FB on August 08, 2012, 04:07:41 PM
          “เรื่องนี้ยากมากกว่าทุกเรื่องที่ผ่านมา เพราะว่าตัวละครคุณหลวงตัวนี้จะอารมณ์รุนแรงตลอด พอเห็นหน้าจันปุ๊บก็จะปรี๊ดปั๊บ ซึ่งต่างจากเรื่องอื่นๆ ที่ผ่านมาเช่น ‘ชั่วฟ้าดินสลาย’ อันนั้นเล่นเก็บอารมณ์เก็บความรู้สึกคือรับรู้เหตุการณ์ทั้งหมด รู้สึกก็แสดงออกแค่ทางสีหน้าแววตา แต่เรื่องนี้อารมณ์จะพุ่งแรงตลอด เราต้องใช้พลังในการแสดงเยอะมาก จะเหนื่อยจนท้องตัวเองเนี่ยปวดไปหมดเลย คือมันผสมผสานทั้งสภาพอากาศ สภาพสิ่งแวดล้อมตอนถ่ายทำด้วย ก็ทำให้ใช้พลังไปเยอะมาก ก็ทำให้เราบาดเจ็บได้ เหนื่อยมากครับเรื่องนี้
          ฟังแค่ชื่อเรื่องมันอาจจะสื่อไปทางด้านเซ็กส์อย่างที่เคยรู้จักกันมา แต่จริงๆ แล้วเนี่ยมันเป็นเรื่องที่มีเนื้อหาสาระมาก การทำดีได้ดีทำชั่วได้ชั่ว มันเป็นเรื่องของกรรม (การกระทำ) เป็นกงเกวียนกำเกวียนมากกว่าครับ
          ผมว่าหนังเรื่องนี้เป็นหนังที่น่าดูอีกเรื่องหนึ่งที่หม่อมตั้งใจทำและนักแสดงทุกคนก็ตั้งใจแสดงมาก ผมว่ามันคุ้มค่าในการชมที่จะได้ทั้งสาระและความบันเทิงแน่นอนครับ”

          “คุณหลวงต้องสัญญากับฉันก่อน ไม่ว่าคุณหลวงจะโกรธจะเกลียดจันมันเพียงไร คุณหลวงต้องไม่ทำร้ายมันจนถึงแก่ชีวิต ถ้าคุณหลวงรับคำฉัน ฉันจะมอบชีวิตฉันทั้งชีวิตไว้แทบเท้าคุณหลวง”
          น้าวาด (บงกช คงมาลัย) - สตรีผู้ยึดมั่นในความกตัญญูกตเวทีต่อบรรพบุรุษอันยิ่งใหญ่ เธอถูกหล่อหลอมในกรอบจารีตประเพณีอันละเอียดประณีตบรรจงแห่งกุลสตรีสยามอย่างสมบูรณ์แบบ แม่วาดงามทั้งกาย วาจา และใจ สมกับคำว่า “ผู้ดี” ทุกกระเบียดนิ้ว แต่ในส่วนลึกของเธอนั้นเต็มเปี่ยมไปด้วยเลือดเนื้อและจิตวิญญาณแห่งความเป็นสตรีเพศ เธอมีความปรารถนาอันซ่อนเร้นและบูชา “รักแท้” เยี่ยงมนุษย์ปุถุชน แต่ด้วยความกตัญญูต่อผู้มีพระคุณ ทำให้ชีวิตของเธอต้องพบกับความทรมานอย่างแสนสาหัสที่ไม่สามารถที่จะแสดงออกและปริปากได้แม้แต่คำเดียว
          “จริงๆ ตั๊กก็ดูผลงานของหม่อมน้อยมาหลายเรื่อง และก็อยากร่วมงานกับหม่อมมากๆ ทุกตัวละครในหนังของหม่อมจะมีเรื่องราว เป็นหนังไทยพีเรียดย้อนยุคที่น่าสนใจ ดูสนุก ไม่น่าเบื่อ ตอนแรกที่หม่อมติดต่อให้เข้าไปคุยก็แซวตั๊กก่อนเลยว่า เราเคยเห็นในข่าวเธอดูแรงๆ นะ (หัวเราะ) เรื่องนี้ก็อยากให้ตั๊กเปลี่ยนลุคไปจากเรื่องที่ผ่านๆ มา จะให้เล่นบท ‘น้าวาด’ ซึ่งจะเป็นหญิงไทยที่เรียบร้อยมาก จะไม่ค่อยมีอิสระเท่าไรนัก จะเป็นผู้หญิงที่ยอม ไม่มีปากเสียง ทำทุกอย่างเพื่อรักษาผลประโยชน์ไว้ แต่เป็นวิธีที่นิ่มนวลไม่รุนแรง คาแร็คเตอร์นี้จะไม่แต่งตัวเลย แล้วพอไปอยู่กับคุณบุญเลื่องเราก็จะกลายเป็นแม่บ้านไปเลย
          บทนี้ก็ยากเลยค่ะ มันต้องเก็บอารมณ์ทุกอย่าง มันนิ่งก็จริง แต่สายตาจะแสดงออก หม่อมจะไม่ได้ให้เล่นท่าทางมาก แต่จะให้ออกทางหน้าทางสายตา แล้วก็เป็นผู้หญิงอารมณ์อ่อนไหว ชอบร้องไห้ ดีใจก็ร้อง เสียใจก็ร้อง จริงๆ ตั๊กจะเป็นคนแข็งนอกอ่อนใน ร้องเฉพาะเรื่องที่เรารู้สึกไม่ดีจริงๆ แต่พอมาเรื่องนี้เราต้องร้องไห้ตลอด แล้วก็ไม่ได้ร้องนิดเดียวนะ ร้องทั้งวันเลย เพราะมันถ่ายต่อเนื่อง บางครั้งก็ต้องรอหน่อย เราก็กดดันเหมือนกัน หม่อมก็จะพูดเล่น ‘อ่ะ ทุกคนเงียบ รอตั๊กร้องไห้ ตอนนี้ทุกอย่างพร้อมแล้วรอตั๊กร้องไห้อย่างเดียว’ (หัวเราะ)
          ก่อนหน้าที่จะมาร่วมงานกันนี้ ตั๊กก็รู้ว่าหม่อมตั้งใจทำงาน ก็ต้องมีดุกันบ้าง แต่ไม่ได้กลัวนะคะ ก็ต้องมีระเบียบวินัย ซึ่งก็ทำให้การทำงานมันเป็นไปด้วยดี หม่อมจะบอกว่า การที่เราจะทำอะไรให้สัมฤทธิ์ผลได้ เราเองต้องมีวินัย ถ้าเราไม่มีวินัย เราจะทำทุกสิ่งทุกอย่างให้สำเร็จได้มันก็ยาก”

          “ถ้าคุณวาดเคยรักใครสักคน รักอย่างดื่มด่ำเป็นครั้งแรกในชีวิตสาว แต่ไม่มีโอกาสได้ร่วมชีวิตกับเค้าเลย คุณวาดจะเข้าใจถึงเหตุผลที่ดิชั้นมาอยู่ที่นี่”
          คุณบุญเลื่อง (รฐา โพธิ์งาม) - สตรีม่ายผู้เลอโฉมผู้เต็มเปี่ยมไปด้วยวิญญาณแห่งเสรีภาพ หล่อนถูกหล่อหลอมในดินแดนแห่งมนุษยชนและศิลปะชั้นสูง ณ กรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส ดังนั้นทุกหยาดหยดแห่งลมหายใจและสายเลือดจึงไร้ซึ่งกฎเกณฑ์และกรอบประเพณีแห่งสยามประเทศ
          หล่อนรักทุกชีวิตรอบข้าง โลกของหล่อนจึงสดใสงดงามเต็มไปด้วยความสุนทรียภาพอันไร้ขอบเขตและถูกถ่ายทอดออกมาอย่างประณีตบรรจง ไม่ว่าจะเป็นภาพเขียน การดนตรี หรือการขับร้อง แม้กระทั้งเสื้อผ้าอาภรณ์และทุกอากัปกิริยาในทุกวิถีแห่งอารมณ์ และนั่นเองที่ทำให้หล่อนต้องตกอยู่ในกับดักแห่งกิเลสและตัณหา
          “ตอนแรกที่หญิงรู้ว่าได้รับบทนี้ก็รู้สึกดีใจมากที่หม่อมน้อยเชื่อมั่นว่าเราแสดงได้ แต่ก็ตื่นเต้นและกังวลด้วยเพราะเป็นหนังไทยเรื่องแรกในชีวิตก็ได้รับบทใหญ่นี้เลย หญิงฝันมาตลอดว่าอยากเล่นพีเรียด พอรู้ว่าได้เล่นก็ดีใจมาก บอกตัวเองว่าจะพยายามทำให้ดี จะไม่ปิดกั้นตัวละคร และจะทำให้เต็มที่ในทุกๆ ฉาก
          สำหรับบทอีโรติกกับโอ้ หญิงจะมองให้เป็นตัวละครค่ะ เวลาเล่นก็จะคิดถึงเหตุและผลของตัวละครตลอด และคุณบุญเลื่องเองก็จะมองเรื่องบนเตียงเป็นเรื่องที่รองจากความรักอยู่แล้ว เค้ามองว่าเป็นแค่ความต้องการที่มนุษย์ทุกคนต้องมี รวมๆ แล้วการแสดงในเรื่องนี้ก็จะยากทั้งหมดเลยค่ะ ต่างกันที่ยากมากยากน้อยค่ะ
          ตัวละครมีความกลมมีมิติของตัวละครมากขึ้น คือเราไม่ได้ถูกนำเสนอไปในทางที่ว่า คุณบุญเลื่องมาแล้วเป็นเรื่องของความเซ็กซี่เพียงอย่างเดียว หรือว่าจันที่จะดีในช่วงแรก และเหตุผลที่เขาจะรุนแรงขึ้นในช่วงกลางชีวิต ตัวละครทุกตัวแม้กระทั่งคุณหลวงเอง มนุษย์ทุกคนที่เกิดมาไม่มีใครอยากเป็นคนไม่ดี เพียงแต่ว่าด้วยเหตุการณ์สิ่งแวดล้อมทุกสิ่งที่มันหล่อหลอมเรามาตั้งแต่เด็กจนโตต่างหากที่มันทำให้เราตัดสินใจในแต่ละช่วงชีวิตให้เป็นยังไง ดังนั้นเนี่ยทุกคนจะให้มากกว่าที่คนดูจะคิดว่าโอ้โหจันดาราจะโป๊แค่ไหน หญิงบอกได้เลยว่า โอเคมันต้องมีเรื่องอีโรติกอย่างที่บอกกัน แต่ว่าในความสวยงามของฉากเหล่านี้นั้น มันได้เล่าถึงความต้องการของมนุษย์ในแต่ละมุมของแต่ละตัวละคร ดังนั้นเวลาเข้าไปดูเนี่ยอยากให้ดูแล้วคิดตาม และสุดท้ายคุณจะได้อะไรจากหนังเรื่องนี้เยอะมากๆ ค่ะ”

          “แก้วจะฟังทุกเรื่องที่คุณแม่สอน ยกเว้นเรื่องไอ้จัน คุณแม่ก็ดีแต่เข้าข้างมัน ไอ้จันมันทำอะไรก็เห็นดีเห็นงามไปหมด เพราะอะไรน่ะเหรอ เพราะคุณแม่รักมัน คุณแม่รักไอ้จันมากกว่าลูกในไส้ของตัวเอง”
          คุณแก้ว (โช นิชิโนะ) - วิไลเลข วิสนันท์ หรือ คุณแก้ว เป็นสตรีที่ตกอยู่ในชะตากรรมอันโหดร้ายโดยไม่รู้ตัว การเกิดมาเป็นธิดาสาวคนเดียวในตระกูลและเป็นที่รักยิ่งของบิดาผู้มีทั้งอำนาจและทรัพย์สินเงินทอง ทำให้เธอยึดมั่นใน “อัตตา” แห่งตนและถอดนิสัยมาจาก “หลวงวิสนันท์เดชา” ผู้บิดาราวกับพิมพ์เดียวกันไม่เว้นแม้แต่ในเรื่องกามราคะ จะได้นิสัย “แม่วาด” ผู้เป็นมารดาบ้างก็ในเรื่องความเข้มแข็งเด็ดเดี่ยว มองดูเผินๆ เธอเป็นสตรีที่ถือตัวเย่อหยิ่ง ชอบดูถูกคนและให้ร้ายคนอื่นเต็มไปด้วยความริษยาแม้แต่เงาของตัวเอง หากเธอได้รักชอบใครก็จะลุ่มหลงทุ่มเทโดยไม่คำนึงถึงถึงเหตุการณ์ใดๆ ทั้งสิ้น
          “ตอนแรกที่รู้ว่าจะได้เล่นหนังไทยเรื่องแรกอย่าง ‘จันดารา’ ก็รู้สึกงงๆ ว่าติดต่อมาได้ยังไง ดิฉันจะทำได้เหรอ เพราะเป็นคนญี่ปุ่น พูดภาษาไทยก็ไม่ได้ แล้วจะพูดบทได้ยังไง แต่ว่าพอพูดคุยกันและได้เห็นบทแล้วเนี่ย รู้สึกว่านี่น่าจะเป็นโอกาสที่ดีมากๆ สำหรับตัวเอง เพราะว่าบท ‘แก้ว’ เป็นบทที่ใหญ่และสำคัญมากต่อเรื่อง แต่ก็รู้สึกกดดันและตื่นเต้นว่าจะทำได้หรือเปล่า ที่ยากที่สุดก็คือบทพูดภาษาไทยนี่แหละค่ะ เพราะไม่เคยทำเลยในชีวิต พอมีเวลาว่างก็จะหัดซ้อมฝึกพูดตลอดเวลาเลยค่ะจากแผ่นซีดีบ้าง จากล่ามบ้าง และจากนักแสดงคนอื่นๆ ด้วย ก่อนถ่ายทำก็กลัวมากๆ ค่ะ แต่พอถ่ายเสร็จแล้ว ทุกคนแฮปปี้ ปรบมือกันก็รู้สึกดีใจมากเลยค่ะ
          เรื่องซีนอีโรติกเนี่ย ดิฉันคิดว่ามันเป็นความแตกต่างทางประเพณีและวัฒธรรมของไทยและญี่ปุ่นนะคะ เพราะที่ญี่ปุ่นเวลาถ่ายซีนอีโรติกจะเป็นเรื่องธรรมดามากค่ะ แต่ว่าที่เมืองไทยอาจจะไม่ค่อยมีเท่ากับญี่ปุ่น ก็รู้สึกแปลกใจว่าคนที่เล่นด้วยบางซีนจะค่อนข้างเขินอาย แต่ตัวดิฉันถือเป็นเรื่องปกติมาก แต่ว่าก็แฮปปี้มากที่ทุกคนเกรงใจและก็ดูแลดิฉันดีมากในซีนเหล่านี้ค่ะ

FB on August 08, 2012, 04:08:17 PM
          ได้เล่นหนังไทยเรื่องแรกก็รู้สึกประทับใจมากค่ะ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการแสดงของทุกคนที่รับส่งอารมณ์กันได้ดี ภาพสวยมากๆ รวมถึงเนื้อหาที่สามารถดูได้ว่ามนุษย์เรามันจะมีหลายอารมณ์ทั้งเศร้า แฮปปี้ พอใจ มั่นใจ เห็นแก่ตัว บางทีแฮปปี้แป๊ปเดียวปุ๊บชีวิตก็อาจจะเปลี่ยนไปเหมือนลงนรกเลย เป็นสัจธรรมของชีวิต ใครทำอะไรไว้ก็ได้อย่างนั้น เป็นธรรมชาติในชีวิตคนเราค่ะ ผู้ชมสามารถดูได้จากภาพยนตร์เรื่องนี้”

          “จัน ฉันเองก็เข้าใจดีว่ามันเป็นเรื่องยากที่ใครก็ตามในโลกนี้จะทำใจได้ง่ายๆ ถ้าได้พบกับชะตากรรมในชีวิตเยี่ยงเธอ ซึ่งอะไรก็ไม่สำคัญเท่ากับความเข้มแข็ง และความอดทนที่จะพาเราฝ่ามรสุมชีวิตในครั้งนี้ไปได้อย่างรอดปลอดภัย”
          ไฮซินธ์ (สาวิกา ไชยเดช) - สาวน้อยวัย 16 จากหัวเมืองทางภาคใต้ผู้เป็นนางในดวงใจของจัน ดาราตั้งแต่แรกพบประสบหน้า เธอมีร่างสูงระหง ดวงหน้างามคมขำราวกับเทพธิดาและมีอะไรในดวงหน้านั้นคล้ายมารดาของเขาเป็นอย่างยิ่ง นัยน์ตาโศกแต่รอยยิ้มอันสดใสของเธอก็ทำให้โลกทั้งใบพลอยมีความสุขไปกับเธอด้วย ไฮซินธ์และจันเรียนภาษาอังกฤษภาคค่ำที่โรงเรียนครูสาลี่ และสานสัมพันธ์ความเป็นเพื่อนด้วยหัวใจอันบริสุทธิ์ ก่อนเหตุการณ์ร้ายจะทำให้ทั้งคู่พรากจากกันโดยไม่ทันตั้งตัว
          “เรื่องนี้กี้ได้แสดงสองบทเลยค่ะ บทแรกก็จะเป็น ‘ดารา’ เป็นผู้หญิงที่สวยสง่า มีฐานะดี เข้าใจความรู้สึกของทุกคน เป็นคนมีจิตใจดีเหมือนกับจัน ดารา เพราะว่าเค้าเป็นแม่ลูกกัน จิตใจของเค้าที่ไม่คิดอะไรกับคนอื่นมันส่งไปถึงตัวจัน ส่วนอีกบทคือ ‘ไฮซินธ์’ เป็นนักเรียนอิสลาม จะเป็นความรู้สึกของเด็กใสๆ ที่จะเป็นรักแรกของจันค่ะ ทั้งสองตัวละครนี้ก็จะมีคาแร็คเตอร์ที่แตกต่างกันโดยสิ้นเชิงและเป็นผู้หญิงที่เป็นปมในใจของจันอยู่ตลอดมาค่ะ
          สำหรับเรื่องนี้เป็นหนังที่มีอารมณ์หลากหลายของมนุษย์มากทั้งความรัก ความใคร่ ความแค้น ถ้าลองมาดูเรื่องนี้มันจะมีอะไรมากมายให้เห็นว่าชีวิตมนุษย์มันไม่มีความแน่นอนเลยค่ะ กี้ถือว่าได้รับโอกาสที่ดีมากครั้งหนึ่งในชีวิตการแสดงค่ะ รู้สึกดีใจมาก ก็คิดว่าครั้งหนึ่งเราอยากร่วมงานกับหม่อมน้อย แล้ววันนี้ฝันก็เป็นจริง พอเราได้มาเล่นจริงๆ เราก็ได้อะไรมากมายจากหม่อม นอกเหนือไปจากการแสดงแล้วหม่อมยังมีแง่มุมการใช้ชีวิตให้เราได้เรียนรู้อีกด้วย กี้รู้สึกปลาบปลื้มและโชคดีที่ได้เล่นเรื่องนี้จริงๆ ค่ะ”

“จันดารา” ในเชิงจิตวิเคราะห์
          ซิกมันด์ ฟรอยด์ (SIGMUND FREUD) ปรมาจารย์แห่งจิตรวิทยาชาวเยอรมันได้กล่าวว่า ในทุกๆ “การกระทำ” ของมนุษย์ล้วนแล้วแต่มี “แรงผลักดันทางเพศ” (SEX DRIVE) แฝงไว้ใน “จิตใต้สำนึก” เสมอ เพราะมนุษย์ทุกคนล้วนมี “ปมทางจิต” ที่เรียกว่า “ปมอิดิพุส” (OEDIPUS COMPLEX) ซ่อนอยู่ภายใต้จิตใจอันบอบบาง ซึ่งจะปรากฏออกมาในรูปของบิดามักจะรักลูกสาว มารดามักจะรักลูกชาย และในทางกลับกัน ลูกสาวมักจะรักบิดา และลูกชายมักจะรักมารดา เป็นต้น อันเป็นรากฐานของ “ความรัก” ในระดับต่อๆ มาในวัยของมนุษย์ เช่น ชายหนุ่มมักจะนิยมชมชอบผู้หญิงที่มีความเหมือนมารดา และหญิงสาวมักจะนิยมชมชอบชายที่มีนิสัยคล้ายกับบิดา ซึ่งพื้นฐานของแนวคิดทางจิตวิเคราะห์เหล่านี้ล้วนปรากฏเด่นชัดใน “ตัวละคร” ซึ่งขาดความอบอุ่นทั้งจากบิดาและมารดา เขาจึงแสวงหา “ความรัก” และ “ความอบอุ่น” ดังกล่าวจนชั่วชีวิต แต่ก็ล้มเหลวที่จะได้พบเจอ
          ส่วน “แรงผลักดันทางเพศ” (SEX DRIVE) นั้นก็มิได้หมายถึงพฤติกรรมในเชิงสังวาสเพียงอย่างเดียว หากครอบคลุมและผสมผสานไปกับ “ความรักอันบริสุทธิ์” (PURE LOVE) อย่างแยกออกจากกันไม่ได้ และเป็น “แรงผลักดัน” ที่มีพลังอันมหาศาลเป็นตัวที่กำหนดพฤติกรรมของมนุษย์ไม่ว่าจะเป็นไปในด้านบวกหรือด้านลบก็ตาม
          อาทิเช่น เมื่อมนุษย์มีความรักอันแรงกล้าก็จะทำได้ทุกอย่างเพื่อให้ได้มาซึ่งคนที่เรารักยิ่ง ไม่ว่าจะออกมารูปของการขยันทำมาหากินเพื่อให้คนที่เรารักได้มีชีวิตอยู่อย่างสุขสบาย หรือลักขโมยและฉ้อโกงทรัพย์เพื่อให้คนที่รักมีความสุขได้อีกเช่นกัน และยิ่งเพื่อความมั่นคงของครอบครัวและวงศ์ตระกูลแล้ว พลังอันมหาศาลแห่ง “แรงผลักดันทางเพศ” (SEX DRIVE) จะก่อให้เกิดผลกรรมอันยิ่งใหญ่ไม่ว่าจะเป็น “กุศลกรรม” หรือ “อกุศลกรรม” อันบันดาลได้ทั้ง “ความเจริญรุ่งเรือง” และ “ความหายนะ” อันใหญ่หลวงในครอบครัวซึ่งแผ่ไปถึงสังคมรอบข้าง
          ภาพยนตร์มหากาพย์แห่งโศกนาฏกรรมอันยิ่งใหญ่เรื่อง “จันดารา” นี้จึงเป็นภาพสะท้อนของผลกรรมของมนุษย์ผู้ไร้เดียงสาที่ถูกสภาพแวดล้อมที่เต็มไปด้วยการแสวงหา “อำนาจ” ทั้งใน “สมบัติ” และ “กามคุณ” หล่อหลอมจนจิตใจเต็มไปด้วย “กิเลส” และ “ตัณหาราคะ” อันก่อให้เกิด “เปลวไฟแห่งความแค้น” ที่เผาผลาญชีวิตรอบข้างและตนเองให้มอดไหม้จนกลายเป็นธุลี

