บทสัมภาษณ์ “คริน-สาครินทร์ สุธรรมสมัย” รับบท “ธง” ในภาพยนตร์เรื่อง “อันธพาล”
แนะนำอันธพาลหน้าใหม่
สาครินทร์ สุธรรมสมัย ครับ ชื่อเล่น คริน รับบทเป็น ธง ในเรื่อง อันธพาล ครับ
ติดประกาศหาอันธพาลหน้าใหม่ ปุ๊ป! ก็มาสมัครเข้าร่วมแก๊งด้วยเลยใช่ไหม
ต้องบอกว่าที่ผ่านมาผมไม่เคยไปแคสติ้งอะไรพวกนี้เลยนะ ไม่เคยแคสติ้งงาน แต่พอมารู้ถึงโครงการนี้ น่าสนใจดีก็ลองมาสมัคร เข้ามาแคสติ้งตามกระบวนการ แล้วก็ได้(หัวเราะ) ดีครับ เพราะตอนแรกไม่คิดว่าจะได้ ตอนนั้นเขาดูจากคาแร็คเตอร์ส่วนตัว และเลือกบทมาให้ว่าจะเล่นเป็นใคร ซึ่งผมได้บท ธง ต้องแสดงซีนอารามณ์ โมโห กดดัน ร้องไห้ ผมก็พยามแสดงตามบทนั้นเลยครับ
และก่อนหน้านี้มีผลงานอะไรมาบ้าง
ถ้าด้านการแสดงไม่มีครับ ไม่มีเลย แต่จะเป็นการทำเพลงซะมากกว่าครับ
นักแสดงหน้าใหม่ได้มีโอกาสเรียนการแสดงกับ หม่อมหลวงพันธุ์เทวนพ เทวกุล รู้สึกอย่างไรบ้าง
ผมรู้จักหม่อมน้อย จากภาพยนตร์ในหลายๆเรื่อง ตอนไปเรียนจะเป็นวิธีการเรียนอีกแบบที่เขาจะสอน การเข้าสู่จิตใตเข้าสู่ความรู้สึกข้างใน ซึ่งมันเป็นอะไรที่ค่อนข้างใหม่สำหรับผม ได้อะไรจากหม่อมน้อยเยอะมากจากการเข้าใจตัวเราเอง และสามารถนำมาใช้ในการแสดงได้เยอะจริงๆ ตอนเรียน เรียนทั้ง 3 คนเลยมี บิ๊ก แล้วก็น้องตรี เราไปเรียนพร้อมกัน 3 คน ได้ทำความรู้จักกันด้วย ไปปูพื้นฐานทุกอย่างในทิศทางเดียวกันอย่างที่หม่อมน้อยเขาต้องการ สำหรับระยะเวลาในการเรียนจะประมาณ 3 เดือน ช่วงแรกยอมรับว่าเหนื่อยบ้าง เพราะเป็นสิ่งที่ใหม่และแปลกสำหรับเรา ในเรื่องการทำความเข้าใจเกี่ยวกับเรื่องของ Energy ต่างๆ ซึ่งพอเราปรับตัวได้ต้องบอกว่ามันเป็นเรื่องที่สนุกมากเลยครับ
การเตรียมตัว และ ความพร้อมกับภาพยนตร์เรื่องแรกในชีวิต เป็นอย่างไรบ้าง
ทีมงานส่งบทมา ผมก็ซ้อมบท ซ้อมกับตัวเอง ซ้อมกับหม่อมน้อย ซ้อมกับครูเบลที่โรงเรียนการแสดง แล้วก็ครูเงาะ และก็เตรียมตัวเท่าที่เราเตรียมตัวได้ เรายังไม่รู้ว่าเราจะไปเจออะไรบ้าง อย่างผมเรียนหนังมาแต่เราเรียนในฐานะที่เราเป็นคนทำ แต่นี่มันเป็นอีกด้านนึงเรายังไม่รู้ว่าเราจะไปเจออะไร เตรียมตัวเท่าที่เราจะเตรียมได้ในเรื่องร่างกาย จิตใจ ความพร้อม การพักผ่อน ดูแลตัวเองทุกอย่าง เต็มที่ เท่าที่เราทำได้ตอนนั้นเพราะเราอยากให้มันออกมาดีที่สุด
