วิคตอเรียน(Victorians) vs โมเดิร์น(Moderns) : ทีมนักแสดงและตัวละคร
ทีมผู้สร้างตื่นเต้นกับทีมนักแสดงที่พวกเขารวบรวมมาได้ “ในช่วงเริ่มแรก เราเขียนลิสต์รายชื่อที่พวกเราต้องการ และกลายเป็นว่าพวกเขาทุกคนก็ได้มาอยู่ในหนังเรื่องนี้” ทันยา เว็กซ์เลอร์บอก “ส่วนใหญ่แล้ว มันเป็นเพราะวิธีการบอกเล่าเรื่องราวในบท ในตอนที่คนได้ยิน คอนเซ็ปต์ของ HYSTERIA เป็นครั้งแรก พวกเขาก็คาดหวังว่ามันจะเป็นคอมเมดี้สุดฮา แต่สิ่งที่พวกเขาเจอกลับเป็นหนังตลก ที่สะเทือนอารมณ์ และมีความอบอุ่นหัวใจจริงๆ มันทำให้นักแสดงแปลกใจและพอใจ และฉันคิดว่า มันเป็นสิ่งที่ทำให้พวกเขารู้สึกถูกดึงดูดเข้าหาโปรเจ็กต์นี้ด้วยค่ะ”
มันเป็นความจริงสำหรับทีมงานทุกคน ขณะที่ทีมนักแสดงได้สวมบทตัวละครที่เป็นคนยุควิคตอเรียนตามแบบฉบับ ที่เคร่งขนบธรรมเนียม หรือตัวละครดุเดือด หัวก้าวหน้า ที่ค้านกับยุคสมัย ซึ่งนักแสดงเหล่านี้ได้แก่Hugh Dancy (ฮิวจ์ แดนซี) รับบท Mortimer Granville (มอร์ติเมอร์ แกรนวิลล์)
สำหรับบทมอร์ติเมอร์ แกรนวิลล์ ทีมผู้สร้าง HYSTERIA ได้ค้นหาพระเอกที่เป็นอังกฤษแท้ๆ คนที่สามารถรับบทแพทย์มาดเนี้ยบทุกกระเบียดนิ้วแห่งศตวรรษที่ 19 ผู้ที่ชีวิตที่เป็นแบบแผนของเขาค่อยๆ พังทลายด้วยหญิงสาวคนงาม ผู้เยาะเย้ยงาน “นวด” คนไข้หญิงชั้นสูงของเขา นอกจากนี้ พวกเขายังต้องการนักแสดงผู้วางตัวเงียบขรึมแม้กระทั่งระหว่างการประดิษฐ์ไวเบรเตอร์ขึ้นมาได้
พวกเขาพบคุณสมบัตินั้นในตัวของนักแสดงดาวรุ่งชาวอังกฤษ ฮิวจ์ แดนซี แดนซีเป็นที่รู้จักของผู้ชมทั่วโลกจากบทบาทการแสดงมากมาย ซึ่งรวมถึงบทดาร์ตาญังใน YOUNG BLADES, บทหมอเคิร์ท ชมิดท์ใน BLACK HAWK DOWN, บทบัดดี้ใน EVENNING (ที่เขาได้พบกับภรรยาของเขา แคลร์ เดนส์), กาลาฮัดใน KING ARTHUR และบทอดัม ผู้ใจบุญใน ADAM ซึ่งก็แสดงให้เห็นถึงความสามารถอันโดดเด่นในการสับเปลี่ยนระหว่างการแสดงดราม่า คอมเมดี้ แอ็กชั่นและพีเรียดได้
ทันยา เว็กซ์เลอร์ค้นหามอร์ติเมอร์ของเธอมานานในตอนที่เธอเห็นแดนซีแสดงละครบรอดเวย์เรื่อง Journey’s End ซึ่งเป็นละครอังกฤษคลาสสิกโดยอาร์.ซี. เชอร์ริฟ “เขาแสดงบทบาทที่จริงจังมากๆ ไม่เหมือนกับบทมอร์ติเมอร์ แกรนวิลล์เลย แต่พอฉันได้เห็นเขา ฉันก็บอกว่า 'นั่นแหละเขา' ค่ะ” เธอเล่า “ฉันรู้เลยล่ะ”