เกร็ดภาพยนตร์
          1) ภาพยนตร์เรื่อง “จันดารา” (2555) ดัดแปลงจากนวนิยายสุดคลาสสิก “เรื่องของจัน ดารา” ของนักประพันธ์ชั้นครู “อุษณา เพลิงธรรม” (ประมูล อุณหธูป) (2463-2530) ตีพิมพ์ เป็นตอนๆ ครั้งแรกใน “สยามรัฐสัปดาห์วิจารณ์” (2507-2509)
          2) ต่อมาได้พิมพ์รวมเล่มครั้งแรกโดย “สำนักพิมพ์ประพันธ์สาส์น” (2509) และหลังจากนั้นตลอดเกือบ 50 ปีที่ผ่านมาก็ถูกพิมพ์รวมเล่มเรื่อยมาจนถึงปัจจุบันเป็นครั้งที่ 13 โดย “สำนักพิมพ์มติชน” (เม.ย. 2555)
          3) สู่การเขียนบทและตีความใหม่สุดเข้มข้นโดยผู้กำกับฯ ฝีมือละเมียด “หม่อมน้อย - ม.ล.พันธุ์เทวนพ เทวกุล” เป็นผลงานลำดับที่ 11 ถัดจากภาพยนตร์ขึ้นหิ้งอย่าง เพลิงพิศวาส (2527), ช่างมันฉันไม่แคร์ (2529), ฉันผู้ชายนะยะ (2530), นางนวล (2530), เผื่อใจไว้ให้กันสักหน่อย (2532), ความรักไม่มีชื่อ (2533), มหัศจรรย์แห่งรัก (2538), อันดากับฟ้าใส (2540), ชั่วฟ้าดินสลาย (2553), อุโมงค์ผาเมือง (2554)
          4) “จันดารา” เวอร์ชั่นหม่อมน้อยใน พ.ศ. นี้ ถูกนำมาสร้างเป็นภาพยนตร์ครั้งที่ 3 ถัดจาก 2 ครั้งแรก คือ
          - ครั้งที่ 1 (พ.ศ. 2520) สร้างโดย เทพกรภาพยนตร์ / อำนวยการสร้างโดย กิติมา เศรษฐภักดี / กำกับโดย รัตน์ เศรษฐภักดี / เขียนบทโดย ส. อาสนจินดา / กำกับภาพโดย อดุลย์ เศรษฐภักดี / นำแสดงโดย สมบูรณ์ สุขีนัย (จัน), อรัญญา นามวงศ์ (บุญเลื่อง), ศิริขวัญ นันทศิริ (แก้ว), ภิญโญ ปานนุ้ย (เคน) เข้าฉายเมื่อ 11 มี.ค. 2520 ที่โรงเพชรรามา และโรงเพชรเอ็มไพร์
          - ครั้งที่ 2 (พ.ศ. 2544) สร้างโดย ไท เอ็นเตอร์เทนเมนต์ / กำกับโดย นนทรีย์ นิมิบุตร / เขียนบทโดย ศิรภัค เผ่าบุญเกิด, นนทรีย์ นิมิบุตร / นำแสดงโดย สันติสุข พรหมศิริ (คุณหลวง), สุวินิต ปัญจมะวัต-เอกรัตน์ สารสุข (จัน), วิภาวี เจริญปุระ (น้าวาด), คริสตี้ ชุง (บุญเลื่อง), ภัทรวรินทร์ ทิมกุล (แก้ว), เคน (ครรชิต ถ้ำทอง) เข้าฉายเมื่อ 28 ก.ย. 2544
          5) “จันดารา” เวอร์ชั่นหม่อมน้อยจะถูกสร้างเป็นสองภาค คือ “จันดารา ปฐมบท” (พร้อมฉาย 6 ก.ย.) และ “จันดารา ปัจฉิมบท” (กำลังถ่ายทำ) เพื่อความสมบูรณ์แบบของเนื้อหาและสาระบันเทิงอย่างเต็มอิ่ม
          6) พลิกบทบาทประชันฝีมือด้วยทีมนักแสดงแถวหน้าของเมืองไทยไม่ว่าจะเป็น มาริโอ้ เมาเร่อ (จัน ดารา), ชัยพล จูเลี่ยน พูพาร์ต (เคน กระทิงทอง), ศักราช ฤกษ์ธำรงค์ (หลวงวิสนันท์เดชา), บงกช คงมาลัย (น้าวาด), รฐา โพธิ์งาม (คุณบุญเลื่อง), โช นิชิโนะ (คุณแก้ว), สาวิกา ไชยเดช (ดารา / ไฮซินธ์), รัดเกล้า อามระดิษ (คุณท้าวพิจิตรรักษา), ณัฏฐ์ เทพหัสดิน ณ อยุธยา (ขจร) ร่วมด้วยนักแสดงสมทบและรับเชิญอีกมากมายที่จะมาเพิ่มสีสันให้กับภาพยนตร์โดยเฉพาะ
          7) “จันดารา” เซ็ตฉากถ่ายทำอย่างงดงามในทุกๆ โลเกชั่นไม่ว่าจะเป็น บ้านสังคหวังตาล บ้านโป่ง จ.ราชบุรี / หอวัฒนธรรมไทยวน (ไท-ยวน) อำเภอเสาไห้ สระบุรี / โฮมพุเตย, น้ำตกเจ็ดสาวน้อย จ.กาญจนบุรี / ลานพระบรมรูปทรงม้ารัชกาลที่ 5, ถนนราชดำเนิน หน้าวังปารุสกวัน, สถานีดับเพลิงบางรัก, ตึกพัสดุการรถไฟ, หัวลำโพง กรุงเทพมหานคร
          8) รวมพลคนเบื้องหลังมืออาชีพทุกๆ ด้านที่จะมาสร้างสรรค์ให้ “จันดารา” เวอร์ชั่นนี้ตระการตาเป็นพิเศษ ไม่ว่าจะเป็น การออกแบบงานสร้างสุดวิจิตรในทุกฉากโดย “พัฒน์ฑริก มีสายญาติ” (อุโมงค์ผาเมือง), การกำกับภาพสุดงดงามในทุกเฟรมภาพของ “พนม พรมชาติ” (ชั่วฟ้าดินสลาย, อุโมงค์ผาเมือง ฯลฯ), งานออกแบบเครื่องแต่งกายสุดประณีตของ “อธิษฐ์ ฐิรกิตสัฒน์” (ซีอุย, ต้มยำกุ้ง, Me, Myself ขอให้รักจงเจริญ), การเมคอัพสุดบรรจงในทุกคาแร็คเตอร์โดย “มนตรี วัดละเอียด” (สุริโยไท, โหมโรง, ชั่วฟ้าดินสลาย, อุโมงค์ผาเมือง ฯลฯ) และดนตรีประกอบสุดตรึงใจโดย “ชาติชาย พงษ์ประภาพันธ์” (นางนาก, จัน ดารา-2544, โอเคเบตง, โหมโรง, เดอะ เลตเตอร์ จดหมายรัก, ก้านกล้วย, ปืนใหญ่จอมสลัด, อุโมงค์ผาเมือง, คน-โลก-จิต ฯลฯ)
          9) “เพลงเมื่อไหร่จะให้พบ” ประพันธ์คำร้องโดย “แก้ว อัจริยะกุล” / ทำนองโดย “หลวงสุขุมนัยประดิษฐ์” / ต้นฉบับขับร้องโดย “มัณฑนา โมรากุล” ศิลปินแห่งชาติสาขาศิลปะการแสดง (ดนตรีไทยสากล-ขับร้อง) ประจำปี พ.ศ. 2552 โดยภาพยนตร์ปี พ.ศ. 2555 นี้ จะขับร้องโดย “รฐา โพธิ์งาม” และ “ศักราช ฤกษ์ธำรงค์” สองนักแสดงในเรื่องนี้อย่างแสนไพเราะ
« Last Edit: August 14, 2012, 07:30:20 AM by FB »

FB on August 08, 2012, 04:09:11 PM
“หญิง รฐา” โชว์บทเพลงอมตะ ฉากงานเลี้ยงใหญ่ต้อนรับ “คุณบุญเลื่อง” ใน “จันดารา ปฐมบท”







         เปิดฉากใหญ่อย่างสมศักดิ์ศรีในการแสดงภาพยนตร์เรื่องแรกสำหรับ “หญิง-รฐา โพธิ์งาม” กับฉากโชว์ลีลาร้องเพลงและเต้นรำอย่างสุดฝีมือในภาพยนตร์มหากาพย์แห่งโศกนาฏกรรมอันยิ่งใหญ่เรื่อง “จันดารา ปฐมบท” โดยขับร้องเพลงรักอมตะ “เมื่อไหร่จะให้พบ” จากการประพันธ์ของบรมครูแห่งวงการเพลง “ครูแก้ว อัจฉริยะกุล” (คำร้อง) และ “หลวงสุขุมนัยประดิษฐ์” (ทำนอง) อันเป็นฉากงานเลี้ยงต้อนรับ “คุณบุญเลื่อง” ในฐานะนายหญิงคนใหม่แห่งบ้านวิสนันท์ ซึ่งรวมนักแสดงนำอย่างคับคั่ง ไม่ว่าจะเป็น มาริโอ้ เมาเร่อ (จัน ดารา), ชัยพล จูเลี่ยน พูพาร์ต (เคน กระทิงทอง), บงกช คงมาลัย (น้าวาด), ศักราช ฤกษ์ธำรงค์ (หลวงวิสนันท์เดชา), ณัฏฐ์ เทพหัสดิน ณ อยุธยา (คุณขจร) และนักแสดงสาวจากญี่ปุ่น โช นิชิโนะ (คุณแก้ว)

          ผู้กำกับชั้นครู “หม่อมน้อย-ม.ล.พันธุ์เทวนพ เทวกุล” พูดถึงอีกหนึ่งฉากใหญ่นี้ว่า “ฉากงานเลี้ยงนี้นับเป็นอีกหนึ่งฉากใหญ่และสำคัญของเรื่อง ซึ่ง ‘หลวงวิสนันท์เดชา’ จัดงานต้อนรับ ‘คุณบุญเลื่อง’ เศรษฐีนีม่ายคนรักเก่าที่เพิ่งได้พบกันที่เมืองสิงคโปร์หลังจากที่จากกันไปนานถึง 20 ปี และได้ตัดสินใจที่จะกลับมาร่วมชีวิตกันอย่างถาวรในฐานะภรรยาเอก ซึ่งสร้างความปวดร้าวให้แก่ ‘แม่วาด’ ภรรยาเก่า และบุตรชาย ‘จัน ดารา’ เพราะการมาในครั้งนี้คุณบุญเลื่องได้พาบุตรชายนักเรียนนายร้อย ‘คุณขจร’ ซึ่งกำลังก่อเกิดความรักกับ ‘คุณแก้ว’ มาพำนักอยู่ร่วมเป็นครอบครัวเดียวกันด้วย

          ในฉากนี้หญิงต้องแสดงความสามารถในการร้องเพลงและเต้นรำในลีลาอันนำสมัยในยุคนั้นสมกับเป็นสตรีไฮโซผู้ใช้ชีวิตอยู่ในต่างประเทศมานาน ซึ่งหญิงได้ใช้เวลาฝึกซ้อมการแสดง ร้อง และเต้นรำร่วมกับศักราชนานถึง 1 เดือนก่อนการถ่ายทำ ซึ่งผลออกมาน่าพอใจสมศักดิ์ศรีนักแสดงที่เคยผ่านเวทีละครมิวสิคเคิล ‘ฟ้าจรดทราย’ มาแล้ว ท่ามกลางเสียงปรบมือชื่นชมของเหล่านักแสดงนำและสมทบทั้งไทยและต่างประเทศจริงๆ ซึ่งผมเชื่อว่าจะเป็นอีกหนึ่งฉากที่จะสร้างสีสันและน่าจดจำทั้งบทเพลงและการแสดงได้อย่างแน่นอน”

          เตรียมพบอีกหนึ่งฉากใหญ่ที่จะมาสร้างสีสันแปลกใหม่ให้กับ “จันดารา ปฐมบท” เวอร์ชั่นหม่อมน้อยโดยเฉพาะ 6กันยายนนี้ในโรงภาพยนตร์
« Last Edit: August 10, 2012, 08:54:20 AM by FB »

FB on August 08, 2012, 04:11:02 PM
“หม่อมน้อย” ประกาศสร้าง “จันดารา” เป็น 2 ภาค “ปฐมบท-ปัจฉิมบท” เพื่อเนื้อหาสาระและบันเทิงสมบูรณ์แบบ











          ด้วยรายละเอียดเนื้อหาที่เข้มข้นของภาพยนตร์มหากาพย์แห่งโศกนาฏกรรมเรื่อง “จันดารา” จนไม่สามารถตัดทอนส่วนใดส่วนหนึ่งออกไปได้ ทำให้กำกับชั้นครู “หม่อมน้อย-ม.ล.พันธุ์เทวนพ เทวกุล” ตัดสินใจสร้างผลงานเรื่องล่าสุดนี้เป็น 2 ภาค คือ “จันดารา ปฐมบท” (พร้อมฉาย 6 ก.ย.) และ “จันดารา ปัจฉิมบท” (อยู่ระหว่างการสร้าง) เพื่อรักษาอรรถรสของเนื้อหาและสาระบันเทิงอย่างสมบูรณ์แบบ

หม่อมน้อยเผยถึงเรื่องนี้ว่า

          “ภาพยนตร์เรื่องนี้มีรายละเอียดเนื้อหาและตัวละครมากมายที่มีความสำคัญเท่าๆ กันหมด เพราะฉะนั้นการที่เราจะตัดเนื้อเรื่องหรือตัวละครตัวใดหนึ่งออกมันยาก เพราะทุกตัวละครมีความสัมพันธ์กันอย่างซับซ้อนและสะท้อนนิสัยซึ่งกันและกัน เรื่องมันจึงยาวมาก มีเหตุการณ์พลิกผันไปมาตลอด คือตัวละครจันดาราเป็นตัวเดินเรื่องก็จริง แต่ตัวอื่นๆ รอบข้างก็มีปูมหลังและเรื่องราวของตัวเองเช่นกัน พล็อตมันจะพลิกผันไปมาตลอด เรียกว่าเป็นมหากาพย์ภาพยนตร์ได้เลย เพราะว่าเล่าเรื่องผ่านสี่ยุคสมัย แต่ละสมัยก็มีรายละเอียดทางด้านอารมณ์ เหตุผล และความสนุกเกี่ยวเนื่องกันจึงไม่สามารถตัดส่วนใดส่วนหนึ่งออกได้ มันก็เลยมีความจำเป็นที่จะต้องสร้างเป็นสองภาค ภาคหนึ่งคือ ‘ปฐมบท’ คือวัยเด็กตั้งแต่จันดาราเกิดจนถึงวัยสิบเจ็ด และภาคสองคือ ‘ปัจฉิมบท’ วัยผู้ใหญ่ตั้งแต่ยี่สิบจนถึงสี่สิบ-ห้าสิบ โดยจะยังคงเนื้อหาสาระและความบันเทิงอย่างเต็มอิ่มเอาไว้ทั้งสองภาค ไม่ได้มีการยืดเพื่อให้เป็นสอง ผมไม่ได้คิดอย่างนั้นเลย ยังไงผมก็จะรักษาสาระและความสนุกของเรื่องเอาไว้ให้สมบูรณ์ที่สุด ถ้าได้ชมภาพยนตร์ก็จะเข้าใจดีว่ามันเป็นอย่างนี้จริงๆ ซึ่งภาคแรกปิดกล้องเรียบร้อบแล้ว ส่วนภาคสองกำลังอยู่ระหว่างการสร้างครับ”

          “จันดารา ปฐมบท” นำแสดงโดย มาริโอ้ เมาเร่อ, ชัยพล จูเลี่ยน พูพาร์ต, ศักราช ฤกษ์ธำรงค์, บงกช คงมาลัย, สาวิกา ไชยเดช, รฐา โพธิ์งาม, โช นิชิโนะ, ณัฏฐ์ เทพหัสดิน ณ อยุธยา, รัดเกล้า อามระดิษ, เรืองศักดิ์ ลอยชูศักดิ์ ฯลฯ พร้อมฉาย 6 กันยายนนี้ ในโรงภาพยนตร์
« Last Edit: August 10, 2012, 08:52:01 AM by FB »

FB on August 15, 2012, 03:42:43 PM
“หม่อมน้อย” ระดมทีมนักแสดงรับเชิญ สร้างสีสันคับจอใน “จันดารา ปฐมบท”





           นอกจากทีมนักแสดงหลักที่เห็นหน้าค่าตากันไปแล้วในภาพยนตร์มหากาพย์โศกนาฏกรรมเรื่อง “จันดารา ปฐมบท” แค่นั้นยังไม่พอผู้กำกับชั้นครู “หม่อมน้อย-ม.ล.พันธุ์เทวนพ เทวกุล” ก็ยังเพิ่มสีสันให้ภาพยนตร์ฟอร์มยักษ์เรื่องนี้ด้วยการระดมทีมนักแสดงรับเชิญมากฝีมือมาขึ้นจอประชันการแสดงกันอย่างคับคั่ง ไม่ว่าจะเป็น...

