือกทำไมล่ะ แสดงว่า หน้าที่อันนี้มันต้องไม่มีมิตรภาพ ถ้าให้เลือกแสดงว่าต้องตรงข้ามกัน จริงๆ พี่ว่ามันน่าจะอยู่ด้วยกันได้นะอย่าต้องให้ต้องเลือกเลย

          Q: คิดว่าคนเราที่เคยเป็น “ศัตรู” กันมาก่อนจะสามารถเปลี่ยนมาเป็น “มิตร”กันได้ไหม
          M: ได้สิ คนเราเปลี่ยนมาเป็นเพื่อนกันได้ โลกนี้ความเกลียดไม่ทำให้อะไรดีขึ้นเลย ความเกลียดไม่มีดีเลย แต่เราจะเอาชนะตรงนี้ยาก ความเกลียดมันทำให้มีแต่เรื่องเลวร้าย ยิ่งกระพือให้มันเกลียดมากขึ้นมันก็ยิ่งเลวร้ายมากขึ้น แต่ถ้าสับสวิทซ์ให้มารักเลยก็คงยากนะ เพราะไม่อย่างนั้นคงไม่เกิดเรื่องหรอก คนเราถ้ามีแต่ความรักมันก็คงจะลั้ลลาใช่ไหม มีทุ่งดอกไม้

          Q: คิดว่าหนังเรื่องนี้มีเสน่ห์ตรงไหนถึงควรค่าแก่การไปชมกัน
          M: คนเราควรจะดูการ์ตูนอย่างน้อยปีละเรื่องจะได้เห็นว่าโลกนี้มันไม่ได้มีแต่ความเลวร้ายหรือความเครียด หรืออะไรที่ทำให้เราต้องต่อสู้ดิ้นรน การ์ตูนมันจะพาเราไปสู่โลกของจินตนาการโดยที่ไม่มีขีดจำกัด และการ์ตูนเรื่องนี้มันจะมีเรื่องที่ทำให้เรารู้สึกว่าเราไม่ต้องเกลียดใคร ไม่ใช่ว่าเราเกลียดกันแล้วก็ต้องเกลียดกันตลอดชีวิต ก็ลองดูถ้ามันเลิกเกลียดได้มันคงมีอะไรดีๆ อีกเยอะ เกิดขึ้นในชีวิตเราในโลกนี้

FB on September 14, 2012, 03:35:38 PM
บทสัมภาษณ์ เสนาหอย เกียรติศักดิ์ อุดมนาค ผู้พากย์เสียง เผือก/หนุมาน ในภาพยนตร์แอนิเมชั่น เรื่อง “ยักษ์”



          ฉลาดคล่องแคล่ว ไวยังกะลิง ฤทธิ์เดชเหลือล้น -“ผมเกิดมาเพื่อสิ่งนี้”  ปล่อยพลังแบบสุดขั้วเมื่อหอยเกียรติศักดิ์ ให้ชีวิตหนุมานในคราบของหุ่นกระป๋อง กับ “ยักษ์” แอนิเมชั่นไทย ผลงานเขียนบท-กำกับภาพยนตร์โดย ประภาส ชลศรานนท์

          Q.ทราบมาว่าตอนนี้ฮอตมากมี7วันทำงาน7วันเลยอยากให้พี่หอยอัพเดทชีวิตสุดฮอตสักหน่อย
          H. ครับตอนนี้ชีวิตก็วุ่นวายมากๆชีวิตส่วนตัวไม่ค่อยมีนะครับ มีแต่ชีวิตของคนอื่นก็ตอนนี้มีทำรายการทีวีนะครับ รายการในSATTLELITEนะครับ และก็มีทำหนังสือ OHOนะครับ และก็ทำหนังอะไรต่างๆ ตอนนี้ก็คงไม่ได้มีเวลาแต่งงานมีลูกแบบคนอื่นเขา เพราะว่าให้สัญญากับวิลลี่ว่า5 ปีต่อจากนี้ไปผมจะไม่มีครอบครัว เพราะว่าเขามีลูกกันหมดแล้ว ถ้าผมมีลูกอีกบริษัทก็คงจะหงอยกันแน่ๆ ผมก็เลยคิดว่าให้เวลาตัวเองอีกสัก5ปี 7วันนี้ก็ทำงานชนิดที่ว่าสแตนบายเสาร์-อาทิตย์ ตอนนี้ก็คงเน้นเรื่องรายการทีวีก็ต้องรีบนำเสนอ และที่ฮอตๆจริงก็น่าจะเป็นSATTLELITEสาระแนแชนแนล เพราะตอนนี้มีกิจกรรมทุกๆเดือนทุกอาทิตย์ทุกอย่างที่ออกเองครับ เพราะว่ามันไม่มีใครนะครับก็ต้องลุยด้วยตัวเองครับ
          Q.ชีวิตของพี่หอยผูกผันและเกี่ยวข้องกับการ์ตูนมากน้อยแค่ไหนอย่างไรและมีการ์ตูนตัวไหนที่ชื่นชอบเป็นพิเศษ
          H. จริงๆคำว่าการ์ตูนนี้มาคู่และติดมาตั้งแต่สมัยหนังจักรๆวงศ์ๆตอนแปดโมงเช้าที่ตื่นขึ้นมาต้องมาดูพระทิณวงศ์ โสนน้อยเรือนงามอะไรอย่างนั้นเลยนะครับ ก็คิดว่ามันอยู่คู่กัน อย่างเรานี้เราบอกตรงๆว่าเราติดช่องเก้าการ์ตูน ดูมาตั้งแต่ ดราก้อนบอล โดเรมอน ที่ชอบมากที่สุดคืออาราเล่ พูดถึงอาราเล่ เรียกได้ว่าผมมีทุกคอลเล็คชั่นอาราเล่ที่เป็นเคสไอโฟนเลย(ชูมือถือที่ใส่เคสอารเล่ให้ดู) นี่ก็จะเป็นอาราเล่ มีซูปเปอร์แมนจู๋ มีไอ้ตัวที่ปั่นจักรยานน้องคิโนโกะ และก็การ์ตูนที่ผมติดอีกอันคือคอบร้าเป็นการ์ตูนที่ไม่ใช่การ์ตูนเด็ก มันจะเป็นการ์ตูนผู้ใหญ่ขึ้นมานิดนึงก็ดูไล่ลงมาเรื่อยๆ เมื่อ ก่อนมีดราก้อนบอลหลังๆก็คงไม่ค่อยได้ดูแล้ว เพราะตื่นมาไม่ทันพระทิณวงศ์กับโสนน้อยเรือนงามก็เลยทำให้ช่องเก้าการ์ตูนเลือนหายไปครับ แต่รู้สึกว่าจะมีเป็นตอนเย็นแล้ว เพราะการ์ตูนตอนเย็นก็จะมีเยอะตามที่เป็นนโยบายของ กสทช. มั้งครับสามช่วงเวลา ตอนนี้ต้องเป็นรายการเด็ก ต้องเป็นการ์ตูน ต้องเป็นอะไรอย่างนั้น ก็เหมือนเปลี่ยนพฤติกรรมเด็กไม่เหมือนตอนที่เราเป็นเด็กเย็นๆก็ยังดูได้อยู่
          Q.การ์ตูนมีอิทธิพลและมีผลต่อการเปลี่ยนแปลงชีวิตหรือไม่อย่างไร
          H. การ์ตูนมีผลต่อการเปลี่ยนแปลงชีวิตไหม ผมว่ามันทำให้ชีวิตตอนเด็กมันมีความสุขนะ การ์ตูนมันเป็นชีวิตที่เหนือความเป็นจริงอย่างโดเรมอนอย่างนี้ ไทม์แมชชีน เฮ้ยเราอยากมีไทม์แมชชีนซึ่งทำให้เด็กมีจินตนาการครับ จริงๆแล้วหนังการ์ตูนมันทำให้เด็กที่ดูมันมีจินตนาการไม่ว่าจะเป็นดราก้อนบอล เซนต์เซย่า เฮ้ยเครื่องมือที่มันทำให้จำได้ดีของโดเรมอน มันทำให้เราเริ่มมีจินตนาการ เหมือนการเรียน ไม่ว่าจะเป็นเด็กหรือว่าพวกที่ได้เรียนศิลปะหรือได้ดูพวกแอนิมอลแพลนเน็ตหรือสัตว์ ได้ดูอะไรพวกนี้จะทำให้มีจิตใจอ่อนโยนและมีจินตนาการซึ่งมีผลแน่นอนครับ
          Q.สำหรับประสบการณ์ในการพากย์การ์ตูนที่ผ่านมา
          H. การพากย์การ์ตูนสำหรับเรื่องยักษ์ถือว่าเป็นเรื่องที่สองครับ เรื่องแรกจะเป็นเรื่องDINOSAURซึ่งผมบอกกับตัวเองว่าผมจะไม่พากย์การ์ตูนอีกเพราะมันยาก เพราะว่าตอนนั้นมันเป็นฮอลลีวู้ดไง ผมจำได้ว่าผมพากย์เป็นไอ้ตัวลิงหรืออะไรในเรื่องDINOSAURนะ คือฝรั่งทางฮอลลีวู้ดเขาไม่รู้สึก แล้วการพากย์การ์ตูนของไทยกับฝรั่ง ผมว่าไม่เหมือนกันนะ ของฝรั่งเขาจะ นี่เจ้ารู้สึกยังไง เขาชี้เลยว่าห้ามเสียงขึ้นเสียงลง ผมจำได้ผมไม่เอาแล้วนะผมรู้สึกว่ามันยาก เพราะว่าบางทีคนไทยกับฝรั่งมันอาจจะไม่เหมือนกัน ต้องบอกให้เสียงนี้โทนเหมือนกันเลย ผมก็เลยคิดว่าหลังจากหนังเรื่องนั้นแล้ว คือไม่ใช่ว่าพากย์ไม่ดีนะครับ หนังเรื่องนั้นดีมาก แต่ผมเสียใจตัวเองว่าผมทำไม่ได้ เพราะว่าผมเป็นคนที่ไม่รู้สิอารมณ์มันต้องชัดเจน แต่เขาบอกให้เป็นอารมณ์แบบนี้ ผมก็เลยคิดว่าไม่อยากจะพากย์เอง แต่พอได้รับการติดต่อจากไอดอลของผมเองอย่างพี่จิก ประภาส ชลศรานนท์ที่ผมติดตามอ่านหนังสือมาตลอด ดูผลงาน ฟังผลงาน ทั้งดูทั้งฟังทั้งร้องตามกับผลงานของเขาบอกว่าอยากจะให้ผมพากย์การ์ตูน ตอนแรกผมก็หวั่นๆว่ามันจะเหมือนเดิมหรือเปล่านะ เราทำไม่ได้รึเปล่านะ เขาบอกว่าไม่ เพราะว่าการทำการ์ตูนของเขาในครั้งนี้จะเป็นครั้งแรกในเมืองไทยที่เอาปากของเราจริงๆ เอาคาแร็คเตอร์ของเราจริงๆมาผสมผสานกับการทำแอนิเมชั่น คนไทย ตอนแรกผมก็นึกภาพไม่ออกเหมือนกันจะเป็นยังไง เขาก็บอกว่าใช้วิธีเดียวกับไอ้ที่เขาทำการ์ตูนกันเลย ให้ผมแอ็คติ้งไปด้วย ผมถ่ายไปพูดไปในตอนแรกเลยก็เหมือนเป็นตัวนั้นเลย ซึ่งเขาก็บอกว่าเป็นหนังเรื่องหุ่นกระป๋องเรื่องราม เฮ้ย หรอ พอไปอ่านจริงๆพี่จิกเป็นคนเขียนบทที่ดัดแปลงผมรู้สึกว่า เฮ้ยทำได้ไง คือมันมาเป็นหุ่นกระป๋องเฉยเลย ซึ่งแต่เอาเรื่องจากรามเกียรติ์จริงๆ ซึ่งผมก็ได้รับเกียรติจริงๆที่ว่าผมดูมาตั้งแต่เด็กๆแล้วแหละ ตัวหนุมาน แต่ตัวนี้ในหนังแอนิเมชั่นเรื่องนี้ชื่อ เผือก
          Q.โดยส่วนตัวแล้วพี่หอยถือได้ว่าเป็นคนหนึ่งที่ชีวิตผูกพันเกี่ยวกับเรื่องของดนตรีและการควบคุมการใช้มาทั้งชีวิตเลยก็ว่าได้ซึ่งแม้แต่การแสดงของพี่หอยเองค่อนข้างเชื่อมโยงและพูดได้ว่าเกี่ยวพันกับเรื่องของการใช้เสียงพอสมควรเลยทีเดียว
          H. ก็ในชีวิตผมจริงๆแล้วพูดได้ว่าดนตรีมีผลและก็เรียกได้ว่าเป็นส่วนหนึ่งของชีวิต เพราะผมเรียนดนตรีมา คณะศิลปศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เอกดนตรีตะวันตก ซึ่งไม่น่าเชื่อว่าพลิกผัน จริงๆชีวิตผมนี้ผมอยากทำรายการทีวีจริงๆก็เลยสอบเข้านิเทศฯตอนนั้นเลือกได้หกอันดับ ผมเลือกนิเทศมาห้าอันดับ มาเลือกศิลปกรรมจุฬา เพราะแม่ แม่ให้เลือก เพราะแม่รู้ว่าผมเรียนดุริยางค์ วัดสุทธิฯ น่าจะโอเคนะ สอบอันนี้ติดศิลปกรรม จุฬาครับ แต่ผมก็รักดนตรีไหม ผมรักมาตั้งแต่ม.หนึ่งนั่นแหละ เพราะผมเรียนดุริยางค์มาหกปี บางคนก็เรียนหนึ่งปีสองปี แต่ผมเรียนหกปี ผมก็เลยได้มาอยู่ในวงจรดนตรี เรียกได้ว่าวงจรดนตรีทั้งวันครับเป็นเวลาห้าปี เรียนห้าปีครับ ส่วนหนึ่งในชีวิตก็ได้ฝึกฝนดนตรีมาหลายๆแบบ ไม่ว่าจะเป็นเครื่องดนตรีที่ผมเป่า โอโบครับ บางคนก็ไม่รู้จักวว่าโอโบคืออะไร โอโบนั้นคือเครื่องดนตรีสีดำๆครับ(เครื่องเป่าเป็นเครื่องดนตรีหลักในวงออเครสต้า) ถ้าเปรียบเสมือนก็เรียกว่าเป็นปี่เรียกงู
ถามผมว่าแล้วทำไมผมถึงไม่ดำเนินชีวิตหรือว่าทำอาชีพนี้ เพราะว่าคนที่เป่าโอโบในเมืองไทยนี้มีประมาณสี่คน สี่คนตอนนั้นนะครับ ตอนที่ผมอยู่ปีหนึ่งปีสองถ้าจะคิดทำอาชีพนี้ลองคิดดูครับว่าในสี่คน คนที่หนึ่งเป็นอาจารย์ผมเป็นคนที่สอนผม คนที่สองเป็นรุ่นพี่ผม คนที่สามเป่าเก่งมากอยู่ครุศาสตร์ ผมคนที่สี่ และในบรรดาวงออเครสต้าใหญ่ๆในเมืองไทยมีอยู่เพียงหนึ่งวงครับคือบางกอกซิมโฟนี่ออร์เครสตร้า(BSO) และที่เขาเป่ามีอยู่สองแนว ผมอันดับสี่อย่างน้อยต้องมีการฆ่าอาจารย์ ฆ่าพี่ ฆ่าอะไรอย่างนี้ ก็คงแบบว่าเอาลิ้นที่เป่าไปจุ่มยาพิษและก็เสียชีวิตกันไป และผมก็คิดว่าคงไม่มีโอกาสนั้นล่ะ ผมก็คิดว่าผมมาทางที่ผมชอบทำรายการทีวีทำอะไรไปดีกว่า แต่ส่วนหนึ่งที่ยังคงเข้ามาอยู่ในชีวิตของผมก็ยังคงเป็นดนตรีอยู่ ในการใช้เสียง ในการใช้อะไรก็แล้วแต่ การเรียนดนตรีมันสามารถทำให้ผมควบคุมอะไรได้หลายๆอย่าง ซึ่งมีคนบอกนะครับผมก็ไม่ได้พูดเองก็เสียงผมนี่ถ้าฟังดูก็จะรู้วาเป็นเสียงหอยแหละ เสนาหอยเนี้ยแหละ ลีลาหรืออะไรก็ผสมตอนที่ผมเรียนละครที่อักษรศาสตร์ มาผสมกับการเรียนดนตรีมันก็เลย การควบคุมในการใช้เสียงนี่มันก็เลยดี เออก็มีคนบอกว่าเป็นเอกลักษณ์ดี คือถ้าสมมติว่าเสียงเราเป็นแบบนี้ แล้วเรามามัวคิดว่ามันคงเป็นไปไม่ได้ แต่กลับกันการที่เราฝึกฝน ทำอะไรบ่อยๆ ไม่ว่าจะเป็นการเป็นพิธีกร การทำอะไรโน่นนั้นนี่ก็ก็เลยทำให้เราเป็นคนที่รู้จัการควบคุมการใช้เสียง รู้จังหวะลีลาในการใช้เสียงมากกว่าคนอื่น
          Q.เข้ามาเป็นส่วนสำคัญในโปรเจ็คต์ยักษ์ได้อย่างไร
          H.คือตอนแรกที่พี่จิกติดต่อมาผมไม่ได้คิดครับ ไม่ได้คิดอะไรเลย ผมตอบตกลงอยู่แล้ว เพราะว่าถ้าพี่มีงานอะไรถ้าผมได้มีโอกาสเป็นส่วนหนึ่งของพี่ อะไรก็ได้ เขาทำคอนเสิร์ต เขาทำอะไร เฮ้ยพี่ได้เสมอ แต่ยังไม่เคยถูกเรียกสักที ก็คือสุดท้ายแล้วมาโปรเจ็คต์นี้เขาบอกว่าเขาอยากได้เสียงผมเป็นตัวนี้เป็นตัวที่ค่อนข้างจะเป็นตัวเอกก็น่าจะเป็นแบบนั้นนะครับ แต่ผมไม่ได้สำคัญที่ว่าจะต้องเป็นตัวเด่นหรือเป็นผลงานพี่จิก ประภาส ได้เป็นส่วนหนึ่งมันก็น่าจดจำ มันเป็นผลงานที่ดี เพราะเขาไม่ได้มาเป็นแค่ควบคุมมาเขียนบท มาทำดนตรีอีก เขาทำทุกอย่าง เขามาดูเวลาที่เราเรียกว่าFIRST LIPS คือการอ่านบทครั้งแรก ครั้งแรกเขาก็มานั่งฟังนะครับ เขาเทสต์หลายๆตัว ตอนเทสต์ผมเขาก็มีการเลือกจับคู่กับหลายๆคนที่น่าจะเป็นน้าเขียวหรือทศกัณฐ์เหมือนกัน แต่สุดท้ายก็เลือกพี่หนุ่ม สันติสุข พอพากย์กันจริงมันเหมือนกับการพากย์ เฮ้ยผมดูเขาตั้งแต่หวานมันฉันคือเธอ ไม่เคยร่วมงานกันเลยไม่เคยจริงๆไม่เคยที่จะได้โต้ตอบ ผมว่าพี่หนุ่มสันติสุขเป็นอะไรที่สุดยอด เพราะว่าจังหวะจะโคนเรานึกว่าเอ๊ยเราจะเข้ากับเขาไหม ตอนอ่านบทปั๊บเนี้ยรู้เลยว่าสนุกแน่นอน
          Q.เป็นครั้งแรกกับวิธีการทำงานที่เป็นไม่ใช่แค่การพากย์หรือการให้เสียงแต่เป็นการให้ชีวิตให้อารมณ์ความรู้สึกในตัวการ์ตูนเลยทีเดียวก่อนที่แอนิเมเตอร์จะจับคาแรคเตอร์จากการแสดงนำไปถ่ายทอดวาดเป็นการ์ตูนอีกทีหนึ่ง
          H.พากย์การ์ตูนเป็นเรื่องที่สองในชีวิต แต่นี่ถือได้ว่าเป็นครั้งแรกจริงๆของผมนะครับที่พากย์ไปด้วยแสดงไปด้วย ถือได้ว่าเป็นเรื่องแรกในการทำการ์ตูนที่มันมีการใช้เทคนิคอย่างผมเคยอ่านหรือดูในยูทูปนะครับในการทำแอนิเมชั่นการ์ตูนต่างๆที่เขาใช้ดาราอย่างพระเอกระดับโลกหรือนางเอกระดับโลกมาทำเป็นการ์ตูนคือเขาต้องมีอะไรไม่รู้เป็นจุดๆเป็นจุดมาร์กจุดอะไรอย่างนี้ แต่ของเรามันยังไม่ถึงขนาดนั้น คือเขาจะเอากล้องมาตั้งสักสามตัวและให้ผมอ่านบทและก็เล่นไปเลย เล่นและก็โต้ตอบกับพี่หนุ่ม สันติสุข หรือว่าอะไรอย่างนี้ ผมก็โต้ตอบไป ผมก็ต้องทำท่าว่าผมจะทำยังไงปากผมมันก็จะพูดไดอาล็อคไป โดยกล้องจะจับอยู่สามส่วนประมาณแบบว่าโคลสอัพปาก โคลสอัพตัว โคลสอัพแขนต่างๆ เพื่อที่จะไปเขียนเป็นการ์ตูน ผมก็มันจะเป็นไปได้ยังไงนะ แต่พอเขาเขียนออกมาเฮ้ยมันเหมือนตัวผมจริงๆนะ มันเหมือนตัวผม แบบว่าจุกผมเดทร็อคที่พี่จิกเขาจับคาแร็คเตอร์ของผมมาใส่ในตัวการ์ตูน และสิ่งที่สำคัญที่สุดของผมคือจุกตรงนี้ครับ จุกนี้ครับก็น่าจะเป็นเอกลักษณ์ของตัวนี้ไม่น่าเชื่อ ก็ต้องขอบคุณมากนะครับ ผมก็จะบอกลูกบอกหลานว่าตัวนี้มันคือผมจริงๆก็คงจะเป็นอะไรที่ผมจำได้ว่าเขาเอาตรงนี้ไปด้วย เขาเข้าใจว่าเอกลักษณ์มันคืออะไร
« Last Edit: September 15, 2012, 07:19:38 AM by FB »

