FB on February 23, 2012, 05:19:20 PM
ค่ายใบโพธิ์โชว์เซอร์ไพรส์ส่ง “แดน วรเวช” เขียนบท-กำกับ“คืนวันเสาร์ถึงเช้าวันจันทร์”














  
           ค่ายใบโพธิ์โชว์เซอร์ไพรส์ส่ง “แดน วรเวช” เขียนบท-กำกับ“คืนวันเสาร์ถึงเช้าวันจันทร์” ประกบ “แพทตี้-อังศุมาลิน” หวานใจในชีวิตจริง พร้อม บีมกวี และ นุช นีรนาท บวงสรวงเปิดกล้องหนังรักเรื่องใหม่อย่างเป็นทางการ

          เซอร์ไพรส์เลยทีเดียวสำหรับงานเปิดกล้องบวงสรวงภาพยนตร์เรื่อง “คืนวันเสาร์ถึงเช้าวันจันทร์” ภาพยนตร์รักโรแมนติคเรื่องใหม่ล่าสุด พร้อมแนะนำผู้กำกับใหม่ถอดด้ามของ “สหมงคลฟิล์ม” ที่มีชื่อคุ้นๆ ว่า “แดน วรเวช ดานุวงศ์ โดยมี “ปรัชญา ปิ่นแก้ว” นั่งแท่นโปรดิวเซอร์ ซึ่งงานนี้หนุ่มแดนไม่รอช้าจัดพิธีบวงสรวงเป็นที่เรียบร้อยแล้วเมื่อช่วงสายๆ ของวันศุกร์ที่ 10 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา ณ. บริษัทบาแรมยู จำกัด ลาดพร้าว 60 พร้อมกับเปิดตัวเหล่านักแสดงนำซึ่งประกอบไปด้วย ไม่ว่าจะเป็น บีม-กวี ตันจรารักษ์ เพื่อนรุ่นพี่สนิทสนมและรู้จักกันมาเป็นสิบปีในฐานะสมาชิกวงดีทูบี พร้อมด้วยนางแบบสาวลูกครึ่งอังกฤษสุดเซ็กซี่ นุช-นีรนาท วิคตอเรีย โคทส์ แถมได้นักแสดงรุ่นใหญ่มากฝีมืออย่าง เจี๊ยบ นนทิยา จิวบางป่า, ตึ้ง-ธนศักดิ์ อุ่นอ่อน นักพากย์มากฝีมือรวมถึงเพื่อนๆ นักแสดง แต่ที่เซอร์ไพรส์สุดๆ คือได้หวานใจในชีวิตจริงอย่าง แพทตี้-อังศุมาลิน สิรภัทรศักดิ์เมธา ที่มาประกบบทบาทคู่กันแบบเต็มๆ ตัวเป็นครั้งแรก ซึ่งงานนี้ เอ๋-อวิกา เตชะรัตนประเสริฐ ผู้อำนวยการฝ่ายการตลาดอาวุโส และจาตุศม เตชะรัตนประเสริฐ ผู้อำนวยการฝ่ายสื่อสารการตลาด 2 ผู้บริหารสาวจากค่ายสหมงคลฟิล์มฯ และสุกัญญา วงษ์สถาปัตย์ ได้เดินทางมาร่วมทำพิธีด้วย

          โดยงานนี้ทาง ปรัชญา ปิ่นแก้วเอง โปรดิวเซอร์ของภาพยนตร์ได้การันตีถึงความเป็นคนมี “ของ” และ “ความสามารถโดดเด่นเฉพาะตัว”ในสายงานภาพยนตร์ที่นอกเหนือจากการเป็นศิลปิน และนักแสดงการันตีว่าภาพยนตร์เรื่องนี้จะสะท้อนเสน่ห์ความสามารถและตัวตนของแดนที่หลายคนอาจไม่เคยสัมผัสมาก่อนที่รับรองว่าจะสร้างเซอร์ไพรส์อย่างแน่นอน ในขณะที่ผู้กำกับใหม่แกะกล่องอย่าง แดน วรเวช เผยถึงความรู้สึกที่ได้ทำงานครั้งนี้หลังจากบ่มเพาะและเตรียมตัวกับโปรเจ็คต์มาอย่างยาวนานและได้เข้าไปมีส่วนร่วมในทุกๆ ด้านเลยทีเดียว

          “การเตรียมงานเรื่องนี้ก็ทำเต็มที่ให้ดีที่สุดครับ จริงๆ ที่ผ่านมาก็จะมีการเวิร์คช็อปเยอะหน่อยเวลาถ่ายจริงจะได้ไม่มีปัญหา แล้วก็มีการเตรียมงานด้านอื่นนอกเหนือจากการกำกับหรือแสดง ก็เข้าไปดูตั้งแต่ลุคส์เสื้อผ้าหน้าผมของแต่ละตัวละคร ไม่ว่าจะเป็น 4 ตัวหลักของผมเอง, แพทตี้, นุชและพี่บีม รวมไปถึงทุกๆ ตัวละครก็ทำทุกอย่างให้เต็มที่นะครับ ก็ยังไงผมก็ขอฝากภาพยนตร์เรื่อง คืนวันเสาร์ถึงเช้าวันจันทร์ด้วยนะครับ พวกเรานักแสดงก็เต็มที่ก็จะพยายามทำให้ดีที่สุดหวังว่าคนที่มีโอกาสได้ชม ก็คงจะมีความสุขกับภาพยนตร์เรื่องนี้นะครับ”          

          สำหรับ“คืนวันเสาร์ถึงเช้าวันจันทร์” เป็นเรื่องราวของชายหนุ่มที่แอบหลงรักหญิงสาวในดวงใจ แต่ความรักของเขาจะไม่มีทางเกิดขึ้นเลยถ้าไม่ได้ตัวช่วยซึ่งคือหญิงสาวอีกคนที่เป็นเพื่อนสนิทของเจ้าหล่อนในขณะที่ตัวเพื่อนสาวเองก็จะมีคนรักเป็นชายหนุ่มที่ทุกอย่างในชีวิตต้องเพอร์เฟ็คต์ และเรื่อราวทุกอย่างก็เริ่มต้นขึ้นเมื่อเส้นทางความรักของคนทั้งสี่ที่เดินเข้ามาบรรจบกันก็เกิดเรื่องราวชุลมุนจนเกิดคำถามถึงความลงตัวของ “จังหวะความรัก” ว่าเราจะรัก “คนที่ใช่ในวันที่ผิด” ได้ไหมนะ

          เตรียมตัวพบกับคำตอบของหัวใจ ที่เกิดขึ้น ภายในเวลา 2 คืน 3 วัน ตั้งแต่ “คืนวันเสาร์ถึงเช้าวันจันทร์” ได้เร็วๆ นี้
« Last Edit: July 05, 2012, 05:05:31 PM by FB »

FB on June 22, 2012, 04:31:54 PM
“แดน” หวังคนดูมีความสุขยอมหยุดงานเพลง เขียนบท-กำกับ “คืนวันเสาร์ถึงเช้าวันจันทร์” หนังเรื่องแรกในชีวิต







           ปิดกล้องไปเป็นที่เรียบร้อยแล้วสำหรับ “คืนวันเสาร์ถึงเช้าวันจันทร์” ผลงานการเขียนบทและกำกับภาพยนตร์แบบเต็มเนื้อเต็มตัวครั้งแรกในชีวิตของ “แดน วรเวช ดานุวงศ์” ที่เก็บเกี่ยวประสบการณ์การทำงานในแวดงวงบันเทิงมาเกือบครบทุกด้าน ทั้งในฐานะนักร้อง, นักแสดง, นักแต่งเพลง, นักเขียน, โปรดิวเซอร์ ฯลฯ ชนิดที่ว่าตลอด 12 ปีมีความฝันตลอด และฝันครั้งล่าสุดของเขาคือได้ทำหนังที่ตัวเองรัก ซึ่งแน่นอนว่างานนี้เจ้าตัวยอมรับว่างานกำกับภาพยนตร์เป็นงานที่เหนื่อยมาก ดึงพลังงานในตัวของเขาออกไปแทบหมดตัวชนิดที่ว่าทุกวันที่กลับจากกองถ่ายไม่ต้องทำกิจกรรมใดๆ เพิ่มเติมเลยเว้นเสียแต่การสลบไสลไปบนเตียงนอน เพื่อชาร์จไฟให้ตัวเองก่อนที่จะต้องตื่นตี 5 ตะลุยกองถ่ายต่อ และเป็นอย่างนี้ตลอดระยเวลา 4-5 เดือนที่ชีวิตผูกผันกับการถ่ายทำภาพยนตร์ แต่ถ้าย้อนเวลากลับไปก็เกือบ 3 ปีที่หนุ่มแดนตัดสินใจว่าจะขอทุ่มเทไอเดียความคิดทั้งหมด สานฝันการเริ่มต้นทำงานในฐานะผู้กำกับภาพยนตร์จนตัดสินใจศึกษา เรียนรู้ วิธีการขั้นตอนต่างๆ ในการกำกับภาพยนตร์ รวมไปถึงตะลุยกำกับมิวสิควิดีโอ และกำกับภาพยนตร์ชุดทางโทรทัศน์ “บันทึกกรรม” และใช้เวลา1ปีในการเขียนบทภาพยนตร์ในแนว HAPPY COMEDY ROMANTIC เรื่อง “คืนวันเสาร์ถึงเช้าวันจันทร์” ขึ้นมา โดยงานนี้ยอมแลกกับการหยุดทำงานเพลงอีกหนึ่งงานที่ตนรักเพื่อมาสานฝันในงานกำกับภาพยนตร์แบบเต็มๆ ตัว

          “ปิดกล้องแล้วครับ ต้องบอกว่าเป็นอีกหนึ่งความฝันที่แดนเต็มที่และตั้งใจมากๆ ก็คิดมาแล้วว่าอยากทำงานในส่วนตรงนี้ก็ 3-4 ปีมาแล้ว ก็ไปรวบรวมทักษะวิทยายุทธ์ (หัวเราะ) ฝึกปรือตั้งแต่กำกับมิวสิควิดีโอ ไปจนถึงลองกำกับภาพยนตร์บันทึกกรรมเพื่อที่ว่าวันที่เราทำหนังของเราเองเต็มๆ ตัวจะได้เห็นปัญหาหรืออุปสรรคต่างๆ ก่อนที่จะไปลงสนามจริง ก็ใช้เวลาเขียนบทประมาณ 1 ปี แล้วก็ใช้เวลาที่ผ่านมาตั้งแต่ช่วงต้นปีถ่ายทำก็ประมาณ 4-5 เดือน ตอนนี้หนังก็อยู่ในช่วงตัดต่อและเตรียมทำเนื้องานในส่วนโพสต์โปรดักชั่นต่อไป

          ถามว่าแฮปปี้มั้ย ต้องบอกวาแฮปปี้มากๆ เพราะหลังจากที่ทำหนังเสร็จแล้วสิ่งที่ได้แน่ๆ คือความสุขที่เราได้ทำ ทำมันแล้วก็ได้งานออกมาอย่างที่เราต้องการนะครับ ก็ต้องบอกจริงๆ ว่าการทำงานแบบนี้เป็นการทำงานที่เหนื่อยมากนะครับ คือเราเคยกำกับ MV มา เราก็รู้ว่ามันเหนื่อยประมาณหนึ่ง ต้องบอกว่าแต่อันนี้มันเกินคาดมาก มันเหนื่อยแบบว่าหมดแรง หมดแรงจริงๆ ปิดสวิชต์เลย หนังเรื่องหนึ่งมันใช้พลังงานเยอะมาก พลังงานคน พลังงานใจ พลังงานสมองมากมาย แต่ก็ถือเป็นงานที่ดีนะครับ เป็นงานที่จุดประสงค์สุดท้ายของการสำเร็จชิ้นงานก็คือการสร้างความบันเทิงให้กับทุกคนที่ได้ดู เหนื่อยจริงๆ ครับ ผมก็เลยรักงานนี้มากๆ มันเป็นความสุขที่บอกไม่ถูกถึงแม้ว่าเราจะต้องยอมแลกกับการที่เราต้องหยุดเรื่องทำเพลง เบรกเรื่องทำอัลบั้มไปก่อนเลย เพราะต้องใช้สมาธิสูง โอเคเราอาจจะแต่งเพลงทำเพลงควบคู่ไปด้วยก็ได้ แต่ผมว่ามันจะออกมาไม่ดีที่สุด ผมก็เลยคิดว่าผมควรจะทำออกมาทีละชิ้นทีละอันดีกว่านะครับ ก็เลยเลือกที่จะมาทุ่มกับหนังก่อน ถามว่าคุ้มไหมกับการที่เราแลกมาคุ้มมากทำสุดพลังแล้วครับยังไงก็ฝากติดตามกันด้วยแล้วกันนะครับ คืนวันเสาร์ถึงเช้าวันจันทร์ 9ส.ค.นี้ครับได้ดูกันแน่ๆ
« Last Edit: June 23, 2012, 08:42:04 AM by FB »