          “พงษ์พัฒน์ วชิรบรรจง” รับบทเป็น “พ่อ” ของไฮซินธ์ (สาวิกา ไชยเดช) ชายชนชั้นกรรมาชีพผู้รักลูกสาวประดุจแก้วตาดวงใจ
          “เจมส์-เรืองศักดิ์ ลอยชูศักดิ์” รับบท “ร้อยตำรวจเอกเรืองยศ” นายตำรวจหนุ่มตงฉินผู้ดำเนินคดีข่มขืนและฆาตกรรมอันเป็นปมปริศนา
          “ณัฏฐ์ เทพหัสดิน ณ อยุธยา” รับบท “คุณขจร” สุภาพบุรุษนักเรียนนายร้อย บุตรชายคนเดียวของคุณบุญเลื่อง (รฐา โพธิ์งาม)
          “รัดเกล้า อามระดิษ” รับบท “คุณท้าวพิจิตรรักษา” สตรีชราผู้ทรงอำนาจแห่งตระกูลพิจิตรวานิช
          “ผศ. เกริกเกียรติ พันธุ์พิพัฒน์” รับบท “เสด็จพระองค์ชาย” พระบรมวงศานุวงศ์ผู้ทรงถูกจับเป็นเชลยในการเปลี่ยนแปลงการปกครอง พ.ศ. 2475
          “ชุดาภา จันทเขตต์” รับบท “แม่พุ่ม” หัวหน้าคนครัวแห่งบ้านพิจิตรวานิช มารดาของ เคน กระทิงทอง (ชัยพล จูเลี่ยน พูพาร์ต) ผู้จงรักภักดีต่อจันดารา (มาริโอ้ เมาเร่อ)
          “ก้อง-ปิยะ เศวตพิกุล” รับบท “ส้มจุก” บ่าวลักเพศผู้ประจบสอพลอเป็นที่หนึ่ง
          และขอแนะนำ “อเล็กซ์-ทวีศักดิ์ ธนานันท์” หนุ่ม Cleo ปี 2008 ผู้อ่านข่าวภาคภาษาอังกฤษ FM107 รับบท “จอม เวียงชัย” ชายคนรักของแม่วาด (บงกช คงมาลัย) ผู้สร้างโศกนาฏกรรมรักสามเส้าอันน่ารันทดใจ

          พบกับบทบาทอันเข้มข้นของเหล่านักแสดงรับเชิญเกียรติยศทั้ง 8 คนได้ใน “จันดารา ปฐมบท” พร้อมฉาย 6 กันยายนนี้ ในโรงภาพยนตร์
« Last Edit: August 18, 2012, 06:45:53 AM by FB »

FB on August 17, 2012, 03:31:22 PM
บทสัมภาษณ์ “หม่อมน้อย-ม.ล.พันธุ์เทวนพ เทวกุล” ผู้กำกับภาพยนตร์ “จันดารา ปฐมบท-ปัจฉิมบท”





          บทสัมภาษณ์ “หม่อมน้อย-ม.ล.พันธุ์เทวนพ เทวกุล” ผู้กำกับภาพยนตร์ “จันดารา ปฐมบท-ปัจฉิมบท” ตีแผ่โศกนาฏกรรมแห่งการจองเวร หายนะแห่งกรรมตัณหา สะท้อนใจวิปริตของมนุษย์

          แรงบันดาลใจ-ที่มาที่ไปของภาพยนตร์
          “เรื่องของจันดารา” มันเป็นวรรณกรรมคลาสสิกโดย “คุณประมูล อุณหธูป“ ที่ใช้นามปากกาว่า “อุษณา เพลิงธรรม” ซึ่งเรื่องนี้เป็นนวนิยายเรื่องยาวเรื่องแรกของท่าน คุณประมูลเนี่ยแต่เดิมท่านเป็นนักแปล ท่านแปลวรรณกรรมของฝรั่ง นวนิยายดีๆ ของฝรั่ง งานเขียนของท่านจะเป็นเรื่องสั้นซะส่วนใหญ่ ที่สำคัญคืองานเขียนของท่านที่โดดเด่นมากคือการใช้ภาษาที่งดงามมาก โดยเฉพาะจันดาราก็จะเป็นนิยายเรื่องยาวเรื่องแรกของท่าน และก็เป็นนิยายเรื่องสุดท้ายของท่านด้วยซ้ำไป เพราะท่านเขียนแค่เรื่องเดียว จากนั้นก็จะเขียนเป็นเรื่องสั้น
ทีนี้จัน ดาราในแง่ของวรรณกรรมถือว่าเป็นการใช้ภาษาที่งดงามที่สุดและพูดถึงเรื่องการสังวาส การใช้ภาษาที่อีโรติกที่งามมาก ซึ่งคนรุ่นใหม่จะอ่านไม่รู้เรื่องด้วยซ้ำไป คือสมัยก่อนเนี่ยจะไม่มีนักประพันธ์ที่เขียนเรื่องการสังวาสเลย นวนิยายก็จะเป็นแบบพระเอกนางเอกผู้ร้าย ไม่ก็สี่แผ่นดิน หรือเป็นชั่วฟ้าดินสลายไปเลย เค้าก็จะข้ามฉากที่เป็นอีโรติกไป คุณประมูลเป็นคนแรกที่พูดถึงฉากอีโรติก แต่ว่าท่านใช้ภาษาที่สวยงามมากไม่พูดกันอย่างโจ๋งครึ่ม ตรงไปตรงมา ซึ่งท่านเป็นคนแรกในวรรณกรรมไทยพูดถึงฉากสังวาสเหล่านี้ แต่นั่นไม่ใช่จุดเด่นจุดเดียวในวรรณกรรมเรื่องนี้ จุดเด่นใหญที่สุดที่เป็นจุดสำคัญที่โดดเด่นกว่านิยายเรื่องอื่นก็คือ การสร้างตัวละคร โดยเฉพาะอย่างยิ่งตัวเอกอย่าง “จันดารา” ท่านจะใช้จิตวิเคราะห์ของซิกมันด์ ฟรอยด์ บรมครูทางจิตวิทยาของโลกมาสร้างตัวละครในเรื่องนี้ เป็นเรื่องไซโคโลจี้ เป็นเรื่องของจิตวิทยาซึ่งเป็นจุดเด่นที่วรรณกรรมไทยไม่เคยมี โดยเฉพาะอย่างยิ่งจุดที่เรียกว่าอิดิพุส คอมเพล็กซ์ (OEDIPUS COMPLEX) ปมอิดิพุสของฟรอยด์ที่พูดว่าลูกชายมักจะรักแม่ ลูกสาวมักจะรักพ่อ หรือพ่อมักจะรักลูกสาว แม่มักจะรักลูกชาย เป็นต้น อันนี้เป็นจุดที่ก่อให้เกิด พฤติกรรมของมนุษย์ ซึ่งท่านก็พูดว่าจริงๆ แล้วเนี่ย เซ็กส์ไดร์ฟ (Sex Drive) แรงขับทางเพศ เนี่ยจะก่อให้เกิดพฤติกรรมของมนุษย์ในทางบวกและทางลบ
          ทีนี้ในเรื่องท่านก็แสดงให้เห็นว่าไอ้ทางลบเนี่ยมันคืออะไร ที่เราปฏิเสธไม่ได้ว่ามนุษย์เราจริงๆ แล้วจะทำอะไรก็ตามมันมีแรงผลักดันทางเพศหรือผลักดันทางความรักแฝงอยู่ เพียงแต่ว่ามันจะออกมาในแง่บวกหรือแง่ลบมันก็เท่านั้นเอง เช่น ง่ายๆ พ่อแต่งงานกับแม่ รักแม่มาก รักเมียมาก ก็อยากจะทำทุกอย่างเพื่อให้เมียมีความสุข เมื่อมีลูกก็ต้องทำมาหากิน อยากให้ลูกเมียมีความสุข นี่ก็เป็นแรงผลักดัน ที่พูดไปมันก็เป็นแรงผลักดันทางเพศเหมือนกัน
          หรือผู้ชายคนหนึ่งรักผู้หญิงคนหนึ่งมากๆ แต่จนก็อยากจะทำทุกอย่างให้ตัวเองรวยขึ้นมา เพื่อจะได้เอาผู้หญิงคนนั้นมาเป็นเจ้าของ เป็นต้น อันนี้ยกตัวอย่างเป็นแรงผลักดันในด้านดี
          ในด้านลบก็มี เช่น ถ้ารักผู้หญิงคนนี้แล้วไม่ได้ก็เกิดการฆ่า หรือเวลาที่เรารักครอบครัว รักเมียรักลูก แต่เราจนหรืออาจจะไม่จนหรืออยากให้ลูกเมียสบาย ก็อาจจะมีการโกงกินเกิดขึ้น การโกงก็มีหลายระดับ โกงระดับง่ายๆ โกงระดับพื้นฐาน และมันก็ไปโกงระดับประเทศมันก็เป็นเช่นนั้น ที่เกิดจากความรักในลูกเมีย รักในวงศ์ตระกูล รักในครอบครัวเป็นต้น ซึ่งสิ่งเหล่านี้ปฏิเสธไม่ได้หรอกว่ามันมาจากเซ็กส์ไดร์ฟนี่เอง          
          วรรณกรรมเรื่องนี้พูดแบบนี้ แล้วก็แสดงให้เห็นว่าเซ็กส์ไดร์ฟที่ก่อให้เกิดพฤติกรรมมนุษย์ในทางลบคืออะไร เพราะฉะนั้นตัวละครของจันดาราพูดได้ว่ามันเป็นโศกนาฏกรรม เป็นการสอนคนดูให้เห็นว่า อย่าประพฤติอย่างจันดาราเลยมันไม่มีประโยชน์อะไร โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องนี้ไม่ได้พูดเรื่องเซ็กส์อย่างเดียว จริงๆ อันที่แฝงอยู่ในแรงผลักดันเนี่ย ผลของการที่มันออกมาจากเซ็กส์ไดร์ฟ ออกมาเป็นความต้องการอำนาจ ความต้องการรวย ความต้องการวัตถุ เป็นเรื่องของอำนาจและการเมือง การเมืองในที่นี้คือการเมืองในบ้าน ในครอบครัว ต้องการอำนาจในครอบครัว เดี๋ยวนี้ในครอบครัวที่รวย เช่น ครอบครัวพิจิตรวานิชในเรื่องนี้ร่ำรวยมหาศาลมาก แล้วคุณหลวงก็เข้าไปเป็นเขยเพื่อต้องการอำนาจ ก็เลยใช้เรื่องเซ็กส์นี้เป็นการได้มาซึ่งอำนาจ ซึ่งในสังคมยุคเมื่อ 90-100 ปีก่อนเป็นเช่นนี้ จะเห็นได้ชัดว่าผู้รากมากดี คนร่ำรวย เจ้าขุนมูลนายจะมีเมียเยอะมีลูกเยอะนั่นแสดงให้เห็นถึงอำนาจ คือการมีอำนาจ การมีเกียรติ คนรวยจะเป็นเช่นนั้นเพราะเป็นลักษณะของสังคมไทย
          ส่วนผู้หญิงในเรื่องนี้ก็ใช้เซ็กส์เป็นการต่อรองอำนาจเช่นกัน เช่น ตัวละครที่ต้องการจะทะเยอทะยาน ตัวละครที่อยากอัพตัวเองจากคนใช้มาเป็นเมียท่านเจ้าขุนมูลนายก็ใช้เรื่องเพศนี้เป็นเครื่องต่อรองอย่างน้าวาดที่ต้องการจะปกป้องชีวิตของจัน ก็ต้องเอาตัวเข้าแลกเพื่อไม่ให้คุณหลวงทำร้ายจัน เป็นต้น
          เพราะฉะนั้นถ้าจะพูดไปในแง่การเลือกเรื่องนี้มาทำเนี่ย เพราะมันเกิดมุมมองใหม่เกิดขึ้น ไม่ได้มองเป็นหนังอีโรติก แต่เป็นหนังอัตชีวิตประวัติของจันดาราซะด้วยซ้ำไป ซึ่งดำเนินมาตั้งแต่จันดาราเกิดในสมัยรัชกาลที่ 6 (ปี 2458) จนถึงปัจจุบัน ดำเนินเรื่องถึง 4 รัชกาล คือจะเป็นมหากาพย์เลยทีเดียว มันเป็นการเล่าชีวิตของคนๆ หนึ่งตั้งแต่เกิดจนใกล้จะตายแล้วว่าเขาผ่านอะไรมาบ้าง โดยมีประวัติศาสตร์ของประเทศเป็นแบ็คกราวด์ การเปลี่ยนแปลงการเมืองของประเทศมันมีอยู่เบื้องหลัง ซึ่งมีการเปรียบเทียบกันระหว่างการเมืองระดับประเทศกับการเมืองในบ้าน แล้วก็การใช้เรื่องเพศในจุดประสงค์ต่างๆ กัน ตัวละครสำคัญใช้เรื่องเพศเพื่อเป็นการต่อรองทางการเมือง การได้มาซึ่งอำนาจ ตัวละครบางตัวมองเรื่องเพศเป็นกีฬาเป็นเรื่องสนุกเอ็นจอย ตัวละครบางตัวอย่างจันดารามองเรื่องเพศเป็นการแก้แค้น ตัวละครบางตัวใช้เรื่องเพศแสดงออกถึงความรัก เพราะฉะนั้นมันพูดถึงเรื่องเพศในมุมมองต่างๆ กัน ฉากอีโรติกในเรื่องนี้มันมีหลากหลายความหมายและมีมากกว่าเวอร์ชั่นเดิมที่พูดถึงเรื่องเพศโดยตรงด้วยซ้ำไป และที่ลึกซึ้งยิ่งไปกว่านั้นมันพูดถึงเรื่อง “กรรม” ใครทำอะไรประพฤติอย่างไรก็จะได้ผลกรรมอย่างนั้นซึ่งเป็นแก่นแท้ของบทประพันธ์นี้ ซึ่งผมคิดว่าไม่มีวรรณกรรมเรื่องไหนที่สะท้อนภาพชีวิตแม้กระทั่งสังคมปัจจุบันที่เรากำลังเผชิญอยู่ได้ใกล้เคียงเท่าเรื่องนี้
          เนื้อหาสะท้อนสังคมในปัจจุบัน
          แม้เรื่องดำเนินมาเกือบร้อยปี แต่มนุษย์ก็ยังเป็นมนุษย์ จริงๆ แล้วก็ตัวคุณประมูลเองเนี่ยท่านก็พยายามสะท้อนให้เห็นความเป็นมนุษย์จริงๆ สะท้อนให้เห็นหายนะของตัวละครที่เต็มไปด้วยความแค้น ซึ่งเราเห็นว่ามนุษย์เวลามีความแค้นเกิดขั้นเนี่ย พฤติกรรมของมนุษย์จะทำลายล้างอะไรก็ได้ไม่ว่าจะมนุษย์ยุคใดก็ตาม เมื่อโดนหักหลังก็เกิดความแค้นและสามารถทำลายได้หมดไม่ว่าจะเป็นระดับครอบครัวหรือระดับประเทศก็ตาม เราต้องการแสดงให้เห็นว่า ความแค้นมันไม่ได้ช่วยอะไรคุณเลย มันกลับทำให้เกิดความหายนะแก่คนรอบข้างและตัวเอง คือสังคมเปลี่ยนไปทันสมัยขึ้นมากมาย แต่มนุษย์ก็ยังมีกิเลสอยู่ ที่เรียกว่าความแค้นและการอยากแก้แค้น
          และพื้นฐานของความแค้น การแก้แค้นมันคืออะไร มันคือการยึดตัวตนนั่นเอง การรักศักดิ์ศรีของตัวเองและวงศ์ตระกูลตัวเองนั่นเอง เป็นการยึดมั่นถือมั่นที่เอาเข้าจริงโดยแท้ตอนจบเนี่ยก็นำไปสู่ความไร้สาระ ทุกอย่างเป็นเรื่องสมมติ แค้นไปก็เท่านั้น เป็นมนุษย์ประเดี๋ยวก็ตาย มันพูดถึงมนุษย์จริงๆ พูดถึงการเกิดแก่เจ็บตาย สังสารวัฏของมนุษย์และสัจธรรมจริงๆ ในชีวิตมนุษย์ ซึ่งตัวผู้ประพันธ์ต้องการที่สะท้อนตรงนี้ซ่อนไว้ในนวนิยายเชิงกามศาสตร์ ซึ่งจริงๆ แล้วภายใต้นั้นเต็มไปด้วยการเมือง เต็มไปด้วยชีวิตมนุษย์ เต็มไปด้วยความเป็นมนุษย์ ซึ่งงดงามมากสำหรับนิยายที่ท่านเขียน อ่านแล้วรู้สึกว่าเป็นอิมเพรสชั่นนิสม์ การใช้ภาษาที่สวยมาก ภาพยนตร์เรื่องนี้จึงออกมาสวยงามมากๆ เต็มไปด้วยศิลปะ โดยเฉพาะในฉากอีโรติกทั้งหมด มันต้องทำความเข้าใจก่อนว่าภาพยนตร์เรื่องนี้ไม่ใช่ภาพยนตร์อีโรติก แต่ภาพยนตร์เรื่องนี้เป็นภาพยนตร์อัตชีวประวิติของตัวละครที่ชื่อว่าจัน ดารา ยาวตั้งแต่เขาเกิดจนกระทั่งจบที่แสดงให้เห็นว่าจันดาราเนี่ยพบกับชะตาชีวิตอย่างไรบ้าง ในแต่ละสถานการณ์เนี่ยเขาโดนหล่อหลอมยังไงตั้งแต่เขาเกิดมาจนกระทั่งอายุเก้าสิบ
          อีกประเด็นหนึ่งที่ผู้ประพันธ์ได้นำเสนอออกมาสวยงามมาก จริงๆ แล้วตั้งแต่เด็ก มนุษย์เราเกิดมาสะอาดหมด เพียงแต่การเลี้ยงดู สภาพแวดล้อมที่ปรุงแต่งในจิตเด็กเป็นไปในทางบวกหรือลบ ซึ่งจริงๆ ก็คือพ่อแม่นี้เองเป็นคนที่เลี้ยง ในหนังพูดถึงตรงนี้ โชคร้ายที่ตัวละครอย่างจัน ดาราหรือคุณแก้วล้วนไปเห็นตัวอย่างไม่ดีจากคุณหลวงที่เป็นพ่อตั้งแต่เด็กเป็นต้นมา มันก็เลยทำให้เกิดการจดจำแล้วก็กำหนดพฤติกรรมที่เหมือนกัน ซึ่งเป็นผลร้ายต่อเขาเมื่อเขาโต ไม่ว่าเรื่องกามารมณ์หรือการใช้อารมณ์ทะเลาะเบาะแว้งกันในบ้านอะไรทำนองนั้น ตบตีกันในบ้าน แสวงหาอำนาจกันในบ้าน เด็กจะจำและเห็นเป็นเรื่องธรรมดา เปรียบเทียบได้กับเด็กอยู่บ้านแล้วพ่อแม่อาจจะดี แต่ตัวอย่างไม่ดีอาจเกิดจากในโทรทัศน์ ความรุนแรงของละคร, ภาพยนตร์ หรืออินเทอร์เน็ตที่มีผลต่อเด็ก แต่บังเอิญในเรื่องนี้มันยังไม่มีสื่อต่างๆ มันก็เห็นผ่านของจริงที่เด็กมองเห็น มันเป็นสิ่งที่เราเลือกทำภาพยนตร์เรื่องนี้ เราเห็นคุณค่าของวรรณกรรมเรื่องนี้สมควรนำมาทำเป็นภาพยนตร์ ซึ่งก็จริงๆ แล้วภาพยนตร์เรื่องนี้มันก็มีหลากหลายอารมณ์มาก จริงๆ แล้วตัวคุณประมูลเองก็มีอารมณ์ขันเสียดสีอยู่ในนั้น เราก็นำเอาอารมณ์ขันเหล่านั้นออกมา มีความน่ารัก ความเสียดสี มันมีความตลกด้วย แล้วมันมีอารมณ์ลึกลับ มีการค้นหา เพราะฉะนั้นถ้าถามว่าเรื่องนี้ทำตามบทประพันธ์ร้อยเปอร์เซ็นต์หรือเปล่า ก็คงไม่ใช่ เพราะเราดัดแปลงมาเพื่อให้เป็นภาพยนตร์ที่มีหลากรส มันดูง่ายขึ้น แล้วก็ไม่เครียด ไม่ซีเรียสนักหนา มันมีอารมณ์ขันแฝงอยู่ในนั้นด้วยมากมาย มันก็เหมือนมาดูประวัติชีวิตคนในอดีต ซึ่งมีสีสันหลากหลายมาก มันไม่ใช่เรื่องกามารมณ์ มันมีเรื่องการเมือง ความรักระหว่างหนุ่มสาวอย่างบริสุทธิ์ก็มีและไม่บริสุทธิ์ก็มี อย่างในฉากรักต่างๆ ก็มีการเปรียบเทียบกัน ความรักในแบบต่างๆ เป็นยังไง หรือว่าอีโรติกในแบบต่างๆ เป็นยังไง มันมีตื่นเต้น มีบู๊ด้วย มีตลกด้วย มันมีแทบทุกรสเลย
« Last Edit: August 18, 2012, 07:50:33 AM by FB »

