YaYoungMan on March 17, 2012, 02:03:23 PM
 :D อยากดูอยากดู ใครมีบัตรฟรีบ้าง..

FB on March 21, 2012, 07:50:19 AM
“มะเดี่ยว ชูเกียรติ” นำเสนอ “รัก” ครั้งใหม่ที่ต้องใช้ทั้งหัวใจ และประสบการณ์ตลอดครึ่งชีวิตถ่ายทอดสู่ “Home ความรัก ความสุข ความทรงจำ”



                  “Home ความรัก ความสุข ความทรงจำ” อีกหนึ่งภาพยนตร์รักสุดซึ้ง โดยผลงานกำกับล่าสุดของ “มะเดี่ยว-ชูเกียรติ ศักดิ์วีระกุล” (ภ.รักแห่งสยาม) ที่หยิบยกเรื่องราวความรักจากประสบการณ์ของคนรอบๆ ตัว ในความทรงจำของมะเดี่ยวผู้กำกับ นำเสนอมุมมองความรักที่หลากหลายถ่ายทอดสู่ภาพยนตร์รักครั้งล่าสุด พร้อมทั้งดึงนักแสดงซุป’ตาร์ร่วมถ่ายทอดห้วงทำนองแห่งรัก โดย ต่าย-เพ็ญพักตร์, เจมส์-เรืองศักดิ์, นุ่น-ศิรพันธ์, ลิฟท์-สุพจน์, พิช-วิชญ์วิสิฐ และนักแสดงฝีมือคุณภาพอีกมากมาย ซึ่งมะเดี่ยว ผู้กำกับเล่าถึงความเป็นมา และแรงบันดาลใจของภาพยนตร์รักครั้งนี้ว่า

          “หลังจากหนังรักแห่งสยามเสร็จก็คือได้ทำหนังสั้น ทำไปทั่วเรื่อยๆ กันไป แล้วตอนนี้เราอายุ 30 ปีแล้ว ถ้าเป็นทั่วๆ ไปในชีวิตการทำงานเขาคงเรียกว่าเป็นแบบครึ่งชีวิต มันเหมือนกับว่ามันมีเรื่องราวเยอะที่เราอยากจะเล่า โดยปกติเราจะชอบเขียนบันทึก เขียนอะไรแบบเรื่องของคนนั้นคนนี้ที่เราได้เจอมาใน เราพูดถึงผู้คน เหตุการณ์ สถานที่ที่เราจดจำได้ในชีวิตเราที่เราไม่ลืม หลายคนได้จากเราไป หลายคนยังมีชีวิตอยู่ แล้วก็ยังอยู่กับเราอยู่ตอนนี้

          หนังที่ทำมาทุกเรื่องก็มีแรงบันดาลใจที่เราไปเจอมาในชีวิตจริง เพียงแต่ว่าตอนเป็นรักแห่งสยาม คล้ายกับว่ามันเป็น fiction มีความเป็นนิยาย มีความประโลมโลกอยู่เยอะ แต่อันนี้จะมีส่วนผสมของความที่เรียกว่ามันจริง realistic คือพอเราโตขึ้นความเพ้อฝัน ความโรแมนติก ที่มันเคยอยู่ในชีวิตเรามันก็จะน้อยลง เราจะมองโลกในแง่ของความจริงมากขึ้น ในแง่ที่มันเกิดขึ้นเพราะเหตุใด สิ่งที่มันมากระทบชีวิตเรามันมีเหตุและผล และมันนำพาเราไปสู่สิ่งนั้นสิ่งนี้”

          และสิ่งที่ มะเดี่ยวผู้กำกับต้องการนำเสนอถึงเรื่องราวความรักนั้นล้วนเป็นความรักที่ต้องใช้หัวใจในการมองเห็น และเข้าใจรักให้มากขึ้น ไม่ว่าความรักจะเกิดขึ้นอย่างไร หากต้องสูญเสียความรักไป สุดท้ายเราจะคงเก็บรักษารักเอาไว้อย่างไร พร้อมทั้งให้นิยามความหมายของ Home ในภาพยนตร์ครั้งนี้ว่า

          “สิ่งที่ต้องการจะนำเสนอ คืออยากจะบอกว่าชีวิตคนมันไม่ได้มีแค่เรื่องโศกเศร้า และก็ไม่ได้มีแค่เรื่องตลกสนุกสนาน นี้คือหนังที่รวมทุกสิ่งทุกอย่างเอาไว้ด้วยกัน ครบทุกรส มีทั้งแบบอบอุ่นใจ ร้องไห้เป็นเผาเต่า หัวเราะครื้นเครงมันอยู่ในนั้นหมด มันคือชีวิตประสบการณ์จากผู้คนรอบข้างที่ผ่านมาของเรามีทุกด้าน ทุกความรู้สึก อยากจะสื่อความหมายของความรักว่า จริงๆ แล้วเราไม่มีทางรู้หรอกว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับชีวิตเรา แต่เรามีเวลา ณ ปัจจุบันนี้ เราควรใช้ชีวิตให้มีความสุข ที่สำคัญเราอย่าคาดหวังไม่ว่าจะดีหรือร้าย เราต้องทำตรงที่ยืนให้ดีที่สุด

          และถ้าถามว่าทำไมต้องบ้าน ส่วนตัวแล้วคำว่า Home หรือบ้าน ของเรา คือ ความรู้สึกที่ได้อยู่บ้าน ได้อยู่กับครอบครัว อยู่กับคนที่เรารัก ได้อยู่ในที่ๆ ปลอดภัย ทุกที่ในหนังทุกเรื่องหรือว่าผู้คนที่เราผูกพันในหนังเรื่องนี้ มันทำให้เรารู้สึกเหมือนได้กลับบ้าน คนที่เรารัก เพื่อน พ่อแม่ หรือพี่น้องอะไรต่างๆ นานา มันเป็นเรื่องของคนเหล่านี้ ซึ่งมันอาจจะไม่ได้เกี่ยวข้องกับบ้าน แต่ว่าจริงๆ แล้วมันคือความรู้สึกเกี่ยวกับผู้คนที่ทำให้เรารู้สึกเหมือนได้อยู่ในบ้านมากกว่า”

          ร่วมค้นหาคำตอบด้วยหัวใจคุณเองในภาพยนตร์เรื่อง “Home ความรัก ความสุข ความทรงจำ” ผลงานกำกับโดย ชูเกียรติ ศักดิ์วีระกุล ภาพยนตร์รักสุดซึ้งที่จะทำให้ทั้งหัวใจ...รู้สึก และ สัมผัสถึง “รัก” ไปทั่วทุกโรงภาพยนตร์ 19 เมษายนนี้

FB on March 25, 2012, 02:16:52 PM
เจมส์ เรืองศักดิ์ ทำ “นุ่น ศิรพันธ์” ร้องไห้กลางกองถ่ายโปสเตอร์ “Home ความรัก ความสุข ความทรงจำ”





           เป็นอีกหนึ่งภาพยนตร์ที่มีเหล่านักแสดงคุณภาพมารวมตัวกันในเรื่อง “Home ความรัก ความสุข ความทรงจำ” ผลงานกำกับของ “มะเดี่ยว ชูเกียรติ” และเมื่อไม่นานมานี้ได้ยกทีมเหล่านักแสดงรุ่นใหญ่ และรุ่นใหม่ มาถ่ายโปสเตอร์ประกอบภาพยนตร์ครั้งนี้ นำทีมนักแสดงรุ่นใหญ่โดย เจมส์-เรืองศักดิ์ ลอยชูศักดิ์, นุ่น-ศิรพันธ์ วัฒนจินดา และพิช-วิชญ์วิสิฐ หิรัญวงษ์กุล ร่วมด้วยนักแสดงรุ่นใหม่อย่าง มาร์ช-จุฑาวุฒิ ภัทรกำพล, แจ็ค-กิตติศักดิ์ ปฐมบูรณา, อั้ม-ณัฐพงษ์ อรุณเนตร์ และเร็กเก้-ทิพปภา แซ่โง้ว

          ซึ่งบรรยากาศของการถ่ายโปสเตอร์ภาพยนตร์ในครั้งนี้ สนุกสนานเฮฮาเป็นอย่างดี โดยเฉพาะตอนถ่ายรวมเซ็ทนักแสดงครบทุกคน ที่แต่ละคนจะต้องถ่ายทอดอารมณ์ออกมาตีความหมายของรักที่แตกต่างกันออกไป ก่อนที่จะถูกจับแยกถ่ายออกมาเป็นแต่ละคู่ เริ่มจากคู่ที่น่าจับตา และเป็นไฮไลท์อย่างมากคือคู่ของ เจมส์ เรืองศักดิ์ และ นุ่น ศิรพันธ์ ที่ถูกสั่งให้ทำอารมณ์ซึ้ง เศร้าหมองหม่น โดยสาวนุ่นยังอินกับบทปรียาไม่เลิก เมื่อถูกสั่งประครองอารมณ์เศร้า ก็สามารถเรียกน้ำตาออกมาได้เลยทันที ทีมงานและนักแสดงรุ่นน้องเห็นแล้วก็อึ้งกับฝีมือทางการแสดงของนักแสดงสาวรุ่นพี่คนสวย โดยนุ่นเล่าถึงเบื้องหลังการถ่ายโปสเตอร์เคล้าน้ำตาในครั้งนี้ว่า

          “วันนี้ก็ได้มาเจอพี่ๆ น้องๆ รวมตัวอีกครั้งหลังจากปิดกล้องไปแล้วดีใจมากค่ะ พวกเราก็มาถ่ายโปสเตอร์ร่วมกัน โดยของนุ่นเองจะเป็นคู่สาวจิตตกกับหนุ่มเก็บกดคือไม่พูด (หัวเราะ) เริ่มถ่ายภาพหมู่รวมนักแสดงครบทั้งหมดก่อน และก็ค่อยไล่มาคู่รักระหว่างพี่เจมส์กับนุ่นค่ะ โดยเริ่มจากอารมณ์เศร้ากันก่อนเลย เป็นอารมณ์ง้อแฟนให้มาคืนดีด้วย แต่พยายามง้อเท่าไหร่ผู้ชายก็ไม่สนใจสักที เราก็เริ่มคิดมาก เศร้า เสียใจ จนร้องไห้เลย ซึ่งก็จะไปสอดคล้องกับคาแร็คเตอร์และเรื่องราวความรักของ ปรียา กับเสี่ยเล้ง ในเรื่องนี้ค่ะ”

          ด้านหนุ่มเจมส์ จึงขอเล่าถึงธีมถ่ายโปสเตอร์ในครั้งนี้ พร้อมทั้งฝากถึงคู่รัก และคนที่กำลังค้นหาความรัก ต้องเข้ามาชม Home ความรัก ความสุข ความทรงจำ ที่ให้แง่คิดกับทุกคนที่มีรักว่า

          “ภาพรวมของการถ่ายโปสเตอร์วันนี้เป็นการสื่อสารในเรื่องอารมณ์ความรักของแต่ละคู่ ซึ่งจะแยกอารมณ์กันหลากหลายเหตุผลของความรักครับ โทนก็จะเป็นแนวอบอุ่น ต้องติดตามโปสเตอร์หนังกันครับ และก็อยากให้ติดตามชมภาพยนตร์เรื่องนี้ ผมคิดว่าได้แง่คิดดีๆและมุมมองดีๆ ที่มะเดี่ยวผผู้กำกับ พยายามจะถ่ายทอดสื่อสารผ่านทางตัวละครทุกตัว ผมเชื่อว่ามุมมองที่ดีๆเหล่านี้จะทำให้ความรักของทุกๆคู่หรือทุกๆ คนดีขึ้น ก็ขอให้ทุกคนมาชมภาพยนตร์เรื่องนี้เยอะๆ 19 เมษายนนี้ครับ”

          ฝั่งหนุ่มพิช วิชญ์วิสิฐ กลับฉายเดี่ยวไร้คู่ถ่ายภาพโปสเตอร์ จึงทำให้เสร็จเร็วกว่าคนอื่นทุกคน แต่หนุ่มพิชก็ขออยู่ต่อเป็นกำลังใจให้ทั้งพี่ๆ น้องๆ นักแสดง โดยเฉพาะน้องเร็กเก้ ทิพปภา ที่ขับรถลงมาจากจังหวัดเชียงใหม่ตั้งแต่ตี 4 มาถึงกรุงเทพ เพื่อถ่ายโปสเตอร์คู่กับหนุ่มอั้ม ณัฐพงษ์ในครั้งนี้ แล้วต้องรีบบึ่งรถกลับบ้านที่เชียงใหม่ทันที เพราะมีสอบแต่เช้า ทีมงานขอยกนิ้วชื่นชมสปิริทของน้องเร็กเก้ในครั้งนี้อย่างมาก ปิดท้ายด้วยคู่เพื่อนรักมัธยมมาร์ช จุฑาวุฒิ กับแจ็ค กิตติศักดิ์ ที่ถึงแม้จะเป็นครั้งแรกของการถ่ายโปสเตอร์หนัง แต่ก็โพสท่าทางได้อย่างคล่องแคล่ว อย่างเป็นธรรมชาติ เมื่อมีนักแสดงก็ต้องมีผู้กำกับ งานนี้มะเดี่ยวขอแอบย่องมาเป็นกำลังใจให้กับเหล่านักแสดงในครั้งนี้ด้วยเช่นกัน

          Home ความรัก ความสุข ความทรงจำ ภาพยนตร์รักสุดซึ้ง หลากหลายเรื่องราวแห่งรัก ที่จะทำให้คุณไม่ใช่รู้จักแค่รัก แต่ให้รู้สึกรักมากขึ้น 19 เมษายนนี้ ทุกโรงภาพยนตร์

FB on March 27, 2012, 01:31:00 PM
บทสัมภาษณ์ แจ็ค กิตติศักดิ์ ปฐมบูรณา รับบทเป็น “บีม” ในภาพยนตร์เรื่อง Home ความรัก ความสุข ความทรงจำ