ผู้อำนวยการสร้างกล่าวเห็นด้วย จูดี้ ไคโรกล่าว “ฮิวจ์เหมือนกับมอร์ติเมอร์ตรงที่ว่าเขาเป็นคนฉลาดและเป็นคนดีมากๆ ด้วย แต่เขาก็มีแง่มุมซุกซน และเป็นคนที่ตลกได้ด้วย ฉันคิดว่าเขาเป็นหนึ่งในนักแสดงหนุ่มที่ถูกมองข้ามมากที่สุดในปัจจุบัน และเขาก็เป็นคู่ต่อกรที่สมน้ำสมเนื้อกับแม็กกี้ในการปะทะคารมแบบยุค 40s ฉันคิดไม่ออกเลยว่าจะมีใครที่ดีกว่านี้ที่จะมารับบทมอร์ติเมอร์ได้รึเปล่า”
แดนซีเล่าว่าเขาแปลกใจเกือบจะทันทีหลังจากที่ได้เปิดบทภาพยนตร์อ่าน “ผมรู้เรื่องนี้น้อยมาก และปฏิกิริยาของผมแน่นอนคือเสียงหัวเราะ” เขาสารภาพ “แต่พอผมอ่านต่อไป ผมก็ชอบโทนที่ผสมผสานกัน มันมีฉากตลกโปกฮา มีความรักจริงๆ สอดแทรกอยู่ในนั้น และมันก็มีไอเดียที่วิเศษสุดและซีเรียสบางอย่างอยู่ด้วย ในขณะเดียวกัน ก็มีอะไรบางอย่างที่ค่อนข้างมีชีวิตชีวา ร่วมสมัยและสนุกสนานเกี่ยวกับมันครับ”
สำหรับแดนซี บทบาทนี้ไม่เพียงแต่เต็มไปด้วยคอมเมดี้เท่านั้นแต่ยังเต็มไปด้วยความเปลี่ยนแปลงที่น่าสนใจในมุมมองของมอร์ติเมอร์ด้วย เพราะเขาเริ่มต้นเรื่องเป็นหมอหัวก้าวหน้า ที่ค้านกับความเชื่อดั้งเดิมทางการแพทย์ที่ว่า การติดเชื้อเกิดจากสิ่งคลุมเครืออย่าง “อากาศไม่ดี” และ “อากาศปนเปื้อน” (ทฤษฎีเชื้อโรคยังคงเป็นความเชื่อที่อันตรายในยุควิคตอเรียน อิกนัซ ฟิลลิป เซมเมลไวส์ แพทย์ศตวรรษที่ 19 ถูกล้อเลียนจากความเชื่อของเขาที่ว่า แพทย์ควรจะล้างมือตัวเอง มากเสียจนเขาสติแตกและถูกส่งตัวไปรักษายังสถานบำบัดโรคจิต) แต่เมื่อเขาได้รับการหยิบยื่นข้อเสนอชีวิตที่สุขสบาย พร้อมกับการทำให้คนไข้ของเขามีความสุขสม...ใครจะอดใจไหวล่ะ แน่นอนว่าไม่ใช่มอร์ติเมอร์ อย่างน้อยที่สุดก็ในตอนแรก
แดนซีทึ่งที่ได้รู้ว่า แพทย์ยุควิคตอเรียนที่น่าเคารพได้รักษาผู้หญิงด้วยการนวดเฉพาะส่วนเป็นประจำ แต่เขาก็มองว่ามันเป็นเรื่องของความคิดอ่านที่แตกต่างออกไปนั่นเอง “ผมคิดว่าพวกเขาเชื่อจริงๆ ว่าพวกเขากำลังทำการรักษาอยู่จริงๆ” เขาให้ความเห็น “พวกเขาไม่โง่ และมันก็ไม่ใช่แค่ว่าพวกเขาไม่ได้มีความรู้แบบที่พวกเรามีอยู่ในปัจจุบันเกี่ยวกับเรื่องจิตวิทยา แต่มันเป็นเรื่องของจุดยืนทางศีลธรรมที่ทำให้มันสมเหตุสมผลสำหรับพวกเขา แต่แน่นอนว่าจากมุมมองทางคอมเมดี้ คงไม่มีอะไรที่น่าขันยิ่งไปกว่าสิ่งที่เกิดขึ้นจริงๆ ในเวลานั้นหรอกนะครับ!”