FB on June 30, 2012, 04:12:00 PM
instagram “คืนวันเสาร์ถึงเช้าวันจันทร์”

          "คืนวันเสาร์ถึงเช้าวันจันทร์” ภาพยนตร์สนุกสนานยิ้มละมุนเรื่องราวของหนุ่มสาว 2 คู่ที่จะมาชวนให้ทุกหัวใจอุ่นไปด้วยความสุขจากผลงานการเขียนบทและกำกับภาพยนตร์แบบเต็มๆ ตัวครั้งแรกของ “แดน วรเวช ดานุวงศ์” ที่เก็บเกี่ยวประสบการณ์การทำงานในแวดงวงบันเทิงมาเกือบครบทุกด้าน ทั้งในฐานะนักร้อง, นักแสดง, นักแต่งเพลง, นักเขียน, โปรดิวเซอร์ ฯลฯ ชนิดที่ว่าตลอด 12 ปีมีความฝันตลอด และฝันครั้งล่าสุดของเขาคือได้ทำหนังที่ตัวเองรัก

          เตรียมพร้อมอัพเดทความเคลื่อนไหวต่างๆ ได้แล้ว

          รีบมาฟอลโล่กันที่
          instagram sat2mon

FB on July 03, 2012, 06:14:51 PM
สาวนุชสุดเซ็กซี่โชว์ผิวขาวกระจ่างใสส่งรอยยิ้มผ่านแววตา สาวนุชสุดเซ็กซี่โชว์ผิวขาวกระจ่างใสส่งรอยยิ้มผ่านแววตา

 

          ไม่มีข้อโต้แย้งด้วยประการทั้งปวง แถมยังจะช่วยยืนยัน นั่งยัน และนอนยันว่าบท “ต้นหลิว” พิธีกรสาวสวยเซ็กซี่ประจำรายการเรียลลิตี้ตะลุยบ้านผีสุดฮิตชนิดเรทติ้งกระฉูด ที่ทำเอาหนุ่มๆ คลั่งไคล้ไปทั่วประเทศ รวมทั้งชวด รับบทโดย (แดน วรเวช ดานุวงศ์) ที่ยกต้นหลิวเป็นไอดอลในดวงใจ ถึงขนาดที่ว่าทุกครั้งต้นหลิวเยื้องย่างไปที่ใดก็ตาม จะเหมือนมีออร่าเปล่งประกายเป็นที่โดดเด่นรอบๆ ตัว จะเป็นใครไปไม่ได้ถ้าไม่ใช่ ซูเปอร์โมเดลสาวหุ่นดี ขายาว ผิวสวยอย่างสาวนุช-นีรนาท วิคทอเรีย โคทส์ และทันทีที่สาวนุชในคาแรคเตอร์ต้นหลิวในชุดเสื้อกล้ามสี OLD ROSE ตัดกับผิวขาวเนียนกระจ่างตาเดินเข้าเฟรมมา พร้อมกับสะบัดผมและหมุนตัวเล็กน้อย ก็แทบจะทำให้หนุ่มแดน ซึ่งเป็นคนเขียนบทและกำกับภาพยนตร์ในแนว HAPPY COMEDY ROMANTIC เรื่อง “คืนวันเสาร์ถึงเช้าวันจันทร์” และเป็นคนเลือกสาวนุชมารับบทต้นหลิวเองกับมือ บอกทีมงานให้เตรียมตัวถ่ายทำซีนต่อไปได้แทบทันที ที่เห็นการแสดงของสาวนุชเพียงแค่เทคแรก เพราะคงไม่มีนักแสดงสาวคนไหนที่ทั้งจี๊ดด้วยรูปร่างหน้าตาไปจนถึงบุคลิกคาแรคเตอร์ที่มีเสน่ห์และเซ็กซี่สุดๆ เหมาะเหม็งตรงเป๊ะเป๊ะกับบทที่หนุ่มแดนเขียนขึ้นมาเท่าสาวนุชอีกแล้ว

          “น้องนุชนี่จำได้ว่าในวันที่เราถ่ายซีนที่ชวด (แดน) กับถั่ว (ปอย-ณภัทร ปัทมสิงห์ ณ อยุธยา) เพื่อนรุ่นพี่นั่งกินข้าวเล็งสาวที่เดินผ่านไปผ่านมาแล้วเม้าท์ตามประสาหนุ่มๆ แต่ครั้นพอเจอ “นุช” ที่เขารับบท ต้นหลิว พิธีกรรายการทีวีสุดฮอต ไอดอลในดวงใจของชวดเดินผ่านมาเท่านั้นแหละ หนุ่มๆ ของเราถึงกับเก็บอาการไม่อยู่เลยทีเดียว ซึ่งในบทนี้ต้นหลิว ต้องเป็นผู้หญิงที่เดินมาแล้วคนต้องมองน่ะครับ แล้วพอเจอน้องนุช เดินเข้ากล้องมานี่ปิ๊งเลย ทั้งสายตาเขา ซึ่งน้องนุชเวลาเขามองกล้อง เขาได้หมดเลยนะ เขาได้ความรู้สึกนั้นหมดเลย เพราะว่าผมต้องการคนที่มีรอยยิ้มจากแววตา ไม่งั้นคนที่อยู่รอบๆ ตัวเขาจะมองเขาด้วยรอยยิ้มไม่ได้ เพราะฉะนั้นเขาต้องมีรอยยิ้มผ่านสายตาก่อน ซึ่งน้องนุชใช่เลย แล้วซีนนี้น้องนุชเขาแทบไม่มีบทพูดเลยใช้การบริหารเสน่ห์ที่มีอยู่แล้วในตัวของเขาและแอ็คติ้งล้วนๆ”

          ซีนเปิดตัวเล็กๆ สำหรับแดนหนุ่มโสดสนิทที่ยังไม่มีใครเข้ามาครอบครองเป็นเจ้าของหัวใจ นอกจากจะปิ๊งๆๆ สาวนุชยกย่องเป็นไอดอลในดวงใจเหมือนกับหนุ่มๆ ค่อนประเทศแล้ว เขายังแอบหลงรักสาวนุชอย่างเต็มเปาอีกต่างหาก เพียงแต่ว่าหนุ่มแดนในบทชวดของเราขี้ป๊อด แหมแค่มองหน้าสาวสวยอย่างนุชในบทต้นหลิวยังไม่กล้าด้วยซ้ำ แต่พระเอกของเราก็ยืนยันว่านี่แหละ “คนที่ใช่” ถึงแม้จะยังไม่มีโอกาสและจังหวะที่จะทำให้เธอเปลี่ยนสถานะกลายมาเป็น “คนที่ใกล้” สักกะทีนี่ซิ และแน่นอนว่านี่เป็นเพียงบางส่วนที่เริ่มต้นเท่านั้นเองของ “คืนวันเสาร์ถึงเช้าวันจันทร์” ภาพยนตร์ที่กลั่นจากฝีมือเขียนบทและกำกับภาพยนตร์ครั้งแรกในชีวิตของหนุ่มแดนที่มีเป้าหมายสำคัญคืออยากให้ทุกคนที่ดูมีความสุข ติดตามความคืบหน้าที่ทีมข่าวบันเทิงจะสรรหามาให้ยลก่อนใคร รับรองอีกไม่นานเกินรอจ้า
« Last Edit: July 05, 2012, 04:57:19 PM by FB »

FB on July 04, 2012, 03:01:00 PM
โฉมหน้ามือที่ 3 ที่แท้คนใกล้ตัว เผยภาพแพทตี้ควงหนุ่มช็อปปิ้งกลางห้างดัง



          เอาแล้ว เป็นเรื่องซะแล้ว งานนี้หนุ่มแดน วรเวช ดานุวงศ์ อาจมีสิทธิ์น้ำตาเช็ดหัวเข่า ร้องไห้ขี้มูกโป่งแหงๆ เลย เพราะมีมือดีปล่อยรูปเด็ด น้องแพทตี้ อังศุมาลิน สิรภัทรศักดิ์เมธา หวานใจสุดเลิฟในชีวิตจริงของหนุ่มแดน ที่ก่อนหน้าไม่เค้ยไม่เคยมีข่าวให้ต้องเสียหาย โดยเฉพาะเรื่องแอบไปมีกิ๊กควงแขนหนุ่มๆ หน้าใสๆ มาก่อนในชีวิต ชนิดเห็นกันจะจะ จับไม้จับมือถือแขนควงหนุ่มหล่อขาวด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม และเต็มไปด้วยความสุขกันชนิดกลางวันแสกๆ บนห้างดังแถวสี่แยกราชประสงค์ ชนิดที่ว่าแฟนคลับของหนุ่มแดนอาจซับน้ำตานักร้องหนุ่มไม่ทันด้วยซ้ำ งานนี้กระจอกข่าวอย่างเราๆ ท่านๆ เลยต้องขอซูมอินดูหน้ามือที่ 3 ให้ชัดๆ จะแจ้งไปเลยว่า ใครกันหนอริหาญกล้ามาขโมยหัวใจน้องแพทตี้ไปจากอกหนุ่มแดนไปได้จะเป็นคนนอกหรือคนในวงการกันนะ แต่พอเห็นรูปเท่านั้นแหละโอ้วแม่เจ้า ไม่จริงใช่มั้ย นี่มัน พี่บีมดีทูบี กวี ตันจรารักษ์ พี่ชายของน้องแดนนี่นา ทำไม ถึงเป็นเช่นนี้ไปได้ สิ่งนี้มีแค่ในนิยายหรือหนังจีนชุดอย่างศึกสายเลือด ,เพื่อนรักหักเหลี่ยมโหด ที่เคยดูกันเมื่อชาติปางก่อน ชัดๆ โอ้วโน แต่ก่อนจะตีโพยตีพายไปกว่านี้ เอ๊ะนั่นหนุ่มแดน นี่นา แล้วนั่นกล้องถ่ายหนัง ผู้คนทีมงานคับคั่ง อย่ากระนั้นเลยเราไปคุยกับหนุ่มบีมมือที่ 3 อุ๊บส์ต้นสายปลายเหตุกันเลยดีกว่าว่ามันยังไงกันแน่

          “ครับ จริงครับ ไม่ช่าย (หัวเราะ) มาถ่ายหนังกับน้องแพทตี้ครับ เป็นหนังเรื่องเดียวเลยครับที่เราเล่นด้วยกัน เป็นคู่รักกันครับ แดนเขาก็รับรู้ด้วยดีครับ เรื่องคืนวันเสาร์ถึงเช้าวันจันทร์ ก็ที่เขาเขียนบทและเป็นผู้กำกับเองนั่นแหละครับ เขาคงอยากให้ผมกับน้องเป็นแฟนกัน(หัวเราะ) ก็เล่นแป็นแฟนกันกับน้องแพทตี้ คนเป็นแฟนกันก็ต้องมีมาช็อปปิ้งกินข้าวเดินเล่นกันใช่ม๊ะ ก็อย่างเข้าฉากวันนี้ก็ไม่ได้คุยมาก คุยโวอะไร ผมก็จะเดินอยู่กับน้องแพทตี้ตลอดทั้งวัน แพทตี้แฟนใครก็คงจะรู้นะครับ พูดได้คำเดียวว่า ระวังไว้ละกันนะ ของตัวเองก็ต้องดูแลให้ดี ไม่ใช่ว่าเราจะมาคอยพูดอะไรเกินเลย ผมเรียกว่าอย่างนี้แล้วกันไม่ควรฝากปลาย่างไว้กับแมว (หัวเราะ) เอาเป็นว่าที่เห็นนี้ยังแค่จิ๊บๆ ถือเป็นการเข้าฉากยังไม่มากครับ มาทำความรู้จักกับน้องเขาด้วยในเรื่องผมเล่นเป็นปกป้องก็สมชื่อครับ เป็นที่คอยรักคอยห่วงใยปกป้องน้องเขาตลอดซึ่งก็คือน้องเพ็ญที่เล่นโดยน้องแพทตี้นั่นเอง”