FB on September 14, 2012, 03:36:40 PM
          Q.แต่คิดไหมว่ากว่าการ์ตูนเรื่องยักษ์จะเสร็จสมบูรณ์ต้องใช้เวลานานขนาดนี้6ปีเลยทีเดียว
          H. ผมว่าอย่างมากก็ปีหนึ่ง จริงๆนะหรือมากกว่าปีหนึ่ง แต่พอเข้าไปครั้งที่หนึ่งก็แล้วพอครั้งที่สองยังไม่เสร็จพอสามผมโดนเข้าไปพากย์ซ่อมพากย์ซ้ำ อาจจะรู้สึกว่ามันต้องเป็นการทำงานที่น่าเบื่อ ไม่ใช่ครับ ผมกลับรู้สึกว่าเขาเอาจริงนี่นาไม่ได้แบบพากย์ไปแล้วเอาไปตัดเสียงไม่ใช่ครับ วันนั้นไปสตูดิโอของเวิร์คพอยท์แค่อู้ย อึ๊ยยย เสียงแค่นี้วันหนึ่งแค่นั้นเองไม่มีเสียงพูดเลย มีแค่อูย แค่นี้ แบบเราเป็นเหมือนตัวอย่างไกด์ให้ทีมแอนิเมเตอร์เขามีอารมณ์ แล้วเขาจะได้เอาไปเขียนตัวการ์ตูนต่อ อย่างของผมแค่ประมาณสี่ปีแต่การเตรียมการน่ะหกปี เห็นพี่จิกบอกว่าเขาเตรียมงานมาเป็นปีสองปีนะ รวมของผมอีกสี่ปีน่าจะหกพอดี เป็นหนังการ์ตูนเรื่องแรกของเมืองไทยที่ใช้เรียกว่าเป็นมหากาพย์ในการใช้เวลานานมากที่สุดแล้วมั้ง แต่ผมเห็นบางช็อตแล้วผมว่าน่าจะไปทั่วโลกได้นะ เรื่องราวถ้าพูดไปถึงอย่างเรื่องรามอย่างนี้คนทั่วโลกน่าจะรู้จักคำว่าอวตารยังรู้จักเลย จริงๆแล้วผมว่าระยะเวลาหกปีไม่ได้นานเลยนะ โหมันแป๊ปเดียวเองหกปี นี่จะได้ฉายแล้วไม่น่าเชื่อ อยากดู ก็นานขนาดที่เรียกได้ว่าผมยังจำได้ว่าผมมาอ่านบทได้ครั้งแรกน้องออมสินที่เล่นเป็นน้องสนิม(หุ่นกระป๋องตัวเล็กสีชมพู)ของเรายังเด็ก ตอนนี้น่าจะมีแฟนแล้วนะครับ น่าจะแต่งงานแล้วด้วยมั้งไม่ถึงหรอกตอนนั้นยังเด็กยังถักผมเปียมาเลยชุดอนุบาล(7-8ขวบ)(หัวเราะ) ตอนนี้น่าจะเกือบสิบล่ะมั้ง13แล้วละมั้งนะครับผมว่าขนาดนั้นเลยนะครับ มันยาวนานขนาดที่น้องคนหนึ่งที่มาพากย์เป็นตัวเด็กๆเป็นน้องหนิมนะคัรบ โตเป็นสาวแล้วด้วยก็น่าจะได้เจอเร็วๆนี้
          Q.ความประทับใจของแอนิเมชั่นเรื่องยักษ์ในมุมมองของพี่หอย
          H. จริงๆแล้วเรื่องที่น่าประทับใจในแอนิมชั่นเรื่องยักษ์นะครับ สิ่งที่พี่จิกหยิบมามันไม่ได้เอามาทั้งเรื่องหยิบคาแร็คเตอร์หยิบเรื่องราวเอามาแล้วก็เขาเรียกว่าตีความใหม่ คือผมพากย์ไปผมรู้สึกว่า นี่มันเปลี่ยนความรู้สึก มันเปลี่ยนแง่คิดจริงๆแล้ว เวลาของมิตรภาพดีกว่าเวลาของการเป็นศัตรูซะอีก ซึ่งในเรื่องไอ้ตัวเผือกกับตัวเขียวมันไม่รู้อะไรว่าเบื้องหลังก่อนหน้านี้ทั้งคู่เคยเป็นศัตรูกัน แต่สุดท้ายพอมันได้ทำอะไรด้วยกันที่ช่วยเหลือกัน ผมว่ามันทำให้สองคนนี้เป็นเพื่อนกันเสร็จมันมากพอที่จะรักษาตรงนั้นมากกว่าการที่ไปรู้เรื่องราวในอดีตที่สู้กันมาตลอด สุดท้ายเชื่อว่าเด็กๆถ้าเข้าไปดูจะได้เรียนรู้ว่าเป็นมิตรดีกว่าเป็นศัตรูเยอะ คิดดีทำดีดีกว่า การเป็นศัตรูกันผมว่ามันเสียเวลา มันทำให้ชีวิตไม่มีความสุข
          Q.อยากให้พี่หอยเล่าให้ฟังถึงเรื่องราวของ ยักษ์
          H. ก็เรื่องราวของยักษ์นะครับก็เป็นเรื่องราวที่เป็นเขาเรียกว่าเป็นหุ่นกระป๋องที่ต้องรบราฆ่าฟันกันอย่างดุเดือดเลือดพล่านตัวหนุมานเอง เล่าง่ายๆตัวหนุมานจะต้องต่อสู้กันกับทศกัณฐ์ แล้วก็มีอาวุธที่แสนยานุภาพของธนูหรือแสงอะไรบางอย่างของรามนะครับยิงลงมาเพื่อที่จะล้างโลกกันเลยทีเดียว ในขณะที่ทั้งสองคนกำลังรบกัน ในระหว่างนั้นหางของหนุมานปักเข้าไปตรงอกของทศกัณฐ์ ไอ้ทศกัณฐ์ก็ดำดิ่งลงไปเพื่อที่จะหลบศรของรามนะครับ หลังจากนั้นเวลาผ่านไปนะครับ จนทั้งคู่ได้ฟื้นคืนชีพขึ้นมาอีกครั้งหนึ่ง ซึ่งทั้งสองหุ่น หุ่นยักษ์กับหุ่นกระป๋อง ก็เลยตัวติดกันหางก็ติดกันอยู่ ไปไหนก็ไปด้วยกัน และก็ลืมสิ่งที่เคยเกิดขึ้นกับตัวเองในอดีตทั้งหมดเลย ชีวิตที่ผ่านไปก็ผจญภัยไปเรื่อยๆสุดท้ายแล้วพยายามที่จะตัดโซ่ออกจากันนะครับ ไอ้ตัวเผือกก็พยายามที่จะตัดโซ่ออกจากน้าเขียว จริงๆมันจำไม่ได้ว่าตัวเองชื่ออะไรเห็นกระป๋องอันนั้นมันขาวๆไอ้ตัวนี้เขียวๆก็เรียกน้าเขียวกับเผือก พยายามตัดโซ่กันไปพยายามยังไงก็ไม่ได้ะ และก็ได้ใช้ชีวิตด้วยกันจับผลัดจับผลูอะไรต่างๆนานา จนมิตรภาพเกิดขึ้นจนทั้งสองคนก็ลืมเรื่องราวตัดโซ่ไปในระยะหนึ่งก็มีความสุข สุดท้ายแล้วก็ทั้งสองคน คนแรกที่จำความได้ว่าตัวเองคือหนุมานที่ต้องมาฆ่าตัวๆนี้ที่ติดกับเขาอยู่ที่เป็นเพื่อนกันแล้วเนี้ยะ เหตุการณ์จะเป็นยังไงต่อไปก็ต้องไปดูความมันส์กัน
          Q.พี่หอยเล่าให้ฟังถึงคาแรคเตอร์ของตัวหนุมานหรือเผือกหน่อยว่าเป็นไงบ้าง
          H.ก็ตัวหุ่นกระป๋องเผือก คือหนุมาน จริงๆแล้วในชาติปางก่อนจะเป็นทหารเอกของรามที่เก่งกาจมากและก็ยะโส และก็เรียกว่าภูมิใจในฝีมือของตัวเองจะปราบหรือสู้กับใครก็สบายไม่ยากเย็นนัก แต่แล้วก็เกิดเหตุล้างโลกขึ้นมา พอฟื้นขึ้นมาอีกก็ยังไม่ทิ้งนิสัยเดิม คนขี้โวยวาย ขี้ทุกอย่าง และก็ไม่ได้ชอบไอ้ตัวน้าเขียวเท่าไร จะแบบเห็นเป็นคนโง่ ทึ่ม พยายามจะปัดให้ไปไกลๆ หุ่นกระป๋องยักษ์เขียวนั้นแหละ ก็ยังคงนิสัยเหมือนเดิมสุดท้ายแล้วสิ่งที่สอนเขาก็คือมิตรภาพที่ช่วยเหลือกันมากกว่า พอได้มิตรภาพเข้าไปเจ้าเผือกนี่ก็ใจอ่อนและก็เริ่มรักเริ่มผูกพันไอ้เจ้ายักษ์เขียวตัวนี้ แล้วต้องบอกเลยว่าตั้งแต่ต้นเรื่องเลยมีปล่อยแสงแซทเทิลไลท์เป็นแอนิเมชั่นที่มีสีสันและความตื่นเต้นแล้วเจ้าตัวเผือกก็จะขี้โวยวายอยู่ตลอดเวลา รับรองว่าสนุกสนานและก็มีมุขตลกมีความอารมณ์ดีมีความเสียดสีว่ากล่าวด่าทอ เป็นตัวละครที่เด็กๆน่าจะชอบและตัวหนังเรื่องนี้เองก็สนุกครับ
          Q.ทราบมาว่าพี่หอยเองมีส่วนร่วมในการให้ชีวิตสร้างสีสันให้กับตัวเผือกมากๆมีเสนอนั่นโน่นนี่แชร์ไอเดียกับพี่จิกกันตลอด
          H. คือจริงๆแล้วการให้ชีวิตกับตัวละครตัวนี้ต้องให้เครดิตกับพี่จิกประภาสมากกว่าที่เลือกผมมาเล่นเป็นตัวนี้ ถ้าผมไปเล่นเป็นตัวอื่นผมก็คงเล่นไม่ได้เพราะว่าไอ้ตัวเผือกหรือว่าไอ้ตัวหนุมานนี่ค่อนข้างที่จะมีนิสัยคล้ายๆผมเหมือนกัน โวยวาย ไม่อยู่นิ่ง และก็ได้ใช้เสียงอย่างอิสระ พี่จิกเขาบอกเออแบบนี้ เอาแบบนี้ตลอด พอเราเล่นมุกไปอันนี้เอา อันนี้ไม่เอาคือเราเล่นไปก่อน เราเป็นคนขยันอยู่แล้วยิงไปก่อนอันที่ไม่เอาบอก แต่ส่วนใหญ่เอานะ ก็เอาเกือบทุกอันที่เราเสนอไปหรือเขาไปตัดตอนสุดท้ายก็ไม่รู้ ก็จริงๆแล้วการที่พี่จิกมาดูมากำกับเอง เรารู้สึกสบายใจ เรารู้สึกทุ่มเทอยากจะทำอะไรเสนออะไรหลายๆอย่าง บางคำบางอะไรที่เราไม่ได้ตั้งใจมันเป็นธรรมชาติ ก็อย่างเช่น (หัวเราะ) ไม่ต้องกลัวหรอกเกิดมาเพื่อสิ่งสิ่งนี้ และก็เห็นบอกว่าเอาไปทำเป็นเพลง ก็เกิดมาเพื่อสิ่งสิ่งนี้ มันเป็นสิ่งที่ผมพูดประจำอยู่แล้วว่าไม่ต้องห่วงนะครับผมเกิดมาเพื่อสิ่งสิ่งนี้อยู่แล้วอย่างนี้ เขาก็เอาไปทำมา เกิดมา ก็ไม่รู้ว่าเป็นไอเดียที่เขาเอาไปหรือเปล่านะ คือว่าสิ่งที่ผมพูดออกไปสิ่งๆนี้แสตมป์ได้เอาไปทำเป็นเพลง ไม่รู้ชื่อเพลงอะไร เพลงเกิดมาเป็นเพื่อนเธอ ขอขอบคุณด้วย แต่สิ่งที่พูดออกไปทุกอย่างมันคือธรรมชาติมากกว่า ขอบคุณมากครับก็คือใช้ชีวิตประจำวันใครมาถ่ายรูป พี่หอยเบื่อมั้ยครับ ไม่ครับ ผมเกิดมาเพื่อสิ่งสิ่งนี้ครับ
          Q.ความโดดเด่นของแอนิเมชั่นยักษ์
          H.ครับเรื่องงานดีไซน์อีกอย่างหนึ่งที่ผมอึ้ง ทึ่ง เสียว เลยทีเดียว เพราะว่าจริงๆแล้วรูปทรงมันเหมือนฝรั่ง แต่ว่ารายละเอียดการวาดปากหรือการวาดที่เป็นหนุมานหรือยักษ์หรืออะไรต่างๆนานๆเป็นการดีไซน์ของไทย หรือว่าอาวุธหรืออะไรที่เป็นของไทยจะมาเป็นของไทย เพราะว่าจริงๆมันไม่น่าจะเข้ากันได้ แต่พอสุดท้ายมันมาและมันเป็นความเคลื่อนไหวอะไรต่างๆนานา ถ้าคนไม่สังเกตก็จะเฉยๆนะ สังเกตดีๆรายละเอียดที่เขาวาดมันจะมีความเป็นไทยอยู่สูงเลยทีเดียว สุดยอด
          Q.ทำไมการ์ตูนแอนิเมชั่นยักษ์ถึงเป็นที่จับตามองว่าจะเป็นการ์ตูนที่สร้างปรากฎการณ์
          H. ผมว่าการ์ตูนเรื่องยักษ์นะครับมันเป็นปรากฏหารณ์หลายๆอย่างที่ร่วมมือกันไม่ว่าจะเป็นทางสหมงคลฟิล์ม ซูเปอร์จิ๋ว บ้านอิทธิ์ฤทธิ์ และก็พี่จิก ประภาส ชลศรานนท์นะครับได้มีการร่วมมือกัน ผมว่ามันน่าจะเป็นปรากฏการณ์เท่าที่ได้ฟังมานี้หรือการรอคอย ผมรอคอยมาเอ๊ะปีนี้ก็ยังไม่ฉาย ปีนี้ก็ยังไม่ฉาย คือก็สอบถามไปเหมือนกันว่าทำไมยังไม่ฉาย ก็บอกว่าพี่จิกมาดูขนาดตัวละครหรือฉากไหนไม่เวิร์คตัดออกทำใหม่ ก็ยังบอกว่าฉากนี้หกเดือนนะ ฉากนี้สี่เดือนนะ โอ้โห แกไม่สนครับ คือถ้าบางคนที่เออฉากนี้เหลือสองตัวก็พอ มีตัวละครสองตัวก็พอ ไม่ครับแกมาเป็นโขลงครับ มาแบบจัดเต็มขนาดที่เรียกได้ว่าไม่รู้ว่ามาทำไม ตอนที่ผมไปซ่อมเสียงมาฉากที่อยู่ในโรงกลึงเหล็ก และมันไม่ได้ธรรมดามันเป็นมิวสิคัลด้วยนะครับ มีการร้องเพลงด้วย ซึ่งผมก็ได้ยินมันเป็นกลิ่นไอเฉลียงเลยนะ เหมือนเฉลียงจริงๆนะแต่เป็นแบบมิวสิคคัลแบบสไตล์พี่จิกที่ชอบแต่งคำค่อนข้างคมค่อนข้างที่แบบฟังแล้วมีเนื้อหาที่น่าสนใจ ผมว่ามันยาก สมแล้วครับหกปี หกปีผมว่าเด็กที่เจริญเติบโตมาหกปีน่าจะได้ดูมัน เหมือนเป็นการข้ามวัยกันเลยที่เดียวเหมือนอย่างที่ผมเล่าว่าน้องออมสินที่เล่นเป็นน้องสนิมจากเด็กเลยตอนนี้วัยรุ่นแล้วแหละ น่าดูมาก เพราะว่าความละเอียดความพิถีพิถันน่าจะเป็นปรากฏการณ์ของเมืองไทยเลยทีเดียว