สำหรับสิ่งที่มอร์ติเมอร์คิดเกี่ยวกับคนไข้หญิงของเขา แดนซีกล่าวกลั้วหัวเราะว่า “พวกเธอทำให้เขาเหนื่อยครับ แต่การที่เขาไม่สามารถทำการรักษาประจำวันของเขาได้นำเขาไปสู่การคิดประดิษฐ์ที่น่าทึ่งนี้”
แดนซีมองมอร์ติเมอร์ว่าเป็นคนที่ต้องการจะนำมาซึ่งความเปลี่ยนแปลง แต่ก็ยอมจำนนต่อสิ่งที่ดูเหมือนเป็นชีวิตที่ดีเป็นการชั่วคราว “ผมคิดว่าลึกลงไปแล้ว มอร์ติเมอร์มองตัวเองว่าเป็นนักวิทยาศาสตร์หัวก้าวหน้า แต่เมื่อเขาได้รับการหยิบยื่นข้อเสนองานที่มั่นคง มันก็เป็นเรื่องแสนง่ายดายที่จะละทิ้งความทะเยอทะยานและความฝันของตัวเอง จนกระทั่งชาร์ล็อตต์บีบบังคับให้เขาระลึกถึงมันอีกครั้ง” เขาบอก
บางทีสิ่งที่ตลกที่สุดสำหรับแดนซีคือการกลับไปกลับมาระหว่างพี่น้องดัลริมเพิลที่แตกต่างกันอย่างสุดขั้ว “เขาคิดอะไรมากมายในหัวครับ” เขากล่าวพลางหัวเราะ “ในแง่หนึ่ง เอมิลีเป็นทุกสิ่งทุกอย่างที่เขาใฝ่ฝัน เธอน่ารัก เชื่อฟัง และทำทุกอย่างตามที่พ่อเธอขอ แม้ว่าเธอจะเล่นเปียโนไม่ได้เรื่องและเป็นนักวิจัยกะโหลกศีรษะก็ตาม ในทางกลับกัน ชาร์ล็อตต์ทำให้เขากลัวตั้งแต่แรก เธอเป็นภัยคุกคามทุกอย่างที่เขาคิดว่าเขาต้องการ และเป็นตัวยุ่งอยู่เสมอ แต่แน่นอนว่าเขากลับไม่อาจสลัดเธอออกจากความคิดเขาได้เลย”Maggie Gyllenhaal (แม็กกี้ จิลเลนฮาล) รับบท Charlotte Dalrymple ชาร์ล็อตต์ ดัลริมเพิล
สำหรับผู้รับบท ชาร์ล็อตต์ นางเอกผู้ไม่เป็นฮิสทีเรียอย่างแน่นอนของ HYSTERIA ทีมผู้สร้างได้เลือกนักแสดงหญิงผู้ดูเหมือนจะมีความเฉลียวฉลาดและมีชีวิตชีวาเทียบเท่ากับตัวละครที่มีสีสันจัดจ้านตัวนี้ได้ เธอคนนั้นคือแม็กกี้ จิลเลนฮาล ดาราขวัญใจคอหนังอินดีและผู้เพิ่งได้รับการเสนอชื่อชิงอคาเดมี อวอร์ดหมาดๆ จากบทซิงเกิลมัมผู้ตกหลุมรักดาราตกอับใน CRAZY HEART ประกบเจฟฟ์ บริดเจส
“สำหรับชาร์ล็อตต์ เราคิดถึงว่าใครที่พวกผู้หญิงอยากจะเห็นบนหน้าจอ และแม็กกี้ก็เป็นอันดับแรกของลิสต์นั้นค่ะ” เว็กซ์เลอร์ตั้งข้อสังเกต “โชคดีที่จูดี้ ไคโรเพิ่งร่วมงานกับเธอมาและสามารถส่งบทหนังเรื่องนี้ไปให้เธอได้ ซึ่งเธอก็ชอบมัน พอเธอรับบทนี้ มันก็เหมือนกับบทนี้ถูกเขียนขึ้นเพื่อเธอเลยค่ะ”