          มีอะไรอยากพูดถึงน้องชายคนนี้แดน วรเวชที่ก้าวขึ้นมาเป็นผู้กำกับ

          “พูดถึงการรอคอยมาทำงานกับแดนต้องบอกว่าเขาเกริ่นมาตั้งนานแหละว่าจะชวนมาเล่นหนังนะ ตั้งแต่ตอนแรกเลยเคยชวนมาเล่นละครก่อน พี่บีมเดี๋ยวเรามาเล่นละครกันตั้งแต่ต้นปี54 จนเวลาผ่านไปปีหนึ่งก็ยังไม่มีอะไรเกิดขึ้น (หัวเราะ) มาปี 55 ต้นปี ชวนใหม่พี่บีมเล่นหนัง ผมก็บอกว่า จะให้รออีกปีเหรอ (หัวเราะ) ก็ไม่นะครับในที่สุดก็ได้มาเล่นด้วยกัน แล้วบอกว่าเขาจะเป็นผู้กำกับด้วย ตอนแรกผมก็คิดว่า จริงหรอ เราเห็นเขาทำมาหลายอย่างแล้ว แล้วเราก็อยากเห็นเขากำกับเหมือนกัน ก็ดีครับ ก็เขาก็เป็นคนที่ดี กำกับตัวเองเล่นเองด้วย วิ่งไปปุ๊บ เมื่อกี้ผมแอบดูเลยตอนเล่นตอนถ่าย ตัวเองเล่นไม่ดีปุ๊บด่าตัวเอง ทำไมเล่นอย่างนี้ ว่าตัวเอง เอากระจกมาส่องหน้า ทำไมเล่นอย่างนี้สอนไม่รู้จักจำ แดน วรเวช (หัวเราะ) พูดเล่นครับ ก็เห็นความตั้งใจของเขา เชื่อว่าเขาเต็มที่และงานต้องออกมาดีแน่นอนครับ”

          แหม ที่แท้เป็นฉากหนึ่งในหนังที่หนุ่มแดน กำกับ เรื่องคืนวันเสาร์ถึงเช้าวันจันทร์นี่เอง จะเป็นยังไงก็คงต้องติดตามกัน รู้แต่ว่าเป็นแนว HAPPY COMEDY ROMANTIC ดูแล้วหัวใจยิ้มๆ แน่นอน 9 สิงหาคมนี้ทุกโรงภาพยนตร์
« Last Edit: July 05, 2012, 04:57:34 PM by FB »

FB on July 10, 2012, 03:34:04 PM
สนุกเวอร์!!! แพทตี้ดี๊ด๊าสุดขีดควงแดน-บีม ถ่ายโปสเตอร์หนัง “คืนวันเสาร์ถึงเช้าวันจันทร์” ทีมงานเซ็ทฉากไฮไลท์อลังการสุดๆ



Teaser คืนวันเสาร์ถึงเช้าวันจันทร์

<a href="http://www.youtube.com/watch?v=kWSF07lYRAQ" target="_blank">http://www.youtube.com/watch?v=kWSF07lYRAQ</a>
 
          แดน วรเวช ดานุวงศ์ พร้อมส่ง “คืนวันเสาร์ถึงเช้าวันจันทร์”ภาพยนตร์ HAPPY COMEDY ROMANTIC จากค่าย สหมงคลฟิล์มอินเตอร์เนชั่นแนล ที่จะมาทำให้หัวใจของทุกคนยิ้มได้ไปกับเรื่องราวอารมณ์ดีมีเสียงฮา ล่าสุด แดน ขอนัดรวมพลนักแสดงนำคนสำคัญ แพทตี้ อังศุมาลิน สิรภัทรศักดิ์เมธา และ บีม กวี ตันจรารักษ์ มาร่วมถ่ายโปสเตอร์ภาพยนตร์ ในบรรยากาศที่เต็มไปด้วยเสียงหัวเราะของนักแสดงและทีมงาน อบอวลไปด้วยความอบอุ่นของคนกันเองที่ได้กลับมาเจอกันอีกครั้งหลังจากปิดกล้อง โดยเฉพาะสาวแพทตี้ อังศุมาลิน ที่ดูจะสนุกสนานป็นพิเศษได้ควงสองหนุ่มสองสไตล์ แดน-บีม ที่มาในลุคต่างกันสุดขั้ว แดนมาในชุดผู้ชายเท่เซอร์แต่ รั่วๆ ฮาๆ และบีมมาในแนวหล่อเนี๊ยบเฉียบกริ๊บ ให้แพทตี้ได้เลือกว่า คนไหนจะเป็นคนที่ “ใช่พอไหม” กับ อีกคนจะเป็นคนที่ “ใกล้พอเหรอ” ตามคอนเซ็ปท์เรื่อง

งานนี้ทางทีมงานได้ลงทุนเซ็ตอัพฉากไฮไลท์ที่ทั้ง 3 ตัวละครต้องมากุ๊กกิ๊กลักยิ้มบุ๋มกันขึ้นมาชนิดที่ว่าอลังการสุดๆในสตูดิโอราวกับยกฉากดังกล่าวมาจากในภาพยนตร์เพื่อถ่ายทำโปสเตอร์ในครั้งนี้เลยทีเดียว ซึ่งแต่ละฉากนั้นก็มีสีสันความสนุกสนานแตกต่างกันไป ทั้งเสื้อผ้าและฉากที่เนรมิตขึ้นมาอย่างสวยงาม ไม่ว่าจะเป็นฉากช็อปโดนใจของคนที่ใช่หรือคนที่ใกล้ของคู่บีมและแพ็ทตี้!!!!ที่จำลองเหตุการณ์ของคู่รักที่ใช้ช่วงเวลาวันหยุด ในการเลือกเสื้อผ้าให้กัน และกันในอารมณ์พ่อแง่แม่งอน หรือบะหมี่เย็นชามนี้ที่เธอคู่ควร!! ที่เราจะได้เห็นแดน-แพ็ทตี้-บีม ซู้ดบะหมี่แบบป่วนกวนฮาร่วมชามเดียวกัน ซึ่งแต่ละคนล้วนแข่งกันแอ็คท่าแบบไม่มีใครยอมกัน กินกันไปแซวกันไป กว่าจะได้ภาพที่เป๊ะโดนใจ ก็ต้องแย่งกันซู้ดซะจนท้องอิ่มเลยทีเดียว และฉากสุดท้ายการเซ็ทบาร์ริมทะเลที่ทั้งสามได้แอ็คท่าจิบค้อกเทลกันอย่างชิลๆ เท่ๆ ก่อนจะปิดท้ายด้วยช็อต ผลัดกันเขียนหน้าท้าความจริง ของแดนและแพทตี้ ซึ่งก็แย่งกันเขียนหน้าอีกฝ่ายแบบสู้สุดใจ แต่แฝงไปด้วยอารมณ์กุ๊กกิ๊กของคู่รักๆ ไปด้วย

          หนุ่มแดนได้เผยถึงการทำงานวันนี้ว่า “การทำงานวันนี้ เราก็ขอรวมฉากที่มีความสำคัญกับเรื่องนี้ยกมาไว้ที่นี่หมด ทั้งฉากร้านเสื้อผ้าซึ่งเป็นการช้อปปิ้งของคนเมือง ฉากบะหมี่นี่เราแทบจะยกมาจากบ้านที่เกาะกูดเลยครับ ส่วนฉากบาร์ริมทะเลนั้นฉากนี้ก็เป็นอีกที่สนุกที่สุดฉากหนึ่งของเรื่อง ก็อยากให้ไปติดตามชมกันในหนังนะครับ เรื่องของคืนวันเสาร์ถึงเช้าวันจันทร์จะบอกเล่าถึงช่วงเวลาพิเศษที่อาจทำให้เรารู้สึกวูบไหว ไปกับคนๆ หนึ่ง ทำให้เราต้องตัดสินใจเลือกเกี่ยวกับความรัก อาจจะสะกิดเบาๆ ให้นึกถึงว่าเราอยากได้คนรักแบบไหนกัน จะเป็น คนที่ “ใกล้” หรือ คนที่ “ใช่” ดีนะ”

          ส่วนสาวแพทตี้ก็ฝากถึงผลงานการเป็นนางเอกเต็มตัวครั้งแรกว่า

          “แพทก็อยากจะฝากเรื่องคืนวันเสาร์ถึงเช้าวันจันทร์ไว้ด้วยนะคะ เรื่องนี้ทีมงานทุกคนก็ทำงานเต็มที่สุดๆ ค่ะ เห็นดู ขำๆ เล่นกันจนไม่รู้ว่าทำงานอยู่รึเปล่าแบบนี้ ก็เพราะเป็นกองถ่ายที่ไม่เครียดค่ะ อยากสร้างงานที่ทุกคนเข้าไปสนุกในโรงภาพยนตร์แล้วจะ ได้รอยยิ้ม ได้เสียงหัวเราะกลับมาค่ะ อยากให้ไปดูกันนะคะ”

          เตรียมตัวค้นหาคำตอบของหัวใจในช่วงเวลาสุดพิเศษ“คืนวันเสาร์ถึงเช้าวันจันทร์” ทุกโรงภาพยนตร์ 9 สิงหาคม นี้

FB on July 10, 2012, 03:35:04 PM
“แดน” โชว์แมนลงทุนเปิดอกให้ “แพทตี้” ถีบเต็มๆ 5 เทครวด เปิดฉากรักแรกฮา “คืนวันเสาร์ถึงเช้าวันจันทร์”

 

          หนังโรแมนติคคอมิดี้ทั่วไป ผกก.มักจะปั้นฉาก LOVE AT FIRST SIGHT หรือการเจอะเจอกันครั้งแรกของพระเอกนางเอกให้ออกมาแนวรักหวานซึ้ง สุดประทับใจ แต่สำหรับ “คืนวันเสาร์ถึงเช้าวันจันทร์” นอกจากจะขอยกตำแหน่งผกก.หนังในแนว HAPPY COMEDY ROMANTIC ที่อารมณ์ดีสุดๆ ให้กับหนุ่มแดน วรเวช ดานุวงศ์ที่ทั้งเขียนบท กำกับภาพยนตร์แถมโดดลงมาเล่นเองแล้ว เราขอแถมตำแหน่ง “จอมรั่วไอเดียประหลาด” ให้กับผกก. หนุ่มไปอีกตำแหน่งพร้อมพ่วงด้วยว่าที่ผกก.หนังแอ็คชั่นคนใหม่ให้กับเสี่ยเจียง ณ สหมงคลฟิล์ม และปรัชญา ปิ่นแก้ว ก็เพราะอะไรนะเหรอพี่น้อง มีอย่างที่ไหน เล่นจับ แพทตี้-อังศุมาลิน สิรภัทรศักดิ์เมธา นางเอกสาววัยทีนหน้าหวานสุดแสนจะน่ารัก มาโดดถีบเท้าคู่กระโปรงเปิด ซะงั้น แถมเจ้าตัวยังบ้าพลังรับหน้าที่อวดความปึกส์ของแผงอกตัวเองให้สาวแพทสะดุดยอดอกไปเกือบ5เทคซ้อนๆ ในฉากที่พูดนิยามได้เต็มปากเต็มคำว่า เป็นฉากเจอกันครั้งแรกแถมยังเป็นฉากที่ตัวละครทั้งคู่มีการสัมผัสเนื้อตัวกันอีกต่างหาก เพียงแต่เป็นการสัมผัสแบบจุกเสียด และอาจมีสิทธิ์ระบมได้ โดยเป็นเหตุการณ์ที่ชวด ซึ่งรับบทโดย หนุ่มแดนเอง หลังจากแอบลับๆล่อติดตามผู้หญิงที่ตัวเองก็ยังไม่รู้จักขื่อซึ่งรับบทโดยแพทตี้ จนสบโอกาสที่จะเข้ามาประชิดตัวนางเอกของเรา แถมบรรยากาศรอบข้างเป็นใจ ไร้ซึ่งผู้คน ในที่จอดรถเปลี่ยวๆยามวิกาลซะขนาดนี้ ลองไปฟังจากปากของเขากัน