คาแร็คเตอร์ของ “ธง” ในเรื่องอันธพาล เป็นอย่างไร
บทบาทของ ธง เป็นคนสุดโต่ง ผิดก็คือผิด ถูกก็คือถูก จะซ้ายจะขวาเต็มที่ แล้วก็มีความแรงมากๆ ก้าวร้าว มีความเป็นนักเลง มีความเป็นนักเลงเต็มตัว รู้เรื่องเกี่ยวกับการโกง สิ่งอบายมุข ทุกอย่างเท่าที่จะจินตนาการได้รู้หมดทุกอย่างเลย เป็นคนที่หัวรุนแรงกับการใช้กำลัง แล้วก็เป็นคนชอบระเบิดอารมณ์อยู่บ่อยๆ เหมือนหมาไฮยีน่าที่พร้อมจะล่าเหยื่ออยู่เสมอ แต่ลึกๆแล้วธงเป็นคนที่โดดเดี่ยว แล้วก็เปราะบางมากจริงๆ สิ่งที่สร้างขึ้นมาในบทของ ธง จะเป็นการพัฒนาตั้งแต่เริ่มจนจบ มันก็แฝงไปด้วยอ่อนแอ แต่ต้องเอาสิ่งพวกนี้มา กลบทับ นั่นคือตัวละครของ ธง ครับ
ในเรื่อง ธง จะโตมากับ เปี๊ยก (รับบทโดย บิ๊ก กฤษฎา) เปี๊ยกจะเป็นสิ่งที่ตรงกันข้ามกับ ธง เพราะว่า เปี๊ยกจะค่อนข้างเป็นศิลปิน แต่ต้องมาจำใจที่จะมาเป็นนักเลงเพราะว่าชีวิตไม่ได้มีทางเลือกขนาดนั้น โดนบีบโดย ธง และสภาพสังคมต่างๆ นานา ให้ไปในทิศทางนี้ แต่ว่าใจจริงๆแล้วไม่ใช่ เขาไม่ใช่คนอย่างนั้น แล้วก็มาอยู่คู่กันด้วยเส้นทางที่ว่า รักกัน เพื่อนกัน มีกันอยู่ 2 คน แล้วก็เดินไปด้วยกัน แต่เราทั้ง 2 คนก็เริ่มจากการไปเป็นนักเลงตัวเล็กๆของพี่จ๊อด (รับบทโดย น้อย กฤษดา) กับพี่แดง(รับบทโดย เต๋า สมชาย) สุดท้ายแล้วความเป็นตัวตนของ ธง ความเป็นตัวตนของ เปี๊ยก มันก็ต้องแยกกันครับ
เรื่องราวของเรื่อง “อันธพาล” เป็นอย่างไร
ก็นึกไปถึงสมัยอันธพาลครองเมืองนะครับ เป็นยุคที่อันธพาลเฟื่องฟู ยุคเอลวิส ยุคของเรอนาซอง ยาเสพติด เซ็กส์ รัก ร็อคแอนด์โรล ทุกอย่างครบหมดเลย มันเป็นช่วงที่เข้าไปคาบเกี่ยวกับตัวจ๊อด, แดง, ปุ๊ ต่างๆนานา เป็นยุคทองในสมัยนักเลงในสมัยนั้น 4 -5 คนที่เรารู้จัก ที่เราเคยผ่านตาจากภาพยนตร์ในสมัยก่อน แล้วตัวผมเอง ธง กับเปี๊ยก เหมือนเป็นอีกเจนเนอเรชั่นนึงที่ลงมา แล้วก็เห็นเขาเป็นไอดอล แล้วอยากก้าวขึ้นไปสู่แบบนั้นบ้าง เป็นช่วงที่ตัวพี่จ๊อด