แม้ว่านี่จะเป็นบทที่แตกต่างออกไปอย่างมากสำหรับจิลเลนฮาล ไคโรก็รู้ว่าเธอสามารถตอบรับความท้าทายครั้งนี้ได้ “แม็กกี้คือชาร์ล็อตต์ค่ะ เธอแสบ มีพลังงานเหลือล้น ฉลาด มีความโอบอ้อมอารีและความมีชีวิตชีวา และเธอก็เป็นนักแสดงหญิงที่น่าทึ่งซะด้วย ฉันรู้ว่าด้วยความที่แม็กกี้เองก็เป็นผู้หญิงแกร่งอยู่แล้ว เธอก็สามารถสวมบทบาทของชาร์ล็อตต์ หญิงสาวยุควิคตอเรียนได้ทันที และเธอก็ทำได้อย่างยอดเยี่ยมด้วยค่ะ”
บทภาพยนตร์เรื่องนี้ทำให้จิลเลนฮาลต้องอึ้งในครั้งแรกที่อ่าน “มันไม่มีจุดอ่อนเลยและฉลาดมากๆ ค่ะ” เธอบอก “มันเป็น โรแมนติกคอมเมดี้ที่เต็มไปด้วยความรักและความเบาสมอง แต่มันก็ยังเป็นเรื่องเกี่ยวกับสิ่งสำคัญอย่างเรื่องทางเพศของผู้หญิงและการทำดีเพื่อคนอื่นด้วย หนังโรแมนติกคอมเมดี้ส่วนใหญ่ไม่ได้มีคุณสมบัติอื่นๆ เหล่านี้ ซึ่งก็คือสิ่งที่เป็นเสน่ห์ดึงดูดฉันอย่างแรง นอกจากนี้ ฉันยังชื่นชอบการที่ไฟของหนังเรื่องนี้ถูกจุดประกายขื้นมาจากผู้หญิง ชาร์ล็อตต์เป็นตัวละครยอดเยี่ยม เป็นผู้ใหญ่จริงๆ ที่ช่วยให้ผู้หญิงพวกนี้ได้เห็นถึงพลังที่พวกเธอมี และผู้ที่เชื่อว่าผู้หญิงคู่ควรที่จะมีชีวิตที่มีความสุขและสำคัญได้น่ะค่ะ”
สำหรับจิลเลนฮาล ชาร์ล็อตต์เป็นตัวแทนของฮีโรหญิงที่ไม่ค่อยปรากฏในภาพยนตร์บ่อยนัก “เธอสู้เพื่อหลายสิ่งหลายอย่างที่ฉันคิดว่าพวกเราในปัจจุบันมองข้ามคุณค่าของมันไป” เธอบอก “ฉันพบว่ามันน่าตื่นเต้นมากๆ ที่ได้เห็นว่าสิทธิที่พวกเรามีความสุขกับมันอยู่ถูกต่อสู้เพื่อให้ได้มันมาอย่างไร มันบอกอะไรบางอย่างกับเราเกี่ยวกับตัวตนของเราและที่มาของเรา คนอย่างชาร์ล็อตต์ไม่เคยเชื่อว่าฮิสทีเรียเป็นโรคร้ายเพราะเธอตระหนักดีว่าผู้หญิงมีเหตุผลที่จริงแท้มากมายที่จะซึมเศร้าหรือไร้สุข และในสายตาของเธอ นั่นเป็นสิ่งที่ควรจะถูกพูดถึงค่ะ”
ถ้าชาร์ล็อตต์เป็นแรงบันดาลใจให้กับเธอ เรื่องทางเพศต่างๆ ใน HYSTERIA ก็ทำให้เธอเขินอายจนหน้าแดง แต่จิลเลนฮาลก็กล่าวว่า นั่นคือประเด็นสำคัญ “ฉันรู้สึกเขินและตลกหน่อยๆ เวลาที่พูดถึงหนังเรื่องนี้” เธอสารภาพ “มันแสดงให้เห็นว่าเราเองยังไม่รู้วิธีที่จะพูดถึงเรื่องเพศของผู้หญิงอย่างเปิดเผย ฉันคิดว่าหนังเรื่องนี้จะทำให้คนพูดถึงเรื่องนี้มากขึ้นอีกหน่อยเพราะมันเป็นมุมมองที่สนุกและน่าขบขันเหลือเกินค่ะ”