          แดน : ครับทีแรกก่อนทำหนังเรื่องนี้ผมก็คุยกับทางสหมงคลฟิล์ม และก็บาแรมยูนะฮะ ว่าผมจะทำหนังรัก แต่ไปๆ มาๆ ทำไมมีแอ็คชั่น ก็ต้องบอกว่าต้องลองไปดูกันนะครับ แนวไหนบ้างก็ไม่รู้เต็มไปหมด (หัวเราะ) ถามว่ายากไหมหนังรักที่มีฉากแอ็คชั่นแบบนี้ ก็ไม่ยากนะครับ มันก็เป็นเรื่องคิวนะฮะ ต้องใช้เวลาเป็นเรื่องของการซักซ้อมกันให้ดีๆ แต่ถ้าเป็นไปได้ผมก็ขอทำโรแมนติคคอเมดี้ไปเรื่อยๆ จะดีกว่า (หัวเราะ)
          หันมาถามทางนางเอกแพทตี้กันบ้างว่าเป็นฉากสุดท้ายของวันเลยหลังจากมาเข้าฉากตั้งแต่6โมงเช้า จนจะ 2 ทุ่มแล้วประมาณว่าเป็นฉากที่รอคอยเลย
          แพทตี้ ใช่แล้วค่ะก็เป็นฉากที่รอคอยตอนแรกก็ค่อนข้างกังวลอยู่
          แดน รอคอย ถีบพี่เหรอ
          แพทตี้ ไม่ใช่ รอคอยว่าจะถีบออกมาได้ไหม จะเทคตัวได้ไหมภาพจะออกมาเป็นยังไง แต่ก็อย่างที่เห็นน่ะค่ะ มีรอยเกือบทุกส่วนของร่างกาย
          แดน ไม่มีเซฟนะฮะ ไม่ต้องเซฟ เลย เฮ้ยเริ่มจุกแล้วเหมือนกันนะ
          แพทตี้ จริงเหรอ (หัวเราะ) ขอโทษนะคะ (ไหว้ แดน)
          แดน มันคงช้ำในน่ะฮะ ตอนนี้อาการมันยังไม่ออก แต่ดูพรุ่งนี้ละกัน (หัวเราะ)
          ตอนผกก.ชวนเขาบอกว่าให้มาเล่นหนังรัก แต่กลายเป็นว่าต้องมาเล่นบู๊ด้วยรู้สึกอย่างไรบ้าง เห็นบอกว่าเรื่องนี้มีเซอร์ไพรส์เยอะเลยตั้งแต่ชื่อหนังแล้วหนังอะไร “คืนวันเสาร์ถึงเช้าวันจันทร์”
          แพทตี้ ก็จริงๆ ก็ดีนะคะ ไปๆ มาๆ ก็รู้สึกสนุกดีค่ะแอบติดใจนิดหน่อย ที่ว่าได้ทำโน่นทำนี่ขึ้นมา สนุกดีเนาะ แต่ก็เจ็บหน่อยเพราะว่าถีบกันจริง ต้องสารภาพว่าจริงๆ ตอนแรกเราก็ไม่ได้ซ้อมมาก่อนนะคะ เพราะทีมงานเขาบอกว่าจะมีสแตนอินมาเล่นให้ แต่สุดท้าย ก็ไม่มี แล้วเราก็จะงงๆ
          แดน พี่เป็นคนบอกเองให้ไม่มี เพราะพี่คิดว่าหนูเล่นได้ พี่มั่นใจ
          แพทตี้ (หัวเราะ) นั่นล่ะค่ะแล้วก็เพิ่งมาซ้อม กันก่อนหน้านี้ แค่ก่อนเข้าฉากเลย แต่ก็ลองดู กะจังหวะดู แต่ก็โอเค ทุกคนช่วยกันเซฟอยู่แล้วค่ะ
          แล้วไม่กลัวว่าพี่แดนเขาจะเจ็บเหรอ
          แพทตี้ ไม่กลัวค่ะ กลัวแค่ว่าเท้าสูงเข้าไว้ๆ
          แดน เพราะลงต่ำเมื่อไหร่ล่ะก็ เลิกกองแน่ๆ
          แพทตี้ ใช่แล้ว
          แหมทุ่มเทซะขนาดนี้ทั้งผู้กำกับแดนทั้งนางเอกน้องแพทตี้ อย่างนี้ไม่ดูไม่ได้แล้ว “คืนวันเสาร์ถึงเช้าวันจันทร์” 9 ส.ค.นี้ทุกโรงภาพยนตร์เลยจ้า
« Last Edit: July 13, 2012, 03:26:44 PM by FB »

FB on July 11, 2012, 02:33:34 PM
ทีเซอร์ “คืนวันเสาร์ถึงเช้าวันจันทร์”

          บางทีอาจจะเป็นเพราะสนามแม่เหล็กของพรหมลิขิต ที่ดึงเรามาเจอกันผิดเวลา บางทีอาจจะเป็นเพราะเราต้องรอถามตัวเองว่าเขาใช่หรือไม่  บางทีอาจจะเป็นเพราะเราต้องการหาคนที่จะมี “จังหวะ” ตรงกับหัวใจ บางทีอาจจะเป็นมนต์เสน่ห์ใน...“คืนวันเสาร์ถึงเช้าวันจันทร์”

<a href="http://www.youtube.com/watch?v=kWSF07lYRAQ" target="_blank">http://www.youtube.com/watch?v=kWSF07lYRAQ</a>

          ภาพยนตร์ รั่วกันมันส์ รักกันมาก โดย แดน-วรเวช
          9 สิงหาคมนี้

Mv.พอ (Official Ost.คืนวันเสาร์ฯ)
<a href="http://www.youtube.com/watch?v=oQQOsikt0bs" target="_blank">http://www.youtube.com/watch?v=oQQOsikt0bs</a>

Slot Machine - พอ [Official Audio]
<a href="http://www.youtube.com/watch?v=KUxbwV6ZCYM" target="_blank">http://www.youtube.com/watch?v=KUxbwV6ZCYM</a>
« Last Edit: July 18, 2012, 03:15:26 PM by FB »

FB on July 11, 2012, 02:41:42 PM
บทสัมภาษณ์ “แดน วรเวช จาก คืนวันเสาร์ถึงเช้าวันจันทร์”



