happy on April 22, 2012, 05:55:19 PM

จัดจำหน่ายโดย                     เอ็ม พิคเจอร์ส  

ภาพยนตร์เรื่อง                       BEING FLYNN

ชื่อภาษาไทย                        “อย่าให้ฝันหวานบินหนี”              

ภาพยนตร์แนว                         คอมเมดี้-ดราม่า              

จากประเทศ                           สหรัฐอเมริกา

กำหนดฉาย                           3 พฤษภาคม 2555

ณ โรงภาพยนตร์                      ในโรงภาพยนตร์

ผู้กำกับ                                 Paul Weitz (พอล ไวซ์)

นักแสดง                               Robert De Niro (โรเบิร์ต เดอ นีโร) จากภาพยนตร์ Red Lights, New Year’s Eve, Killer Elite, Limitless

Paul Dano (พอล ดาโน) จากภาพยนตร์ For Ellen, Cowboys & Aliens, Meek’s Cutoff, Knight and Day

Olivia Thirlby (โอลิเวีย เธิร์ลบี้) จากภาพยนตร์ Nobody Walks, Gook Vibes, The Darkest Hour, Margaret No Strings Attached

Julianne Moore (จูลีแอนน์ มัวร์) จากภาพยนตร์ Crazy,Stupid,Love, Elektra Luxx, The Kids Are All Right

Lili Taylor (ลิลลี เทย์เลอร์) จากภาพยนตร์ Cherry, The Pier, The Courier

จุดเด่น              Being Flynn เป็นภาพยนตร์ดราม่าเรื่องใหม่จาก Paul Weitz (พอล ไวซ์) มือเขียนบทและผู้กำกับ ผู้ได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลอคาเดมี อวอร์ด ซึ่งภาพยนตร์เรื่องนี้ได้ดัดแปลงมาจากอนุทินปี 2004 ของ          นิค ฟลินน์ในชื่อ Another Bulls—t Night in Suck City Being Flynn เป็นเรื่องราวที่ถูกบอกเล่าอย่างปลุกเร้าความรู้สึกและความตลกขบขัน

เรื่องย่อ

               Being Flynn เป็นภาพยนตร์ดราม่าเรื่องใหม่จากพอล ไวซ์ (About a Boy) มือเขียนบท/ผู้กำกับ ผู้ได้รับการเสนอชื่อชิงอคาเดมี อวอร์ด ภาพยนตร์เรื่องนี้ ที่ดัดแปลงจากอนุทินปี 2004 ของนิค ฟลินน์ในชื่อ Another Bulls—t Night in Suck City ได้สำรวจสายสัมพันธ์ที่ทั้งเปราะบางและตัดไม่ขาดระหว่างพ่อและลูก

              นิค ฟลินน์ (รับบทโดยพอล ดาโนจาก Little Miss Sunshine และ There Will Be Blood) เป็นนักเขียนหนุ่มที่ต้องการจะค้นหาตัวเอง เขาคิดถึงโจดี้ แม่ที่ล่วงลับไปแล้วของเขา (จูลีแอนน์ มัวร์ ผู้ได้รับการเสนอชื่อชิงสี่รางวัลอคาเดมี อวอร์ด) และนิสัยที่อ่อนโยนของเธอ แต่พ่อของเขา โจนาธาน ไม่ได้อยู่ในความทรงจำของเขาด้วยซ้ำ เพราะนิคไม่เห็นหน้าเขามา 18 ปีแล้ว

              โจนาธาน ฟลินน์ (โรเบิร์ต เดอ นีโร เจ้าของสองรางวัลอคาเดมี อวอร์ด) ถือว่าตัวเองเป็นนักเขียนดัง “ปรมาจารย์ในการเล่าเรื่อง” มานานแล้ว หลังจากทิ้งภรรยาและลูกชายไว้เบื้องหลัง โจนาธานได้ใช้ชีวิตในแบบของตัวเองและเขาก็ลงเอยด้วยการถูกจำคุกข้อหาขึ้นเช็คปลอม หลังจากออกจากคุก เขาก็ขับรถแท็กซี่อยู่หลายปี แต่อาการติดเหล้าและนิสัยพิลึกพิลั่นของเขายิ่งทวีความรุนแรงมากขึ้น ทำให้เขาต้องตกงาน แม้ว่าเขาจะเขียนจดหมายที่น่าประทับใจไปให้ลูกชายเขาเป็นครั้งคราว แต่เขาก็ไม่เคยเข้ามาในชีวิตของนิคเลย

              เมื่อต้องเผชิญหน้ากับการถูกขับไล่ออกจากอพาร์ทเมนต์ โจนาธานก็ได้ติดต่อกับนิคอย่างกระทันหัน และทั้งคู่ก็ได้พบกัน ผู้เป็นพ่อพูดจาคล่องแคล่ว น่ายำเกรง ส่วนนิค ที่รู้สึกงุนงง ก็ต้องเตรียมพร้อมกับการต้อนรับพ่อของเขากลับสู่ชีวิตเขา แต่ด้วยความรวดเร็วพอๆ กับที่เขาปรากฏตัวขึ้น โจนาธานก็ได้หายตัวไปอีกครั้ง

              นิคใช้ชีวิตต่อไป และเขาก็ได้งานทำที่สถานพักพิงคนเร่ร่อน ที่ซึ่งเขาได้รู้จากสารวัตร (เวส สตูดี้) และจอย (ลิลลี เทย์เลอร์) ว่าจะรับมือกับแขกผู้มาเยือนคืนแล้วคืนเล่าได้อย่างไร หลังจากที่ได้เห็นคนเร่ร่อนเหล่านี้ ที่บางคนก็เป็นคนเร่ร่อนถาวร บางคนก็ชั่วคราว และได้ยินเรื่องราวของพวกเขา นิคก็ค้นพบเป้าหมายในชีวิตและการทำงานของเขา นอกจากนี้ เขายังได้สานสายสัมพันธ์รักกับเพื่อนร่วมงานของเขา เดนิส (โอลิเวีย เธิร์ลบี้) อีกด้วย และแล้วคืนหนึ่ง โจนาธานก็เข้ามาเพื่อขอที่นอน และความรู้สึกมั่นใจและความเมตตาของนิคเองก็สั่นคลอน ในการให้พวกเขามีโอกาสสำหรับอนาคตที่แท้จริง นิคจะต้องตัดสินใจว่าใครจะต้องเป็นฝ่ายไถ่บาปก่อน

              Being Flynn ที่ถูกบอกเล่าอย่างปลุกเร้าความรู้สึก ตลกขบขันและประทับใจในการถ่ายทอดเรื่องราวสายสัมพันธ์ ได้บอกเล่าเรื่องราวที่เผยถึงความจริงที่เป็นสากล

              โฟกัส ฟีเจอร์ส ภูมิใจเสนอ ผลงานสร้างโดยเด็พธ์ ออฟ ฟิลด์/คอร์ดูรอย ฟิล์มส์/ไทรเบก้า ภาพยนตร์โดยพอล ไวซ์ นำแสดงโดยโรเบิร์ต เดอ นีโร, พอล ดาโน, โอลิเวีย เธิร์ลบี้, ลิลลี เทย์เลอร์, เวส สตูดี้และจูลีแอนน์ มัวร์ คัดเลือกนักแสดงโดยโจเซฟ มิดเดิลตัน, ซีเอสเอ ผู้ออกแบบงานสร้างคือออดี้ บรอนสัน-โฮเวิร์ด ควบคุมดนตรีโดยลินดา โคเฮน ดนตรีโดยแบดลี ดรอว์น บอย ลำดับภาพโดยโจน โซเบล, เอซีอี ออกแบบงานสร้างโดยซาราห์ โนว์เลส ผู้กำกับภาพคือดีแคลน ควินน์, เอเอสซี ควบคุมงานสร้างโดยเจน โรเซนธัล, เมแกน ลีเวอร์ส, เคอร์รี โคฮันสกี้, แครอลิน บารอน, นิค ฟลินน์ อำนวยการสร้างโดยพอล ไวซ์, แอนดรูว์ มิอาโน, ไมเคิล คอสติแกน สร้างขึ้นจากอนุทินเรื่อง Another Bulls—t Night in Suck City โดยนิค ฟลินน์ ดัดแปลงเป็นบทภาพยนตร์และกำกับโดยพอล ไวซ์ จัดจำหน่ายโดยโฟกัส ฟีเจอร์ส




« Last Edit: April 22, 2012, 07:59:30 PM by happy »

happy on April 22, 2012, 05:57:39 PM

เกี่ยวกับงานสร้าง

เหมือนกับฟลินน์

               นิค ฟลินน์เริ่มเขียนอนุทินของเขาขึ้นมาในปี 1997 เขาใช้เวลาเจ็ดปีก่อนที่มันพร้อมจะได้รับการตีพิมพ์ในชื่อ Another Bulls—t Night in Suck City

              พอล ไวซ์ เริ่มเขียนบทภาพยนตร์ขึ้นจากอนุทินของนิคในปี 2004 เขาใช้เวลาเจ็ดปีก่อนที่มันพร้อมจะถูกสร้างเป็นภาพยนตร์ในชื่อ Being Flynn

              อนุทินของนิคได้บันทึกชีวิตของเขาขณะที่เขาเติบโตขึ้นในย่านชานเมืองแมสซาซูเซทส์ในยุค 70s และการทำงานของเขาในสถานพักพิงคนเร่ร่อนในบอสตันในยุค 80s เขาเล่าว่า “ผมไม่ได้โตมากับพ่อของผม ผมไม่รู้จักเขาดีซักเท่าไหร่ ผมไม่ได้เจอเขามา 18 ปีแล้ว แล้วจู่ๆ เขาก็ได้มาเป็นแขก เป็นผู้อาศัยในสถานพักพิงที่ผมทำงานอยู่น่ะครับ”

              “ชีวิตของเราได้มาเจอกัน และเราก็ได้ทำความรู้จักกันและกันเล็กน้อย” ระหว่างที่ต้องเผชิญหน้ากับประวัติครอบครัวที่เจ็บปวดในรูปแบบของพ่อที่หายตัวไปนานของเขา นิคยังต้องเผชิญหน้ากับอาการติดเหล้าและติดยาเสพติดของตัวเองด้วย

              ไวซ์ได้อ่านหนังสือเรื่องนี้หลังจากที่มันตีพิมพ์ในปี 2004 และเขาก็รู้สึกในทันทีว่ามันน่าจะเป็นภาพยนตร์ ไมเคิล คอสติแกนแห่งคอร์ดูรอย ฟิล์มส์ได้แนะนำนิคให้รู้จักกับไวซ์ ผู้ขอโอกาสสร้างภาพยนตร์จากนักเขียนผู้นี้

              นิคประทับใจกับการพบกันครั้งแรกของพวกเขาจนไม่นานนักเขาก็อนุญาตให้มีการดัดแปลงเรื่องราวของเขาเป็นภาพยนตร์ นิคเล่าว่า “พอลมีวิสัยทัศน์ที่ชัดเจนสำหรับเนื้อเรื่องนี้ตั้งแต่ต้น พอเราตัดสินใจที่จะก้าวไปข้างหน้าเพื่อทำงานร่วมกัน เขาก็เขียนดราฟท์แรกที่ค่อนข้างน่าตื่นตาตื่นใจทีเดียวครับ”

              ผลงานของพอล ไวซ์ ในฐานะมือเขียนบทและผู้กำกับ มักจะเข้าหาความสัมพันธ์ของครอบครัว ซึ่งโดยมากจะสำรวจความสัมพันธ์ระหว่างพ่อ/ลูก หรือคนที่มีลักษณะคล้ายกัน แต่ Being Flynn จะนำเขาไปสู่บริบทดราม่าใหม่ ที่จำเป็นต้องอาศัยการถ่ายทอดมุมมองที่น่าติดตามเกี่ยวกับสถานการณ์ในชีวิตจริงที่สะเทือนอารมณ์

              หัวใจสำคัญของวิธีการดัดแปลงบทภาพยนตร์เรื่องนี้ของไวซ์คือการคงความเคารพที่มีต่อประสบการณ์ชีวิตของนิค แต่ก็ยังสำรวจธีมสากลในเรื่องของครอบครัว สิ่งสำคัญคือการที่เด็กคนหนึ่งที่ได้ประสานเส้นทางของตัวเองกับชีวิตของพ่อแม่ ที่มีทั้งข้อบกพร่องและอะไรทั้งหลายทั้งมวล ตลอดดราฟท์ทั้ง 30 ครั้งที่ไวซ์ได้เขียนก่อนหน้าที่การถ่ายทำจะเริ่มต้นขึ้น องค์ประกอบของเรื่องราวจะถูกเสริมแต่งและตัวละครจะถูกเขียนขึ้นเป็นการรวมคนที่มีชีวิตจริงหลายคนเข้าด้วยกัน ในแต่ละดราฟท์ ได้มีการรักษาช่วงเวลาที่ทรงพลังและน่าขบขัน ที่โดนใจผู้อ่านหนังสือเรื่องนี้เอาไว้

              นิคตั้งข้อสังเกตว่า “ด้วยความที่ผมใช้เวลาหลายปีในการเขียนหนังสือเรื่องนี้ ผมก็เลยรู้จากประสบการณ์ว่าสิ่งที่คุณเขียนจะไม่ได้ไปอยู่ในผลงานฉบับสมบูรณ์มากแค่ไหนน่ะครับ”