จิลเลนฮาลทุ่มเทให้กับการรับบทชาร์ล็อตต์อย่างสมจริงในฐานะผู้หญิงอเมริกันยุคใหม่ให้มากที่สุด “ฉันฝึกกับโค้ชสอนสำเนียงคนเก่ง เพื่อฝึกสำเนียงของฉันและฉันก็พูดด้วยสำเนียงนั้นเกือบตลอดการถ่ายทำ” เธอตั้งข้อสังเกต “มันเป็นเรื่องสำคัญสำหรับฉันที่ชาร์ล็อตต์จะให้ความรู้สึกเหมือนคนจริงๆ ที่มีลมหายใจและมีเลือดเนื้อ ราวกับเธออยู่ที่นี่ในปี 2011 น่ะค่ะ”
ผู้ที่ช่วยเธอในเรื่องนั้นคือทันยา เว็กซ์เลอร์ “ทันยาเยี่ยมมากค่ะ” จิลเลนฮาลกล่าวสรุป “และเธอก็พบวิธีในการผลักดันให้ฉันรับบทเป็นผู้หญิงที่มีความคิดเป็นตัวของตัวเองคนนี้ด้วย!”Jonathan Pryce (โจนาธาน ไพรซ์) รับบท Dr. Dalrymple ดร.ดัลริมเพิล
ความไร้กฎระเบียบและความคิดเห็นของชาร์ล็อตต์อาจเป็นแรงบันดาลใจให้กับบางคน แต่มันเป็นเหมือนยาพิษสำหรับตัวตนของพ่อเธอ และเป็นรอยด่างพร้อยในธุรกิจที่กำลังเฟื่องฟูของเขาในฐานะหนึ่งในแพทย์ผู้รักษาผู้หญิงทีมีอาการฮิสทีเรีย ผู้โด่งดังที่สุดของลอนดอน ผู้ที่รับบทชายอนุรักษ์นิยม ผู้ที่ยืนอยู่แถวหน้าในการนวดคลึงส่วนลับของผู้หญิงก็คือหนึ่งในนักแสดงละครเวทีและจอเงินที่มากความสามารถที่สุดของอังกฤษ โจนาธาน ไพรซ์ เจ้าของสองรางวัลโทนี อวอร์ด ผู้ซึ่งผลงานล่าสุดของเขามีตั้งแต่ภาพยนตร์โดยเทอร์เรนซ์ มาลิคเรื่อง THE NEW WORLD ไปจนถึงบล็อกบัสเตอร์เรื่อง PIRATES OF THE CARRIBEAN
“โจนาธานเป็นนักแสดงอัจฉริยะค่ะ” เว็กซ์เลอร์บอก “สิ่งที่ฉันชื่นชอบเกี่ยวกับการที่เขามารับบทนี้คือเขามีจังหวะการแสดงตลกที่ไม่มีใครเทียบได้ แต่โดยเนื้อแท้แล้ว เขาก็ถ่ายทอดความจริงออกมาด้วยค่ะ”
ในตอนแรก ไพรซ์รู้สึกสงสัยเกี่ยวกับบทภาพยนตร์อยู่บ้าง แต่พอเขาได้อ่านมัน เขาก็เปลี่ยนใจ “พอผมหายช็อคจากไอเดียนี้แล้ว ผมก็พบว่ามันเป็นเรื่องราวที่เขียนขึ้นได้ดีทีเดียว ซึ่งเกี่ยวกับเรื่องเซ็กส์ของชายและหญิง ซึ่งจริงๆ แล้ว เป็นประเด็นที่มีความเป็นสากลสุดๆ เลยนะครับ” เขากล่าวกลั้วหัวเราะ
ภารกิจของเขาในฐานะดร.ดัลริมเพิลคือการแสดงราวกับว่าไม่มีอะไรน่าขันหรือแปลกประหลาดเกี่ยวกับวิธีการรักษาผู้หญิงของเขาเลย “เราไม่ได้ตั้งใจให้มันเป็นคอมเมดี้ เราแสดงมันอย่างตรงไปตรงมา เพราะตัวสถานการณ์เองก็น่าขบขันอยู่แล้วครับ” ไพรซ์อธิบาย “ในความคิดของดัลริมเพิล นี่เป็นวิธีการรักษาทางกาแพทย์ ซึ่งประสบความสำเร็จอย่างมากจนเขาดูแลธุรกิจตัวเองไม่หวาดไม่ไหวเลยล่ะครับ”