FB on September 14, 2012, 03:37:31 PM
          Q.ทราบว่ามีการรวบรวมศิลปินคนทำงานเก่งๆในวงการบันเทิงมาร่วมสร้างความสมบูรณ์ให้กับโปรเจ็คต์ยักษ์นี้ด้วย
          H. ก็เรียกได้ว่าเป็นหนังที่รวบรวมคนเก่งๆเยอะนะครับตั้งแต่หัวเรือเราเลยนะ พี่จิก ประภาสนะ พอพี่จิกบอกจะทำอะไรเนี่ยผมว่าทุกคนพร้อมที่จะร่วมมือโดยที่ไม่ถามเรื่องเงินเรื่องอะไร บอกตรงๆว่าไม่ได้ถามอะไรเลย อย่างคนพากย์อย่างพี่หนุ่ม สันติสุข คุณโน้ส อุดม เรียกใครมาก็แล้วแต่ คุณส้มเช้ง ตั๊ก บริบูรณ์ เขาเป็นแฟนฟันธุ์แท้ทศกัณฐ์ และก็หลายคนไม่ว่าจะเป็น คุณแสตมป์ ที่จะต้องมาแต่งเพลงและก็มีRoom39มาร้องนะครับ คุณเอ็กซ์ซึ่งมาทำการ์ตูน โอ๊ยเยอะไปหมด ผมว่าทั่วฟ้าเมืองไทยดีกว่าที่เอ่ยชื่อมาต้องมาอยู่ในนี้ พี่เหมี่ยว ปวันรัตน์และก็อีกหลายๆคน ในหนังเรื่องนี้คุณจะไม่เชื่อเลยว่ามีคนพากย์ขนาดนี้เลยหรอ เขาเรียกเหมือนคามิโอ(ดารารับเชิญ)ในหนังมีแบบเจอคนโน้นเจอคนนี้แบบเซอร์ไพร์ส ต้องจับเสียงเอาเองว่าใครบ้าง ผมว่าถ้าเอ่ยชื่อมานี่ระดับต้นๆของเมืองไทยทั้งนั้นเลยครับ
          Q.อยากฝากอะไรกับคนที่รอชมภาพยนตร์
          H. ผมว่าการ์ตูนเรื่องนะครับผมว่ามันก็จะมีข้อคิดสำหรับเด็ก และข้อคิดสำหรับผู้ใหญ่ที่ตอนนี้กำลังทะเลาะกันอยู่ ผมว่ามิตรภาพที่เกิดขึ้นไม่จำเป็นที่จะต้องมาจากครอบครัวเดียวกัน มาจากต่างเผ่าพันธุ์ที่หนุมาน ทศกัณฐ์หหรือเผือกกับเขียวที่มาคนละสายพันธุ์เลยคนละสีสันเลย มาดูที่พี่จิกเขียนหรือว่าอะไรเนี้ยะ คือคนไทยไม่ชอบหรอกมาดูหนังแล้วต้องสอน น้ำท่วมทุ่งผักบุ้งโหรงเหรงนะ มันคงไม่ดีมันคงไม่สนุก แต่ว่าพี่จิกได้สอนความน่ารักความเป็นมิตรภาพ ผมว่าเด็กก็ดูได้ ผู้ใหญ่ที่กำลังทะเลาะกันก็ดูดีครับ ไปดูกันนะครับว่าการเป็นมิตรภาพมันดีกว่าการเป็นศัตรูกันแค่ไหน และอยากจะว่าดีใจและประทับใจที่เป็นส่วนหนึ่งของยักษ์ ขอบคุณพี่จิก ,เสี่ยเจียงอีกครั้งหนึ่งนะครับที่เลือกผมมาเป็นตัวนี้ ซึ่งเป็นตัวขวัญใจวัยรุ่นอย่างผมมาก หนุมานตัวนี้นะครับ ถ้าเป็นตัวอื่นก็คงจะทำไม่ได้นะครับ เพราะว่าไอ้ตัวนี้ลักษณะนิสัยตัวนี้มันค่อนข้างที่จะคล้ายผมจริงๆนะครับ ขี้โวยวาย ขี้อะไรอย่างนี้ มันเล่นได้อย่างคล่องแคล่วและลงตัว ขอบคุณมาก ดีใจกับพี่จิกด้วยนะครับสำหรับหกปีที่รอคอย คอยจนตอนแรกไม่เป็นเก๊าท์ จนตอนนี้เก๊าท์กินแล้วครับตอนนี้เข่าเริ่มมีเสียงแล้ว(หัวเราะ) หกปีเลยทีเดียว อยากจะบอกว่านี้เป็นหนังการ์ตูนไทยเรื่องแรกเทียบเท่าฮอลลีวู้ดได้เลยนะครับ ดูจากการเคลื่อนไหวจากแอนิเมชั่นทุกๆตัวและก็เอกลักษณ์ของไททยก็ยังมีอยู่ในรูปทรงของหุ่นกระป๋องทุกๆตัวนะครับ ก็ดีใจที่เป็นส่วนหนึ่งของพี่จิก ประภาสและยักษ์ครับ
          Q.ยักษ์ตัวแรกที่พี่หอยรู้จัก
          H.ยักษ์ตัวแรกที่ผมรู้จักคือยักษ์วัดแจ้งกับยักษ์วัดโพธิ์ เพราะตอนนั้นเป็นจัมโบ้เอกับยักษ์วัดแจ้งปะทะกับยักษ์วัดโพธิ์อะไรสักอย่าง หนุมานพบเจ็ดยอดมนุษย์ ซึ่งเจ้าแม่อุลตร้านับถือศาสนาพุทธ ผมยังเคยดูเลยผมจำได้ในหนังมีประกาศว่าเจ้าแม่อุลตร้านับถือศาสนาพุทธ (หัวเราะ) ผมว่าน่าจะวัดแจ้งกับวัดโพธิ์ ไปนวดเส้นก็วัดโพธิ์ครับ วัดโพธิ์นวดดี (หัวเราะ)
          Q.ยักษ์ในความคิดของพี่หอย
          H.ยักษ์ในความคิดผมคงเป็นอะไรที่น่ากลัวและมีเขี้ยวนะครับ มีถือกระบองอันหนึ่งเท่าที่ตอนเด็กจินตนาการ เพราะว่าก็ที่บอกครับได้ดูหนังเสร็จก็ไปที่วัดแจ้งกับวัดโพธิ์เลยว่ามันเหมือนเปล่าถือกระบองอันหนึ่งและมีเขี้ยวใส่ชุดเชิดๆหน่อยๆ น่ากลัว
          Q.ถ้าต้องเลือกระหว่างหน้าทีมิตรภาพและความถูกต้องจะเลือกอะไร
          H.ถ้าให้ต้องเลือกระหว่างหน้าที่กับมิตรภาพและความถูกต้อง จะให้เลือกอะไร น่าจะเลือกความถูกต้องมากกว่านะครับ ส่วนตัวผมเองนะความถูกต้อง และเป็นมิตรภาพที่ไม่ถูกต้องมันก็คงจะยาก ผมชอบความถูกต้อง แต่ผมว่ามันจะโอเคกว่านะครับถ้าเลือกมิตรภาพมันจะหาซื้อได้ยากกว่าครับ เพราะว่ามิตรภาพบางทีมันมาด้วยความไม่ตั้งใจ มันมาด้วยความที่มาด้วย
          Q.จากศัตรูจะแปรเปลี่ยนเป็นมิตรได้ไหม
          H.ผมว่าได้นะใช้หัวใจในการคิดอย่าใช้อย่างอื่น ผมว่ามิตรภาพมันมายากไหม ผมว่าก็ไม่ได้ยากนะถ้าทุกคนเปิดใจ ไม่ได้ปิดใจ
          Q.เสน่ห์ของหนังเรื่องนี้
          H. ผมว่าเสน่ห์ของหนังเรื่องนี้ผมว่าเวลาหกปีนะคุณ หกปีกับความตั้งใจของคนๆหนึ่ง ผมงานไม่หนักเท่าพี่จิกเลย พี่จิกต้องดูทั้งหมดทุกๆอย่าง อันไหนไม่ได้ก็แก้ เขาบอกว่าผมจำได้นะเขาบอกว่าทำให้ลูกดู ทำให้ลูกแกดูจริงๆนี้เรื่อง เขาทำแบบว่าผมก็ไม่รู้เหมือนกันนะว่าเขาพูดอย่างนั้นจริงๆ พอหกปีปั๊บผมรู้แล้วแหละพี่ทำให้ลูกพี่ดูจริงๆ ตอนนี้ลูกพี่โตในระดับหนึ่งและก็ดูผลงานของคุณพ่อที่เรียกได้ว่าเป็นครั้งแรกของเมืองไทยที่เป็นการ์ตูนแอนิเมชั่นที่ทำเรื่องราวของไทยเอาจับมาทำระดับฮอลลีวูดเลยนะและเป็นคนไทยทำ และมันมีลักษณะการเคลื่อนไหวอะไรไม่ต้องห่วงเลยว่าสุดยอดเลยทีเดียว ก็ไปดูทั้งเด็กและผู้ใหญ่และลูก ถ้าผู้ใหญ่ไปก็อยู่ในความควบคุมดูแลของเด็กอย่าซนอย่าลุกหนีไปไหน ดูเป็นเพื่อนลูกด้วย ผมว่าสนุกแน่นอนครับ (หัวเราะ)

FB on September 14, 2012, 03:38:23 PM
บทสัมภาษณ์ ตั๊ก บริบูรณ์ จันทร์เรือง ผู้พากย์เสียง กุมภกรรณ ในภาพยนตร์แอนิเมชั่น เรื่อง “ยักษ์”



          การโชว์พลังครั้งล่าสุดของ ตั๊ก บริบูรณ์ จันทร์เรือง
          ในการสวมวิญญาณ “กุมภกรรณ” ยักษ์ใหญ่ เพี้ยน แสบ ซ่า
          บทบาทสุดฮาที่จะขอมา “กุมหัวใจ” ทุกๆ คน

Q: ทำงานอยู่ในวงการบันเทิงมานาน ทำงานมาหลากหลายแขนง แต่ครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่ได้พากย์เสียงภาพยนตร์แอนิเมชั่น และยังเป็นการร่วมงานกับพี่จิกประภาส ชลศรานนท์รู้สึกอย่างไรบ้าง
T: ในเรื่องยักษ์ผมพากย์เสียงเป็น “กุมภกรรณ” หรือ “กุม” นะครับ สำหรับผมเองนะครับก็ก็รู้สึกเป็นเกียรติมากที่ผมได้มาร่วมงานกับพี่จิก ประภาส นะครับผม เพราะว่าเขาเป็นทั้งนักคิด นักเขียน ที่เก่งมากๆ คนหนึ่งครับ และก็รู้สึกภูมิใจมากที่ได้รับเลือกมา โดยผมผ่านเข้ารอบมาจากการแคสติ้งเหมือนกับการคัดตัวนักแสดงเลย ทางผู้ใหญ่เขาคงเห็นลักษะของเราเห็นว่าไอ้เจ้ากุมเนี้ยมันน่าจะเป็นตั๊ก บริบูรณ์ (หัวเราะ) เพราะว่าหนึ่งเลยนะครับมีความทะเล้น มีความเป็นโรคจิต เดี๋ยวเสียงสูงหรือเสียงต่ำคือมันเหมือนกับว่าสมองของมันเนี่ยไม่ค่อยจะเต็มนะ เอะอะอยากจะแหกปากก็แหกปาก จะขรึมก็ขรึม ที่สำคัญชอบพูดกับตัวเองด้วยครับ บ่นกับตัวเองตลอด งึมงำงึมงำ น่ารักครับ

Q: ทราบมาว่าตัวละครตัวนี้เป็นอีกหนึ่งความสนุกของเรื่องราว อยากให้ช่วยแนะนำความน่าสนใจและเสน่ห์ของตัวละคร “กุมภกรรณ” สักนิด
T: เป็นตัวละครที่ไม่ธรรมดาเลยครับ คือบอกได้เลยว่าเป็นตัวละครที่มีสีสันมากในหนังเรื่องนี้นะครับ เพราะว่าลักษณะของมันจะเป็นยักษ์ที่ตัวใหญ่สีแดงและก็มีขาที่พิการ เวลาจะพูดทีต้องคอยสูดน้ำลายเข้าปากด้วย เวลาที่มันพูดก็คือเสียงมันจะแหบๆ และตอนที่ผมมาพากย์เขาห้ามเลยนะห้ามดื่มน้ำ คือห้ามทุกอย่างเลยต้องการให้เสียงมันแหบๆ จริงๆ (หัวเราะ) อาชีพของมันก็คือจัดโชว์ปาหี่ขายของตามตลาด และก็จะเป็นคนที่บ้าทศกัณฐ์มาก คิดว่าซักวันหนึ่งทศกัณฐ์ต้องกลับมา ก็เลยขายของเก็บเงินเก็บทอง สะสมเงินและก็สะสมอาวุธเพื่อที่จะไปรับใช้ทศกัณฐ์ให้ได้ มีลูกน้องด้วยก็คือไอ้สนิม จะเป็นหุ่นกระป๋องที่น่ารักมาก เป็นผู้ช่วยของกุมขายของแต่ชอบทำงานเสียอยู่เรื่อย
กุมมันจะมีปืนประจำกายที่เรียกว่าปืนโมกขศักดิ์ แต่ว่าปืนกระบอกนี้จะมีความพิเศษยังไงต้องไปติดตามครับ ในเรื่องนี้นะครับกุมจะมีของสะสมเยอะมาก แต่จะมีของอยู่อย่างหนึ่งที่กุมรักและก็หวงมากนั่นก็คือคือ นกสดายุ นกตัวนี้มันมีความพิเศษและมีความสำคัญกับเนื้อเรื่องด้วยต้องลองไปติดตามดูกันครับ นกเหล็กตัวนี้แสบมากๆเลย เพราะว่ามันเป็นนกที่พูดเก่งมากและคนที่พากย์ก็เหมาะสมกันมากครับ ก็คือพี่เหมี่ยว ปวันรัตน์ นาคสุริยะ ครับเหมาะมากๆ เลยครับสีผิวดำเหมือนกันเลยครับ (หัวเราะ)

Q: การพากย์แอนิเมชั่นเรื่องนี้มีความท้าทาย อย่างไรบ้าง
T: ความท้าทายในการพากย์เรื่องนี้นะครับขอบอกไว้เลยว่าฮอลลีวู้ดสู้ไม่ได้ (หัวเราะ) หนังการ์ตูนหลายๆ เรื่องเขาต้องพากย์อยู่ในห้องคนเดียว แต่ของที่นี่อย่างฉากที่ผมต้องขึ้นไปขี่นกเหล็กสดายุ นกเหล็กมันต้องคอยบินซ้ายบินขวา แต่ผมพากย์อยู่ในห้อง เพื่อให้มันสมจริงทีมงาน เขาจะคอยยืนอยู่ข้างหลังผมจับตัวผมครับโยกซ้ายโยกขวา เห็นไหมครับ ฮอลลีวู้ดสู้เราไม่ได้หรอกครับ (หัวเราะ) และมันจะสมจริงมาก โยกเสร็จนะครับเขย่าด้วย ขึ้น-ลง เขายกตัวผมลอยเลยครับ คือเทคนิคในการพากย์ครั้งนี้เยอะเลยครับผม อีกฉากคือตอนที่มาขายปืน ที่อื่นไม่มีปืนมานะ ที่นี่มีพร้อมครับ มีปืนมาให้ผมเลย นี่เป็นปืนโมกขศักดิ์ ให้ผมหยิบปืนขึ้นมาเล็งเปรี้ยงๆ และก็พากย์ ขอบอกเลยว่ามันก็เหมือนว่าเรามาเล่นหนังจริงๆ และก็มันสามารถจะมองเห็นภาพได้ว่า ยักษ์ตัวนี้มันก็กำลังจะทำอะไรอยู่ และเราก็สวมบทเป็นยักษ์ตัวนั้น

Q: ประสบการณ์ความรู้สึกที่ได้จากการมาพากย์หนังเรื่องนี้
T: ประสบการณ์ที่ได้จากการมาพากย์เรื่องยักษ์นะครับ โอ้โห ขอบอกได้เลยว่าได้เยอะมากๆ ปกติแล้วผมเองก็เป็นคนที่บ้าอยู่แล้ว แต่พอมาพากย์เรื่องนี้จบนะเชื่อไหมครับผมบ้าหนักกว่าเก่า (หัวเราะ) ผมต้องอยู่ในห้องคนเดียวและผมต้องคอยแสดงท่าทางต่างๆ บินกระพือปีก มุดดินด้วย หัวเราะอยู่คนเดียว ยิงปืนผมก็ยิงอยู่คนเดียว อยู่ในห้องคนเดียวเหมือนกับว่า ผมมาพากย์หนังอยู่ที่โรงพยาบาลศรีธัญญาครับผม (หัวเราะ) แต่มันก็ได้อรรถรสในการพากย์ เพราะว่าในการที่เราจะมาพากย์และก็ให้มันสมจริงสมจังก็ เราต้องเป็นตัวละครตัวนั้นด้วยครับ

Q: ได้ยินมาว่าต้องมีการร้องเพลงมีฉากมิวสิคคัลด้วย
T: ฉากมิวสิคัลยากครับ ขอบอกเลยนะว่าพากย์มันก็ยากอยู่แล้ว แต่ผมก็สามารถผ่านได้ แต่ที่มาหนักก็วันแรกเลยครับ ให้ผมร้องเพลงก่อนเลย เชื่อไหมครับสิบโมงครึ่งยันบ่ายสองยังไม่จบสามบรรทัดเลย (หัวเราะ) ฉากนี้จะเป็นฉากโชว์ปาหี่ขายของ ของกุมภกรรณ มันต้องร้องให้ตรงล็อคให้ตรงจังหวะให้ตรงเมโลดี้มันยากและมันต้องใช้พลังงานมากครับ

Q: โดยส่วนตัวแล้วชื่นชอบภาพยนตร์แอนิเมชั่นมากน้อย แค่ไหนและคิดว่าแอนิเมชั่นมีความสนุก และส่งผลกับชีวิตเราอย่างไรบ้าง
T: ผมเคยดูแอนิเมชั่นมานะครับก็ถือได้ว่าเยอะเลยตั้งแต่สมัยเรื่อง Antz (1998) ที่เป็นมด เป็นมดที่น่ารักมาก แต่พอมาดูแล้วผมคิดว่าแพ้หนังเรื่องยักษ์ ถ้าได้มาดูที่ตั๊ก บริบูรณ์พากย์ โอ้โหท่านผู้ชมต้องประทับใจไม่รู้ลืมเลยดีกว่า การันตีโดยตั๊ก บริบูรณ์ครับ (หัวเราะ) ถ้าถามว่าการ์ตูนแอนิเมชั่นให้อะไรกับเราบ้างนะครับ ผมขอบอกเลยว่ามีอยู่เรื่องหนึ่งที่ผมประทับใจมากๆ คือเรื่อง Up ปู่ซ่าบ้าพลัง ประทับใจในเรื่องราวของคุณปู่ซู่ซ่าส์ เป็นเรื่องของความสัมพันธ์ของปู่กับเด็กคือคุณปู่เนี่ยจะอยู่บ้านคนเดียวไม่มีใครเป็นเพื่อนเลย จนมาเจอกับไอ้เด็กคนนี้แล้วเรื่องก็ผูกเรื่องราวเกิดความรักและความเข้าใจซึ่งกันและกัน แอนิเมชั่นก็มีส่วนที่สอนคนครับ คือสอนให้ผมเป็นคนที่มีความรักกับทุกๆ คน ไม่ใช่ว่าเราจะมีโลกส่วนตัว เราเรียนรู้ที่จะรู้จักกับคนอื่นและก็เข้าใจคนอื่นๆ ด้วย ผมว่าหนังแอนิเมชั่นมักจะมีคำสอนอยู่ทุกๆ เรื่องครับ

Q: รู้สึกอย่างไรที่หนังเรื่องนี้กำลังจะออกสู่สายตาทุกคน มีความคิดเห็นเกี่ยวกับแวดวงแอนิเมชั่นไทยอย่างไรบ้าง คิดว่าจะสามารถประสบความสำเร็จเหมือนกับหนังแอนิเมชั่นต่างประเทศไหม
T: ดีใจที่เราได้มีส่วนร่วม ก็รู้สึกภูมิใจครับ แอนิเมชั่นไทยก็ไม่ด้อยไปกว่าต่างประเทศหรือฮอลลีวู้ด เราเองก็มีความสามารถ และผมเองก็มีความมั่นใจด้วยว่าจะเป็นหนังการ์ตูนที่น่ารักมาก มันจะเป็นเรื่องของยักษ์ มันเป็นเรื่องของความรักแบบมิตรภาพ สนุกมากๆ ครับผม มั่นใจเลยครับว่าคนไทยไม่แพ้ชาติใดในโลก ผมคิดว่าแอนิเมชั่นไทยจะประสบความสำเร็จได้ในอนาคต มั่นใจว่าทำได้ครับ เพราะว่าถ้าเกิดเราได้ริเริ่มทำแล้วและเราไม่หยุด ซักวันหนึ่งสำเร็จแน่ๆ แต่ถ้าเราได้แต่คิดและเราก็ไม่ได้ทำอันนี้แหละเราไปไม่ถึงฝันแน่ๆ เหมือนผมเหมือนกัน เมื่อเรามีฝันแล้ว ฝันให้ไกลไปให้ถึงสิ แล้วถ้าเรามีความพยายามต่อไปเรื่อยๆได้ มั่นใจว่าเราต้องสู้ฮอลลีวูดได้ เรื่องนี้เรื่องยักษ์เรื่องนี้ก็สู้ฮอลลีวูดได้นะ ต้องมาดูกัน เนื้อเรื่องสนุก แอนิเมชั่นเข้าขั้นเซียน สู้ได้ (หัวเราะ)

Q: หากได้ยินคำว่า “ยักษ์” นึกถึงอะไร
T: นึกถึงอะไร ขอถามเลยดีกว่ายักษ์อะไรตาเขียว ไม่รู้ใช่ไหมครับ ยักเงินเพื่อน เพื่อนต่อยตาเขียว (หัวเราะ) ไม่ใช่ครับ นึกถึงยักษ์นึกถึง ยักษ์วัดโพธิ์กับวัดแจ้งสิครับ ยักษ์วัดโพธิ์กับยักษ์วัดแจ้งที่เขามาตีกันที่ท่าเตียน ทุกคนถามว่าท่าเตียนมันเตียนได้เพราะอะไร ยักษ์มาตีกันหรือเปล่าอันนี้ผมก็ไม่รู้ เด็กๆ ผมเชื่อ แม่บอกว่าลูกๆ หนูตั๊กๆ หนูรู้ไหมท่าเตียน มันเตียนได้เพราะอะไร ผมตอบเขาก็คงมาทำถนน ไม่ใช่นะลูกยักษ์มาตีกัน ทุกวันนี้ผมก็รู้แล้วว่าแม่หลอกผม (หัวเราะ)

Q: ในเรื่องนี้มีประเด็นหลักอยู่ที่มิตรภาพระหว่างหุ่นยนต์ทั้งสอง ที่ไม่รู้ว่าตัวเองเป็นใครและต้องทำอะไรในชีวิต หากอยู่ในสถานการณ์ที่ต้องเลือกระหว่าง หน้าที่ กับมิตรภาพจะเลือกอย่างไหน
T: ผมเลือกมิตรภาพก่อน ถ้าเกิดเหตุการณ์วันหนึ่งผมต้องมาเป็นตำรวจ และเพื่อนผมต้องมาเป็นโจร ถามผมว่าผมจะยิงเพื่อนไหม ผมไม่ยิงแต่ผมจะกล่าวเขา ตักเตือนเขา เฮ้ย เพื่อน ทำไมทำแบบนี้ ผมไม่ยิงเพื่อนผม แต่ผมจะจับเขาเข้าคุก คือทุกอย่างมิตรภาพก็ยังอยู่ มิตรภาพก็ยังอยู่ใช่ไหมครับ หน้าที่ก็ยังอยู่ สองคำนี้มันไปด้วยกันได้ อยู่ที่ว่าคุณจะเดินทางไปทางไหน อยู่ที่ว่าเราเลือกที่จะตัดสินไปทางไหน มิตรภาพหรือว่าหน้าที่ คุณกลับไปคิดเป็นการบ้านเอง จากศัตรูจะมาเป็นเพื่อนได้ไหม