              “แต่มีหลายคนที่สตูดิโอต่างๆ ที่ให้คำแนะนำแย่ๆ กับดราฟท์งดงามที่พอลได้เขียนขึ้น ที่จะทำให้มันออกมาไม่ดี ถ้าเอาอย่างหนึ่งออกมา คุณก็จะตระหนักได้ หรือควรจะตระหนักได้ว่า คุณทำแบบนั้นไม่ได้ เพราะมันจะทำให้อีกอย่างหนึ่งเกิดขึ้น ประโยคหนึ่งเชื่อมโยงกับอีกประโยคหนึ่ง บทของพอลเป็นเหมือนบทกวีในแง่นั้นครับ”

              ผู้อำนวยการสร้าง มิอาโน ผู้เป็นหุ้นส่วนกับสองพี่น้อง พอลและคริส ไวซ์ในเด็พธ์ ออฟ ฟิลด์ ได้กล่าวว่าเขา “ยังคงมีดราฟท์ทั้งหมด เผื่อว่ามีคนสงสัยว่าเขาเขียนถึง 30 ดราฟท์จริงๆ รึเปล่า มันไม่มีดราฟท์ไหนที่จะมี ‘ตอนจบแบบฮอลลีวูด’ แม้ว่าบางเวอร์ชันจะมืดหม่นกว่าหลายๆ เวอร์ชัน นี่เป็นเรื่องราวเกี่ยวกับคนจริงๆ ที่ได้มีประสบการณ์จริงๆ มันเป็นเรื่องราวของนิค แต่มันก็เป็นเรื่องราวของโจนาธานด้วย พอลสามารถสร้างภาพเรื่องราวของทั้งคู่ได้อย่างต่อเนื่อง ซึ่งรวมถึงเวลาที่จะต้องใช้การบรรยายเสียงทับด้วยน่ะครับ”

              “เราต่างก็ตกหลุมรักหนังสือเรื่องนี้ และก็เหมือนกับโปรเจ็กต์ที่ดีหลายๆ งาน การสร้างหนังเรื่องนี้ก็เป็นกระบวนการที่ยาวนาน แต่เมื่อเราพบเนื้อหาที่สำคัญสำหรับเรา เราก็จะยึดติดอยู่กับมันครับ”

              นิคเล่าว่า “เราต่างก็เข้ากันได้ในทันที แต่ความนับถือที่ผมมีต่อพอลและกระบวนการของเขามีแต่จะเพิ่มมากขึ้นในช่วงเวลาหลายปีที่ได้รู้จักเขา และผมก็นับถือในความพยายามของเขาที่จะสร้างหนังเรื่องนี้ด้วยครับ”

              “พอล ไวซ์ได้ยื่นมือออกไปหานิคตั้งแต่เริ่มต้นค่ะ” ลิลลี เทย์เลอร์ ภรรยาของนิค ให้ความเห็น “ฉันชอบดูพวกเขาทำงานด้วยกันและค้นคว้าข้อมูลด้วยกัน ฉันชื่นชมความมุ่งมั่นและความทุ่มเทของพอลค่ะ”

              บทสนทนาระหว่างนิคและไวซ์เกี่ยวกับภาพยนตร์เรื่องนี้ไม่เคยหยุด แม้กระทั่งตอนที่ผู้กำกับ/มือเขียนบทผู้นี้มีภาระต้องกำกับภาพยนตร์สามเรื่อง และมีเรื่องที่สี่เข้าฉาย ในระหว่างเจ็ดปีนี้

              การค้นคว้าข้อมูลอย่างมหาศาลของทั้งคู่พาพวกเขาไปบอสตันหลายครั้ง พวกเขาได้พบกับผู้ให้คำปรึกษาที่ทำงานอยู่ที่สถานพักพิง ที่ซึ่งนิคเคยทำงานและที่ซึ่งพ่อของเขาเคยพักอาศัย นิคเล่าว่า “ผมกับพอลไปที่นั่นช่วงอาหารค่ำ ช่วงอาบน้ำ ช่วงเวลานอน ซึ่งส่วนใหญ่แล้วเป็นเวลาสามทุ่ม ผมยังรู้จักหลายๆ คนที่ทำงานที่นั่น และก็ยังมีคนที่เป็นแขกตอนที่ผมทำงานอยู่ที่สถานพักพิงอยู่ที่นั่นด้วยครับ”

              นอกจากนั้น นิคและพอลยังได้ติดรถไปกับ “แวนสเกาท์” ยามค่ำคืนที่เชิญชวนให้คนผละจากท้องถนนและเข้ามาพักในสถานพักพิง นิครายงานว่า “ผมกับพอลต่างก็สวมแจ็คเก็ตที่บางมากๆ ท่ามกลางอุณหภูมิ 5 องศาในบอสตัน เราต้องยืมเสื้อโค้ทตัวหนามาจากในรถ เราออกไปกันตอนประมาณตีสอง เพื่อเดินไปรอบๆ แล้วเราก็ได้ไปบริเวณหนึ่งที่ผมจำได้ว่ามีเรื่องราวเกิดขึ้น พอตอนที่เรากลับมาที่จอดรถตู้ มันก็หายไปแล้ว มีโทรศัพท์โทรเข้ามาว่ามีคนกำลังเดือดร้อน ในการยืนรออยู่ตรงนั้นด้วยความหวังว่ารถตู้จะกลับมา ทำให้เรารู้สึกว่ามันจะเป็นความรู้สึกเช่นไร”

              “พอลอยากจะซึมซับทุกอย่าง พอเรากลับเข้ารถตู้แล้ว ก็มีคนเล่าให้เราฟังว่าเกิดอะไรขึ้นกับผู้ชายคนที่ไม่ได้หนีเข้ามาหลบความหนาวเมื่อสัปดาห์ก่อน เขาถูกพวกวัยรุ่นซ้อมจนตาย พอลทำให้แน่ใจว่าเรื่องราวนี้จะถูกรวมอยู่ในหนังด้วย ในคืนนั้น เขารับรู้อย่างชัดเจนว่า พวกเร่ร่อน ซึ่งมักจะถูกมองว่าเป็นภัยคุกคาม เป็นกลุ่มคนที่เปราะบางเหลือเกิน ไม่ว่าจะเพราะความหนาวหรือเพราะอันตรายจากคนอื่นๆ ก็ตามครับ”

              ในหลายๆ โอกาส ไวซ์ได้ติดตามนิคไปพบกับโจนาธาน ฟลินน์ ผู้ยังคงติดต่อกับลูกชายของเขาและใช้ชีวิตอยู่ในแมสซาซูเซทส์ นิคเผยว่า “ครั้งแรกที่พอลและผมได้พบกับพ่อของผม เรานั่งกันอยู่ในอพาร์ทเมนต์เล็กๆ นานเจ็ดชั่วโมง มีหนังสืออยู่ทั่วไปหมด งานเขียนของเขาอยู่ทุกหนทุกแห่ง มีของกองระเกะระกะไปหมด ผมแนะนำพอลให้รู้จักเขาบอกว่า ‘เขาจะสร้างหนังเกี่ยวกับหนังสือที่ผมเขียน’ ซึ่งพ่อผมก็เคยอ่าน”

              “พ่อผมประทับใจครับ แต่เขาก็ไม่ค่อยได้ประทับใจอะไรมากนัก เว้นแต่กับตัวเอง”

              นิครู้สึกว่า การเดินทางสู่ความหลัง โดยเฉพาะอย่างยิ่งการพบกับพ่อของเขา ได้สร้างความประทับใจให้กับไวซ์ และมันก็ส่งผลกระทบในแง่บวกกับบทภาพยนตร์เรื่องนี้ด้วยเช่นกัน นิคกล่าวว่า “มีหลายช่วงเวลาจากการไปเยี่ยมพ่อผมที่ได้อยู่ในหนังเรื่องนี้ด้วย การอ่านหนังสือก็เป็นเรื่องหนึ่ง แต่ผมไม่แน่ใจว่าพอลจะเข้าใจความเข้มข้นของพ่อผมรึเปล่า ว่าเขาสามารถพูดในสิ่งที่เป็นความจริงระดับสูงได้อย่างไร ว่าเขาแสดงให้เห็นว่าเขาเป็นคนแข็งแกร่งด้วยการถืออาวุธได้อย่างไร ถ้าพวกเขาไม่ได้พบกันตัวต่อตัวน่ะครับ สิ่งต่างๆ เหล่านี้เป็นสิ่งที่ผมคุ้นเคยอยู่แล้วจากการใช้เวลาอยู่กับเขา แต่สำหรับพอล ผมคิดว่ามันเป็นสิ่งที่ล้ำค่าต่อการสร้างหนังเรื่องนี้ของเขาครับ”

              ในขณะที่ความสัมพันธ์พ่อ/ลูกพัฒนาขึ้น “เรามีเวลาหลายปีให้ทำความรู้จักกันครับ” นิคบอก “ด้วยความที่พอลได้พบกับพ่อของผมหลายครั้ง เขาก็เลยได้สังเกตเห็นหลายสิ่งหลายอย่างระหว่างเรา เมื่อเขาได้รู้ถึงความสัมพันธ์ระหว่างผมกับพ่อในตอนนี้ เขาก็อยากจะถ่ายทอดพลังงานบางส่วนนั้นไปสู่บางฉากครับ”

              หลังจากการรีไรท์และการขัดเกลาบทนานหลายปี ท้ายที่สุด ไวซ์ก็ได้ปรับเปลี่ยนบทให้ใกล้เคียงกับดราฟท์แรกที่เขาโชว์ให้นิคดูในตอนที่กระบวนการนี้เริ่มต้นขึ้น ทุกคนที่เกี่ยวข้องตระหนักดีว่า มันมีรากฐานที่แน่นหนาบางอย่างที่ควรจะต้องได้รับการตอกย้ำ

              หลังจากตระหนักถึงเรื่องนั้น เสียงตอบรับของดราฟท์สุดท้ายของ Being Flynn ก็เยี่ยมมากๆ “แก่นของสิ่งที่ปรากฏในหนังสืออยู่ในทุกดราฟท์ครับ แต่กับดราฟท์นี้ ทุกอย่างเข้าที่เข้าทางทั้งในเรื่องของบทและนักแสดง” มิอาโนตั้งข้อสังเกต

              จูลีแอนน์ มัวร์ ผู้ได้รับการเสนอชื่อชิงสี่รางวัลอคาเดมี อวอร์ดเข้าร่วมทีมนักแสดงในบทโจดี้ ฟลินน์ แม่ของนิค เธอให้ความเห็นว่า “ฉันอยากร่วมงานกับพอลมาได้ซักพักแล้วค่ะ เขาส่งบทภาพยนตร์เรื่องนี้ให้ฉันแล้วบอกว่า ‘มันเป็นบทเล็กๆ สำหรับคุณ แต่มันน่ารักนะ’ ฉันพบว่ามันเป็นบทที่น่าประทับใจทีเดียว เพราะงานเขียนของพอลมีความรู้สึกแบบวรรณกรรมและหนังที่เขาสร้างก็มีความสดใสอยู่ด้วยค่ะ”

              “บทภาพยนตร์ของพอลที่สร้างจากเรื่องราวของนิคเป็นการเดินทางที่พาคุณจากวัยเด็กไปสู่วัยผู้ใหญ่ นิคประสบกับความยากลำบากและอุปสรรค จนแทบจะยอมจำนน จากพอล เราได้เห็นว่านิคได้พบหนทางออกด้วยการเขียนเรื่องเกี่ยวกับมัน และด้วยการพูดเกี่ยวกับมัน ได้อย่างงดงามค่ะ”

              โอลิเวีย เธิร์ลบี้ ผู้รับบทเดนิส คนงานที่สถานพักพิง ผู้มีความผูกพันกับนิค ได้กล่าวชื่นชมว่า “พอล ไวซ์ได้ถ่ายทอดแก่นของหนังสือเรื่องนี้ออกมาได้อย่างงดงามเหลือเกินค่ะ เขาสามารถสกัดเอาอนุทิน 300 หน้าที่ไม่เรียงลำดับเหตุการณ์ เป็นเรื่องราวชีวิตที่น่าอัศจรรย์ ให้กลายเป็นบทภาพยนตร์เรื่องเยี่ยมได้ การได้อ่านบทเรื่องนี้ ก่อนหน้าที่ฉันจะได้อ่านหนังสือ ฉันบอกได้เลยว่าพอลรักเนื้อหานี้จริงๆ และเขาก็มีความผูกพันลึกซึ้งกับประเด็นนี้ด้วยค่ะ”

              “เด็กที่ทำความเข้าใจกับสิ่งที่พ่อแม่ของเขาได้สร้างไว้เป็นธีมสากลค่ะ เราทุกคนต่างก็ต้องมองพ่อแม่ของตัวเองไม่ใช่ในฐานะพ่อแม่ของเราเท่านั้นแต่เป็นในฐานะปัจเจกบุคคลด้วย และเราก็ต้องทำความเข้าใจกับเรื่องนั้นให้ได้ด้วย”

              โรเบิร์ต เดอ นีโร เจ้าของสองรางวัลอคาเดมี อวอร์ด ได้เข้ามาร่วมงานในโปรเจ็กต์นี้ก่อนหน้านักแสดงคนอื่นๆ ด้วยการที่ไทรเบก้า โปรดักชันส์ของเขาทำหน้าที่อำนวยการสร้าง ไวซ์และเดอ นีโรได้ร่วมงานกันครั้งแรกในภาพยนตร์ชื่อดังปี 2002 เรื่อง About a Boy ซึ่งเดอ นีโร อำนวยการสร้างและไวซ์ดัดแปลงและกำกับร่วมกับน้องชายของเขา และพวกเขาก็ได้ร่วมงานกันอีกครั้งในฐานะผู้กำกับและนักแสดงนำของภาพยนตร์ฮิตปี 2010 เรื่อง Little Fockers