           ความฝันครั้งใหม่ของ แดน วรเวช ดานุวงศ์ การเป็นผู้กำกับและเขียนบทภาพยนตร์ครั้งแรกในชีวิต กับภาพยนตร์ HAPPY COMEDY ROMANTIC เรื่อง “คืนวันเสาร์ถึงเช้าวันจันทร์”
          Q: กว่าจะมาเป็นผู้กำกับภาพยนตร์ได้ในวันนี้ ต้องผ่านอะไรมาบ้าง เล่าให้ฟังหน่อยว่าเกิดอะไรขึ้นกับชีวิตตลอด 13 ปีในวงการบันเทิงของแดน วรเวชบ้าง
          ผมเข้าวงการครั้งแรก ตอนอายุ 17 ปีครับ เข้ามาก็มาเป็นนักร้องวง D2B ก็เพลิดเพลินกับการเป็นศิลปินอยู่พักหนึ่ง จนเริ่มได้รู้จักกับงานหลายๆ ส่วนมากขึ้น รู้สึกสนุกกับสิ่งที่เราได้เจอ รู้สึกว่าเราอยากมีโอกาสได้คิดบ้าง อยากลองใช้ความสามารถในด้านอื่นๆ บ้าง ซึ่งการทำงานเบื้องหลัง มันคือการทำงานด้วยสมองเกือบ จะ 100% นะครับ เริ่มแรกผมเริ่มสนใจการแต่งเพลง เห็นพี่เค้าแต่งเพลงกันแล้วสนุกจังเลย อยากเป็นนักแต่งเพลงบ้างก็ไปลองศึกษาครับ ผมเป็นคนขี้อายนะ อายที่จะเป็นคนถามใครก่อน ก็เลยเป็นพวกลักจำซะเยอะ (หัวเราะ) คอยแอบดู ว่า อ๋อ เขาทำงานกันยังไง ชอบไปแอบฟังพวกพี่ๆ ทีมงานเขาคุยกัน จริงๆ มันก็เป็นนิสัยที่ไม่ดี (หัวเราะ) แต่มันก็เป็นสิ่งที่เราทำมาตลอด อยากเป็นนักแต่งเพลงก็ต้องทำให้ได้แล้วก็ได้มีโอกาสแต่งเพลงแรกคือ “นายเจ็บฉันเจ็บ”
          แล้วก็พอรู้สึกว่าเราแต่งเพลงได้แล้ว สิ่งที่อยากทำต่อมาก็คือการเป็นโปรดิวเซอร์เพลง ซึ่งมันใช้กระบวนการความคิดที่มันใหญ่ขึ้นน่ะครับ แล้วก็เลยไขว่คว้าที่จะทำมัน ผมรู้สึกว่าเหมือนเป็นเกมชีวิตน่ะ เหมือนกับการ เราเป็นตัวๆ หนึ่งในเกมแล้ว เราต้องผ่านด่านไปเรื่อยๆ ในแต่ละด่านที่จะถึงก็จะมีบอส
          มีอุปสรรค์ต่างๆ มากมายให้เราต่อสู้แก้ปัญหา เพียงแต่ว่ามันเริ่มใหม่ไม่ได้บ่อยเท่านั้นเองครับ บางครั้งถ้าพลาดมันก็จะเกมโอเวอร์ถาวร (หัวเราะ) เพราะฉะนั้นเราก็ต้องรอบคอบกว่าการเล่นเกมมาก เมื่อมันทำให้เรารอบคอบแล้วเวลาเราเจอสิ่งต่างๆ มันก็จะทำให้เราแข็งแกร่งแล้วก็นิ่งขึ้น เมื่อก่อนผมเป็นคนใจร้อนกว่านี้เยอะครับ คิดจะทำอะไรก็ทำ ทำแล้วก็ ตายๆ (หัวเราะ) ในเกมมันก็ต้องหยอดเหรียญเล่นใหม่ตลอด แต่ว่าอย่างที่บอก ผมตายไม่เกินสองครั้งหรอกครับ จากนั้นก็สั่งสมประสบการณ์ มาเรื่อยๆ จนได้เป็นโปรดิวเซอร์เพลง เสร็จแล้วอยากทำรายการทีวี ก็ลองหาทางไปทำรายการทีวี อยากเขียนหนังสือ ก็เขียนหนังสือซะ ก็ได้เขียน อยากทำละครก็ไปทำละครซะ แต่การทำงานหลายๆอย่างทั้งหมดนี้ ผมไม่ได้เป็นคนโชคดีมากนะครับ บางคนนั่งอยู่เฉยๆ แล้วก็มีโอกาสมาหาแต่ว่าเราเป็นคนต้องวิ่งไปหาโอกาสซึ่งความเป็นศิลปินเพลงป๊อบ หรือบอยแบนด์มันมีส่วนในการไม่เชื่อมั่นของผู้ใหญ่อย่างสูง
          Q: หลายคนคนคิดว่าการเป็นศิลปินชื่อดังอยู่แล้วจะมีโอกาสเข้ามาหาได้ง่ายกว่าคนทั่วไป สำหรับแดนแล้วเป็นแบบนั้นรึเปล่า
          การเป็นแดน บางคนอาจจะบอกว่ามันง่าย ที่จะทำอะไรก็ทำได้ เพราะว่ามันคงมีโอกาสมากมาย ที่คุณจะทำได้แต่ว่าจริงๆ มันไม่ใช่เลย มันเป็นดาบสองคมมาก คือการเป็นแดนมันทำให้ทุกคนคิดว่า เราคงทำได้แค่ร้องเพลงไป เราต้องพิสูจน์หนักกว่าคนอื่นหลายๆ เท่า เราต้องพิสูจน์เยอะมากน่ะครับ ว่าจะทำไงให้เขาเชื่อเราว่าเราทำได้จริงๆ เพราะฉะนั้นงานเราถ้าเป็นคนอื่นเสนอไปเขาอาจจะคิดว่าโอเคละ แต่อย่างเราเนี่ยเขาจะเหมือนว่ามีกำแพงอะไรบางอย่างอยู่ก่อนว่า เอ้ย มันจะทำได้จริงเหรอ ก็เลยต้องสู้กับมันหนักหน่อย แต่ว่าก็สนุกดีครับมันก็เป็นเกมที่ยากแต่เราก็ผ่านมันมาได้
          Q: จากวันแรกจนถึงทุกวันนี้อะไรคือความเป็นแดนที่ไม่เคยเปลี่ยนแปลงไป
          สิ่งที่เป็นตัวผมและไม่เคยเปลี่ยนไปเลยนะครับก็คือผมเป็นคนขี้อายครับ ขี้อายมาก แต่ว่าเป็นขี้อายแบบเอาวะ! ทำก็ได้ ตั้งแต่เมื่อก่อนผมชอบโดนจับไปออกงานโรงเรียนตลอด ซึ่งทุกงานที่ผมโดน ผมไม่กล้าขึ้นเวทีเลยนะครับแต่โดนบังคับก็เอาวะก็ขึ้น (หัวเราะ) ขึ้นเวทีก็ไปเต้นๆ ได้สตางค์มาให้คุณแม่ โดนจับไปร้องเพลงก็ไป ตอนนี้จะขึ้นเวทีทุกครั้งทุกวันนี้ก็ยังตื่นเต้นมากนะครับ(หัวเราะ) พอพิธีกรประกาศขอเชิญแดน-วรเวช ก็เอาวะก็ขึ้นไป เหมือนผมจะกล้าๆ ดูคุยเยอะๆ ใช่ไหมแต่ก็อยู่ในอารมณ์เอาวะทำก็ได้เหมือนกัน อยากให้รู้เฉยๆ ว่า เผื่อว่างานไหนสายตาผมดูประหม่าๆ ก็แสดงว่าผมเอาวะไม่ไหวผมกำลังตื่นเต้นมากจริงๆ กำลังประหม่ามากจริงๆ นี่คือสิ่งที่ผมยังแก้ไม่ได้ครับ (หัวเราะ)
          Q: จริงมั้ยที่ว่าเราเป็นคนช่างฝัน ถึงขนาดว่ากันว่าชีวิตของแดน วรเวชขับเคลื่อนได้ด้วยความฝัน
          ชีวิตผมตอนนี้อยู่ได้ด้วยความฝันเลยครับ ผมว่าชีวิตผมมันมีคุณค่า ก็เพราะผมได้มีโอกาสได้คิดได้ฝันไปเรื่อยๆ ในแต่ละวัน และผมได้ทำความฝันให้มันเป็นจริง ส่วนใหญ่ฝันของผมมันจะไม่ใช่ฝันที่อยู่กับตัวเองน่ะครับ เวลาผมฝันที่จะทำงานแต่ละอย่าง มันจะมีภาพคนอื่นที่ผมรัก และก็คิดว่าเขาก็คงจะรักผม อยู่ข้างๆ ผมน่ะครับ ความฝันผมมันจะเป็นความฝันส่วนรวม มันเหมือนเรากำลังนำกองทัพอะไรสักอย่างไปสู้ พอเราได้ทำฝันเป็นจริงมันก็เหมือนกองทัพเพื่อนฝูงของเราเนี่ยไปช่วยกันทำมันให้สำเร็จ และถ้าเกิดความฝันนั้นมันเวิร์ค เราก็เฮด้วยกัน แต่ถ้าเกิดว่าความฝันนั้นมันทำไม่สำเร็จ ผมก็ยังโชคดีที่ว่าอย่างน้อยคนที่ไปกับผมทุกครั้งเขาก็ไม่เคยทิ้งผม (หัวเราะ)
          Q: จากการทำงานที่ผ่านมาของแดนแสดงให้เห็นว่าเป็นคนที่ทดลองทำงานใหม่ๆ ตลอดเวลา โดยส่วนตัวแล้วเป็นคนที่ชอบค้นหาสิ่งใหม่ๆ รึเปล่า
          คือผมเป็นคนที่ไม่ค่อยชอบทำอะไรที่มันเดิมๆ น่ะครับ จริงๆ ก็เบื่อง่าย ผมว่าชีวิตเรามันไม่มีวันเต็มนะครับ ถ้าผมบอกว่าชีวิตเราเต็มแล้วเมื่อไหร่ ผมว่าในแต่ละวันเราก็ไม่รู้จะตื่นมาทำไม ตื่นมาแล้วมันก็ เฮ้ย ชีวิตเรามีแค่นี้เหรอ ผมเลยอยากขยายชีวิตของเราให้มันมีพื้นที่ว่างให้มันใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ เช่น ผมบอกว่าผมเป็นนักร้องเนี่ย คนอาจจะบอกว่ามันประสบความสำเร็จถึงที่สุดแล้ว เพราะฉะนั้นผมประสบความสำเร็จตอนอายุ 18 ปี ถ้าผมหยุดแค่นั้นเนี่ย โห แล้วนี่ผ่านมาเป็น 10 ปี ผมคิดว่าผมเฉาตายแน่ ผมก็ขยายพื้นที่ มันทำให้เราสนุกกับการที่ชีวิตเรามีวันรุ่งขึ้น เราจะมีอะไรให้ทำอีก วันรุ่งขึ้นมันจะมีอะไรให้เราได้ลุ้น ให้ได้ท้าทายให้ได้สนุก ผมเป็นคนชอบเอาชนะตัวเองน่ะครับ ไม่ชอบแข่งกับคนอื่น “ผมสู้ใครไม่ได้แต่ผมว่าผมสู้ตัวเองได้” ก็เนี่ยล่ะครับผมว่ามันสนุกดี
          Q: ผ่านความฝันมาก็ไม่น้อยแล้วเริ่มต้นรู้ว่าตัวเองอยากเป็นผู้กำกับตั้งแต่เมื่อไหร่ และมีการเตรียมตัวอย่างไรบ้าง
          ฝันอยากเป็นผู้กำกับตั้งแต่เมื่อไหร่ น่าจะสัก 3 -4 ปี ก่อนหน้านี้น่ะครับ มันเกิดจากว่า เราดูหนังแล้วทำไมไม่มีใครทำแบบนี้นะ ทำไมไม่มีมุกนี้นะ จากนั้นก็คิดว่าสักวันต้องขอกำกับหนังบ้างแล้วล่ะ พอรู้ว่าอยากทำหนังก็ไปตระเวณกำกับหนังสั้น กำกับ MV ก่อน เพราะรู้ว่างานทำหนังมันเป็นงานใหญ่มาก ผมพอจะรู้ตัวเองว่าเราทำอะไรได้มากน้อยแค่ไหน วันนี้เราทำตรงนี้ได้ ตรงนั้นเรายังทำไม่ได้ ผมไม่อยากให้ใครมารู้สึกว่า โถ่ เอ้ย!กะแล้วว่ามันทำไม่ได้จริงๆ เพราะอย่างนั้นขั้นแรกก็คือ คือการเอาตัวเองไปสู้กับปัญหาก่อน หาปัญหาให้เยอะที่สุด เจอปัญหาให้เยอะที่สุด พอถึงงานที่มันใหญ่จริงๆ ปัญหาที่เจอก็จะกลายเป็นปัญหาเล็กๆ ก็เคยเจอๆ มาแล้ว เคลียร์มาแล้ว ซึ่งมันถือว่าได้ผลกับงานครั้งนี้ครับ มันทำให้ปัญหาของเราในกองมันไม่เยอะเท่าไหร่ จริงๆ มันอาจจะเยอะแหละแต่เรามองไม่เห็นมัน เพราะเรามองว่ามันเป็นปัญหาเล็กๆ หรือผมมองว่ามันไม่เป็นปัญหาสำหรับผมเลยก็ได้
          ขั้นที่สองคือเมื่อเราพร้อมแล้ว เราก็เดินไปคุยกับคนที่คิดว่าเขาจะเชื่อใจเรา แล้วก็พอดีว่า พี่ปรัชญา ปิ่นแก้ว เขาก็เชื่อใจเราว่าเราน่าจะทำงานได้ ก็ขอบคุณมากๆ นะครับที่เชื่อใจผม จากนั้นก็เป็นขั้นตอนเขียนบท ตอนเขียนนี่ก็ผมเขียนบทไม่เป็นเลยนะ ก็ไปหาบทละครเก่าๆ บทหนัง มาดู ประเด็นไม่ได้เกี่ยวกับไดอะล็อคจะเขียนยังไง แต่ประเด็นคือแบบ ต้องเขียนแบบฟอร์มว่า กลางวัน, ห้อง, ผมไม่รู้ว่ามันต้องทำยังไง (หัวเราะ) ต้องมีกี่ซีน ไม่รู้เลย คือต้องเริ่มใหม่หมดเลยครับ ตรงนี้แหละคือความสนุกของผม ถ้าทำได้มันคงสนุกดี ก็ค่อยๆ ทำค่อยๆ เขียนไป มันก็จะมีช่วงบางช่วงที่มันช็อต แบบว่าเฮ้ยไม่รอดแน่เลยว่ะ เราไปไหนไม่ได้ จริงๆ ก็ต้องขอบคุณเพื่อนๆ หลายๆ คนเวลาที่ผมเครียดเมื่อไหร่ ทุกคนก็พร้อมที่จะกระโจนมาหาผม ไปนั่งที่ไหนก็ได้ มาอยู่กับผม บางทีปรึกษาเพื่อนน่ะ....ช่วยอะไรไม่ได้เลยนะ แต่ละความเห็นแบบ...ไร้สาระมาก (หัวเราะ) แต่มันทำให้เรายิ้มน่ะครับ พอเรายิ้มเนี่ย ประตูมันเปิดมันมีแสงสว่างออกมา เราอารมณ์ดีแล้วเราเขียนต่อได้ ก็ต้องขอบคุณมากจริงๆ หนึ่งในนั้นเป็นหนึ่งในนักแสดงด้วย ก็คือแสดงเป็นพี่ถั่ว พี่ปอย (ณภัทร ปัทมสิงห์ ณ อยุธยา) แต่เขาก็ช่วยทำให้สมองผมพังไปหลายทีเหมือนกัน (หัวเราะ)
          Q: ก่อนจะมาเป็นคืนวันเสาร์นี่ใช้เวลา นานเท่าไหร่ และไอเดียที่มาของเรื่องราวครั้งนี้เป็นอย่างไรบ้าง แล้วมาลงตัวที่โปรเจ็คต์ภาพยนตร์เรื่องคืนวันเสาร์ถึงเช้าวันจันทร์ได้อย่างไร
          ตั้งแต่เริ่มเขียนบทผมเขียนพล็อตไว้หลายอันครับ พล็อตไปเรื่อยก็เป็นสิบร่างได้ครับ ใช้เวลาประมาณ 2 ปี ครับ ส่วนจุดเริ่มต้นหนังเรื่องนี้มันเกิดจาก ผมสนใจกับคำว่า “คืนวันเสาร์ ถึงเช้าวันจันทร์”ครับ ผมชอบชื่อเรื่องครับ ซึ่งผมไม่ได้คิด คนที่เอาชื่อนี้มาบอกผมคือพี่เอโกะ (สุภาพร เลิศฐิติวีรกานต์ –ไลน์โปรดิวเซอร์ ผู้ประสานงานสร้าง) เป็นคนบอกชื่อนี้มา เค้ามีแค่ชื่อเรื่องให้ผม แต่ผมติดใจเลยว่าชื่อเรื่องนี้น่าทำหนังนะ มันน่าจะดูมีอะไร พอเราได้คำนี้มา เราก็มาแตกประเด็นว่าทำอะไรได้บ้าง ก็ประชุมทีมงานกันว่าใครมีไอเดียอะไรโยนไอเดียกันมาได้เลยเพื่อทำพล็อตให้มันแข็งแรง แล้วก็ได้ไอเดียว่าสังคมยุคนี้ว่าความรักที่จริงจังมันได้หายไปมากมันได้โดนกลืนกินด้วยความรักฉาบฉวย สมมุติว่าคนเราคนนึงมีแฟนแล้ว มันมีสิ่งเร้าหลายอย่าง ทั้งผู้หญิงสวย ผู้ชายหล่อ แล้วดันมาจีบเราอีก หรือบางทีเรามีแฟนอยู่แล้วเราคบกันมานานแต่คุยกันแล้วไม่ค่อยโอเคเท่าไหร่ มันก็รักล่ะนะแต่ว่ามันไม่ได้ยิ้มเลย
          ทีนี้ผมเห็นเพื่อนผมเนี่ยแหละ เขาคุยกับใครก็ไม่รู้ เขาไม่รู้จักหน้าตา เขาเล่นเฟซบุค ทวิตเตอร์ ตอบกันไป ตอบกันมาแล้วทำให้เขาหัวเราะได้ แล้วก็มีความสุขกับการที่อยู่ตรงนี้ ทำให้คุยกับแฟนน้อยลงแล้วก็เล่นแต่โทรศัพท์มากขึ้น ซึ่งสมัยนี้มันเป็นแบบนี้ไปแล้ว เพราะฉะนั้นผมบอกได้เลยว่าคนเราสมัยนี้กิ๊กเยอะมาก แม้แต่ตัวเองจะมองว่าไม่ใช่กิ๊กก็ตาม แต่ผมถือว่าเป็นเพื่อนคุยที่เราให้ความรู้สึกบางอย่างมากกว่าแฟนเราด้วยซ้ำมั้งครับ ก็เลยนำประเด็นนี้มาเล่น ว่าถ้าเกิดคนๆ หนึ่งเขามีแฟนอยู่แล้ว แล้วในแต่ละวันแทบจะไม่ได้ยิ้มกับแฟนเลย เราควรจะอยู่แบบนี้กับแฟนคนนี้ต่อไปไหม หรือเราควรจะอยู่กับคนที่เรานั่งอยู่เฉยๆ แล้วเขาก็ทำให้เรามีความสุขได้ หรือการที่เราอยากจะปฏิเสธใครบางคนแต่ก็ยากที่จะห้ามใจเพราะว่าสิ่งที่เขาทำให้เรามันทำให้เรายิ้มได้
          แล้วผมอยากพูดถึงกรอบ ตัวตนของคนเราน่ะครับ ผมว่าคนเราทุกคนน่ะมีกรอบตัวเองเป็นชั้นๆ สำหรับคืนวันเสาร์ถึงเช้าวันจันทร์ก็จะมีเรื่องการระเบิดเกราะการป้องกันตัวของตัวเอง กะเทาะความเป็นตัวเองออกมาให้ได้มากที่สุด ภาพยนตร์เรื่องนี้มันก็จะเป็นเสนอข้อเท็จจริงของคนเรา เวลาที่เราอยู่กับคนที่เรารู้สึกชอบ ถ้าเราชอบเขาเมื่อไหร่เราจะไม่มีทางเอาตัวตนของเราเผยออกมา ในขั้นแรกเราจะแอ๊บๆ เก็บๆ ไว้ก่อน มักจะไปเปิดเผยกับเพื่อนสนิทของเรา ความเป็นตัวเองที่แบบบ้าสุดๆ เราจะไปอยู่กับเพื่อน จะไปอยู่กับคนที่เราไม่ได้สนใจเขา เราจะดีหรือไม่ดี ไม่สนใจอะไร เผอิญว่านางเอกของเรื่องนี้ดันหลุด เปิดความเป็นตัวเอง แบบนี้ให้กับตัวพระเอก แล้วทำให้ตัวนางเอกเองรู้สึกว่าสบาย ผมอยากให้ทุกคนเป็นแบบนี้จริงๆ เพราะว่าการเป็นตัวเองที่สุด มันทำให้เราอยู่ได้ตลอดไป มันสบายตัวมากเลยครับ คืนวันเสาร์ถึงเช้าวันจันทร์ก็เลยพูดประเด็นนี้แล้วก็มีอีกประเด็นที่ว่าคนเราจะตกหลุมรักได้ไหมในช่วงเวลาเพียงข้ามคืน
          แต่ความตั้งใจแรกของการสร้างเรื่องนี้เลยก็คืออยากให้ทุกคนมีรอยยิ้มให้ได้ก่อน เมื่อคุณดูภาพยนตร์จบไป เงินที่คุณเสียไปกับการดูภาพยนตร์เรื่องนี้จะทำให้คุณมีแรงที่จะทำงานต่อมีรอยยิ้ม พูดกับใครก็ยิ้มได้ ความสุขเหล่านี้มันจะเกิดมาจากตัวละครทุกตัวที่ผมได้สร้างขึ้นมา นิสัยของตัวละครหลายๆ ตัว มันคือเรื่องราวที่ผมได้ไปเจอมา และผมได้หัวเราะกับมันไปก่อนหน้านี้แล้วก่อนที่ทุกคนจะได้หัวเราะ ผมเจอคนจริงๆ ที่เป็นแบบนี้แล้วผมก็หัวเราะหัวทิ่มไปแล้ว แล้วผมก็เลยเอาสิ่งที่เจอนี้มาขยายความให้มันใหญ่ขึ้น เพื่อสร้างความสุขมากขึ้นเวลาเราเห็นตัวละครทุกๆ ตัว ในภาพยนตร์เรื่องนี้ผมบอกได้เลยว่าผมเจอมาหมดแล้วจริงๆ บางคนอาจจะแบบว่า เฮ้ยมันมีด้วยเหรอวะ มันมีจริงๆ ครับ มันมีแล้วน่ากลัวมาก (หัวเราะ) แต่รวมๆ แล้วเรื่องนี้เป็นภาพยนตร์ที่มองโลกในแง่ดีนะครับ