พี่แดง วัยที่โตแล้ว มองเห็นถึงการเป็นอันธพาล จากที่เคยเดินไปเอามีดเสียบเขา เจอใครไม่พอใจยิงโป้ง แต่พอเวลาผ่านไป กล่อมเขาขัดเกลา แล้วเขาตกผลึก กลับมีมุมความคิดว่าจริงๆแล้วไม่ใช่ความเป็นผู้ชาย มันไม่ใช่สุภาพบุรุษ แต่ว่าพอถึงรุ่นของธงกับเปี๊ยกก็อยากจะเป็นอย่างนั้น อยากเดินไปไหนแล้วมีแต่คนไหว้ อำนาจแหละครับ เรื่องของบารมี ความเท่ เป็นเรื่องความฝันของวัยเด็ก ซึ่ง 2 เจนเนอเรชั่นนี้ จะมีความคิดสู้กันอยู่ ขัดแย้งกันอยู่ แล้วมันก็จะเป็นเรื่องของการหักหลัง ความผูกพันของเพื่อน ฆ่าฟันแย้งชิง การเป็นนักเลง คำว่าผู้ชายอะไรต่างๆนานา สุดท้ายแล้วมันก็คือ อันธพาล นักเลง จบด้วย ควันปืน และกลิ่นเลือด
ตัวตนของ “ธง” กับ “คริน” มีความเหมือน หรือแตกต่างกันบ้างไหม
ไม่เหมือน และไม่ต่างกันซะทีเดียว อย่างธงเขาจะกระโตกกระตาก เขาจะค่อนข้างปล่อยพลังไปตลอดเวลา โกรธก็ระเบิดออกมาเลย มีความสุขก็หัวเราะ หัวเราะเสียงดัง ทุกอย่างเขาจะระเบิดออกมาเลย เขาจะไม่เก็บ ซึ่งมันเป็นพาร์ทนึงในตัวผมนะ ส่วนตัวผมจริงๆจะเป็นคนนิ่งๆ ผมขี้อาย(หัวเราะ) ผมเป็นคนขี้อายมากๆ อาจจะดูขรึมๆนิ่งๆแต่จริงๆแล้วอายครับ แต่บางจังหวะที่มาแสดงหนัง หรือขึ้นเวทีคอนเสิร์ต มันเหมือนความอายตรงนี้หายไป ตรงนี้ผมว่าเหมือนธงที่เราสามารถระเบิดพลังงานอะไรออกมาได้เต็มไปหมดเลยโดยไม่รู้ตัวครับ
อันธพาลเป็นภาพยนตร์ที่ย้อนไปยุคปี 2500 ต้องมีการปรับลุค ตั้งแต่หัวจรดเท้าอย่างไรบ้าง
(มือจับผม)นี่ละครับเป็นมารุโกะ (หัวเราะ) เขาแซวกันว่าเป็นทรงมารุโกะ ผมไม่ได้เกิดยุคนั้น จึงไม่ค่อยรู้เรื่องของแฟชั่นยุคนั้น อย่างทรงผม เสื้อผ้า จะเป็นยุคพีเรียด ก็ไปศึกษาครับยุคนั้น เราก็พยายามหาข้อมูล พยายามปรับตัวเข้าไป แม้แต่การพูดจา การแต่งตัว กางเกงขาบาน เสื้อผ้ายุคนั้น พับปก เสยผมตั้ง ก็ไม่เข้าใจว่าทำไมเขาคิดว่ามันเท่ สำหรับเรานะ แต่เราก็พยายามไปทำความเข้าใจ
การได้ร่วมงานกับนักแสดงมืออาชีพทั้ง “เต๋า-สมชาย เข็มกลัด” และ “น้อย-กฤษดา สุโกศล แคลลป์” เป็นอย่างไรบ้าง