              มิอาโนกล่าวเสริมว่า “พอลและบ็อบต่างก็รู้จักกันมานานแล้ว และความสัมพันธ์ระหว่างพวกเขาก็แน่นแฟ้นมากขึ้น ระหว่างพวกเขามีความไว้วางใจกันครับ เมื่อถึงเวลาที่เราจะสร้างหนังเรื่องนี้ พวกเขาก็มีระบบการสื่อสารทางลัดอยู่แล้ว การที่พวกเขาเข้าใจความคิดอ่านของกันและกันได้ช่วยสร้างความแข็งแรงให้กับกระบวนการสร้างสรรค์สำหรับทุกคนที่เพิ่งเข้ามาร่วมงานในโปรเจ็กต์นี้ครับ”

              นิค ฟลินน์ชื่นชอบไอเดียของการที่ได้นักแสดงคนดังมารับบทพ่อของเขาในทันที นิครำพึงว่า “พ่อผมมีระดับความมั่นใจในตัวเอง ความเพี้ยนและความอันตราย แต่ในขณะเดียวกัน เขาก็ถ่ายทอดความรู้สึกของความเมตตาและความดีงามด้วย การที่ได้เดอ นีโรมารับบทนี้เป็นข่าวที่ดีที่สุดเท่าที่เป็นไปได้ เพราะคุณสมบัติทั้งหมดเหล่านั้นปรากฏในผลงานหนังของเขาด้วยครับ”

              ลิลลี เทย์เลอร์กล่าวเสริมว่า “พอฉันได้ยินว่าเขาจะเล่นเป็นพ่อของนิค ฉันก็ถอนใจโล่งอกเลยเพราะฉันรู้จักโจนาธานและเขาเป็นคนซับซ้อน เขาเป็นคนที่นักแสดงจะสวมบทเขาได้ไม่ดีเอาง่ายๆ มันมีหลุมพรางและกับดักมากมาย ถ้าคุณใส่อะไรมากเกินไป ความเศร้าก็จะไม่เกิดขึ้นค่ะ”

              “แต่กับโรเบิร์ต เดอ นีโร คุณรู้ว่ามันจะมีความซื่อตรง บทจะต้องมาก่อน ไม่ใช่นักแสดงค่ะ”

              เดอ นีโร ได้พบกับนักเขียนบ่อยครั้ง นอกจากนั้น เขายังไปเยือนบอสตันและได้เดินตามรอยเท้าที่ไวซ์เคยเดินไว้กับนิค และเขาก็ได้ไปสำรวจสถานพักพิงที่นิคเคยทำงานโดยไม่เปิดเผยตัวตน เพื่อสังเกตแขกและคนงานที่นั่นด้วย

              นิคเล่าว่า “บ็อบสังเกตเห็นหลายๆ อย่าง และเขาก็เห็นสิ่งที่ผมไม่เห็น การที่แขกของสถานพักพิงนี้เดินไปมาอย่างมั่นใจ ตอนที่เขาบอกเรื่องนี้กับผม มันก็ฟังดูเป็นเรื่องจริง ส่วนหนึ่งก็คือพวกเขาไม่อยากจะทำตัวดูเปราะบาง และเป็นเหยื่อโจมตี บางทีอาจจะไม่ใช่ในสถานพักพิง แต่ข้างนอก แล้วสถานพักพิงแห่งนี้ก็เป็นบ้านสำหรับพวกเขา ที่ซึ่งพวกเขาจะปลอดภัย เท่าเทียมกันและเป็นตัวเองได้น่ะครับ”

              สิ่งที่มิอาโนชี้ว่าเป็น “ธีมสำคัญในหนัง เรื่องของชายหนุ่มวัยยี่สิบปลายๆ ที่ต้องดิ้นรนกับชีวิตและพยายามหาที่ทางของตัวเอง” ได้ดึงดูดนักแสดงหนุ่มชื่อดังหลายคนมาสู่บทของนิค ฟลินน์ พอล ดาโน พบว่าตัวเอง “ประทับใจกับบท” และคว้าบทนี้มาได้ ดาโนกระตือรือร้นที่จะได้พบกับนิคตัวจริง และนิคเองก็รู้สึกอย่างเดียวกัน

              เมื่อมีการกำหนดมีตติ้งขึ้น ดาโนก็ได้ไปหาอนุทินเรื่องนั้นมาอ่าน เขาอธิบายว่า “ผมไปซื้อหนังสือเรื่องนี้ที่ร้านหนังสือในท้องถิ่น แล้วคนที่ร้านหนังสือก็บอกว่า ‘อ๋อ เรามีอีกเล่มให้คุณ’ แล้วพวกเขาก็หยิบหนังสือเล่มหนึ่ง ที่มีโน้ตจากนิคเขียนถึงผม ผมขนลุกเลยครับ เขารู้ได้ยังไงว่าผมจะไปซื้อหนังสือเรื่องนี้ที่ร้านไหน กลายเป็นว่าเขาอาศัยอยู่ในละแวกเดียวกับผมนี่เอง”

              “ผมชอบหนังสือของนิคครับ มันเป็นอนุทินที่งดงามมาก ผมรู้สึกว่าเขาเป็นผู้รอดชีวิต เมื่อพิจารณาจากสิ่งที่เขาเผชิญกับพ่อแม่ของเขา เรื่องราวของผมไม่ใช่เรื่องราวของเขา แต่ผมก็สามารถเข้าถึงและเห็นใจกับเรื่องราวของเขาได้”

              ก่อนหน้าที่จะได้พบกับดาโน นิคขอคำแนะนำจากภรรยาของเขา ด้วยมุมมองนักแสดงของเธอ เทย์เลอร์ ผู้รับบทสมทบ จอย หญิงสาวติดยาที่ผันตัวมาเป็นคนงานในสถานพักพิง ได้แนะนำให้นิคตอบคำถามที่ดาโนถามอย่างตรงไปตรงมา

              นิคกล่าวว่า “สิ่งที่ลิลลีบอกผมกลายเป็นวิธีที่ถูกต้องครับ ผมทำตามที่ดาโนต้องการในวันนั้นที่ผมกับเขาได้พบกันที่คาเฟ่ เขามีอายุเท่ากับผมตอนที่ผมทำงานที่สถานพักพิงนั่น ซึ่งก็กำลังพอเหมาะ แต่รู้มั้ย มันเป็นประสบการณ์แปลกมากที่ได้นั่งตรงข้ามกับคนที่จะมารับบทเป็นผมน่ะครับ”

              แม้ว่ามันจะให้ความรู้สึกพิลึกนิดๆ ในตอนแรก นิคตัวจริงและนิคในภาพยนตร์ก็พบว่าพวกเขาสามารถพูดคุยกันได้อย่างลื่นไหล นอกจากนี้ ดาโนและนิคยังได้ให้เหตุผลด้วยว่าเนื่องด้วยพวกเขาพักอยู่ห่างกันไม่เท่าไหร่ พวกเขาก็สามารถพบกันได้บ่อยขึ้น ซึ่งพวกเขาก็ทำเช่นนั้นจริงๆ

              ดาโนขยายความว่า “ตอนที่ผมได้พบกับนิคครั้งแรก ผมอึ้งเล็กๆ เพราะเขาแตกต่างจากที่ผมรู้สึกจากในบท หรือแม้กระทั่งในหนังสือ อย่างแรกเลย เขาอายุมากกว่าและมีสถานะที่แตกต่างออกไปในชีวิตจริง เพราะเขาเอาชนะปีศาจในจิตใจได้บ้างแล้ว แต่ในบท เขากระโชกโฮกฮากกว่า แต่ผมกลับเจอกับคนที่มีเสน่ห์ เพียงแต่เขาก็ยังเป็นคนที่ไม่ชอบเรื่อง      ไร้สาระ ผมต้องบอกว่าผมสนุกกับการถ่ายทำฉากที่คุณจะได้เห็นความโกรธขึ้งที่นิคมีอยู่ในตัวน่ะครับ”

              “ในฐานะนักแสดง คุณอยากจะซื่อตรงต่อต้นฉบับ แต่ก็อยากทำให้มันเป็นเรื่องส่วนตัวด้วย ดังนั้น ระหว่างที่เราคุยกันบ่อยๆ และใช้เวลาอยู่ด้วยกันบ่อยๆ ผมก็สามารถนำสิ่งต่างๆ จากบท ซึ่งพอลใส่ความเป็นนิคเข้าไปมากมายเหลือเกิน และตัวนิคเอง มาเสริมสิ่งที่ผมใส่เข้าไปให้กับตัวละครตัวนี้ ผมไม่ได้พยายามจะสร้างสิ่งเลียนแบบครับ”

              เทย์เลอร์เล่าว่า “เราต้องเข้าไปในเรื่องราวนี้ผ่านทางนิค และความเปิดกว้างของพอลในฐานะนักแสดงก็เชื้อเชิญเราเข้าไปค่ะ”

              ส่วนหนึ่งของกระบวนการของดาโนรวมถึง “การฟังดนตรีที่นิคฟังในตอนนั้น ซึ่งผมได้รู้จากการถามเขาหรือจากการอ่านอนุทินเล่มนั้น สำหรับผม ดนตรีเป็นศิลปะรูปแบบหนึ่งที่ผมรู้สึกว่าซึมซาบเข้าสู่กระแสเลือด การได้ฟังดนตรีพวกนั้นในกองถ่ายช่วยให้ผมมีสมาธิ นอกจากนี้ ผมยังฟังดนตรีที่ผมพบว่าเกี่ยวข้องกับนิคหรือเรื่องราวของเขา ผมคิดว่านิคมีจิตวิญญาณพังค์ร็อคอยู่ในตัวครับ”

              “เนื้อเพลงก็มีประโยชน์กับผมด้วยเหมือนกันเพราะนิคเองก็เป็นกวี ซึ่งผมคิดว่ามันยากยิ่งกว่าการเป็นนักเขียนนิยายหรือนักเขียนบทอีกนะครับ”

              ท้ายที่สุดแล้ว นิคก็รู้สึกได้ว่า “ดาโนเป็นนักแสดงคนเก่งที่สามารถพบระดับความซับซ้อนในเรื่องราวที่ผมเองก็อาจจะไม่เจอในตอนที่ผมใช้ชีวิตอยู่ ณ ช่วงเวลานั้น บางครั้ง ผมแปลกใจกับการแสดงของเขา เขามีระดับอารมณ์ที่แตกต่างอย่างมากครับ”

              ในแง่นั้น ดาโนและทีมนักแสดงคนอื่นๆ ได้ใช้เวลาอยู่ที่สถานพักพิงในนิวยอร์กเพื่อทำความคุ้นเคยกับสภาพแวดล้อม เขาเล่าว่า “ผมพบว่ามีคนที่ตัดสินใจหรือรู้สึกว่าถูกบีบให้ต้องตัดสินใจ และก็มีบางคนที่ไม่มีทางเลือกครับ”

              “ธีมของคนเร่ร่อนไม่ได้เกี่ยวกับแค่การที่โจนาธานเป็นคนเร่ร่อนและคนในสถานพักพิงเป็นคนเร่ร่อนเท่านั้น นิคเสียแม่ไปแล้วและก็ไม่เคยรู้จักพ่อของตัวเองด้วยครับ”

              เธิร์ลบี้ทำหน้าที่อาสาสมัครอยู่หลายวันและเธอก็เผยว่า “หลังจากอยู่ในสถานพักพิงทั้งวัน ฉันก็เดินกลับออกไปด้วยมุมมองที่ต่างออกไปมากๆ ค่ะ ดวงตาฉันเปิดกว้างมองเห็นคนที่อยู่ตามท้องถนนแล้ว”

              “ประสบการณ์นั้นมีอิทธิพลต่อการแสดงบทเดนิสของฉัน การได้ทำงานเต็มเวลาในสถานพักพิงบ่งบอกอะไรหลายอย่างเกี่ยวกับนิสัยของคน ความต้องการที่จะช่วยเหลือผู้อื่นของพวกเขา และการช่วยตัวพวกเขาเองด้วยค่ะ”

              ไวซ์สนับสนุนกระบวนการมีส่วนร่วมกับนักแสดงของเขาเพื่อที่พวกเขาจะได้เรียนรู้ร่วมกันมากขึ้น ดาโนเล่าว่า “ตั้งแต่ครั้งแรกที่เราได้คุยกัน ตอนที่ผมยังได้บทนี้ พอลก็รับฟังทุกไอเดียและความคิดเห็น เขามีคำตอบให้กับทุกคำถาม แต่ในขณะเดียวกันก็เปิดกว้างจริงๆ ซึ่งเป็นสิ่งที่ผมมองหาในตัวผู้กำกับเสมอ เขาปล่อยให้ผมทดลอง แต่เขาก็รู้ด้วยว่าเขาต้องการอะไรครับ”