FB on August 17, 2012, 03:32:08 PM
          ถ้าจะพูดไปเราตั้งใจจะทำเรื่องนี้ให้เหมือนกับภาพเขียนฝาผนังในวัด ในยุคที่ยังไม่มีสื่อที่ทันสมัยอย่างในปัจจุบัน ภาพเขียนฝาผนังในวัดเนี่ยก็เปรียบเสมือนภาพยนตร์นะ คนไปวัดก็จะไปดูวิถีชีวิต จริงๆ แล้วฉากอีโรติกอีกมากมายบนฝาผนังในวัดมีไว้เพื่อให้คนดูแล้วรู้ว่านี่คือชีวิต แล้วก็รู้จักปลง แล้วก็อยู่ในความงาม เพราะฉะนั้นภาพที่ปรากฏในหนังเรื่องนี้ก็จะเหมือนภาพเขียนบนฝาผนังในวัดสมัยโบราณ ซึ่งมีถึงพริกถึงขิงมาก หลายเพศหลายพันธุ์มากนะในภาพเขียนฝาผนัง พูดถึงประวัติก็มี สะท้อนชีวิตชาวบ้านธรรมดาก็มี หรือเรื่องอีโรติกนี่ชัดเจนมาก มีทั้งเพศเดียวกันก็มี ต่างเพศก็มี กับสัตว์ก็มี ซึ่งถ้าเราลองศึกษาดู เราก็จะรู้ว่าจริงๆ แล้วมันเป็นภาพยนตร์ แต่ว่าออกมาในความงามที่อยู่ในวัด สังเกตได้ง่ายๆ ว่านางฟ้าของเราเนี่ยจะเปลือยอกนู้ดทั้งนั้นเลยใช่ไหมล่ะ จุดประสงค์ของภาพยนตร์เรื่องนี้ถึงออกมาเป็นเช่นนั้นเหมือนกับดูภาพเขียนฝาผนังบนวัด ซึ่งสะท้อนธรรมะของเราหมายถึงธรรมชาติของมนุษย์ ให้ดูแล้วรู้จักปลงว่านี่แหละคือธรรมชาติของมนุษย์ ให้ดูแล้วกลับไปรู้จักปรับปรุงตัวเอง จริงๆ แล้วตัวละครหลายๆ ตัวเนี่ยมันก็มีอยู่ในตัวเราทุกคนเนี่ยแหละจะมีข้อบกพร่องในตัวมนุษย์ทุกๆ คนในทุกยุคทุกสมัยเหมือนกัน ดูแล้วก็รู้จักชำระล้าง แล้วดูว่าตัวละครตัวไหนเหมือนตัวเองเหมือนเราบ้างแล้วก็ปรับปรุงชีวิตตัวเองให้ดีขึ้น ให้รู้จุดประสงค์ในการเลือกวรรณกรรมเรื่องนี้มาทำเป็นภาพยนตร์
          นำเสนอเป็นสี่ยุคสี่สมัย
          มันเป็นการเพิ่มแน่ๆ เพราะว่ามันเป็นบทดัดแปลงจริงๆ คือว่าครูประมูล อุณหธูปเขียนเรื่องนี้เป็นแบบอิมเพรสชั่นนิสม์ ก็เหมือนเราอ่านอันนี้อีกครั้งเราประทับใจอย่างไร มันก็ออกมาเป็นภาษาภาพยนตร์ที่ต่างกัน ยังไงก็มีการปรึกษากับคุณศิเรมอรลูกสาวผู้ประพันธ์แล้วว่าจะมีการดัดแปลงแบบนี้ มุมมองใหม่เกิดขึ้นแต่เราก็ยังรักษาแก่นแท้ความตั้งใจเดิมของวรรณกรรมเอาไว้ แล้วก็สร้างตัวละครใหม่ขึ้นมาด้วย จริงๆ มันก็คือการเพิ่มสีสัน เพราะความสมบูรณ์มากที่สุดของศิลปะการประพันธ์ก็แบบหนึ่ง ศิลปะภาพยนตร์ก็อีกแบบหนึ่ง การอ่านกับการดูไม่เหมือนกัน แต่เพราะจริงๆ แล้วเราก็ไม่ได้ทำลายบทประพันธ์เลย ก็ทำจากพื้นฐานบทประพันธ์อันนั้นแหละ แต่ทำให้มีสีสันสำหรับคนไทย เรื่องนี้ตั้งใจทำให้คนไทยดูนะไม่ใช่คิดจะทำให้ฝรั่งดู เพราะว่าเราเป็นคนไทย เราไม่ได้จะไปประกวดเมืองนอกเมืองนาอะไร
          ขั้นตอนเขียนบทใช้เวลานานมากน้อยแค่ไหน
          เวลาเขียนบทไม่นาน แต่เวลาคิดนาน คิดเป็นปี ก็คงเหมือนกับหนังทุกเรื่องที่เราคิดมานานแล้ว มันต้องคิดหลายปี เพราะจริงๆ แล้วพอถึงเวลาเขียนไม่นานเลย แต่เวลาคิดนานคิดเป็นปี เพราะว่าอ่านหลายครั้งหลายหนมาก เด็กรุ่นใหม่ที่อ่านหนังสือเล่มนี้ยากมันเป็นเพราะการใช้ภาษาที่โบราณมากกว่าสิ่งใดๆ บนโลกนี้ และก็เป็นภาษาที่เปรียบเปรยมาก แต่ก็แปลกที่ยิ่งอ่านยิ่งได้อะไรใหม่ๆ ในเนื้อหาที่ท่านผู้ประพันธ์ได้ซ่อนเอาไว้ในนั้น คือถ้ามองแต่เปลือกๆ มันก็คือนิยายประโลมโลก พูดถึงกามารมณ์ในแง่เปลือกๆ มันก็สนุกโลดโผนโจนทะยานมาก มีฉากลึกลับมากมายก่ายกอง ถ้ามองลึกไปกว่านั้นเนี่ยจะเจอสิ่งดีๆ ในนั้นคือ เจอธรรมชาติของมนุษย์ ยิ่งอ่านยิ่งเข้าใจอะไรมากขึ้น ถ้าอ่านหนแรกมันจะได้แต่ผิวๆ มันก็เป็นเรื่องกามารมณ์ จริงๆ วรรณกรรมดีๆ ต้องอ่านหลายครั้ง อ่านแล้วจะได้อะไรใหม่เสมอ อะไรดีๆ เหมือนหนังดีๆ ก็ดูได้หลายครั้ง
          ด้วยความอัจริยะของท่านผู้ประพันธ์ที่เปิดช่องให้เราได้ตีความได้มาก ที่ไม่ได้ให้เล่าคิดตามท่านอย่างเดียว แต่เปิดช่องให้เราคิดเองด้วย ดังนั้นในแง่การดัดแปลงเป็นภาพยนตร์ก็จะทำได้ง่ายขึ้น เราก้เอาแก่นหรือสาระของเรื่องมาขยายความดัดแปลงให้เหมาะสมในทางภาพยนตร์ เพราะศิลปะภาพยนตร์กับวรรณกรรมมันก็คนละแบบกัน ซึ่งท่านจะใช้ภาษาที่ไพเราะมาก และเป็นภาษาโบราณด้วย เป็นพรรณนาโวหารที่มีความงามอยู่ในนั้น เราก็เอาความงามทางภาษามาแปลงเป็นความงามของภาพแทน และในแง่ความเด่นที่สุดอีกจุดหนึ่งของท่านก็คือ การที่ใช้หลักจิตวิทยาของซิกมันด์ ฟรอยด์มาสร้างตัวละครให้มีชีวิตเหมือนคนจริงๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเรื่องปมออดิปุสคอมเพล็กซ์อย่างที่บอกไป เป็นปมที่ท่านเอามาสร้างเป็นตัวละครที่มีชีวิตจิตใจได้อย่างสมจริงในเรื่องหรือพล็อตที่คนไทยจะสามารถเข้าใจได้ง่ายๆ มีการหักมุม มีการแย่งชิงอำนาจกัน แย่งทรัพย์สินมรดกกัน คล้ายๆ ละครโทรทัศน์เลยนะ นี่คือความโดดเด่นของเรื่องจันดารา ที่นอกเหนือไปจากฉากอีโรติกที่ท่านสร้างสรรค์ขึ้นมาเมื่อยุคสมัย 2507 ที่ยังไม่เคยมีใครเขียนเรื่องทำนองนี้ก็เลยเป็นที่ฮือฮากันมากในเชิงวรรณกรรมสังวาส พูดเป็นภาษาง่ายๆก็คือเป็นเรื่องโป๊ แล้วเราก็จะตื่นเต้นกับบทอัศจรรย์บทสังวาสเกิดขึ้นมากมาย แต่ว่าความเป็นอัจริยะของท่านเนี่ย ได้ซ่อนปรัชญาทางพุทธเอาไว้ แล้วก็ตีแผ่จิตมนุษย์ออกมาในงานวรรณกรรมของท่าน ซึ่งเราว่ายุคสมัยนี้ใกล้เคียงในเรื่องทีเดียวนะ ไม่ว่าโลกจะเปลี่ยนแปลงไปมากเท่าไหร่ มนุษย์ยังคงเป็นมนุษย์ เราว่าในยุคสมัยนี้แหละที่น่าจะได้ชมภาพสะท้อนของเราเองในเรื่องนี้ ของตัวเราเอง ของสังคมที่เรากำลังเผชิญอยู่
          การคัดเลือกนักแสดงและบทบาทแต่ละคาแร็คเตอร์
          ในแง่ของการเลือกตัวละครก็ต้องเลือกอย่างเหมาะสมจริงๆ เท่านั้นนะ เราเลือกนานจนวินาทีสุดท้าย ซึ่งปฏิเสธไม่ได้ว่าตัวละครที่เดินเรื่องตลอดก็คือตัว “จันดารา” ซึ่งเป็นผู้เล่าเรื่องชีวิตของเขาเองทั้งหมด โดยในภาพยนตร์ครั้งนี้มีการดัดแปลงให้จัน ดารามีชีวิตยาวขึ้นกว่าในบทประพันธ์ โดยในวรรณกรรมจะเล่าเรื่องถึงอายุ 40 แต่ในหนังเราจะเล่าไปถึงอายุ 80-90 คือจะเล่าตั้งแต่จันดาราเกิดขึ้นบนโลกนี้จนอายุถึง 90 ปี เรื่องก็จะดำเนินผ่านเหตุการณ์สำคัญๆ ในชีวิตของเขา ซึ่งก็คล้ายๆ กับอัตชีวประวัติ ถึงเรียกเรื่องนี้ว่าเป็นมหากาพย์แห่งโศกนาฏกรรม
          ตัวจันดาราอาจจะเรียกได้ว่าเป็นศิลปิน มีความเป็นศิลปินสูงมาก เป็นคนอ่อนไหวมาก เป็นคนที่สามารถจดจำรายละเอียดของตัวเองและคนอื่นได้เป็นอย่างดี เรื่องส่วนใหญ่จะดำเนินตอนที่เขาอายุ 17 จนถึงเกือบอายุ 40 เพราะฉะนั้นมันก็ต้องเลือกคนที่มีหน้าตากลางๆ ที่สามารถเล่นเป็นคนอายุ 17 จนถึง 30-40 ได้ การเลือกนักแสดงมันก็ต้องน่าเชื่อ แก่ไปก็เล่นเป็นเด็กไม่ได้ เด็กไปก็เล่นแก่ไม่ได้ ตัว “มาริโอ้” ด้วยวัยเค้าจริงๆ เนี่ยก็จะกลางๆ ที่สุด และด้วยฝีมือทางการแสดงของเขาหลังจากที่ร่วมงานกันมาใน อุโมงค์ผาเมืองเนี่ย เราก็ได้เห็นศักยภาพทางการแสดงและคิดว่ามาริโอ้จะสวมบทบาทเป็นจันดาร ได้อย่างลึกซึ้ง ตอนออดิชั่นให้มาริโอ้แต่งเป็นอะไรเค้าก็จะมีเสน่ห์เป็นคนนั้นซึ่งเป็นลักษณะพิเศษของนักแสดงมากๆ เค้าก็คงจะเหมาะที่สุดแล้ว คราวนี้เรามองจัน ดาราเป็นเด็กที่บริสุทธิ์ และข้อสำคัญก็คือ สภาพแวดล้อมรอบข้างนี่แหละที่ทำให้ความบริสุทธิ์ของเขาต้องเปลี่ยนไปกลายเป็นดาร์กขึ้น หม่นขึ้นๆ จนกลายเป็นดำสนิท ด้วยสภาพจิตใจและหน้าตาของเค้าก็ทำให้สามารถถ่ายทอดออกมาได้ดีทีเดียว
          ส่วนตัวละคร “เคน กระทิงทอง” ซึ่งสร้างขึ้นมาให้ละเอียดขึ้นจากหนังสือเนี่ย เป็นตัวละครที่เติบโตมาพร้อมๆ กับจัน ถ้าจันเป็นสีดำเคนก็เป็นสีขาว ถ้าเคนเป็นสีขาวจันก็เป็นสีดำ เป็นบุคลิกตรงข้ามกันมาก เคนกระทิงทองจะเป็นคนที่แมนๆ แข็งแกร่งทั้งทางร่างกายและจิตใจ เป็นคนที่ไม่คิดอะไรมากทั้งสิ้น เอ็นจอยกับชีวิตในทุกวินาทีที่ตัวเองมีชีวิตอยู่ เป็นคนมองโลกในแง่ความเป็นจริง การที่เลือก “นิว ชัยพล” เพราะเขามีลักษณะภายนอกที่เหมือนเคน กระทิงทองมาก ด้วยรูปร่างหน้าตาและความแข็งแกร่งที่ดูเป็นนักสู้ เป็นนักเลงนิดๆ และมีความทะเล้นอยู่ในตัว ในแง่แอ็คติ้งเนี่ยนิวเรียนกับเรามาตั้งสี่ปีแล้ว เพราะฉะนั้นเขาสามารถทำความเข้าใจตัวละครได้เป็นอย่างดี และที่สำคัญที่สุดคือนิวกับโอ้เขาเป็นเพื่อนกันมาตั้งแต่เด็ก เวลาเล่นด้วยกันเขาจะมีเคมีที่เข้ากันได้ดีมาก มันไม่ใช่แค่เพื่อนอย่างเดียวนะ มันเป็นทั้งนายกับบ่าว มีความซื่อสัตย์ ความไว้ใจซึ่งกันและกัน คู่นี้พอเล่นด้วยกันแล้วดูน่าเชื่อเป็นอย่างยิ่ง
          ทั้งคู่เป็นลูกศิษย์เราเรารู้ว่าจะใช้งานเขาได้ยังไง ก็เริ่มซ้อมมาตั้งแต่เดือนพฤศจิกายนปีที่แล้ว ทั้งคู่จะมาซ้อมมาเข้าคลาสด้วยเพื่อให้เข้าถึงตัวละครซึ่งเป็นที่น่าพอใจมา ซึ่งก็เลือกไม่ผิดทั้งคู่ และเขาก็มีเคมีที่เค้ารู้จักกันตั้งแต่เด็กมันเลยทำให้เขาสามารถเป็นตัวเดินเรื่องสองตัวที่ทำหน้าที่ได้สมบูรณ์จนกระทั่งจบ
          ตัวละครตัวอื่นก็เลือกจากเหมาะสมแท้ๆ ซึ่งก็ยากที่เราจะปฏิเสธบทอีโรติกหรือบทล่อแหลม มันปฏิเสธไม่ได้ที่จะมี เราต้องเลือกคนที่เข้าใจศิลปะของการแสดงจริงๆ ที่จะรู้ว่ามันจำเป็นต้องเปลือยด้วยมีเหตุและผล ไม่ใช่ว่าจงใจจะเปลือย ต้องเลือกคนที่มีสามารถและเหมาะสมด้วย เข้าใจศิลปะของการแสดงด้วย ซึ่งนักแสดงทุกคนก็เข้าใจและเต็มที่กับการแสดงเรื่องนี้กันทุกคน
          บท “คุณหลวงวิสนันท์เดชา” เป็นบทที่เหมือนกระจกส่องสะท้อนกับจันดารา ที่ทำให้แม่ต้องตายหลังจากคลอดเขา ก็เลยก่อเกิดความเคียดแค้นที่มาใส่กับตัวเด็ก โดยที่จริงๆ แล้วมันมีเหตุผลที่เป็นปริศนาซ่อนอยู่ เป็นบทที่เล่นค่อนข้างยาก เพราะฉะนั้นบทนี้ต้องใช้คนที่มีฝีมือมาก สำหรับผมคิดว่า “เจี๊ยบ ศักราช” เนี่ย มีบุคลิกภายนอกมีความเป็นผู้ชายไทยเหมือนที่ตั๊ก บงกชมีความเป็นผู้หญิงไทย และประกอบฝีมือการแสดงที่เล่นได้แนบเนียนและลึกซึ้งเหมือนตัวละคร ก็เลยคิดว่าศักราชจะสวมบทบาทนี้ได้ดี ซึ่งเขาก็ทำได้อย่างดีมากๆ เลยทีเดียว
“ตั๊ก บงกช” ก็เลือกจากลักษณะภายนอกเหมือนกัน คือตัว “น้าวาด” เนี่ยสวยแบบนางในวรรณคดี เป็นหญิงไทยโบราณและมีความเป็นแม่สูงด้วยลักษณะภายนอก มีหน้าอกที่ใหญ่ มีไหล่ที่ใหญ่ แล้วมีความอบอุ่น และตั๊กเขามีความสวยอย่างคนไทยมากยิ่งพอใส่สไบแต่งเป็นไทยขึ้นมาก็ตรงกับที่คิดไว้เลย ที่สำคัญเขาต้องเล่นตั้งแต่สาวจนกระทั่งอายุ 40-50 ซึ่งตั๊กก็ทุ่มเทกับการซ้อมมากจนเข้าถึงตัวน้าวาดได้อย่างน่าประทับใจ ตอนแรกเรียกมาดูตัวเพราะไม่เคยทำงานด้วย แล้วมาออดิชั่นเขาเป็นคนเดียวที่ใกล้เคียงกับบทนี้มาก เข้าใจด้วยว่าที่มันจะต้องมีเลิฟซีนและยินยอมพร้อมใจเป็นอย่างยิ่ง เพราะฉะนั้นความยากสำหรับตั๊กเนี่ย พอเล่นบทตอนสาวน้อยมากแค่สิบเปอร์เซ็นต์ในเรื่อง นอกนั้นก็เล่นเป็นน้า ซึ่งเป็นน้าของจันที่เรียบร้อยมาก เป็นกุลสตรี เก็บความลับทั้งหมดเอาไว้ในตัว ปิดปากไม่แพร่งพรายใดๆ จะเล่นยากมากเพราะส่วนใหญ่จะเล่นเป็นคนสูงอายุเกือบเก้าสิบเปอร์เซ็นต์ซึ่งก็ทำได้ดีมากและตั้งอกตั้งใจมาก เพราะเป็นบทของตัวละครที่สำคัญมากที่เก็บความลับในชีวิตของจัน ดาราเอาไว้ ชาติกำเนิดของจันดาราแท้ๆ คืออะไร น้าวาดเป็นคนที่เก็บเรื่อง เป็นคนที่ล่วงรู้ แล้วก็บทน้าวาดเนี่ยเป็นบทที่ส่งมาเพื่อปกป้องจันดาราจากภัยที่จะเกิดจากคุณหลวง ทีต้องการยึดสมบัติของครอบครัวพิจิตรวานิชซึ่งจันดาราเป็นทายาทที่เหลือคนเดียว เพราะฉะนั้นน้าวาดจะถูกส่งตัวมาเพื่อปกป้องชีวิตจัน ดารา ซึ่งเล่นยากมาก เขาต้องเล่นไม่ให้คุณหลวงรู้ด้วยว่าเขามา จริงๆ แล้วมันคือสายลับ ซึ่งเขาก็ต้องยอมและเสียตัวให้คุณหลวงเพื่อจะรักษาชีวิตจันดาราตั้งแต่เด็กๆ บทนี้เป็นบทที่เล่นค่อนข้างซับซ้อนมากแล้วตอนจบของเรื่องเนี่ยเค้าเลี้ยงจันดารามาจนโต แล้วจันดารามีพฤติกรรมที่เปลี่ยนไปกลายเป็นอีกคนหนึ่งที่ไม่ใช่เด็กที่ใสสะอาด เป็นเด็กที่กลับมาเพื่อจะแก้แค้นและก็ได้มีการกระทำที่รุนแรงขึ้นจนน้าวาดทนไม่ได้เลย
          คาแร็คเตอร์ของ “คุณบุญเลื่อง” ก็จริงๆ แล้วเป็นตัวละครที่เราแคสติ้งไว้หลายคนทีเดียว เพราะเป็นบทที่ถูกตีความใหม่ให้เป็นศิลปินแม่ม่ายชาวภูเก็ตแต่ไปโตที่ประเทศฝรั่งเศสและก็มีสังคมเป็นชาวต่างประเทศ จะเป็นฝรั่งมาก เพราะฉะนั้นบทของคุณบุญเลื่องเลยมีสีสันต่างจากตัวละครผู้หญิงในเรื่องซึ่งเป็นคนไทย คุณบุญเลื่องเวอร์ชั่นนี้จะรักการแต่งตัวมาก จะแฟชั่นจ๋ามาก และก็เป็นศิลปิน เป็นนักดนตรี เป็นนักวาดรูป ร้องเพลงเก่ง เปียโนเก่ง เต้นรำเก่ง มันก็มีคุณสมบัติหลายๆ อย่างที่ต้องเลือกคนที่เหมาะจริงๆ เพราะฉะนั้นในการเลือก “หญิง รฐา” มารับบทนี้ก็จะเหมาะที่สุด และก็ด้วยวัยจริงๆ เขาอายุไม่ค่อยเยอะ แต่ว่าหญิงสามารถ่ายทอดบทบาทของหญิงวัยสี่สิบได้อย่างเหลือเชื่อ
          ส่วน “พิ้งกี้” ต้องเล่นเป็นสองคาแร็คเตอร์ หนึ่งคือ “ไฮซินธ์” บทระบุไปเลยว่าเป็นผู้หญิงมุสลิมและสวยมาก เราเห็นว่าไฮซินธ์เนี้ยเป็นนางในดวงใจของจัน ดาราตั้งแต่เขาเจอกันที่โรงเรียน มันเป็นความรักบริสุทธิ์มากๆ รักมากโดยไม่มีกามารมณ์มาเกี่ยวข้องแต่อย่างใด เป็นแรงบันดาลใจให้จันมีชีวิตอยู่ เป็นเหมือนกับวิหารทางใจของจัน เพราะที่บ้านเนี่ยเต็มไปด้วยกามารมณ์ เต็มไปด้วยการชิงอำนาจ มีแต่ทะเลาะเบาะแว้ง มันแย่จากในบ้าน แต่ว่าไฮซินธ์มันเหมือนที่พักทางใจของจัน ก็เลยเห็นว่าพิงกี้เนี้ยเหมาะที่สุดที่จะมารับบทนี้ ก็เลยเชิญมาออดิชั่นและฝีมือการแสดงเขาสูงมากทีเดียวถึงขั้นระดับอินเตอร์ก็ว่าได้ ก็เลยมีความรู้สึกว่าบทไฮซินธ์อย่างเดียวมันจะง่ายไปหรือเปล่าสำหรับเขา ก็เลยเพิ่มบทให้เขาอีกบทนั่นคือบท “ดารา” แม่ของจันที่เสียชีวิตหลังจากคลอดจันออกมา บทของดาราก็เป็นบทที่สำคัญมาก ในนวนิยายพูดไว้ว่า ผู้หญิงสองคนที่จันรักอย่างบริสุทธิ์ เพราะฉะนั้นมันเลยมีความเหมือนกันอยู่ในแง่ของตัวละคร คือเราพยายามคิดว่าทำไมจันดาราถึงรักไฮซินธ์อย่างบริสุทธิ์มันต้องมีความเป็นอะไรเหมือนแม่อยู่ก็เลยให้คนๆ เดียวกันเล่น ซึ่งจริงๆ ก็เป็นคนละคาแร็คเตอร์เลย ซึ่งเขาก็เล่นได้ดีและแตกต่างมาก