สำหรับพี่เต๋าเขาเป็นมืออาชีพมากๆ มากๆเลยนะครับ อยู่ในวงการมานานแล้ว เล่นหนังมาเยอะ หนังที่เขาเล่นย้อนกลับไปสมัยนู้นหลายเรื่องมากๆ พี่เขาก็ช่วยแนะนำนะ อย่างในฉากตอนที่ต้องไว้ผมยาวในเรื่อง แล้วเส้นผมมันก็จะทิ่มตา จึงต้องใช้นิ้วคอยปัดผมบ่อยๆ พอคัทปุ๊ป พี่เต๋าก็เดินมาสะกิดบอกว่า ปล่อยมันไปเลย เข้าใจว่ามันทิ่มตาแต่มันจะเป็นธรรมชาติ เขาจะมีเทคนิคต่างๆที่เขามานั่งคุยอยู่ตลอดเวลา พี่เต๋าเป็นคนน่ารักมากเป็นคนชอบพูด ผมก็ชอบไปนั่งฟัง พูดไปคำนึงขอสักประเด็นนึงแกก็จะพูดมาล่ะ ผมก็เออเหมือนเราได้ศึกษาชิวิตเขาไปในตัว พี่เขาแนะนำเรื่องงาน ชีวิตเขาอะไรหลายๆอย่างได้มุมมองจากเขารู้สึกดีที่เขาเรียกเราว่าน้อง ไม่ได้ง่ายกับการที่จะมาได้เจอกับนักแสดงระดับนี้
ส่วนพี่น้อย ผมชื่นชอบในฐานะศิลปินวงพรูอยู่แล้ว ตั้งแต่ผมเรียนมหาวิทยาลัยละ ชอบในความ Unique (เป็นเอกลักษณ์) ของเขามาก เขาเป็นคนที่เรียกว่าอะไร One and Only ไม่เหมือนใครมากๆ ตอนที่ได้รู้ว่าร่วมกันมันเหมือนกับ ว๊าว!อ่ะ(หัวเราะ) ว๊าว!พี่น้อย โอเค แล้วก็มาคุยกับแกก็คุยเลยว่าพี่ ผมชอบพี่มากตั้งแต่ในบทบาทศิลปิน อาร์ตติส การเป็นโซโลอาร์ตติส รวมถึงการแสดงด้วยบอกแกแบบนี้ ผมดีใจมากพี่ที่มีโอกาสร่วมงานกัน บอกแบบนี้โต้งๆเลย(หัวเราะ) พี่เขาก็งงๆนะตอนแรก เวลาพี่น้อยแสดง เวลาพูดทั้งนอกจอในจอ เขาเป็นคนมีเสน่ห์มากๆ คาแร็คเตอร์ที่พี่น้อยสร้างให้กับจ๊อด เป็นอะไรที่มันยูนีค เขาจะมีการตีความของเขา และเราก็อยากไปได้ถึงระดับนั้นบ้างในเรื่องของการแสดง หรือแม้แต่การเป็นศิลปินของเขาก็ตาม
แสดงหนังเรื่องแรกก็ต้องเล่นแอ็คชั่น พี่เต๋าแนะนำหรือสอนอะไรครินบ้าง
พี่เต๋าจะสอนเรื่องรวมๆมากกว่า จะแนะนำในเรื่องของการแสดงมากกว่า รวมถึงเรื่องที่ว่าวงการนี้คืออะไร และเล่าให้ฟังวงการนี้มันคืออะไร อยู่ยังไง แอดติจูดเป็นยังไง เราก็ฟังแกเล่าชีวิตของแก ถามทุกคนได้เลยเวลาไปนั่งคุยกับพี่เต๋า พี่เต๋าจะเล่าแล้วทุกคนจะฟัง ผมฟังแล้วสนุก แกพูดเป็นชั่วโมงๆเลย เออสนุกเนอะ แต่ชีวิตแกเยอะ เรื่องการทำงานทั้งชีวิตของแกเลย สนุกคุยกันสนุกมาก เรื่องลูกแก แม้แต่เก้าอี้ผ้าใบที่ แกนอนอยู่ ผมก็เอ้ย!เก้าอี้สบายดีนะ แกบอกมาหมดเลยร้านไหน ซื้อเท่าไหร่ ต้องซื้อนะมันมีประโยชน์อย่างไง แล้วผมไปถอยมาครับ(หัวเราะ) พี่เต๋าน่ารัก น่ารักกว่าที่ผมคิดไว้อ่ะผมพูดแบบนี้ดีกว่า นึกว่าจะขรึมๆนิ่งๆมาดแบบว่าพี่เต๋าหน่อย แต่ว่าพี่เต๋าน่ารัก นิสัยน่ารักมากครับ