Q: คิดว่าคนเราที่เคยเป็น “ศัตรู”กันมาก่อนจะสามารถเปลี่ยนมาเป็น “มิตร” กันได้ไหม
T: ผมคิดว่าคนเราเป็นเพื่อนกันได้เสมอครับ อยู่ที่ว่าเรานั้นคิดยังอย่างไร จะเดินไปทางไหน จะเดินทางจะเป็นคนดีหรือว่าคนไม่ดี ง่ายๆ ครับผมอยู่ที่ตัวของคุณเอง
« Last Edit: September 15, 2012, 07:21:50 AM by FB »

FB on September 14, 2012, 03:40:05 PM
จิก ประภาสจับมือเอ็กซ์ชัยพรเนรมิตร 5 ตัวละครเอกจากรามเกียรติ์ สู่โลกหุ่นยนต์ทั้งหุ่นกระป๋อง, หุ่นยักษ์, นกยักษ์ พร้อมตัวละครใหม่นับร้อยนับพัน



          ปฏิเสธไม่ได้ว่าการที่ภาพยนตร์แอนิมชั่นสักเรื่องจะประสบความสำเร็จเป็นที่ชื่นชอบสำหรับผู้ชมได้นั้นสิ่งแรกสุดที่ผู้สร้างจะต้องทำให้ได้ก่อน คือเสน่ห์ของตัวการ์ตูนที่จะโลดแล่นให้คนดูตกหลุมรัก และนี่เป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้เหล่าตัวการ์ตูนที่ ประภาส ชลศรานนท์ หมายมั่นปั้นมืออย่างยิ่งที่จะถ่ายทอดออกมาใน “ยักษ์” ภาพยนตร์แอนิเมชั่นทุนสูงที่ 4 พันธมิตรจากการนำโดยยักษ์ใหญ่วงการหนังอย่างสหมงคลฟิล์ม อินเตอร์เนชั่นแนล ร่วมกับบ้านอิทธิฤทธิ์, ซูเปอร์จิ๋ว และเวิร์คพอยท์พิคเจอร์ส ร่วมลงทุนไปกว่า 100 ล้านบาท และใช้เวลานานถึง 6 ปีเพื่อให้ได้อย่างสมความตั้งใจ ตั้งแต่แนวคิดที่จะหยิบเอาเสน่ห์ความโดดเด่นของตัวละครเอก และฉากสำคัญในรามายณะมาถ่ายทอดผ่านลายเส้นของ เอ็กซ์-ชัยพร พานิชรุทติวงศ์ หัวเรือใหญ่บ้านอิทธิฤทธิ์ โดยหยิบเอาเหล่า5คาแรคเตอร์ตัวละครเอกจากรามเกียรติ์อย่าง หนุมาน, ทศกัณฐ์, ราม, กุมภกรรณ, สดายุ มาตีความใหม่ออกแบบและสร้างสรรค์ขึ้นมาในรูปลักษณ์ของหุ่นยนต์ ไม่ว่าจะเป็นหนุมานที่กลายเป็นหุ่นกระป๋อง-เผือก, ทศกัณฐ์แปรเปลี่ยนเป็นหุ่นยักษ์นาม น้าเขียว, รามเอง หรือกุมภกรรณเป็นหุ่นพันธุ์ยักษ์สีแดง และสดายุกลายมาเป็นนกยักษ์เครื่องบินรบ พร้อมกับสร้างสรรค์ตัวละครใหม่อย่างหุ่นกระป๋องเด็กผู้หญิง-น้องสนิม

          “เวลาเราเล่าให้ใครฟังว่าเราจะทำรามเกียรติ์คนก็ถามว่าจะทำแบบโบราณเลยหรือ เราก็ไม่รู้จะบอกอย่างไรดีเลยบอกตรงๆ ว่ามันเป็นเรื่องของหุ่นยนต์ พอบอกหุ่นยนต์ทุกคนจะสนใจ แสดงว่าการที่รามเกียรติ์เป็นหุ่นยนต์นี่คนทั่วไปเขาอาจจะรู้สึกว่ามันไม่โบราณ แต่เหตุผลที่ว่าทำไมต้องเป็นหุ่นยนต์ คือมันเขียนบทได้โลดโผนกว่า รุนแรงได้โดยที่ไม่รู้สึกว่ารุนแรง มันอาจจะแค่รู้สึกว่ามันน่ารักหรือมันเด๋อเท่านั้นเอง ที่น่าสนใจคือมันมี MOVEMENT ของความเป็นแอนิเมชั่นสูง และการที่เป็นหุ่นยนต์ทำให้อวตารครั้งนี้ประหลาดกว่าครั้งอื่นๆ สมกับเป็นอวตารครั้งล่าสุด พอเริ่มออกแบบก็รู้สึกสนุกดี หนุมานจะเป็นยังไงทศกัณฐ์จะเป็นยังไง แล้วเราจะแต่งเรื่องขึ้นใหม่อย่างไรให้ไม่เหมือนเดิมแต่มีเค้าเดิมให้สมัยใหม่และยังมีขนบ เพราะเรื่องมันก็เกิดเรื่องใหม่ขึ้นมา คงเสน่ห์ของตัวการ์ตูนและคาแรคเตอร์ของตัวละครแต่ละตัวเช่นหนุมาน เก่งมากไวมากเป็นฮีโร่ อย่างที่เรารู้จักนี่ต้องขี้เล่นแน่นอน เพราะเป็นลิงหน้าตาต้องกวนๆ หน่อย ทศกัณฐ์คือพญายักษ์ที่ดุร้าย เก่งที่สุด ฆ่าไม่ตายส่วนตัวละครอื่นในรามเกียรติ์ที่เราเลือกมาใช้ อย่างพอคิดถึงหอกโมกขศักดิ์ตัวที่ใช้หอกก็มีกุมภกรรณ ในเรื่องนี้เราให้กุมภกรรณเป็นหุ่นพันธุ์เดียวกันกับหุ่นพันธุ์ยักษ์ เป็นพวกคลั่งทศกัณฐ์ประมาณแฟนพันธุ์แท้แต่ไม่ได้อยู่ยุคเดียวกันตอนที่ทศกัณฐ์รบ แต่มีความเชื่อว่าสักวันทศกัณฐ์จะต้องกลับมา ส่วนสดายุเรื่องเดิมเป็นนกตัวหนึ่งที่อยู่ฝั่งพระราม มาคราวนี้เราให้เป็นผู้หญิงแล้วก็เอามาเป็นเครื่องบินรบของทศกัณฐ์ด้วย เป็นเหมือนวัตถุโบราณสมัยสงครามที่กุมภกรรณเขาเก็บๆ มาเรื่อยๆ จากการประมูลมา และมีน้องสนิมน้อยที่สร้างขึ้นใหม่เป็นตัวแทนคนดูที่เป็นเด็ก ผมอยากให้เด็กเป็นตัวเชื่อมมิตรภาพของ 2 ศัตรูหนุมานทศกัณฐ์

          และตัวละครสมทบอื่นๆ อีกที่มีบทบาทโดดเด่นไม่แพ้กันอย่างหุ่นยนต์นักไต่ฝัน, หุ่นยนต์พ่อค้าหุ่นเก่า, รวมไปถึงตัวละครอื่นๆ อีกเป็นร้อยๆ พันๆ ตัว มาร่วมสร้างสีสันความสนุกสนานให้ภาพยนตร์แอนิเมชั่นยักษ์ออกมาสมบูรณ์แบบที่สุด

          “ต้องออกแบบหุ่นในเรื่องนี้เป็นร้อยๆ ตัว อย่างนักไต่ฝัน, พ่อค้าหุ่นยนต์เก่า, เพื่อนเด็ก, ลูกนายกเทศมนตรี ตัวนายกเทศมนตรี ลุงช่างคนแก่ๆ ที่รู้ตำนาน พวกหุ่นทหารยักษ์ที่เป็นกองทัพ พวกที่อยู่ในย่านซื้อของ กลุ่มคนขายของเก่าโดยเรื่องราวที่เกิดขึ้นในหนังก็จะแบ่งหุ่นยนต์ออกเป็นหุ่นกระป๋องกับหุ่นยักษ์ มันเหมือนกับลิงกับยักษ์นั้นแหละ เราแปลงลิงเป็นหุ่นกระป๋องและแปลงยักษ์เป็นหุ่นยักษ์หุ่นกระป๋องส่วนใหญ่จะใช้ล้อ แต่ที่ไม่ใช้ก็จะมีบ้าง ส่วนยักษ์ก็จะมีขา”

          แหมแค่ฟังว่าเราจะได้เห็นตัวละครรามเกียรติ์โลดแล่นในโลกของหุ่นยนต์ก็น่าสนใจแล้วแต่นี่ยังมีอีกสารพัดหุ่นและหลากหลายคาแรคเตอร์ที่ผ่านการออกแบบและเต็มไปด้วยเสน่ห์ครบถ้วนในความเป็นแอนิเมชั่นอย่างเต็มรูปแบบต้องไปพิสูจน์ด้วยตาตัวเอง 4 ต.ค. นี้ทุกโรงภาพยนตร์
« Last Edit: September 15, 2012, 07:21:10 AM by FB »

FB on September 14, 2012, 03:40:48 PM
ดีไซน์สุดหิน “ราชาแห่งยักษ์-ทศกัณฐ์” ส่งพระเอกสันติสุขสวมคาแรคเตอร์ “น้าเขียว” หุ่นยนต์ยักษ์น่ารักใจดี



          ด้วยความชื่นชอบและหลงใหลในตัว “ทศกัณฐ์” ราชันย์แห่งผองยักษ์ ตัวละครเอกแห่งมหากาพย์รามายณะสุดยอดวรรณกรรมของชาวเอเชียที่“ประภาส ชลศรานนท์”มองว่า นี่คือสุดยอดงานครีเอทีฟที่เต็มไปด้วยจินตนาการ และความคิดสร้างสรรค์ชิ้นเอกที่ปรากฏขึ้นบนผืนพิภพ พูดได้ว่ามนต์เสน่ห์ของ “ทศกัณฐ์” ยักษ์ 10 หน้า 20 แขน 20 มือคือภาพจำที่ติดตามาตลอดชีวิต และหวังไว้ว่าวันหนึ่งจะต้องนำสิ่งที่ตนเองรักนำมาทำอะไรสักอย่าง จนกระทั่งเมื่อประมาณ 6 ปีที่แล้วโปรเจ็คต์ “ยักษ์” ก็ถือกำเนิดขึ้นในรูปแบบของภาพยนตร์แอนิเมชั่นอย่างเต็มรูปแบบจากไอเดีย และสองมือกำกับภาพยนตร์โดย ประภาส ชลศรานนท์

          “ทศกัณฐ์คือพญายักษ์ที่ดุร้ายเก่งที่สุด แก่นหลักของรามายณะคือทศกัณฐ์ฆ่าไม่ตาย เราเอาคำว่าฆ่าไม่ตายมาใช้ด้วย ผมตีความตรงนี้ว่าไม่มีอะไรทำลายมันได้นอกจากตัวของมันเอง แล้วตัวทศกัณฐ์เป็นจอมราชายักษ์มาก่อน พอฟื้นขึ้นมาก็เกิดความจำเสื่อมก็จะกลายเป็นเอ๋อๆ เนื่องจากเป็นหุ่นรบตัวใหญ่ เพราะฉะนั้นการสร้างบุคคลิกตัวละครอย่างทศกัณฐ์ จะว่าสนุกก็สนุก จะว่ายากก็ยาก เพราะมี2บุคคลิก และไม่ได้ตัดขาดกันเหมือนคนละคน ในส่วนที่เป็นน้าเขียวก็มีหลายตอนที่เขาฮึดขึ้นมา ลองนึกถึงตอนคนซื่อๆใจดีฮึดน่ะ มันดูจริงใจ น้าเขียวหรือทศกัณฐ์เป็นตัวละครที่เราต้องเน้นเป็นพิเศษเพราะเขาเป็นตัวเอกเป็นพระเอกที่ต้องเดินเรื่องทั้งเรื่อง เราคุยกันละเอียดถึงสีของตาดำที่เราจะใช้ให้ต่างกันใน2บุคคลิก เราคุยกันหนักเรื่องปากที่ขยับเขียว และกงจักรที่เป็นโลหะพิเศษ ที่ไม่ลุกไหม้ไปกับเปลวไฟ เราเทสต์กันค่อนข้างนานกับการเคลื่อนไหว เพราะท่าทางของคนที่ขาเล็กแต่ตัวใหญ่นั้นจะเดินเหมือนอะไรดี จะก้มขนาดกอลิร่าไหม ที่เราชอบกันมากที่สุดก็คือแขนที่เป็นปล้องๆยืดได้ เพราะเราต้องการให้แขนของทศกัณฐ์เคลื่อนไหวได้ไกลเหมือนท่อเหมือนสปริงที่ยืดได้ แม้แต่ส่วนหลังของทศกัณฐ์เราก็หาวิธีให้มีที่เก็บของแขนอีกแปดแขนว่าจะงอกมาจากไหน

          ส่วนเสียงของตัวน้าเขียวหรือทศกัณฐ์ออกมาแล้วต้องใหญ่มีอำนาจคนที่จะสามารถพากย์เป็นตัวร้ายได้และในขณะเดียวกันที่พากย์ให้อารมณ์ใสซื่อแบบบุญชูได้ในตัวเดียวกันในเมืองไทยมีไม่กี่คนต้องบอกว่ามีคนเดียวคือหนุ่มสันติสุข แล้วตัวหนุ่มเองเขาเป็นนักแสดงที่ไม่ได้มาพากย์อย่างเดียวนะเขาแสดงเลยโดยที่ยังไม่เห็นการ์ตูนเคลื่อนไหวเลยเห็นแต่ภาพนิ่งแต่เขาต้องแสดงออกมา ต้องบอกว่ามันจะมีตัวเขาอยู่ในหนังเยอะมากสิ่งที่เขาแสดงเราถ่ายวิดีโอไว้หมดเลย เราจับอารมณ์และการเคลื่อนไหว

          จากการเล่นจากการแสดงของหนุ่มชนิดที่ว่าเห็นถึงอารมณ์จากดวงตาแววตาของเขาเลยนะ แล้วเอามาให้แอนิเมเตอร์ดู”

โดยมี เอ็กซ์-ชัยพร พานิชรุทติวงศ์ หัวเรือใหญ่บ้านอิทธิฤทธิ์ (แอนิเมเตอร์ไทยดีกรีชนะเลิศ FIRST PRIZE:SIGGRAPH 1998 การประกวดผลงานแอนิเมชั่น ประเภทนักศึกษาจากมหาวิทยาลัยทั่วโลก) รับหน้าที่ออกแบบและดีไซน์คาแรคเตอร์ของน้าเขียวหรือทศกัณฐ์

“ตัวละครนี้ผมออกแบบให้ช่วงบนใหญ่ และขาเล็ก เวลาเขาเป็นทศกัณฐ์ก็จะดูผงาด ดูยิ่งใหญ่ แต่เป็นน้าเขียวก็จะแสดงออกแบบหลังค่อม หงอๆ งอตัว ดังนั้นมันก็จะเป็นทั้งตัวเอ๋อได้ด้วย ตัวน่ากลัวก็ได้ ผมออกแบบยักษ์รวมๆ มาจากหลายอย่างครับ หน้าท้องจะออกแบบมาจากท้องแมลงครับ เป็นปล้องๆ ข้อดีคือ มันสามารถงอได้เหมือนหุ่นยนต์จริงๆ”

          พร้อมกับได้พระเอกเจ้าบทบาทอย่างหนุ่ม สันติสุข พรหมศิริมาเป็นผู้ให้เสียงให้ชีวิตให้ตัวละครเอกของภาพยนตร์แอนิเมชั่น “ยักษ์” ได้โลดแล่น

          “ทศกัณฐ์หรือยักษ์เขียวเป็นตัวละครที่มีหลากหลายอารมณ์แล้วมี 2 แคแร็คเตอร์ด้วย ตัวตนตอนที่ความจำเสื่อมเป็นน้าเขียวก็คือยักษ์ใสซื่อ อาโนเนะไม่รู้เรื่อง ใจดี ค่อนข้างจะซื่อบื้อด้วยนิดๆ เหมือนเด็กแบบเอาแต่ใจตัวเองและอีกด้านที่เป็นยักษ์ทศกัณฐ์โหดเหี้ยมดุร้ายและไม่ได้มีหน้าเดียวมีสิบหน้าตัวคาแร็คเตอร์นี้จะมี 2 ด้านแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง เลยต้องทำให้คนรู้สึกว่ามันเป็นส่วนเดียวกันด้วยคือไม่ใช่ 2 ตัวไม่ใช่ตัวดีตัวร้าย แต่อันนี้ตัวดีตัวร้ายอยู่ในตัวเดียวกัน แล้วมีอารมณ์ที่หลุดออกมา บางทีเป็นดีๆ อยู่ก็หลุดร้ายขึ้นมา หรือกำลังร้ายอยู่หลุดดีออกมา ในเรื่องค่อนข้างที่จะออกแอ็คชั่นเยอะ ใส่สีหน้าออกไป และเขาถึงจะไปวาดไปทำอะไรให้มันร้อยเปอร์เซ็นต์อีกทีหนึ่ง เล่นแล้วต้องจินตนาการออกไปต้องเล่นใส่เสียง ก็จะมีหลายตอนในเรื่องที่บางทีมันยากมาก สำหรับบางฉากดูแล้วก็มีน้ำตาซึมเหมือนกัน คิดว่าตัวละครที่คนดูจะรักมากที่สุดก็คือน้าเขียวนี่เอง”

          การันตีว่ากว่าจะผ่านขั้นตอนออกมาเป็นแต่ละคาแรคเตอร์ดูเหมือนไม่ใช่เรื่องง่าย เลยไม่แปลกใจว่าทำไม การ์ตูนแอนิเมชั่นยักษ์ถึงใช้เวลา6ปี 4 ต.ค.นี้พร้อมกันทุกโรงภาพยนตร์
« Last Edit: September 15, 2012, 07:20:23 AM by FB »

FB on September 14, 2012, 03:41:42 PM
ยักษ์ ป่วน กวน แพนด้า



          เมื่อกล้อง CCTV ที่บันทึกภาพเจ้าแพนด้าอยู่
          เกิดจับภาพอะไรบางอย่างได้ ลองไปดูกันว่าเกิดอะไรขึ้น น่ากลัวมาก

          <a href="http://www.youtube.com/watch?v=4F2DRFd9amU" target="_blank">http://www.youtube.com/watch?v=4F2DRFd9amU</a>
« Last Edit: September 15, 2012, 08:26:31 AM by FB »

FB on September 22, 2012, 01:16:57 AM
“ใสซื่อแบบบุญชู ดุร้ายแบบทศกัณฐ์” ตัวเลือกเพียงหนึ่งเดียวของ “ประภาส ชลศรานนท์” อีกหนึ่งผลงานจากพระเอกตลอดกาล “หนุ่ม-สันติสุข พรหมศิริ” ทั้งเล่นทั้งให้เสียง ต้นแบบ “น้าเขียว”



          “ใสซื่อแบบบุญชู ดุร้ายแบบทศกัณฐ์” ตัวเลือกเพียงหนึ่งเดียวของ “ประภาส ชลศรานนท์” อีกหนึ่งผลงานจากพระเอกตลอดกาล “หนุ่ม-สันติสุข พรหมศิริ” ทั้งเล่นทั้งให้เสียง ต้นแบบ “น้าเขียว” หุ่นยักษ์ตัวใหญ่แต่ใจดีที่รับรองทุกคนจะรัก ในภาพยนตร์แอนิเมชั่น “ยักษ์”