          แนะนำตัวทำความรู้จักกันก่อน
          สวัสดีครับผมชื่อ แจ็ค กิตติศักดิ์ ปฐมบูรณา รับบทเป็น “บีม” ในเรื่องโฮม ความรัก ความสุข ความทรงจำ
          อธิบายถึงคาแร็คเตอร์ของบีม เป็นอย่างไร
          คาแร็คเตอร์ของบีม จะเป็นนักกีฬาบาสของโรงเรียนมงฟอร์ตวิทยาลัย บีมอยู่ม.3 ของโรงเรียนนี้ แต่ว่าย้ายโรงเรียนบ่อยจึงไม่ค่อยมีเพื่อน นิสัยของบีมจะเป็นคนพูดเก่ง พูดมาก มักจะขี้สงสัยในทุกๆ เรื่องเข้ากับคนง่าย จนวันนึงเจอ เน (แสดงโดย มาร์ช จุฑาวุฒิ ภัทรกำพล) ซึ่งเป็นรุ่นพี่ม.ปลาย สองคนก็ได้มีโอกาสคุยกันในคืนหนึ่งของโรงเรียน เลยทำให้สนิทกันเพียงระยะเวลาเพียงคืนเดียวเท่านั้น คาแร็คเตอร์ที่ดูเด่นชัดของบีมคือ พูดมากอย่างเดียวเลยเป็นคนชอบเล่าเรื่อง อยากรู้อยากเห็นว่าเนเขาทำอะไรอยู่ เป็นเด็กร่าเริงแจ่มใส และบีมก็ไปแอบชอบผู้หญิงคนนึงซึ่งเป็นเพื่อนกับเนครับ
          เข้ามาแสดงภาพยนตร์เรื่องนี้ได้อย่างไร
          ผมรู้จักกับพี่มะเดี่ยวมาก่อนหน้านี้อยู่แล้วครับ พี่เขามาช่วยซ้อมวงโยธาวาทิต ของโรงเรียนบดินทร์เดชา แล้วเขาก็มาชวนให้เล่นหนัง ตอนแรกชวนเล่น MV ก่อน และก็มาถามว่าเล่นหนังไหวไหมก็เลยลองดูครับ ตอนไปแคสติ้งผมต้องเล่นสื่ออารมณ์ ซึ่งเป็นฉากในหนังที่ต้องใช้อารมณ์มากที่สุด ใช้อารมณ์ผ่านสายตา ต้องสื่อออกมาด้วยสายตา วันที่ไปแคสติ้ง มีคนมาแคสบทเนพอดี ก็เล่นคู่กัน ตื่นเต้นมากเพราะเราไม่เคยเจอกันมาก่อน
          ตอนทราบผลว่าถูกเลือกแสดงภาพยนตร์รู้สึกอย่างไรบ้าง
          มีพี่ทีมงานโทรมาบอก ตกใจมากครับ ตอนนั้นกำลังจะแข่งบาสของโรงเรียนกำลังวอร์มร่างกายพอดี อยู่ๆ พี่เขาโทรมาบอกว่าได้เล่นหนัง ก็เล่นหนังหรอตกใจเลย แล้วก็วางไปเพราะแข่งบาสอยู่สมาธิไม่อยู่กับตัวชู๊ตไม่ลงเลย (หัวเราะ) ดีใจมากครับ
          ก่อนหน้านี้แจ็คเคยผ่านผลงานอะไรมาบ้าง
          แสดง MV ของพี่โต๋ ศักดิ์สิทธิ์ เพลง อยู่ที่ไหน โดยมีพี่มะเดี่ยวเป็นผู้กำกับครับ แค่นี้เลย แต่ผมจะทำกิจกรรมทางโรงเรียนเป็นส่วนใหญ่อย่างอยู่วงโยธาวาทิต จะเล่นเครื่องดนตรี บาริโทน และทอมโบนครับ บาริโทนจะเป็นเครื่องเป่าเวลาแข่งจะมี 2 อย่าง คอนเสิร์ท คือพวกนั่งบรรเลง และมาร์ชชิ่ง คือเดินแปรรูป หากผมเดินแปรรูปก็จะเป็นบาริโทน ถ้านั่งบรรเลงก็จะเป็นทอมโบน นอกจากนี้ก็เป็นนักกีฬาบาส ตำแหน่งการ์ดจ่าย หรือตัวส่งบอลครับ
          มีการเตรียมตัวเพื่อการแสดงภาพยนตร์ครั้งแรกในชีวิตของเราอย่างไรบ้าง
          ฝึกเรียนการแสดงกับพี่มะเดี่ยว ไปพร้อมกับพี่มาร์ชที่เล่นเป็นเน ฝึกการใช้อารมณ์ว่าต้องเล่นยังไงควรทำอย่างไง เวลาเจอสถานการณ์แบบนี้ ครั้งละ 3 ชม.ต่อวัน ประมาณ 2 เดือนครับ พี่มะเดี่ยวสอนเน้นในเรื่องแสดงอารมณ์ การใช้ควบคุมอารมณ์ ก็ถ้าเกิดเจอสถานการณ์แบบนี้ต้องทำยังไง และหากเวลามีปัญหาทางการแสดงผมก็จะบอกพี่มะเดี่ยวตรงๆเลยครับว่าผมทำไม่ได้ พี่สอนผมหน่อย
          ตัวละคร บีม มีความเหมือนหรือแตกต่างจากตัวจริงของแจ็คบ้างไหม
          แตกต่างเกือบทุกอย่างเลยนะ ตัวจริงผมเป็นคนไม่ค่อยพูด และมีเพื่อนเยอะแต่ไม่ค่อยพูด ซึ่งในบทเป็นคนที่พูดมากและขี้สงสัย ตัวจริงผมไม่ใช่อย่างนั้น สิ่งที่เหมือนกันคือเป็นนักกีฬาบาสของโรงเรียน มีแค่อย่างเดียวนอกนั้นก็แตกต่างหมดครับ
          เปิดกล้องแสดงภาพยนตร์วันแรกครั้งแรกรู้สึกอย่างไรบ้าง
          ช่วงแรกพี่มะเดี่ยวพาผมไปดูกองถ่ายเรื่องก่อนหน้าผม ซึ่งเขาบอกว่าทำตัวให้ชินนะ จนผมสนิทกับพวกพี่ๆ ในกอง เปิดกล้องวันแรกก็ตื่นเต้นนิดหน่อยนะครับ
          มีปัญหายากง่ายอย่างไรบ้าง
          มันยากตรงที่เวลาเจอไฟจะเบลอไปหมดเลย ผมเป็นคนที่เจอไฟส่องเข้าตาแล้วสมาธิเบลอไปหมดเลย ที่ผมจำมาก็หลุดหมดเลย อันนี้ผมแก้ด้วยตัวเองก็คือทำให้ชินครับ ระยะเวลาการถ่ายทำจะถ่ายกันประมาณ 4 วัน ส่วนใหญ่ถ่ายเป็นกลางคืน เรื่องเวลานอนไม่ค่อยมีปัญหาเพราะปกติผมเป็นคนนอนดึกอยู่แล้วชอบดูบอล ก็เลยไม่ซีเรียสเรื่องนอนดึกครับ แต่ต้องใช้สมาธิมากกว่าการดูบอล ต้องใช้พูด ใช้แรง ใช้สมาธิ วิธีแก้ของผมคือการหาอะไรทำ เดินเล่น เดินดูบท ท่องบทไปเรื่อยๆ กินน้ำของที่กอง กินน้ำร้อนให้มันกระชุ่มกระชวยครับ
          ร่วมงานกับพี่มะเดี่ยวเป็นอย่างไรบ้าง
          ตอนแรกตื่นเต้น ไม่คิดว่าพี่เขาจะเป็นร่าเริงเห็นบุคลิกครั้งแรกดูเป็นคนมาดเข้ม จริงๆแล้วพี่มะเดี่ยวเขาเป็นคนร่าเริง ตลก หัวเราะตลอดเวลา ตอนสอนการแสดงไม่เครียดเลย เขาจะสอนไม่ให้เกร็งเวลาเล่นหนัง

FB on March 27, 2012, 01:32:38 PM
          แล้วพอเปิดกล้องจริงๆล่ะ
          มีอยู่ฉากนึงผมเกือบร้องไห้ กดดันมากเลย แค่บทพูดเปลี่ยนนิดนึงสลับตรงนั้นตรงนี้ ผมพูดไม่ได้ก็โดนพี่เขาชาร์ตเลย น้ำตาเกือบไหลไม่เคยเจอแบบนี้มาก่อน และก็กดดันด้วยเพราะว่าทุกคนรอเราอยู่(หัวเราะ) วิธีแก้ปัญหาก็คือ พี่มะเดี่ยวให้ผมออกไปทำสมาธิให้ยืนคนเดียวหลับตา แล้วค่อยเข้ามาในฉากอีกรอบนึง ก่อนหน้านี้เคยเล่น MV ที่พี่มะเดี่ยวกำกับมาแล้ว ก็ทำให้สนิทเหมือนพี่น้องกัน แต่พอมาเล่นหนังแล้วเขากำกับมันคนละฟิวส์กันเลย เขาเป็นคนที่ถึงเวลาจะจริงจังแบบสุดๆ ผิดพลาดนิดนึงก็จะเริ่มใหม่ ก็จะกดดันมาก พอผ่านฉากนั้นไปเหมือนขึ้นสวรรค์ รู้สึกฟินาเล่มาก (หัวเราะ)
          ร่วมงานกับมาร์ช เป็นอย่างไรบ้าง
          ตอนแรกก็เกร็งๆเพราะไม่รู้จักกัน พอมาเรียนการแสดงก็ทำให้สนิทเหมือนเป็นพี่คนนึงของผม ตอนไปเรียนการแสดงพี่มะเดี่ยวจะให้ผมกับพี่มาร์ชซ้อมตรงที่ไม่เข้าใจให้คุยกันเองซ้อมกันเอง ถึงเวลาเขาก็จะไหนขอดูหน่อย อยู่ที่เชียงใหม่ก็ทำให้รู้นิสัยพี่มาร์ชมากขึ้น คือชอบมองผู้หญิง (555) ส่วนผมไม่มองแต่จะคอยบอกว่าพี่มาร์ชคนนี้ดีกว่า (555)
          ส่วนตัวแล้วมีความประทับใจอะไรบ้างในภาพยนตร์เรื่องนี้
          ผมประทับใจทีมงานทุกคนเต็มที่มาก ส่วนใหญ่เรื่องราวของผมจะถ่ายแต่กลางคืนทุกคนจะอดหลับอดนอนกันหมดเลย จะเริ่มถ่าย 6 โมงเย็นถึง 6 โมงเช้าทุกวันเลย ทำให้รู้สึกว่าทุกคนเต็มที่มากเลยประทับใจครับ สำหรับสถานที่ถ่ายทำเป็นที่โรงเรียนมงฟอร์ตวิทยาลัย ตอนกลางคืนยุงเยอะมาก(หัวเราะ) ส่วนสถานที่ท่องเที่ยวผมไม่ค่อยได้ออกไป จะอยู่ซ้อมบทกับพี่มาร์ชในห้องมากกว่า แต่บางทีพี่มาร์ชก็แอบหนีออกไปครับ(หัวเราะ) แต่พี่มะเดี่ยวเขาก็พาไปกินข้าวซอย อร่อยชอบ และถูกด้วย เป็นการมาเชียงใหม่ครั้งแรกของผมครับ ถ้าจะประทับใจก็ตรงที่เป็นหนังเรื่องแรกของผม และยังมาถ่ายที่เชียงใหม่ด้วย รู้สึกดีประทับใจมากครับ
          ฉากที่รู้สึกว่าเป็นฉากพิเศษของแจ็คเลย คือฉากเกี่ยวกับอะไร
          ฉากชู๊ตบาส และต้องชู๊ตให้ลง เป็นฉากสุดท้ายของวันนั้น ซึ่งฉากนี้บีมจะต้องชู๊ตบาส และให้พี่เนถ่ายรูป ต้องชู๊ตทำ 3 แต้ม ผมก็ชู๊ตไม่ลงสักลูกเลย จนพี่ทีมงานมายืนกดดันกันหมดเลย ช่างกล้อง ช่างไฟ ทุกคนเต็มไปหมด ก็ยังชู๊ตไม่ลง จนมีคนตะโกนบอกว่า เฮ้ยกูง่วง! (555) จนสุดท้ายก็ชู๊ตลงซึ่งผ่านไปตั้ง 6 ลูก สำหรับคนปกติแค่ 6 ลูกเอง แต่สำหรับนักบาสมันตั้ง 6 ลูก ซึ่งมันเสียชื่อนักบาสนะ และตอนนั้นเป็นเวลาตี 5 ผมก็หลับๆ ตื่นๆ ตามัวมาก เบลอไปหมด พอชู๊ตลงปุ๊ป เฮ! เลิกกอง(หัวเราะ) เขารอให้ลงปุ๊ปเลิกกองเลย
          เรื่องราวของ เน กับ บีม ทั้งสองคนจะต้องสนทนากันตลอดเป็นอย่างไรบ้าง
          เป็นฉากแรกเลยที่ยาก เป็นฉากที่ผมพยายามจะสนิทกับพี่เน ก็จะเล่าเรื่องต่างๆที่ผมเคยทำมา คืออยากอวด ซึ่งมันมีอยู่ 8 บรรทัดในบท และตัวจริงผมไม่ใช่คนพูดมากเลย ในบทมันเยอะไปให้ตายเหอะ มันหลายเทคมาก เพราะบทเยอะเกินแต่ก็ผ่านมาได้ ฉากนั้นผมจะพูดเกี่ยวกับเรื่องรถกระดาษ อยากอวดตัวเองว่าเก่ง เคยพับรถกระดาษเป่าชนะคนอื่น ยาวมากกว่าจะอ่านเสร็จก็นานเช่นกันครับ
          ใช้เวลาถ่ายฉากนั้นนานไหม
          ก็นานนะ กล้องเขาจะตั้งไว้และปล่อยให้เราเล่นออกมา ผิดเอาใหม่ ตั้งกล้องแล้วผมก็เดินพูดๆๆแล้วค่อยตัดไปอีกมุมนึง น่าจะหลายเทคอยู่เพราะเป็นฉากที่ต้องพูดเยอะมาก ประมาณ 6 เทคครับ
          ช่วงวัยเรียนของแจ็ค เคยแอบรักใครสักคนไหม
          เคยแอบชอบตอนม.1 ตอนนั้นผมขี้อายไม่กล้าเข้าไป ปรึกษาเพื่อน เพื่อนก็บอกว่าเดินเข้าไปเลย จนพอวันนึงโดนตัดหน้าไปก็เลยคิดว่าทำไมตัวเองไม่ทำตามที่เพื่อนบอกตั้งแต่แรกนะ และผมเคยปรึกษาแม่ แม่บอกให้จำคำนี้ไว้ ด้านได้อายอด แล้วพอผมเจอคนที่ผมชอบจริงๆผมก็เดินตรงเข้าไปเลย ตอนนั้นยังเป็นอีเมล์ ก็เดินเข้าไปขออีเมล์เขา เขาก็ให้แต่ให้วันละตัว ซึ่งยาวมาก 14 ตัว และให้ผมมาเรียงเองด้วยจนได้มาจนครบ เรียงเองเรียงเสร็จก็ประมาณ 14 เมล์ครับ กว่าจะเสร็จเมล์นึงแต่พยายามมาก แถมช่วงนั้นยังเป็นช่วงที่ลำบากที่สุดคือผมซ้อมวงโยธาวาทิตเลิกดึก แล้วเขาจะออนเอ็มช่วง 2 ทุ่มถึง 3 ทุ่ม แต่ผมเลิกซ้อมถึงห้าทุ่มเที่ยงคืนก็เลยลำบากตรงนี้ครับ
          คำว่า เพื่อน ในความหมายของแจ็คคืออะไร
          เพื่อนเหมือนทุกอย่างของชีวิตผม ไม่ได้มากไป ไม่น้อยไป ทุกคนต้องเจอมาหมดคำว่าเพื่อน สำหรับผมนี่คือขาดกันไม่ได้ เวลาจะสนุก สนุกคนเดียวได้ไหม ไม่ได้ก็ต้องมีเพื่อน เวลาเศร้าคนเดียวได้ไหม ได้นะแต่ว่าอยากให้เพื่อนเศร้าด้วยประมาณนี้ชิวิตผม รักเพื่อนมาก เวลาไม่มีตังค์ก็ยืมเพื่อนได้ ล้อเล่นนน… เพื่อนเปรียบเป็นทุกอย่าง เพื่อนขาดไม่ได้จริงๆสำหรับผม เวลาผมมีอะไรผมจะเก็บกดแต่เวลาเพื่อนมาถาม ผมจะระบายให้เพื่อนฟังทุกอย่างทุกเรื่อง ถ้าเพื่อนไม่เข้าใจก็ต่อยเลย(หัวเราะ)ล้อเล่นๆ
          ในชีวิตจริงเราผูกพันกับโรงเรียนจนเหมือนเป็นบ้านที่สองเลยไหม         
          ผมอยู่วงโยธาวาทิตของโรงเรียนบดินทร์เดชา ซ้อมเย็นเลิกดึกตลอด เลิกเรียนก็จะซ้อมหลังสามโมงเย็นจนถึงห้าทุ่มเที่ยงคืนตลอดทุกวัน บางวันก็นอนโรงเรียน ผูกพันกับโรงเรียนมาก ตอนกลางคืนโรงเรียนจะเป็นของข้า
          อยู่โรงเรียนทำกิจกรรมอะไรบ้าง
          ผมจะมีพี่สาวเป็นฝาแฝดเขาอยู่วงโยธาวาทิต พอผมเห็นเขาไปแข่งแล้วมันเท่ดีจัง ก็เลยสมัครเข้าวงโยธาวาทิตด้วย ความรู้สึกเหมือนเป็นครอบครัวอีกครอบครัว มีทุกรุ่นทุกวัยเข้าใจกันทุกอารมณ์ มีการรับน้องใหม่เป็นการละเล่น โดยผู้ชายจะจับแก้ผ้าเลยรับน้องเขียนเต็มตัวเลย แต่พอมารุ่นผมม.6 ก็ไม่มีล่ะ เดี๋ยวเด็กมันออกหมด ต้องฝึกซ้อมตั้งแต่ม.1 ตอนนั้นได้ไปแข่งที่ประเทศเกาหลี แข่งชิงแชมป์โลกได้รางวัลอันดับที่ 5 และมีตอนม.3 ไปแข่งที่ประเทศมาเลเซีย ได้ที่1 ชิงแชมป์โลก ลงข่าวเบ้อเริ่มเลยของนสพ.ไทยรัฐ แล้วก็มีแข่งที่ไทยปกติทุกปี และก็เป็นนักกีฬาบาสของโรงเรียนครับ
          ทำกิจกรรมเยอะขนาดนี้มีวิธีแบ่งเวลาอย่างไรบ้าง
          มีวันนึงช่วง 10 โมงถึงบ่ายโมงจะมาไปเรียนการแสดงกับพี่มะเดี่ยว หลังจากบ่ายโมงก็ไปซ้อมเต้น หลังสี่โมงถึงหกโมงซ้อมบาส ทุ่มนึงถึงสามทุ่มซ้อมวงโยฯ อันนี้คือวันปิดเทอม เหนื่อยมากแต่ว่าสนุกดี ผมเป็นคนชอบทำกิจกรรมครับ อย่างเล่นบาสมันสนุกได้ออกกำลังกายด้วย ซ้อมเต้นผมเป็นคนชอบฟังเพลงเต้นโรบ๊อท มีเคยไปประกวดไทยแลนด์ก๊อตทาเล้นท์เข้ารอบคัดเลือกด้วยนะ
          กิจกรรมทั้งหมดที่ทำมามีอันไหนที่รู้สึกว่าชอบมากเป็นพิเศษ
          มันสนุกคนละแบบเต้นก็จะสนุกตามอารมณ์เพลง ส่วนบาสก็จะเล่นกับเพื่อนเวลาเราจ่ายลูกแม่น เพื่อนทำแต้มได้ก็ยิ้ม ส่วนเรื่องวงโยธาวาทิตมันเป็นความสามัคคีเดินเล่นกันเป็นร้อยคนตามเพลง 8 นาที มันคนละแนวหมดเลย ชอบทุกอย่างครับ
          และการแสดงภาพยนตร์ล่ะชอบไหม
          ผมชอบเล่นหนังนะ เพราะจะสื่ออารมณ์ได้มากกว่าเล่นMV มันมีทั้งบทพูด มีผู้หญิง มีเพื่อน อะไรมากมาย
          ฝากผลงานภาพยนตร์
          มาดูเรื่อง Home ความรัก ความสุข ความทรงจำ เป็นหนังเรื่องแรกของผม ซึ่งผมแสดง ก็อยากให้มาดูกัน และยังมีทั้งนักแสดงรุ่นใหญ่อย่าง พี่เจมส์ เรืองศักดิ์, พี่นุ่น ศิรพันธ์, พี่ต่าย เพ็ญพักตร์ ฝีมือทางการแสดงคุณภาพทุกคน เป็นเรื่องที่พี่มะเดี่ยวกำกับเอง เขียนบทเองด้วย นักแสดงตั้งใจจริงและรวมถึงทีมงานตั้งใจกันอย่างมาก 19 เมษายนนี้นะครับ