อย่างไรก็ดี แม้ว่าตัวละครของเขาอาจจะทำตัวอย่างธรรมดาและตีหน้าปกติ ตัวไพรซ์เองยอมรับว่าเขาเองสนุกกับบทนี้ “นักแสดงหญิงที่วิเศษสุดหลายคนเข้ามารับการรักษา และสิ่งที่ผมสนุกก็คือการได้เห็นว่าพวกเธอมีปฏิกิริยาแตกต่างกันอย่างไรน่ะครับ” เขารำพึงFelicity Jones (เฟลิซิตี้ โจนส์) รับบท Emily Dalrymple (เอมิลี ดัลริมเพิล)
ความสำเร็จในหน้าที่การงานของดร.ดัลริมเพิลยังเป็นประโยชน์ต่อเอมิลี ลูกสาวคนโปรดของเขา ผู้ตรงกันข้ามโดยสิ้นเชิงกับชาร์ล็อตต์ ผู้เอาแต่ใจและควบคุมไม่ได้ เอมิลีเป็นตัวแทนของความอ่อนโยนเชื่อฟังโดยแท้ ผู้ที่รับบทนี้คือเฟลิซิตี้ โจนส์ นักแสดงหญิงชาวอังกฤษ ผู้ที่ผลงานเรื่อง LIKE CRAZY ของเธอเป็นภาพยนตร์ฮิตม้ามืดในงานเทศกาลภาพยนตร์ซันแดนซ์ในปีนี้ โจนส์ ผู้เป็นที่รู้จักจากเรื่อง CHALET GIRL และพีเรียดดราม่าอย่าง NORTHANGER ABBEY และ CHERI เป็นหนึ่งในดาราดาวรุ่งในรุ่นของเธอ โจนส์กล่าวว่า HYSTERIA ไม่เหมือนกับภาพยนตร์เรื่องอื่นๆ “ความงดงามของบทหนังเรื่องนี้คือมันมีลักษณะเหมือนกับดราม่าคอสตูมทั่วๆ ไป แต่คุณก็จะตระหนักได้ว่า มีบางสิ่งที่แตกต่างออกไปเกิดขึ้นค่ะ” เธอกล่าวกลั้วหัวเราะ
โดยหัวใจแล้ว เอมิลีเป็นหญิงสาววิคตอเรียนนตามแบบฉบับ ผู้ทำตามหน้าที่ของตัวเองด้วยการยินดีตกลงกับสามีที่พ่อเธอเป็นผู้เลือก แทนที่จะคิดด้วยตัวเอง และโจนส์ก็แสดงบทนี้เช่นนั้น “พี่สาวเธอทั้งกล้าหาญและมั่นใจ ฉันคิดว่ามันทำให้เอมิลียิ่งระวังตัวและทำตัวตามแบบแผนมากยิ่งขึ้นเพื่อทำให้พ่อของเธอพอใจมากที่สุด” โจนส์ตั้งข้อสังเกต “เธอสร้างตัวเองให้กลายเป็นผู้หญิงที่มีความเป็นกุลสตรีมากที่สุดเท่าที่เธอจะจินตนาการได้ และในตอนแรก มอร์ติเมอร์ก็ค่อนข้างจะประทับใจกับภาพลักษณ์นั้นค่ะ”
แต่แล้ว โฉมหน้านั้นก็เริ่มปริแตกออกเมื่อมอร์ติเมอร์เริ่มมองเห็นว่าเขาคู่ควรกับชาร์ล็อตต์มากกว่า “สำหรับฉัน ฉันรู้สึกสนุกมากที่ได้เป็นส่วนหนึ่งของรักสามเส้านี้ค่ะ” โจนส์บอก “ส่วนหนึ่งของคอมเมดี้ในหนังเรื่องนี้เกิดจากการที่ผู้หญิงคู่นี้ต่างก็มีเสน่ห์ดึงดูดแง่มุมคนละด้านของเขาน่ะค่ะ”