              “ฉันจะถามแนวทางในทุกเทค เพราะเขาทำงานโดยอาศัยความรู้สึกอย่างมากค่ะ” เธิร์ลบี้ ผู้ยินดีกับโอกาสในการได้สร้างตัวละครตัวนี้ กล่าวเสริม เนื่องด้วย “เดนิสไม่ได้อยู่ในหนังสือ ต่างกับตัวละครตัวอื่นๆ เธอเป็นตัวละครที่ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อบทหนังเรื่องนี้ ฉันก็เลยสามารถแต่งแต้มสีสันต่างๆ ด้วยตัวเองและทำงานร่วมกับพอล ไวซ์ เพื่อสร้างเธอขึ้นมาได้ เธอมีความตรงไปตรงมาแบบขวานผ่าซาก ที่อาจทำให้เกิดเรื่องตลกที่เคอะเขินขึ้นมาในการพูดคุยกับคนอื่นได้ เธอเคยผ่านเรื่องทุกข์ทรมานใจอดีตและตอนนี้ ก็กำลังอยู่ระหว่างการพักฟื้นค่ะ”

              นิคตั้งข้อสังเกตว่า “เดนิสปกป้องตัวเองและเข้มงวดกับตัวละครนิค ไม่แยแสกับเรื่องไร้สาระของเขา แต่เธอก็อบอุ่นและสร้างความสบายใจด้วยครับ”

              ในกองถ่าย เธิร์ลบี้พบว่าดาโน เพื่อนผู้มักจะเข้าฉากกับเธอ “ไม่เคยหลอกลวง มีความจริงเสมอในสิ่งที่เขาทำ คุณสามารถไปได้หลายทิศทางในแต่ละช่วงเวลาในฉากต่างๆ ดูเหมือนว่าเขาจะเลือกอีกเส้นทางเสมอ ฉันตื่นเต้นที่มีโอกาสได้ร่วมงานกับเขาค่ะ”

              นิคกล่าวว่า “โอลิเวีย เธิร์ลบี้และพอล ดาโนมีปฏิกิริยาเคมีตามธรรมชาติครับ แต่เดนิสไม่ได้เป็นตัวแทนของแฟนสาวคนใดคนหนึ่งที่ผมมีหรอกนะครับ”

              ในทางกลับกัน จอย ตัวละครของลิลลี เทย์เลอร์ “มาจากคนที่ผมรู้จักที่สถานพักพิงครับ” นิคยอมรับ “ลิลลีเป็นหนึ่งในนักแสดงหญิงคนโปรดของผมก่อนหน้าที่เธอจะมาเป็นภรรยาของผมอีกครับ เธอแสดงให้เห็นถึงประกายความลึกซึ้งที่อยู่ในตัวจอยได้ และมันก็ปรากฏให้เห็นครับ”

              เทย์เลอร์กล่าวรำพึงว่า “หนึ่งในธีมของเรื่องราวนี้คือการไม่สงสารตัวเองเป็นความดีอย่างหนึ่ง คุณจะเห็นเรื่องนั้นได้จากจอยค่ะ”

              แม้ว่า Being Flynn จะโฟกัสไปที่ชีวิตของนิคระหว่างที่เขาเจอกับโจนาธาน ความสัมพันธ์ระหว่างเขาและแม่ระหว่างที่เติบโตขึ้นก็ถูกไวซ์รักษาไว้ให้เป็นแกนกลางสำคัญของเรื่องเช่นกัน ตามในอนุทินของนิค โจดี้เป็นตัวแทนของความดีงามทั้งมวลในชีวิตที่วุ่นวายของเขา แต่ความสัมพันธ์ระหว่างแม่/ลูกคู่นี้ก็มีมรสุมอารมณ์ด้วยเช่นกัน เพราะโจดี้จากไปเร็วเกินไป ด้วยมือของตัวเธอเอง

              แทบทุกฉากของจูลีแอนน์ มัวร์จับคู่เธอกับเลียม บร็อกกี้ ผู้รับบทนิค ในวัยเด็ก เธอให้ความเห็นว่า “สายสัมพันธ์ระหว่างลูกกับแม่ที่เลี้ยงดูลูกคนเดียวค่อนข้างจะแน่นแฟ้นค่ะ พอล ไวซ์ได้ถ่ายทอดความลึกซึ้งนั้น และดึงเอาความสัมพันธ์ระหว่างฉันกับเลียมมาสู่ฉากที่เราแสดงร่วมกันค่ะ”

              นิคกล่าวว่า “ความสัมพันธ์ระหว่างผมกับแม่ของผมเป็นบาดแผลหลักของเรื่อง และของชีวิตผมด้วย ส่วนที่ยากที่สุดในหนังเรื่องนี้สำหรับผมคือการดูฉากระหว่างจูลีแอนน์กับเลียมในการจำลองบ้านในวัยเด็กของผมน่ะครับ”

              “ผมมองแม่ของผมว่าเป็นคนดีที่ทุกข์ทรมาน ในกองถ่ายตอนแรก ผมมองจูลีแอนน์ไม่ได้ด้วยซ้ำไป เว้นแต่ในมอนิเตอร์ ท้ายที่สุดแล้ว ในช่วงเที่ยง ผมก็สามารถพูดกับจูลีแอนน์ ผู้ยินดีที่จะพูดกับผม แล้ววันถัดมา ผมก็เจอกับเรื่องแบบเดิมอีก ผมก็เลยกลับจากกองถ่ายเร็วหน่อย แต่ผมก็พยายามทำตัวให้เป็นปกติเพื่อที่ผมจะดูหนังเรื่องนี้ได้น่ะครับ”

              มัวร์บอกว่า “ตัวละครของฉันในหนังเรื่องนี้มักจะเป็นเพียงแค่ความทรงจำค่ะ มันเป็นความทรงจำของคนที่อายุน้อยมากๆ ว่าเกิดอะไรขึ้นหรือน่าจะเกิดอะไรขึ้นค่ะ”

              “ความทรงจำแรกๆ ของนิคเกี่ยวกับโจดี้คือการที่เธอทำหน้าที่เป็นแม่ ในขณะที่พ่อเขาไม่อยู่ โจดี้เป็นคนที่อยู่ตรงนั้นเสมอ เป็นคนที่เขาจะคุยด้วย คนที่แคร์เขา ให้กำลังใจเขา บางครั้ง เขาก็กังวลว่าเขาอาจจะกระตุ้นให้เธอเกิดความรู้สึกบางอย่าง ที่นำไปสู่การกระทำของเธอน่ะค่ะ”

              เทย์เลอร์รู้สึกว่า “เรื่องราวของนิคสร้างแรงบันดาลใจอย่างมากค่ะเพราะนั่นเป็นเรื่องที่ว่าคุณจะผ่านอุปสรรคต่างๆ มาได้อย่างไร ด้วยความสงสัยใคร่รู้และความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ คุณอาจจิตใจแตกสลายแต่คุณก็จะปะติดปะต่อชีวิตของคุณได้อีกครั้งค่ะ”

happy on April 22, 2012, 06:00:04 PM

บทสัมภาษณ์มือเขียนบท/ผู้กำกับ

“สมดุลที่แปลกประหลาด:” บทสัมภาษณ์มือเขียนบท/ผู้กำกับพอล ไวซ์

Q:              ในตอนที่คุณเริ่มเตรียมงาน Being Flynn ในปี 2004 คุณได้เป็นมือเขียนบท/ผู้กำกับของเรื่องราวความสัมพันธ์ระหว่างพ่อ/ลูกชาย ที่ไม่มีสายเลือดเดียวกันจริงๆ ใน About A Boy และกำลังอยู่ระหว่างช่วงโพสต์โปรดักชั่นของเรื่องที่สอง In Good Company การที่หนังเรื่องนี้เป็นเรื่องราวของพ่อ/ลูกจริงๆ ดึงดูดคุณมากขึ้นรึเปล่า

A:              มันไม่ใช่สิ่งที่ผมนึกถึงเป็นพิเศษครับ ผมได้อ่านหนังสือของนิค และผมก็ติดใจเรื่องราวของมัน ผมคิดว่าไอเดียของความย้อนแย้งระหว่างพ่อผู้ทรงพลัง และการได้เห็นพวกเขาดำเนินชีวิตในโลกใบนี้เป็นสิ่งที่สำคัญต่อชีวิตของใครหลายคนครับ

              อย่างแรก แม้ว่าพ่อผม [จอห์น ไวซ์ ผู้ล่วงลับ] จะเป็นแฟชั่น ดีไซเนอร์ ผู้ประสบความสำเร็จ แต่เขาก็อยากเป็นที่รู้จักในฐานะนักเขียนมากกว่า เขาเคยเขียนหนังสือชีวประวัตินอนฟิคชั่นและนิยายสองสามเรื่อง ที่ได้รับการตีพิมพ์ ผมคิดว่าเขาทั้งถูกผลักดันและถูกครอบงำด้วยความใฝ่ฝันในการอยากเป็นนักเขียน ตัวผมเองก็สงสัยว่าสิ่งที่ผลักดันให้คุณทำงานเป็นเรื่องของอีโก้มากน้อยแค่ไหน และเป็นสิ่งที่บริสุทธิ์กว่านั้นมากน้อยแค่ไหนน่ะครับ

              สถานการณ์ของเรื่องคือชายหนุ่มกับพ่อ ผู้ฝันว่าตัวเองเป็นนักเขียนดัง แต่จริงๆ แล้ว ไม่เคยเขียนอะไรเสร็จซักอย่าง ไอเดียที่ว่านิคมีพ่อที่มองงานเขียนแบบมีอีโก้ซึ่งไม่เป็นผลดีกับตัวเองและการที่นิคลงเอยด้วยการเป็นนักเขียนที่ประสบความสำเร็จ และการทำเรื่องธรรมดาๆ ที่น่าเบื่อหน่าย เพื่อลงมือเขียนงานจริงๆ เป็นสิ่งที่ผมสนใจครับ

              ผมคิดว่า โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อเราทำงานในฮอลลีวูด หรือการที่เราเขียนวรรณกรรมบริสุทธิ์ซักเรื่อง คุณก็จะต้องตั้งคำถามอยู่ตลอดเวลาว่า ทำไมคุณถึงทำในสิ่งที่คุณทำอยู่ เพื่อความสำเร็จ? หรือเป็นเพราะคุณอยากได้รับเสียงวิจารณ์ชื่นชม? หรือเป็นเพราะมันเป็นสิ่งที่เรียบง่ายและสำคัญกว่านั้น ในแง่ของการสร้างสรรค์อะไรบางอย่างน่ะครับ

Q:              มีประเด็นอะไรน่าสนใจอื่นๆ อีกนอกเหนือจากเรื่องของประวัติครอบครัวและความคิดสร้างสรรค์บ้าง

A:              แง่มุมของการติดยาและการติดเหล้าในเรื่องก็โดนใจผมเหมือนกัน พ่อผมเป็นคนในยุคที่อาจจะดื่มชีวาส รีกัลตอน 11 โมงเช้าเป็นครั้งคราว และตอนที่ผมอายุน้อยกว่านี้ ผมก็ต้องเผชิญหน้ากับความคิดที่ว่าผมรู้สึกต้องการกำจัดความเกี่ยวข้องระหว่างผมกับเหล้าและยาเสพติด แง่มุมของการกำจัดความเป็นตัวเองที่ผูกติดกับอีโก้และกับความคิดสร้างสรรค์เป็นองค์ประกอบสำคัญของหนังเรื่องนี้ สำหรับผม มันไม่ใช่แค่เรื่องราวระหว่างพ่อกับลูก แต่เป็นเรื่องราวเกี่ยวกับความสุขและหลุมพรางของความคิดสร้างสรรค์ด้วยครับ

              นิคเป็นกวี และหนังสือเรื่องนี้ก็งดงามมากด้วย มันเป็นหนึ่งในหนังสือไม่กี่เรื่องที่ผมอ่าน ซึ่งยิ่งผมอ่านบ่อยเท่าไหร่ ผมก็ยิ่งมองเห็นแบบแผนมากยิ่งขึ้น มันคงเป็นเรื่องที่เหนื่อยแสนสาหัสถ้าไม่ใช่เพราะว่าตัวนิคเองเป็นคนที่กระตุ้นความหวังแบบนี้ เขาอนุญาตให้ผมสร้างเรื่องราวของเขาในเวอร์ชั่นที่เป็นส่วนตัวสำหรับผม

Q:              คุณรู้สึกว่าอะไรเป็นปัจจัยสำคัญในการทำให้นิค ฟลินน์ไว้ใจคุณ ในปี 2004 ที่พวกคุณได้พบกันครั้งแรก

A:              มันเป็นสมดุลที่แปลกประหลาดครับ ผมสามารถทำในเรื่องบางอย่างในเรื่องราวนี้เป็นเรื่องส่วนตัวได้ แม้ว่าผมจะไม่เคยนำประสบการณ์ของคนอื่นมาเปรียบเทียบกับประสบการณ์ของตัวเอง แต่ผมก็สามารถพูดถึงเหตุผลที่ทำให้ผมรู้สึกกับมันอย่างลึกซึ้ง