          Q. ก่อนอื่นถามพี่หนุ่มก่อนเลยว่าโดยส่วนตัวแล้วชื่นชอบ และหลงใหล “การ์ตูน” มากน้อยแค่ไหนอย่างไร ที่ผ่านมาถือได้ว่าการ์ตูนมีอิทธิพลและเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตอย่างไรบ้าง
          S. สวัสดีครับ พี่หนุ่มสันติสุข พรหมศิริครับ คนเดิมครับ กำลังจะมีผลงานภาพยนตร์การ์ตูนแอนิมชั่นเรื่องยักษ์ครับ ก็มารับบทเล่นและให้เสียงเป็นหุ่นยักษ์ที่ชื่อว่าน้าเขียวหรือทศกัณฐ์นะครับ ก็เรียกได้ว่าเติบโตมาชีวิตก็เกี่ยวพันกับการ์ตูนตั้งแต่เด็กนะครับ คือจริงๆ ตัวผมเองก็ไม่ใช่คนกรุงเทพฯ แต่เป็นคนต่างจังหวัด พอสักอายุ 7-8 ขวบได้ก็มีทีวี และสิ่งที่ชอบดูที่สุดก็คือการ์ตูน สมัยก่อนจะมีมิกกี้เม้าส์เป็นอันนั้นเป็นอันโน้นอันนี้ การ์ตูนก็เหมือนเป็นของหวานสำหรับเด็ก เอะอะพอนึกถึงทีวีเราจะนึกถึงการ์ตูน และก็พอโตขึ้นมาหน่อยตอนอายุได้สักสิบกว่าก็เปลี่ยนมาเป็นตามพวกซูเปอร์ฮีโร่ต่างๆ ก็ตามวัยของเด็กในสมัยนั้น ก็ส่วนใหญ่ในยุคสมัยนั้นก็จะเป็นญี่ปุ่นซะเยอะ พวกไอ้มดแดงมั่ง พวกยอดมนุษย์บ้าง ก็ชอบมาเรื่อยๆ ครับ

          Q. หลายคนอาจคุ้นภาพของพี่หนุ่มสันติสุข ในฐานะพระเอกหนังไทย แต่ถ้าใครเป็นแฟนตัวจริงจะจำกันได้ว่า อีกบทบาทหนึ่งที่เกี่ยวพันกับพี่หนุ่มมาพร้อมๆ กับการแสดงเลยก็คือการพากย์เสียง เป็นไงมาไงถึงได้มาทำตรงนี้ช่วยเล่าให้ฟังหน่อย
          S. ก็เริ่มมาจากการเข้าวงการก่อนเลยนะครับ พอเข้าวงการก็เริ่มเล่นหนังนะครับ อย่างที่รู้กัน เล่นเรื่องบุญชูเล่นอะไร ก็เริ่มทำงานหนังก็เริ่มทำงานเรื่องเสียงมาพร้อมกันเลย เพราะว่าสมัยก่อนภาพยนตร์ไทยจะยังไม่ได้สร้างระบบ SOUND ON FILM คือจะถ่ายแล้วมาลงเสียงทีหลัง ถ่ายทีหลังใส่เสียงทีหลัง ซึ่งปกติสมัยก่อนมันจะมีนักพากย์ มีทีมพากย์ว่าคนนี้พากย์เป็นเสียงพระเอกก็มักจะเป็นอารอง เค้ามูลคดีซึ่งก็จะเป็นคนให้เสียงอาแอ็ด สมบัติ เมทะนี, พี่เอก สรพงษ์ แต่พอมาถึงรุ่นของตัวพี่ พี่ก็แบบเอ๊ะเราอยากให้หน้าเราเป็นเสียงของเราเอง และมันอาจจะเป็นยุคที่คือเสียงพาย์ส่วนใหญ่ก็เป็นเสียงเดิมๆ มาแล้ว เสียงพากย์ที่มีอยู่กันก็อาจจะดูมีอายุกว่าเราตอนนั้น เพราะว่าตอนพี่เริ่มเล่นหนังก็ประมาณยี่สิบกว่าๆ คือถ้าใช้เสียงนักพากย์เสียงมันจะดูแก่ไปนิดนึง ก็เลยเอาเสียงตัวเองพากย์ ก็เริ่มพากย์มาตั้งแต่เรื่งแรกที่พี่เล่นหนัง ก็คือเรื่องคำมั่นสัญญา หลังจากนั้นก็พากย์มาด้วยเสียงตัวเองโดยตลอดทุกเรื่อง ก็เริ่มมีความชำนาญพอสมควร พออยู่มาพักหนึ่งก็จำไม่ได้แล้วว่าสักกี่ปีมาแล้วนะ ก็มีทางบริษัทติดต่อมาให้ไปพากย์การ์ตูน เราก็ดีใจเพราะว่าเราก็ชอบการ์ตูนอยู่แล้ว คือเขาจะไม่ใช้คำว่าการ์ตูนมันจะเชยไปนิดนึง (หัวเราะ) เขาจะเรียกว่าแอนิเมชั่นอะไรอย่างนี้ ไม่ใช่การ์ตูนนะเป็นหนังแอนิเมชั่น ก็เรื่องโพคาฮอนทัสเป็นเรื่องแรกเลยที่ได้ไปลองเทสต์ดูก็พากย์เป็นจอห์น สมิทที่เป็นพระเอกนะ ก็รู้สึกจะพากย์กับคุณสินจัย ตอนนั้นก็นับเป็นเรื่องแรกก็แบบงงไปหมด เพราะเราต้องลืมจากที่เราเคยพากย์เป็นมนุษย์เป็นคนมา เพราะว่าอันนี้มันเป็นการ์ตูน การ์ตูนมันจะมีอะไรที่ไม่เหมือนคน จะพูดเร็วพูดช้าอารมณ์มันจะเยอะกว่าอะไร โอ้โหกว่าจะพากย์ได้ก็นานทีเดียว ก็มีได้พี่ต๋อง พี่ต๋องเขาคุมอยู่เขาก็ช่วยแนะนำ ตรงนี้อย่างนี้นะ ต้องฮึบเสียง เก็บพลังไว้เพื่อที่จะปล่อยตอนนี้ ก็เริ่มพากย์ตั้งแต่เรื่องนั้นมา ตามมาก็เป็นเรื่องทอย สตอรี่ ก็มาเริ่มพากย์เป็นบัซ ไลท์เยียร์, ไอซ์เอจนะครับทั้งสามภาคสี่ภาค ที่พากย์ก็เป็นเสือดิเอโก้ และยังมีเรื่องโรบ็อท มีเรื่องแฮร์รี่พอตเตอร์ (พากย์เป็นซีเรียส แบล็ก) ก็นิด ๆหน่อยๆ ส่วนใหญ่ก็จะเป็นภาพยนตร์แอนิเมชั่น ก็มาอยู่เรื่อยๆ ก็พากย์อยู่เรื่อยๆ งานส่วนใหญ่จะมีภาคต่อ เราก็พากย์ต่อมา และก็จนกระทั่งมาถึงโปรเจ็คท์แอนิเมชั่นเรื่องยักษ์นี้

          Q. พี่หนุ่มมองว่าระหว่างเล่นหนังกับพากย์หนังแตกต่างกันอย่างไรบ้าง
          S. การเล่นหนังกับการให้เสียงหรือการพากย์เสียงของหนัง มันเป็นคนละศาสตร์กัน จริงๆ มันคนละเรื่องกันเลย แต่ว่ามันต้องใช้พื้นฐานเดียวกัน คือต้องใช้พื้นฐานในเรื่องการแอ็คติ้งการแสดงเหมือนกัน เพราะฉะนั้น สมมติเมื่อก่อนเราพากย์หนังเป็นหนังของเราเองเราก็ไม่เท่าไร เพราะเราเป็นคนเล่นเอง เรารู้ว่าอารมณ์เราอะไรแค่ไหน แต่พอมาพากย์เป็นตัวแอนิเมชั่นเป็นตัวอื่นเป็นบัซ ไลท์เยียร์อย่างนี้ เฮ้ยยังไงนี่เรา เราต้องเป็นกัปตันอวกาศ มันจะต้องใส่ความเป็นกัปตันอวกาศลงไปในเสียง หรือว่าพากย์ดิเอโก้เป็นเสือช่วงนั้นก็มีคนคุมพากย์มาจากฝรั่งเศสเลย บอกต้องทำเสียงให้เหมือนเสือ พากย์แล้วต้องทำเสียงให้เสือมีเขี้ยว มันก็สนุกไปอีกแบบหนึ่ง แต่การแสดงมันก็เป็นอีกแบบหนึ่ง ซึ่งมันก็จะไม่เหมือนกัน แต่สำหรับโปรเจ็คท์ท์เรื่องนี้มันต้องใช้ทั้งสองอย่างรวมกัน คือเราไม่ได้มาพากย์อย่างเดียวหรือเรามาเล่นอย่างเดียว เขาเรียกว่าเราต้องเป็นก้อนดาต้าสำหรับโปรเจ็คท์เลย เป็นตัวกำเนิดก็ต้องเอาจากแอ็คติ้งของเราเอาจากเสียงของเราไปคิดไปสร้างไปกำหนดเป็นภาพขึ้นมา

          Q. เป็นไงมาไงถึงได้เข้ามามีส่วนร่วมสำคัญในโปรเจ็คท์ภาพยนตร์แอนิมชั่นยักษ์นี้ได้ แล้วพอรู้ว่าเป็นผลงานการกำกับของพี่จิก ประภาส ชลศรานนท์ซึ่งทั้งเป็นคนต้นคิดและเป็นเจ้าของไอเดียทั้งหมดนี้รู้สึกอย่างไรบ้าง
          S. ก็ก่อนหน้านี้ก็เคยได้มาอัดรายการที่บ.เวิร์คพอยท์ ก็เลยได้มีโอกาสได้เจอกับพี่จิกประภาส พี่จิกแกก็เลยแย่บๆ ว่ากำลังจะมีโปรเจ็คท์พิเศษ เราก็เอ๊ะโปรเจ็คท์อะไรให้เราไปเล่นหนังหรือเปล่า ก็หลายปีมากพูดจนเราลืมไปแล้วจนสุดท้ายพี่จิกแกก็เรียกมาที่บริษัทก็มาคุย ก็เพิ่งรู้วันนั้นว่าพี่จิกกำลังจะทำภาพยนตร์แอนิเมชั่น ซึ่งตอนนั้นจำได้ว่าเมืองไทยก็ยังไม่ค่อยมีคนทำแอนิเมชั่นเท่าไร ถ้ามีก็เป็นพื้นๆ ไม่เท่าไรเป็นอะไรง่ายๆ เราก็อู้หู ถามไปว่าทำจริงๆ เหรอพี่ เขาก็ฉายตัวอย่างให้ดูวันนั้นเลยวันที่มาคุย อู้หูสวย โอ้โหเจ๋งแหะ มันมาก โชว์ฉากบู๊นิดนึง ขายของนิดนึง โอ้โหพี่สุดยอดๆ ตอนนั้นพี่จิกเขาก็เริ่มคุยว่าความตั้งใจของเขาเป็นแบบนี้ๆ พอเราฟังแล้ว เรารู้เลยว่าสิ่งที่พี่จิกกำลังจะทำไม่น่าเป็นแค่หนังการ์ตูนแอนิเมชั่นธรรมดาๆ รู้สึกว่าเป็นโปรเจ็คท์ที่พิเศษเลยละ และถ้าเสร็จนะน่าจะเป็นงานภาพยนตร์แอนิเมชั่นที่เราทำแล้วน่าจะขายทั่วโลก ประกาศศักดาให้คนทั้งโลกรู้เลยว่าเมืองไทยก็ทำแบบนี้ได้ เราก็ดีใจ ที่พี่จิกเขาเลือกเรา ก็ยังถามกลับไปเหมือนกันว่าทำไมพี่จิกถึงเลือกผม พี่มีคนให้เลือกตั้งเยอะแยะ ผมแก่ไปเปล่า พี่เขาก็อธิบายให้ฟังว่าไม่ได้อยากได้คนที่แค่มาพากย์เสียงอย่างเดียว แต่อยากให้เป็นการแสดงมากกว่า ก็เลยมองคนที่เป็นนักแสดงเป็นหลัก คนที่มีทั้งความสามารถในเรื่องการแสดงและการให้เสียงพากย์ เพราะต้องใช้ทั้งสองอย่างร่วมกัน และคาแรคเตอร์ของ “ยักษ์” ตัวนี้ก็มีคาแรกเตอร์หลายๆ อย่างคล้ายๆ กับตัวผม จึงเรียกให้มาลองเทสต์เสียงกันดู

          Q. ตอนนั้นพอนึกออกไหมว่าพี่จิกมาทำการ์ตูนมากำกับการ์ตูนมันจะออกมาเป็นอย่างไร
          S. โดยส่วนตัวแล้วก็รู้จักกับพี่จิกก็นานทีเดียวนะครับ พี่จิกก็เป็นนักคิดนักเขียนที่มีอะไรแปลกๆ ออกมาอยู่เรื่อยไม่ค่อยเหมือนชาวบ้านเขา จะมีมุมมองอะไรที่เหมือนที่คุยกับพี่จิกแล้วมันจะได้อะไรที่หลายๆ อย่างที่แตกต่างออกไป อย่างเออทำไมเราไม่มองอย่างนี้บ้าง คือมุมอะไรต่างๆ พี่เขาจะมองไม่เหมือนคนอื่น และก็มาถึงการ์ตูนเรื่องยักษ์นี้อีก ก็คือเป็นเรื่องรามเกียรติ์นั่นเอง โอ้โห โปรเจ็คท์มันจะอะไรกันนักกันหนานี้ มันจะใหญ่โตมโหฬาร แสดงว่าต้องมีอะไรที่มันลึกซึ้งมากกว่านั้น ซึ่งเราก็ไม่เข้าใจว่าทำไมต้องทำเรื่องยักษ์ พอตอนหลังพอเราเริ่มทำงานไป ทำไป ออกเป็นเนื้องานแล้ว มันก็รู้สึกได้ทันทีว่าเป็นของประเทศไหน ประเทศไทยหรือว่าเป็นเอเชียอะไรอย่างนี้ แล้วรามเกียรติ์เองมันเป็นเรื่องที่คนรู้จักเยอะ คนไทยก็รู้จัก และก็ในแถบเอเชียก็รู้จัก ก็ดูว่าเออเป็นโปรเจ็คท์ใหญ่ดีน่าร่วมงานเลยทีเดียว และคิดว่าการทำงานครั้งนี้คงไม่หมูแน่เพราะว่าโปรเจ็คท์ใหญ่ขนาดนี้ เตรียมตัวแล้วว่าคงต้องใช้เวลา เพราะเท่าที่รู้มาก็เคยศึกษาว่าสมัยก่อนอย่างพิกซาร์กว่าเขาจะทำเรื่องทอย สตอรี่ กว่าจะออกมาได้ เขาใช้เวลาหลายปีเลยทีเดียว สำหรับเรื่องแรกๆ อู้หู และโปรเจ็คท์นี้หลายปีแน่ และหลายปีจริงๆ

          Q. คิดไหมว่าจะนานถึงหกปีขนาดนี้
          S. ก็คิดว่ามันคงจะหลายปี แต่ไม่คิดว่ามันจะนานขนาดนี้

          Q. สำหรับคาแร็คเตอร์ “ยักษ์หรือน้าเขียว”นี่ถือได้ว่าเป็นตัวละครสำคัญเลยทีเดียว
          S. ครับสำหรับผมแล้วถือว่าเป็นงานที่ค่อนข้างที่จะได้รับเกียรตินะครับ เพราะว่าหลายๆ อย่าง แม้กระทั่งบท พอเราได้ลองสัมผัสดูแล้ว นี่คือตัวละครที่มันเป็นตัวเอกของเรื่องเลยนะครับ โดยพื้นๆ แล้วตั้งแต่ที่เราได้สัมผัสมาจากการอ่านบทตั้งแต่แรกนะครับในเรื่อง ยักษ์เขียวจะเป็นตัวละครที่มันมีหลากหลายอารมณ์มีหลากหลายคาแร็คเตอร์มาก ซึ่งจริงๆ แล้วไม่ว่าจะเป็นการทำหนังหรือว่าแอนิเมชั่นที่สำคัญที่สุดคือเรื่องบท บทมันจะต้องสำคัญ มันจะต้องเป๊ะและบทที่เราอ่านอยู่แล้วมันก็มีอยู่หลายอย่างที่มันมีในตัวของเรา ก็คือพี่จิกเขาอาจจะเห็นว่าตัวผมเองเป็นคนเล่นหลายบทได้ เป็นคนที่ไม่ชอบอยู่กับบทเดิมๆ เดี๋ยวร้ายก็ร้ายได้ร้ายเต็มที่ จะดีจะใสซื่อเป็นบุญชูก็ทำได้ ก็เลยคิดว่าถ้าบทมันเป็นแบบนี้ เพราะฉะนั้นการที่จะเลือกหาเอาคนมาทำมาเล่นก็คงต้องเป็นแบบนี้ และมันก็ต้องอาศัยอีกหลายอย่าง ซึ่งทำให้การทำงานตรงนี้ต้องการนักแสดงที่ต้องมีองค์ประกอบดังกล่าวครบ ไม่ว่าจะเป็นการรู้จักอารมณ์ของการแสดง และไหนจะต้องรู้เรื่องราวเกี่ยวกับวิธีการพากย์ ให้เสียง โดยเฉพาะคาแรคเตอร์ของตัวยักษ์ตัวนี้ที่จะต้องใสซื่อได้ โหดได้ตอนเป็นทศกัณฐ์ เป็นอะไรก็ได้และที่สำคัญเคยทำงานทางด้านนี้มาสามารถที่จะเล่นและให้คนเชื่อได้ว่าเราดีหรือเราเล่นให้คนเชื่อได้ว่าเราร้าย เพราะฉะนั้นมันก็เลยแบบว่าภูมิใจนะว่าเหมือนเขาเขียนมาเพื่อเราโดยเฉพาะ เราก็เต็มที่กับงานนี้
« Last Edit: September 27, 2012, 06:29:41 PM by FB »

FB on September 22, 2012, 01:17:38 AM
          Q. สำหรับตัวคาแรคเตอร์ “ยักษ์” มีความสำคัญและมีความน่าสนใจอย่างไร
          S. ครับสำหรับคาแร็คเตอร์ในเรื่องนี้นะครับก็คือยักษ์เขียวหรือน้าเขียวนะครับที่หนุมานหรือเผือกเขาชอบเรียกนะครับ ก็เป็นตัวเอกในเรื่อง ซึ่งมีคาแร็คเตอร์ที่หลากหลายนะครับ ตามเรื่องก็คือจะมีภาคหมดสติ ภาคจำความไม่ได้ ตัวตนที่แท้จริงก็คือประมาณยักษ์ใสซื่อ อาโนเนะไม่รู้เรื่อง ใจดี ค่อนข้างจะซื่อบื้อด้วยนิดๆ เหมือนเด็กแบบเอาแต่ใจตัวเอง อันนั้นคือเป็นตัวตนที่แท้จริงของเขาน้าเขียว และก็มีอีกด้านหนึ่งก็คือที่เป็นทศกัณฐ์ซึ่งพูดได้ว่าเป็นชะตาลิขิตที่เขาต้องมาเป็นแบบนี้ที่ว่าแกต้องเป็นทศกัณฐ์ ก็เป็นคาแร็คเตอร์แบบโหดเหี้ยมดุร้ายและไม่ได้มีหน้าเดียวมีสิบหน้า สารพัดจะดุร้ายต่างๆ นะครับ คือตัวคาแร็คเตอร์นี้จะมีสองพาร์ทที่สำคัญก็คือสองด้านมันจะแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิงเลย แต่ว่ามันเป็นตัวละครตัวเดียวกัน เพราะฉะนั้นการที่จะแสดงหรือเล่นออกมามันจะต้องทำให้คนรู้สึกว่ามันเป็นส่วนเดียวกันด้วยคือไม่ใช่สองตัว ไม่ใช่ตัวดีตัวร้าย แต้อันนี้ตัวดีตัวร้ายอยู่อันเดียวกันแล้วมีอารมณ์ที่หลุดออกมา บางทีเป็นดีๆอยู่ก็หลุดร้ายขึ้นมา หรือกำลังร้ายอยู่หลุดดีออกมา ก็มีอยู่หลายฉากในหนังที่ออกมา คือมันเหมือนมันหลุดเครื่องมันรวนอะไรอย่างนี้ ยังไม่ร้ายก็ไม่ร้ายเต็มที่ ก็โดยคาแร็คเตอร์หลักๆ ก็จะเป็นอย่างนี้ก็จะมีสองด้าน แต่ว่าจะมีกลับไปกลับมามีฝันอะไรแบบนี้ไปเรื่อย

