บทสัมภาษณ์ “ซันนี่ จาก ชัมบาลา”
“ผมว่ามันเริ่มมาจากความรัก ความอยากให้เขา อยากทำอะไรให้คนๆ หนึ่งที่เรารัก สิ่งสำคัญคือการที่เราได้ทำอะไรเพื่อใครสักคน มันย่อมเป็นความรู้สึกที่ดีอยู่แล้ว” และนี่คือจุดเริ่มต้นของการเดินทางสู่ “ชัมบาลา” ของ “วุฒิ” ตัวละครที่เราจะได้เห็นการพลิกบทบาทโดยสิ้นเชิงของ “ซันนี่- สุวรรณเมธานนท์” บนดินแดนหลังคาโลกใน “ชัมบาลา”
Q. เกิดอะไรขึ้นกับ ซันนี่ ทำไมถึงปล่อยให้แฟนๆ รอนานขนาดนี้ หรือที่บอกว่าซันนี่จะเลิกเล่นหนังเล่นละครแล้วจริงรึเปล่า ที่ผ่านมาหายไปไหนไปทำอะไรอยู่
S. คือจริงๆ เวลาเรารับหนัง เราจะแบบอ่านบทมาหลายเรื่องแล้ว และถ้าเราเจอเรื่องที่อยากเล่นที่ชอบจริงๆ เราก็จะอยากทำ มันจะมีไฟขึ้นมา เราอยากรู้สึกแบบนั้น ซึ่งก่อนหน้านี้ที่ไม่ได้เล่นสายลับผมก็ไปเล่นซิทคอมอยู่ครับ ก็เป็นระยะเวลาช่วงนั้นครับ คือไม่ได้หายไปไหน คือผมออกมาก็เพื่อไปเล่นหนัง ถ้าถามว่าคิดถึงไหมกับหนัง คิดถึงนะ มันก็แบบสนุกนะที่ได้ทำ ได้เป็นตัวละคร แล้วพอมานั่งดูหนังเทียบกับละครแล้วพลังมันต่างกันครับ พอได้ขึ้นชื่อว่าหนังแล้ว มันมีพลังของทุกสิ่งทุกอย่าง เรื่องของการแสดงออก ไม่ว่าจะเป็นเราจะส่งสายตาหรือว่าอะไร มันเป็นพลัง ผมรู้สึกตื่นเต้นทุกครั้งเวลาเจอบทดีๆ โอ้โหตื่นเต้นมาก จะรู้สึก ยิ่งเรื่องนี้ครับ ยิ่งใหญ่ว่าแบบน่าเล่น
Q. โดยส่วนตัวแล้วชอบตัวละครหรือบทแบบไหนเป็นพิเศษหรือเปล่า
S. จริงๆ แล้ว เวลาดูหนังอะไร ผมจะชอบเวลาดูตัวละครที่มันมีปมอยู่ในใจ มีความหลังอะไรสักอย่างอยู่ในใจ ที่มันต้องค้นหา คือผมชอบเรื่องความสัมพันธ์ของคน มนุษย์เรา แค่เนี้ยะ แค่เรื่องการพูดคุยกัน มันก็มีความรู้สึกอะไรหลากหลายแล้ว และหนังเรื่องชัมบาลานี้มันไม่มีในบ้านเรา สไตล์แบบนี้ ก็เลยอ่านแล้วแบบ อยากทำอะไรที่มันไม่ค่อยมี นานๆจะเล่นที อยากทำ
Q. เป็นไงมาไงถึงได้เข้ามามีส่วนร่วมในโปรเจ็คต์ภาพยนตร์เรื่อง “ชัมบาลา”
S. กับพี่ปี๊ด (ปัญจพงศ์ คงคาน้อย) ผู้กำกับเรารู้จักมานานมากแล้วสิบกว่าปี เจอแรกๆ ก็นั่งคุยกัน เสร็จปุ๊บเขาก็มีความฝันอยากทำภาพยนตร์ เขาอยากเป็นผู้กำกับหนัง ผมก็รู้มาตั้งแต่ตอนนั้นนะครับ ก็คุยอะไรๆ กับเขาสักพัก อยู่ดีๆ เขาก็พูดขึ้นมาว่าถ้าเขาทำหนังนะ จะให้ผมเป็นพระเอก ผมก็ฮา