FB on August 17, 2012, 03:33:07 PM
          บท “คุณแก้ว” เนี่ยพูดได้ว่าเป็นบทที่แรงที่สุดในเรื่องนี้นะครับ คือเธอมีจิตใจที่เปราะบางทีเดียว คือมีปมของการที่แม่ไม่รัก ตัวเองก็รักพ่อมากและก็ได้รับอิทธิพลความคิดความอ่านจากพ่อไปหมด โดยเฉพาะอย่างยิ่งพ่อใส่หัวตั้งแต่เด็กว่าให้เกลียดจันและก็ถ่ายทอดเลือดของพ่อมาเยอะ คือเป็นคนที่เจ้าอำนาจบาตรใหญ่มาก และก็มีความวิปริตทางจิตค่อนข้างสูง เป็นผู้หญิงที่รุนแรงมากทางด้านอารมณ์ เพราะฉะนั้นมันยากมากสำหรับนักแสดงไทยที่จะถ่ายทอดตรงนี้ออกมา โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเรื่องของฉากอีโรติกซึ่งค่อนข้างสำคัญมากสำหรับหนังเรื่องนี้ ก็เลยคิดว่านักแสดงไทยคงไม่กล้าเล่นแน่ๆ ก็เลยตัดสินใจใช้นักแสดงญี่ปุ่น “โช นิชิโนะ” ซึ่งเธอก็รู้สึกว่าเป็นบทที่ยากและท้าทายสำหรับเธอมากที่จะเล่นเป็นคนไทย ซึ่งแต่เดิมเราบอกว่าพูดญี่ปุ่นก็ได้และเดี๋ยวให้คนอื่นมาพากย์ทับ แต่แกกลับบอกว่าแกอยากจะพูดเป็นภาษาไทยแล้วคนที่มาพากย์แทนแกจะได้ง่ายขึ้น ซึ่งเป็นคนที่มีสปิริตและทุ่มเทในการซ้อมมากแม้จะเป็นช่วงเวลาที่น้อยนิดที่เราเจอกัน เราก็ขอชื่นชมในสปิริต ซึ่งสามารถพูดได้ว่าเขาเป็นนักแสดงมืออาชีพระดับสากลจริงๆ คือถึงแม้ว่าเขาจะเป็นนักแสดง AV แต่ว่าบ้านเขาถือว่าเป็นเรื่องธรรมชาติมากและดาราญี่ปุ่นหลายๆ คนก็เกิดจากเอวีทั้งนั้น แต่ว่าโชก็สามารถเล่นได้ทุกอย่างเป็นมือโปรจริงๆ และเขาเองก็พยายามที่จะเรียนรู้ความเป็นคนไทยอย่างมาก และเราก็โชคดีมากที่ได้ “นัท มีเรีย” ที่ไม่ใช่แค่มาให้เสียงเท่านั้น แต่ต้องถือว่านัทก็เหมือนแสดงเป็นคุณแก้วเลย เข้าใจบทเท่าๆ กับที่โชเข้าใจ ต้องใส่วิญญาณของคุณแก้วเข้าไปในภาพของโช ซึ่งสำหรับนัทเองก็เป็นบทที่ยากสำหรับเขามาก จริงๆ แล้วเหมือนเล่นสองคนนะครับบทนี้ แสดงโดยโช มิชิโนะและนัท มีเรีย ซึ่งนัทก็สามารถถ่ายทอดได้เหมือนราวกับเป็นคนๆ เดียวกัน แต่พูดภาษาไทยได้ชัดกว่าเท่านั้นเอง
          ส่วนบทของ “คุณท้าวพิจิตรรักษา” แสดงโดย “รัดเกล้า อามระดิษ” ก็จะเป็นบทที่เราได้มีการดัดแปลงขึ้นมา เพราะในบทประพันธ์จะเป็นคุณตา เราคิดว่าน่าจะเป็นผู้หญิงมากกว่าก็เลยดัดแปลงเป็นคุณท้าวยาย ซึ่งเป็นคุณป้าของดารา พิจิตรวานิชแม่ของจัน เป็นผู้อาวุโสมากที่สุดในบ้านพิจิตรวานิช ซึ่งจริงๆแล้วตัวละครตัวนี้แหละเป็นตัวละครที่สร้างปมปัญหาต่างๆ ให้กับภาพยนตร์เรื่องนี้ ซึ่งในบทบาทสำคัญนี้จะหนัก ต้องใช้นักแสดงที่เล่นได้อย่างมีพลัง ซึ่งรัดเกล้าเป็นนักแสดงคุณภาพที่พิสูจน์ฝีมือแล้วจาก “อุโมงค์ผาเมือง” นะครับ ซึ่งถ่ายทอดบทผู้หญิงแก่ที่หลงอำนาจและก็ตัดสินใจบางอย่างผิดๆ ไปและก่อให้เกิดความหายนะต่อคนรอบข้างได้อย่างน่าสะพรึงกลัวทีเดียว
          โปรดักชั่นงานสร้าง
          ความยากมันอยู่ที่บ้านพิจิตรวานิชหรือบ้านวิสนันท์ที่ดำเนินเรื่องแปดสิบเปอร์เซนต์ เพราะฉะนั้นจะต้องเลือกบ้านที่เหมาะสมที่สุด และเป็นเรื่องของชนชั้นสูง เนื้อเรื่องทั้งหมดเนี่ยเป็นเรื่องชนชั้นสูง ไม่ใช่เรื่องของคนชั้นกลาง เป็นคนระดับสูงระดับศักดินา เพราะฉะนั้นในการเลือกบ้านมันก็จะยากเลยทีเดียว ในด้านอาร์ตไดเร็คชั่น ในแง่โลเกชั่นตัวบ้าน ตัวฉากเสื้อผ้า เครื่องประกอบฉาก มันต้องสะท้อนชีวิตคนชั้นสูง ในสังคมของคนชนชั้นสูงในที่นี้คือในยุคเดิมของคนมีการศึกษาด้วย ต้องมีชาติตระกูล มีการศึกษาซึ่งไม่ควรที่จะทำอะไรที่มันเป็นตัณหา ราคะ กิเลสหรืออะไรที่ไม่ดี มันก็จะยากในการเลือกโลเกชั่นมาก เสื้อผ้าก็จะยากเพราะว่าคอสตูมเรื่องนี้เป็นถึงสี่รัชกาล เพราะฉะนั้นเสื้อผ้าก็จะเปลี่ยนไปตามยุคสมัย เพราะทำไปแล้วมันเหนื่อยมากงานมันละเอียดมาก เพราะว่างานละเอียดมากที่สุดเท่าที่เคยทำมา อย่างใน “ชั่วฟ้าดินสลาย” ก็แค่พีเรียดเดียว “อุโมงค์ผาเมือง” ก็พีเรียดเดียวแท้ๆ เลย แต่เรื่องนี้มันต้องสี่สมัยเลย เนื่องจากดำเนินเรื่องตั้งแต่จันดาราเกิดตั้งแต่รัชกาลที่ 6 (พ.ศ.2457) จนถึงปัจจุบันเนี่ย เพราะฉะนั้น ในแง่ฉาก เครื่องประกอบฉาก การแต่งกายมันเป็นไปตามยุคสมัย แม้กระทั่งทรงผม เพราะฉะนั้นทุกฝ่ายต้องศึกษาอย่างละเอียดและทำงานกันหนักมาก และเรื่องส่วนใหญ่จะเกิดขึ้นในบ้านพิจิตรวานิชก็จะต้องเปลี่ยนไปตามยุคสมัย ไปตามเสื้อผ้าและแบบผม มันยากมาก ยากกว่าที่คิดมากๆ มันเป็นเรื่องของรายละเอียดทุกเรื่อง แม้กระทั่งในแง่การแสดง ตัวละครต้องเปลี่ยนอายุ นิสัยก็เปลี่ยนไปด้วยเพราะฉะนั้นคนเล่นจะเล่นยากมาก เปลี่ยนไปตามวัย เปลี่ยนไปตามความคิด จริงๆ แล้วเนี่ยการเปลี่ยนแปลงทางการเมือง เศรษฐกิจของประเทศก็มีผลต่อตัวละครอีก เขาต้องเข้าใจว่ายุคนั้นนะประเทศมีอะไรอยู่ มีสงครามโลกอยู่หรือเปล่า มีการเปลี่ยนแปลงทางการปกครองด้วย มีสงครามโลกครั้งที่สองด้วย มีสงครามกลางเมืองด้วย คนเล่นก็ต้องเข้าใจ มันเป็นเรื่องที่ละเอียดมาก
          เราก็ได้โปรดักชั่นดีไซเนอร์มืออาชีพระดับอินเตอร์อย่าง “คุณแป๊ะ-พัฒน์ฑริก มีสายญาติ” ที่เคยร่วมงานกันจากอุโมงค์ผาเมือง ได้ “คุณโจ้-อธิษฐ์ ฐิรกิตสัฒน์” จากร้าน Surface มาเป็นผู้ดีไซน์เสื้อผ้า และก็ได้ “อาจารย์มนตรี วัดละเอียด” มาควบคุมการแต่งหน้าและทรงผม ทุกคนจะทำงานกันหนักมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งการแต่งหน้าเนี่ยก็ต้องเปลี่ยนไปตามวัย 4 สมัย 4 รัชกาล ต้องแต่งหน้าให้มาริโอ้และนิวซึ่งยังเด็กๆ ยี่สิบกว่าเองให้เป็นคนอายุเจ็ดสิบกว่า ก็เป็นงานที่หนักที่สุดเท่าที่เคยทำมา และก็มีฉากใหญ่ที่ท้าทายในการถ่ายทำมาก เช่น การเปลี่ยนแปลงการปกครองที่พระที่นั่งอนันตสมาคม ต้องจำลองภาพสมัยยุครัชกาลที่ 7, มีฉากสงครามโลกครั้งที่ 2 มีฉากเครื่องบินมาถล่มกรุงเทพฯ และก็มีฉากงานเลี้ยงต่างๆ มากมาย อันนี้ก็ต้องศึกษาเยอะและก็เป็นงานที่ใหญ่มากเกินกว่าที่คิด
          ทางด้านโลเกชั่นหลัก เราถ่ายอยู่ที่บ้านบ้านสังคหวังตาลของหลวงสิทธิเทพการ อ.บ้านโป่ง จ.ราชบุรี และก็มีบางส่วนที่ไปถ่ายทำที่สระบุรี, กาญจนบุรี และก็ที่กรุงเทพฯ การหาโลเกชั่น Outdoor นั้นยากมาก มีการเปลี่ยนแปลงมาก เพราะฉะนั้นการทำงานจะยากตรงที่ว่าตรงไหนที่จะต้องหลบไอ้สิ่งทันสมัยต่างๆ ซึ่งบางครั้งก็ต้องใช้คอมพิวเตอร์กราฟฟิกเข้ามาช่วย เพราะว่ามันยากตรงที่แต่ละยุคสมัยมันเปลี่ยนแปลงไปมากด้วย
          ส่วนด้านดนตรีประกอบเนี่ย เราก็ได้ “คุณชาติชาย พงศ์ประภาพันธ์” ซึ่งก็ร่วมงานกันมาเมื่อตอนอุโมงค์ผาเมือง มาทำเพลงประกอบด้วยความอลังการมาก คือเนื่องจากเรื่องดำเนินใน 4 ยุค 4 สมัย ผ่านเหตุการณ์ต่างๆ ของประเทศมากมาย มีการชิงอำนาจกันในบ้าน มีการเปลี่ยนแปลงทางด้านอำนาจในประเทศจนถึงระดับโลก เพราะฉะนั้นดนตรีประกอบจึงสะท้อนสิ่งเหล่านี้ออกมาซึ่งมีทั้งความยิ่งใหญ่ ความเจ็บปวด ความรัก ความเศร้า มีการแก้แค้นอยู่ในนั้น ซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นลักษณะอันน่าสะเทือนอารมณ์ของมนุษย์ แต่ก็มีฉากที่เป็นสีสันความสนุกของเรื่องอย่างฉากร้องเพลง “เมื่อไหร่จะให้พบ” ในงานเลี้ยง ซึ่งขับร้องโดยหญิง รฐา โพธิ์งามกับศักราช ฤกษ์ธำรงค์ ซึ่งแต่งคำร้องโดย “แก้ว อัจริยะกุล” และแต่งทำนองโดย “หลวงสุขุมนัยประดิษฐ์” ซึ่งเป็นเพลงฮิตในยุคนั้นมาใช้ในภาพยนตร์เรื่องนี้ด้วย
          ฉากอีโรติกเป็นเรื่องสำคัญ แต่มีเรื่องสำคัญกว่า...ที่มิอาจมองข้าม
          คือโดยแท้แล้วเนี่ย ถ้ามองในลักษณะผิวเผิน อ่านวรรณกรรมเรื่องนี้โดยผิวเผิน ความเด่นมันจะอยู่ที่การกล้านำฉากอีโรติกหรือฉากสังวาสมาเขียนเป็นวรรณกรรม แต่ว่าในหนังสือท่านใช้ภาษาที่เพราะมากเหลือเกิน แต่ว่าโดยแท้แล้ว ผมมีความรู้สึกว่าถ้าข้ามฉากเหล่านี้ไป กลับพบสิ่งที่สำคัญกว่าคือสาเหตุการกระทำของมนุษย์ สาเหตุของการเกิดพฤติกรรมของมนุษย์ ไม่ว่ามีพฤติกรรมด้านบวกหรือลบนั่นเอง สาเหตุนั้นก็เป็นเรื่องของจิตใจมากกว่า เพราะฉะนั้นสิ่งที่เด่นของจันดารากลับกลายการสร้างตัวละครอย่างเหมือนมนุษย์มาก โดยยึดหลักของซิกมันด์ ฟรอยด์ คือการสร้างตัวละครที่มีปมอิดิปุสและเซ็กส์ไดร์ฟ คือแรงขับดันทางเพศ ซึ่งไม่ได้สื่อถึงเรื่องกามารมณ์อย่างเดียว เป็นตัวกำหนดที่ทำให้เรามีพฤติกรรมต่างๆ ไม่ว่าบวกหรือลบ โดยเฉพาะอย่างยิ่งตัวละครจันดาราเนี่ย ครูประมูล อุณหธูปได้สร้างสรรค์ตัวละครอย่างน่าสนใจมาก คือเกิดมาก็ไม่เคยเห็นหน้าแม่เลย และก็บังเอิญบ่าวในบ้านนั้นก็ไม่มีใครมีน้ำนมเลย ก็โดนเลี้ยงโดยนมผง ซึ่งคนที่กินนมผงได้ก็คือลูกเศรษฐีเท่านั้น มันทำให้เขาไม่เคยได้สัมผัสกับกับทรวงอกของแม่เลย เพราะฉะนั้นก็เป็นความที่เขาอยากได้ความอบอุ่นจากของผู้หญิง ซึ่งในที่นี้เนี่ยไม่ใช่ว่าเห็นทรวงอกของผู้หญิงแล้วมีความรู้สึกทางเพศอันนั้นไม่ใช่ มันเลยกลายเป็นสิ่งที่เขาไม่เคยสัมผัสเลย เพราะฉะนั้นในเรื่องนี้เนี่ยจะมีฉากที่มีหน้าอกมากมาย เป็นสัญลักษณ์ของแม่นั้นเอง ที่นี้ในความเป็นจริงเนี่ยธรรมชาติสร้างหน้าอกผู้หญิงมาเพื่ออะไร หรือไม่ใช่แค่ผู้หญิงนะ สัตว์ที่เลี้ยงลูกด้วยนมทั้งหลายเนี่ยมันก็เพื่อเลี้ยงทารก เลี้ยงมนุษย์ให้มีชีวิตนั่นเอง
          ผมคิดว่าในประเด็นนี้ ท่านพูดถึงทรวงอกผู้หญิงอย่างลึกซึ้ง มากกว่าที่จะเป็นในเชิงกามารณ์ อาจจะเป็นเพราะเราชินกับภาพยนตร์ที่มีฉากอีโรติกเหล่านี้ ทั้งภาพยนตร์ฮอลลีวูด, ญี่ปุ่น, เกาหลีหรืออะไรก็ตามมันทำให้เราชินว่าหน้าอกของผู้หญิงเป็นสื่อทางกามารณ์ การเข้าถึงแก่นแท้จริงๆ คือทำความเข้าใจว่าหน้าอกของผู้หญิงมีไว้เพื่ออะไร หรือว่าจะพูดถึงอวัยวะสืบพันธุ์มีไว้เพื่ออะไร เพื่อที่จะเอาไว้ขยายเผ่าพันธุ์มนุษย์นั่นเอง
          จริงๆ มันเป็นเรื่องศักดิ์สิทธิ์นะ มันไม่ใช่เรื่องที่จะมาเล่น Just for Fun มันไม่ใช่เรื่องสนุก การมีเพศสัมพันธ์แท้ๆ เนี่ย คือการเกิดมนุษย์ก่อให้เกิดชีวิต อันนี้เป็นสิ่งที่ศักดิ์สิทธิ์จริงๆ เพราะฉะนั้นเราก็ไม่ได้เกิดมาเป็นคนเหมือนเราท่านทุกวันนี้
          แต่ทีนี้เรากลับไปมองเรื่องนี้ผ่านสื่อที่เป็นภาพยนตร์หรือบทในเชิงเซ็กส์เนี่ย มันเลยทำให้เรากลายเป็นคิดในเชิงเรื่องการมีเพศสัมพันธ์เป็นเรื่องสนุก หรือเป็นเรื่องน่าตื่นเต้น โดยแท้แล้วมันมีความหมายมาก อย่างที่บอกเรื่องนี้จะพูดถึงฉากเหล่านี้อย่างมีความหมายมาก บางคนใช้เรื่องเซ็กส์หรือเรื่องเพศเนี่ยเพื่อประโยชน์ทางการเมือง เพื่อการแสวงหาอำนาจ บางคนใช้ในการต่อรอง บางคนใช้เพื่อสนุก บางคนใช้เพื่อแสดงความรัก หรือว่าบางคนทำไปเพื่อต้องการมีทายาท คือฉากอีโรติกเรื่องนี้เราหนีไม่ได้เลย มีมากมายทีเดียวอันนี้ต้องยอมรับโดยความเป็นจริง แต่ละฉากเนี่ยนำเสนอออกมาอย่างมีความหมายต่างกัน เพื่อให้เห็นว่าเราจะมองฉากเหล่านี้เป็นเพียงมุมเร้าใจตัณหาราคะอย่างเดียวนั้นมันคือการมองโลกในแง่เดียว ให้มองอีกหลายๆ มุม เพราะฉะนั้นสิ่งที่เรื่องนี้พูดถึงเนี่ย คือความเป็นมนุษย์มากกว่า ความเป็นคนมากกว่า และก็โดยเฉพาะอย่างยิ่งมนุษย์มีสัญชาตญาณในการแสวงหาอำนาจมากและรักตัวเองมาก และก็เมื่อมีอำนาจแล้วก็ไม่อยากสูญเสียไป และก็ใช้อำนาจไปในเชิงทำลายมากกว่าสร้างสรรค์ แล้วท้ายที่สุดแล้วเนี่ยก็จะพบกับความจุดจบหรือหายนะอย่างในเรื่อง ซึ่งอันนี้น่าจะเป็นประเด็นสำคัญของภาพยนตร์เรื่องนี้มากกว่าฉากอีโรติกมากมายนัก
          สร้างเป็นสองภาค (ปฐมบท-ปัจฉิมบท) เพื่อความสมบูรณ์แบบของเนื้อหาและสาระบันเทิง
          ภาพยนตร์เรื่องนี้มีรายละเอียดเนื้อหาและตัวละครมากมายที่มีความสำคัญเท่าๆ กันหมด เพราะฉะนั้นการที่เราจะตัดเนื้อเรื่องหรือตัวละครตัวใดหนึ่งออกมันยาก เพราะทุกตัวละครมีความสัมพันธ์กันอย่างซับซ้อนและสะท้อนนิสัยซึ่งกันและกัน เรื่องมันจึงยาวมาก มีเหตุการณ์พลิกผันไปมาตลอด คือตัวละครจันดาราเป็นตัวเดินเรื่องก็จริง แต่ตัวอื่นๆ รอบข้างก็มีปูมหลังและเรื่องราวของตัวเองเช่นกัน พล็อตมันจะพลิกผันไปมาตลอด เรียกว่าเป็นมหากาพย์ภาพยนตร์ได้เลย เพราะว่าเล่าเรื่องผ่านสี่ยุคสมัย แต่ละสมัยก็มีรายละเอียดทางด้านอารมณ์ เหตุผล และความสนุกเกี่ยวเนื่องกันจึงไม่สามารถตัดส่วนใดส่วนหนึ่งออกได้ มันก็เลยมีความจำเป็นที่จะต้องสร้างเป็นสองภาค ภาคหนึ่งคือ “ปฐมบท” คือวัยเด็กตั้งแต่จันดาราเกิดจนถึงวัยสิบเจ็ด และภาคสองคือ “ปัจฉิมบท” วัยผู้ใหญ่ตั้งแต่ยี่สิบจนถึงสี่สิบ-ห้าสิบ โดยจะยังคงเนื้อหาสาระและความบันเทิงอย่างเต็มอิ่มเอาไว้ทั้งสองภาค ไม่ได้มีการยืดเพื่อให้เป็นสอง ผมไม่ได้คิดอย่างนั้นเลย ยังไงผมก็จะรักษาสาระและความสนุกของเรื่องเอาไว้ให้สมบูรณ์ที่สุด ถ้าได้ชมภาพยนตร์ก็จะเข้าใจดีว่ามันเป็นอย่างนี้จริงๆ ซึ่งภาคแรกปิดกล้องเรียบร้อบแล้วพร้อมฉาย 6 กันยายนนี้ ส่วนภาคสองกำลังอยู่ระหว่างการสร้างครับ

