happy on March 25, 2012, 05:50:00 PM

BLACK GOLD
     

               อาราเบีย ต้นศตวรรษที่ 20 ภายใต้ความขัดแย้งที่คุกรุ่น ก่อเกิดเป็นสงครามระหว่างสองเผ่าใหญ่เนซิบแห่งฮอไบกา (อันโตนิโอ แบนเดอรัส)ผู้มีชัย ยื่นข้อเสนอสันติภาพแก่ อามาร์แห่งซัลมาห์ (มาร์ค สตรอง)ผู้พ่ายแพ้ ให้พื้นที่พิพาทระหว่างสองอาณาจักร เป็นดินแดนที่ไม่อนุญาตให้ใครเข้าครอบครอง ซึ่งถูกเรียกว่าเขต “เยลโลว์ เบลท์” อีกทั้งอามาร์ต้องส่งบุตรชายทั้งสองของเขา ซาลีห์และอูดา ให้มาอยู่ในการดูแลของเนซิบ เพื่อเป็นหลักประกันว่าฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งจะไม่ละเมิดข้อตกลง หลายปีต่อมา เด็กทั้งคู่เติบโตเป็นหนุ่มใหญ่ ซาลีห์ (อาคิน กาซี) สนใจเรื่องอาวุธและการต่อสู้ ตรงข้ามกับอูดา (ทาฮาร์ ราฮิม)ที่หมกมุ่นอยู่กับตำรา และการใฝ่หาวิชาความรู้


               และแล้วอนาคตของอาราเบียก็เริ่มแปรผัน เมื่อพ่อค้าน้ำมันชาวอเมริกันคนหนึ่ง(คอรีย์ จอห์นสัน)มาเยือนฮอไบกา และบอกว่าดินแดนแห่งนี้อุดมไปด้วยน้ำมันมูลค่ามหาศาล ซึ่งจะทำให้คนที่เป็นเจ้าของมัน ได้ทุกสิ่งทุกอย่างตามที่เขาปรารถนา เหตุนี้เอง เนซิบจึงเริ่มฝันถึงถนนหนทางที่สะดวกสบาย รวมทั้งโรงเรียน และโรงพยาบาลอีกหลายแห่ง แต่ปัญหาอยู่ที่ว่าผืนดินที่โอบอุ้มน้ำมันไว้นั้น คือผืนดินที่อยู่ในเขตเยลโลว์ เบลท์ ซึ่งห้ามผู้ใดล่วงล้ำนั่นเอง



 

               เมื่อซาลีห์พยายามหนีกลับไปยังดินแดนบ้านเกิด เขาจึงถูกสังหาร ภาระหนักได้ตกอยู่ที่อูดา ผู้กลายมาเป็นความหวังเดียวในการรักษาสันติให้คงอยู่ต่อไป เขาต้องเข้าพิธีวิวาห์กับเจ้าหญิงเลย์ลา (ฟรีดา พินโต)ธิดาของเนซิบ เพื่อเป็นการเชื่อมสัมพันธไมตรีอีกครั้ง จากนั้นเนซิบก็ส่งอูดาไปซัลมาห์ในฐานะทูตสันติภาพ ทว่านั่นคือการเปิดโลกทัศน์ใหม่ให้หนุ่มผู้คงแก่เรียน ในเรื่องของความนอบน้อมถ่อมตน, ความเสียสละ และความศรัทธา อูดาได้เปลี่ยนตัวเองจากชายผู้หมกตัวอยู่แต่ในห้องสมุด ไปเป็นผู้นำที่น่าเกรงขาม เขาเดินทางกลับไปหาเนซิบ พร้อมภารกิจลับที่ได้รับมอบหมายจากอามาร์ผู้เป็นบิดา ภารกิจแห่งการแย่งชิงดินแดนเยลโลว์ เบลท์ ที่จะเปลี่ยนแปลงอนาคตของทั้งสองอาณาจักรไปตลอดกาล

               ยูไนเต็ด โฮม เอ็นเตอร์เทนเมนท์ขอนำท่านสู่ดินแดนอาหรับอันแสนร้อนระอุ ภายใต้ผลงานกำกับของฌอง-ชาคส์ อองโนด์ Jean-Jacques Annaudผู้กำกับชื่อดังจาก The Bear (หมีเพื่อนเดอะ), The Lover (กลัวทำไมถ้าใจเป็นของเธอ), Seven Years in Tibet (7 ปี โลกไม่มีวันลืม), Enemy at the Gates (กระสุนสังหารพลิกโลก) นำแสดงโดยอันโตนิโอ แบนเดอรัส Antonio Banderas(Mask of Zorro, Desperado, Puss in Boots),ทาฮาร์ ราฮิม Tahar Rahim, มาร์ค สตรอง Mark Strong(Green Lantern, John Carter) ดัดแปลงจากบทประพันธ์เรื่อง South of the Heart ของ ของฮันส์ รอยช์