FB on March 27, 2012, 01:35:02 PM
“ลิฟท์ สุพจน์” ดีใจร่วมงานผู้กำกับ “มะเดี่ยว” ครั้งแรก อ่านบทปุ๊ป! ตัดสินใจรับบทมือที่สามทันทีในโฮมฯ





ผ่านเลยไป (Official Ost.Home ค.รัก ค.สุข ค.ทรงจำ)
<a href="http://www.youtube.com/watch?v=FIKWx6_S-Wk" target="_blank">http://www.youtube.com/watch?v=FIKWx6_S-Wk</a>

          รู้จักกันมาก่อนหน้านี้ตั้งแต่สมัยเรียนชั้นมัธยมศึกษาที่จังหวัดเชียงใหม่ เป็นรุ่นพี่-รุ่นน้องที่เพิ่งจะได้มีโอกาสร่วมงานกันครั้งแรกระหว่าง รุ่นพี่ “ลิฟท์ สุพจน์ จันทร์เรือง” กับรุ่นน้อง “มะเดี่ยว ชูเกียรติ ศักดิ์วีระกุล” ในภาพยนตร์ล่าสุดเรื่อง “Home ความรัก ความสุข ความทรงจำ” เหตุเพราะเป็นรุ่นพี่สุดปลื้ม และประทับใจฝีมือทางการแสดงของรุ่นพี่ลิฟท์มานานแล้ว พอมีโอกาสจึงขอจีบรุ่นพี่มาร่วมแสดงในภาพยนตร์ครั้งนี้ ซึ่งหนุ่มลิฟท์ สุพจน์เองก็ห่างหายจากวงการแดงภาพยนตร์นานเกือบ 7-8 ปี นับว่าเป็นเรื่องที่น่ายินดีอย่างมาก แค่อ่านปุ๊ป!ก็ตัดสินใจรับแสดงทันที พร้อมทั้งยกนิ้วชมผู้กำกับรุ่นน้องมะเดี่ยว-ชูเกียรติ เป็นคนทำงานรุ่นใหม่ มากฝีมือที่อนาคตไกลอย่างแน่นอน

          “มะเดี่ยวส่งบทมาให้ลองอ่านดู พอได้อ่านแล้วรู้สึกว่าโทนหนังอบอุ่นดี แค่ได้อ่านบทผมก็พร้อมเล่นเลยครับ ไม่ต้องคิดอะไรมากมายเลย ซึ่งเป็นครั้งแรกครับที่ได้ร่วมงานกัน แต่กับตัวมะเดี่ยวเองก็เคยรู้จักกันมาบ้าง เพราะว่าเป็นรุ่นน้องที่โรงเรียน แล้วก็ได้ไปเจอกันตามงานต่างๆ ได้พูดคุยกันมาเรื่อยๆ จนได้มาร่วมงานกับมะเดี่ยวครั้งแรก รู้สึกว่าเป็นผู้กำกับที่น่ารักดี เป็นกันเองกับนักแสดง ไม่เครียดเท่าไหร่ จะเครียดในเรื่องโปรดักชั่น แต่เขาจะพยายามไม่ทำให้บรรยากาศเสียงลง เป็นคนรุ่นใหม่ที่มีฝีมือ และวางตัวอยู่ในวงการที่ดี ถึงเวลาทำงานก็ทำงานจริงจัง ดีครับอยากเห็นคนทำงานรุ่นใหม่เป็นแบบนี้”

          กับบทบาทที่ได้รับในภาพยนตร์ครั้งนี้ ถึงตัวละครจะมีคาแร็คเตอร์ที่ไม่หวือหวามากมายนัก เป็นเพียงผู้ชายธรรมดา ตอนเด็กเป็นอย่างไรโตขึ้นก็เป็นอย่างนั้น เป็นผู้ชายนิ่งๆ เงียบๆ แต่หนุ่มลิฟท์ สุพจน์ บอกว่าเป็นอีกตัวละครที่ขาดไม่ได้เช่นกัน นับว่าเป็นตัวละครสำคัญกับเนื้อเรื่องเป็นอย่างมากทีเดียว

          “ผมรับบท พี่เป๊ก เป็นผู้ชายที่อบอุ่น เกิดและโตที่เชียงใหม่ เรียนที่นี่ ทำงานที่นี่ แล้วก็ช่วงสมัยวัยเรียนเป็นรุ่นพี่ที่น้องๆ สาวๆ ชอบ โดยพี่เป๊กเคยเป็นแฟนเก่าของปรียา ที่เล่นโดยน้องนุ่น - ศิรพันธ์ ตอนเรียนคบกันเป็นแฟนแต่พอดีว่าปรียาย้ายไปเรียนต่อที่กรุงเทพ เราก็เลยห่างๆ กันไป และก็ได้กลับมาเจอกันอีกทีในงานเลี้ยงสละโสดของปรียา เรื่องราวและความรู้สึกที่เคยมีต่อกันมันก็หวนกลับมา ก็เลยกลายเป็นจุดพลิกที่ทำให้เกิดความรู้สึกสับสน เกิดเรื่องราวต่างๆ ในเรื่องนี้ขึ้น เหมือนเป็นตัวที่ทำให้เกิดปมบางอย่างแบบไม่ได้คิดหน้าคิดหลังอะไร ตอนที่อ่านบทและตัดสินใจเล่นเรื่องนี้ อ่านแล้วมันอินกับบทลุ้นกับเหตุการณ์ ลุ้นกับความรู้สึกของปรียา เสี่ยเล้ง (เจมส์-เรืองศักดิ์), เลี่ยม (พิช-วิชญ์วิสิฐ) แม้กระทั่งตัวพี่เป๊กเองถึงจะเป็นบทเรียบๆ ไม่มีอะไรเด่นมาก แต่ก็ขาดไม่ได้เลยเหมือนกัน ฉะนั้นบทพี่เป๊กเลยมีความสำคัญกับเนื้อเรื่องเป็นอย่างมากทีเดียว”

          Home ความรัก ความสุข ความทรงจำ ภาพยนตร์รักสุดซึ้ง ผลงานกำกับโดย ชูเกียรติ ศักดิ์วีระกุล ที่จะทำให้คุณต้องใช้ทั้งหัวใจ รู้สึก และสัมผัสถึงรักไปพร้อมๆ กัน 19 เมษายนนี้ หาคำตอบด้วยหัวใจคุณเองทุกโรงภาพยนตร์
« Last Edit: March 29, 2012, 05:01:04 PM by FB »

FB on March 29, 2012, 05:13:13 PM
“ต่าย เพ็ญพักตร์” ตัดสินใจ “ลืมรัก” แม้ต้องดราม่าและร้องไห้อย่างหนัก



          โคจรกลับมาร่วมงานกันอีกครั้งระหว่างนักแสดงหญิงคุณภาพ “ต่าย เพ็ญพักตร์ ศิริกุล” กับผู้กำกับมากฝีมือ “มะเดี่ยว ชูเกียรติ ศักดิ์วีระกุล” ในภาพยนตร์เรื่อง Home ความรัก ความสุข ความทรงจำ หลังจากที่เคยร่วมงานกันมาจากภาพยนตร์สั้นเรื่อง 12 ภาคก่อน 13 เกมสยอง แต่การกลับมาครั้งนี้มะเดี่ยว ผู้กำกับคัดสรรบทบาทที่เน้นว่าต้องเป็นต่าย เพ็ญพักตร์เท่านั้น กับบทหญิงสาวที่ต้องใช้ความรู้สึกเกือบทั้งชีวิตเพื่อลืมรักในครั้งนี้ โดยต่าย เพ็ญพักตร์ เล่าถึงการกลับมาร่วมงานกับมะเดี่ยวอีกครั้ง พร้อมทั้งเล่าถึงการรับบทหนักในครั้งนี้ว่า

          “เคยร่วมงานกับมะเดี่ยวมานานมาก จนกระทั่งเขาทำเรื่องนี้ก็โทรมาหาพี่บอกว่ามีบทที่อยากให้พี่เล่น มะเดี่ยวบอกว่าไม่มีใครเล่นต้องเป็นพี่เท่านั้นบทนี้ เขาบอกว่าด้วยความที่เราเป็นคนพื้นเพเดียวกันอยู่แล้ว อะไรที่เราทำอยู่ด้วยกันก็จะเข้าใจกันง่ายขึ้น เรื่องความเป็นอยู่เรื่องความเข้าใจในวัฒนธรรมและอารมณ์ของคนเชียงใหม่ เราจะเข้าใจมันได้ลึกซึ้ง ในเรื่องนี้ก็จะรับบทเป็น บัวจัน ผู้หญิงที่สูญเสียความรัก สูญเสียสามี แล้วต้องใช้ชีวิตอยู่คนเดียว จัดการสิ่งต่างๆ อยู่คนเดียวต่อจากสามีที่ตายไป มีความรักต่อสามีมาก หลังจากที่สามีตายไปก็จะรู้สึกห่วงหาอาวรณ์ ว่าเขาตอนนี้เป็นยังไงบ้าง จะไปเกิดหรือยังอะไรพวกนี้ ดูภายนอกเหมือนเป็นคนเข้มแข็งต้องจัดการปัญหาทุกอย่างสารพัด แต่พอได้อยู่กับตัวเองเพียงลำพังจะถลำลึกจมอยู่กับความคิดถึงความหลังที่มีต่อสามี มีบางซีนที่เล่นคนเดียวแล้วก็ต้องนึกถึงสามี นึกถึงอารมณ์ของหนังว่าวันนั้นเราสูญเสียสามี เป็นซีนที่บอกมะเดี่ยวว่ามันยากมากเหมือนกันนะ รับบทดราม่าหนักและต้องร้องไห้”