FB on August 24, 2012, 04:30:48 PM
บทสัมภาษณ์ “มาริโอ้ เมาเร่อ” กับการพลิกบทบาทครั้งสำคัญอันคาดไม่ถึง ในภาพยนตร์มหากาพย์แห่งโศกนาฏกรรม “จันดารา”

 

          บทบาท-คาแร็คเตอร์
          “จัน” จะเป็นคนค่อนข้างที่จะเรียบร้อยและเก็บความรู้สึกครับ เพราะว่าตั้งแต่เกิดมาแม่ก็เสียชีวิตไปเลยครับ เป็นคนที่จมอยู่กับความผิดของตัวเอง เพราะถูกคุณหลวง-พ่อของจันเองทำร้ายมาโดย เพราะอาฆาตแค้นที่ทำให้แม่ต้องตาย แต่ตัวจันเองเป็นคนที่ชอบอ่านหนังสือ เรียนหนังสือเก่ง จันเป็นคนที่มองอะไรสวยไปหมด เป็นคนที่มีความเป็นศิลปินค่อนข้างสูง เป็นอาร์ติสชอบวาดรูปด้วย เป็นคนที่มองอะไรแล้วสวยกว่าคนอื่นไปหมด โดยรวมแล้วชีวิตของจันพูดได้ว่ายิ่งกว่าละครครับ เพราะว่าชีวิตผ่านอะไรมาเยอะมากตั้งแต่เด็กๆ กระทั่งโตไปจนแก่ มีเหตุการณ์ในชีวิตให้พลิกผันอยู่ตลอด จันจะมีเพื่อนซี้ที่เป็นทั้งพี่ทั้งเพื่อนนั่นคือเคน กระทิงทอง ก็จะไปไหนมาไหนด้วยกัน ช่วยเหลือซึ่งกันและกันเสมอครับ
          ความรู้สึกแรกที่รู้ว่าได้แสดงนำในเรื่องนี้
          ครั้งแรกที่โอ้ได้รู้ว่าหม่อมทำเรื่องนี้ โอ้ก็เชื่อมั่นและรู้ว่าหม่อมมีแง่มุมต่างๆ ที่ต้องการจะนำเสนออยู่แล้ว มันเป็นบทที่ท้าทายฝีมือการแสดงของเรา คือไม่ต้องคิดเยอะเลยครับ หม่อมเสนอมาโอ้ก็รับเล่นเลย จากเรื่องที่แล้วเนี่ยมันคนละด้านกันเลย เรื่อง ‘จันดารา’ นี้จะเป็นมนุษย์จริงๆ มีทั้งด้านดีและร้าย มีหลากหลายอารมณ์ที่ต้องแสดงและเป็นตัวดำเนินเรื่องไปตลอด ต้องเล่นตั้งแต่หนุ่มยันแก่เลย ตัวละครของโอ้จะต้องเจออะไรที่แตกต่างไปตามช่วงอายุ มุมมองความคิด และเหตุผลของการกระทำก็จะเปลี่ยนไปตามช่วงอายุ ก็ไม่เคยคิดว่าชีวิตเราอายุเท่านี้จะได้เล่นบทบาทที่มันท้าทายความสามารถขนาดนี้ และยากมากที่จะได้รับโอกาสดีๆ อย่างนี้ ทำให้โอ้ต้องหมั่นฝึกฝนและเข้าคลาสกับหม่อมอย่างหนักมาก นี่เป็นบทที่ดีมากจริงๆ ครับ
          การเตรียมตัวก่อนการแสดงและการเข้าถึงบทบาทนี้
          การเตรียมตัวก่อนการแสดงเรื่องนี้ก็เหมือนที่โอ้ได้เคยทำงานกับหม่อมคือต้องมีการอ่านบทก่อนและก็ซ้อมการแสดง มีการ Read Through และก็เล่นกันจริงๆ กับทีมนักแสดงด้วย มันเป็นสิ่งที่ผมชอบที่สุด เพราะมันทำให้เรามั่นใจและก็หาคาแร็คเตอร์ง่ายขึ้นด้วยครับ เพราะเราได้เล่นกับคาแร็คเตอร์ตัวละครอื่นๆ ด้วย เราจะได้รู้ว่ารับส่งกันยังไงด้วยครับ ทำให้ตอนที่เราไปถ่ายจริงมันลื่นไหลมากเพราะเราจำบทได้หมดแล้ว
          วิธีการเข้าถึงบทบาทของโอ้นะครับ ก็พยายามอ่านบทเยอะๆ และก็คิดภาพตามไปด้วยครับ ทุกครั้งที่เข้าฉากโอ้จะคิดถึงเรื่องราวสิ่งที่อยู่ในใจของจันครับ ว่าจันเนี่ยผ่านเรื่องราวอะไรมาบ้าง เค้าเป็นคนยังไง เค้าคิดอะไร คือจันจะเป็นคนที่ค่อนข้างเก็บทุกอย่างครับ เห็นอะไร ผ่านอะไร เป็นคนที่มีความจำดีมากๆ ต่อให้แก่แล้วก็ยังจำเรื่องได้แบบแม่นมาก เหมือนถ่ายภาพเอาไว้เลยครับ เป็นคนที่จำได้ทุกเรื่องราว คำพูดจะจำได้ทุกไดอะล็อคของคนที่โตมากับเค้า คนที่อยู่มากับเค้า จันจะเป็นคนที่ละเอียดอ่อนมาก เพราะว่าถึงพ่อจะเลี้ยงมาแต่ไม่ได้เลี้ยงดูอย่างใกล้ชิด พ่อจะทำร้ายจันตลอดเวลา ทำให้จันเป็นคนอารมณ์อ่อนไหว และคนที่เลี้ยงจันจริงๆ ก็คือน้าวาดกับแม่พุ่ม-แม่ของเคนครับ จันเป็นคนที่ละเอียดอ่อน เพราะว่ามีผู้หญิงเลี้ยงมาตลอด
          การดำเนินเรื่องของจันดารา
          สำหรับเนื้อเรื่องโดยย่อนะครับก็เริ่มต้นจากเมื่อจันเกิดมา พอคลอดออกมาแม่ก็เสียชีวิตทันที ทำให้คุณหลวง-พ่อของจันเกลียดชังและอาฆาตเขามาก แต่จันจะรักพ่อสุดหัวใจและก็เทิดทูนบูชาคุณพ่อมากๆ แล้วก็กลัวพ่อมากๆ เพราะว่าพ่อเลี้ยงดูจันแบบค่อนข้างโหด ถูกทำร้ายอยู่ตลอด ถูกเรียกว่า “จัญไร” มาตลอด คือชีวิตจันค่อนข้างหนักมาตั้งแต่เด็ก เกิดมาชีวิตค่อนข้างรันทดเลยครับ จันจะมีเพื่อนที่สนิทที่สุดคนเดียวก็คือ “เคน กระทิงทอง” ลูกคนครัวที่เป็นคนที่ไกวเปลให้จันตั้งแต่เด็ก คือโตมาด้วยกัน แต่จริงๆ แล้ว เคนเป็นบ่าวของจัน แต่สองคนนี้รักกันเป็นเหมือนพี่น้องเลย สิ่งที่ทำให้จันมีความสุขที่สุดก็คือการที่ได้อยู่กับเคน, น้าวาด กับแม่พุ่มที่คอยเลี้ยงดูจันมาตั้งแต่เด็ก รวมถึง “ไฮซินธ์” ที่เป็นรักแรกของเขาที่ทำให้จันพอมีความสุขได้โดยไม่ต้องไปนึกถึงความเกลียดชังของพ่อและ “คุณแก้ว” ลูกคุณหลวงกับน้าวาดที่เสียคนเพราะพ่อ จนกระทั่งวันหนึ่งที่เป็นจุดพลิกผัน คือมี “คุณบุญเลื่อง” ย้ายเข้ามาในบ้านครับ ทำให้จันรู้สึกแปลกๆ ต่อเสน่ห์ของสมาชิกใหม่ แต่ยังไม่ทันได้สานสัมพันธ์ ก่อนเกิดเหตุการณ์หลายอย่างขึ้นในบ้าน ทำให้ชีวิตของจันเปลี่ยนแปลงไปจนต้องย้ายออกจากบ้านไปอยู่ที่เมืองพิจิตรครับ หลังจากนั้นครับ จันก็ประสบเหตุอะไรอีกมากมายครับในชีวิตจัน ก็ต้องไปติดตามกันในหนังครับ
          การปรับเปลี่ยนลุคในเรื่องนี้
          ในเรื่องนี้ โอ้ก็ต้องเปลี่ยนลุคอยู่ตลอดเวลาครับ อย่างที่โอ้บอกคือมันมีหลายช่วงอายุหลายวัยมากต้องเล่นตั้งแต่ยี่สิบถึงแปดสอบ มันเป็นอายุที่เปลี่ยนแปลงมากๆ ครับตั้งแต่เด็กยันแก่ก็คือเมคอัพต้องละเอียดมาก เสียเวลาไปกับเมคอัพค่อนข้างเยอะ อากาศก็ร้อนมากด้วยครับ ตอนถ่ายฉากแก่ก็ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย แต่งหน้าทีก็เกือบสี่ชั่วโมงครับ คือแต่งจนหลับไปแล้วตื่นมาแล้วหลับไปอีกจนเมื่อยเลย (หัวเราะ) อุปสรรคอีกอย่างของการแต่งหน้าก็คืออากาศร้อน เพราะว่าบ้านเราร้อน และหลังๆ เราไปคาบกับหน้าฝนด้วยครับ นอกจากจะกลัวแดดร้อนแล้วยังกลัวฝนตกอีก

          การแต่งหน้ามันจะสามช่วง ช่วงแรกตอนที่จันยังเด็กยังเรียนหนังสืออยู่เป็นใสๆ ปกติผมจะเรียบๆ ชุดราชปะแตนเหมือนนักเรียน ตอนโตขึ้นมาจันก็จะเป็นช่วงวัยกลางคนคือจันจะไว้หนวด สมัยนั้นคนไทยก็ไว้หนวดกันหมดเลยและก็ใส่สูทแต่งตัวเนี้ยบและก็ผิวอาจจะเข้มขึ้นนิดนึง และก็มาตอนแก่ตอนนั้นจันจะแก่ที่สุดแล้วมาหมดเลยครับเป็นรอยดำรอยจุดอะไร และก็ฟันก็ดำเพราะจันเป็นคนที่สูบบุหรี่ และก็แต่ว่ายังแต่งตัวดีอยู่ เป็นคนแก่ที่ยังแต่งตัวดีครับ ถ้าเห็นก็จะรู้ว่าไม่ได้เป็นคนปล่อยตัวเอง เรื่องการแต่งตัวไม่ทิ้งครับ ผมจะขาว ตาก็จะเปลี่ยนสีไปตามธรรมชาติของอายุ
          ความยากง่ายในการแสดงเรื่องนี้
          ในการรับบท “จัน” สำหรับโอ้มันยากมากครับ ต้องรับบทตั้งแต่อายุตั้งแต่สิบเจ็ดสิบแปดจนถึงแปดเก้าสิบ แต่ละช่วงเค้าก็ผ่านเรื่องราวต่างๆ ซึ่งเราจะขาดไม่ได้เลยที่จะต้องคิดถึงเหตุการณ์ที่เคยผ่านครับ และอีกอย่างก็คือด้วยความที่เป็นหนังพีเรียดย้อนยุคด้วย มันก็จะมีภาษามีคำพูดที่ไม่เข้าปากเราครับ เพราะว่าเราย้อนไปเป็นร้อยปีเลย สิ่งที่ยากสุดก็คือเรื่องการแสดงเลยครับ อย่างวันแรกไปหาหม่อมและหม่อมบอกว่าจะให้เล่นเรื่องนี้ โอ้รู้สึกว่าจะไหวมั้ยเนี่ย ผมว่ามันคงยากมากๆ แน่ แต่ว่าหม่อมเชื่อในตัวผมครับ ผมเห็นว่าอาจารย์เชื่อในตัวเรา เราก็ต้องทำได้ ก็แต่ละวันตอนไปถ่ายก็เหมือนค่อยๆ ยกภูเขาออกจากอกไปเรื่อยๆ ครับ แต่ละซีนมันยาก บางทีมันเป็นซีนใหญ่และมันโฟกัสอยู่ที่เรา
          มันก็เป็นอะไรที่ละเอียดอ่อนครับ เพราะจันเป็นคนที่รู้สึกละเอียดอ่อนทางอารมณ์ เป็นศิลปิน เพราะว่าจันโตมากับน้าวาด มีผู้หญิงเลี้ยงมาตลอด เพราะว่าจันขาดความอบอุ่นจากแม่ ตั้งแต่เกิดมาแม่ก็เสียแล้ว จันเป็นคาแร็คเตอร์ที่ผมรู้สึกว่ายากมาก ด้วยเรื่องความเซ้นซิทีฟ ทั้งเรื่องต่างๆ ที่เข้ามาในชีวิต แล้วพอเอาจันมาเทียบกับชีวิตจริงๆ โอ้รู้สึกว่ามันรู้สึกเหมือนไปอีกโลกนึงเลยครับ แต่ว่าโชคดีที่นักแสดงทุกๆ คนช่วยเราด้วย สถานการณ์ การแต่งกาย การที่เราซ้อมบทมาก่อนหน้านี้อย่างหนักมาก ก็ทำให้เราเชื่อไปอีกขั้นหนึ่ง สำหรับโอ้มันยากมากที่สุดตั้งแต่เคยแสดงมาเลยครับ

FB on August 24, 2012, 04:33:43 PM
          ฉากประทับใจ         
          ฉากที่ประทับใจมีหลายฉากเลยครับ อย่างฉากการเปลี่ยนแปลงการปกครอง 2475 นะครับ ก็เป็นฉากที่ใหญ่มาก ยกกองไปถ่ายที่หน้าพระที่นั่งพระอนันตสมาคม ก็คือวันนั้นเอ็กซ์ตร้าเยอะมากครับ และก็ต้องมีรถทหารวิ่งไปมา เพราผมก็ตื่นเต้นมากๆ เพราะผมชอบมากที่มีรถโบราณ รถทหาร และก็มีทหารแบบต้องแต่งย้อนยุคกันหมดทุกคน ผมก็แบบเหมือนเข้าไปอยู่ตรงนั้นจริงๆ และฉากหลังเป็นพระที่นั่งอนันต์ฯ ด้วยก็สวยมากๆ ครับ ก็เป็นฉากเปิดตัวซึ่งจะง่ายก็ไม่ง่ายเพราะร้อนมาก ผมก็ขอชมพี่ๆ เอ็กซ์ตร้ามากคือเต็มที่มากๆ สุดยอดจริงๆ ครับ วันนั้นพอถ่ายฉากเปิดตัวเสร็จเหมือนจะง่ายแต่จริงๆ ก็ยากครับ เพราะอากาศร้อนมาก ผมก็เลยต้องไปซื้อเฉาก๋วยมากินคลายร้อน (หัวเราะ) ฉากนี้เป็นฉากสำคัญที่เราได้เจอกับ “ไฮซินธ์” เป็นครั้งแรกด้วย ก็เหมือนตกหลุมรักเขาตั้งแต่แรกเห็นเลย เพราะว่าเป็นคนที่น่ารักและหน้าเหมือนแม่ของเราที่เราไม่เคยพบหน้าแม่จริงๆ เลย จันก็เห็นเขาหกล้มเพราะวันนั้นก็วุ่นวายไปหมด คนก็วิ่งชนกันหกล้ม จันก็ช่วยไฮซินธ์เอาผ้าเช็ดหน้าผูกขาให้ ก็เป็นฉากที่สวยงามและน่าประทับใจมากๆ ครับ มันเป็นที่ที่เราขับรถผ่านทุกวัน แต่เราไม่เคยมองว่า ถ้าถ่ายหนังจะออกมาสวยแบบนี้ครับ
          อีกฉากหนึ่งที่ผมว่าเป็นฉากที่น่ารักดีของเพื่อนสนิทสองคนที่พูดทะลึ่งทะเล้นกันได้ ฉากนี้เป็นฉากที่บ่งบอกคาแร็คเตอร์ของ “เคน กระทิงทอง” ก็คือเป็นคนที่อเรียกกว่าหมกมุ่นเรื่องเพศค่อนข้างเยอะเลยครับ เพราะว่าเป็นเหมือนครูที่สอนจันว่าต้องเป็นแบบนี้ ต้องทำอย่างนี้ คือจันก็เป็นคนที่ค่อนข้างเป็นเด็กที่เนิร์ด แต่จริงๆ ในใจก็อยากแต่ไม่กล้าทำและก็กลัวไปหมด ไม่รู้จะเริ่มต้นยังไง เคนก็เลยสอนว่าต้องทำอย่างนี้ ฉากนั้นเป็นฉากที่คุณจันเปิดซิงครับ ผมชอบฉากนั้นมากต่อให้มันเป็นฉากที่คำพูดอาจจะทะลึ่งตึงตังไปหน่อย แต่ว่าด้วยคาแร็คเตอร์ของเคนกับจันเนี่ยมันก็เลยออกมาไม่ลามก ต้องบอกก่อนว่าฉากนั้นนิวที่เล่นเป็นเคนต้องพูดไดอะล็อคยาวมากครับ ก็ช่วยกันส่งอารมณ์กัน พอออกมาดูมอนิเตอร์ก็ชอบกันครับ ด้วยความที่ได้ซ้อมกันมาหลายครั้งด้วย ก็เล่นได้ค่อนข้างลื่นไหลเลยครับ
          สำหรับฉากถูน้ำแข็งที่มีชื่อเสียงที่สุดในภาพยนตร์เรื่อง “จัน ดารา” เวอร์ชั่นที่ผ่านมานะครับ เป็นซีนที่ทุกคนจับตารอดู ซึ่งโอ้เคยดูเวอร์ชั่นที่แล้วนะครับ รู้สึกว่าของเขาดีมากๆ ก็ชอบครับ โอ้ก็อยากให้เปิดใจดูครับว่า จันดาราในแบบของหม่อมจะไม่เหมือนกันเลยครับ ซีนถูน้ำแข็งจะแปลกตาออกไปเลย คือหม่อมบรีฟผมว่า ลึกๆ แล้วจันไม่ได้คิดอะไรเพราะเป็นคนขี้อายและเป็นคนกลัวเรื่องที่จะต้องแตะตัวผู้หญิงครับ ซึ่งในฉากนี้ก็คือคุณบุญเลื่องให้จันมาถูหลังให้ครับ และหลังจากนั้นจันก็มีเผลอตัวไป แต่ว่าสิ่งที่จันรู้สึกกับคุณบุญเลื่องคือเป็นความรู้สึกของแม่ครับ เพราะไม่เคยรู้สึกถึงสัมผัสของแม่เลย ความรู้สึกอบอุ่นของแม่เป็นสิ่งที่เขาไม่เคยมีมาก่อนครับ
          ฉากอีโรติกที่ถูกจับตามองเป็นพิเศษ
          สำหรับภาพยนตร์เรื่อง “จันดารา” นะครับ ก็อย่างที่ทุกคนก็รู้จักจันดารา มันต้องมีเรื่องของอีโรติก ต้องมีเรื่องของเลิฟซีน แต่ว่าโอ้อ่านบทเรื่องนี้หลายรอบและก็ได้เล่นเอง โอ้รู้สึกว่าทุกซีนมันมีเหตุผลของมัน ถ้าไม่มีเลิฟซีนอันนั้นเรื่องก็จะไม่ต่อ จะไม่ทำให้ตัวละครต้องเจอเรื่องราวต่อๆ มา จริงๆ มันก็เหมือนกับชีวิตคนทุกคนที่ต้องมี แต่ว่ามันไม่ใช่เป็นแค่เลิฟซีนหรือให้คนมาเมคเลิฟกันเฉยๆ ผมว่ามันมีอะไรซ่อนอยู่ในนั้น อาจเป็นความใคร่ตัณหาราคะ เป็นความรักระหว่างแม่กับลูก รักระหว่างสามีภรรยา รักในเชิงชู้สาว ซึ่งมันทำให้เรื่องราวดำเนินต่อไปแล้วผมรู้สึกว่าแต่ละซีนมันขาดไม่ได้ มันทำให้สนุกและมีรสชาติที่พอพูดถึงจันดาราแล้วต้องนึกถึงครับ
          การร่วมงานกับทีมนักแสดงในเรื่อง
          การร่วมงานกับนักแสดงในเรื่องนี้ จะแท็คทีมกันเป็นอย่างดีเลยครับ เพราะได้ซ้อมบทกันกับหม่อมมาโดยตลอด พอได้เข้าฉากด้วยกันจริงๆ ก็ค่อนข้างราบรื่นเลยครับ
          อย่าง “นิว” (ชัยพล จูเลี่ยน พูพาร์ต) โอ้ก็เคยร่วมงานกับนิวมาแล้วใน “อุโมงค์ผาเมือง” เราก็เจอกันที่บ้านของหม่อมประจำอยู่แล้ว อายุก็ไล่เลี่ยกันก็คุยกันง่าย สนิทกันเร็วเลยครับ มีอะไรก็จะรับส่งกันตลอด เพราะเป็นคู่ซี้กันอยู่แล้ว ตัวจริงก็ซี้ ในเรื่องก็ซี้กันไปอีกครับ จริงๆ นิวอายุน้อยกว่าผมแต่ตัวใหญ่กว่าผมอีกครับ นิวเล่นเป็นพี่โอ้ตลอด เพราะว่าตัวใหญ่และก็หุ่นดีมาก นิวจะฟิตซ้อมมาเต็มที่ทุกวัน เพราะว่าต้องมีเรื่องแอ็คชั่น ในบทเป็นคนที่สู้เก่ง เป็นคนที่ปกป้องจันและก็เลี้ยงจันมาตั้งแต่เด็ก ซึ่งนิวก็จะมีอาหารหลักของเขามากองทุกครั้งก็จะมีปลา ไก่ ไข่ นิวกินแบบนี้มาตลอดสามเดือน ผมก็อู้หูสุดยอด เพราะว่าคือต้องนับถือคนที่เขาหุ่นร่างกายดี เพราะเขาดูแลตัวเองดีมาก ผมก็แอบกินไก่กับไข่บ้างเผื่อจะหุ่นดี (หัวเราะ) นิวก็เป็นคนตั้งใจครับ เป็นคนที่อดทนมาก เพราะรู้สึกว่าเล่นกับนิวสนุกและเหมือนทุกเทคไม่เหมือนกันครับ ได้อะไรใหม่ๆ ตลอด และก็คอยเตือนกันแนะนำกันแบบเราพูดผิดไป บางทีนิวเป็นคนจำแม่นมาก คราวนี้บทเขาก็ยาวด้วย แต่ก็ไม่ค่อยมีพลาดเลย ส่วนตัวเป็นคนนิสัยดีจริงๆ ครับ
          “พี่ตั๊ก บงกช” นี่ก็เป็นเรื่องแรกนะครับที่ร่วมงานกับพี่ตั๊ก เค้าเป็นคนน่ารัก เป็นคนที่อารมณ์อ่อนไหวจริงๆ คือพี่ตั๊กจะร้องไห้เก่งมากๆ พี่เค้าทุ่มเทกับงานมากๆ แล้วสำหรับพี่ตั๊กในบท “น้าวาด” ทำให้โอ้รักน้าวาดแบบลึกซึ้งขึ้นไปอีก พี่ตั๊กจะส่งอารมณ์มาให้เราได้เป็นอย่างดีเลยครับ ผมจำได้ว่าเป็นซีนหนึ่งจันต้องหันไปหาน้าวาด หันไปแล้วพี่ตั๊กที่อยู่นอกเฟรมกำลังอยู่ในบทบาทจริงๆ กล้องจะเห็นแค่โอ้กับพี่เจี๊ยบ แต่พี่ตั๊กเค้าต้องรีแอ็คให้โอ้ใช่ไหมครับ พอผมหันไปพี่ตั๊กก็ส่งอารมณ์กลับมา แบบแค่นิดเดียวแต่ก็มีพลังมาก ก็ต้องขอบคุณพี่ตั๊กที่ส่งอารมณ์ได้เป็นอย่างดีจริงๆ ครับ