ฉากแอ็คชั่นประทับใจ และอยากให้ติดตามชมจนห้ามกระพริบตา
ฉากแอ็คชั่น ผมชอบฉากที่บุกมายิงในงานเลี้ยง โลเกชั่นจ.กาญนบุรี ส่วนตัวแล้วผมชอบความมันส์เหมือนเป็นหนัง Gangsters ในสมัยก่อนที่มันมีประชาชนอยู่ตรงกลางและมีแก๊ง 2 แก๊งมาบวกกัน เราเห็นในภาพยนตร์ไม่ว่าจะของจีน ของอเมริกา เขาจะเป็นอย่างนี้มันเป็นฉากที่ผมรู้สึกว่ามัน Epic (มหากาพย์) ในความรู้สึก ผมว่ามันเจ๋งดี เราได้เป็นพาร์ทนึงในนั้น เราได้ยิงปืนสวนกันไปมา ซึ่งฉากแอ็คชั่นอันนั้นมันอลังการมัน Epicในความรู้สึกผม ก็อยากให้ติดตามครับกับฉากแอ็คชั่นนี้ ทุกคนมีอาวุธ มันเป็นอาวุธโบราณที่สวยมาก กระบอกมันสวยมากจริงๆนะครับ การยิงกัน การไล่ล่ากัน มันสนุกมาก มันส์มาก เสียงปืนอะไรต่างๆการปะทะเข้าหากัน ห้ามพลาดเลย
นอกจากพี่น้อย พี่เต๋า ยังมีหลากหลายนักแสดงคุณภาพและมืออาชีพในเรื่องนี้ ร่วมงานกันเป็นอย่างไรบ้าง
การได้ร่วมงานกับอาจารย์สืบ (บุญส่ง นาคภู่)ผมเรียกเขาว่าอาจารย์สืบ ก็ถามเขาในเรื่องที่ผมอยากรู้และในเรื่องที่ผมไม่รู้ ซึ่งเขาก็จะมีเทคนิคของเขาเราก็จะได้ความรู้ เขาก็ชมมาในบางฉากที่เขาบอก เอ้ย!เล่นดีนะฉากนี้ เราก็รู้สึกว่ามันเป็นกำลังใจที่ดี ได้นักแสดงอาวุโสมากๆเลยอย่างอาจารย์สืบ แล้วเขาก็สอนแนะนำเรา ก็ขอขอบคุณอาจารย์สืบไว้ตรงนี้ด้วย ได้ความรู้มาก หรืออย่าง พี่แฟรงค์(แฟรงค์ ภคชนก์) เป็นคนพิเศษครับ(หัวเราะ) คุยกับพี่โขมเขาก็บอกว่าพี่แฟรงค์เล่นเป็นอะไรก็ได้ที่ไม่ใช่คนปกติ(หัวเราะ) ซึ่งผมก็เออจริง จริงว่ะพี่ แกเป็นคนที่มีคาแร็คเตอร์พิเศษ เป็นคนที่มี Energy สูงมาก จริงๆแล้วแกเป็นคนที่เจ๋ง เจ๋งมาก ตัวจริงแกก็เจ๋ง และก็ไม่ธรรมดา ซึ่งการได้นั่งดูแกเล่น หรือแอ็คติ้ง เรายังรู้สึกถึงการได้รับพลังงานบางอย่างจากแกด้วย โดยไม่รู้ตัวครับ อย่างไปนั่งหน้ามอนิเตอร์เราเห็น เราก็ซึมมาล่ะเรารู้สึกอิน ซึ่งผมว่าในนักแสดงไม่ได้ง่ายที่จะมี Energy เยอะขนาดนั้น