FB on July 11, 2012, 02:43:36 PM
          Q: การเป็นผู้กำกับนั้นเป็นงานที่หนักและรับผิดชอบสูง หลังจากที่ทำหนังแล้วรู้สึกเหนื่อยหรือท้อบ้างไหม
          คือการทำงานแบบนี้เรารับรู้อยู่แล้วว่ามันต้องเหนื่อยมาก คือเราเคยทำหนังสั้น กำกับละคร กำกับ MV มา เราก็รู้ว่ามันเหนื่อยประมาณหนึ่ง ต้องบอกว่าอันนี้มันเกินคาดมากมันเหนื่อยเกินคาด เหนื่อยแบบว่าหมดแรง หมดแรงจริงๆ ปิดสวิชต์เลย ทุกครั้งผมจะมีความสุขมากกับการไม่ต้องเล่น (หัวเราะ) แล้วก็นั่งดูมอนิเตอร์ นั่งขำคนอื่นที่ทำท่าทางตลกไป แต่คือมันดีตรงที่ ผมเหนื่อยแบบผมมีความสุขนะ เพราะฉะนั้นในทุกๆ วันเราก็จะแฮปปี้กับการเหนื่อยครั้งนี้ ผมว่ามันสะใจดี ดีกว่านั่งอยู่เฉยๆ แล้วตื่นมาตอนเช้า ลงมากินข้าวที่แม่ทำไว้ให้ แล้วก็นอนกลิ้งอยู่กับพื้น ทะเลาะกับแมว ผมว่าชีวิตแบบนี้มันเซ็งมากนะ ผมมีความสุขกับการเปิดกองถ่าย ตื่นเช้ามาคิวนึง กองถ่ายของผมมันทำให้คนมีรายได้เกิดขึ้นเยอะมากนะครับ คนที่มีส่วนกับคิววันนั้น ทุกคนมีรายได้เอาไปใช้ในชีวิต
          Q: นิยามคำว่าผู้กำกับ ของแดน ผู้กำกับภาพยนตร์ที่ดีต้องเป็นอย่างไร
          ผมว่าผู้กำกับก็ต้องซื่อสัตย์น่ะ ศรัทธา เชื่อในสิ่งที่ตัวเองจะทำ เชื่อมั่นกับชิ้นงานของตัวเอง ผมจะยอมไม่ได้คือถ้าผมทำงานชิ้นไหนแล้วผม ไม่อยากดูเนี่ย ผมจะรู้สึกว่าตัวเองผิดมากต่ออาชีพของตัวเอง นั่นหมายความว่าคุณเองยังไม่อยากจะดูเลย แล้วใครจะมาดูงานคุณ ผมก็ใช้วิธีนี้น่ะ ผมต้องอยากดูงานของตัวเอง ต่อให้มันผ่านไป 10 ปีก็ตาม ทุกวันนี้งานบางงานของผม ผมยังนั่งดูอยู่เลย ว่าอ๋อ เมื่อก่อนเราทำได้แค่นี้จริงๆ แต่เราก็มีความสุขว่าตอนนั้นเราก็ทำเต็มที่แล้วนะ ที่สุดแล้ว ถ้าซื่อสัตย์ต่องานของตัวเอง ศรัทธาเชื่อในงานของตัวเอง เชื่อในคนของตัวเอง คนที่ตัวเองเลือกมาดีที่สุดแล้ว แล้วอย่างที่สำคัญผมว่า ต้องมีการบริหารสภาพจิตใจที่ดี ห้ามเครียด เครียดได้แต่ห้ามให้คนอื่นรู้ว่าเครียดน่ะครับ เพราะไม่อย่างนั้นงานมันจะหดหู่น่ะ
          Q: ต้องขอให้เล่าเรื่องให้ฟังกันสักหน่อยแล้วล่ะ เรื่องราวใน “คืนวันเสาร์ถึงเช้าวันจันทร์” เป็นอย่างไรบ้าง
          เรื่องมันเกิดจากตัวละครที่ชื่อ ชวด ครับ ชวดทำงานเป็นครีเอทีฟรายการทีวี เป็นผู้ชายชิลๆ คนหนึ่งซึ่งเรื่องความรักเขาก็ไม่ได้ซีเรียสอะไร แต่วันหนึ่งเขามาเจอผู้หญิงที่เห็นแล้วกระแทกใจสุดๆ มองแล้ว โห น่ารักมาก ซึ่งคนนั้นก็คือต้นหลิว เขาก็คิดว่าผู้หญิงคนเนี้ยแหละใช่เลย ผู้ชายส่วนใหญ่เค้าจะเป็นแบบนี้นะ เห็นหน้าก่อนพอเป๊ะแล้วก็ใช่เลยกรี๊ดเลย แต่เป็นผู้ชายไงกรี๊ดออกมาไม่ได้เก็บอยู่ข้างในแล้วก็แอบคลั่งอยู่ คอยติดตามรายการ “ที่ซ่อนผี” ที่ต้นหลิวเป็นพีธีกรอยู่ทุกเทปทุกตอน อยากจะเข้าไปจีบเขาแต่เห็นทีไรใจสั่นตลอด เผอิญว่าเค้าไม่ได้เป็นคนที่กล้ามาก เหมือนเวลาคนเราชอบใครมากๆ ก็มักจะไม่กล้าคุยกับเค้า เพราะถ้าคุยจะรู้เลยมือจะสั่นปากจะสั่น ในหนังจะเห็นแล้วมันจะมีอาการแบบว่าแปลกๆ ที่เกิดขึ้น ชวดก็ทำทุกวิถีทางไม่รู้ว่าจะทำไงละ ก็ใช้วิธีแบบสมัยคุณยายละกันคือการใช้แม่สื่อ แล้วเขาได้เจอ เพ็ญ เพื่อนสนิทของต้นหลิว ก็ไปถามไถ่ข้อมูลต้นหลิวให้เพ็ญพาไปรู้จัก ซึ่งพอคุยกับเพ็ญมากๆ ก็เริ่มสนิทกัน แต่ทางเพ็ญก็มีแฟนอยู่แล้วชื่อ ปกป้อง แต่ความสัมพันธ์ของเพ็ญกับชวดก็ดำเนินไปอย่างบริสุทธิ์ใจเป็นเหมือนเพื่อนกัน และเขาก็คลั่งไคล้ต้นหลิวอยู่ แต่สักพักมันมีเหตุการณ์ที่ทำให้เพ็ญและชวดต้องไปใช้เวลาร่วมกัน “คืนวันเสาร์ถึงเช้าวันจันทร์ ความรู้สึกบางอย่างก็เริ่มเข้ามาเบียดข้างในหัวใจให้ตัวชวดเริ่มคิดว่า เอ๊ะเอายังไงดีวะเนี่ย
          Q: คิดว่าอะไรคือเสน่ห์ของภาพยนตร์เรื่องนี้
          เสน่ห์ของภาพยนตร์เรื่องนี้ นะครับ มุมมองของผมเองผมคิดว่ามันเป็นเรื่องของคาร์แร็คเตอร์มากกว่า ไม่ใช่ว่าเป็นเพราะผมเขียนเองนะครับแต่ผมว่านิสัยของตัวละครทุกคนในเรื่องเลยครับทำให้ผมอยากอยู่กับสิ่งแวดล้อมแบบนี้ อยากอยู่กับครอบครัวแบบนี้อยากอยู่กับเพื่อนแบบนี้ อยากอยู่กับที่ทำงานแบบนี้ ผมว่ามันเสน่ห์ ผมไม่รู้ว่าคนเข้าไปดูแล้วจะรู้สึกเหมือนผมรึเปล่า แต่ผมคิดว่าถ้าผมได้อยู่ในโลกแบบเนี้ยมันคงเพลินดีเนอะ
          Q: คาร์แร็คเตอร์ของเรื่องนี้ค่อนข้างจะมีสีสันทีเดียว แดนมีวิธีการดีไซน์คาร์แร็คเตอร์หลักๆ อย่างไรบ้าง
          ผมขอเริ่มที่เพ็ญก่อนนะครับ ผมนึกถึงผู้หญิงคนนึงที่คล่องๆ ผู้หญิงที่อยู่กับแฟนแล้วก็พยายามทำทุกอย่างเพื่อนแฟนโดยที่บางที ลืมว่าตัวเองเป็นใคร แต่คนที่กระตุกเค้าว่าคุณกำลังไม่ใช่ตัวเองนะก็คือชวดนั่นเอง ตัวผมเองผมชอบคุยกับผู้หญิง หรือว่าคนที่ตอบโต้ผมได้ ผมว่ามันสนุกดี เพราะฉะนั้นผมเลยสร้างตัวละครสองตัวที่เป็นคู่ต่อกรที่สมน้ำสมเนื้อกันเลยสร้างตัวเพ็ญขึ้นมา เราก็จะเห็นการสู้กันด้วยไดอะล็อคบางอันของชวดกับตัวเพ็ญในหนังครับ
          ต่อมาที่ตัวปกป้องเป็นตัวละครที่ผมคิดอยู่นานมากว่าจะให้ชื่ออะไร สุดท้ายก็มาตายตรงที่คำว่าปกป้อง หลายคนขำกับชื่อนี้มากเพราะชื่อมันเชย แต่ผมคิดว่านิสัยคนนี้เหมาะกับชื่อนี้มาก เขาพร้อมที่จะปกป้อง ดูแลใครสักคน แต่เผอิญว่าเขาลืมคำนึงว่า สิ่งที่กำลังทำ ดูแลปกป้องเขาเนี่ย เขาแฮปปี้มีความสุขกับสิ่งที่เรากำลังทำให้เขาไหม นั่นแหละครับคือปกป้อง แต่คนดูจะเห็นถึงความน่ารักของเขา เพ็ญไปตกหลุมรักหรือหลงเสน่ห์ปกป้องได้ ไม่ใช่เรื่องเงินแน่ๆ ครับ หลักๆ เลยคือเป็นความที่เป็นคนที่เอาใจใส่แล้วก็รับรู้ถึงความอบอุ่นที่เขาให้จริงๆ เพียงแต่ว่าสิ่งที่เขาให้ดันไม่ถามผู้รับเท่านั้นเอง นั่นคือความผิดเล็กๆ ที่ตัวปกป้องมี อยู่ที่ว่าเขาจะเคลียร์กันยังไงเท่านั้นเอง
          ส่วนตัวต้นหลิว ผมตามหาผู้หญิงที่เดินมาแล้วคนต้องมองน่ะ ต้นหลิวเป็นคนสวยมากแต่มาเป็นพิธีกรตามหาผีในบ้านร้าง ซึ่งหน้าเขาอาจจะไม่เหมาะกับการเป็นพิธีกรรายการแบบนั้นแต่ว่าผมรู้สึกว่า รายการผีพิธีกรต้องสำคัญนะ พิธีกรต้องเรียกคนดูต้องไม่ไล่คน ซึ่งต้นหลิวเวลาเขามองกล้อง เขาได้หมดเลย เขาได้ความรู้สึกนั้นหมดเลย ผมสร้างคาร์แร็คเตอร์ ง่ายๆ เลยเป็นคนที่มองโลกในด้านบวกอย่างเดียวเลยเป็นคนที่มีความสุขกับทุกสิ่งทุกอย่าง มีความสุขกับการคุยกับคน มีความสุขกับงานเป็นผู้หญิงที่ไม่เครียดเลย เป็นผู้หญิงมีสุขภาพจิตดี เพราะว่าผมต้องการคนที่มีรอยยิ้มจากแววตา ไม่อย่างนั้นคนที่อยู่รอบๆ เขาจะมองเขาด้วยรอยยิ้มไม่ได้
          Q: มาถึงงานยากอย่างหนึ่งของการทำหนังก็คือ การคัดเลือกนักแสดง ช่วยเล่าถึงขั้นตอนนี้หน่อยว่านักแสดงแต่ละคนนั้นเข้ามามีส่วนร่วมได้อย่างไนบ้าง
          เพ็ญสุดท้ายแล้ว ผู้หญิงคล่องแคล่วคนนั้นก็ได้น้องแพทตี้ อังศุมาลิน สิรภัทรศักดิ์เมธา มารับบทครับ ซึ่งก็ผ่านทางผู้ใหญ่หลายๆ ท่านแล้ว ทั้งพี่ปรัชญา เขาก็บอกว่าควรจะให้น้องแพทเล่น เพราะเขามีหลายๆ ส่วนที่ตรงกับคาร์แร็คเตอร์อยู่เหมือนกัน น้องเขาเป็นคนที่ร่าเริง ใครคุยด้วยก็ได้ จริงจังกับการทำงาน ตัวละครนี้เป็นเป็นตัวที่เล่นยากมากครับ ตอนผมเขียนผมไม่ได้คิดถึงใครเลย บทนี้ต้องทำหน้าทำตาพิลึก ต้องมีความสามารถในเรื่องของการบ้าได้สุดเหวี่ยง ที่สำคัญคือทำแล้วต้องมีเสน่ห์ต้องน่าดู ตัวละครตัวนี้ต้องอยู่ทุกสังคมได้ เป็นเหมือนจิ้งจกตุ๊กแก (หัวเราะ) เปลี่ยนสีได้ทุกสภาพแวดล้อม โดยที่อยู่แต่ละที่แล้วทุกที่ก็รักเขาด้วยนะ เพราะความสดใสร่าเริง ของเพ็ญเนี่ย ทำให้เขาอยู่ในทุกที่ได้โดยที่มีออร่าอะไรบางอย่าง ทำให้ทุกคนมองเขา
          สิ่งที่ตัวน้องแพทเองต้องแบกรับภาระมากว่าการท่องไดอะล็อคด้วยซ้ำก็คือการบริหารเสน่ห์ตัวเอง ครับ และยังมีบทแอ็คชั่นนิดๆ ดราม่าหน่อยๆ อีกด้วย ซึ่งน้องแพทเขาไม่เคยเล่นบทที่มันหลุดออกไปจากเดิม มันก็เป็นความสะใจอย่างหนึ่งของผมด้วยครับ ที่ผมจะได้เห็นเขาในสภาพนี่หรือนางเอก (หัวเราะ) แต่ผมว่าเลือกถูกคนแล้ว เดี๋ยวก็ต้องไปดูกันครับว่าจะออกมาเป็นอย่างไร
          Q: การทำงานร่วมกับแพทตี้ครั้งนี้เป็นอย่างไร แพทตี้ได้โชว์ความสามารถอย่างไรบ้าง
          ตอนแรกก็กะไว้ว่าตอนเล่นคอเมดี้ น้องคงจะเล่นไม่ได้ คงจะเขินๆ เล่นยาก แต่ปรากฏว่าซีนที่คอเมดี้จัดๆ กลับเล่นได้ กลายเป็นดราม่าที่ต้องใช้เวลาค่อนข้างนาน อาจจะเป็นเพราะหนังเรื่องนี้ใช้อารมณ์แบบพลิกสุดด้านมั้งครับ คือพอคอเมดี้ก็เป็นคอเมดี้แบบใช้ร่างกายใช้ทุกอย่าง ตัวละครต้องสนุกๆ จริง ผมจะถ่ายก็ต่อเมื่อนักแสดงและดูสายตาของทุกคนแล้วรู้สึกว่าเขาสนุกกับซีนนี้แล้ว ผมถึงเริ่มถ่ายทีนี้พอมาโซนความสุขมันอาจจะเยอะไปนิดมั้งครับ เขาก็พลิกกลับมาดราม่าไม่ทัน ดราม่าเขาก็ต้องใช้สมาธิเยอะหน่อย แต่ก็ผ่านไปด้วยดี ครับ ผมว่าเป็นความท้าทายของเขา
          Q: ถัดมากับบีมเข้ามารับบทได้อย่างไร การกลับมาทำงานร่วมกันพี่บีมครั้งนี้เป็นอย่างไรบ้าง
          พี่บีมภายนอกเนี่ยเขาใช่แน่เป็นผู้ชายลุคสะอาดสะอ้าน มีความรู้มีฐานะมีนิสัยที่มีความมุ่งมั่น เชื่อในบางอย่างในตัวเอง พี่บีมเขาก็เป็นคนแบบนั้น แต่สิ่งที่ได้มากกว่านั้นก็คือความน่ารักที่พี่บีมใส่เข้าไปให้กับตัวละครปกป้องครับ เวลาเขาสอนเขาจะสอนจริงจัง แต่ว่าท่าทางการแสดงของเขาถ้าได้ดูจะเห็นถึงความน่ารักของเขา ส่วนที่มาว่าพี่บีมเข้ามาเล่นหนังได้อย่างไร พอเราชวนเขามาเราบอกว่าเราทำหนังเขาก็มาเล่นเลยครับ พี่บีมอาจจะเป็นคนเดียวด้วยมั้งที่ชินกับความฝันไปเรื่อยของผม คือทุกสิ่งที่ผมทำมักจะผ่านหูพี่บีมมาแล้วทุกเรื่อง การทำหนังเรื่องนี้เขาก็ได้ยินมาก่อนและเขาก็แสดงความดีใจที่เรากำลังจะได้ทำความฝันอีกหนึ่งชิ้นของเรา เขาบอกว่าเขายินดีที่จะช่วยทุกอย่าง ก็ขอบคุณมากนะครับ แล้วเขาก็ทำเต็มที่จริงๆ เขาเป็นนักแสดงมืออาชีพมากๆ คืดผมเห็นเขาในมุมนี้แต่ว่าเขาพัฒนาขึ้นเยอะมาก เขาไม่ ยึดกับบทอย่างเดียวแต่เขาดีไซน์เยอะ เขาช่วยคิดเยอะมาก เอาแบบนี้ไหม แบบโน้นนี้ไหมแดน ซึ่ง...ผมไม่เอาเลย ล้อเล่นครับ (หัวเราะ) ตัวละครนี้ตอนเขียนก็ไม่ได้นึกถึงใครนะครับแต่พอต้องเลือกนักแสดงก็นึกถึงเขาเป็นคนแรกเลย
          Q: ในเรื่องนี้ยังมีอีกหนึ่งสาวสวยระดับซูเปอร์โมเดล มาร่วมเป็นหนึ่งในตัวละครสำคัญด้วย แดนช่วยเล่าถึงการทำงานกับน้องนุช นีรนาทกันสักนิด
          น้องนุช นีรนาท น้องเขาเข้ากล้องแล้วนี่ปิ๊งเลย ในบทน้องนุชต้องเป็นพิธีกรมืออาชีพครับแต่จริงๆ แล้วเขาเพิ่งเคยจะเป็นพิธีกรครั้งแรกในชีวิต ก่อนหน้านั้นเขาก็ไม่เคยรับงานพิธีกรที่ไหนเลย แต่เขาก็ทำได้เยี่ยมมากครับ ตอนเราถ่ายก็เหมือนถ่ายรายการจริงๆ มีป้ายบอกไดอะล็อคเหมือนเหมือนในรายการต่างๆ ให้เขาได้อ่าน แต่เขารู้มุมกล้อง รู้วิธีการพูด มุมไหนสวยน้องนุชจัดให้แป๊บเดียวผ่านครับสมแล้วที่เป็นซุปเปอร์โมเดล น้องนุชเนี่ยเป็นผู้หญิงที่ไม่ต้องมีไดอะล็อคพูดก็ได้ ยืนยิ้มอยู่เฉยๆ ก็สวยมาก เขาก็ส่งเสน่ห์ออกมาให้ทีมงานให้ทุกคนรับรู้ได้ว่าผู้หญิงคนนี้สมควรแล้วที่จะตกหลุมรักเขา เขาเสน่ห์แรงมากครับ มีอยู่ซีนหนึ่งขนาดเขาแค่นอนหลับยังสวยเลย! (หัวเราะ) จนทีมงานหลงบอกว่าสวยอย่างกับเจ้าหญิงนิทรา เป็นขวัญใจของกองถ่ายเลยครับ เวลาน้องนุชมาเข้าฉากทีไรจะมีคนมาขอถ่ายรูปคู่ด้วยตลอด