              ระหว่างประสบการณ์ทั้งหมดนี้ เราก็ได้กลายมาเป็นเพื่อนกันและผมก็ยินดีที่ผมไม่ได้หลอกลวงนิคเกี่ยวกับการได้สร้างหนังเรื่องนี้ ผมคิดว่านิคอ่านดราฟท์เกือบจะ 30 ครั้งได้ [หัวเราะ] แม้กระทั่งดราฟท์ที่ไม่ได้เป็นไปตามสิ่งที่ผมหวังว่าหนังเรื่องนี้จะเป็นก็ตาม นิคก็เหมือนกับคนฉลาดๆ ส่วนใหญ่ที่เคยผ่านการทดลองสิ่งต่างๆ มามากมาย ตรงที่เขาเป็นคนยืดหยุ่นครับ เขาเข้าใจมุขในระดับที่จำเป็น เขารู้สึกว่าผมเห็นคุณค่าของแก่นแท้ของเรื่องที่เขาทำด้วยการเขียนหนังสือเรื่องนี้ เขาเป็นคนน่ารักมากครับและผมก็สามารถทำให้เขาหยุดเรื่องส่วนใหญ่ในชีวิตเพื่อมาดูระหว่างถ่ายทำ เพราะบ็อบ เดอ นีโร, พอล ดาโนและผมรู้สึกว่าน่าจะมีใครซักคนที่บอกเราได้ว่ามันเป็นเรื่องไร้สาระรึเปล่าน่ะครับ

              ตอนที่ผมพบกับนิคครั้งแรก ผมบอกว่า “ผมอยากขออะไรคุณหน่อย ผมอยากจะคุยถึงตัวละครที่ชื่อนิค ฟลินน์ ผมจะไม่บอกว่า ‘คุณทำอย่างนี้’ หรือ ‘คุณทำอย่างนั้น’ มันจะเป็น ‘นิคทำอย่างนี้’ หรือ ‘นิคทำอย่างนั้น’ มันโอเครึเปล่า” และนิคก็โอเคครับ แม้ว่าผมคิดว่าเขากำลังเขียนบันทึกเกี่ยวกับประสบการณ์ของการสร้างหนัง…

              เขาสามารถดึงความรู้สึกให้ถอยห่างจากสิ่งต่างๆ และสะกดอีโก้ของตัวเองเอาไว้ เพื่อที่เขาจะสามารถมองเห็นได้ชัดเจนขึ้นว่าเกิดอะไรขึ้นในโลกใบนี้บ้าง การที่เขาเชื่อในไอเดียที่ว่า นิค ฟลินน์ในหนังเป็นตัวละครตัวหนึ่งทำให้ผมมีอิสระที่จะให้ตัวละครตัวนี้พูดและทำในสิ่งที่นิคไม่เคยทำหรือพูดน่ะครับ

              เพียงแค่การเขียนบันทึกก็เป็นการก้าวออกห่างจากสิ่งที่เราคิดว่าเป็นความจริงแล้วล่ะครับ นิคเข้าใจว่า แม้กระทั่งในการเขียนบันทึก มันก็เป็นการสร้างตัวละครขึ้นมา มันทำให้เขาแตกต่างจากคนในวงการวรรณกรรมที่ตอนหลังถูกเปิดเผยว่าโกหกเกี่ยวกับประวัติส่วนตัวของพวกเขาน่ะครับ

              สิ่งที่เหมือนๆ กันสำหรับเราคือความรู้สึกที่ว่าพวกเราต่างก็กระหายใคร่รู้ว่าตัวเราได้สืบทอดสิ่งต่างๆ มามากมายแค่ไหน แล้วเราสามารถสร้างตัวเราได้มากแค่ไหน เราทั้งคู่อยากจะทำตัวไม่เสแสร้ง [หัวเราะ] ผมอยากจะไปถึงจุดนั้น แต่ผมก็คิดว่านิคทำสำเร็จแล้วครับ

              เมื่อคุณโตขึ้น คุณก็จะเกิดความรู้สึกที่ว่าคุณไม่ได้มีเพื่อนใหม่เลย แต่นี่ให้ความรู้สึกเหมือนมิตรภาพที่มีคุณค่า ว่านิคเป็นเพื่อนทางไกลน่ะครับ

Q:              คุณทำงานกับเขาแบบทางไกลในเรื่องของบทนานหลายปี

A:              เมื่อคุณเขียนดราฟท์มากมายมาเป็นเวลาเจ็ดปี คุณก็จะเกิดความคิดว่าคุณอาจต้องเขียนรีไรท์ไม่รู้จักจบจักสิ้น โดยไม่ได้สร้างเป็นหนังก็ได้ ซึ่งฟังดูมันอาจเป็นเรื่องเลวร้าย แต่จริงๆ แล้ว มันก็เป็นเรื่องที่สร้างความมั่นใจทีเดียวนะครับ เพราะถ้าคุณไม่ได้สร้างหนังเรื่องนี้ คุณก็ไม่ต้องทนกับหนังที่อาจจะไม่เป็นไปตามศักยภาพเท่าที่คุณเห็น

              โชคดีที่ผมไม่ต้องใช้เวลาสร้างหนังเรื่องนี้สี่ปี เพราะนั่นคงต้องเป็นหนังในสตูดิโอที่มีภารกิจในการสร้างหนังเมนสตรีม ซึ่งคงเป็นเรื่องเลวร้ายสำหรับหนังเรื่องนี้ พวกเขาเป็นทีมผู้สร้างที่รังสรรค์งานของตัวเองในถ้ำสูญญากาศและไม่คำนึงถึงเรื่องเชิงการค้าเลย แต่ผมไม่ได้อยู่ในถ้ำสูญญากาศนั้นครับ [หัวเราะ] ผมได้เรียนรู้มากมายจากข้อผิดพลาดของผม รวมทั้งสิ่งที่ผมทำได้อย่างถูกต้อง ระหว่างที่ผมกำลังถ่ายทำ Being Flynn ผมก็รู้สึกว่าผมได้ใช้ความรู้ทั้งหมดที่ผมได้เรียนรู้มาตลอด 10 ปีที่ผ่านมาในการสร้างหนัง ในการสร้างหนังเรื่องนี้ให้เป็นอย่างที่มันควรจะเป็นให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้

              พอถึงเวลาที่หนังเรื่องนี้ได้สร้างขึ้นจริงๆ ผมก็มั่นใจในกระบวนการตัดสินใจเกี่ยวกับสุนทรียศาสตร์ของผม ซึ่งทำให้ผมสามารถถ่ายทำ Being Flynn ได้อย่างรวดเร็ว ภายในตารางการทำงานที่เร่งรีบน่ะครับ

Q:              ในแง่ของการดัดแปลง ดราฟท์สุดท้ายที่ถูกถ่ายทำ อะไรคือความเปลี่ยนแปลงหรือการขยายที่ชัดเจนที่สุดที่คุณต้องทำล่ะ

A:              ผมต้องยอมรับว่าด้วยความที่ทุนเราน้อย ผมก็ไม่สามารถถ่ายทำอะไรหลายๆ อย่างที่จะไม่อยู่ในหนังได้ ผมจะไม่สามารถทดลองอะไรบางอย่างได้ ผมจะต้องยึดเอาแต่แกนกลางของมันล้วนๆ ครับ

              ซึ่งแกนกลางที่ว่าเท่าที่ผมเห็นก็รวมถึงสิ่งในบันทึกที่นิคอาจไม่จำเป็นต้องพูดถึง เช่นเหตุผลในการเกลียดตัวเอง และการที่เรารับมือกับมัน ผมคิดว่านิคไม่ได้จงใจจะพูดถึงเรื่องนั้น แต่ในบันทึกเกี่ยวกับการทำร้ายตัวเอง มันก็จะต้องรวมอยู่ในนั้นด้วยครับ

Q:              คุณจะต้องใส่เอามุมมองเข้าไปด้วย ไม่อย่างนั้น คุณคงสร้างหนังไม่ได้หรอก

A:              แน่นอนครับ แต่ผมก็อยากจะให้เกียรติโครงสร้างแบบบทกวีของหนังสือเรื่องนี้ด้วย มีคำอุปมาอุปมัยบางอย่างจากหนังสือซึ่งถูกตัดออกไปเพื่อแทนที่ด้วยคำอุปมาอุปมัยอื่นๆ จากหนังสือ

              มีส่วนหนึ่งในหนังสือที่นิคพบว่าปู่เขาเป็นผู้ประดิษฐ์เรือชูชีพ และอีกตอนหนึ่งที่นิคใช้ชีวิตอยู่บนเรือยอทช์และซ่อมแซมมัน ผมใส่เอาเรื่องนั้นอยู่ในดราฟท์สองสามครั้งก่อนที่จะตระหนักว่าผมจะต้องโฟกัสไปที่อีกช่วงเวลา ตอนที่เขาใช้ชีวิตอยู่ใน “โซนสงคราม” ในบอสตันน่ะครับ

Q:              และอยู่บนบกด้วย

A:               [หัวเราะ] ครับ…ผมมั่นใจว่ามีหลายเรื่องที่ผมตัดออกไป แต่ผมก็นึกไม่ออกครับ ไม่ใช่ว่าผมไม่ชอบพวกตอนที่ผมตัดออกไป แต่คุณใส่เรื่องราวเข้าไปในหนังได้จำกัดน่ะครับ

Q:              คุณพูดถึงบอสตัน การค้นคว้าข้อมูลกับนิคที่นั่นเป็นอย่างไรบ้าง มันทำให้คุณยิ่งมุ่งมั่นที่จะสร้างหนังเรื่องนี้ หรือคุณกลัวกับสิ่งที่คุณพบรึเปล่า

A:              ผมก็มีความรู้สึกที่จะมองมันอย่างคนเร่ร่อน วิธีการของผมคือนี่ไม่ใช่หนังเกี่ยวกับคนเร่ร่อน แต่เกี่ยวกับปัจเจกบุคคล นิคสนใจในแทบทุกคนที่เขาได้เจอ และนั่นก็เป็นสิ่งที่ผมพยายามจะเป็นด้วยเช่นกันครับ ทุกคนต้องรับมือกับปีศาจของตัวเองครับ

              การที่เราไปเยือนที่นั้นช่วยขจัดความกังวลของเราเพราะผมสามารถอัพเดทให้นิคฟังถึงการทำงานและผมก็เริ่มเก็บข้อมูลเพื่อเติมเต็มวิสัยทัศน์ของตัวเองได้ เรากลับไปที่นั่นหลายปี หลังจากที่นิคอยู่ที่นั่น ทำงานในที่พักพิงเต็มเวลา และการตั้งชื่อใหม่ให้กับที่พักพิงในเรื่องก็ทำให้เรามีอิสระมากขึ้น ในแง่ของการใช้เวลากับคนตามท้องถนน ผมเคยทำแบบนี้มาก่อน ดังนั้น มันก็เลยน่าหวาดหวั่นน้อยลงครับ

Q:              พูดถึงความน่าหวาดหวั่น คุณคิดภาพโจนาธาน ฟลินน์ไว้ว่าอย่างไรก่อนที่จะได้เจอกับเขาตัวเป็นๆ

A:              เขาเป็นอย่างคำร่ำลือครับ [หัวเราะ] ครั้งแรกที่ผมได้พบกับเขา เรานั่งอยู่ในอพาร์ทเมนต์ของเขา เราคุยกัน แล้วตอนหนึ่ง เขาก็ดึงเอามีดขนาดใหญ่ ซึ่งผมก็ไม่มั่นใจว่าเป็นมีดทำครัวรึเปล่า แต่มันยาวประมาณสองในสามของมีดพร้า…คือมันเป็นมีดใหญ่นั่นแหละครับ แล้วเขาก็กวัดแกว่งมันตรงหน้าผม เพื่อดูว่าผมจะมีปฏิกิริยายังไงมั้งครับ [หัวเราะ] ผมไม่กระดุกกระดิกเลย

              ผมสนุกกับการได้พูดคุยกับเขา สิ่งสำคัญที่ติดในใจผม ซึ่งคล้ายกับพ่อของผม คือการพูดจาที่คล่องแคล่วของเขา เขาพูดในแบบที่คนสมัยนี้ไม่พูดกันน่ะครับ

              เขาเป็นนักเล่าเรื่อง และในระดับหนึ่ง หนังเรื่องนี้ก็เกี่ยวกับการเล่าเรื่องในฐานะกลไกในการเอาชีวิตรอด โจนาธานในชีวิตจริงและตัวละครในเรื่องให้ความรู้สึกของการเป็นนักเล่าเรื่อง ด้วยการประมวลสิ่งที่พวกเขาพบเจอและท้ายที่สุด ก็ได้เปลี่ยนมันให้กลายเป็นศิลปะ มันทำให้เขาแบ่งแยกตัวเองออกจากคนอื่นๆ รอบด้าน ในที่พักพิงคนเร่ร่อนหรือในการใช้ชีวิตอยู่ข้างถนน เขามีชะตากรรมยิ่งใหญ่ เขาเป็นนักสังเกตการณ์ที่รู้สึกขบขัน สิ่งที่คนอื่นมองว่าเป็นสถานการณ์เศร้าสลด เขาก็เปลี่ยนให้กลายเป็น King Lear เพียงแต่เขาไม่ใช่กษัตริย์เลียร์ แต่เขาเป็นคนเขียนเรื่อง King Lear ครับ

Q:              คุณเคยร่วมงานกับโรเบิร์ต เดอ นีโรมาก่อนและเขาก็ถูกทาบทามสำหรับโปรเจ็กต์นี้มาได้ซักพักแล้ว มันคงทำให้คุณคุ้นเคยกับเขาดี แต่การได้กำกับเขาในฐานะโจนาธาน ฟลินน์จริงๆ แล้วเป็นอย่างไรบ้าง