          ด้านมะเดี่ยว ผู้กำกับ ยอมรับว่าประทับใจฝีมือทางการแสดงของต่าย เพ็ญพักตร์อย่างมาก จนในที่สุดได้มีโอกาสร่วมงานเต็มๆ ในภาพยนตร์รักครั้งนี้ โดยเล่าว่า

          “สำหรับพี่ต่ายเคยร่วมงานกับเราตอนหนังเรื่อง12 ซึ่งเป็นภาคก่อนหน้า13เกมสยอง ก็ชอบพอกันมาตั้งแต่ตอนนั้นแล้วแหละ มีโอกาสก็จะหาหนังแล้วก็ทำงานด้วยกัน แต่คราวนี้ได้ทำงานกับแบบเต็มๆ พี่ต่ายเขาเก่งประทับใจพี่เขาเป็นคนน่ารัก ทุกครั้งที่เขาแสดงเราก็จะเห็นการแสดงดีๆ ดูหนังเรื่องนี้แค่ดูการแสดงก็คุ้มแล้วนะ และเรื่องความดราม่าของพี่ต่ายนี่ไม่ต้องพูดถึงเลย มืออาชีพมาก วิธีการเล่าเรื่องที่ตัดสลับไม่ได้เรียงเวลา ตัดสลับโลกความจริง ความฝัน และห้วงของความทรงจำมาอยู่ในนั้น เป็นหลายเลเยอร์เป็นวิธีการเล่าเรื่องอีกแบบหนึ่ง เป็นรสชาติใหม่ๆ ที่อยากให้ลองเข้าไปดู และคิดว่าคนดูจะได้ดื่มด่ำกับความงามของมัน เหมือนดูห้วงอารมณ์ ห้วงความทรงจำของคน”

Home ความรัก ความสุข ความทรงจำ ภาพยนตร์รักที่จะทำให้ทั้งหัวใจ รู้สึก และสัมผัส ถึงรัก มากขึ้น หาคำตอบด้วยหัวใจคุณเอง 19 เมษายนนี้ ทุกโรงภาพยนตร์

FB on April 05, 2012, 09:22:05 AM


“นุ่น ศิรพันธ์” แอบบ่น อู้กำเมืองยากกว่าซีนดราม่า ดึง “พิช วิชญ์วิสิฐ” แอ็คติ้งโค้ชติวเข้มส่วนตัว
 
          เหตุเพราะต้องมารับบท “ปรียา” สาวเหนือที่กำลังจะตัดสินใจแต่งงานในภาพยนตร์เรื่อง Home ความรัก ความสุข ความทรงจำ จึงทำให้ “นุ่น-ศิรพันธ์ วัฒนจินดา” ต้องเตรียมตัวเข้าคอร์สติวเข้มเรื่องภาษาเหนืออย่างด่วน ถึงแม้จะเกิดและเรียนที่เชียงใหม่ แต่ก็ไม่ได้อู้กำเมืองอย่างจริงจังนัก จึงนับว่าเป็นอุปสรรคสำหรับสาวนุ่นในการแสดงหนังครั้งนี้อย่างมาก งานนี้สาวนุ่นต้องเรียกขอตัวช่วย ผู้กำกับมะเดี่ยว ก็ใจดีจัดให้ส่ง “น้องพิช วิชญ์วิสิฐ หิรัญวงษ์กุล” ทำหน้าที่แอ็คติ้งโค้ชพิเศษ ติวเตอร์ด้านภาษาเหนือให้โดยทันที โดยนุ่นเล่าถึงอุปสรรคความยากของภาษาเหนือในครั้งนี้ว่า

          “ถึงนุ่นจะเกิดที่เชียงใหม่แต่ก็ไม่ได้ฝึกอู้กำเมืองมาตั้งแต่เด็ก และในเรื่องนี้ต้องการสำเนียงแบบคนเชียงใหม่จริงๆ วันแรกที่นุ่นมาเล่นเครียดมากพูดคำเดียวก็ยังไม่ผ่านเลย 10 กว่าเทคได้ค่ะ มันก็เลยกลายเป็นความกังวล พอเข้าฉากเราก็จะพะวงทั้งสองอย่างไหนจะความรู้สึกของตัวละคร ไหนจะต้องออกสำเนียงให้ได้อีก แยกประสาทกันน่าดู แล้วมะเดี่ยวผู้กำกับ เขาเป็นคนเชียงใหม่แท้ๆ ถ้าหากนุ่นเพี้ยนไปนิดเดียวหูเขาจะไวมากเลยค่ะ ก็โชคดีมากที่นุ่นได้น้องพิช มาเป็นแอ็คติ้งโค้ชทางภาษาก่อนเข้าฉาก (หัวเราะ) เพราะน้องพิชจะแม่นในเรื่องของภาษาคนเชียงใหม่มากกว่านุ่นเยอะ เขาก็จะเป๊ะมากไม่ต่างอะไรจากมะเดี่ยวเลย นุ่นต้องเปิดบทคุยกับน้องพิชแล้วให้น้องพิชสอน คือมะเดี่ยวจะสอนรอบนึงแล้วส่งมาให้น้องพิชมาประกบอีกรอบ น้องพิชก็จะคอยดูสำเนียงถูกต้องหรือยัง แล้วน้องพิชก็จะอดทนกับพี่นุ่นมาก เพราะพี่นุ่นเสียงแปร่งมาก (หัวเราะ)

          สำหรับในเรื่อง Home น้องพิชมารับบทเป็นน้องชายของนุ่นเลยทำให้เราร่วมงานกันง่ายขึ้นด้วยค่ะ สนิทกันเลย ก่อนหน้านี้นุ่นเองก็เคยดูน้องพิชเล่นเรื่องรักแห่งสยามมาแล้ว และก็รู้ว่าน้องพิชเป็นเด็กมีความสามารถในการแสดงและดนตรีคนนึง น้องพิชเป็นผู้มีพระคุณ เป็นคนที่ช่วยสอนแอ็คติ้งโค้ชทางภาษา (ยิ้ม)”

          Home ความรัก ความสุข ความทรงจำ ภาพยนตร์รักที่จะทำให้ทั้งหัวใจ รู้สึก และ สัมผัส ถึง “รัก”...หาคำตอบด้วยหัวใจคุณเอง 19 เมษายนนี้ ทุกโรงภาพยนตร์

FB on April 06, 2012, 03:07:13 PM


บทสัมภาษณ์: มะเดี่ยว ชูเกียรติ ศักดิวีระกุล ผู้กำกับภาพยนตร์เรื่อง “Home ความรัก ความสุข ความทรงจำ”

          อะไรคือแรงบันดาลใจในการทำภาพยนตร์เรื่องนี้
          หลังจากหนังรักแห่งสยามเสร็จก็คือได้ทำหนังสั้น ทำไปทั่วเรื่อยๆ กันไป แล้วตอนนี้เราอายุ 30 แล้ว ถ้าเป็นทั่วๆ ไปในชีวิตการทำงานเขาคงเรียกว่าเป็นแบบครึ่งชีวิตแล้ว มันเหมือนกับว่ามันมีเรื่องราวเยอะที่เราอยากจะเล่า โดยปกติเราจะชอบเขียนบันทึก เขียนอะไรแบบเรื่องของคนนั้นคนนี้ที่เราได้เจอมาในชีวิตเหมือนเป็นเรื่องสั้นเอาไว้ แต่พอดีเราไม่ใช่นักเขียน เราเป็นคนทำหนัง ซึ่งในแต่ละเรื่องมันคือบทบันทึกที่เราจดจำ เราพูดถึงผู้คน เหตุการณ์ สถานที่ที่เราจดจำได้ในชีวิตเราที่เราไม่ลืม หลายคนได้จากเราไป หลายคนยังมีชีวิตอยู่ แล้วก็ยังอยู่กับเราอยู่ตอนนี้ ดังนั้นมันจึงเป็นบทบันทึกที่เราทำเพื่อให้เขาได้รู่ว่าชีวิตเราผ่านอะไรมาและทำให้เรามีวันนี้ได้ก็เพราะว่าคนเหล่านี้

          อย่างนั้นเรื่องนี้ก็เหมือนเป็นเรื่องราวของส่วนหนึ่งในชีวิตจริงของมะเดี่ยวเลยหรือเปล่า
          ค่อนข้างจะเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตจริง หนังที่ทำมาทุกเรื่องก็มีแบบแรงบันดาลใจที่เราไปเจอมาในชีวิตจริง เพียงแต่ว่าตอนเป็นรักแห่งสยาม คล้ายกับว่ามันเป็น fiction มีความเป็นนิยาย มีความประโลมโลกอยู่เยอะ แต่อันนี้จะมีส่วนผสมของความที่เรียกว่ามันจริง realistic แล้วก็เป็นในส่วนของกวีไปเลย แต่ว่าไม่ใช่ว่าแบบจะดูแล้วไม่สนุก เอาความจริงก่อน realistic มันคืออะไร realistic คือพอเราโตขึ้นความเพ้อฝันความโรแมนติก ที่มันเคยอยู่ในชีวิตเรามันก็จะน้อยลง เราจะมองโลกในแง่ของความจริงมากขึ้น ในแง่ที่มันเกิดขึ้นเพราะเหตุใด สิ่งที่มันมากระทบชีวิตเรามันมีเหตุและผล และมันนำพาเราไปสู่สิ่งนั้นสิ่งนี้
          ส่วนกวีที่ว่ามันคือความงาม มันไม่ได้แปลว่าดูไม่รู้เรื่องเหมือนเป็นหนังเมืองคานส์อะไรประเภทนั้น มันคือความงานในชีวิต ความงานของความโศกเศร้า ความสุข ความสิ้นหวัง ทุกสิ่งทุกอย่างมันมีความงามอยู่ในนั้น การพลัดพรากจากลาแม้มันจะดูเศร้าสร้อย แต่ว่าเราถ่ายทอดออกมาให้มันดูงดงาม อย่างในชีวิตเราตอนปี 2009-2010 คุณพ่อเสีย... แม่ก็ได้เขียนบทกลอน คือ เราจะเห็นหลายๆ คนที่เสียไป ในงานศพจะมีหนังสือกลอนที่รำพึงรำพันถึงคนที่จากไป แล้วเราก็อ่านกลอนบทนั้นเรารู้สึกว่าความพลัดพรากความเศร้าโศกมันเป็นแรงบันดาลใจที่ทำให้เราทำสิ่งสวยงามได้เหมือนกัน นี้ก็คือสิ่งที่บอกว่ามันคือความงาม

          ทำไมถึงเลือกเอาความทรงจำเหล่านี้มาทำเป็นบทภาพยนตร์ครั้งนี้?
          จริงๆ ที่ทำมันไม่ใช่ชีวิตตัวเองซะทั้งหมด แต่มันเป็นชีวิตของคนอื่นที่เราไปเจอมา บางจังหวะอาจจะมาจากประสบการณ์ชีวิตของเรา เป็นเพราะเรามาถึงเลข 30 มันเหมือนหลักไมล์ในชีวิตที่เราต้องจดบันทึกเอาไว้ว่านี่คือครึ่งชีวิตของเรา สิ่งที่เราเจอมา สิ่งที่เป็นประสบการณ์ที่ย้อนกลับไปตั้งแต่อยู่สมัยมัธยม สมัยเริ่มจดบันทึกอะไรได้ ย้อนกลับไปอีกตั้งแต่วัยเด็กที่มันมีความทรงจำอะไรแบบพร่าเลือนอยู่ ทุกอย่างมันใส่ไว้ในหนังเรื่องนี้ เราคิดว่าเหมือนทำให้ตัวเองมากกว่า (หัวเราะ) แต่ว่ามันไม่ใช่ทำให้ตัวเองโดยที่ไม่ได้จะเป็นหนังที่คนจะดูไม่รู้เรื่อง เราว่าทุกคนมีประสบการณ์ร่วมในสิ่งต่างๆ ที่เราได้เจอมาเหมือนกัน มันไม่ใช่ประสบการณ์ที่ส่วนตัวอะไรมากมาย เราพูดถึงความรัก พูดถึงการสูญเสีย ความพลัดพราก เราผ่านความเลวร้ายในชีวิตมาเยอะแยะมากมาย ความฝัน ความหวังที่มันแตกพัง เราทุกคนต่างเคยเจอ แล้วเราก็แบบเหมือนเคยมีประสบการณ์ที่ค่อยๆ เก็บเศษที่มันแตกร้าวต่างๆ พยายามต่อกันใหม่ให้มันเป็นความหวังครั้งใหม่ แล้วดำเนินชีวิตต่อไป ทุกคนต้องผ่านเหตุการณ์แบบนี้มาทั้งนั้น เช่นกันนี้คือส่วนของเหตุการณ์ในชีวิตที่เราคิดว่ามันสอดคล้องกับผู้คน มันไม่ได้เป็นประสบการณ์ส่วนตัวที่ใครเข้าไม่ถึงอย่างที่เข้าใจว่าจะเป็นแบบนั้น...ไม่ใช่


 
          เรื่องนี้มันเป็นเสี้ยวหนึ่งในประสบการณ์ของมะเดี่ยวที่รู้สึกว่าประทับใจที่สุดตลอดระยะ 30 ปีนี้หรือยัง
          30 ปีที่ผ่านมานี้คงเป็นเรื่องของคนที่เราไม่ลืม มันก็มีเป็นเรื่องของคนที่เราเคยรัก คนที่เคยจากเราไป มันมีทั้งคนที่เราเคยรักที่ยังอยู่แต่ก็ไม่ใช่คนในอดีตที่เราเคยรู้จัก เหมือนเราเคยชอบใครตอนอยู่มัธยมเมื่อ10ปีก่อนวันเวลาก็พลัดพรากพวกเราจากกันไป กลับมาเจอกันทุกวันนี้มันก็ไม่ใช่คนเดิมที่เราเคยชอบแล้ว เพียงแต่ว่าเราก็คิดถึงคนๆ นั้นที่เราจดจำมันได้ในวัยของเรา แล้วก็มีประสบการณ์ที่มีความตาย การสูญเสียบุคคลที่เป็นที่รักแล้วก็ต้องพยายามดำเนินชีวิตต่อไป แม้แต่การแต่งงานมันเป็นการเฉลิมฉลองนะ แต่จริงๆ แล้วส่วนหนึ่ง อีกด้านหนึ่งมันคือการโบกมือลาอดีตต่างๆ ที่เคยเกิดขึ้น โบกมือลาชีวิตเก่าๆ เพื่อเริ่มต้นชีวิตใหม่ ในความสุขของการแต่งงาน มันมีด้านที่เราจะต้องบ๊ายบายชีวิตคนโสด ชีวิตสนุกสนาน หรืออดีตที่ฝังใจเพื่อเริ่มอะไรใหม่ๆ นี้แหละมันก็รวมๆ แล้วมันเรียกได้ว่าเป็น 3 เหตุการณ์ที่ตกผลึกมากกว่า คือเราก็ครุ่นคิดถามว่าแบบ 30 ปีเราเรียนรู้อะไรเกี่ยวกับชีวิตเกี่ยวกับความรัก เกี่ยวกับการเติบโตมาบ้าง มันก็ออกมากลายเป็นเรื่องนี้