สมัยนั้นอายุเท่าไรยี่สิบ ฮา ผมก็ขำเขา ไม่รู้ และผมไม่รู้เรื่องอะไรเกี่ยวกับการแสดงด้วยซ้ำ สมัยนั้น ก่อนที่จะเล่นหนังเรื่องแรกด้วย ถ้าเกิดมีโปรเจ็คต์หรือเรื่องคิดอะไรในหัว เขาจะพูดหรือส่งมาให้เราตลอดเวลา มันเป็นความฝันของเขา มีบางครั้งที่แบบเอาไปเสนอที่อื่นแล้วเขาไม่ได้เห็นแนวทางของเขาอะไรแบบนี้ และพอเขามาที่นี่ (สหมงคลฟิล์ม) แล้วเหมือนเขาเข้าใจคนทำหนัง แล้วก็เสนอแนวทางให้เขาให้ผ่าน แล้วเขาก็ส่งบทร่างมาให้ผมดูเรื่อยๆ แรกๆ ก็จากไม่เป็นรูปเป็นร่างเลยครับ จนรู้สึกว่าดีขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งก่อนมาถึงชัมบาลาตัวพี่ปี๊ดผกก. เขามีหลายเรื่องมากอยู่ดีๆ ก็ล้มหายไปเลย อ้าวแล้วไอ้นั่นพี่เขียนไว้ไปไหนแล้วล่ะ ผมก็ไม่รู้ว่าขายกินไปแล้วหรือยังไง (หัวเราะ) ผมไม่ทราบเหมือนกันครับ
Q. ทำไมตัดสินใจรับบทนี้
S. เวลาที่คนมาเสนออะไรให้เราครับ ผมรู้สึกภูมิใจตลอดเวลาว่าคนเชื่อว่าเราทำสิ่งๆ หนึ่งหรืออะไรได้หรือเขาชอบการแสดงของเรา และในเรื่องบทผมมีความคิดแบบนี้บทหรือการแสดงของแต่ละอย่างมันไม่มี reference อะไรหรอกครับ ไม่มีว่าตัวละครตัวนี้ต้องเป็นอย่างนี้ เพราะว่ามันเป็นตัวละครที่แต่งขึ้นมาใหม่เราก็ไม่สามารถที่จะต้องไปดูใครหรือทำตามแบบเขาได้เลย มันเป็นการที่เรารู้สึกว่าเราเห็นจากบทนี้ เราอ่านตั้งแต่ต้นจนจบ เราจะคิดว่าเขาเป็นคนแบบไหน เขาเป็นคนยังไง เราอยากให้เขาเป็นไง เราจะคิดดีไซน์ว่าให้เขาเป็นคนแบบไหนได้บ้าง เราสร้างขึ้นมาครับ และนี้คือที่สุดของพาร์ทการแสดงที่ผมชอบมากที่สุดครับ คือเวลาคิดอยากให้คนๆ นี้เป็นไง อยากให้เขาทำอะไรได้บ้าง
Q. ในความคิดของเราแล้ว ในภาพรวมทั้งหมดของโปรเจ็คต์นี้อะไรที่ทำให้เรารู้สึกว่า ชัมบาลา โดดเด่น มีความแตกต่างหรือน่าสนใจกว่าโปรเจ็คต์อื่นๆ ที่มีคนมาเสนอเรา
S. มันคือการไปถ่ายทำที่ทิเบตนะครับ เป็นเรื่องของคนที่ได้ไปอยู่ในสถานที่แปลกๆ ในที่ต่างๆ แล้วเจอกับเหตุการณ์หรืออะไรบางอย่าง ผมรู้สึกว่าดี และยิ่งภาพหนังไทยที่ไปถ่ายทำในที่แปลกๆ คนก็จะไม่ค่อยได้เห็น ผมรู้สึกว่าเออเป็นภาพที่สวยงามดี ที่สำคัญบทหนังเรื่องนี้กระตุ้นเราในเรื่องของนักแสดงด้วยครับ บทที่ดูมีอะไรและมีเจตนาที่ดี มีสิ่งอะไรที่ดี คือเขาจะเลือกเล่าเรื่องแบบว่าไม่ว่าจะเป็นอะไร ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหน แต่ความรู้สึกจริงๆ แล้วอยู่ที่ใจมากกว่า เป็นการเล่าเรื่องในความสัมพันธ์ของมนุษย์ทั่วไปครับ ผมเชื่อว่าความรู้สึกสำคัญกว่าเรื่องอื่นๆ เยอะ สำคัญที่สุดคือเรื่องมันที่เราชอบ แล้วมาดูที่ตัวละครอีกที ซึ่งจริงๆ เป็นการคุยกันเหมือนกันว่าผู้กำกับอยากได้อะไรก่อน และเราจะคิดอะไรได้บ้าง อยากให้มันเป็นแบบไหนได้บ้างและก็มาคุยกันมาแชร์กัน เพราะผมว่าหน้าที่ของนักแสดงมันไม่ใช่แค่เดินมาแล้วมาเข้ากล้องแล้วก็เล่น แอ็คชั่น และก็เล่นไป มันคืออย่างนี้ครับ มันคือความคิดทั้งหมด เพราะว่าที่ผมเล่นมาทั้งหมดมันจะเป็นผู้กำกับจะคอยตามเราในทุกเรื่องครับ คือเคยมีผู้กำกับคนหนึ่งเคยพูดกับผม คือผมไปเถียงอะไรเขาสักอย่างและเขาบอกว่า เขาก็ไม่ได้ว่าอะไรและเขาก็เดินไป และผมก็เลยบอกว่าตกลงซีนนี้ยังไง เขาก็บอกว่าคุณคือเป็นนักแสดงคนนั้นผมเป็นผู้กำกับผมต้องเชื่อคุณสิ เขาพูดแบบนี้ ผมรู้สึกว่ามีพลังมากในแง่ของการแสดงครับทุกสิ่งทุกอย่าง จริงๆ บทมันเขียนมาก็เป็นกระดาษนะครับ แต่ว่าสิ่งที่เราพัฒนามัน ตัวละครมันต้องพัฒนาจากตัวละครเองทุกเรื่องอยู่แล้ว และต้องมาคุยอีกทีหนึ่งว่าผู้กำกับอยากได้แบบไหน หรือว่าผู้กำกับเฮ้ยอย่างนี้ไม่เอา อย่างนี้ไม่ใช่แนวทางของผม ก็เป็นการคุยกันครับ แต่ในเรื่องคาแรคเตอร์ การพัฒนาตัวละครคือหน้าที่ของนักแสดง เพราะฉะนั้นจริงๆ เวลาที่มีคนมาถามผมเรื่องคาแรคเตอร์ผมจะไม่รู้เลยนะครับ เพราะผมจะคิดว่ามันคือบุคคลคนธรรมดาคนหนึ่งครับที่มีความคิดแบบนี้ ทำไมถึงตัดสินใจทำแบบนี้ลงไป เพราะอะไร มันต้องคิดจากเห็นผลก่อนครับ เราเห็นจากกระดาษ ทำไมคนนี้ถึงตัดสินใจทำแบบนี้ เราต้องคิดว่าเหตุผลที่เขาเป็นแบบนี้เป็นเพราะอะไร เราก็จะคิดย้อนกลับไป ผมก็เลยไม่มานั่งคิดว่า คาแรคเตอร์จะต้องแบบเซอร์ ดุดัน หรือว่ายังไง หรือว่าจิตใจอ่อนไหว หรือว่ายังไงจะไม่เคยคิดเลยพวกนี้ มันจะแบบกลับเข้ามาเพื่อให้เราสร้าง เพราะมันจะไม่มีอะไรกำหนด เพราะมันคือมนุษย์ธรรมดาที่เรามีหลายอย่างไม่ได้มีคาแร็คเตอร์เดียว นั้นนะครับมันคือความเป็นมนุษย์ครับ มนุษย์ที่สุด
Q. ถ้างั้นคงต้องเล่าให้ฟังแล้วละว่าในภาพยนตร์เรื่องชัมบาลา รับบทเป็นใครและมีคาแรคเตอร์เป็นอย่างไร