          Q: มาถึงตัวละครชวด กันบ้าง ทำไมถึงเขียนบทนี้ขึ้นมาและถ้าเป็นคนอื่นเล่นจะสามารถเล่นได้ไหม
          ชวดเป็นคนชิลครับ เขาเป็นคนที่เปลี่ยนงานบ่อยมาก เขาเป็นคนขี้เบื่อ ทำงานไปไม่ชอบเหนื่อยละก็ออก เขาก็ออกเขาอยากไปทำงานใหม่เขาก็ทำ ซึ่งเผอิญว่าเขาได้มาทำงานชิ้นใหม่หลังจากที่เขาเพิ่งลาออกจากงานเดิมของเขามา เขาก็โดนเพื่อนเขาที่ชื่อถั่ว มาชวนให้เขาไปทำรายการเรียลลิตี้หมาแพนดี้ ซึ่งก็อปปี้หมีแพนด้ามาเป๊ะเลย แต่เปลี่ยนมานั่งดูหมา หมาตัวนี้มันเป็นหมาที่ไม่รู้เป็นอัมพาตหรือเป็นโรคอะไรสักอย่างมันเป็นหมาที่ไม่ขยับเลย แม้แต่กระพริบตามันยังไม่ค่อยกระพริบเลย (หัวเราะ) พอเข้าไปทำงานวันแรกเนี่ยเขาก็ช็อคกับสิ่งที่เกิดขึ้น เพราะฉะนั้นเขาต้องใช้ความสามารถของตัวเองในการทำให้มันขยับให้ได้เพราะว่ามันไม่ขยับเลย มันจะไม่มีคนดูแน่นอนจะให้คนมาดูหมาแช่แข็งเหรอมันก็ต้องทำทุกวิถีทาง แล้ววิธีการของชวดมันก็ห่วยแตก (หัวเราะ) แต่เขาเป็นคนคิดเร็ว มีไหวพริบในการพูดการคิด เขาจะเป็นคนทำทุกอย่างรวดเร็วเขาถึงเหมาะกับการเป็นโปรดิวเซอร์เพราะต้องแก้ปัญหาตลอดเวลา
          ซึ่งบทนี้ผมเล่นเองครับ จริงๆ จะให้คนอื่นเล่นก็ได้เพียงแต่ผมคิดว่าผมน่าจะเป็นคนที่เข้าใจในบทที่ตัวเองเขียนได้ดีที่สุดแล้ว