          โลเกชั่นที่เลือกถ่ายทำภาพยนตร์ครั้งนี้ คือ บ้าน ของมะเดี่ยวเอง
          เราถ่ายทำเรื่อง “Home ความรัก ความสุข ความทรงจำ” ที่เชียงใหม่ทั้งเรื่องเลย 100% ไม่มีถ่ายที่อื่นเลย อย่างที่บอกคือมันเป็นบ้านของเรา ของมะเดี่ยวเอง มันเป็นเรื่องของความทรงจำที่อยู่ที่นั่น ดังนั้นมันไม่มีที่ไหนดีไปกว่าเชียงใหม่แล้วแหละ แล้วมันก็จะไม่เหมือนหนังที่ถ่ายที่เชียงใหม่เรื่องอื่น ที่ใช้landmark จริงๆ เชียงใหม่เป็นเมืองที่สวย มีเสน่ห์ มีศิลปะ มีความโรแมนติกอะไรอยู่ในนั้น แต่เราไม่ได้เสนอเชียงใหม่ในด้านนั้น แต่เรื่องนี้เราพูดถึงคน คนในเชียงใหม่ จิตวิญญาณของผู้คนที่อยู่ที่นั่น เป็นสิ่งที่เราเห็นและเติบโตมาตรงนั้น เป็นเรื่องของผู้คน บรรยากาศ ภาษาพูด แต่อย่าเข้าใจว่าพูดภาษาเหนือแล้วจะไม่เข้าใจ ภาษาเหนือเป็นภาษาที่เข้าใจง่าย มีซับขึ้นให้ (หัวเราะ) มันไม่ได้เข้าใจยากถึงขั้นไม่รู้เรื่อง สำหรับเราเองมันเป็นภาษาที่มีเสน่ห์ ถ้าเป็นเพลงก็เหมือนมีเมโลดี้ที่สวย แล้วก็มีความนุ่นนวลอ่อนหวานอยู่ในนั้น ต้องลองไปดู

          ภาษาที่ใช้เหนือล้วนๆ เลยด้วยหรือเปล่า
          ใช่ แต่อาจจะไม่ใช่ทุกตอน ต้องมีเทรนกันในเรื่องของภาษาพอสมควร อย่างนุ่นเขาอยู่ลำปางสำเนียงจะไม่ใช่คนเชียงใหม่แล้ว แล้วก็มาอยู่กรุงเทพฯ นานจะมีเพี้ยนบ้าง ต้องเอาให้เป๊ะให้ดูเป็นคนเชียงใหม่จริงๆ แต่ในหนังก็จะมีเป็นคนลำปาง คนเชียงรายบ้าง เขาพูดสำเนียงของเขาไปเพื่อความสมจริง อย่างพี่ต่ายก็มาอยู่กรุงเทพฯนาน พอแป๊ปเดียวพี่ต่ายก็จูนกันไวเหมือนมีคีย์อยู่ในหัวแล้ว คำบางคำหรือไวยากรณ์ที่มันเป็นภาษาเหนือๆ ก็ต้องรื้อฟื้นเอามาพูดกัน ให้รู้สึกว่าคนเหนือคนเมืองอู้กันจริงๆ แต่ทั้งหมดฟังไม่ยาก เข้าใจได้ง่ายมาก

          เล่าเรื่องราวให้ฟังหน่อยว่าเกี่ยวกับอะไร
          มีหลากหลายเรื่องราวของความรัก เริ่มจากเรื่องของเด็กมัธยม 2 คน คนหนึ่งอยู่ม.6 ที่กำลังจะจบ อีกคนอยู่ม.3 ที่กำลังจะจบการศึกษาเหมือนกัน คือทุกคนมีสถานะที่จะต้องจากโรงเรียนนี้ไปเหมือนกัน ไอ้คนที่อยู่ม.6 มาถ่ายรูปโรงเรียนตอนกลางคืนเพื่อเอาไปทำหนังสือรุ่น คือมีไอเดียว่าโรงเรียนตอนมีคนอยู่มันไม่ขลัง แต่ตอนไม่มีคนอยู่มันขลัง มันเหมือนเฟรมเปล่าๆ ที่ให้คนสามารถใส่เรื่องราวตัวเองไปได้ ก็เลยมาถ่ายรูปที่โรงเรียนตอนกลางคืน อีกคนหนึ่งเป็นนักบาส เด็กม.3 ที่ย้ายโรงเรียนมาตลอด แล้วก็มาจบม.3 ที่นี้แล้วก็ต้องย้ายไปเรียนที่กรุงเทพฯ อีก ทั้งสองคนมาเจอกัน ทั้งคู่ก็เดินถ่ายรูปในโรงเรียน ได้คุยกันเรื่องชีวิตที่ผ่านมาในโรงเรียนนี้ มันก็เป็นการพูดถึงอดีต แล้วมันก็มีบ้างอย่างที่เชื่อมถึงกันเกิดขึ้น เรื่องนี้เราพูดถึงช่วงชีวิตที่เรามีเพื่อนมีชีวิตของวัยเรียนที่น่าจดจำ มีมิตรภาพที่เกิดขึ้นดีๆ ในเวลาอันสั้นของวัยเรียน 2 คน


 
          นักแสดงหน้าใหม่ทั้ง น้องแจ๊คและน้องมาร์ช ทั้งสองคนนี้เป็นยังไงบ้าง
          นักแสดงใหม่ของเราผ่านการคัดเลือกมาจากนักแสดงนับร้อยนับพัน แต่ทุกครั้งที่เราทำหนัง คือถ้าเกิดเป็นนักแสดงใหม่ก็ต้องแคสติ้งแบบหนักหนาสาหัสอยู่แล้ว เพื่อที่จะได้คนที่มันดูแล้วใช่ แล้วยิ่งเป็นคนที่มีความใกล้เคียงกับเนื้อเรื่องเราก็ว่าน่าสนใจ แล้วเราเลือกคนที่มีการแสดงที่เป็นธรรมชาติมากที่สุด มีเสน่ห์มากที่สุดเท่าที่เราจะหาได้ ซึ่งน้องทั้ง 2 คนกว่าจะผ่านการแคสติ้งเข้ามาจากหลายๆ รอบได้ก็ไม่ง่ายเท่าไหร่นัก พอผ่านมาแล้วก็ต้องมีการ workshop และหนังเรื่องนี้ไม่มีอะไรเลย นอกจากเด็ก 2 คนนี้ ย้ำ! ว่าทั้งเรื่อง ถ้าเกิดทั้งสองคนเล่นไม่ดีจะเอาไม่อยู่ เพราะต้องมีบทพูดที่ยาวมาก แล้วก็ต้องเป็นตัวตนของคนๆ นั้นด้วย คือมันไม่สามารถจะท่องแต่บทได้ มันต้องเอาตัวตนไปเป็นคนๆนั้นจริง แล้วเหมือนพูดเรื่องของตัวเอง มันใช้เวลาทำงานด้วยกันค่อนข้างนาน กว่าจะได้ออกมาขนาดนี้ ซึ่ง 2 คนนี้เข้าขากันมาก พวกเราทำการบ้านด้วยกันมาอย่างหนักหนาสาหัสกว่าเราจะได้เห็นสองคนนี้เล่นด้วยกัน

          เห็นจุดเด่นอะไรของน้องแจ็ค และของน้องมาร์ชจับทั้งคู่มาเล่นด้วยกัน
          ตัวละครตัวแรก คือ “เน” นำแสดงโดย “น้องมาร์ช” จุฑาวุฒิ ภัทรกำพล น้องมาร์ชตามคาแรกเตอร์ต้องเป็นคนถ่ายรูปเก่งมีความสามารถ มีความมั่นใจสูง ไม่เอาใคร ไม่เอาเพื่อนอะไรสักคนเลย จนหลายๆ คนทั้งโรงเรียนหมั่นไส้ ไม่มีสังคม ถึงแม้ว่าเนจะมีความมั่นใจสูงแต่ลึกๆ เขามีความเบาะบางอยู่ มาร์ชนี้มีอะไรที่เป็นคนแบบนั้น มีการพูดจาที่ดูว่าเย่อหยิ่งจองหองได้ แต่ว่าในขณะเดียวกันก็เป็นคนที่ดูมีความอ่อนไหว แล้วเป็นหนังที่ต้องเล่นด้วยความรู้สึกลึกๆ ข้างใน ก็ค่อนข้างจะยากสำหรับเด็กใหม่ แต่ว่ามาร์ชก็อดทนและสามารถทำในสิ่งที่เราต้องการได้แม้จะใช้เวลานานมากก็ตาม
          ส่วน “แจ็ค” กิตติศักดิ์ ปฐมบูรณะ เล่นเป็น “บีม” เป็นเด็กม.3 ที่ชั่งพูดชั่งเจรจา ซุกซนตามประสาเด็กม.ต้นทั่วไป เป็นนักกีฬาด้วย อันดับแรกพื้นฐานเลยแจ็คเป็นนักกีฬาบาสอยู่แล้ว ดังนั้นไม่มีปัญหาเรื่องความน่าเชื่อถือของแอคติ้งเวลาเล่นบาส เขาดูเป็นนักกีฬาได้จริงไม่เสแสร้ง แต่ปัญหาอยู่ตรงที่ว่าแจ็คไม่ใช่คนพูดมากเหมือนในเรื่อง ในเรื่องนี้พูดน้ำไหลไฟดับเลย แต่แจ็คก็ทำได้และผ่านมันไปได้ด้วยดี
อีกอย่างหนึ่งคือตัวละครอย่างบีม คือมันดูเหมือนไม่มีที่มาที่ไป มันจะค่อยๆ เฉลย ค่อยๆ บอกว่าไอ้นี่เป็นใครมาจากไหน การเล่นแบบอมพะนำคาแรกเตอร์ของตัวเองว่าจะเป็นใครก็ไม่รู้ อะไรยังไงก็ตามแต่ ดังนั้นมันต้องใช้ความกะล่อนของการเล่น คือมันเป็นเสน่ห์ของละครตัวนี้ การแสดงที่ต้องหว่านเสน่ห์ โปรยเสน่ห์ กวนนิดๆ ซึ่งถ้าเป็นเด็กธรรมดาทั่วไปบทยังนี้จะยากมาก คือมันไม่ใช่การเก็กหล่อมันไม่ได้เป็นคนหล่อแต่มันต้องหว่านเสน่ห์ แล้วยิ่งเด็กม.ปลาย เด็กอายุเท่านี้จะไม่ค่อยเข้าใจการหว่านเสน่ห์ การทำหน้ากรุ้มกริ่ม การเล่นออกมาจากอินเนอร์ จะยากมากสำหรับบทอย่างนี้แต่แจ็คก็ทำได้

FB on April 06, 2012, 03:09:31 PM
ฉากที่ประทับใจของความรักของ เน และ บีม
          มีเยอะนะ แต่ลืมพูดถึงตัวละครอีกตัวหนึ่งในหนังเรื่องนี้คือ “โรงเรียน” โรงเรียนเหมือนกับเป็นตัวละครอีกตัวหนึ่งเป็นโรงเรียนที่เราเรียนอยู่จริงคือ โรงเรียนมงฟอร์ตวิทยาลัย ในหนังเราจะเห็นภาพกว้างเยอะมาก เห็น landscape ของโรงเรียนที่สวยมาก แต่อีกอย่างหนึ่งคือเราพูดถึงโรงเรียนในแง่ของความทรงจำ ในแง่พื้นที่ที่มีความทรงจำของผู้คนอยู่ในนั้นเต็มไปหมดกี่รุ่น กี่ยุค กี่สมัย ผ่านมาและจากไป คือมันเป็นเสน่ห์อย่างหนึ่งของโรงเรียน แล้วโรงเรียนก็เหมือนโอบล้อม 2 คนเอาไว้ให้เหลือตัวเล็กนิดเดียว ให้มันเข้าใกล้กัน นี่เป็นตัวละครอีกตัวสำหรับหนังเรื่องนี้ โรงเรียนก็เหมือนบ้านที่สอง รู้สึกว่าเป็นฉากถึงตอนเช้า ใกล้สว่างแล้วน้องเขาก็นั่งคุยกันว่าอนาคตจะทำอะไร คือทั้งคู่เล่นดี บรรยากาศมันดีจริงๆ ถ่ายให้เป็นตอนเช้า แต่ถ่าย 2 วันเลยนะฉากนี้ มันต้องเอาช่วงเวลาที่แสงมันก้ำกึ่งจะเช้าจะเย็น มันไม่ได้แบบกลางวันสว่างๆ ซึ่งแสงออกมาสวยมาก ทั้งคู่นั่งคุยกันแล้วแบบโลกพึ่งตื่น โรงเรียนพึ่งจะตื่น ผู้คนเริ่มออกมา แต่ 2 คนนี้ยังเหมือนอยู่ในโลกของตัวเองอยู่ มันสวยงามดีฉากนี้เป็นฉากประทับใจเลย