          Q. พอบอกว่าตัวยักษ์มีทั้งในส่วนที่เป็นทศกัณฐ์ที่ดูร้ายมีดุดันนอกเหนือจากพาร์ทที่เป็นน้าเขียวแสดงว่าในภาพยนตร์แอนิเมชั่นเรื่องยักษ์ก็จะมีพาร์ทที่เป็นแอ็คชั่นด้วยนอกเหนือจากเรื่องของมิตรภาพ ความสดใส
          S. คาแร็คเตอร์ก็ประมาณนี้ แต่ว่าเวลาถ่ายทอดออกมาในหนังคือบทมันจะเยอะ มันค่อนข้างที่จะออกแอ็คชั่นเยอะ มีรบกัน มียกทัพโยธาข่มกัน มีหอก มีย้ายพระอาทิตย์ ซึ่งมันจะเป็นอะไรที่เราค่อนข้างที่จะเล่นแล้วคือต้องจินตนาการออกไป ตอนที่เราเล่นก็จะมีภาพให้ดู แต่ว่าจะภาพที่เป็นคร่าวๆ ให้ดูว่าประมาณนี้ๆ แต่ว่าคือจริงๆ เราต้องเล่นใส่เสียง ใส่สีหน้าออกไป และเขาถึงจะไปวาดไปทำอะไรให้มันร้อยเปอร์เซ็นต์อีกทีหนึ่ง ก็ต้องจินตนาการให้มันเยอะเข้าไว้ ก็จะมีหลายตอนในเรื่องที่บางทีมันยากมาก คือบางทีสิบหัวที่มันอยู่บางทีมันทะเลาะกันเอง ไอ้หัวนี้จะทะเลาะกับไอ้หัวนั้น ไอ้หัวนี้จะฆ่าไอ้หัวนั้น ไอ้หัวนี้จับอะไรอย่างนี้ คือฉากนั้นก็ปวดหัวมากพากย์ยากมากเลยฉากนั้น เพราะต้องไล่พากย์กันทีละหัวๆ และก็หลายอย่างเรื่องนี้ต้องจินตนาการ และที่สำคัญที่เราจะต้องทำงานร่วมกับตัวของน้องหอย (เสนาหอย-เกียรติศักดิ์ให้เสียงเผือกหรือหนุมานด้วย) เพราะว่าในเรื่องเขาจะคู่กันตลอด ปกติเวลาเราทำงานเกี่ยวกับด้านนี้ ถ้าไปพากย์ของหนังทั่วไปใช้พากย์คนเดียว มโนภาพเอาเองนะ แต่เรื่องนี้จะต้องพากย์คู่กัน บางฉากจะต้องพากย์ด้วยกัน เพราะว่ามีการโต้ตอบกันเยอะ และมันก็จะมีมุกเสริมมุก อะไรที่บางทีหอยก็ชอบใส่มันขึ้นมา รามอ้าวเรียนรามเปลวเทียนให้แสง ก็จะมีมุกออกมาอยู่เรื่อยๆ อันไหนได้พี่จิกเขาโอเคก็เอา อันไหนไม่เอาก็ตัดทิ้งไป ก็เป็นการลองเล่นให้ดูก่อน

          Q. ในความรู้สึกของพี่หนุ่มแล้วคิดว่าอะไรคือเสน่ห์ของตัวละครตัวนี้
          S. สำหรับบางฉากดูแล้วก็มีน้ำตาซึมเหมือนกัน แต่ไม่บอกให้ไปดูกันเอาเอง ก็คือดูแล้วคิดว่าตัวละครที่คนดูจะรักมากที่สุดก็คือน้าเขียวในเรื่องยักษ์ เพราะว่าเขามีการเปลี่ยนแปลงจากไม่รู้เรื่อง จากเป็นตัวร้าย จากรู้เรื่องกลับมา ต่อต้านตัวร้าย ยอมสละชีพ ช่วยเหลือ เขาเป็นฮีโร่เลยในเรื่องก็คือเก่งมากเป็นตัวที่คนจะเอาใจช่วยตอนหลังเขาก็กลับมาสู้กับความชั่วร้าย ยอมสละชีวิตตัวเอง และก็มีอีกหลายๆ ตัวหนุมานเองก็น่ารัก ตัวหนุมานก็เป็นทหารของพระราม ก็ได้หอยมาก็โอเคเลย ดูแล้วก็ตลกไปเรื่อยเลย ฮาจริงๆ ก็เหมาะกับคาแร็คเตอร์เขาเพราะหนุมานมันจะเป็นลิงมันก็จะปุ๊บปั๊บๆ และก็จะมีอีกหลายตัวนะครับ คือการถ่ายทอดออกมาบางทีเราไม่เคยเห็น เราไม่เคยคิดว่าเฮ้ยอะไรรามเกียรติ์มาทำเป็นหุ่นยนต์ได้ยังไงเออเข้าใจคิด สำหรับผมว่าดูแล้วอมยิ้มอยู่ในใจเวลาเราดูหนังเรื่องนี้ เพราะชอบวิธีที่เขาคิดออกมาว่าเออทำให้มันเป็นหุ่นยนต์ มีล้อ หรือหุ่นบางตัวก็มีล้อเดียว สองล้อ มีแบบขึ้นสนิมมีอะไรอย่างนี้ คือมันแปลกและมันก็มีความที่เป็นไทยอยู่ในเรื่องด้วย

          Q. คงต้องให้พี่หนุ่มเล่าให้ฟังแล้วว่า“ยักษ์”เป็นเรื่องราวเกี่ยวกับอะไร
          S. ก็เป็นเรื่องของหุ่นสองตัวที่ตัวหนึ่งเป็นหุ่นกระป๋องนะครับคือหนุมานหรือเผือก ส่วนอีกตัวเป็นหุ่นยักษ์ที่ตัวใหญ่กว่าซึ่งก็คือทศกัณฐ์หรือน้าเขียว ในเรื่องก็เป็นเหตุการณ์ที่พูดถึงทศกัณฐ์กับหนุมานที่เคยสู้รบกันมาในภาคที่เป็นอวตารที่สิบล้านเอ็ดก็มาในรูปลักษณ์ของหุ่นยนต์ ก็สู้กันตอนนั้นพระรามก็ได้ยิงแสงลงมาเพื่อจะทำลายล้างทั้งหมดทั้งความดีความชั่วเกิดระเบิดครั้งใหญ่ ซึ่งเป็นช่วงขณะที่หนุมานก็กำลังจับทศกัณฐ์อยู่คือใช้โซ่คล้องมัดตัวทศกัณฐ์ไว้ ก็เกิดระเบิดตูมทุกอย่างก็สลายหายไปหมด แต่ว่าสองหุ่นยังอยู่แต่ว่าสลบไป ก็หายไปอีกข้ามไปประมาณหลายร้อยล้านวัน จนกระทั่งวันหนึ่งหุ่นสองตัวนี้ฟื้นขึ้นมามีชีวิตขึ้นมาใหม่แต่หุ่นทั้งสองตัวจำความกันไม่ได้ และก็จำไม่ได้ว่าเคยเป็นศัตรู แถมยังจำไม่ได้เลยว่าทำไมฉันกับแกมีโซ่ผูกติดกันอยู่ ก็ไม่รู้ก็พยายามหาที่มาที่ไป ก็พยายามที่จะตัดโซ่ ไปหาทางตัดโซ่ ก็ในระหว่างที่เดินทางไปมันจะทำให้เกิดเรื่องเกิดราวให้เกิดมิตรภาพ เดินทางมาด้วยกันก็เป็นเพื่อนกัน ก็เลยไม่รู้ว่าจริงๆแล้วแต่ละคนนี้มีหน้าที่อะไร ก็เดินทางไปผจญภัย เจอโน่นเจอนี่ แล้วยิ่งพยายามจะตัดโซ่เท่าไหร่กลับกลายเป็นว่ามิตรภาพมันก็ยิ่งแน่นแฟ้นขึ้นเรื่อยๆ จนสุดท้ายก็มารู้ความจริงว่าตัวเองแต่ละตัวมีหน้าที่อะไร จะต้องทำอะไร ก็เป็นเรื่องเป็นราวขึ้นมาครับ

          Q. ฟังดูแล้วก็ลึกซึ้งเหมือนกันและค่อนข้างมีอะไรให้ชวนคิดดีทีเดียวแล้วตัวพี่หนุ่มเองละคิดว่าคนที่เป็นศัตรูกันจะกลายมาเป็นมิตรกันได้ไหม
          S. คนที่เป็นศัตรูกัน หรือว่าศัตรูจะกลายเป็นมิตรกัน พี่คิดว่าน่าจะเป็นไปได้มันอยู่ที่เหตุผลหลายๆ อย่าง คนที่เป็นศัตรูกันมันมาจากอะไร เป็นศัตรูกันเพราะหน้าที่ เป็นศัตรูกันเพราะว่าอยู่คนละประเทศ เป็นศัตรูกันเพราะว่าอยู่คนละบ้านหรือว่าอะไรอย่างนี้ ถ้าเป็นศัตรูเพราะเรื่องหน้าที่หรืออุดมการณ์แล้วพี่ว่ามันไม่ยากที่จะเป็นมิตรกันได้ แต่ถ้าเป็นศัตรูกันเพราะว่าอย่างแมวกับหนูคงจะลำบากนะครับ คิดว่าเป็นไปได้ครับ คนที่เป็นศัตรูกันมาเป็นมิตรกัน ก็น่าจะเป็นมิตรกันที่ดีด้วยเพราะว่าอย่างคนที่ไม่เคยถูกกันมาก่อนเกลียดกันมาก่อน แต่พอมาคบกันเป็นเพื่อนกันเขาจะรู้อะไรกันเยอะว่าคนนี้เป็นอย่างนี้เขาก็จะรักกันมากกว่าคนที่คบกันและเป็นเพื่อนกันไม่เคยมีเรื่องอะไรกัน เขาก็จะไม่รู้ว่าจริงๆ นิสัยเป็นยังไง ว่าเวลาโกรธเป็นยังไงครับ

          Q. ถ้างั้นขอถามเลยละกันว่าเมื่อพูดถึงยักษ์ตัวแรกที่พี่หนุ่มรู้จักคือยักษ์อะไร
          S. ครับถ้าพูดถึงยักษ์ตัวแรกที่รู้จักเลยนะครับ เดี๋ยวต้องเท้าความไปนิดนึงมันมีหลายยักษ์ เพราะว่านิทานพื้นบ้านของไทยมันก็ยังมียักษ์ ยักษ์ตัวแรกที่รู้จักน่าจะอยู่ในทีวีจำได้ก็คือของดาราวีดีโอสมัยโน้นที่มียักษ์และจะมีมือโผล่มาจับคน และเป็นยักษ์ที่เขียนหน้ารู้สึกจะมาจากในเรื่องโกมินทร์กุมาร ก็จะเป็นยักษ์แบบนั้น เป็นยักษ์ตัวใหญ่ที่มีเขี้ยวและก็กินคนเป็นอาหารก็คือเป็นยักษ์ในนิทานพื้นบ้านครับ (หัวเราะ)

          Q. ท้ายนี้อยากให้พี่หนุ่มฝากถึงผลงานการ์ตูนแอนิเมชั่นยักษ์กับแฟนๆ
          S. ถ้าจะพูดถึงภาพยนตร์เรื่องนี้นะครับ ก็ถือว่าเป็นการกลั่นกรองอะไรจากหลายๆ บุคลากร ใช้บุคลากรเยอะเป็นร้อยนะครับ และก็ใช้เวลาในการทำหลายปีมาก ซึ่งก็มีชื่อของประภาส ชลศรานนท์นะครับเป็นอะไรหลายๆ อย่างในโปรเจ็คท์นี้ทั้งกำกับทั้งคิดเรื่อง คิดคอนเซ็ปท์ สร้างตัวละคร สอดแทรกเนื้อหา ควบคุมดูแลในแทบทุกขั้นตอน ซึ่งผมว่าภาพยนตร์เรื่องนี้พอถูกนำเสนอออกไปก็นอกจากว่าเด็กๆ ทั่วไปได้มาดูหนังการ์ตูนที่เขาก็จะได้รับความสนุกไปอีกแบบหนึ่งจากเรื่องราวการผจญภัยของหุ่นยนต์ซึ่งมีทั้งที่เป็นหุ่นกระป๋อง หุ่นยักษ์อะไรต่างๆ นานา จะได้เห็นมุมมองใหม่ๆ ได้เห็นตัวละครคลาสสิคจากรามเกียรติ์ มีเรื่องของมิตรภาพ และก็มีทั้งเพลงเพราะๆ ในเรื่อง มีอะไรหลายๆ อย่าง ทั้งความเป็นหนัง ที่มีหลากหลายองค์ประกอบทั้งความตื่นเต้น เร้าใจ มีต้น มีกลาง มีจบ มีตัวเอก มีตัวร้ายแต่แบบน่ารักๆ คือครบรสจริงๆ นอกเหนือจากตรงนั้นแล้ว มีสิ่งหนึ่งที่ผมว่าพี่จิกเขาซ่อนไว้ในหนังเรื่องนี้นะครับพอเราดูไปจนจบแล้ว ไอ้ความเป็นยักษ์หรือความไม่ดีมันมีอยู่ในทุกคน มันมีอยู่ในตัวของมนุษย์ทุกคน อยู่ที่ว่ามันจะไปโดนอะไรกระตุ้นออกมาหรือมันจะออกมาเมื่อไรเท่านั้นเอง คือสิ่งไม่ดีมันมีอยู่ในทุกคนอยู่แล้ว ไม่มีใครที่เพียบพร้อมทั้งหมด เป็นคนดีร้อยเปอร์เซ็นต์ มันไม่มี ก็จะมีสิ่งที่ไม่ดีอยู่ แต่ว่ามันจะควบคุมมันได้ไหมเหมือนน้าเขียว ถ้าควบคุมได้ก็ผ่านมันไป แต่ถ้าจะให้มันหมดมันคงเป็นไปไม่ได้ หรือคนเราเมื่อต้องตัดสินใจระหว่างมิตรภาพกับหน้าที่ เมื่อคุณต้องตกอยู่ในสถานการณ์ที่ต้องเลือกมันอาจจะต้องเผชิญกับความขัดแย้ง (conflict) อะไรอีกหลายอย่างนะครับ อย่างในเรื่องในตัวของเผือกหรือหนุมานก็จะให้เห็นว่าระหว่างหน้าที่ที่เขาได้รับมอบหมายมาคือกำจัดไอ้ยักษ์ตัวนี้ให้ได้ไม่ว่าจะในโลกไหน ไม่ว่าจะกี่ปีสิบปีแต่ด้วยความผูกพันที่มาเจอกับน้าเขียวแล้วไม่รู้ว่าเขาเป็นยักษ์ คือต่างคนต่างจำไม่ได้ ก็ผูกพันกันจนกลายเป็นสนิทอะไรต่างๆ ตอนหลังมารู้ว่าเป็นศัตรูที่ตัวเองต้องกำจัดและมันก็แหมทำให้คลาสสิคอยู่เหมือนกัน มันทำให้ตรงนี้ที่ทุกคนก็เอาใจช่วย จะทำยังไงหรือให้ฆ่ายังไง มันก็เหมือนกับว่าความเป็นมนุษย์มันต้องตัดสินจากตรงนี้ บางทีความสนิทมันจะต้องตัดสินอย่างใดอย่างหนึ่งลงไป และสุดท้ายหนุมานเขาก็ทำในสิ่งที่ถูกต้อง ก็ต้องไปดูเองในหนังว่าเขาตัดสินใจยังไง แต่มันก็เป็นการตัดสินใจที่ค่อนข้างลำบากอยู่เหมือนกัน ในยุคสมัยนี้นะก็อยากให้ไปชมกันการ์ตูนแอนิมชั่นเรื่องยักษ์ตุลาคมนี้ครับผม

FB on September 22, 2012, 01:18:19 AM
หอย สุดปลื้มไม่ใช่แค่พากย์แต่ให้ชีวิต เผือก หุ่นกระป๋องหนุมาน เล่นจริงยิงมุกออกท่าสุดฤทธิ์ประกบหนุ่ม-สันติสุขเป็นยักษ์เขียวทศกัณฐ์









          เป็นอีกมาตรฐานการทำงานที่ถือเป็นความตั้งใจของ จิกประภาส ชลศรานนท์และทีมงานที่อยู่เบื้องหลัง “ยักษ์” ภาพยนตร์แอนิเมชั่นที่ใช้เวลา 6 ปี และทุ่มงบกว่า 100 ล้านบาท ตั้งแต่ก่อนเริ่มต้นผลิตงานว่างานนี้จะพยายามสร้างชิ้นงานออกมาให้ดีที่สุดและสมบูรณ์ที่สุดโดยเฉพาะอย่างยิ่งความสมจริงในการโลดแล่นมีชีวิตของคาแรคเตอร์แต่ละตัวการ์ตูนตรงกับจินตนาการของผู้กำกับ ทำให้งานนี้ทีมแอนิเมเตอร์จะต้องเข้ามามีส่วนสำคัญในการหยิบจับเอาบุคลิกท่าทาง การเคลื่อนไหว ขยับฝีปาก ขมวดคิ้ว แม้แต่แววตาจากการถ่ายทอดผ่านการให้ชีวิตให้เสียงตัวการ์ตูนแต่ละตัวจากเหล่านักแสดงที่ผ่านการคัดเลือกให้มารับหน้าที่เป็นตัวการ์ตูนนั้นๆ และหอย เกียรติศักดิ์ อุดมนาค คือ1ในนักแสดงระดับแถวหน้าของเมืองไทยที่ถูกเลือกให้มาทำหน้าที่ให้ชีวิต “เผือก” หุ่นกระป๋องแสบซ่า หรือ อีกนัยหนึ่งคือ หนุมาน ทหารเอกคนสำคัญแห่งรามตามความตั้งใจของจิก ประภาส ชลศรานนท์นั่นเอง

          “มันเริ่มมาจากตัวคาแร็คเตอร์ของการ์ตูนแต่ละตัวถูกกำหนดถูกดีไซน์ไว้ก่อนแล้วตามท้องเรื่อง แล้วเราต้องหาเนื้อเสียงให้ตรงกับคาแร็คเตอร์ แล้วผมต้องการนักแสดงที่เก่งที่มีบุคลิกโดดเด่นแล้วคล้ายตัวละครที่ออกแบบมาแล้ว หลายตัวละครเราก็เลยปรับเอาเอกลักษณ์ของคนพากย์มาใส่ลงไปในตัวการ์ตูนด้วย เช่นเสนาหอยก็จะมีผมที่เป็นเร้กเก้ เราก็เอามาดัดเป็นเสาอากาศที่ประหลาดกว่าตัวอื่น ตัวอื่นมีเขาอันเดียวแต่อันนี้มีถึงสามอัน ปากหนาตาโปนก็จะมีความเป็นหอยอยู่ ตัวหอยฉลาดคล่องแคล่วพูดเก่งติดตลก ตรงนี้เป็นบุคลิกเดียวกันกับเผือกหอยเป็นหนุมานจริงๆ ผมเชื่อว่าถ้าตอนเขาเด็กๆ ไปสมัครโขนครูบาอาจารย์ก็คงคัดหอยให้อยู่ในกลุ่มลิง หอยเป็นคนหัวไวความคิดซนมีลูกตอดต่อเนื่องตลอดเวลา คือเป็นหนุมานในโทนคอมมิดี้ ตัวลิงเป็นอย่างนี้ทั้งนั้น แม้แต่ทางกรมศิลป์คนที่เคยเล่นเป็นบทหนุมานทุกคนซนหมดครูมืด (ประสาท ทองอร่าม) ยังเคยเล่นหนุมานเลย ที่สำคัญที่สุดคือเนื้อเสียงของหอย มันลงตัวกับเสียงของหนุ่มสันติสุขที่เล่นเป็นยักษ์หรือทศกัณฐ์ที่จะต้องร่วมผจญภัยไปด้วยกันตลอดทั้งเรื่องด้วย”

          และพอเนื้องานเสร็จสมบูรณ์ขึ้นมาไม่เพียงโดนใจผู้กำกับจิกประภาสเจ้าของไอเดีย กระทั่งหนุมาน หรือ เผือกหุ่นกระป๋อง ที่ได้หอย เกียรติศักดิ์ นักแสดงมากฝีมือที่กล้าพูดได้ว่าตลอดชีวิตการทำงานที่ผ่านมาล้วนข้องแวะและผูกผันกับการแสดงโดยมีการใช้เอกลักษณ์ของเสียงเป็นส่วนสำคัญในอาชีพยังอดปลื้มและภูมิใจไปกับการให้ชีวิตตัวละครสำคัญอย่างหนุมานในแอนิเมชั่นยักษ์ไม่ได้