สำหรับการเตรียมตัวรับบทนี้ โจนส์ได้อ่านขนบธรรมเนียมของศตวรรษที่ 19 โดยเฉพาะงานอดิเรกของเอมิลีในการทายนิสัยจากกะโหลกศีรษะ มันเป็นศาสตร์ที่เคยได้รับความนิยมเกี่ยวกับการ “อ่าน” นิสัยของคนจากรูปทรงกะโหลกศีรษะ แต่ไม่มีอะไรสามารถเตรียมโจนส์สำหรับทรงผมสุดอลังการของเอมิลี ที่เธอทำเพื่อสร้างความประทับใจในงานเลี้ยงเฉลิมฉลองการหมั้นระหว่างเธอกับมอร์ติเมอร์ได้”เราเรียกมันว่า 'หอคอยเหลือเชื่อ' ค่ะ” โจนส์กล่าวกลั้วหัวเราะ “มันเป็นทรงผมที่น่าทึ่งและโดดเด่นมากๆ แต่มันก็ไม่ได้จบสวยเลยสำหรับเอมิลี!”Rupert Everett (รูเพิร์ต เอฟเวอร์เร็ตต์) รับบท Edmundเอ็ดมันด์
ผู้ที่รับบทสำคัญใน HYSTERIA คือนักแสดงอีกคนหนึ่งที่โด่งดังจากบทย้อนยุคที่ซับซ้อนและเต็มไปด้วยอามณ์ขำขันประชดประชัน รูเพิร์ต เอฟเวอร์เร็ตต์ เอ็ดมันด์ (เอฟเวอร์เร็ตต์) เป็นชนชั้นสูงผู้เป็นเพื่อนรักของมอร์ติเมอร์ ผู้ที่แผนการที่จะสร้างที่ปัดฝุ่นไฟฟ้าถูกนำพาไปยังทิศทางที่ไม่คาดฝัน
เช่นเดียวกับคนอื่นๆ เอฟเวอร์เร็ตต์ไม่อาจต้านทานเสน่ห์ของคอนเซ็ปต์เบื้องหลัง HYSTERIA ได้เลย “คนที่คุณเล่าหนังเรื่องนี้ให้ฟังจะยิ้มในทันที มันมีกลิ่นไอแบบคอมเมดี้เอลลิงในยุค 30s หรือ 40s ครับ” เขาตั้งข้อสังเกตถึงสไตล์ความเป็นอังกฤษแท้ๆ ในคอมเมดี้หลังสงคราม ซึ่งขึ้นชื่อในการผสมผสานความสนุกแบบไร้ขอบเขตเข้ากับการเสียดสีประชดประชัน
ยิ่งไปกว่านั้น เอฟเวอร์เร็ตต์เองก็รู้สึกชื่นชอบยุคสมัยดังกล่าวด้วย “ฉากเรื่องนี้ ในยุคสมัยที่ผู้หญิงเพิ่งเริ่มเป็นตัวของตัวเองและอาณาจักรอังกฤษเริ่มจะยุติบทบาท ทำให้อารมณ์ขันนี้มีความลึกซึ้งยิ่งขึ้นไปอีกครับ”
สำหรับตัวละครของเขา เอฟเวอร์เร็ตต์พูดถึงเขาว่าเป็น “นักประดิษฐ์สุภาพบุรุษตามแบบฉบับ ผู้ใช้ชีวิตเยี่ยงอภิสิทธิชน และมีอิสระที่จะมีความคิดก้าวหน้า” เขากล่าวต่ออีกว่า “ในหลายๆ แง่มุม เขาและมอร์ติเมอร์เป็นเหมือนพี่น้องกัน และพวกเขาก็เป็นเพื่อนรักกันไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นครับ”Ashley Jensen (แอชลีย์ เจนเซน) รับบท Fanny (แฟนนี) และแนะนำ
Sheridan Smith (เชอริแดน สมิธ) ในบท Molly the Lolly (มอลลี เดอะ โลลลี)