          เรื่องราวความรักที่พี่ต่าย เพ็ญพักตร์ ถ่ายทอดในภาพยนตร์เรื่องนี้เป็นอย่างไร
          เรื่องก็มีอยู่ว่า พี่ต่าย (เพ็ญพักตร์ ศิริกุล) เล่นเป็น “บัวจัน” เป็นแม่หม้ายสามีตาย สามีเป็นโรคมะเร็งในกล่องเสียงแล้วเขาต้องผ่าเอากล่องเสียงออก ดังนั้นช่วงเวลา 2 ปีก่อนที่สามีจะตายสื่อสารกันด้วยการเขียน เขียนส่งเขียนถาม-ตอบกัน เลยกลายเป็นว่าพอตายไปแล้วไอ้จดหมายก็ยังกองอยู่เต็มบ้านเลย เธอก็มีชีวิตอยู่ท่ามกลางความทรงจำที่เหลืออยู่ แล้วคนรอบตัวแต่ละคนก็มีแต่จะสร้างความปวดหัวให้แก่นาง ไม่ว่าจะหลานที่อยู่ด้วย ลูกที่ไปทำงานที่อื่น แล้วก็พวกคนที่ทำงานด้วยกัน การมีชีวิตอยู่ต่อไปมันอยู่ในระหว่างความทรงจำที่เหลืออยู่กับเก็บทุกอย่างแล้วเริ่มต้นใหม่ อันนี้แหละเป็นสิ่งที่เธอกำลังต่อสู้อยู่ แล้วมันก็มีความห่วงหาอาวรณ์คนที่ตายจากไป บางทีก็รู้สึกเหมือนกับว่าเขาไม่ได้จากไปไหน เขาอยู่ในอีกโลกหนึ่งที่เรามองไม่เห็น หรือว่ายังวนเวียนอยู่ใกล้ๆ ตัวเรา
          ผู้หญิงคนนี้อยู่ระหว่างทางเลือกในชีวิตที่ว่ามีชีวิตอยู่ต่อไป เดินต่อไปข้างหน้า หรือการที่จมอยู่กับอดีต...คอยฝันถึงคนรักครั้งแล้วครั้งเล่า แล้วความทุกข์ก็จะกลับมาเยือนทุกครั้ง จู่โจมโดยไม่รู้ตัว คือเหมือนกับว่ายังตัดไม่ขาด แต่ในการตัดไม่ขาดก็มีความสุขของนางอยู่ เพราะนางก็จะรู้สึกว่าคนรักยังไม่ไปไหน

          คาแรกเตอร์จริงๆ ของ “บัวจัน” เป็นยังไง
          พี่ต่าย เพ็ญพักตร์ ศิริกุล เล่นเป็น “บัวจัน” เป็นผู้จัดการรีสอร์ท เป็นหญิงหม้ายวัยเกือบปลายคนแล้ว เป็นคนที่เข้มแข็ง ภายนอกเหมือนจะเข้มแข็งแต่ในใจมันมีความโดดเดี่ยวอยู่ ความรู้สึกที่เคยมีคนอยู่ด้วยกันมาตลอดชีวิตแล้ววันหนึ่งมันไม่มีอีกแล้ว ก็ต้องทำแบบไม่มีอะไรเกิดขึ้น ยิ่งนานไปมันก็เริ่มมีความรู้สึกในเรื่องของความเชื่อ ยิ่งนานไปยิ่งคิดอะไรได้ขึ้นมาเรื่อยๆ คิดถึงการกลับมาของสามีในรูปแบบต่างๆ บัวจันก็จะจินตนาการไปแล้วก็กลายเป็นคนยืดติดกับสิ่งๆ นี้
          บัวจันกับสามีเคยทำอะไรมาด้วยกันตลอดในชีวิตนี้ มีงานทำก็เหมือนมีส่วนร่วมในกันและกันมาโดยตลอด แต่เวลาผ่านไปบางอย่างมันก็หลงลืมไปบ้างในส่วนงานเก่าๆ ของสามี บางครั้งบัวจันก็คิดว่าคิดว่าตัวเองเข้มแข็งมากพอแล้ว บางทีความรู้สึกอย่างนี้เราจะไม่เข้าใจจนกว่าเราจะได้เห็นการสูญเสียจริงๆ ไป
          เคยได้ยินคำว่าอยู่ด้วยกันจนวันตายไหม แต่สุดท้ายมันไม่ใช่ มันอยู่ด้วยกันจนใครสักคนตายจากเราไป แล้วหลังจากนั้นมันต้องอยู่ให้ได้ อันนี้มันคืออะไรที่เป็นความจริงมาก มันไม่ใช่ความโรแมนติกแต่มันก็มีความสุขในความเศร้านะ

          มะเดี่ยวเคยร่วมงานกับพี่ต่ายมาแล้ว พอมาเรื่องนี้เป็นยังไงบ้าง
          พี่ต่ายเคยร่วมงานกับเราตอนหนังเรื่อง 12 ซึ่งเป็นภาคก่อนหน้า 13 เกมสยอง ก็ชอบพอกันมาตั้งแต่ตอนนั้นแล้วแหละ มีโอกาสก็จะหาหนังแล้วก็ทำงานด้วยกัน แต่คราวนี้ได้ทำงานกับแบบเต็มๆ พี่ต่ายเขาเก่งประทับใจแกน่ารัก ทุกครั้งที่แกแสดงเราก็จะเห็นการแสดงดีๆ ดูหนังเรื่องนี้ดูการแสดงก็คุ้มแล้วนะ (หัวเราะ)
          สิ่งที่ประทับใจมีเยอะนะ อย่างเรื่องนี้เป็นหนังที่พูดภาษาเหนือทั้งเรื่องเลย ภาษาล้านนา-เชียงใหม่ –เชียงรายด้วย คืออย่างที่บอก “Home” คือพูดถึงบ้าน เราก็รู้สึกว่าหนังเรื่องนี้มันพูดถึงที่ๆ เราเติบโตมาทั้งชีวิต มันก็คือเชียงใหม่ แล้วคนในความทรงจำของเราก็พูดจากันแบบนี้ เรื่องนี้เลยให้พูดภาษาเหนือกันไป เป็น 10 กว่าปีแล้วมั้ง ที่ไม่มีหนังที่พูดภาษาเหนือกันล้วนๆ ขนาดนี้มาก่อน
          แล้วก็มีความประทับใจอยู่หลายอย่างนะมีอยู่ฉากนึงเกี่ยวกับฉากที่พี่ต่ายนั่งรำพึงรำพันถึงอดีตที่ผ่านมาแล้วก็วอนขอให้สามีจากไป ที่มาที่ไปของฉากนี้มันก็คือ ในห้วงเวลาที่สามีแกกำลังจะสิ้นลม มีเครื่องช่วยหายใจ มีกราฟมีอะไรพะรุงพะรัง และในช่วงเวลานั้นบัวจันก็จะต้องไป-กลับที่บ้านเคยอยู่ ไปทุกที่ๆ มีความทรงจำตรงนั้นอยู่ ซึ่งเป็นความเจ็บปวดนะ...คนเคยอยู่กันมาทั้งชีวิต พอเขาไปแล้วตัวเองก็อยู่อย่างอาลัยอาวรณ์ ฉากนี้คือฉากที่ประทับใจมากๆ ร้องไห้เลย

          เราก็จะได้เห็นพี่ต่ายเล่นดราม่าหนักๆ ในเรื่องนี้กันอีกครั้งใช่ไหม?
          ใช่ เรื่องดราม่าของพี่ต่ายนี่ไม่ต้องพูดถึงเลย มืออาชีพมาก วิธีการเล่าเรื่องที่ตัดสลับไม่ได้เรียงเวลา ตัดสลับโลกความจริง- ความฝัน ห้วงของความทรงจำมาอยู่ในนั้น เป็นหลายเลเยอร์เป็นวิธีการเล่าเรื่องอีกแบบหนึ่ง เป็นรสชาติใหม่ๆ ที่อยากให้ลองเข้าไปดู หนังเรื่องนี้มีความเป็นกวีอยู่สูงมาก อย่างที่บอกเหมือนเรานั่งดูร้อยกรอง ดังนั้นคิดว่าจะได้ดื่มด่ำกับความงามของมัน เหมือนดูห้วงอารมณ์ รู้อารมณ์รู้ห้วงความทรงจำของคน

          อีกเรื่องราวความรักที่จะปรากฎในภาพยนตร์เรื่องนี้ล่ะ
          อีกมุมของความรัก เป็นเรื่องของผู้หญิงคนหนึ่งในวัย 30ต้นช่วงวัยนี้กำลังฮิต วัยที่กำลังแต่งงานและพูดถึงจุดที่จะต้องแต่งงาน ในเรื่องนุ่น ศิรพันธ์ วัฒนจินดา เธอมารับบทในชื่อ “ปรียา” เป็นคนเชียงใหม่แต่ไปทำงานที่กรุงเทพ ได้ไปเจอกับเสี่ยหนุ่มจากภูเก็ต ก็คือ “เสี่ยเล้ง” แสดงโดย “เจมส์ เรืองศักดิ์ ลอยชูศักดิ์ แล้วก็ลงหลักปักฐานที่จะแต่งงาน โดยจะขึ้นมาแต่งงานที่เชียงใหม่ ในก่อนที่จะแต่งงานปรียาก็ต้องไปเจอเพื่อนเก่า เจอชีวิตเก่าๆ หลายๆ อย่าง เหมือนกับว่ามาสั่งลาชีวิตโสดทุกอย่างก่อนแต่งงาน ไปปาร์ตี้กับเพื่อน เหตุการณ์เหมือนทั่วๆ ไป แล้วก็ไปเจอกับอดีตรุ่นพี่ที่เคยกรี๊ดในวัยมัธยม ทุกคนจะต้องมีแบบรุ่นพี่ที่เราชอบอะไรอยู่แล้ว แต่ปรียาก็พบว่าทุกคนมีชีวิตคู่ที่ล้มเหลวหมดเลย รวมทั้งไอ้พี่คนนั้นด้วย ชื่อ “พี่เป็ก” แสดงโดยพี่ลิฟท์ สุพจน์ จันทร์เจริญ
          ในวัยเด็กเราจะมีความทรงจำที่สนุกสนานหลายอย่าง รวมทั้งคำสัญญาที่เราเคยให้ไว้ตอนเด็กๆ พอกลับมาอยู่ในวันคืนชีวิตเก่าๆ แล้วมันมีความสุข แต่กับชีวิตใหม่ก็เกิดความไม่แน่ใจว่าทุกสิ่งทุกอย่างมันจะดีไหม แล้วจะเลือกทางไหน มันก็เลยกลายเป็นว่าไม่มีความมั่นคงในความคิด
          ปรียา กับ เลี่ยม (พิช วิชญ์วิสิฐ หิรัญวงษ์กุล) พี่น้องสองคนนี้อยู่กัน 2 คน แล้วน้องก็อยากให้พี่สาวมีความสุข อยากทำงานแต่งงานนี้ให้ดีเลิศสมบูรณ์แบบที่สุด แต่ปรากฏว่ามันมีเหตุการณ์เกิดขึ้น..โอ้โหไปกันใหญ่ แถมมีอาตุ๊ยตุ่ย พุทธชาต พงศ์สุชาติ ที่เป็นน้า “น้าอร” ที่เหมือนกับเป็นแม่งานอีกคน เป็นผู้ใหญ่คนเดียวที่มีอยู่ ณ เวลานั้นก็ต้องมาช่วยกัน เหตุการณ์อลหม่านงานแต่งก็เลยเกิดขึ้น หนังเรื่องนี้เป็นหนังที่เขาเรียกได้ว่า romantic comedy ที่สุด สนุกดูเองยังชอบเลย แล้วอย่างหนึ่งในหนังเรื่องนี้นะ คือการแสดงของทุกคนเฉือดเฉือนกันแบบอู้หู้ประทับใจเลยทีเดียว เวลาเราเจอดาราเยอะๆ มาเล่นด้วยกัน แล้วทุกคนต่างเป็นมืออาชีพที่มีประสบการณ์ กำกับก็สนุก ตัดออกมาก็ดูสนุก คุ้มแล้วแหละดูเรื่องนี้เรื่องเดียวพอ (หัวเราะ) อลังการมาก

FB on April 06, 2012, 03:10:33 PM
คาแรกเตอร์ของแต่ละคนในเรื่องเป็นยังไง
          เริ่มจาก นุ่น ศิรพันธ์ วัฒนจินดา เราเคยทำงานร่วมกันในงานเฉลิมพระเกียรติตอนนั้นเป็นหนังสั้น แล้วนุ่นเป็นเพื่อนที่รู้จักกันมาในแวดวงอยู่แล้ว ด้วยความเป็นเพื่อนด้วยความสนิทกันด้วยอะไรหลายๆ อย่างก็ทำงานกันง่ายอยู่แล้ว แล้วก็เป็นนักแสดงฝีมือดีมากๆ คนหนึ่งในทั่วฟ้าเมืองไทย นุ่นเล่นเป็น “ปรียา” เป็นผู้หญิงที่หัวอ่อน คิดมาก ขี้นอย เป็นผู้หญิงที่คิดไปเรื่อยว่า “ฉันรักเขาหรือแค่ต้องการความมั่นคงในชีวิต” “เอ๊ะไอ้นั่นก็ดี ไอ้นี้ก็ใช่” คือใครลากไปไหนจูงไปไหนไปอยู่ในสังคมไหนก็เป็นแบบนั้นหมด แต่เธอก็พอใจที่ชีวิตเป็นแบบนี้
ส่วน “เสี่ยเล้ง” แสดงโดยพี่เจมส์ เรืองศักดิ์ เป็นเถ้าแก่น้อยเป็นเศรษฐีหนุ่ม มีความเป็นผู้นำสูง นิ่ง คิดอะไรทำอะไรที่เรียกว่าไม่รู้ว่าคิดอะไรอยู่ เป็นนายคน คาแรกเตอร์ของคนใต้ จะห้วน สั้น เด็ดขาด เรื่องนี้เราจะเห็นพี่เจมส์แลงใต้ คือเป็นคนเหนือกับคนใต้มาเจอกัน ในขณะที่คาแรกเตอร์ของคนเหนือคือคิดเยอะกว่าจะพูดอะไรต้องประดิษฐ์ถ้อยคำ คิดว่าถ้าพูดออกไปแล้วเขาจะคิดยังไง มันก็เลยกลายเป็นว่าวิธีการพูดวิธีการคิดมันจะซับซ้อน เยอะสิ่งกว่าจะแปลความหมายได้ว่าไม่หรือใช่ แต่สำหรับคนใต้ที่เราไปเจอเด็ดขาด ตรง กระชับ ได้ใจความ สื่อสารกันแบบไม่รู้เขาจะคิดยังไง ซึ่งเป็นคาแรกเตอร์ที่มีเสน่ห์ของคนพื้นที่ที่พอเจอกันแล้วมันสนุก
          น้องพิช วิชญ์วิสิฐ ก็มารับบทเป็น “เลี่ยม” เป็นน้องชายของปรียา ซึ่งก็เวิ่นเว้อไม่แพ้กัน จริงๆ แล้วเลี่ยมมีชื่อจริงว่า มอส แต่เลี่ยมเป็นฉายา เลี่ยมภาษาเหนือแปลว่าคนสอดรู้อยู่แล้ว เป็นคนสอดรู้พูดมาก รู้อะไรก็จะพูดไปหมด เป็นคนจัดการนู่นนี้นั่น สนิทกับพี่สาวมาก รักพี่สาวมาก
          พี่ลิฟท์ สุพจน์ มารับบทเป็น “พี่เป็ก” รุ่นพี่ที่โรงเรียนเก่า พี่ลิฟท์นี่รู้จักกันมาอยู่แล้ว แล้วรู้สึกว่าพี่เค้าเล่นดี เลยอยากทำงานด้วยกันอยู่แล้ว พี่เป็กเป็นพี่ชายในวัยมัธยมที่สาวๆ คลั่งไคล้ แล้วรู้สึกว่าแต่ละคนที่เราเลือกล้วนเป็นไอดอลยุค 90 (หัวเราะ) อย่างพี่เจมส์ ทุกวันนี้ก็ยังไอดอลอยู่ (หัวเราะ) ไอดอลอย่างพี่เจมส์และพี่ลิฟท์มันหวนให้คนดูรู้สึกถึงพี่ชายในวัยเด็กที่เราชื่นชอบ แล้วรู้สึกว่าเป็นการแคสติ้งที่ใช่มากๆ ถูกต้องที่สุดแล้ว พี่ลิฟท์เล่นเป็นพี่เป็กผู้สิ้นหวังในชีวิตเหมือนกัน มันเหมือนเรามองใครสักคนตอนเด็ก โตมาพี่เขาต้องมีแฟนสวยๆ มีลูกมีครอบครัวที่มีความสุขแน่เลย แต่ความเป็นจริงมันไม่ใช่เป็นแบบนั้น ทุกคนมีโอกาสที่จะล้มเหลวได้ทุกเมื่อ ซี่งในเรื่องพี่เป็กเองก็ล้มเหลวกับชีวิตครอบครัว
          แล้วก็มีพี่แมว จารุณี บุญเสก เล่นเป็นเพื่อนสนิทของปรียา ชื่อสุ ตัวละครเยอะมากหนังเรื่องนี้ สุ เป็นคนใต้ที่มาอยู่เมืองเหนือเหมือนกัน ใช้ชีวิตมาจนกระทั่งมีสามี มีลูก สามีก็ทิ้งไปเหลืออยู่แต่ลูก เป็นหนึ่งตัวอย่างที่ทำให้ปรียารู้สึกว่าชีวิตคนรอบข้างล้วนล้มเหลว
          แล้วก็มีน้าอร เล่นโดยอาตุ่ย พุทธชาต เป็นสาวแก่ ไม่มีสามี แต่นางก็ดูลั้นลากับชีวิตดี ทำตลกไปทั้งเรื่อง มีความรักความห่วงใยของสองพี่น้องนี้ เพราะเหมือนกับเป็นญาติผู้ใหญ่ที่สนิทสนมกันมากๆ เพียงคนเดียวที่คอยดูแลพี่น้องคู่นี้มาโดยตลอด