          “จำได้ว่าทีมงานเอากล้องมาตั้ง 3 ตัว และให้ผมอ่านบท และก็เล่นไปเลย เล่นจริงแล้วก็โต้ตอบกับพี่หนุ่มสันติสุขที่เป็นยักษ์จริงๆ ระหว่างที่พากย์เสียงกันไปก็ต้องโต้ตอบกันไป แล้วผมก็ต้องทำท่าทำทางด้วย มารู้ว่ากล้อง 3 ตัวจะคอยจับภาพโคลสอัพที่ปาก ที่ตัว และที่แขนต่างๆ ก็เพื่อให้แอนิเมเตอร์เขาจับไปเขียน ผมก็คิดว่ามันจะเป็นไปได้ยังไง แต่พอเห็นภาพที่เขาเขียนออกมาเฮ้ยมันเหมือนตัวผมจริงๆ นะไม่น่าเชื่อ ก็ขอบคุณมากนะครับ ผมก็จะบอกลูกบอกหลานว่าตัวนี้มันคือผมจริงๆ ต้องยกประโยชน์ให้พี่จิกที่เลือกผมมาเล่นเป็นตัวนี้ เพราะเผือกหรือหนุมานค่อนข้างมีนิสัยคล้ายๆ ผมเหมือนกัน โวยวาย ไม่อยู่นิ่ง และก็ได้ใช้เสียงอย่างอิสระ พี่จิกปล่อยให้ผมเติมนั่นเล่นมุกนี้คือให้เราเล่นไปก่อน เอาไม่เอาอีกเรื่อง แล้วเราเป็นคนขยันอยู่แล้วยิงไปก่อน แต่ส่วนใหญ่เอานะ ก็เอาเกือบทุกอันที่เราเสนอไป”

          ทั้งนักแสดงและทีมงานตั้งอกตั้งใจกันซะขนาดนี้แล้ว อย่าลืมไปให้กำลังใจและร่วมภูมิใจกับอีกย่างก้าวของภาพยนตร์แอนิเมชั่นไทยอย่าง “ยักษ์”กันด้วยนะ 4 ต.ค. นี้ทุกโรงภาพยนตร์
« Last Edit: September 27, 2012, 06:32:38 PM by FB »

FB on September 22, 2012, 01:19:12 AM
“สนิมน้อย” หุ่นกระป๋องเด็กสดใสน่ารักเพื่อนซี้ของเผือกและน้าเขียว อีกหนึ่งตัวการ์ตูนที่ทุกคนต้องหลงรักจากภาพยนตร์แอนิเมชั่น “ยักษ์”

 

           “สนิมน้อย” หุ่นกระป๋องเด็กสดใสน่ารักเพื่อนซี้ของเผือกและน้าเขียว อีกหนึ่งตัวการ์ตูนที่ทุกคนต้องหลงรักจากภาพยนตร์แอนิเมชั่น “ยักษ์” ให้เสียงให้ชีวิตโดยน้องออมสิน - ด.ญ.ชนินาภ ศิริสวัสดิ์

Q.ก่อนอื่นแนะนำตัวกันก่อนดีกว่านะ
O. สวัสดีค่ะ หนูชื่อเด็กหญิงชนินาถ ศิริสวัสดิ์ค่ะ ชื่อเล่นว่าออมสิน พากย์เสียงเป็น “สนิม” ในแอนิเมชั่นยักษ์ เป็นตัวน้องสนิมน้อยค่ะ ก่อนหน้านี้ก็เคยมีผลงานภาพยนตร์มาก่อนค่ะก็เคยเล่นเรื่องบุญชูเก้าค่ะ และก็หนังเทิดพระเกียรติอีกหลายๆ เรื่องค่ะ ส่วนละครก็มีเรื่องอุบัติรักเกาะสวรรค์ค่ะ แล้วก็ละครเทิดพระเกียรติ ตามรอยพ่อค่ะ มีร้องเพลงคอนเสิร์ตกว่ายี่สิบปีทุ่งแสงตะวัน สำหรับแอนิมชั่นเรื่องยักษ์งานนี้เป็นงานพากย์เสียงครั้งแรกค่ะ

Q.คิดว่าเสน่ห์ของแอนิเมชั่นอยู่ที่ตรงไหนอย่างไร
O. แอนิเมชั่นในความคิดของหนูก็คือมันจะใส่จินตนาการได้เยอะกว่าปกติ เพราะว่าถ้าสมมติเป็นละครอะไรแบบนี้คือเอาคนมาเล่นเลยก็จะเห็นอยู่ทุกวันก็จะไม่ได้จินตนาการอะไรเลย ส่วนอย่างเป็นแอนิเมชั่นเด็กเขาก็เหมือนรู้สึกว่าเขาได้จินตนาการไปด้วยอย่างเรื่องนี้นะค่ะเป็นเรื่องแอนิเมชั่นที่เป็นหุ่นยนต์มันทำให้เราใส่จินตนาการได้เต็มที่ เราดูไปเราสามารถจินตนาการได้มากกว่าในกรอบที่เราใช้อยู่ปกติทุกวัน

Q.มีโอกาสได้เข้ามาให้เสียงให้ชีวิตตัวละครสำคัญในภาพยนตร์แอนิเมชั่นยักษ์อย่างน้องสนิมน้อย แล้วเป็นการพากย์ครั้งแรกด้วยรู้สึกยังไงบ้าง
O. ตื่นเต้นค่ะ และก็สนุก และก็บางทีก็มีเกร็งๆ บ้าง เพราะว่าเป็นงานแรกกลัวจะทำได้ไม่ดีค่ะ ก็เลยพยายามตั้งใจทำให้ดีที่สุดค่ะ

Q.แล้วเป็นไงมาไงถึงได้เข้ามาเป็นน้องสนิมได้
O. คือพี่ต้อง (พัลลภ สินธุ์เจริญ) ติดต่อไปทางหนูนะค่ะเหมือนกับว่าเห็นมาจากหนังเรื่องบุญชูเก้าค่ะที่หนูรับบทเป็นกระแต เห็นบุคลิกหรืออะไรต่างๆ ก็เลยลองเรียกมาเทสต์พากย์เสียงดูค่ะ

Q.ทราบมาว่าตอนแรกที่เราเข้ามาพากย์ไม่ได้อายุเท่านี้ใช่ไหม
O. (หัวเราะ) ตอนที่เข้ามาพากย์ครั้งแรกสุดเลยเรียนอยู่ชั้น ป.2 ค่ะอายุประมาณ 7-8 ปีค่ะ ส่วนตอนนี้ปัจจุบันอยู่ ม.1 อายุ 13 ค่ะ ซึ่งก็นานมากๆ เลยประมาณห้าหกปีค่ะ

Q.เห็นบอกว่าตื่นเต้นทุกครั้งที่ได้ให้เสียงพากย์ให้ชีวิตตัวน้องสนิมน้อย
O. ตื่นเต้นทุกครั้งค่ะที่ทำงาน คือมาพากย์เราก็ตื่นเต้นเพราะเหมือนกับทุกครั้งที่เรามาพากย์ใหม่ก็เหมือนเราได้ทำอะไรใหม่ๆ ค่ะ ยังไงก็ตื่นเต้นและดีใจค่ะ

Q.งั้นลองเล่าให้ฟังหน่อยว่าต้องคาแรคเตอร์ของน้องสนิมน้อยที่เป็นหุ่นกระป๋องเด็กเป็นอย่างไร
O. บุคลิกของสนิมก็คือจะเป็นหุ่นกระป๋องเด็ก คือในเรื่องแอนิเมชั่นยักษ์ทุกตัวก็จะเป็นหุ่นหมดเลยแล้วแต่ว่าใครจะเป็นหุ่นอะไร ส่วนสนิมจะเป็นหุ่นกระป๋องค่ะก็คือเป็นหุ่นที่ตัวเล็กมากๆ เลย ถ้าเป็นคนก็น่าจะเป็นเด็กผู้หญิงประมาณหกเจ็ดขวบค่ะ และก็ที่ชื่อสนิมก็เพราะว่าตัวของสนิมเองก็คือจะเป็นเด็กที่คล้ายกับเป็นหวัดตลอดเวลาค่ะ เพียงแต่พอเป็นหุ่นยนต์แทนที่จะเป็นหวัดก็จะเป็นสนิมแทน แล้วก็จะมีน้ำมูกสนิมไหลออกมาตลอดเวลาและก็ตัวก็จะเต็มไปด้วยสนิมหมดเลย สนิมตัวเขาจะเป็นสีชมพูตรงไหนที่มีสีอยู่ก็จะเป็นสีชมพูค่ะ แล้วที่เหลือก็จะเป็นสีสนิมน้ำตาล ส่วนบุคลิกนิสัย สนิมเป็นเด็กผู้หญิงที่ไม่หวานเจี๊ยบค่ะ เป็นผู้หญิงที่แก่นๆ กระโต๊กกระต๊ากเสียงดังเจี๊ยวจ๊าวแสบๆ แก่นๆ และก็ไม่ค่อยฟังใครค่ะ ดื้อซนๆ ส่วนเสน่ห์ก็คือจริงๆ ถ้าสนิมไม่ได้เป็นสนิม จะมีเพื่อนเยอะมากเพราะว่าสนิมเองเป็นเด็กที่มีจิตใจดีค่ะแล้วก็แบบรักเพื่อน ถ้าเกิดได้ดูหนังเรื่องนี้จะรู้เลยว่าสนิมรักเพื่อนมากในหลายๆ ตอน สนิมจะคอยรักษามิตรภาพกับเพื่อนไว้ค่ะ โดยที่เขาไม่ห่วงตัวเอง สนิมจะมีเพื่อนเป็นหุ่น2ตัวก็คือ ยักษ์กับเผือก ซึ่งทั้งคู่จะเป็นหุ่นที่ตัวเขาเป็นโลหะพิเศษที่แบบสนิมจามใส่ก็จะไม่เป็นสนิม เพราะทุกทีเวลาสนิมจามใส่ใครหุ่นตัวนั้นก็จะเป็นสนิมทันที ทั้งคู่ก็เลยยอมเป็นเพื่อนกับสนิม และกลายมาเป็นเพื่อนสองคนแรก สนิมก็จะรักทั้งคู่มากๆ เลย เพราะที่ผ่านมาสนิมพยายามจะหาเพื่อนมาตลอดชีวิตแต่ก็ไม่เคยมีเพราะด้วยโรคประจำตัวของสนิมนั่นเอง

Q.เห็นเป็นหุ่นกระป๋องอย่างนี้น้องสนิมก็มีภารกิจหน้าที่รับผิดชอบด้วย
O. สนิมเป็นหุ่นที่เป็นเด็กอยู่นะคะแต่ก็ทำงานไปด้วยก็คือเป็นผู้ช่วยของกุมภกรรณ ที่เป็นหัวหน้าคณะขายของเร่ก็คือจะเอาปืนไปขายเร่ตามที่ต่างๆ ไปพร้อมกับการแสดงโชว์ ซึ่งตัวสนิมเองเป็นทั้งลูกมือและ1ในผู้แสดงโชว์ด้วย จริงๆ ตัวสนิมเองก็จะมีความสามารถพิเศษหลายๆ ด้านอย่างเช่น การซ่อมปืนค่ะ ที่ต้องทำงานก็เพื่อหวังจะเก็บตังค์มาซ่อมแซมรักษาตัวเองที่ชอบจามเหมือนภูมิแพ้ แต่หลายๆ ครั้งสนิมก็ทำให้งานพังเพราะจามใส่ลูกค้าจนเป็นสนิม แล้วกุมภกรรณก็จะโกรธมากๆ จนบางทีก็ไม่ยอมจ่ายเงินค่าแรงให้สนิมเลยยังต้องทำงานอยู่อย่างนี้

Q.ความยากง่ายของการให้เสียงให้ชีวิตแอนิเมชั่นยักษ์
O. การพากย์นะคะเหมือนเป็นการแสดงละครเลยแต่ไม่เอาภาพค่ะ เราต้องมีการแสดงท่าทางและก็ต้องมีการพูดโดยใช้ความรู้สึกค่ะ ก็คือเหมือนเราแสดงจริงๆ เลยออกท่าทางจริงๆ เลย เวลาจะดึงก็ดึงจริง จะผลักก็ผลักจริงๆ เลยค่ะ ก็เหมือนการแสดงแต่ไม่เอาภาพเอาเสียงค่ะ ส่วนความยากในการพากย์ก็คือมันยากมาก ก็คือเหมือนบางเรื่องค่ะที่เรายังไม่เคยได้เจอด้วยตัวเอง เราก็อาจจะยังไม่ถึงความรู้สึกนั้นๆ แต่ตัวละครค่ะอารมณ์จะต้องเค้นอารมณ์จะต้องถึงให้มันรู้สึกกับอารมณ์นั้นๆ จริงๆ ค่ะ และก็พวกคำอุทานค่ะมันเป็นคำที่พยายาม โอ๊ะ อ๊ะ เอ๊ะ อะไรอย่างนี้ค่ะ มันก็เลยจะทำให้ไม่ค่อยตรงค่ะ และก็เป็นประโยคพูดยาวๆ บางทีเราก็พูดไม่ตรง บางทีเราก็พูดตรง แต่ไม่มีอารมณ์ เวลามีอารมณ์เราก็พูดไม่ตรงยังงี้ค่ะ ก็เลยค่อนข้างยาก ค่ะพี่ต้อง (พัลลภ สินธุ์เจริญ ผู้ควบคุมการพากย์) จะคอยช่วยอยู่ตรงด้านหน้าค่ะ จะคอยแบบต่อบทให้ค่ะเพื่อที่จะเหมือนส่งอารมณ์ถึงกันค่ะก็เลยจะพูดได้ฟีลมากขึ้นค่ะ ก็จะคอยช่วยและก็บางทีจะให้หนูพากย์แล้วใส่อารมณ์ด้วยตัวเองให้ได้ หรือปรับแปลงบทพูดเพื่อให้เข้ากับปากตัวละคร ซึ่งตัวละครเป็นหุ่นยนต์อ่านปากจะยากหน่อยก็เลยทำให้อาจจะมีติดขัดนิดหน่อยก็เป็นครั้งแรกในชีวิตที่ได้มา เข้าห้องอัดและก็อัดเป็นจริงเป็นจังมากขนาดนี้ ก็สนุกดีค่ะ
« Last Edit: September 27, 2012, 06:33:22 PM by FB »

FB on September 22, 2012, 01:19:46 AM
Q.มีฉากในแอนิเมชั่นเรื่องยักษ์ที่เรารู้สึกประทับใจเป็นพิเศษไหม
O. ฉากที่ชอบเป็นพิเศษนะค่ะก็จะมีอยู่ฉากหนึ่งค่ะที่กุมกรรณไปเร่ขายของ และก็มีการแสดงโชว์
กุมภกรรณก็จะร้องเพลงแนะนำตัวเขา เราก็ร้องเพลงแนะนำตัวเรา ซึ่งหนูชอบร้องเพลงอยู่แล้วค่ะ ก็เลยรู้สึกว่าฉากนี้สนุกไปด้วยค่ะ และก็จะมีหลายๆ ฉากค่ะที่เวลาที่ตัวละครที่น้าเขียวกับพี่เผือกเล่นมุกกันไปกันมาแล้วเวลาเราฟังแล้วเราจะรู้สึกสนุกและก็ประทับใจค่ะ จริงๆ แล้วถ้าเกิดจะพูดจริงๆ แล้วประทับทุกฉากเลยค่ะ และก็ที่ประทับใจก็คือตอนที่สนิมยอมที่จะฝ่าฝืนคำสั่งของกุมภกรรณค่ะหนีไปช่วยพี่เผือก และก็แสดงให้เห็นว่า สนิมละทิ้งหน้าที่ก็จริงแต่เขาทำไปเพื่อมิตรภาพค่ะ ซึ่งถ้าเด็กๆ ได้ดูเขาน่าจะมีอะไรที่ทำให้เขาคิดได้มากขึ้นค่ะ ซึ่งหนูก็เป็นเด็กคนหนึ่งที่ได้ดูก็ได้รู้สึกประทับใจค่ะ ส่วนฉากที่ยากสำหรับหนูคือฉากตะโกนค่ะ คือเอาตอนเด็กๆ ก่อนนะคะ คือถ้าฉากยากคือฉากร้องไห้ถึงเราร้องไห้จริงๆ เลยนะค่ะแต่บางทีเสียงของเรามันฟังแล้วมันก็ไม่เหมือนร้องไห้เราก็จะต้องเค้นอารมณ์มากกว่าปกติคือมากกว่าใชีวิตประจำวันนิดหน่อยค่ะถ้าตอนโตมาคือตอนที่ปัจจุบันค่ะก็คือจะยากตรงที่ตะโกนเพราะว่าถ้าตะโกนแล้วเราใช้เสียงสูงมากๆ เสียงก็จะแตก พอใช้เสียงต่ำมากๆ เสียงมันก็จะดูเป็นสาวเกินไปค่ะ มันก็เลยจะมีปัญหาคิดว่ายาก

Q.เห็นบอกว่าในระหว่างการพากย์ถึงกับรู้สึกอินไปกับตัวน้องสนิมด้วย
O. ก็คือก็ไม่รู้ว่าคนอื่นรู้สึกหรือเปล่านะคะ แต่หนูว่าถ้าดูก็น่าจะรู้สึกนะเราจะรู้สึกเหมือนกับว่าถึงหนูพากย์เองยืนพากย์อยู่อย่างนี้ ฉากไหนที่ลุ้นนี่โอ้โหตัวโก่งเลย มันไม่ใช่การ์ตูนที่แบบดำเนินเรื่องเรียบๆ ง่ายๆ ทั้งเรื่อง แต่มันคือมันแฝงอารมณ์หรืออะไรบางอย่างที่ทำให้เรารู้สึกเหมือนเราได้เข้าไปอยู่ในการ์ตูนนั้นจริงๆ เลยอย่าง เช่น เวลาที่การแข่งกับเวลาคือตอนที่เพื่อนที่กำลังจะช่วยชีวิตเราคือเราจะลุ้นไปด้วยจะห่วงเขาไปด้วย คือพูดง่ายๆ เลยเหมือนกับเราเป็นสนิมจริงๆ เลยค่ะทำให้เหมือนให้มีความรู้สึกเหมือนอยู่ในการ์ตูนเรื่องนั้นจริงๆ เลยค่ะ

Q.ในมุมมองของออมสินคิดว่าภาพยนตร์แอนิเมชั่นเรื่องยักษ์มีความสนุกสนานอย่างไร
O. ภาพยนตร์เรื่องนี้นะคะ อย่างแรกเลยแอนิเมชั่นค่ะ ตัวละครก็คือปราณีตกันมากค่ะ แก้กันหลายครั้งพยายามจะทำมันออกมาให้ดีที่สุดค่ะ เพราะฉะนั้นเรื่องภาพไม่ต้องเป็นห่วงสุดยอดมากค่ะ และก็ทีมพากย์ทุกคนด้วยค่ะ รับรองฟังแล้วไม่ผิดหวังว่าจะใส่อารมณ์อะไรเข้าไปเต็มที่ ส่วนเรื่องนี้นะคะจะมีจุดเด่นตรงที่ว่าอาจจะแฝงข้อคิดอะไรดีๆ เห็นเด่นชัดเลยก็คือเรื่องมิตรภาพ และก็หน้าที่และก็อะไรอีกหลายๆ อย่างที่ต้องให้เราเลือก ซึ่งทุกคนดูเรื่องนี้ก็จะรู้เลยค่ะว่าตัวเองจะต้องเลือกอะไรจะต้องเลือกยังไงกับมิตรภาพค่ะ

Q.เสน่ห์ของตัวการ์ตูนแต่ละตัวในแอนิเมชั่น ยักษ์
O. ในความคิดของหนู ในตัวละครทุกตัวในเรื่องยักษ์นะคะ ก็จะมีเสน่ห์ทุกตัวไม่ว่าจะเป็นฝ่ายร้ายหรือฝ่ายดีอย่างตัวสนิมน้อยคิดว่าใครดูก็จะต้องรักสนิมกันทุกคน เพราะว่าบุคลิกที่น่ารักสดใสก็ความรักเพื่อนรักมิตรภาพก็คือ สนิมจะยอมทำทุกอย่างเพื่อเพื่อนของตัวเองค่ะ และก็เรื่องทศกัณฐ์กับหนุมานนะค่ะ ถึงจะเป็นตัวละครที่มาจากตัวละครดั้งเดิมนะคะก็ยังไม่เคยมีใครเห็นอะไรแบบนี้ยังไม่เคยมีใครเห็นในรูปแบบนี้ เขาจะเป็นตัวละครที่มีความเกี่ยวข้องกันเป็นเพื่อนค่ะ ซึ่งตัวละครมีเสน่ห์ทุกตัวรวมทั้งกุมภกรรณค่ะ ก็จะมีเรื่องความจงรักภักดี ความแน่วแน่ค่ะ ซึ่งสามารถทำให้คนดูทุกคนชอบแน่นอนหรือแม้แต่นก
สดายุก็จะน่ารักขำๆ ค่ะ