A:              ผมดีใจครับ และดีใจที่เขาแคร์มากแค่ไหน ผมประทับใจที่ว่าเขาทำงานหนักแค่ไหนและเขาให้ความเคารพกับทุกคนมากแค่ไหน โดยเฉพาะกับนิคและสิ่งที่นิคได้สร้างสรรค์ขึ้นมา นอกจากนี้ เขายังให้ความเคารพกับศิลปะของเขาด้วยการพูดถึงมัน ก่อนแต่ละเทค ผมจะเห็นเขาแยกตัวออกไปเพื่อทำสมาธิในการเข้าสู่ช่วงเวลานั้นและตัวละครตัวนี้ ผมพยายามจะสังเกตว่าเมื่อไหรที่เขาอยากจะอยู่คนเดียว เพื่อที่จะไม่เกะกะขวางทางเขาน่ะครับ

              โจนาธานมีโมโนล็อคยืดยาวที่ขบขัน ตอนที่มันเป็นตัวอักษร มันก็จะยาวกว่าสิ่งที่จะปรากฏในหนัง การมีโมโนล็อคยาวๆ เป็นจุดอ้างอิงให้บ็อบเข้าไปและออกมา บางครั้งผมก็จะพูดกับเขาว่า “คุณอยากจะทำส่วนนี้ของตรงนี้ ที่ผมรู้สึกว่าจะอยู่ใน [ฉบับสมบูรณ์] รึเปล่า” แต่เขาก็จะจดจำพวกประโยคพูดกับตัวเองทุกคำพูดได้แล้ว เขาอยากจะคงคาแรกเตอร์เอาไว้ ซึ่งก็เป็นเรื่องเยี่ยมมาก

Q:              พอล ดาโน ไม่เหมือนกับโรเบิร์ต เดอ นีโร ตรงที่เขาไม่ได้ถูกวางตัวสำหรับโปรเจ็กต์นี้นานหลายปี คุณได้ทำความเข้าใจกับดาโนถึงวิสัยทัศน์ที่คุณขัดเกลาสำหรับบทเรื่องนี้อย่างไรบ้าง

A:              ผมได้พบกับพอลเมื่อหลายปีก่อน ผมชอบผลงานของเขาใน The Ballad of Jack and Rose และ L.I.E มากจนผมพาเขาไปกินอาหารเที่ยง [หัวเราะ] ด้วยความหวังว่าซักวันหนึ่งเราจะได้ทำงานด้วยกัน และเราก็ได้ทำงานร่วมกันจริงๆ ครับ!

              ในฐานะนักแสดง พอลกระตือรือร้นที่จะไม่หงอใครทั้งนั้น ซึ่งคุณก็คงรู้สึกได้จากผลงานของเขาใน There Will Be Blood ในขณะเดียวกัน เขาก็สุภาพ ฉลาด และสามารถวิเคราะห์เรื่องราวได้ กับพอล ผมได้คุยเรื่องบทแทบจะบรรทัดต่อบรรทัด เราคุยกับถึงสิ่งที่เราคิดว่าเกิดขึ้น ถ้ามีตอนไหนที่เขาไม่เข้าใจหรือคิดว่าไม่ดี ผมก็จะเถียงกับเขาหรือไม่ก็เห็นด้วยกับเขา ซึ่งส่วนใหญ่ผมก็เห็นด้วยกับเขาครับ

              นิคเป็นตัวละครที่คลุมเครือกว่าโจนาธานสำหรับผม อาจเป็นเพราะนิคเป็นคนยุคเดียวกับผม มันมีอันตรายของการที่ตัวละครตัวนี้จะกลายเป็นผู้สังเกตการณ์ที่ไม่เคลื่อนไหว เพราะโจนาธานเป็นคนที่เคลื่อนไหวและสร้างความวุ่นวายเหลือเกิน พอลเป็นนักแสดงที่เฉพาะเจาะจงและมีเอกลักษณ์อย่างมาก ผมรู้สึกว่ามันเป็นประโยชน์อย่างยิ่งและก็ถือว่าผมโชคดีครับ

Q:              คุณได้รับแรงกระตุ้นที่จะนำคนทั่วไปจริงๆ ไม่ใช่นักแสดง มาอยู่ในฉากที่พักพิงและฉากศูนย์บำบัดยาเสพติดนิรนาม มันเป็นอย่างไรบ้าง

A:              มันออกมาเยี่ยมเลยครับ คนที่ไม่ใช่นักแสดงก็ต้องรับมือกับประเด็นเดียวกับนักแสดง ซึ่งก็คือมันเป็นเรื่องยากที่จะรักษาบางสิ่งให้สดใหม่ พวกเขาไม่เคยชินกับการที่คุณอาจต้องแสดงฉากนั้น 10 ครั้งโดยที่กล้องหันไปจากคุณ แล้วคุณก็ต้องแสดงเวลาที่มีกล้องจับจ้องมาที่คุณด้วย ถ้าผมต้องพูดแบบง่ายๆ ก็คือคงเป็นเพราะว่าพวกเขารู้ว่าอะไรปลอมหรือไม่ปลอมน่ะครับ

Q:              ในการทำงานร่วมกับผู้กำกับภาพดีแคลน ควินน์ ผู้ถ่ายทำภาพยนตร์อินดีมาแล้วหลายเรื่อง คุณพบว่าตัวเองได้สร้างสไตล์การถ่ายทำใหม่ขึ้นมาสำหรับ Being Flynn รึเปล่า

A:              เราได้กำหนดทุกอย่างไว้ล่วงหน้าครับ บางอย่างที่เราทำก็ให้ความรู้สึกท้าทาย เมื่อดูจากตารางการทำงานแล้ว ตอนที่ผมได้พบกับดีแคลนครั้งแรก เราคุยกันถึงสุนทรียศาสตร์ของ The 400 Blows ซึ่งให้ความรู้สึกเป็นธรรมชาติ แต่ในขณะเดียวกัน ก็มีการถ่ายทำที่กระชับ และผ่านการวางแผนมาอย่างงดงามและเหลือเชื่อ เป็นการลำดับภาพโดยไม่ต้องมีการคัทน่ะครับ

              ผมชอบลักษณะที่ดีแคลนจัดองค์ประกอบของช็อตแฮนด์เฮลใน In America ตัว Being Flynn เองต้องมีความรู้สึกแบบแฮนด์เฮลบ้าง แต่ตอนนี้แฮนด์เฮลก็กลายเป็นความรู้สึกที่เฝือไปแล้วเพราะมันถูกใช้ในจอแก้วบ่อยๆ ผมก็เลยอยากได้ส่วนผสมของทุกอย่างที่ถูกวางแผนเอาไว้ และสิ่งที่เกิดจากความรู้สึกข้างในครับ

Q:              คุณรู้สึกว่าคุณอาจนำสิ่งที่คุณได้เรียนรู้จากการถ่ายทำหนังเรื่องนี้ไปใช้ในหนังเรื่องถัดไปของคุณบ้างรึเปล่า

A:              ผมคิดว่าอย่างนั้นนะครับ มันมีหลายวิธีมากที่จะทำให้ประสบการณ์การถ่ายทำหนังเป็นเรื่องเฉยชา ถ้าพวกมันมีความหมายบางอย่าง ชัยชนะก็จะต้องเป็นเรื่องส่วนตัว ถ้าคุณนึกถึงว่าจะต้องมีคนมองเห็นอะไรบางอย่าง คุณก็แพ้ไปเรียบร้อยแล้วครับ ผมหวังว่าผมจะทำงานด้วยความกลัวที่น้อยกว่าที่ผมรู้สึกในอดีตนะครับ

              การเขียนบทละครเวที อย่างที่ผมทำมาตลอด 10 ปีที่ผ่านมา ก็เป็นมุมมองดีๆ ที่ใส่เข้าไปในการถ่ายทำหนังได้เหมือนกัน โดยธรรมชาติแล้ว ผู้ชมมีขนาดเล็กกว่า และความต้องการรูปแบบก็แตกต่างกันเหลือเกิน ปกติแล้ว ผมไม่ได้กำกับละครที่ผมเขียนบท ในฐานะนักเขียนบทละคร คุณเป็นนายตัวเองและสามารถใส่ความคิดสร้างสรรค์เข้าไปได้มากเท่าที่คุณต้องการ โดยมีผู้กำกับที่วิเศษสุดครับ

Q:              ช่วงเวลาไหนบ้างที่คุณชื่นชอบในการถ่ายทำหนังเรื่องนี้

A:              ในวันแรกที่ผมถ่ายทำกับบ็อบ ผมยื่นโน้ตให้เขา ฉากนั้นเป็นฉากทที่โจนาธานมาที่ศาลหลังจากโดนยึดใบอนุญาตขับขี่รถแท็กซี และเขาก็สงสัยว่าเขาจะใช้ชีวิตอยู่ที่ไหนเพราะเขานอนในรถแท็กซีของตัวเองมาโดยตลอด ผมสนับสนุนให้บ็อบทำอะไรที่โอเวอร์เพราะโจนาธานมีนิสัยแบบนั้น ผมก็เลยขอให้เขายกมือขึ้นเหนือหัว เหมือนไชโยหลอกๆ น่ะครับ บ็อบบอกว่า “มันเป็นวันแรกของผม ผมกังวลว่าจะแสดงโอเวอร์เกินไป” เราถอยออกมาแล้วไปกันที่ช็อตอื่น แล้วตลอดทั้งวัน ผมก็พยายามกำกับเขาให้เขาชูมือขึ้นเหนือหัวน่ะครับ [หัวเราะ]

              แล้วการได้รู้ว่าพอลทุ่มเทให้กับสิ่งที่เขาทำในฐานะนักแสดงมากแค่ไหนก็เป็นเรื่องเยี่ยมมาก ในแง่ที่ว่าเขาทุ่มสุดตัวเลย การคุยเรื่องบทกับคนอื่นก็เป็นเรื่องหนึ่ง แต่การเห็นพวกเขาไม่ถือเนื้อถือตัวเลยในการค้นหาความจริงในบทนั้นๆ ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง

              แทบทุกวันผมจะเจอสิ่งที่ผมถือว่าเป็นเกียรติอย่างยิ่งครับ

Q:              ในช่วงโพสต์โปรดักชัน คุณทำงานกับแบดลี ดรอว์น บอย ผู้ซึ่งคุณเคยร่วมงานมาก่อนในดนตรีประกอบ

A:              ผมสนุกกับการร่วมงานกับเขาใน About a Boy และผมก็ฟังอัลบัมระหว่างนั้นของเขา แล้วก็ได้ฟังอัลบัมล่าสุดของเขาหลายครั้งระหว่างที่ผมถ่ายทำ Being Flynn ในหลายๆ แง่มุม ตอนนี้ ดนตรีของเขามืดหม่นลง ผมคิดว่าทั้งผมและเขาต่างก็ตื่นเต้น แต่ก็กังวลหน่อยๆ ว่าเราจะคิดอะไรขึ้นมาได้ แต่เขาก็ได้รับแรงบันดาลใจจากเรื่องราว การที่สร้างสรรค์เพลงที่จะไม่เกิดขึ้นถ้าไม่มีหนังเป็นเรื่องน่าตื่นเต้น เดมอนสามารถแต่งทำนองประกอบที่ภายหลังได้กลายมาเป็นเพลงเต็มรูปแบบครับ

Q:              หลังจากการทำงานหลายปีและดราฟท์มากมาย แล้วก็มาเจอกับตารางการถ่ายทำที่เร่งรีบ งบประมาณที่จำกัด การทำงานในห้องลำดับภาพเป็นอย่างไรบ้าง

A:              ผมแฮปปี้กับหนังที่ออกมาครับ ผมคิดว่าผมแปลกใจว่ามันใกล้เคียงกับสิ่งที่ผมหวังว่ามันจะเป็นแค่ไหน ว่าผมมีความเป็นส่วนตัวพอที่ผมจะสามารถทำในสิ่งที่ผมตั้งเป้าไว้ว่าจะทำได้ ผมรู้สึกว่าผมไม่ได้ประนีประนอมเลย คุณไม่สามารถขออะไรมากกว่านั้นได้ การที่มันจะได้รับการตอบรับอย่างไรไม่ใช่ประเด็นสำคัญครับ ผมแปลกใจว่าผมต้องตัดอะไรออกไปน้อยแค่ไหน และก็แปลกใจที่ไม่มีเรื่องอะไรเกิดขึ้นครับ

happy on April 22, 2012, 06:02:27 PM



สถานที่ถ่ายทำ

ฉากในท้องถนน

                ด้วยตารางการถ่ายทำ 36 วัน การถ่ายทำ Being Flynn มีกำหนดที่จะต้องเริ่มต้นขึ้นในเดือนมีนาคม ปี 2011 แต่ไม่กี่สัปดาห์ก่อนหน้าการถ่ายทำหลัก ทีมผู้สร้างก็ได้ใช้ยูนิทเล็กๆ เพื่อใช้ประโยชน์จากหิมะตกในนิวยอร์ก ซิตี้เพื่อถ่ายทำฟุตเตจ ตอนนั้นเองที่โรเบิร์ต เดอ นีโร ได้สวมบทของโจนาธาน ฟลินน์ คนเร่ร่อนและเดินตามท้องถนนในโลเวอร์ แมนฮัตตันเป็นครั้งแรก

              พอล ไวซ์และผู้กำกับภาพ ดีแคลน ควินน์ ได้รักษาระยะห่างจากทีมงานกลุ่มนี้ ท่ามกลางพายุหิมะ เขาเคลื่อนไหวอย่างช้าๆ และตั้งใจ คนเดินผ่านไปผ่านมาใกล้ๆ เดินหนีเขาและไม่สนใจเขา