          ประทับใจอะไรเป็นพิเศษบ้างไหม
          ประทับใจหลายฉากมาก ฉากแต่งงานก็สวย มีความเป็นเหนือดี ชอบฉากที่นุ่นกลับมาง้อพี่เจมส์ หลังจากที่ทุกอย่างมันเข้ากันไม่ได้เลย เธอต้องมาฝืนมาง้อแล้วก็พยายามทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ซึ่งนั้นแหละเป็นการแสดงที่ยากมาก ทุกๆ ครั้งที่มีการแสดงอะไรก็ตามแต่ แบบฉากจูบกับพี่ลิฟท์ คือเล่นกันดี เล่นกันเอาตายไปเลย นี้คือรู้สึกว่ามันเป็นความสุข ความสนุก เวลาเรากำกับหนังแล้วเราได้เจอนักแสดงดีๆ เก่งๆ มารวมกัน เรื่องนี้มันเป็นงานที่มาดูการแสดงเถอะ สำหรับเด็กๆ สำหรับนักแสดงรุ่นใหม่ๆ ทุกคนปล่อยของ คิดว่ามาดูเอาไว้เป็นตัวอย่าง การตีความบทภาพยตร์ การตีความตัวละคร การตีความอารมณ์และการแสดงออก การถ่ายทอด การสื่อความหมายและการรับส่งของนักแสดงทุกคน มันแม่นมากแล้วมันดีมากๆ สำหรับภาพยนตร์

          ครั้งนี้กลับมาร่วมงานกับพิชอีกครั้ง มองน้องคนนี้มีพัฒนาการยังไงบ้างจากเรื่องที่แล้ว
          สำหรับ พิช คือทำงานมาด้วยกันตลอดแหละ ทั้งเบื้องหน้าและเบื้องหลัง ทั้งงานเพลงและงานหนัง พัฒนาการของพิชไปในทางที่ดีขึ้นมากๆ คือเป็นบทที่แม้แต่เหมือนบทสมทบแต่เขาก็ประคองหน้าที่นี้ได้ดี แล้วก็เช่นกันเป็นบทที่ต้องพูดเยอะพูดแยะ ในชีวิตจริงพิชก็ไม่ได้เป็นคนพูดเยอะอะไรขนาดนั้น ก็ต้องแสดงออกมา แล้วก็แสดงความรักความห่วงใยให้กับพี่สาวของตัวเอง รวมถึงการที่ต้องแสดงให้คลุมเครือว่าแบบมันรู้หรือไม่รู้ความจริงว่าเกิดอะไรขึ้น เขาก็ทำได้ดีมีความพยายาม ต้องไปดูเรื่องนี้แต่สนุกจริงๆ นะ เวลาที่ทุกคนปล่อยของ ไม่มีใครยอมกันเลยแม้กระทั่งน้องใหม่อย่างพิช

          รวม ๆ แล้วเริ่มต้นและถ่ายทำเสร็จในการทำงานเรื่องนี้ ใช้เวลาไปนานแค่ไหน
          โปรเจคนี้ใช้เวลาหลายปีอยู่นะ ไม่ได้คิดที่จะทำแต่แรก แต่เรื่องราวที่เราจดจำและเขียนเอาไว้ บันทึกมาเรื่อยๆ เราจำไม่ได้หรอกว่ามันนานแค่ไหนแล้ว ถ้าให้นับเวลาจากในสมุดบันทึกมันก็คงเป็นสิบๆ ปี นับเวลาตั้งแต่รวบรวมทุกสิ่งเพื่อทำโปรเจคนี้ ปีหนึ่งทำเรื่อง ปีหนึ่งถ่าย แต่ว่าถ่ายทำกันจริงๆ 2-3 เดือน แล้วก็ทำโพสทำอะไรอีกเพื่อที่ออกมาเป็นหนังเรื่องนี้

          Home นำเสนอเรื่องราวความรักอย่างไร
          อยากจะบอกว่าชีวิตคนมันไม่ได้มีแค่เรื่องโศกเศร้า ไม่ได้มีแค่เรื่องตลกสนุกสนาน นี้คือหนังที่รวมทุกสิ่งทุกอย่างเอาไว้ด้วยกัน มันก็ครบทุกรส มันก็มีทั้งแบบอบอุ่นใจ ร้องไห้เป็นเผาเต่า หัวเราะครื้นเครงมันอยู่ในนั้นหมด มันคือชีวิตประสบการณ์จากผู้คนรอบข้างที่ผ่านมาของเรามีทุกด้าน ทุกความรู้สึก เดี๋ยวดูไปจนจบก็จะรู้ว่ามันเกี่ยวกันยังไง เพียงแต่ว่าเราพูดถึง เวลาของคน เรารู้สึกว่ามันเปรียบเทียบเหมือนช่วงเวลามากกว่า “กลางคืน โพล้เพ้ล กลางวัน” เหมือนความรู้สึกของคน

          นิยามของคำว่าบ้านในความรู้สึกของมะเดี่ยวคืออะไร?
          นิยามของคำว่า Home ถ้าเป็นภาษาไทยแปลว่าบ้าน แต่บ้านมันมี2ความหมาย คือ บ้านที่เป็นกายภาพ (house) กับความรู้สึกที่ได้อยู่ในบ้าน (home) ดังนั้นคำว่า home น่าจะในความหมายคือความรู้สึกที่ได้อยู่บ้าน ได้อยู่กับครอบครัว อยู่กับคนที่เรารัก ได้อยู่ในที่ๆ ปลอดภัย ทุกที่ในหนังทุกเรื่องหรือว่าผู้คนที่เราผูกพันในหนังเรื่องนี้ มันทำให้เรารู้สึกเหมือนได้กลับบ้าน มันคือคนที่ทำให้เรารู้สึกเหมือนอยู่บ้าน คนที่เรารัก เพื่อน หรือพ่อแม่ หรือพี่น้องอะไรต่างๆ นานา มันเป็นเรื่องของคนเหล่านี้ ซึ่งมันอาจจะไม่ได้เกี่ยวข้องกับบ้าน แต่ว่าจริงๆ แล้วมันคือความรู้สึกเกี่ยวกับผู้คนที่ทำให้เรารู้สึกเหมือนได้อยู่ในบ้านมากกว่า

          Home ต้องการสื่อเรื่องราวความรักถึงคนดูอย่างไรบ้าง
          เป็นเมสเสจที่ง่ายมาก ถึงมันจะซับซ้อนดูยาวนานขนาดไหน แต่สิ่งที่ต้องการจะบอก อย่างตอนรักแห่งสยามคนกลับไปบอกว่า “มีความรักย่อมมีความหวัง” แต่เวลาผ่านไปเราก็รู้ว่าชีวิตเราบางความรู้สึกมันไม่มีทั้งความรักทั้งความหวัง แต่เราก็ต้องใช้ชีวิตมันต่อไป เราก็ต้องเดินมันต่อไป แต่เราไม่ได้เดินคนเดียวหรอก เรายังมีคนอีกตั้งเยอะที่ยังไม่มีความรักและความหวังอยู่ด้วย เราทุกคนผ่านช่วงเวลาแบบนี้กันมาทั้งนั้น แน่นอนมันโหดร้าย แล้วเราคิดว่ามีแต่เราคนเดียวที่เจอ เปล่า! จริงๆ แล้วมีอีกเยอะอีกแยะ มองไปข้างๆ สิ มีทั้งเพื่อน ทั้งพี่น้อง มีใครอีกตั้งหลายคนที่ยังอยู่กับเราอยู่ ณ เวลานี้
          มันเหมือนกับว่าหนังเรื่องนี้มันผ่านความเป็นวัยรุ่นแบบรักแห่งสยามมาแล้ว นั่นทำตอนอายุ 25-26 ผ่านมา 5 ปี ก็ได้เจอความสูญเสีย เจอชีวิตมันเปลี่ยนแปลงอะไรไปมากมาย ดีที่สุดก็เจอ แย่ที่สุดก็เจอ แต่ทั้งหมดที่พูดว่า เราไม่ได้เจออยู่คนเดียว ชีวิตเราไม่ได้เดินไปลำพังนะ ยังมีคนที่อยู่กับเราอีกตั้งเยอะ ยังมีบ้านให้เราอยู่ ยังมีคนที่ทำให้เรารู้สึกว่าเราอยู่บ้าน เราอยู่กับเขาแล้ว อาจจะไม่ใช่แฟนก็ได้ อาจจะเป็นใครก็ได้ อาจจะเป็นเพื่อนที่สนิทมาก เป็นพี่เป็นน้องหรือเป็นคนในความทรงจำในอดีตที่เราแบบนึกถึงแล้วยังรู้สึกจริงมันยังอยู่กับเรา

          รักแห่งสยามเราได้เพลงมาประกอบหนังซึ่งดังมากมาแล้ว มาเรื่องนี้มะเดี่ยวจับชิ้นงานเพลงอะไรให้คนดูอีกหรือเปล่า
          เพลงประกอบของหนังเรื่องนี้มีหลากหลาย มีทั้งเพลงที่พิชแต่งเองชื่อเพลง “ผ่านเลยไป” แต่ขับร้องโดยวงเสือโคร่ง เพลงที่เล่าเรื่องของหนังเรื่องนี้ และที่พิเศษเป็นอันดับแรกคือเพลง “วันของเรา” ของวง soul after six ที่เอามาcoverใหม่โดยวงออกัส และก็พิเศษมากๆ คือมีเพลง “วันที่สวยงาม” เป็น original soundtrack ของหนังเรื่องนี้ที่พี่ป๊อด โมเดินร์ด็อกให้เกียรติมาแต่งให้กับเรา แล้วน้องพิชเป็นคนร้อง ซึ่งเราดีใจและภูมิใจมาก เพราะว่าพี่ป็อดเป็นไอดอลของเรามาตั้งแต่ไหนแต่ไร และก็ใฝ่ฝันจะร่วมงานกันมานาน แกก็ใช้เวลาเขียนเพลงนี้ประมาณ 4-5 วันเอง และก็ออกมาดีมากเลย เร็วๆ นี้ก็คงได้ฟังกันแล้ว

          แนวเพลงประมาณไหนบ้าง
          อย่างเรื่องนี้มันจะมีช่วงท้ายเรื่องที่เป็นสรุปหนัง มีเพลงร้องในงานแต่งที่เขียนขึ้นมาใหม่ แล้วทีแรกเขียนคล้ายๆ กับเป็นกลอนหรือเป็นร้อยแก้วก่อน แล้วก็ไปให้พิชดูว่าอยากได้เนื้อหาแบบนี้ๆ ลองไปแต่งดู พิชก็ไปแต่งมาก็เออๆ เพราะดี ก็ได้เป็นเพลงเอามาใช้ในหนัง อย่างเพลงพี่ป๊อด คืออยากได้แบบเพลง end credit เป็นเพลงที่โจ๊ะๆ หน่อย เอาไว้เต้นแด๊นซ์กันได้เป็นเพลงร้องในงานปาร์ตี้ก็ให้โจทย์นี้พี่ป๊อดไป ชอบแนวเพลงกันและกันของที่พี่แต่งอ่ะ ของโมเดิร์นด็อกมีกันและกัน 2 เพลง เพลงที่พี่แต่งเป็นแนว punk rockอยู่แล้ว เขาก็ใช้เวลา 5 วันแต่งแล้วเอามาให้ฟัง เพราะมาก

          สุดท้ายแล้วคิดว่าอะไรที่จะทำให้คนต้องไปดูเรื่องนี้กัน
          สิ่งที่พิเศษที่เราอยากจะให้คนไปดูหนังเรื่องนี้ อันดับแรกคือ การแสดง การรวมตัวกันของนักแสดงทั้งหน้าเก่า หน้าใหม่ ทุกเรื่องอยู่แล้วเราเข้มข้นมากในส่วนการแสดงตรงนี้ ดังนั้นดูก็คุ้มแล้ว อย่างที่สองก็คือว่า ไม่ได้ทำหนังมานาน เป็นหนังยาวในรอบ 4-5 ปี แล้วแหละที่ไม่ได้เจอ เลยเหมือนกับว่าเรื่องนี้จะได้กลับมาเจอกับแฟนหนังทุกคน

          ฝากผลงานภาพยนตร์กับแฟนๆ ทิ้งท้ายนิดนึง
          ฝากผลงาน “Home ความรัก ความสุข ความทรงจำ” 19 เมษายนนี้ในโรงภาพยนตร์ทุกโรงใกล้บ้านท่าน หนังดี ดูสนุก เพลงเพราะ จบประทับใจ จูงลูก จูงหลาน จูงแฟน จูงพ่อจูงแม่ ชวนกันไปดูหนังเรื่องนี้ไม่มีพิษไม่มีภัยดูกันได้ทั้งครอบครัว แล้วก็จะเข้าใจความรักกันมากขึ้น เข้าใจคนที่อยู่ใกล้เรามากขึ้น แล้วก็มีความเมตาเอื้ออาทรให้กันมากขึ้น ก็ขอให้ลองไปดูกันนะครับ ขอบคุณครับ

FB on April 11, 2012, 03:06:32 PM
Home เปิดรอบพิเศษรับเทศกาลแห่งความสุข ให้ร่วมประทับใจก่อนใครทุกโรงทั่วกทม.