การได้มีโอกาสร่วมงานครั้งแรกกับผู้กำกับที่ชื่อ โขม ก้องเกียรติเป็นอย่างไรบ้าง
เออ...แกตบหัวแล้วลูบหลัง(หัวเราะ) แกตบก่อน ตบผั๊วะเลย แล้วแกก็ลูบหลัง จะเป็นลักษณะนั้น พี่โขมเป็นคนทำหนังละเอียด และก็เป็นโปรเฟสชั่นนิสคนนึงในการทำหนัง เคยคุยกับพี่โขมซึ่งผมชอบมาก...ผมถามว่า พี่ทำไมมันไม่ได้สักที ทำไมพี่ไม่ปล่อยผ่านสักที พี่โขมบอกว่ามันไม่มีที่ว่างให้กับคำว่าไม่ได้ในการทำหนัง เพราะฉะนั้นเป็นสาเหตุนึงที่หนังพี่โขมออกมาดี หนังจะออกมาสมบูรณ์แบบในตัวของมัน ในแบบที่พี่โขมต้องการ
และพี่โขมจะมีการสอน และแนะนำในสไตล์ของพี่โขมเอง เขาจะมีสไตล์ก้องเกียรติ โขมศิริ ของเขาอยู่(หัวเราะ) พูดออกอากาศไม่ได้ครับ มันค่อนข้างต้องมีเซนเซอร์สักนิดนึง ในสไตล์พี่โขมค่อนข้างจะตรงเลย เวลาสอนไรจะตรงใส่ผั๊วะเข้ามา เราก็จะไปคิดได้เอง นั่นล่ะครับ ผมก็จะคอยถามพี่โขมตลอด หรืออะไรไม่โอเคพี่โขมจะบอก โอเค ไม่โอเคต้องทำให้ได้ ซึ่งมันเป็นการท้าทายอย่างนึงในกองถ่าย เออพี่ เอาดิ พี่บอกมาได้เลย ผมจะทำให้ได้
ในเรื่องต้องรับบทเพื่อนสนิทคู่กับ “บิ๊ก กฤษฎา” ร่วมงานกันแล้วเป็นอย่างไรบ้าง
เล่าย้อนไปตอนแคสติ้งเลยแล้วกันนะ ในตอนนั้นเดินเข้าไปออดิชั่นก็เจอมันนี่แหละ และมันถูกชะตาบางอย่าง เหมือนเคมีคอลบางอย่างมันตรงกัน เราเลยคุยกันรู้เรื่อง ซึ่งบิ๊กเป็นคนเฟรนด์ลี่อยู่แล้ว คุยกับใครก็เฮฮา ผมจะเป็นคนนิ่งๆ อยู่นอกจอเราก็เฮฮา อยู่ในกองก็เฮฮา ไปไหนไปด้วยกัน จนเขาแซวเป็นสามีภรรยา(หัวเราะ)ในกอง อย่างผมซื้อขนมมาก็มายื่นให้กินไหม พี่แฟรงค์เขาก็แซวเลย สามีดูแลภรรยาดีๆนะ (หัวเราะ) ในเรื่องบางทีเล่นๆกันอยู่มันต้องเป็นเพื่อนรักกัน แต่บางช็อตเล่นไปเล่นมามันจะดูเป็นเพื่อนกูรักมึงว่ะ(หัวเราะ) พี่โขมก็ตะโกนมาแล้ว คัทททททท!!!...ไม่ได้ สวยไป สวยไปทั้งคู่เลย(หัวเราะ) เป็นอย่างงั้นไป
มีอะไรจะเม้าท์ถึงน้องชายสุดสนิท “บิ๊ก กฤษฎา” บ้างไหม
เยอะไอ้บิ๊กนี่เยอะ เยอะแยะ ไม่เม้าท์ดีกว่าเดี๋ยวมันร้องไห้(หัวเราะ) มันเป็นคนสนุก เป็นคนดี นิสัยดี น่ารัก เน๊อะ(หัวเราะ) นั่นแหละๆดีเป็นคนดี(กัดฟันพูด)