              ผู้ที่อยู่ใกล้ๆ นั้นยังรวมถึงนิค ฟลินน์ ผู้เล่าว่า “ผมไม่เคยเห็นอะไรแบบนี้มาก่อนเลย ผู้ชายคนนี้เดินข้ามถนน ไม่มีใครจำเขาได้ ใบหน้าของเขาเปลี่ยนไป ตรงนี้คือชายเร่ร่อนของแท้ และเขาก็เป็นคนที่รักษาศักดิ์ศรีของตัวเองแม้ว่าจะถูกเหยียบย่ำด้วยสถานการณ์ต่างๆ ในชีวิตเขาก็ตามครับ”

              “ทันใดนั้น ผมก็นึกถึงการแสดงของเขาใน The Deer Hunter ที่แสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นของเขาในการจะฝ่าฟันสถานการณ์ที่เกิดขึ้นไปให้ได้ ใน Being Flynn ผมได้เห็นใกล้ๆ ว่าเขาใช้ร่างกายของเขาเพื่อทำงานที่ละเอียดอ่อนแบบนี้ได้ยังไงน่ะครับ”

              เมื่อการถ่ายทำเบื้องต้นนี้เสร็จสิ้นลง เดอ นีโรก็มุ่งหน้าไปยังโรงแรมกรีนนิช ที่เขาเป็นเจ้าของร่วม เพื่อชำระล้างร่างกาย ที่นั่น พนักงานรักษาความปลอดภัยของโรงแรมถูกเรียกตัวเพราะมีคนรายงานมีคนเร่ร่อนเข้ามาในโรงแรม สถานการณ์คลี่คลายโดยไม่มีเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้น

              ทีมงานท้าทายโชคชะตาอีกครั้งด้วยการถ่ายทำที่ท่าเรือเฟอร์รีของสเตเทน ไอส์แลนด์ในระหว่างการถ่ายทำหลัก ในฉากนี้ โจนาธานกำลังทำงาน เขาแต่งตัวเป็นลุงแซม ถือกระดานโฆษณา และยื่นใบปลิวเกี่ยวกับการขอลดหย่อนภาษี มิอาโนเล่าว่า “กล้องเดินไปประมาณห้านาที ก่อนที่คนผ่านไปผ่านมาจะเริ่มจำโรเบิร์ต เดอ นีโรภายใต้ชุดนั้นได้ ถึงตอนนั้น เราก็ได้ฟุตเตจเยี่ยมๆ ของคนที่เดินผ่านไปผ่านมารอบๆ โจนาธาน ฟลินน์แล้วล่ะครับ”

              นิคสังเกตการสวมบทโจนาธานของเดอ นีโรระหว่างการถ่ายทำดำเนินไปอย่างใกล้ชิด เขาพบว่าการแสดงของเขามี “ระดับความยิ่งใหญ่และความเป็นมนุษย์ เมื่อได้มองเขา ผมก็จำ Taxi Draiver ได้ ว่าเขาใช้ร่างกายอย่างไรและทำงานอย่างละเอียดอ่อนนี้ได้อย่างไร การที่เขาเป็นนักแสดงที่ใช้ร่างกายมากๆ สำคัญต่อบทนี้มาก เพราะตอนนั้น พ่อผมก็เป็นคนน่าสะพรึงกลัวและไร้การยับยั้งชั่งใจได้ มันก็เลยจะต้องมีความเปราะบางนั้นจากพอล ดาโนในฉากที่พวกเขาเผชิญหน้ากันน่ะครับ”

              นอกเหนือจากประวัติของครอบครัวแล้ว นิคกล่าวว่า “เหตุผลสำคัญที่ผมตกลงให้มีการสร้างหนังเรื่องนี้ในทีแรกคือมันจะไม่มีการทำให้คนเร่ร่อนเป็นเหยื่อครับ การตีความของเดอ นีโรเป็นตัวแทนความหวังของผม”

              ในหลายสัปดาห์ก่อนหน้าการถ่ายทำจะเริ่มต้นขึ้น ทั้งคู่ติดต่อกันทุกวัน นอกจากนี้ เดอ นีโรยังได้พบกับโจนาธาน ฟลินน์ ผู้ตอนนี้พักอาศัยอยู่ในศูนย์ดูแล นิคเล่าว่า “วันนั้น พ่อผมมีอาการดีมากๆ เขาเล่าเรื่องที่ทั้งหยาบโลนและตลกขบขัน เขาเล่าว่าแม่ของผมกลายเป็นรักแท้ของเขาได้อย่างไร”

              “การติดตามความคิดของพ่อผมคงเป็นเรื่องยาก เพราะมันเหมือนเครื่องเล่นในสวนสนุก แต่เดอ นีโรก็ซึมซับมัน และเขาก็สังเกตว่าพ่อของผมจะพูดเป็นประโยคยาวๆ เป็นช่วงๆ น่ะครับ”

              เดอ นีโรได้รับความช่วยเหลือในการสวมบทโจนาธานให้สมจริงยิ่งขึ้นด้วยทีมช่างแต่งหน้าและทำผมของเจอร์รี เดอคาร์โลและคาร์ลา ไวท์ และด้วยผู้ออกแบบเครื่องแต่งกาย ออเด้ บรอนสัน-โฮเวิร์ด ผู้ร่วมมือกับนักแสดงผู้นี้เป็นประจำมาตลอดกว่าสิบปี

              เช่นเดียวกับเดอ นีโรและไวซ์ ผู้ออกแบบเครื่องแต่งกายผู้นี้ก็เข้าร่วมงานในโปรเจ็กต์นี้มาได้ซักพักก่อนที่การถ่ายทำจะเริ่มต้นขึ้น เธอก็เหมือนนิค ฟลินน์ ที่มี “พ่อที่หายตัวไปหลายปี ที่ฉันไม่ได้เห็นหน้าเป็นยี่สิบปี เรื่องราวนี้มีเสน่ห์เป็นพิเศษสหรับฉัน แต่สำหรับทุกคนในเรื่องนี้ Being Flynn เป็นผลงานจากความรักค่ะ”

              “ในตอนแรก เดอ นีโรแนะนำให้ฉันอ่านหนังสือเรื่องนี้ ซึ่งยิ่งทำให้ฉันรับรู้ถึงคนเร่ร่อนและลักษณะของพวกเขามากขึ้นไปอีก หลังจากทำการค้นคว้าข้อมูลทั่วไป ฉันก็คุยเรื่องโจนาธาน ฟลินน์กับเดอ นีโร, พอล ไวซ์และนิค ฟลินน์ค่ะ”

              เธอเล่าว่า “จากประวัติของครอบครัว มีภาพน้อยมากๆ ที่เป็นจุดเริ่มต้นให้เรา หลายอย่างเกิดขึ้นจากความคิดของเราว่าเขาควรจะมีลักษณะอย่างไร นิคจะบอกเราว่าเรามาถูกทางรึเปล่า หรือเราอาจจะทำการทดลองแล้วเดอ นีโรก็รู้สึกโดยสัญชาตญาณว่า ‘ไม่น่าจะใช่แบบนี้’ น่ะค่ะ”

              “เสื้อผ้าของนิคสะท้อนถึงการขาดเสาหลักในชีวิต แต่เสื้อผ้าของโจนาธานจะยากกว่าหน่อยเพราะเขาเป็นนักเล่าเรื่องที่สวมเสื้อผ้าเก่าๆ ฉันคิดว่าเสื้อผ้าทุกตัวของเขาจะเก่าคร่ำคร่า เพราะเขาใช้ชีวิตอยู่ในนั้นน่ะค่ะ”

              เดอคาร์โลอาศัยการออกแบบเครื่องแต่งกายโดยรวมของบรอนสัน-โฮเวิร์ด “ในการทำให้ผมเข้าใจว่าทรงผมควรจะออกมาเป็นยังไง มันไม่ได้ง่ายเหมือนกับว่าเพราะเขาเป็นคนเร่ร่อน ผมเขาจะต้องสกปรก จากการค้นคว้าของเราทำให้เราได้ค้นพบว่าบางคนก็มีงานทำ แต่พวกเขาก็นอนหลับที่สถานพักพิงในตอนกลางคืน แผนกคัดเลือกนักแสดงนำคนหลากหลายประเภทมาร่วมงานกับเรา อะไรหรือใครที่ดูมีสไตล์หรือดูเหมือนตัดผมมาใหม่ๆ มากเกินไป เราก็จะทำให้ทรงผมพวกนั้นสกปรกขึ้นครับ”

              ไวท์ขยายความว่า “เราไม่ได้ทำให้ทุกคนดูแย่ แต่ ‘คนเร่ร่อน’ เป็นสิ่งที่แตกต่างออกไปสำหรับแต่ละคนและหลายคนที่อยู่ในสถานพักพิงก็อาบน้ำนะคะ แต่เราได้ทำการค้นคว้าข้อมูลเรื่องโรคผิวหนังด้วย และในท้องถนนหรือในภาพถ่าย เราก็ได้เห็นมือและเล็บที่แสดงให้เห็นว่าพวกเขาเจอกับช่วงเวลาที่ยากลำบาก เดอ นีโร ไว้เล็บของตัวเองในแบบที่ขรุขระ ซึ่งฉันไม่เคยคุยเรื่องนี้กับเขา แต่มันก็ทำให้ฉันประทับใจมากค่ะ”

              เดอคาร์โลได้ไปพบกับพอล ดาโนที่บ้านของฝ่ายหลัง “และเราก็ดูภาพของนิค ฟลินน์ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา เราคุยกันว่าจะผสมผสานลุคของพอลกับลุคของนิคได้อย่างไร ด้วยความที่นิคมีลุคมากมายตลอดหลายปีนี้ มีภาพถ่ายหนึ่งที่เราสนใจเป็นพิเศษ นิคเข้ามาแล้วบอกเราว่า ‘ทรงผมทรงนี้ดูดีนะ!’ น่ะครับ”

              เมื่อบรอนสัน-โฮเวิร์ดตั้งคำถามกับนิคเกี่ยวกับเสื้อผ้าที่สวมระหว่างช่วงเวลาที่ปรากฏในภาพยนตร์ เขาก็เล่าให้ผู้ออกแบบเครื่องแต่งกายฟังว่าเขามักจะสวมเสื้อผ้าที่ถูกบริจาคมาให้กับสถานพักพิง “ตอนนี้ นิคสวมเสื้อผ้าที่ค่อนข้างมีสไตล์ค่ะ” เธอให้ความเห็น “แต่เมื่อก่อน เขาใส่แต่เสื้อผ้าโทรมๆ”

              ด้วยความที่ไม่ได้มีการพูดถึงชื่อเมืองออกมา ไวซ์ “ไม่อยากให้คุณสามารถบอกได้ว่ามันเป็นปีอะไร ออเด้, คาร์ลาและผมก็ไม่ได้ใช้สไตล์ ‘พีเรียด’ น่ะครับ” เดอคาร์โลบอก “ภาพแฟลชแบ็คเป็นฉากในย่านชนชั้นกลางล่าง เราก็เลยไม่ได้มีอะไร ‘ป็อป’ มากมายนักอยู่แล้ว เมื่อเวลาในเรื่องผ่านไป พอลก็ไม่อยากจะเห็นอะไรที่ร่วมสมัยเกินไปด้วยครับ”

              สำหรับยุคแรกๆ ของชีวิตของนิคที่ปรากฏในภาพยนตร์ บรอนสัน-โฮเวิร์ดได้เล่าว่า “สำหรับโจดี้ นิคเล่าให้เราฟังว่าเธอสร้างบรรยากาศแบบไหน แทนที่จะเป็นว่าเธอใส่เสื้อผ้าแบบไหน ครอบครัวนี้ไม่มีเงินมากนัก เธอก็เลยไม่ได้มีเสื้อผ้าหลายตัวนักหรอกค่ะ”

              ไวท์ตั้งข้อสังเกตว่า “สำหรับการปรากฏตัวครั้งหนึ่งของโจนาธานในฉากแฟลชแบ็ค เราไม่ได้พยายามทำให้เขาหนุ่มขึ้น เขากำลังเล่นบอลกับลูกชายเขา แต่นี่เป็นเพียงแค่ความทรงจำของนิคสำหรับสิ่งที่เขาหวังให้เป็นในตอนนั้น แม้ว่าพ่อจะไม่ได้อยู่กับเขาก็ตาม เราก็เลยเลือกที่จะให้โจนาธานมีหน้าตาเหมือนกับที่เขาเป็นหลังจากที่นิคได้เห็นเขาเป็นครั้งแรกในรอบหลายปีน่ะค่ะ”

              ในการร่วมงานกับเดอ นีโร เดอคาร์โลยืนยันว่า “เขาเป็นนักแสดงแบบที่ดึงเอาตัวละครมาจากข้างใน ลึกเข้าไปในใจ เขารู้ว่าคงจะดีกว่าถ้าเขาจะไว้ผมให้ยาวขึ้นสำหรับโปรเจ็กต์นี้ แต่ผมเชื่อว่าสำหรับเขาแล้ว สิ่งที่มองเห็นได้ เช่นผม เสื้อผ้า เมคอัพ เป็นสิ่งที่สำคัญรองลงมาครับ”

              “ลุคของโจนาธาน ฟลินน์ในตอนเริ่มต้นเรื่องเป็นอะไรที่กลมกลืนกว่า เมื่อชีวิตเขาเริ่มไปคนละทิศละทาง เขาก็โทรมลง แต่เราก็ได้เห็นบางฉากที่เขายังคงดูแลตัวเอง”