5 เมษายนนนี้ จอมคนแห่งทะเลทรายจะผงาดเหนือดวงตะวัน
ฉายเฉพาะที่ SF World Cinema


<a href="http://www.youtube.com/watch?v=xhMxtcq8Dv0" target="_blank">http://www.youtube.com/watch?v=xhMxtcq8Dv0</a>
     

happy on March 25, 2012, 05:55:00 PM





เบื้องหลังงานสร้าง

                ฌอง-ชาคส์ อองโนด์ ผู้กำกับภาพยนตร์ชาวฝรั่งเศส จะนำคุณเดินทางไปยังทะเลทรายอาราเบียอีกครั้ง หลังจากที่ผู้ชมไม่ได้เห็นมันมานานมาก นับตั้งแต่ผ่านพ้นยุคทองของภาพยนตร์ Black Gold มีจุดศูนย์กลางของเรื่องราวอยู่ที่เจ้าชายหนุ่มผู้หมกมุ่นอยู่กับกองตำรับตำรา จนกระทั่งวันหนึ่ง สถานการณ์บังคับให้เขาต้องจับอาวุธลุกขึ้นนำประชาชนเข้าสู่สงคราม เพื่อแย่งชิงดินแดนที่เต็มไปด้วยน้ำมัน จุดเริ่มต้นของภาพยนตร์เรื่องนี้ต้องนับย้อนหลังไปในปี 1976 เมื่อหนุ่มน้อยชื่อทารัค เบน อัมมาร์ เพิ่งก้าวเข้าสู่วงการภาพยนตร์ และได้รับโอกาสสำคัญด้วยการเป็นทีมงานในภาพยนตร์เรื่อง Star Wars ของจอร์จ ลูคัส ซึ่งยกกองมาถ่ายทำที่ประเทศตูนิเซีย บ้านเกิดของอัมมาร์ ขณะทำงานในภาพยนตร์เรื่องนี้ อัมมาร์ได้อ่านนิยายเรื่อง South of the Heart ของฮันส์ รอยช์ นักเขียนชาวสวิส ซึ่งสร้างแรงบันดาลใจให้เขาอย่างมาก เขาติดใจเรื่องราวของชนเผ่าเบดูอินแห่งอาราเบีย ที่เพิ่งค้นพบว่าน้ำมันจะเปลี่ยนแปลงชีวิตของพวกเขาและโลกนี้ไปตลอดกาล ในฐานะที่เป็นชาวอาหรับคนหนึ่ง อัมมาร์มองว่านิยายเรื่อง Black Gold มีส่วนผสมที่พอเหมาะ สำหรับการนำมาสร้างเป็นภาพยนตร์ ที่จะช่วยให้คนทั่วโลกเข้าใจคนอาหรับและโลกมุสลิมได้ดียิ่งขึ้น
              ตอนแรกบริษัทพาราเมาท์ พิคเจอร์ส สนใจจะออกทุนส่วนหนึ่ง ในการสร้างภาพยนตร์เรื่องนี้ แต่สุดท้าย อัมมาร์ก็ไม่สามารถหาเงินส่วนที่เหลือ มาทำความฝันของตัวเองให้เป็นจริงได้ “ผมเดินทางไปทั่วโลก เพื่อระดมเงินทุนจากแหล่งต่างๆ ผมไปหามหาเศรษฐีทุกคน ธนาคารทุกแห่ง แต่ไม่มีใครเอาด้วย ทุกคนเห็นผมเป็นแค่เด็กคนหนึ่ง พวกเขาหัวเราะใส่ผม ไม่มีใครสนใจภาพยนตร์ พวกเขาอยากสร้างถนน, ตึกสูงๆ หรือค้าขายอาวุธมากกว่า” อัมมาร์กล่าว
              เมื่อโอกาสยังมาไม่ถึง อัมมาร์จึงไปรับตำแหน่งผู้ประสานงานการผลิตในผลงานของผู้กำกับ สตีเว่น สปีลเบิร์ก เรื่อง Raiders of the Lost Ark ที่มาถ่ายทำในตูนิเซีย จนก้าวไปสู่การเปิดบริษัทผลิตและจัดจำหน่ายภาพยนตร์ และภาพยนตร์โทรทัศน์ ซึ่งทำให้เขาได้ร่วมงานกับผู้กำกับชั้นนำอีกมาก อาทิ โรมัน โปลันสกี, ฟรังโก เซฟฟิเรลลี, ไบรอัน เดอ พัลมา, จุยเซปเป ทอร์นาทอเร, ราชิด บูชาเร็บ และจูเลียน ชนาเบล อย่างไรก็ตาม อัมมาร์ก็ไม่เคยล้มเลิกความตั้งใจที่จะนำนิยายเรื่อง South of the Heart มาสร้างเป็นภาพยนตร์ให้ได้ “ผมย้อนกลับไปซื้อลิขสิทธิ์นิยายเรื่องนั้นทุกๆ ห้าปี” เขากล่าว “ผมพร่ำบอกกับตัวเองว่าต้องทำให้ได้ จนเวลาผ่านไปนานกว่า 30 ปี ระหว่างนั้นก็กลัวว่าจะมีคนอื่นได้ทำมันก่อน และถึงจะหมดเงินหมดทองไปมากขนาดไหน ผมก็เชื่อว่าตราบใดที่ผมยังอยู่บนโลกใบนี้ ผมจะทำมันเป็นหนังจนได้”