“อันธพาล” ในความหมายของครินเป็นอย่างไร
ผมว่า นักเลงจริงกว่าอันธพาลในความรู้สึกผมนะ นักเลงคือคนจริง ใจนักเลง ที่เราจะได้ยินกันบ่อยๆใจนักเลงมากเลย แต่อันธพาลมันจะอีกแบบ เป็นพวกก่อกวนมากว่าแต่อยู่ในรูปแบบเดียวกัน ซึ่งผมว่ามันนิดเดียวเหมือนกัน 2 คำนี้พลิกกัน ก็กลับกันได้ในความรู้สึกผม
ถ้าหากต้องก้าวสู่วงการ อันธพาล จะเลือกเป็นอันธพาลแบบไหน เพราะอะไร
เลือกเป็นอันธพาลใช่ไหมครับ เหนื่อยครับ(หัวเราะ) อย่าเป็นเลย อย่าเป็นเล้ยย...อันธพาล(หัวเราะ) ทั้งปืน ทั้งอบายมุข ครบทุกอย่างเลย แต่สมมุติต้องเลือกนะ จะเป็นในทิศทางที่มีความเป็นสุภาพบุรุษด้วย เป็นอันธพาลที่มีความเป็นสุภาพบุรุษครับ
เสน่ห์ของภาพยนตร์ “อันธพาล”
ผมว่าลายเซ็นต์พี่โขม และก็ด้วย Mood รวมๆบางอย่างที่ผมรู้สึกว่า มันเป็นหนังอีกรูปแบบนึงนะครับ โดยฝีมือคนไทย ที่มีคาแร็คเตอร์ มีลายเซ็นต์ของผู้กำกับอย่างชัดเจน เสน่ห์ของมันคือตัวละครที่มีความสัมพันธ์กันทั้งหมด และแต่ละคนจะมีรูปแบบของแต่ละคนที่ชัดเจนเมื่อมารวมตัวกัน แล้วก็เดินไปในทิศทางเดียวกัน เกิดความสัมพันธ์กัน เกิดความขัดแย้งกัน มันเป็นโลกอีกใบนึง ที่ผมว่าถ้าใครได้เข้ามาชม เข้ามาดู คุณจะได้หลุดไปอยู่ในยุคนั้นจริงๆ ที่ผมว่ามันเป็นยุคของอันธพาลครับ
สิ่งที่คนดูจะได้จากภาพยนตร์เรื่องนี้
สิ่งที่คนดูจะได้คือ หนึ่งความสนุก แล้วก็มุมมองอีกรูปแบบนึงของการตีความคำว่า อันธพาล ของผู้กำกับ ทีมนักแสดง และทีมงานทั้งหมด ทุกคนร่วมตีความรูปแบบที่ ผมเชื่อว่า ภาพยนตร์ไทยยังไม่มีการตีความที่ใกล้เคียงแบบนี้นะ ใกล้เคียงความเป็นอันธพาล ทุกคนจะได้รับมุมมองอีกแบบนึง มันคงไม่ใช่การยืนชักปืนเท่ๆอย่างแน่นอน มันคืออันธพาลครับ มันคือลูกปืน มันคือเลือด มันคือความตาย มันคือ เซ็กส์ รัก ร็อคแอนด์โรล อย่างแท้จริงครับ
ฝากผลงาน
ภาพยนตร์เรื่องอันธพาล กำกับโดย พี่โขม ก้องเกียรติ โขมศิริ ชักชวนทุกคนเข้ามาชมครับ มาดูรูปแบบ อันธพาล อีกแบบนึงที่เรียกได้ว่าคุณจะต้องหลงรักและหลงใหลมันอย่างแน่นอนครับ