FB on August 24, 2012, 04:34:14 PM
          “พี่หญิง” ก็เป็นครั้งแรกที่ได้ร่วมงานเหมือนกัน แล้วผมก็รู้สึกว่าพี่หญิงทุ่มเทกับงานนี้มาก เรื่องนี้พี่หญิงแบบว่าเซ็กซี่มากๆ ก็ต้องมีฉากเลิฟซีนกันด้วยซึ่งเยอะเหมือนกัน ผมก็ขอโทษพี่หญิงทุกครั้ง ผมก็เกรงใจพี่หญิงด้วย มันก็เป็นงานซึ่งผมต้องบอกว่าพี่หญิงคือทุ่มเทเต็มที่จริงๆ เขาเป็นมืออาชีพที่ต่อให้กี่เทคพี่หญิงก็ไม่เคยทำไม่พอใจ พี่หญิงก็บอกสบายมาก มันคืองานของเรา พี่หญิงเขาก็ทำเต็มที่ทุกครั้งครับ
          “พี่พิ้งกี้” เรื่องนี้เล่นเป็นสองบทบาท แล้วก็ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย และก็ผมชอบทุกครั้งที่ผมได้เข้าฉากร่วมกัน พี่พิ้งกี้แต่งเป็น “ไฮซินธ์” ก็สวยน่ารักสมวัย แต่งเป็น “ดารา” ก็สวยมาก
          สำหรับบท “คุณแก้ว” นะครับก็แสดงโดย “พี่โชจัง” เป็นนักแสดงญี่ปุ่นครับ ผมรู้สึกว่าพี่โชจังมีความพยายามสูงมากแล้วก็ตั้งใจกับงานหนังเรื่องนี้มากๆ เลยครับ เพราะว่าพี่เค้าพูดภาษาไทยไม่ได้และต้องมารับบทหนักขนาดนี้ แล้วก็เป็นบทที่สำคัญมากๆ ในเรื่อง พี่เค้าจะตั้งใจมากๆ คือเรียนภาษาไทยแบบเต็มที่มากๆ เลยครับ เห็นถึงความพยายามของพี่เค้ามากๆ แล้วก็รู้สึกว่า ถึงพี่เค้าไม่เคยพูดภาษาไทยมาก่อนแต่เราสามารถสื่อสารกันได้ง่ายๆ เลยครับ
          “พี่เจี๊ยบ ศักราช” แสดงเป็น “คุณหลวง” พี่เจี๊ยบก็ส่งอารมณ์ให้ผมสุดยอดเหมือนกันครับ ในเรื่องพี่เจี๊ยยบต้องอาละวาดบ่อยมากครับ บางวันพี่เจี๊ยบก็เสียงหายครับ ผมก็สงสารพี่เจี๊ยบเหมือนกัน ผมก็รู้สึกว่าพี่เจี๊ยบคือนักแสดงที่มืออาชีพจริงๆ ครับ
          สำหรับ “พี่ต๊งเหน่ง รัดเกล้า” นะครับ จะรับบทเป็น “คุณท้าวยาย” นะครับ แกแสดงได้แบบเป็นสุดยอดของนักแสดงมาก ทั้งเรื่องของโทนเสียงที่ใช้เป็นคุณท้าวยาย ผมรู้สึกว่ามันทำให้จันกลายเป็นเด็กที่ต้องเชื่อฟังทุกอย่างครับ เหมือนต้องเชื่อทุกสิ่งทุกอย่างที่คุณท้าวยายบอก ซึ่งขนลุกครับเวลาแสดงด้วยกันครับ
          การร่วมงานกับหม่อมน้อยอีกครั้งหนึ่ง
          การร่วมงานกับหม่อมครั้งนี้เป็นแบบเต็มที่จริงๆ ครับ อย่าง “อุโมงค์ฯ” ว่าเยอะแล้ว แต่ว่าเรื่องนี้ก็เต็มที่เลย ทุกคิวต้องมีจันเข้าฉาก ก็ต้องขอขอบคุณหม่อมครับสำหรับทุกอย่าง ที่หม่อมให้โอกาสสอนผมตั้งแต่ผมมาเรียนกับหม่อมด้วย หม่อมเปรียบเสมือนอาจารย์ เหมือนพ่อคนหนึ่งเลยครับ ซึ่งจริงๆ ผมบอกหม่อมตลอดว่าผมคงไม่ไหวครับ แต่หม่อมบอกว่าเชื่อในตัวผมและหม่อมบอกว่ามันเป็นบทที่โอ้ทำได้และท้าทายความสามารถโอ้ โอ้จะไม่ได้รับบทแบบนี้อีก ผมก็เห็นด้วยว่ามันหาบทดีๆ แบบนี้ไม่ได้ง่ายๆ โอ้ก็เชื่ออาจารย์ครับ ก็รุ้สึกภูมิใจกับหนังเรื่องนี้ที่ผมได้ลองเล่นคาแร็คเตอร์หลายๆ แบบ หลายช่วงอายุ จริงๆ มันก็ทำให้เราเครียดมากในตอนแรก แต่พอเห็นผลงานที่ออกมามันก็หายเหนื่อยเลยครับ ทุกคนแบบไม่เหนื่อยเลย แค่เห็นผลงานก็รู้สึกดีใจชื่นใจ ผมรู้สึกเป็นเกียรติ และก็ขอบคุณหม่อมที่ให้เล่นบทนี้ครับ
          ความน่าสนใจโดยรวมของภาพยนตร์เรื่องนี้         
          สำหรับความน่าสนใจของเรื่องนี้ ด้านเนื้อหาสาระมันมีหลายแง่มุมมากๆ ไม่ว่าจะเป็นแง่มุมของครอบครัว แง่มุมของเพื่อน มันเหมือนมีธรรมะสอดแทรกอยู่ในเรื่องนี้ตลอด ไม่ว่าจะเป็นการที่ทำให้คนอื่นทุกข์ ทุกข์นั้นก็จะมาถึงตัวเรา ถ้าเราให้ความรักกับคนอื่นความรักก็จะกลับมาถึงเรา เราคิดยังไง ทำอะไรกับคนอื่น ถ้าเราคิดไม่ดีมันก็จะได้ไม่ดี ถ้าคิดดีมันก็จะได้ดีครับ ผมว่าเรื่องนี้มันสะท้อนหลายแง่มุมมากๆ จากประพันธ์ที่เขียนได้อย่างลึกซึ้ง พอหม่อมดัดแปลงมาเป็นภาพยนตร์ก็ยังคงรักษาสาระต่างๆ ไว้อย่างสมบูรณ์ รวมถึงเพิ่มความบันเทิงให้ดูกันง่ายๆ เข้าใจได้ไม่ยากครับ เป็นการนำเรื่องตัวละคร เรื่องเซ็กส์มาสะท้อนความเป็นจริงของสังคมได้อย่างลงตัว
          อีกอย่างที่เด่นมากๆ ก็คือเรื่องฝีมือการแสดงที่เข้มข้นของทีมนักแสดงทั้งรุ่นใหม่รุ่นเก่า โปรดักชั่นงานสร้างทั้งฉาก, เสื้อผ้า, หน้าผมที่ไม่ธรรมดาเลย เพราะต้องย้อนยุคไปไกลมาก ซึ่งผมรู้สึกว่าแค่มาดูโปรดักชั่น ดูนักแสดงก็คุ้มแล้ว แต่นี่ยังมีเนื้อหาที่เข้มข้นอีกต่างหาก ผมว่ายิ่งดูสนุกมากขึ้นแน่นอน รวมถึงข้อคิดที่มีอยู่ตลอดเรื่อง ไม่ว่าจะฉากเลิฟซีนหรือไม่เลิฟซีนมันก็มีข้อคิดสอนคนดูอยู่ในนั้นเยอะเลยครับ
โอ้ก็คาดหวังว่าคนดูจะมาดูหนังดีๆ ที่พวกเราตั้งใจทำออกไป หนังเรื่องนี้มีข้อคิดเยอะ แล้วผมรู้สึกว่ามันมีธรรมะสอดแทรกอยู่ในบทประพันธ์เรื่องนี้ แล้วก็รู้สึกเป็นเรื่องที่ทรงคุณค่าสำหรับคนรุ่นนี้และรุ่นหลังที่ได้ชมนะครับ

FB on August 24, 2012, 04:51:12 PM
“หม่อมน้อย” ปลื้ม “โช นิชิโนะ” สปิริตแรง เต็มที่กับการแสดง เป็นตัวอย่างที่ดีให้นักแสดงไทยใน “จันดารา”





          ได้มาร่วมงานกันเป็นครั้งแรกกับนักแสดงสาวชาวญี่ปุ่น “โช นิชิโนะ” (Sho Nishino) ในภาพยนตร์มหากาพย์โศกนาฏกรรมเรื่อง “จันดารา” ก็ทำให้ผู้กำกับชั้นครู “หม่อมน้อย-ม.ล.พันธุ์เทวนพ เทวกุล” ออกอาการปลื้มในความสามารถและสปิริตแรงกล้าในการรับบท “คุณแก้ว” หญิงสาวผู้มีอารมณ์ซับซ้อนในพฤติกรรมทางเพศเกินหยั่ง รวมถึงความมีวินัยทางการแสดงอย่างสูง ซึ่งถือเป็นแบบอย่างให้กับนักแสดงคนอื่นๆ ได้เป็นอย่างดี หม่อมน้อยได้เผยถึงเรื่องนี้ว่า

          “บท ‘คุณแก้ว’ เนี่ยพูดได้ว่าเป็นบทที่แรงที่สุดในเรื่องนี้นะครับ คือเธอมีจิตใจที่เปราะบางที่แม่ไม่รัก และก็มีความวิปริตทางจิตค่อนข้างสูง เป็นผู้หญิงที่รุนแรงมากทางด้านอารมณ์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเรื่องของฉากอีโรติกซึ่งค่อนข้างสำคัญมากสำหรับหนังเรื่องนี้ เพราะฉะนั้นมันยากมากสำหรับนักแสดงไทยที่จะถ่ายทอดตรงนี้ออกมา พอเราได้ ‘โช นิชิโนะ’ มาแสดงและร่วมงานกันเป็นครั้งแรกก็ถือว่าลงตัวดีมากทั้งในเรื่องความสามารถระดับมืออาชีพ ซึ่งเธอก็รู้สึกว่าเป็นบทที่ยากและท้าทายสำหรับเธอมากที่จะเล่นเป็นคนไทย ซึ่งแต่เดิมเราบอกว่าพูดญี่ปุ่นก็ได้และเดี๋ยวให้คนอื่นมาพากย์ทับ แต่เธอบอกว่าอยากจะพูดเป็นภาษาไทยแล้วคนที่มาพากย์แทนจะได้ง่ายขึ้น ซึ่งถือเป็นคนที่มีสปิริตแรงกล้าในการแสดงในทุกๆ ฉากอย่างเต็มที่และทุ่มเทในการซ้อมมาก ซึ่งด้านวินัยไม่ต้องพูดถึงเลยเขามีวินัยในหน้าที่สูงมาก ตรงเวลา งานเป็นงาน เล่นเป็นเล่น ซึ่งเป็นแบบอย่างที่ดีกับทุกๆ คนที่ได้ร่วมงานในครั้งนี้มากทีเดียว”

          พบการแสดงอันน่าจับตามองของ “โช นิชิโนะ” ได้ในเรื่อง “จันดารา ปฐมบท” 6 ก.ย.นี้ และ “จันดารา ปัจฉิมบท” ไม่นานเกินรอ
« Last Edit: September 02, 2012, 08:57:45 AM by FB »

FB on August 24, 2012, 04:58:43 PM
MV: เมื่อไหร่จะให้พบ ประกอบภาพยนตร์เรื่อง จันดารา ปฐมบท

MV.เมื่อไหร่จะให้พบ
ประกอบภาพยนตร์เรื่อง จันดารา ปฐมบท

<a href="http://www.youtube.com/watch?v=g3kcKwf0r0E" target="_blank">http://www.youtube.com/watch?v=g3kcKwf0r0E</a>

เพลง : เมื่อไหร่จะให้พบ
เพลงประกอบภาพยนตร์ : จันดารา ปฐมบท
คำร้อง : แก้ว อัจฉริยะกุล
ทำนอง : หลวงสุขุมนัยประดิษฐ์
ขับร้อง : รฐา โพธิ์งาม และ ศักราช ฤกษ์ธำรงค์


จากวรรณกรรมเชิงสังวาสสุดล้ำของนักประพันธ์ชั้นครู “อุษณา เพลิงธรรม”
สู่มหากาพย์ภาพยนตร์สุดละเมียดของผู้กำกับมากฝีมือ “ม.ล.พันธุ์เทวนพ เทวกุล”
 
จันดารา ปฐมบท
 
โศกนาฏกรรมแห่งการจองเวร หายนะแห่งกรรมตัณหา
สะท้อนใจวิปริตของมนุษย์

จันดารา ปฐมบท
6 กันยายนนี้ ในโรงภาพยนตร์

FB on August 30, 2012, 08:18:18 AM
ด่วน!!! ผ่านเซ็นเซอร์ฉลุย “จันดารา ปฐมบท” ประทับเรตติ้ง “น18+”

       



จันดารา ปฐมบท Spot 30 วิ
<a href="http://www.youtube.com/watch?v=HRKNOlePgGk" target="_blank">http://www.youtube.com/watch?v=HRKNOlePgGk</a>

          ด้วยเนื้อหาและเนื้อหนังที่สะท้อนผ่านฉากอีโรติกเป็นส่วนใหญ่ ทำให้ถูกจับตามองเป็นพิเศษว่าจะรอดพ้นกรรไกรกองเซ็นเซอร์ได้หรือไม่นั้น ล่าสุด ภาพยนตร์มหากาพย์แห่งโศกนาฏกรรมอันยิ่งใหญ่เรื่อง “จันดารา ปฐมบท” ผลงานกำกับของ “หม่อมน้อย-ม.ล.พันธุ์เทวนพ เทวกุล” ก็สามารถผ่านการพิจารณาตรวจสอบจากคณะกรรมการพิจารณาภาพยนตร์และวีดิทัศน์เป็นที่เรียบร้อยแล้ว โดยได้ประทับเรต “น18+” (ภาพยนตร์ที่เหมาะสมกับผู้มีอายุตั้งแต่ 18 ปีขึ้นไป) ซึ่งยังคงแง่มุมความเป็นศิลปะและสาระบันเทิงตามที่ผู้กำกับฯ ต้องการนำเสนอทุกประการ

          หม่อมน้อยเผยถึงเรื่องนี้ด้วยสีหน้าแช่มชื่นว่า

          “ผ่านแล้ว เพิ่งผ่านเซ็นเซอร์สดๆ ร้อนๆ เลยครับ ทำให้ผมรู้สึกคลายกังวลเป็นอย่างมาก เพราะก่อนที่จะได้รับการพิจารณาจากกองเซ็นเซอร์ก็ยังเป็นห่วงว่า หลายฉากสำคัญอาจถูกพิจารณาให้ตัดทอนลง ทำให้เสียดายว่าคนไทยอาจจะพลาดโอกาสได้รับสาระผ่านฉากอีโรติกที่งดงาม เพราะทั้งนักแสดงและทีมงานทุกฝ่ายมีความตั้งใจที่จะนำเสนอความวิจิตรบรรจงออกมาบนจอภาพยนตร์อย่างเต็มหัวใจ ก็ต้องขอขอบคุณคณะกรรมการเซ็นเซอร์ที่เล็งเห็นจุดประสงค์และความตั้งใจจริงในการนำเสนอผลงานศิลปะของพวกเราทุกคน”

          “จันดารา ปฐมบท” พร้อมให้พิสูจน์คุณภาพสุดเข้มข้นที่ไม่ควรพลาดแบบเต็มๆ ตาในโรงภาพยนตร์ 6 กันยายนนี้
« Last Edit: August 30, 2012, 08:28:10 AM by FB »

FB on August 30, 2012, 08:24:09 AM
บทสัมภาษณ์ “หญิง รฐา โพธิ์งาม” ในบท “คุณบุญเลื่อง” ที่ถูกจับตามองเป็นพิเศษ จากภาพยนตร์มหากาพย์โศกนาฏกรรม “จันดารา”



          บทบาท-คาแร็คเตอร์
          “คุณบุญเลื่อง” ในครั้งนี้เนี่ย เราจะนำเสนอในเรื่องของการที่เป็นผู้หญิงอยู่ต่างประเทศ ก็คือครอบครัวเนี่ยเป็นครอบครัวที่ทำธุรกิจ และตัวคุณบุญเลื่องก็ถูกส่งให้ไปเรียนต่อที่อังกฤษ และก็ที่ฝรั่งเศสตั้งแต่เด็ก ดังนั้นการตีความในครั้งนี้ก็จะเป็นค่อนข้างที่จะเป็นผู้หญิงหัวทันสมัย และก็ค่อนข้างที่จะรักศิลปะไม่ว่าจะเป็นในเรื่องของการวาดภาพ ในเรื่องของการฟังเพลงร้องเพลง หรือว่าแม้แต่กระทั่งมองความงามของสรีระมนุษย์เนี่ยก็จะมองเป็นเรื่องของศิลปะส่วนใหญ่ค่ะ

          ความรู้สึกแรกที่รู้ว่าหม่อมน้อยเลือกให้แสดงบทนี้
          ตอนแรกที่หญิงรู้ว่าได้รับบทนี้ก็รู้สึกดีใจมากค่ะที่หม่อมน้อยเชื่อมั่นว่าเราแสดงได้ แต่ก็ตื่นเต้นและกังวลด้วยเพราะเป็นหนังไทยเรื่องแรกในชีวิตก็ได้รับบทใหญ่นี้เลย หญิงฝันมาตลอดว่าอยากเล่นพีเรียด พอรู้ว่าได้เล่นก็ดีใจมาก บอกตัวเองว่าจะพยายามทำให้ดี จะไม่ปิดกั้นตัวละคร และจะทำให้เต็มที่ในทุกๆ ฉาก แต่ด้วยตัวบทที่ค่อนข้างแรงบวกกับอีโรติกนะคะ ตอนแรกที่ทราบก็ยังหาคำตอบอยู่ว่าจะเป็นคุณบุญเลื่องยังไงในรูปแบบไหน จนกระทั่งได้มาเวิร์คช้อปกับทางหม่อมน้อยก็เริ่มเข้าใจตัวละครมากขึ้น และก็ได้มองตัวละครตัวนี้ผ่านตัวเองในมุมของที่เราเป็นศิลปินอยู่แล้วค่ะ แต่ก็จะบวกในเรื่องของความอีโรติกเข้าไปด้วย คือบางเรื่องที่เรายังไม่ค่อยเข้าใจก็ต้องถามหม่อมให้แน่ใจให้เข้าใจมากขึ้นค่ะ