           สหมงคลฟิล์ม อินเตอร์เนชั่นแนล และสตูดิโอคำม่วน พร้อมใจกันเติมเต็มเทศกาลแห่งความสุขในช่วงสงกรานต์กับภาพยนตร์แห่งความประทับใจ หากคุณเคยหลงทางเพราะความรัก ครั้งนี้...ปล่อยให้เรานำทางหัวใจคุณเอง Home ความรัก ความสุข ความทรงจำ นำแสดงโดย เพ็ญพักตร์ ศิริกุล, เรืองศักดิ์ ลอยชูศักดิ์, ศิรพันธ์ วัฒนจินดา, สุพจน์ จันทร์เจริญ, วิชญ์วิสิฐ หิรัญวงษ์กุล, พุทธชาต พงศ์สุชาติ ผลงานกำกับล่าสุดของ มะเดี่ยว – ชูเกียรติ ศักดิ์วีระกุล ที่เคยสร้างปรากฎการณ์ของความรักมาแล้วจาก “รักแห่งสยาม” เชิญคุณสัมผัสความรู้สึก “รัก” กับ Home ความรัก ความสุข ความทรงจำ กับรอบพิเศษก่อนใครในวันที่ 12 – 16 เมษายน เวลา 20.00 น. เป็นต้นไป ทุกโรงภาพยนตร์ (เฉพาะกทม.)

          ทุกเสียงการันตีหนังรักที่ดีที่สุด ของ “มะเดี่ยว ชูเกียรติ ศักดิ์วีรกุล”

สินจัย เปล่งพานิช
          “นกชอบไดอะลอกจากทุกประเด็นของตัวละครทำให้รู้สึกดีมากๆ สำหรับคนที่เป็นแฟนของ “มะเดี่ยว” ต้องชอบแน่นอนค่ะ สำหรับเรื่องนี้มีทั้งความโรแมนติกนิดๆ ดราม่าหน่อยๆ แต่เป็นอะไรที่ทำให้เราได้หลายๆ มุมมองเอากลับบ้านไปได้ค่ะ”

นนทรีย์ นิมิบุตร
          “ผมชอบบรรยากาศของหนังทุกๆ ตอนมันมีความพิเศษ หนังเรื่องนี้มันจำลองมาจากชีวิตจริง ความรู้สึกจริงๆ เป็นบันทึกความรัก เป็นความทรงจำทั้งหมดที่เคยเกิดขึ้น ซึ่งรวบรวมไว้ในภาพยนตร์เรื่องเดียวถือว่ายิ่งดูยิ่งอิ่มเอม ประทับใจครับ”

ยุทธนา บุญอ้อม
          “เป็นหนังที่ใกล้เคียงกับคำว่า perfect มากที่สุด ผมชอบมากๆ ครับ เรื่องนี้วางตัวละครทุกตัวไว้น่ารักมาก สคริปท์ดีมาก การแสดงของนักแสดงทุกคนถือว่าเข้าขั้นยอดเยี่ยม เป็นหนึ่งในหนังไทยที่ดีที่สุดในรอบหลายปี ดูแล้วประทับใจมาก ไม่อยากให้ใครพลาดเลยแม้แต่คนเดียว”

ดีเจบ๊อบบี้
          “ถ้าใครชอบ “รักแห่งสยาม” นี่คือหนังที่ดีที่สุดต่อจากรักแห่งสยามของ “คุณมะเดี่ยว”ครับ อยากบอกว่าอย่ามองข้ามหนังเรื่องนี้ครับ เพราะหนังเรื่องนี้ คือหนังเรื่องที่ดีที่สุดสำหรับหนังไทยที่ผ่านมา”

FB on April 11, 2012, 03:08:23 PM
พิช – แจ็ค – มาร์ช ประชันภาพถ่ายประทับใจ พร้อมบอกเล่าเรื่องราวความรัก ความสุข ความทรงจำ





          ไหนๆ หนังก็ถ่ายจบจนได้ฤกษ์ใกล้วันเข้าฉายเต็มที่ แต่ความทรงจำดีๆ ก็ยังไม่เคยถูกลืม สำหรับภาพยนตร์เรื่อง Home ความรัก ความสุข ความทรงจำ ที่วันนี้เราได้ 3 นักแสดงหนุ่มหล่อมาบอกเล่าเรื่องราวความทรงจำดีๆ กับภาพยนตร์เรื่องนี้ผ่านภาพถ่ายแห่งความประทับใจ นำทีมโดย พิช – วิชญ์วิสิฐ หิรัญวงษ์กุล และขอแนะนำสองหนุ่มหล่อหน้าใหม่ แจ็ค - กิตติศักดิ์ ปฐมบูรณา และมาร์ช - จุฑาวุฒิ ภัทรกำพล โดยวันนี้เรามุ่งหน้ามาที่ร้าน Scrap@Love ตามมาดูกันดีกว่าว่าหนุ่มๆ เค้าจะมาทำอะไรกันที่นี่

          พอก้าวเข้ามาเท่านั้นแหละ สามหนุ่มของเราก็จัดแจงเตรียมภาพถ่ายประทับใจมาอวดกัน โดยหนุ่มแจ็คและหนุ่มมาร์ช ก็ไม่พ้นการนำภาพในการถ่ายทำภาพยนตร์เรื่องนี้มาตกแต่ง เพราะถือว่าเป็นความประทับใจที่อยู่ในความทรงจำแบบสุดๆ ทั้งมิตรภาพความรักระหว่างเพื่อน ทั้งความสุขและสนุกในการถ่ายทำ อีกทั้งยังเป็นผลงานภาพยนตร์เรื่องแรกของทั้งคู่อีกด้วย ส่วนพี่ใหญ่หนุ่มพิชของเราก็เลือกภาพหมู่ที่เป็นการรวมตัวกันของวงออกัสที่ได้เล่นคอนเสิร์ตครบรอบ 4 ปีของภาพยนตร์เรื่องรักแห่งสยามที่มีเซอร์ไพรซ์จากมาริโอ้ และยังเป็นงานแถลงข่าวของภาพยนตร์เรื่อง Home ความรัก ความสุข ความทรงจำ อีกด้วย พออวดภาพกับเรียบร้อยต่างคนก็เริ่มเดินสำรวจร้านหาไอเดียสุดเก๋ตกแต่ง และเมื่ออุปกรณ์พร้อม ไอเดียพร้อม ทุกคนก็ลงมือกันใหญ่ ซึ่งหนุ่มๆ ของเราทีแรกออกตัวว่าทำไม่เป็น แต่พอถึงเวลาก็โปรกันสุดๆ ทำกันไปคุยเล่นกันไป เผลอแป๊บๆ ก็ออกมาเป็นผลงานน่ารักๆ อย่างที่เห็นเนี่ยแหละ

          (พิช) “ปกติพิชไม่ถนัดทำอะไรแบบนี้เลยทั้งที่จริงๆ แล้วรูปถ่ายที่ชอบมีเยอะเลยครับ แต่รูปนี้เป็นรูปแรกที่พิชเอามาใส่กรอบตกแต่งแบบนี้ ซึ่งบางครั้งเราอาจจะเคยหลงลืมเหตุการณ์บางอย่างไปบ้าง แต่พอเวลามองรูปพวกนี้เราก็จะได้นึกถึงวันนั้นที่เรามีความสุขด้วยกัน มีความทรงจำดีๆ ด้วยกัน และยิ่งรูปนี้ถ่ายกับเพื่อนๆ วงออกกัสกับพี่มะเดี่ยว มีมาริโอ้ที่เราเคยร่วมงานกัน เรียกว่าเป็นภาพที่รวมคนที่เรารักและสนิทก็ว่าได้เลยครับ และที่สำคัญยังในรูปเป็นวันงานแถลงข่าวเรื่อง Home มีแจ็คกับมาร์ชที่กำลังมีผลงานล่าสุดด้วยกัน ซึ่งเป็นเรื่องราวความสัมพันธ์ของคนที่ต้องแอบรัก ลืมรักและเลือกรัก เป็นผลงานกำกับล่าสุดของพี่มะเดี่ยว และยังเป็นผลงานเรื่องแรกของแจ็คกับมาร์ชด้วย ยังไงฝากให้ทุกคนช่วยกันติดตามด้วยนะครับ”

          เห็นกรอบรูปน่ารักๆ แบบนี้ก็อยากจะทำบ้าง ถ้าสนใจก็ของเก๋ๆ แบบนี้ก็ไปได้เลยที่ Scrap@Love เมเจอร์อเวนิว รัชโยธิน แต่ถ้าใครจะอยากจะอิ่มเอมอบอุ่นไปกับเรื่องราวความรักโรแมนติคดราม่า ก็อย่าพลาด Home ความรัก ความสุข ความทรงจำ 19 เมษายนนี้ ทุกโรงภาพยนตร์
« Last Edit: April 12, 2012, 08:52:25 AM by FB »

YaYoungMan on April 14, 2012, 11:38:16 AM
 :'( ดูมาล่ะ หวั่นๆอยู่ ต้องอาศัยแฟนรักแห่งสยามพอสมควร หนังดี แต่ความสนุกอาจจะน้อยไปนิด

FB on April 15, 2012, 02:53:20 PM
“นก สินจัย” ยกนิ้วชมผู้กำกับ “มะเดี่ยว ชูเกียรติ” สร้างหนังสะท้อนแง่มุมชีวิตจริงได้ลึกซึ้ง มั่นใจคนดูชอบ “Home ความรัก ความสุข ความทรงจำ” หนังรักดีๆที่ไม่ควรพลาด



           ชั่วโมงนี้คงไม่มีผู้กำกับคนไหนหน้าบานเท่ากับ ผู้กำกับที่ชื่อ “มะเดี่ยว ชูเกียรติ” อีกแล้ว เพราะกระแสของภาพยนตร์เรื่อง Home ความรัก ความสุข ความทรงจำ ได้รับเสียงตอบรับอย่างดีจนหุบยิ้มไม่ลงกันเลย โดยเมื่อสัปดาห์ที่แล้วได้มีการจัดรอบพิเศษฉายภาพยนตร์ ที่โรงภาพยนตร์ House RCA ให้กับเหล่าบุคคลในวงการบันเทิงที่มีทั้งผู้กำกับภาพยนตร์อย่าง อุ๋ย-นนทรีย์ นิมิบุตร, พิง ลำพระเพลิง หรือเหล่าดีเจศิลปินชื่อดังอย่าง ป๋าเต๊ด-ยุทธนา บุญอ้อม, ป๊อด-ธนชัย อุชชิน, ดีเจบ็อบบี้-นิมิตร ลักษมีพงศ์, ดีเจอรรณพ กิตติกุล และรวมถึงเหล่านักแสดงเช่น นก-สินจัย เปล่งพานิช, อีฟ-พุทธธิดา ศิระฉายา, แม็กกี้-อาภา ภาวิไล, อร-พัทธ์ธีรา ศรุติพงศ์โภคิน เป็นต้น หลายคนออกมาพร้อมกับคราบน้ำตาสุดซึ้ง และรอยยิ้มอันอบอุ่นจากการชมภาพยนตร์ครั้งนี้ โดยเฉพาะพี่นก สินจัย ที่เคยร่วมงานจากภาพยนตร์เรื่อง รักแห่งสยาม เมื่อเจอหน้าผู้กำกับมะเดี่ยว ก็โผเข้ากอดด้วยความคิดถึง พร้อมทั้งชื่นชมกับภาพยนตร์ล่าสุดผลงานของผู้กำกับคนโปรดอย่างทันที

          “ต้องบอกว่าชอบมากค่ะ เป็นภาพยนตร์ที่จะสะท้อนในแง่มุมของชีวิต ทำให้เราเข้าใจชีวิตและอยู่กับปัจจุบันได้มากขึ้น ไม่มองโลกในแง่ร้าย ด้วยภาษาพูดเป็นภาษาเหนือทั้งเรื่องมันได้ความรู้สึกของความเป็นบ้านอย่างมากค่ะ ส่วนตัวพี่นกชอบบทสนทนาจากทุกประเด็นของตัวละคร คำพูดหลายๆคำที่อยู่ในภาพยนตร์ มันคือความเป็นจริงในชีวิต การที่คนเรากว่าจะโตมาและต้องผ่านเรื่องราวอะไรมามากมายนั้น มะเดี่ยวนำเสนอออกมาได้น่าสนใจอย่างมาก เราสามารถนำกลับบ้านไปใช้ในชีวิตจริงได้อย่างแน่นอน หากใครที่ชอบแนว โรแมนติก ดราม่า และติดตามผลงานของมะเดี่ยว เชื่อว่าต้องชอบหนังเรื่อง Home ความรัก ความสุข ความทรงจำ กันอย่างแน่นอนค่ะ”
19 เมษายนนี้ ร่วมค้นหาคำตอบดวยหัวใจคุณเอง กับภาพยนตร์รักแห่งปี “Home ความรัก ความสุข ความทรงจำ” ผลงานกำกับของ “มะเดี่ยว ชูเกียรติ” ร่วมด้วยนักแสดงคุณภาพ ต่าย เพ็ญพักตร์, เจมส์ เรืองศักดิ์, นุ่น ศิรพันธ์, ลิฟท์ สุพจน์, พิช วิชญ์วิสิฐ และเหล่านักแสดงคุณภาพอีกคับคั่ง พร้อมกันทุกโรงภาพยนตร์

          เชิญคุณสัมผัสความรู้สึก “รัก” กับ Home ความรัก ความสุข ความทรงจำ กับรอบพิเศษก่อนใครในวันที่ 12 – 16 เมษายน เวลา 20.00 น. เป็นต้นไป ทุกโรงภาพยนตร์ (เฉพาะกทม.)
« Last Edit: April 27, 2012, 06:47:47 AM by FB »