S.ครับ ในภาพยนตร์เรื่องชัมบาลา รับบทเป็น วุฒิ ในแง่ของตัวละครวุฒิจะเป็นคนที่จริงจังเรื่องความรักครับ สิ่งที่ทำอะไรลงไปทุกอย่างคือจะอยู่ในกรอบ คือเขาจะเป็นคนที่ไม่ทำอะไรที่มันประมาทกับชีวิต ทำอะไรก็ต้องถูกต้องๆๆ แต่วุฒิไม่ใช่แบบตรงจนเกินไปนะครับ คือทำชีวิตตัวเองไม่ให้แบบเละเทะ ไม่โลดโผดมากกว่า และก็รักจริง
Q. เสน่ห์ของคาแรคเตอร์ตัวละครตัวนี้
S. เสน่ห์ของผู้ชายแบบวุฒิก็จะมีความมั่นคงในตัวเองดูเหมือนว่าจะไม่ยอมออกจากกรอบ ชีวิตไม่โลดโผนไม่ทำอะไรที่เสี่ยง แต่ว่าเขาก็มีทางเลือกของเขา คือเขาก็มีทางที่ยึดมั่น ไม่ใช่ว่าไม่รู้จะไปทางไหนหรือว่าหลงทาง แต่มีความมุ่งมั่น มีเป้าหมายในสิ่งที่ตัวเองจะทำ จะตัดสินใจแล้วเชื่ออย่างนั้น วุฒิก็จะมีความรักกับผู้หญิงชื่อน้ำ ซึ่งเล่นโดยน้องฝน (นลินทิพย์) ทุกสิ่งทุกอย่างในชีวิตวุฒิตั้งแต่เปิดเรื่องมาจะอยู่กับน้ำตลอด คือทั้งคู่จะเปิดร้านกาแฟด้วยกัน จริงๆ ในช่วงแรกของชีวิตดูเหมือนว่าวุฒิเองก็หลงทางอะไรบางอย่างอยู่ จนพอมาเจอผู้หญิงคนหนึ่งซึ่งก็คือน้ำก็ทำให้เขามีเป้าหมายในชีวิตว่าจะอยู่ไปเพื่ออะไร ก็คือทำเพื่อคนที่เขารู้สึกดีด้วย ส่วนพาร์ทชีวิตทางครอบครัวของเขาก็จะค่อนข้างห่างๆ กัน ซึ่งการที่เขาได้เดินทางไปทิเบตเพราะว่าน้ำในเรื่องนี้เขาป่วย ตอนแรกเขากับน้ำต้องไปด้วยกัน แต่วุฒิไม่ได้ไปเพราะติดธุระหลายๆ อย่าง จนตอนนี้น้ำเขาป่วยไปไม่ได้แล้ว ก็จะเหลือเขาที่เขาจะต้องไปทิเบตเอง ไปคนเดียวแล้วมันเป็นภาระกิจและเป้าหมายที่เขายังทำไม่สำเร็จเลยก็ต้องไป อาจจะด้วยความรู้สึกผิดด้วยที่ครั้งที่แล้วไปไม่ได้และก็ตั้งใจทำเพื่อน้ำด้วย คือต้องบอกว่าทั้งวุฒิและน้ำเองก็เหมือนใช้ชีวิตแบบอิสระๆ ชอบท่องเที่ยว ทำโน้นนี้ แล้วก็จะหาเวลาเพื่อไปต่างประเทศด้วยกันตลอด ไปในที่ต่างๆ ไปถ่ายรูปด้วยกัน อยู่ด้วยกัน นี้คือเป้าหมายที่เขามีความสุขด้วยกันในเรื่องแบบนี้ครับ แต่ก็จะมีที่เดียวที่เขาไม่ได้ไปด้วยกันก็คือทิเบต
Q. ในเรื่องชัมบาลาต้องแสดงร่วมกับอนันดาด้วย