              ไวท์กล่าวว่า “พอล ไวซ์อยากให้ตัวละครมีลุคที่สมจริง เราจะต้องนำเสนอตัวละครเหล่านี้ให้กับผู้ชม โดยไม่ใช้เมคอัพอย่างชัดเจนจนผู้ชมจะรู้สึกได้ สำหรับพอล ดาโน มันต้องเบาบางเป็นพิเศษ คุณจะต้องแต่งแต้มตาของเขาเพื่อทำให้เขาดูแข็งกร้าวขึ้นหน่อย โทรมลงหน่อย การแสดงของเขาจะจัดการที่เหลือเองค่ะ”

              “เราพยายามที่จะนำเสนอบางช่วงตอนในชีวิตของโจนาธานผ่านทางเมคอัพ ยกตัวอย่างเช่น การทำให้ผิวของโรเบิร์ต เดอ นีโรแดงขึ้นในตอนที่โจนาธานออกไปตรากตรำในถนนนานๆ”

              บรอนสัน-โฮเวิร์ดขยายความว่า “เรามีลำดับขั้นสำหรับโจนาธาน พอถึงขั้นที่ 7 เขาก็ไม่ได้มีสภาพที่ดูดีเลยทั้งเพราะการติดเหล้า การอยู่กลางแจ้งและความหยิ่งยะโสของตัวเขาเองน่ะค่ะ”

              “ฉันพบว่าคนที่นอนข้างนอกรั้วสถานีรถไฟใต้ดินสวมเสื้อผ้าหลายชั้น เราก็เลยนำเสนอภาพโจนาธานที่มีกระดาษทิชชูเสียบอยู่ตรงหมวกของเขา และสวมถุงมือสามหรือสี่คู่ ทั้งหมดนี้ถูกติดรวมกันเป็นหนึ่งชุดค่ะ”

              ผู้ออกแบบเครื่องแต่งกายเล่าว่า “ไม่มีใครที่จะทุ่มเทมากไปกว่าโรเบิร์ต เดอ นีโรอีกแล้ว ถ้ามันมีเสื้อผ้าให้เลือกห้าแถว เขาก็จะลองมันทุกตัวเพื่อให้แน่ใจว่าผลที่ออกมาจะถูกต้อง สำหรับ ‘การถ่ายทำก่อน’ ในหิมะ เราลองเสื้อผ้ากันที่โรงแรมกรีนนิชแล้วเขาก็เดินออกไปเลยค่ะ”

              ไม่ได้มีเพียงเดอ นีโรและดาโนเท่านั้นที่ต้องถูกแปลงโฉม ซาราห์ โนว์เลส (Warm Springs) ผู้ออกแบบงานสร้างเจ้าของรางวัลเอ็มมี อวอร์ดและทีมงานของเธอยังได้เปลี่ยนแปลงภายในของโรงเรียนเซนต์แพทริค ที่ตอนนี้ถูกปิดไปแล้ว ในย่านโซโหของแมนฮัตตันเสียใหม่เพื่อให้เป็นสถานพักพิงที่ฮาร์เบอร์ สตรีท อินน์ในเรื่อง ในทางกลับกัน บาร์บรู๊คลิน ซึ่งเป็นซากอารยธรรมของกรีนพอยท์ ก็กลายเป็นกู๊ด ไทม์ ไนท์คลับที่กลายเป็นที่พัก ที่นิคและรูมเมทของเขาใช้ชีวิตอยู่

              ชีวิตจริงและชีวิตในภาพยนตร์อยู่ในวังวนเดียวกัน ตามที่นิคได้ขยายความว่า “กู๊ด ไทม์เป็นที่ที่ผมพักอยู่ในตอนที่ทำงานที่สถานพักพิงในบอสตัน ตอนที่ผมไปจากบอสตัน ผมก็ใช้ชีวิตอยู่ในบรู๊คลิน แค่ 10 บล็อคจากบาร์ที่เราถ่ายทำกันอยู่น่ะครับ”

              สำหรับนิค การอยู่ประจำในกองถ่ายเป็นสิ่งที่เขาพบว่าน่าพึงพอใจอย่างยิ่ง เขาเล่าว่า “สำหรับผม ความทรงจำเป็นเหมือนหนังครับ คุณจะผ่านประสบการณ์นั้นๆ แล้วได้ ‘เห็น’ เรื่องพวกนั้นหลังจากนั้นครับ”

              “ขณะที่ผมนั่งลงและนึกถึงความทรงจำที่สะเทือนอารมณ์เกี่ยวกับพ่อของผมและผู้คนในชีวิตผม ผมก็จะมักพบสิ่งอื่นๆ ในช่วงเวลาเหล่านี้ขณะที่เหตุการณ์คลี่คลายออกมา ในการบอกเล่าเรื่องราวนี้ ผมไม่เคยอยากให้มีการจำกัดด้านอารมณ์ หรือตีความมันง่ายๆ ดังนั้น มันก็เลยเป็นเรื่องที่คุ้มค่าและบางครั้งก็สั่นประสาทในการได้เห็นนักแสดงที่มีพรสวรรค์เหล่านี้ทำงาน ในตอนที่พวกเขาถ่ายทำ คุณจะเห็นอารมณ์ที่ผ่านไปบนใบหน้าของนักแสดง จากอารมณ์หนึ่งเปลี่ยนไปเป็นอีกอารมณ์หนึ่ง สำหรับผมแล้ว นั่นเป็นสิ่งที่ใกล้เคียงที่สุดกับความรู้สึกของผมในช่วงเวลานั้นที่ผมประสบพบเจอน่ะครับ”

              การตอบโต้ระหว่างเดอ นีโรและดาโนเกินกว่าที่ทุกคนคาดหวังเอาไว้ มันมีความผูกพันระหว่างนักแสดงด้วยกัน แต่มันก็เป็นความผูกพันที่มีปฏิสัมพันธ์ที่สะท้อนถึงความไม่ลงรอยระหว่างตัวละครของทั้งคู่ด้วย ดาโนกล่าวอย่างตื่นเต้นว่า “การร่วมงานกับเขาสร้างแรงบันดาลใจจริงๆ ครับ วันแรกที่ผมอยู่ในกองถ่าย ผมก็เกิดความคิดขึ้นมาว่า ผมอยู่ในกองถ่ายกับโรเบิร์ต เดอ นีโรเชียวนะ! และโชคร้ายที่กล้องก็กำลังหมุนไป ผมต้องรีบกำจัดความรู้สึกพวกนั้นทิ้งไปซะ เพราะพวกเราทั้งคู่ต่างก็มีบทเยี่ยมๆ ต้องแสดงน่ะครับ”

              “ผมไม่แน่ใจว่าจะมีอะไรเกิดขึ้นจากเขาบ้าง ซึ่งเป็นสิ่งที่คุณอยากได้จากนักแสดงทุกคนที่คุณร่วมงานด้วย มีบางครั้งที่เขาจะพูดบทพูดที่เขาคิดขึ้นมาเอง และผมก็จะประมวลผลมันแล้วพยายามจะกลั้นยิ้มเพราะเขาช่วยยกระดับมันขึ้นไปอีก โชคดีที่ส่วนใหญ่แล้วมันจะเกิดขึ้นตอนที่ผมไม่ได้อยู่ในช็อตนั้นน่ะครับ”

              มิอาโนเล่าว่า “พวกเขาแสดงฉากหนึ่งที่โจนาธานกำลังเถียงกับลูกชายของเขา และผมก็คิดว่า ‘นี่เป็นช่วงเวลาที่ผมจะจำไว้ตลอดไป การที่นักแสดงที่ยอดเยี่ยมสองคนถกเถียงกันแทบเป็นแทบตาย’ น่ะครับ”

              นิคกล่าวชื่นชมว่า “ฉากที่พวกเขาแสดงด้วยกันทรงพลังมาก พวกเขาต้องสู้กันทางด้านอารมณ์แต่มันก็ถ่ายทอดถึงเรื่องราวความรักด้วยครับ”

              “ผมจะดูนักแสดงแสดงซัก 10 เทคและอย่างน้อย 5 เทคก็จะดูเพอร์เฟ็กต์สำหรับผม พอล ไวซ์เปิดกว้างต่อการทดลองสิ่งต่างๆ ในหลายทิศทาง ผมไม่รู้ว่าเขารักษาสมดุลในหัวของเขาได้อย่างไร ในการกำกับหนังและทำงานในฐานะมือลำดับภาพไปพร้อมๆ กันน่ะครับ”

              ในการทำให้แน่ใจว่าการนำเสนอคนเร่ร่อนของภาพยนตร์เรื่องนี้จะสมจริง นิคได้จัดการให้มีการประชุมทีมผู้สร้างขึ้นที่องค์กรไม่แสวงผลกำไรหลายแห่งที่เขาและเทย์เลอร์มีส่วนร่วมด้วย

              ทีมผู้สร้างได้ไปเยือนโบเวอรี มิชชันในย่านโลเวอร์ แมนฮัตตันและเอดส์ เซอร์วิส เซ็นเตอร์ (เอเอสซี) ทีมงานและนักแสดงได้พบกับคนที่มีเรื่องราวทรงพลังของการฟื้นตัวเองจากการเป็นคนเร่ร่อนและติดยา ไวซ์ประทับใจมากจนเขารวมเอาคนบางคนและเรื่องราวของพวกเขาบางเรื่องเข้าไปในภาพยนตร์เรื่องนี้ด้วย

              ในบรรดาทีมนักแสดงที่ไม่ได้เป็นมืออาชีพและมีบทพูดคือลอเรนโซ เมอร์ฟีย์ เขาเล่าว่า “น้องสาวผมบอกกับผมว่า ‘คนจากกลุ่มบทกวีของพี่ [ที่เอเอสซี] พยายามจะติดต่อพี่แน่ะ’ เขาคือนิค ฟลินน์ครับ ผมก็เลยไปทดสอบหน้ากล้อง แล้วได้รับเลือกเป็นคนติดมอร์ฟินน ผมไม่รู้ว่ามันเป็นยังไง ผมก็เลยทำการค้นคว้าข้อมูลนิดหน่อยครับ”

              “การแสดงฉากนั้นทำให้ผมกลัวเพราะมันเหมือนการกลับไปอยู่ในคลินิคยาเสพติดนิรนามอีกครั้ง มันสมจริงขนาดนั้นเลยนะครับ พอล ไวซ์ทำได้จริงๆ ผมรู้สึกว่าหนังเรื่องนี้จะสร้างแรงบันดาลใจให้คนฟังเรื่องราวของคนอื่นและทำให้ชีวิตตัวเองดีขึ้นน่ะครับ”

              มิอาโนตั้งข้อสังเกตว่า “เราคัดเลือกนักแสดงอย่างจริงจังมากๆ มันอาจเป็นส่วนที่ผมชื่นชอบมากที่สุดในการสร้างหนังก็ได้ แต่การได้คนที่ไม่ใช่นักแสดงเหล่านี้มาอยู่ในหนังก็ช่วยเสริมสร้างความสมจริงให้กับเราและประสบการณ์ของคนเหล่านี้ก็ช่วยทำให้เราบรรลุถึงสิ่งที่เราต้องการได้อย่างแนบเนียน คนพวกนี้อาจเป็นเพียงช่วงเวลาสั้นๆ ในหนัง แต่ก็เป็นคนที่สมจริงที่สุดด้วย ใบหน้าของพวกเขาจะเป็นใบหน้าที่คุณจดจำได้ครับ”

              “จากประสบการณ์ของนิคและโจนาธาน ในการฟื้นฟูความสัมพันธ์ระหว่างกันและกันและอดีตที่พวกเขามีร่วมกัน Being Flynn ได้ตั้งคำถามที่เราทุกคนต่างก็ถามตัวเองว่า ‘เราถูกชะตากรรมกำหนดให้เป็นแบบพ่อแม่ของเรารึเปล่า’”

              ดาโนให้ความเห็นว่า “นิคฝ่าฟันมาได้และหนึ่งในแง่มุมของเรื่องราวนี้ที่ผมพบว่าเป็นจริงเหลือเกินคือการที่มันจบลงด้วยคำพูดที่ว่า ‘คุณจะยังคงต้องดิ้นรนรับมือกับทุกสิ่งทุกอย่าง แม้ว่าบางทีอาจไม่ใช่ทุกวันอีกต่อไปแล้ว’ น่ะครับ”

              ในการมาถึงจุดสิ้นสุดของการเดินทางเพื่อบอกเล่าเรื่องราวของเขาเป็นครั้งที่สอง นิคกล่าวว่า “สิ่งที่ผมพบจากการเขียนหนังสือคือในระดับหนึ่ง มันเป็นเรื่องเกี่ยวกับผม พ่อผมและแม่ผม แต่เมื่อคุณทำงานกับอะไรแบบนี้นานพอ เมื่อถึงจุดๆ หนึ่ง มันก็จะเปลี่ยนกลายเป็นสิ่งที่ยิ่งใหญ่กว่า ซึ่งก็หวังว่ามันจะกลายเป็นเรื่องที่เป็นสากลนะครับ”

              “ในการคุยกับนักแสดง ตัวประกอบและทีมงานในกองถ่าย ผมพบว่าคนรู้สึกผูกพันกับต้นฉบับ ทุกคนต่างก็มีความสัมพันธ์ซับซ้อนกับคนที่พวกเขารัก อาจจะเป็นพ่อแม่ พี่น้อง หรือลูกที่พวกเขาพยายามจะนำทาง และผมก็โชคดีพอที่ได้ทำเช่นนั้นครับ”