ผู้ที่มารับบทตัวละครหลักที่เหลือคือผู้หญิงสองคนจากชนชั้นแรงงานในลอนดอน แฟนนี ผู้พักอาศัยในบ้านเช่า คนสนิทของชาร์ล็อตต์ ที่รับบทโดยแอชลีย์ เจนเซน (UGLY BETTY และซีรีส์เอชบีโอ EXTRAS) และอดีตโสเภณี “มอลลี เดอะ โลลลี”ที่รับบทโดยนักแสดงคอมเมดี้ชาวอังกฤษเจ้าของรางวัลโอลิเวียร์ อวอร์ด เชอริแดน สมิธ ผู้เปิดตัวในโลกภาพยนตร์หลังจากที่ประสบความสำเร็จจากการแสดงละครเวทีเรื่อง Legally Blonde, The Musical
เจนเซนพูดถึงแฟนนีว่าเป็น “ผู้หญิงที่ไม่มีอะไรซักอย่าง เว้นแต่สามีขี้เหล้า ที่ทุบตีเธอ! เธอตรงข้ามกับผู้หญิงทุกคนที่มาเข้ารับการรักษากับมอร์ติเมอร์ค่ะ” ในความเป็นจริงแล้ว แฟนนีได้ช่วยชาร์ล็อตต์ในการทำให้มอร์ติเมอร์มองเห็นว่า ในขณะที่หญิงสาวร่ำรวยได้รับการนวดเฟ้นสำหรับอาการผิดปกติที่ลึกลับนี้ หญิงสาวชนชั้นแรงงานกลับต้องการการรักษาทางการแพทย์จริงๆ
นอกจากนี้ เจนเซนยังได้พัวพันกับประวัติศาสตร์อื่นๆ ของเรื่องราวด้วย “สิ่งที่ฉันคิดว่าเยี่ยมมากเกี่ยวกับหนังเรื่องนี้คือมันเป็นเรื่องเกี่ยวกับประเด็นที่ซีเรียสบางอย่าง นอกเหนือจากไวเบรเตอร์ ซึ่งอาจเป็นประเด็นที่ซีเรียสด้วยตัวของมันเองก็ได้! แต่มันยังเป็นเรื่องเกี่ยวกับผู้หญิงที่สละตัวเองเพื่อที่เราจะได้มีสิทธิพลเมืองเทียบเท่ากับผู้ชายน่ะค่ะ” เธอกล่าว “และฉันก็ชอบที่ว่าผู้หญิงหลายคนได้มีตำแหน่งใหญ่โตในหนังเรื่องนี้ มันวิเศษมากที่มีหนังเกี่ยวกับเรื่องทางเพศของผู้หญิงและสิทธิของผู้หญิง ที่สร้างโดยผู้หญิงน่ะค่ะ”
และสำหรับสมิธ เธอกล่าวว่า เธอสนุกมากกับบทเปิดตัวในการเป็น “หนูทดลอง” ที่เข้ารับการทดสอบไวเบรเตอร์รุ่นแรกๆ “มันสนุกสุดๆ เลยค่ะ” เธอให้ความเห็น “มันเป็นหนังเรื่องแรกของฉัน ฉันก็เลยทึ่งมากที่ได้ร่วมงานกับนักแสดงชั้นนำกลุ่มนี้ เราต่างก็สวมคอสตูมและ วิกของเรา แล้วเราก็เปลี่ยนกลายเป็นอีกคนเลยล่ะค่ะ!”
แม้ว่าสมิธจะตื่นเต้นกับตัวละครตัวนี้ เธอก็กล่าวว่า ตัวละครที่สร้างแรงบันดาลใจให้กับเธอคือชาร์ล็อตต์ “ฉันคิดว่าเราทุกคนต่างก็ตกหลุมรักเธอค่ะ” เธอสรุป “ลักษณะที่แม็กกี้เล่นเป็นเธอ เธอเป็นนักสู้เหลือเกินและเธอก็ทำให้คุณนึกถึงว่าการเป็นผู้หญิงที่ซื่อสัตย์กับตัวเอง ไม่ว่าคุณจะอายุเท่าไหร่เป็นอย่างไรน่ะค่ะ”