S. ในเรื่องวุฒิจะมีพี่ชายที่ชื่อ ทิน รับบทโดยอนันดา ที่จริงอนันดาอายุน้อยกว่าผมนะ แต่หน้าไปไง (หัวเราะ) ตัวใหญ่ก็ดูเหมือนเขาดูเป็นพี่อะไรแบบนี้ ผมจะมีความรู้สึกว่ามันจะมีบางบ้านที่แบบพี่ชายจริงๆ ก็รักกันแหละ เพียงแต่มันไม่ค่อยได้คุยอะไรกัน เจอกันบ้างนานๆ ทีเจอกันก็ไม่รู้ว่าจะคุยอะไรกัน เป็นสไตล์ห่างเหิน จริงๆ มันคือความผูกพันที่ตัดกันไม่ขาด เพราะแต่ละคนก็อยู่โน้นอยู่นี้ ซึ่งผมว่านี้มันก็น่าจะลิงค์กับทุกๆ ครอบครัวที่มีพี่น้อง คนเราจะพูดจาแบบนี้ครับพี่น้อง ความแตกต่างของพี่น้องสองคนนี้คือวุฒิพยายามจะมีเป้าหมายมีความรับผิดชอบทุกสิ่งทุกอย่างสำหรับครอบครัวกับตัวเองกับอะไร แต่ว่าพี่ชายมันจะแบบไม่รับผิดชอบ เหมือนเวลาทำอะไรเหมือนใช้ชีวิตบนความเสี่ยงครับ คือสิ่งที่เขาทำจะล้มจะพลาดจะอะไรหรือจะมีปัญหาเหมือนเขาไม่กำหนดไว้ก่อน ก็แล้วแต่ดวงแต่อะไรเอา ซึ่งมันจะแตกต่างกัน เรามีความคิดที่ไม่เหมือนกัน ผู้กำกับเขาจะไม่อยากให้คนดูร้สึกติดภาพเดิมๆ อะไร ก็จะเห็นว่าอนันดาเล่นเศร้าโศก พ่อแม่มีปัญหาหรืออะไรตลอดเวลา หน้าเศร้าไฝอยู่งี้ (ซันนี่อำชี้ไฝใต้ตาที่เป็นเอกลักษณ์ของอนันดา) คือตลอดเวลา เพราะไฝเปล่าที่ทำให้ดูแบบต้องเศร้า คือจะเห็นเขาในบทบาทแบบนี้ตลอดเวลา แบบซีเรียส แบบเขาไม่ค่อยพูดจากับใคร ไม่ค่อยหัวเราะ หัวเราะก็น้อยๆ เหอะๆ ซึ่งสำหรับผมที่ผ่านมาคนดูก็จะเห็นในแง่ของการไม่ซีเรียสจะเป็นการที่แบบสบายๆ มากกว่า แต่ทีนี่คือผู้กำกับเขาไม่อยากให้คนติดภาพอะไรพวกนี้ อยากเห็นอนันดาหัวเราะพูดจากวนคนตลอดเรื่อง เล่นต๊องเอาฮาตลอดเรื่อง ซึ่งผมจะเป็นซีเรียส
สำหรับพี่ชายของผมคนนี้นะครับ อนันดา เอเวอริงแฮม ก็รู้สึกดีครับที่ได้มาร่วมงานด้วย ก่อนหน้านี้ก็มีโอกาสได้ดูหนังเขาครับ หนังที่คนบอกว่าซีเรียส น้ำตาๆ ดราม่าๆ อะไรของเขา (หัวเราะ) ก็นั่งดู เออนักแสดงคนนี้มีความดี และมีพลังในการแสดงออกและในการเล่น แล้วเวลาพอได้มาพูดคุยกัน เขามีเจตนาที่ดีและเขาเป็นคนดี ดูเป็นคนนิสัยดีมากเลย แต่อาจนิสัยไม่ดีก็ได้นะ (หัวเราะ) แต่ดูเป็นอย่างนั้น ในความรู้สึกของผมเอาจริงๆ ก็ไปอยู่ที่นู้น อนันดาเอะอะจะถอดเสื้อโชว์กล้ามอะไรไม่รู้ตลอดเวลา (หัวเราะ) เดินมาสะกิดผู้กำกับ พี่เอางี้ไหมเดี๋ยวผมถอดเสื้อนะและวิ่งไกลๆ แล้วพี่ถ่าย สักพักมาอีกวันล่ะ พี่เอางี้ไหม พี่เห็นเขาลูกนั้นป่ะ เดี๋ยวผมถอดเสื้อนะและวิ่ง คือเหมือนเป็นตัวละครในการ์ตูน พี่อยากจะถอดเสื้อไรตลอดเวลาวะ เข้าในป่า เฮ้ยหนาวๆ อยากถอดทำไม ได้รู้ว่าอย่างนี้นี่แหละคืออนันดา (หัวเราะ)