              เมื่อเวลาล่วงเลยไปนานกว่าสามทศวรรษ โอกาสของอัมมาร์ก็มาถึง เมื่อเขาได้พบกับผู้กำกับ ฌอง-ชาคส์ อองโนด์ ทั้งคู่เป็นเพื่อนกัน แต่ไม่เคยมีโอกาสทำงานร่วมกัน อองโนด์หลงใหลเรื่องราวที่เกี่ยวข้องกับโลกอาหรับ จนถึงขั้นพาครอบครัวออกท่องเที่ยวไปตามประเทศต่างๆ ที่อยู่ในแถบนั้นเป็นเวลานานหลายปี เพื่อเก็บเกี่ยวประสบการณ์มาสร้างเป็นภาพยนตร์ เวลานั้นเขากำลังเตรียมทำภาพยนตร์ที่มีเนื้อหาเกี่ยวกับการบุกลิเบียโดยกองทัพอเมริกัน และตั้งใจนำเรื่องนี้มาคุยกับอัมมาร์ แต่สุดท้ายการสนทนาก็ต้องเลื่อนไป เมื่อมีสิ่งที่น่าสนใจกว่าเกิดขึ้น “เขาให้หนังสือของฮันส์ รอยช์กับผม” อองโนด์เล่า “มันมีเรื่องราวที่ยอดเยี่ยมสำหรับการเป็นหนังผจญภัย ที่จะให้เราในฐานะผู้ชม ได้เดินทางไปยังอีกโลกหนึ่ง มันเป็นเรื่องแฟนตาซีในทำนองเดียวกับ ‘1001 ราตรี’ แต่เกิดขึ้นในอดีตที่ไม่ห่างจากยุคปัจจุบันนัก ผมคิดว่าเรื่องนี้เป็นสากลมาก ผมดื่มด่ำกับนิยายขณะที่ท่องอยู่กลางทะเลทรายอาราเบีย พร้อมกับพวกชนเผ่าเบดูอิน มีสถานที่อื่นอีกมั้ย ที่ให้ความรู้สึกเหมือนโดนมนต์สะกดมากเท่าที่นี่”
              “ผมต้องการผู้กำกับที่เข้าใจวัฒนธรรมประเพณีของโลกอาหรับ” อัมมาร์เสริม “ผมไม่อยากได้การตีความแบบฮอลลีวูด แต่อยากได้คุณภาพแบบฮอลลีวูด ทั้งงานสร้างและฉากแอ็คชั่นต้องยิ่งใหญ่สมจริง ฌอง-ชาคส์คือคนที่จะมาทำสิ่งนี้ให้เกิดขึ้น เขาศึกษาค้นคว้าเกี่ยวกับศาสนาอิสลาม รู้เรื่องคัมภีร์โกหร่าน รู้ด้วยว่าเรากำลังทำหนังให้คนทั้งโลกดู”
              เมื่ออองโนด์ตกลงที่จะกำกับภาพยนตร์เรื่องนี้ อัมมาร์ก็ได้รับโทรศัพท์จากตัวแทนของเมย์อาสซา บินท์ ฮาหมัด อัล-ทานี ภรรยาชีคแห่งการ์ตา ผู้แสดงความจำนงว่าต้องการสนทนากับเขาในเรื่องที่เธออยากทำให้ประเทศการ์ตาเป็นฐานการผลิตภาพยนตร์ที่สำคัญอีกแห่งหนึ่ง เช่นเดียวกับที่ตูนิเซียเคยทำสำเร็จมาแล้ว “นั่นคือพระประสงค์ของพระผู้เป็นเจ้า” อัมมาร์กล่าว “เมย์อาสซาและแม่ของเธอ โมซาห์ เชิญผมไปการ์ตา ผมเลยพาครอบครัวไปด้วย และที่นั่นเองผมได้พบฉากที่จะใช้ถ่ายทำ Black Gold มันมีทะเลทรายที่พิเศษมาก แถมมีทะเลด้วย เหมือนฉากที่บรรยายไว้ในหนังสือไม่มีผิด” อัมมาร์รีบโทรศัพท์ไปบอกผู้กำกับเรื่องโลเคชั่น และเมื่ออองโนด์ได้มาเห็นสถานที่จริง เขาพูดถึงเรื่องนี้ว่า “ไม่มีที่ติ ผมรักทะเลทรายที่นี่ ผมรู้ว่ามันแตกต่างจากทะเลทรายอื่นๆ ทั่วโลก ทรายแต่ละที่จะมีสีไม่เหมือนกัน และที่ผมชอบอีกอย่างคือมันเป็นทะเลทรายซึ่งมีจุดหมายปลายทางอยู่ที่ทะเล ซึ่งน่าตื่นตาตื่นใจจริงๆ นี่เป็นเรื่องสุดพิเศษสำหรับผมในฐานะผู้กำกับ เพราะผมจะมีโอกาสถ่ายหนังในที่ๆ ไม่มีใครเคยถ่ายมาก่อน”