Q.ถ้าพูดถึง “ยักษ์” จะนึกถึงอะไร
O. ถ้าได้ยินคำว่ายักษ์ สิ่งแรกที่คิดถึงก็คงจะคิดถึงตัวอะไรก็ได้ที่รูปร่างเหมือนคนหรือรูปร่างคล้ายๆ ลิงคล้ายๆ สัตว์อะไรต่างๆ ที่ตัวสูงๆ อ้วนๆ และก็หน้าตาใจดีๆ หน่อยหรือไม่ก็หน้าตาดุไปเลย ก็ถ้าเป็นยักษ์ใจดีก็จะเป็นยักษ์ที่ชอบเล่นกับเด็กที่มีความเป็นเด็กในตัวเยอะๆ ถ้าเกิดเป็นยักษ์ดุก็จะเอาแต่ใจตัวเองมีเขี้ยวและก็คิ้วดกๆ ค่ะ ส่วนยักษ์ตัวแรกที่รู้จักก็น่าจะเป็นยักษ์จากตอนที่ไปไหว้พระกับคุณแม่ค่ะก็คือเห็นยักษ์วัดแจ้งค่ะที่ตัวสูงๆ ถือกระบอง หน้าตาน่ากลัวๆและก็รู้จักจากการดูหนังเรื่อง THE HULK ค่ะ ซึ่งเป็นยักษ์เขียวตัวอ้วนๆ สูงๆ เลยค่ะก็ไปรู้จักมาจากเรื่องนั้นค่ะ

Q.ถ้าต้องให้เลือกระหว่างมิตรภาพกับหน้าที่จะเลือกอะไร
O. เลือกมิตรภาพค่ะ เพราะว่าหน้าที่มันก็ควรควบคู่ไปกับความถูกต้องค่ะ ซึ่งเราก็ควรที่จะรู้ว่าหน้าที่มันถูกหรือหน้าที่ไหนมันไม่ถูก ซึ่งถ้าเรานำมิตรภาพที่ดีเป็นหลักเกณฑ์นะคะ หนูเชื่อว่าเราก็ต้องทำถูกอยู่แล้วค่ะ แต่พูดจริงๆ แล้วหน้าที่ก็สำคัญ มิตรภาพก็สำคัญค่ะ ซึ่งหนูว่าทุกคนในโลกมีหลักสัจธรรมแบบในเรื่องหนูว่าก็น่าจะดีค่ะ

Q.แล้วคิดว่าศัตรูจะเปลี่ยนมาเป็นเพื่อนกันได้ไหม
O. ศัตรูจะเปลี่ยนมาเป็นมิตรกันได้ไหม ได้ค่ะ ได้แน่นอนเลยค่ะ ถ้าเกิดทั้งสองฝ่ายปรับความเข้าใจกันและก็ไม่เอาแต่ทะเลาะและก็ใช้กำลังกันค่ะ เผลอๆบางทีอาจจะเป็นเพื่อนที่สนิทกันที่สุดเลยก็ได้ เพราะว่าจากการที่เราทะเลาะกันทำให้เราเห็นบุคลิกนิสัย และก็ความคิดต่างๆ ของศัตรูของเราค่ะ ซึ่งถ้าเกิดเราลองคบกันเป็นเพื่อนเราก็จะรู้อะไรหลายๆ อย่างจากศัตรูคนนั้นค่ะ

Q.ฝากผลงานกับผู้ชมหน่อย
O. ก็การ์ตูนเรื่องนี้นะค่ะ สร้างจากความตั้งใจของหลายๆ คน ซึ่งหนูก็เป็นหนึ่งในผู้ที่ได้ร่วมสร้างสรรค์ขึ้นมาคืออยู่เป็นหนึ่งในผู้พากย์นะค่ะ ซึ่งมีลุงหนุ่มสันติสุข เสนาหอย, พี่เหมี่ยว ปวันรัตน์, พี่ตั๊ก บริบูรณ์, พี่แจ๊ป เดอะริชแมนทอย, พี่โน้ส อุดม ฯลฯ และก็มีอีกหลายๆ คนเลยค่ะ ที่ช่วยกันร่วมสร้างหนังเรื่องนี้ขึ้นมา ซึ่งใช้เวลานานมากๆ เลยค่ะ ก็อย่างที่บอกไปแล้วว่าจากหนูประมาณ ป.1 ป.2 ตอนนี้มาอยู่ ม.1 แล้วค่ะ ซึ่งใช้เวลาประมาณหกเจ็ดปีเลยแปลว่ามันเป็นหนังที่ยิ่งใหญ่อลังการ และที่สำคัญหนังเรื่องนี้นะค่ะกำกับโดยพี่จิก ประภาสนะคะ ซึ่งเป็นผู้กำกับที่เก่งมากๆ และก็เป็นผู้ใหญ่ใจดีซึ่งเป็นผู้คิดผู้เขียนเป็นผู้แต่งที่ซึ่งทำให้หนังเรื่องนี้สุดยอดขนาดนี้ค่ะ และก็รู้สึกดีใจและก็ภูมิใจที่ได้มาเป็นหนึ่งในผู้สร้างหนังเรื่องนี้ ได้เป็นผู้ที่ทำหนังเรื่องนะค่ะ ซึ่งอยากให้ทุกคนเห็นความตั้งใจของเราก็มาดูหนังเรื่องนี้กันเยอะๆ ค่ะ รับรองดูยังไงก็ไม่ผิดหวังค่ะ

FB on September 27, 2012, 06:36:13 PM
บทสัมภาษณ์ เอ็กซ์-ชัยพร พานิชรุทติวงศ์ ผู้ร่วมกำกับภาพยนตร์ –ผู้กำกับแอนิเมชั่น (Co-Director , Animation-Director)



 
 
          เปิดใจ “คนสร้างยักษ์” เอ็กซ์ ชัยพร พานิชรุทติวงศ์ แอนิเมเตอร์สายเลือดไทย ฝีมือระดับโลก ผู้ร่วมสร้างบ้านอิทธิฤทธิ์ แหล่งผลิตฝัน ร่ายเวทมนตร์ให้กับภาพยนตร์

Q: ในแวดวงแอนิเมชั่นแล้วพี่เอ็กซ์มีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักในวงการมานาน ในฐานะแอนิเมเตอร์ไทยผู้เคยคว้ารางวัลจากต่างประเทศมากมาย และยังทำหน้าที่เป็นอาจารย์สอนนักศึกษาเพื่อสร้างนักแอนิเมเตอร์รุ่นใหม่ๆ มาประดับวงการอีกด้วย อยากให้ช่วยเล่าถึงที่มาของการทำงานในเส้นทางสายแอนิเมชั่น ก่อนจะมาถึงการทำงานในเรื่องยักษ์สักนิด
X: สวัสดีครับ ผมชัยพร พานิชรุทติวงศ์ ผมมีหน้าที่เป็นโคไดเร็คเตอร์ และก็เป็นแอนิเมชั่นไดเร็คเตอร์ รับผิดชอบทั้งหมดเกี่ยวกับแอนิเมชั่นของเรื่องยักษ์ครับ ครั้งแรกที่สนใจผมสนใจแอนิเมชั่น ก็คือหลังจากเรียนปริญญาตรีคณะมัณฑนศิลป์ ที่มหาวิทยาลัยศิลปากร สมัยนั้นยังไม่มีวิชาแอนิเมชั่น พอเรียนจบผมก็ทำงานได้สักพัก แต่วันหนึ่งไปเห็นตัวอย่างหนังเรื่องเดอะ ไลอ้อน คิง (The Lion King) ก็ตกใจมาก ประทับใจมากรู้สึกทึ่งไปกับภาพที่เห็น วันรุ่งขึ้นไปลาออกเลยครับ (หัวเราะ) แล้วตัดสินใจไปเรียนต่อที่อเมริกา ก็ตอนนั้นวัยรุ่นหน่อย อยากไปเจอผู้กำกับที่ทำไลอ้อน คิง ก็ไปอเมริกาเลย ก็เป็นความฝันของเด็กๆ ครับ (หัวเราะ) ผมไปศึกษาต่อปริญญาโทด้านดิจิตอล อาร์ตที่ มหาวิทยาลัย โอเรกอน ตอนที่เรียนอยู่ผมก็ทำผลงานส่งประกวด Siggraph ซึ่งเป็นการประกวดผลงานแอนิเมชั่นประเภทนักศึกษาจาก มหาวิทยาลัยทั่วโลกครับ อันนี้ก็ได้รางวัลชนะเลิศมาและก็มีได้รางวัลแอนิเมชั่นโลก World Animation Celebration อีกด้วยครับ หลังจากกลับมาจากอเมริกา ก็มีบริษัทแอนิเมชั่นไทยติดต่อมาหลายบริษัทครับ หลังจากกลับมา ผมก็ทำงานสายนี้มาตลอดเกือบ 20 ปี แล้ว งานที่ทำก็มีไตเติ้ลของเวิร์คพอยท์เกือบทุกตัว งานสองมิติที่น่าจะพอคุ้นๆ กันก็เป็นกบ One-2 Call วันทูคอลที่ออกมาจากกะลา และงานด้านภาพยนตร์ก็เป็น CG SUPERVISOR ให้กับหนังมาประมาณสิบสามเรื่อง ล่าสุดก็มีตุ๊กกี้ เจ้าหญิงขายกบ, สิ่งเล็กเล็กที่เรียกว่ารัก, 30+ โสด ON SALE ครับ และหลังจากนั้นก็มาเปิดบริษัทบ้านอิทธิฤทธิ์ เพื่อทำภาพยนตร์แอนิเมชั่นเรื่อง “ยักษ์” เป็นเรื่องแรกครับ”

Q: คิดว่าอะไรที่เป็นเสน่ห์ของแอนิเมชั่น ทั้งๆที่รู้ว่าการจะทำให้เสร็จสมบูรณ์เรื่องหนึ่งนั้นไม่ใช้เรื่องง่าย แต่ก็ทุ่มเทสร้างจนเสร็จออกมาได้
X: เพราะมันเป็นศาสตร์ที่เราสามารถทำให้ตัวละครที่เราคิดนั้นเกิดชีวิต เคลื่อนไหวได้ขึ้นมาได้ และมันเป็นการรวมศาสตร์ทางศิลปะทั้งหมดเพื่อสร้างขึ้นมา หรืออีกอย่างหนึ่งคือใครๆ ก็สามารถเป็นผู้กำกับด้วยตัวเองได้ เหมือนเราสามารถใส่ตัวละครเข้าไปในแอนิเมชั่นโดยไม่ต้องกำหนดคนอื่น อย่างถ้าเรากำกับหนังคนแสดง เราจะต้องกำหนดคนให้เป็นอย่างที่เราต้องการ แต่แอนิเมชั่นเราใส่ความเป็นตัวเราเองลงไปในตัวละครที่เราออกแบบ จนทำให้มันเคลื่อนไหวได้ ตัวการ์ตูนที่เรากำหนดเองมันจะน่าเกลียดหรือน่ารักก็เป็นตัวเราที่เราดีไซน์ขึ้นมาเอง เสน่ห์ของมันอยู่ที่เราสร้างโลกที่เรากำหนดเองได้ครับ

Q: หลังจากที่ไปเรียนและทำงานอยู่ต่างประเทศอยู่นาน รู้จักพี่จิก ประภาส ชลศรานนท์ จนมาทำงานร่วมกันได้อย่างไร
X: ครั้งแรกที่รู้จักพี่จิกผมรู้จักผ่านผลงานของพี่จิกเขาครับ ผมเคยได้ยินชื่อเสียงเขามาบ้าง แต่ผมไปอยู่ต่างประเทศนานเหมือนกัน พอกลับมาเสร็จปุ๊บ มีคนชวนว่าเดี๋ยวคุณจิก-ประภาสจะมาคุยด้วย ยอมรับว่าผมไม่เคยเห็นหน้าพี่จิกเลย รู้แค่ว่าเขาเป็นนักคิดนักเขียน ไม่รู้ว่าเขาเป็นผู้บริหาร เวิร์คพอยท์ ก็เลยไม่เกร็งตอนคุย (หัวเราะ) ซึ่งมันกลายเป็นข้อโชคดีของผม พอไม่เกร็งผมก็เล่าเรื่องการ์ตูนไปเรื่อยๆ และก็คุยกันเรื่องทำแอนิเมชั่น พอคุยเสร็จเพื่อนๆ ก็ชื่นชมตื่นเต้นกันมากว่าจะได้ทำงานกับพี่จิก ผมก็เลยลองหาหนังสือเขามาอ่านเรื่องแรกรู้สึกจะเป็นเชือกกล้วยมัดต้นกล้วย ต่อไปก็เริ่มคุยเกี่ยวกับการทำแอนิเมชั่นกับพี่จิก ก็รู้สึกว่าเขาเป็นคนที่มีไอเดียดีมาก และโชคดีว่าลายเส้นการ์ตูนของผมไปตรงใจพี่จิกพอดีครับ

Q: พอทราบไหมว่าพี่จิกถูกใจลายเส้นของเราตรงไหน และทำไมถึงทำงานเข้ากันได้ดี
X: เราได้เริ่มคุยกันก็เพราะ ผมวาดภาพประกอบให้กับพี่จิกในหนังสือหลายๆ เรื่อง ตั้งแต่ เรื่อง สุธี, แม่เภา อภินิหารพระดิน, นิทานล้านบรรทัด, มังกรไฟไม่เรียนหนังสือ และพอเริ่มร่างแบบคาแร็คเตอร์เรื่องยักษ์ พี่จิกก็พูดขึ้นมาว่า ตัวคาแร็คเตอร์เอ็กซ์เหมือนใครนะ ก็นึกกันขึ้นมาได้ว่าน่าจะเป็นคุณอา รงค์ (ณรงค์ ประภาสะโนบล) อารงค์ก็คือคนที่เขียนทาร์ซานกับเจ้าจุ่น ในหนังสือ ชัยพฤกษ์การ์ตูน แต่ชอบวาดแบบนี้มาตั้งแต่เด็กละ จังหวะการเขียนหรือบางอย่างจึงใกล้กันมาก น่าจะเป็นแรงบันดาลใจที่ได้มาแบบไม่รู้ตัว บวกกับผมเขียนการ์ตูนอเมริกาด้วยแต่ก็ชอบการ์ตูนญี่ปุ่นมันจึงออกมาผสมผสานกัน แต่หลักๆ พี่จิกบอกว่าอารมณ์ชัยพฤกษ์ซึ่งพี่จิกเองก็ชอบการ์ตูนของอารงค์เช่นกัน เราจึงเข้ากันได้ดีครับ

Q: คิดว่าอะไรเสน่ห์ลายมือหรือเอกลักษณ์ของพี่เอ็กซ์
X: มันน่าจะอยู่ที่ตัวละครของผมมักจะเป็นตัวละครที่ไม่สมบูรณ์ พี่จิกว่าเป็นตัวละครป่วย (หัวเราะ) มันเป็นการ์ตูนที่ไม่ค่อยสมประกอบผมชอบตรงนั้น ชอบความไม่สมดุล อย่างแขนเล็กขาเล็กต่างกัน ตาห่าง ถ้าดูจริงๆ นะคาแร็คเตอร์ที่ผมชอบออกแบบ ถ้าอยู่ในการ์ตูนเรื่องอื่นมันจะเป็นหมารองบ่อน แต่สำหรับของผม ผมทำให้มันเป็นพระเอก ทำให้มันพิเศษขึ้น โดยเฉพาะในเรื่องยักษ์มีตัวละครกุมภกรรณที่ถูกใจพี่จิกมาก เพราะเป็นตัวละครที่แขนใหญ่มากขาเล็ก ขาเสียเดินไม่ค่อยดี เป็นคนไม่ปกติ และอีกเรื่องหนึ่งคือผมเป็นคนชอบวางโครงสีของภาพรวมทั้งหมดครับ ผมจะวางโครงสีว่าในเรื่องนี้ ใช้สีไหนดี วางสีสันลงไปในแต่ละจุด จุดเด่นของผมอีกอย่างคือการวางโครงสีครับ

Q: เรื่องยักษ์นี้เรียกได้ว่าเป็นผลงานเปิดตัว “บ้านอิทธิฤทธิ์” อยากให้ช่วยเล่าหน่อยว่า กำเนิดบริษัทบ้านอิทธิฤทธิ์ เป็นมาอย่างไร
X: บ้านอิทธิฤทธิ์เกิดขึ้นมาได้เพราะพี่จิก ประภาส ครับ มันเริ่มจากพี่จิกอยากทำหนังแอนิเมชั่น ผมกับพี่จิกเคยคุยกันมาก่อนเพราะว่าแกชอบสไตล์อาร์ตกับแอนิเมชั่นของผม ก็เลยคุยกันว่าเราจะมาเปิดบริษัทกันที่ทำการ์ตูนกันดีไหม ตอนแรกชื่อบริษัท ชื่อว่า “ฤๅษี” จากนั้นก็คุยกันเรื่องยักษ์ ก็รู้สึกว่ามันเป็นอะไรไทยๆ มี หนุมาน มียักษ์ อีกอย่างผมรู้สึกว่าแอนิเมชั่นหรือสเปเชียลเอ็ฟเฟ็กต์ มันทำขึ้นมาเพื่อให้คนเชื่อจากสิ่งที่ไม่มีมาก่อน มันเหมือนเป็นเวทมนต์ เป็นอิทธิฤทธิ์ ก็เลยได้ชื่อว่า “บ้านอิทธิฤทธิ์” แรกๆ บ้านอิทธิฤทธิ์ยังไม่เป็นที่รู้จัก ลูกค้าก็แซวว่าขี่ม้ามาหรือป่าวเพราะเป็นบ้านอิทธิฤทธิ์ (หัวเราะ) ตอนนี้บ้านอิทธิฤทธิ์ก็เกิดได้ประมาณแปด เก้าปีแล้วครับ การทำงานหลักๆ ของบ้านอิทธิฤทธิ์คือทำหนังแอนิเมชั่นเรื่องยักษ์ครับ แต่ในช่วงที่ยักษ์กำลังมีการพัฒนาบทหรือพัฒนาคาแร็คเตอร์ ก็จะมีงานโฆษณา งานสเปเชียลเอ็ฟเฟ็กต์ติดต่อเข้ามา แต่บ้านอิทธิฤทธิ์จริงๆ สร้างขึ้นมาเพื่อสร้างภาพยนตร์แอนิเมชั่นโดยเฉพาะ และเรื่องแรกก็คือเรื่องยักษ์นี่แหละครับ

Q: ช่วยเล่าที่มาของเรื่องยักษ์สักนิด ทำไมถึงมาลงตัวที่เรื่องนี้ได้
X: ที่มาที่ไปของยักษ์มันมาจากหุ่นยนต์ที่พี่ออกแบบให้เวิร์คพอยท์นานมากแล้วถ้าจำได้จะเป็นตอนจบของรายการเป็นหุ่นยนต์ตัวหนึ่งที่เดินมาแล้วแปลงแขนเป็นอาวุธสงคราม มันเอากองขยะมาประกอบจนเขียนคำว่าเวิร์คพอยท์ ตอนจบปุ๊บ พอพี่จิกก็เห็นตัวนี้เขาก็พูดว่าเออมันน่ารักดีนะ เอ็กซ์อยากทำหนังหุ่นยนต์ไหม หุ่นยนต์สงครามอะไรที่มันสนุกเล่าไปมามันก็เป็นรามเกียรติ์ รามเกียรติ์ทำไงให้เป็นหุ่นยนต์หรือว่ารามเกียรติ์มันมีหลายภาคมีตั้งนับล้านภาค ญี่ปุ่นก็มี จีนก็มี เราก็รู้สึกว่ารามเกียรติ์มันมีตายเกิดตายเกิดเป็นล้านๆ ถ้าตายแล้วเกิดใหม่แล้วเป็นหุ่นยนต์ก็น่าจะดีนะและเราก็เลยเอาตรงนั้นมา และตัวที่หุ่นยนต์สังเกตว่าหุ่นยนต์หุ่นกระป๋องส่วนใหญ่ในเรื่องจะเป็นล้อเดียวเหมือนไตเติ้ลเวิร์คพอยท์ตอนจบตอนนั้นนะครับ ตัวหุ่นที่เป็นตัวนักสู้หรือตัวที่มันเป็นวรรณะสูงขึ้นมาเนี้ยจะเดินได้สองขา เราดีไซน์ก่อนหนังเรื่องโรบ็อท Robots (2005) อีกนะครับ แต่พอโรบ็อทออกมาปุ๊บเราก็ต้องเดินหน้าต่อ เพราะว่าเราทำไปแล้ว และเรามานั่งคุยกันว่าถ้าเกิดเป็นปลาทำสัตว์ใต้ทะเลก็เหมือนกับไฟดิ้ง นีโม (Finding Nemo -2003) ทำสัตว์ป่าก็เหมือนมาดากัสการ์(Madagascar -2005) ทำการ์ตูนสัตว์น่ารักก็เหมือน กังฟู แพนด้า ( Kung Fu Panda -2008) และเราทำหุ่นยนต์เนี้ยคนก็ว่าเหมือนโรบ็อท แต่จริงๆ เราทำขั้นตอน Pre – Production ไปปีหนึ่งแล้วครับ เราก็เลยเดินหน้าต่อเพราะว่ามันก็ไม่เหมือน เนื้อเรื่องเราก็ไม่ได้คล้ายกันเลยครับ