          การเตรียมตัวก่อนการถ่ายทำ
          แรกๆ เลยเราก็มีการอ่านบทก่อนนะคะ แล้วก็หม่อมก็จะถามว่าคิดว่าคุณบุญเลื่องในความคิดหญิงเป็นยังไง ต้องบอกว่าครั้งแรกที่เข้าไปหาหม่อม ก็คือเราอาจจะถูกคนพูดมาเยอะค่ะว่าเรายังอายุไม่น่าจะถึง เราก็เลยเข้าไปแบบอายุมากเลย พูดแบบอายุมากและช้าๆ เพราะว่าเราถูกความคิดรอบด้านทำให้รู้สึกว่าเรายังอายุน้อยเกินไปที่จะเป็นคุณบุญเลื่อง แต่พอสักพักนึงเหมือนเราหากันอยู่สักพักใหญ่ๆ มีอยู่วันหนึ่งหม่อมก็เลยถามหญิงตรงๆ ว่าทำไมถึงแบบเล่นช้า หญิงก็เลยตอบตามความเข้าใจของหญิง ณ ตอนนั้น อายุมากก็คงช้ามีความเป็นผู้ใหญ่ พอมีความเป็นผู้ใหญ่ปุ๊บทุกอย่างในชีวิตมันต้องอยู่ในจังหวะที่ช้า มันต้องนิ่งๆ แต่หม่อมก็บอกว่า จริงๆ คุณบุญเลื่องเป็นผู้หญิงที่เรียนจบเมืองนอก แบบจบอาร์ตมา หญิงลองจินตนาการดูว่าผู้หญิงที่เขาเป็นฝรั่งเนี่ยเขาแก่หรือเปล่า ไม่แก่ มาดอนน่าไม่แก่ต่อให้ห้าสิบไปแล้ว โอเค...หน้าตาอาจจะแก่ แต่ในตัวเขาอินเนอร์เขายังไม่แก่ ไม่ต้องถึงขั้นฝรั่งผู้หญิงในโลกทุกคนไม่มีใครอยากแก่ ดังนั้นไม่มีใครที่อยากให้เดินเข้ามาแล้วบอกว่าฉันแก่ หม่อมก็เลยให้หญิงปรับความเข้าใจใหม่ คือด้วยเสื้อผ้า หน้าผม มันจะช่วยให้หญิงดูอายุมากเอง แต่ว่าให้หญิงปรับเลย ให้ลืมเรื่องอายุไปได้เลย ก็เล่นเป็นคุณบุญเลื่องในความคิดของเราที่น่าจะเป็น ก็เลยลืมเรื่องอายุไปเลย ตั้งแต่วันนั้นก็เปลี่ยนความคิดเป็นคุณบุญเลื่องในแบบที่เราเข้าใจ ก็คือคุณบุญเลื่องที่จบในวัยต่างประเทศ ชีวิตอยู่กับฝรั่งซะส่วนใหญ่ เก่งในด้านธุรกิจ ผู้หญิงคนนี้ค่อนข้างคล่อง แล้วก็ไม่ช้า เป็นคนฉลาดและก็มีบุคลิกที่ดี มีความภูมิฐานค่ะ

          การดำเนินเรื่องของตัวคุณบุญเลื่อง
          ค่ะ ก็สำหรับตัวละครคุณบุญเลื่องนะคะ ซีนแรกที่จะได้เห็นตัวละครตัวนี้ก็จะเป็นซีนที่ได้เข้ามาอยู่ในบ้านวิสนันท์แล้ว ด้วยภูมิหลังที่คุณบุญเลื่องเป็นคนรักคนแรกเลยของคุณหลวง และก็มีเหตุที่ทำให้ห่างหายจากกันไป และต่างคนก็ต่างถูกคลุมถุงชนทั้งสองฝั่ง เรื่องราวดำเนินไปจนวันหนึ่งเป็นม่ายทั้งคู่ ก็เลยกลับมาเจอกันและก็ได้เข้ามาอยู่ในบ้านวิสนันท์ในฐานะคล้ายๆ กับคุณผู้หญิงคนใหม่ของบ้าน คุณบุญเลื่องทราบตลอดว่าคุณหลวงเนี่ยมีลูกชายชื่อ จันดารา แต่ว่าถูกเลี้ยงดูเหมือนทาสมากกว่าลูก พอเราได้ไปเห็นกับตาแล้วเนี่ย เราถึงเห็นถึงความมหัศจรรย์ของเด็กคนนี้ ในเรื่องของความเก่ง ทั้งในเรื่องของการใช้ภาษาอังกฤษ เรื่องของการวาดภาพ ซึ่งในยุคนั้นสมัยนั้นการได้มีโอกาสส่งเด็กไปเรียนต่างประเทศเนี่ย มันเป็นเรื่องที่เป็นอนาคตที่เด็กทุกคนในยุคนั้นก็อยากที่จะไปเรียนต่อต่างประเทศ พูดง่ายๆ ว่าเราก็อยากมาเป็นแม่เขานั่นแหละ และก็อยากส่งเสริมให้เด็กคนนี้ได้มีอนาคตที่ดี ก็เลยพยายามที่จะทำให้คุณหลวงกับจันเนี่ยเข้ากันให้ได้ และเราเชื่อว่าการมาของเราจะทำให้บ้านหลังนี้เปลี่ยนแปลงไป คือก่อนหน้านี้อาจจะไม่ค่อยมีความสุขสักเท่าไร พอเราเข้ามาปุ๊บเราก็พยายามที่จะทำให้ทั้งบ้านมีความสุขผ่านตัวเรา เพราะตัวเรามีความสุขมาก คุณบุญเลื่องเป็นคนที่มีแต่ให้กับคนอื่น เพราะรู้สึกว่ามีความเชื่อแบบฝรั่งค่ะ เป็นคนที่แบบมีแต่ให้ๆ และจะได้รับสิ่งดีกลับมา ซึ่งสุดท้ายแล้วเนี่ยการที่คุณบุญเลื่องเป็นคนที่ให้มากจนเกินไป เขาก็เลยต้องประสบเรื่องราวที่เขาต้องทุกข์เองทั้งหมดทั้งมวล เขาก็รู้สึกว่ามันคือประสบการณ์ครั้งหนึ่งในชีวิต คือเขาก็มองเหนือมนุษย์ที่จะคิดได้ หลักๆ หญิงว่าเขาน่าจะเชื่อในเรื่องของกรรม ในเรื่องของบาปบุญด้วยซ้ำ

          ความยากง่ายในการรับบทนี้
          ถามว่ายากก็ยากมากค่ะ เพราะว่าเป็นภาพยนตร์ไทยเรื่องแรกและก็ได้มีโอกาสที่ทำงานกับหม่อมซึ่งเก่งมากๆ ถือว่าเป็นความโชคดีที่สุดในชีวิต เพราะว่าก่อนที่จะถ่ายทำ ได้เข้าไปเรียนกับหม่อมซึ่งยังไม่เคยได้เรียนการแสดงแบบนี้ที่ไหน รู้สึกรักอาชีพนี้ขึ้นค่ะ เพราะหญิงรู้สึกว่าหม่อมไม่ได้สอนหญิงแค่แสดง หม่อมสอนให้หญิงเป็นนักแสดงที่ดี ดังนั้นพอความคิดเราถูกใส่สิ่งที่ดีเข้าไป พอเรารู้สึกว่าเราจะเข้าไปในฉาก หญิงก็จะถามทีมงานตลอดว่า บางครั้งที่เราสับสนในบทเราก็จะถามหม่อมว่าครอบครัวคุณบุญเลื่องเขาทำอะไร เขาเป็นนักธุรกิจ หญิงถึงขั้นคิดว่าครอบครัวคุณบุญเลื่องคงไม่มีเวลาอยู่กับคุณบุญเลื่องมากหรอกนะ พ่อแม่เป็นนักธุรกิจไง ชีวิตก็เลยฟรีมากไง นั่นคือเหตุผลที่บอกว่าคุณบุญเลื่องอยากทำอะไรก็ทำ รักศิลปะ เขาอาจจะเป็นผู้หญิงที่เปรี้ยวมากก็ได้ในตะวันตก คืออาจจะเป็นคนเอเชียคนหนึ่งที่เปรี้ยวมากๆ ในช่วงวัยรุ่น เขาถึงไม่มีกรอบในชีวิต เขาเหมือนมองชีวิตเป็นอิสระไปซะทุกอย่าง เนี่ยตีความกันถึงขนาดนี้ ทั้งที่ในเรื่องราวไม่มีส่วนที่จะเล่าถึงครอบครัวคุณบุญเลื่องเลย รู้แค่ว่าเป็นครอบครัวนักธุรกิจแค่นั้นเอง
          หญิงก็เลยรู้สึกว่าให้อะไรเราเยอะ แล้วงานหลังๆ ที่เริ่มเรียนกับหม่อมมา หญิงก็จะคิดอย่างนี้ตลอดว่าตัวละครตัวนี้มีที่มายังไง ถ้ามองไปถึงพ่อแม่เขาจะเป็นยังไง ความยากของมันก็คือพอเราคิดเยอะปุ๊บ บางครั้งมันเยอะซะจนเหมือนเราจะเสนอออกมาในรูปแบบไหนดี แต่ว่าหม่อมจะคอยบอกตลอดว่าได้อีกหรือว่าน้อยเกินไป หรือบางทีเราจะสังเกตได้จากสีหน้าและอารมณ์ของหม่อมเองว่าเทคนี้ยังๆ อย่างนี้ คือเราก็พยายามมองว่าการทำงานสำหรับในกองถ่ายเรื่องนี้นะคะ มันเป็นเรื่องของการทำงานของคนในกลุ่มที่แบบน่ารักมาก เพราะว่าเราจะสามารถเห็นได้เลยว่าเหมือนหม่อมอยากได้อะไรเพิ่มเราก็จะถามเลยว่าหญิงโอเคหรือยัง หม่อมอยากได้อะไรเพิ่มไหมคะ หรือว่าต้องการให้เป็นแบบไหน หญิงตีความอย่างนี้ถูกหรือเปล่า เพราะว่าการตีความของตัวละครบางคนแค่ความโกรธมันก็ไม่เท่ากันแหละ ดังนั้นหญิงถึงยึดหลักว่าหญิงเอามุมมองของผู้กำกับเป็นหลัก และหญิงเอาของเราไปเสริม และบางทีถ้าเล่นเป็นเรามากไป บางทีด้วยตัวละครทั้งเรื่องมันจะมีความแตกต่างกันจนมันไม่กลมกลืนกัน เราก็รู้สึกว่ามันยากที่จุดนั้นเพราะตัวละครเรื่องนี้เยอะมาก แต่ละคนก็รับผิดชอบในตัวละครสูง เพราะว่าต้องเล่นตั้งแต่เด็กจนโตของหญิงเองก็วัยกลางคนถึงแก่ จนแบบว่าเรียกได้ว่าแต่ละคนถือแค่คาแร็คเตอร์ตัวเองทำความเข้าใจก็ยากแล้ว แต่ความโชคดีของตัวละครทุกตัวคือเวลาเล่นด้วยกันแล้วเรารู้สึกได้ถึงความเป็นครอบครัว แม้กระทั่งหญิงกับพี่เจี๊ยบเองเล่นก็ยังรู้สึกว่าเขาเป็นสามีเราจริงๆ สายตาที่เขามอง คำพูดเขา คือมันค่อนข้างลื่นไหลในเรื่องของหน้ากล้องค่ะ แต่ว่ามันก็จะยากในเรื่องของความตีความนั่นแหละของแต่ละคน เพราะว่าหม่อมบอกตลอดว่ามันเป็นละครซ้อนละคร อย่างบางซีนเราเสียใจแต่เราต้องเก็บไว้ และก็ต้องเก็บแบบให้คนดูรู้ว่าเราเก็บอย่างนี้มันก็ยากค่ะ
          เวอร์ชั่นนี้ตัวละครมีความกลมมีมิติมากขึ้น คือเราไม่ได้ถูกนำเสนอไปในทางที่ว่าคุณบุญเลื่องมาแล้วเป็นเรื่องของความเซ็กซี่เพียงอย่างเดียว หรือว่าถึงจันมาแล้ว โอ้โห จันเขาจะเลว แต่จันมาแล้วเขามีเหตุผลที่จะดีในช่วงแรก และเหตุผลที่เขาจะรุนแรงขึ้นในช่วงกลางชีวิต ตัวละครทุกตัวแม้กระทั่งคุณหลวงเอง ถ้าเราเข้าไปดูภาพยนตร์เรื่องนี้แล้วเราจะรู้ว่ามนุษย์ทุกคนที่เกิดมาไม่มีใครอยากเป็นคนไม่ดี เพียงแต่ว่าด้วยเหตุการณ์สิ่งแวดล้อมทุกสิ่งที่มันหล่อหลอมเรามาตั้งแต่เด็กจนโตต่างหาก ที่มันทำให้เราเนี่ยตัดสินใจอะไรในช่วงแต่ละชีวิตเป็นยังไง ดังนั้นทุกตัวละครจะให้มากกว่าที่คนดูจะบอก อู้หูจันดาราจะโป๊แค่ไหน จะอีโรติกแค่ไหน หญิงบอกได้เลยว่าโอเคมันต้องมีเรื่องอย่างที่บอกกัน แต่ว่าในความสวยงามของอีโรติกนั้น มันได้เล่าถึงความต้องการของมนุษย์ในแต่ละมุมของแต่ละตัวละคร ดังนั้นเวลาเข้าไปดูเนี่ยอยากให้คนดูคิดตาม และสุดท้ายคุณจะได้อะไรจากภาพยนตร์เรื่องนี้เยอะมากๆ ค่ะ

          บทนี้มีความเหมือนหรือต่างจากตัวจริงอย่างไรบ้าง
          ถ้าถามถึงอายุคุณบุญเลื่องกับของหญิงแตกต่างกันมากนะคะ ณ ตอนที่ถ่ายหญิงไม่เคยถูกบรีฟว่าหญิงต้องแก่กว่านี้หรือว่าหญิงอ่อนเกินไป หญิงไม่เคยได้ยินคำนี้จากกองถ่ายเลยนะคะ แต่สิ่งหนึ่งที่มันค่อนข้างขัดเจนคืออย่างบางทีซีนที่เราต้องอยู่ในวัยที่เป็นผู้หญิงสูงวัยต้องมีสัมพันธ์เชิงลักษณะแม่ลูก บางทีเรายังไม่ได้มีประสบการณ์ในเรื่องนั้น แต่ว่าหญิงใช้วิธีจากการจำเอาเวลาที่แม่มองเรา เวลาที่เราเห็นคุณพ่อคุณแม่เด็กๆ มาหาแล้วเขาจะมีวิธีพูดยังไง ก็ใช้วิธีนั้น ก็เลยไม่ค่อยมีปัญหาในเรื่องของอายุบวกกับ จริงๆ คนอาจจะรู้สึกกับหญิงอายุน้อยกว่าคุณบุญเลื่องเยอะแต่ถ้าคนที่เคยตามหญิงมาหรือว่าเคยได้อ่านบทสัมภาษณ์หญิง หญิงว่าเขาน่าจะค่อนข้างมองเห็นว่าหญิงโตกว่าวัยตัวเองด้วยครอบครัวหญิงที่หญิงเจอมามันทำให้หญิงค่อนข้างโตกว่าผู้หญิงอายุสามสิบ หญิงมีความรู้สึกว่ามันค่อนข้างก้ำกึ่งกัน แล้วด้วยความที่คุณบุญเลื่องตามความคิดของเรา เรามีความรู้สึกว่าเขาไม่ใช่ผู้หญิงที่แก่ เขาชอบศิลปะ เขาชอบอาร์ติส เขาชอบแต่งตัว ดังนั้นเนี่ยเขาก็จะดูแลตัวเองและก็จะไม่ใช่ผู้หญิงที่สี่สิบแล้วแก่เลย คือเขาจะเป็นสี่สิบที่เปรี้ยวมากยังมีฟอร์มที่เป็นผู้หญิงนักธุรกิจที่เก่ง ดังนั้นหญิงมองเรื่องอายุว่าที่หม่อมบอกค่ะว่าให้ลืมเรื่องอายุไปได้เลย และก็เล่นเป็นเรา
          ส่วนที่ใกล้เคียงหรือเหมือนเลยก็อย่างซีนร้องเพลงและเล่นดนตรีก็ค่อนข้างง่ายสำหรับตัวหญิง เพราะว่าเราจะไม่เคอะเขินเวลามูฟ ในการเต้น ในการส่งสายตา การมองและยิ้มให้ มันเป็นวิธีการของเอ็นเตอร์เทนเนอร์ค่ะ คือเราต้องการให้คนทั้งหมดสนุกกับเรา ทุกคนก็จะมองมาทางเรา และเราก็จะรู้สึกว่ามันก็คือวิถีของนักร้องนั่นแหละที่เวลาร้องเพลงแล้วอยากให้ทุกคนสนุก ดังนั้นตรงนี้มันค่อนข้างง่ายสำหรับหญิง แต่ในมุมมองของการเป็นนักวาดภาพ คือหญิงไม่ใช่เป็นคนวาดภาพเก่งแต่ว่าจะเป็นคนชอบดู ชอบดูงานศิลปะ ชอบอะไรอย่างนี้ บางทีมันอาจจะช่วยได้บ้าง แต่ว่าทั้งนั้นหญิงว่ามันก็คล้ายๆ หญิงคือถ้าคุณบุญเลื่องร้อยเปอร์เซ็นต์ ชีวิตของคุณบุญเลื่องถ้ามองในมุมศิลปะ หญิงว่าคล้ายกันประมาณสี่สิบเปอร์เซนต์
          คือถามตัวหญิง คุณบุญเลื่องอาจจะมองข้ามความเป็นมนุษย์ คือคุณบุญเลื่องมองทุกอย่างเป็นสิ่งที่สวยงาม คือเขาเป็นผู้หญิงที่โอเพ่นมากๆ สำหรับตัวหญิง หญิงเป็นคนที่ค่อนข้างเป็นขาวและดำ คืออาจจะเป็นเพราะว่าหญิงเป็นคนโตกว่าวัย เจอเรื่องมาเยอะ ดังนั้นเนี่ยกว่าเราจะตัดสินใจอะไรบางทีสักอย่างหนึ่งหรือว่ากว่าจะเดินเข้าไปรู้จักใครสักคนหนึ่งต้องใช้เวลา แต่คุณบุญเลื่องจะเป็นโอเพ่นมากใครจะเดินเข้ามาเดินเข้ามาเลยจ้ะ คือเป็นคนแบบฉันโอเพ่นนะ ไนซ์กับทุกคน ซึ่งหญิงก็มีนะแต่ว่าแค่ห้าสิบเปอร์เซนต์ อีกห้าสิบเปอร์เซนต์จะเป็นคนที่ค่อนข้างคิดเยอะๆหน่อย ดังนั้นเนี่ยถ้าถามว่าสุดท้ายแล้วด้วยความที่เขาเป็นโอเพ่นมาก ไอ้ความโอเพ่นนั่นแหละเป็นสิ่งที่คนเข้ามาทำร้ายเขาได้ง่ายมากขึ้น ซึ่งตรงนั้นหญิงจะมีแค่ห้าสิบเปอร์เซนต์ที่ป้องกันตรงนั้นไว้ ถ้ามองว่าในตัวละครที่ชอบเรื่องศิลปะ ในมุมของตัวละครที่มองคนแบบมองคนลึกค่ะ อย่างเวลาที่มองจันดาราเนี่ยเขาจะรู้สึกว่าเด็กคนนี้เป็นเด็กดีที่มีปมและเขาจะรู้สึกว่าเขาจะให้โอกาสคน แต่สำหรับหญิง หญิงก็จะเป็นคนอย่างนี้เหมือนกัน เวลาหญิงมองคนหญิงก็จะไม่ได้มองว่าคนนี้เป็นคนไม่ดีไปเลย หรือต่อให้เขาทำไม่ดีกับหญิง หญิงก็จะไม่มองว่าเขาเป็นคนไม่ดี หญิงจะมองว่าเขามีเหตุผลที่ทำไม่ดี แต่เหตุผลนั้นมากพอที่เราจะให้โอกาสเขาไหม หรือให้โอกาสนะแต่พอหยุดอยู่แค่นี้ เรามีระยะห่างกัน คือหญิงจะเป็นคนแบบนี้ ดังนั้นอาจจะเหมือนกันในมุมของอารต์ติสค่ะ แต่ว่าการใช้ชีวิตหรือการมองคน หญิงเชื่อว่าทุกคนก็ไม่ได้มองคนโอเพ่นทั้งหมด เพราะว่าส่วนหนึ่งยุคและสมัยมันทำให้ต้องป้องกันตัวเองจากหลายๆ อย่าง และหญิงก็คงเหมือนคนวัยที่ยี่สิบเก้าสามสิบที่จะแบบมองคนที่จะก้าวเข้ามาในชีวิตไม่ว่าจะเป็นเพื่อนหรือว่าทำธุรกิจด้วยกันอย่างนี้ค่ะ