FB on July 11, 2012, 02:45:34 PM
          Q: แฟนๆ จะได้เห็นเคมีทางการแสดงที่ลงตัวระหว่างแดนกับแพทตี้อย่างไรบ้าง
          ผมกับน้องแพทตี้เหรอครับ เข้าฉากกันเผอิญว่าอาจจะเป็นเพราะเราสนิทกันอยู่แล้ว คือเขามีความคุ้นเคยกัน พอคุ้นเคยกันเนี่ยการพูดจาการตอบโต้กันมันก็เร็ว การกำกับก็เลยง่ายขึ้นครับ ซึ่งช่วยในการทำงานมากเหมือนกันเพราะในบทมันมีช่วงเวลาน้อยมาก คืนวันเสาร์ถึงเช้าวันจันทร์ คนสองคนนี้จะมีความรู้สึกดีๆ ต่อกันได้ยังไง มันต้องเป็นเรื่องการเอาเคมีความเข้ากันได้ของตัวละครมาวัดกันเลยครับ ซึ่งงานที่ออกมาก็โอเคครับเรียกว่าพอใจในระดับหนึ่งเลย
          Q: นอกจากตัวละครหลักที่แดนตั้งใจเขียนออกมาให้เป็นสีสันใหม่ๆ แล้ว ยังมีตัวละครสมทบน่ารักๆ อีกเยอะช่วยเล่าถึงเหล่านักแสดงสมทบ และบทบาทของพวกเขาให้ฟังหน่อย
          ยาย - ยายของชวดที่อยู่ที่ต่างจังหวัดนะครับ ภาพแรกที่ตั้งใจให้เป็นคือยายต้องเป็นผู้หญิงหน้าซื่อๆ ใจดีๆ อบอุ่น น่ารัก แต่ก็ต้องแอบแสบเหมือนกัน ซึ่งยากมาก ตัวละครนี้หากันนานมากเลยครับ แล้วก็ผมก็ไปนึกถึงคุณแม่ขวัญจิต ศรีประจันต์ ขึ้นมา เพราะเราเป็นคนสุพรรณเหมือนกัน เรารับรู้อยู่แล้วว่าท่านเป็นคนยังไง แต่ยังไม่เคยเห็นมุมแอบเจ้าเล่ห์น่ะครับ ผมก็ไปหาคุณแม่ขวัญจิตที่สุพรรณเลย ไปพูดคุยได้เจอมุมที่น่ารัก แล้วก็ลองให้ท่านเล่นมุมเจ้าเล่ห์ดูสายตาอีกแบบก็ใช่เลยครับ ใช่มากๆ ก็เลยได้ร่วมงานกัน คุณแม่ก็เต็มที่ครับ ทำการบ้านมาดีมาก บทตัวยายเป็นบทที่ยาวมากครับ แต่คุณแม่ก็พูดได้แบบเป๊ะๆ เลย ท่านมีพรสวรรค์ในเรื่องนี้อยู่แล้ว อีกอันนึงที่ท่านมีคือความทะลึ่งครับ (หัวเราะ) ท่านมีความสามารถในเรื่องทะลึ่งที่น่ารักมากๆ คือภาพยนต์เรื่องนี้มันอาจจะมีความทะลึ่งนิดๆ หน่อยๆ ตามสไตล์ของวัยรุ่นทั่วไปอ่ะครับ ท่านก็เล่นออกมาได้น่ารักมากครับ จนผมอยากกอดน่ะ ผมเล่นเรื่องนี้ผมก็อยากกอดยายตัวเองเลยล่ะครับ
          พ่อแม่ คุณพ่อคุณแม่ของเพ็ญนะ อีกสองตัวละครที่ผมรักมากเหมือนกัน เพราะว่าครอบครัวนี้มีความสุขมาก คุณพ่อคุณแม่รักกันอยู่ด้วยกันสองคนกุ๊กกิ๊ก เมื่อเรากลับบ้านมาเหนื่อยๆ ท่านก็สามารถสร้างรอยยิ้มให้กับเราได้ และนอกจากสร้างรอยยิ้มแล้วเวลาเรามีปัญหาท่านสามารถสอนเราได้ ทีนี้เรื่องการหานักแสดงเนี่ยก็ยากมากเหมือนกัน จะทำอย่างไรให้ดูอบอุ่นสนุกน่ารัก แต่ว่าผมแค่อยากได้ทางใหม่ ความรู้สึกใหม่ๆ ที่เราไม่เคยเห็นคุณพ่อคุณแม่ในหนังแบบนี้ ผมเลยเลือกนักแสดงคนหนึ่งซึ่งเป็นนักแสดงใหม่คือพี่ตึ้ง (ธนศักดิ์ อุ่นอ่อน) เขาก็อยู่ในวงการแวดวงนี้แหละแต่เป็นนักพากย์ครับ เช่นรายการทีวีแชมป์เปี้ยนก็เป็นเสียงเขา เขาไม่เคยแสดงภาพยนตร์มาก่อนเลย ผมได้มีโอกาสไปพากย์หนังกับเขาน่ะครับ แล้วก็เจอเขา ได้เห็นอะไรบางอย่างของเขา ความมีเสน่ห์ และหน้าตาก็เป็นคุณพ่อน้องแพทตี้ได้ ก็ชวนเขามาแล้วเขาเล่นแบบถูกใจมากน่ะครับ เล่นน่ารักมากเล่นดี ผมชอบเลยครับ คุณแม่ก็เหมือนกัน คุณแม่คือพี่เจี๊ยบ (นนทิยา จิวบางป่า) พี่เจี๊ยบนี่ก็น่ารัก วันแรกนี่พวกเขาไม่เคยเจอกันมาก่อนเลย เหมือนเขาแทบจะไม่รู้จักกันมาก่อนเลย แต่เขาเจอกันดูรักกันเลยน่ะครับ สนิทกันมากแล้ว ด้วยความเป็นมืออาชีพของเขาน่ะครับ เขาก็ทำความสนิทสนมกันเองเวลาเขาเล่น เขาก็ดูน่ารักจริงๆ เป็นพ่อแม่ที่แกล้งกันหยอกกันตลอดเวลาน่ะครับ
แจ็ค ตัวละครแจ็ค เป็นเจ้าของรายการที่เพ็ญมาทำงานด้วย เขาเป็นเจ้าของรายการเต้นแอโรบิคพ่วงการขายสินค้า ที่มีท่าเฉพาะตัวที่ไม่ค่อยน่าเต้นตามเท่าไหร่ บทนี้ได้พี่กอล์ฟ ฟักกลิ้งฮีโร่ (ณัฐวุฒิ ศรีหมอก) มาเล่น เขาเป็นเจ้าของบริษัทที่พรีเซนต์ความเป็นตัวเอง ที่ใช้คาแร็คเตอร์ของตัวเองเป็นจุดขาย หลังๆ นี้เราก็เห็นเจ้าของสินค้าหลายๆ คนเอาตัวเองเป็นพรีเซนเตอร์แล้ว และแจ็คเองก็เป็นแบบนั้น และก็ไม่ได้เป็นคนซีเรียสอะไรเป็นคนที่ทำงานกับลูกน้องสบายๆ เขาจะมีสองบุคลิก คือตอนที่เป็นผู้บริหารก็เป็นผู้บริหารที่ขรึมๆ น่ะครับ นิ่งๆ แท่ๆ หน่อย แต่พอตอนที่เขาต้องไปรายการแอโรบิคของเขาจะปลดปล่อยความเป็นตัวเองเต็มที่ กอล์ฟนี่สนิทกันอยู่แล้ว เป็นเพื่อนกัน เพราะฉะนั้นเรารู้ทางอยู่แล้วว่าเขามาทางไหน แต่นี่คืออีกตัวละครที่เหนือความคาดหมายจากตอนที่ผมทำบทน่ะครับ เวลากอล์ฟเล่นเขามีความสามารถในการพูดไดอะล็อค การใช้เสียงที่สูงต่ำหนักเบา เขามีความสามารถเรื่องนี้มาก เพราะฉะนั้นเวลาที่เขาขาย สินค้าของเขาหรือการที่เขาพูดกับลูกน้อง มันดูแล้วมันก็น่าซื้อของเขาจริงๆ ถึงแม้ว่าของมันจะดูแปลกๆ แต่มันก็น่าสนใจ ก็ดีใจที่ได้กอล์ฟมาช่วยกัน ขอบคุณมากครับ
          Q: นอกจากเขียนบท กำกับนักแสดงและกำกับภาพยนตร์แล้วยังแสดงเองด้วยแต่ไม่ใช่แค่นี้ได้ข่าวมาว่าในภาพยนตร์เรื่องนี้แดนเข้าไปมีส่วนร่วมในทุกๆ ส่วนของภาพยนตร์เลย
          การทำงานในเรื่องนี้นอกจากงานผู้กำกับแล้ว เผอิญว่าผมเป็นคนเขียนบทเองด้วยก็เลยจะรู้ภาพที่ต้องการในหัวมากที่สุด ก็เลยเข้าไปช่วยการทำงานในส่วนอื่นๆ ด้วย ไม่ได้อยากไปยุ่งกับตำแหน่งอื่นๆ นะครับ เราก็เคารพในหน้าที่ซึ่งกันและกัน และทีมงานแต่ละคนผมก็เลือกมาเอง เพราะเราเห็นความสามารถของเขาอยู่แล้ว ถือเป็นการช่วยกันมากกว่า ได้ทำในหลายส่วนครับทั้งในเรื่องของการหาโลเคชั่น
เราจะได้เห็นอะไรบ้าง แน่ๆ เลยนะครับเหตุการณ์ “คืนวันเสาร์ถึงเช้าวันจันทร์” ก็ไปเกิดกันที่ เกาะกูด จังหวัดตราด นะครับ การเดินทางไปยากลำบากมากจริงๆ มันยากมากอย่างนักแสดงก็เป็นชั่วโมงแล้วกว่าจะเดินทางไปถึง แต่ที่หนักกว่านั้นก็คือรถขนเครื่องปั่นไฟ รถขนอุปกรณ์ต่างๆ 20 กว่าชั่วโมง ที่ลอยอยู่บนแพ ข้ามวันข้ามคืนว่าจะข้ามมาถ่ายทำกันได้ครับ แต่การที่ได้ฉากที่นี่ผมคิดว่าคุ้มมากเพราะเกาะนี้นอกจากจะมีความสวยงามแล้ว มียังมีความพิเศษอีกเยอะครับเกาะนี้ไม่ได้มีแต่ทะเลอย่างเดียวยังมีภูเขา มีแม่น้ำ มีป่าโกงกาง และที่สำคัญยังมีความบริสุทธิ์ ความเจริญยังเข้าไปไม่ถึงมากนัก มีบรรยากาศที่แตกต่างกับกรุงเทพมาก เหมาะกับการที่ตัวละครจะมีช่วงเวลาพิเศษกันที่นี่ ได้หนีจากความวุ่นวายของเมืองใหญ่เหมือนหลุดมาอีกโลกนึงครับ แต่การทำงานก็ลำบากไม่ใช่เล่น ถนนในเกาะไม่ค่อยดีนัก บางส่วนไม่มีถนนเข้าไป โดยเฉพาะด้านริมหาดติดหน้าผา ไม่มีถนนที่รถใหญ่เข้าได้ เข้าได้แต่มอเตอร์ไซด์ เพราะฉะนั้นของบางอย่างเนี่ย ก็ต้องใช้แรงคนแบกครับ แบกอ้อมเขาไป ช่วยกันแบกสายไฟขึ้นไปบนเขา ต้องไปแหวกหญ้าถางทางทำทางลงจากหน้าผาเพื่อให้ได้ภาพที่แตกต่างและสวยที่สุดครับ แต่ก็ทุลักทุเลกันพอสมควร (หัวเราะ) การทำงานมันก็ยาก แต่คุ้มค่าครับผมหาโลเคชั่นนี้นานพอสมควรเลยทีเดียวกว่าจะลงตัว ส่วนหนึ่งเพราะไม่อยากไปในที่ๆ เขาถ่ายหนังหรือคนไปกันเยอะๆ เพื่อภาพที่ออกมาจะได้สวยและสดใหม่มากที่สุดครับ โลเคชั่นทะเลของเรายังมีอีกที่ครับ ก็คือที่ ปราณบุรี จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ เป็นฉากบาร์ริมทะเล ซึ่งกว่าจะหาที่ได้ก็ลำบากเช่นกัน ต้องขับรถเข้ามาจากชายหาดรถก็มีติดหล่มกันไปบ้าง ฉากนี้ จริงๆ แล้วเป็นพื้นทรายโล่งๆ เปล่าๆ แต่นี่ทำการเซ็ตฉากขึ้นมาใหม่ทั้งหมด ใช้เวลาสร้างประมาณ 2 สัปดาห์ เพราะมันยากอยู่นะครับกับการสร้างบาร์บนพื้นทราย แถมมีเรื่องของน้ำขึ้นน้ำลงมาเกี่ยวอีกด้วยต้องวางแผนก่อสร้างกันให้เป๊ะเลยว่า สร้างแล้วน้ำจะไม่ท่วม ก็ต้องยกเครดิตทีมอาร์ตเขาครับเก่งมาก
          นอกจากนั้นฉากของเราก็จะเป็น ก็เป็นกิจกรรมในเมืองเป็นห้างกลางกรุง และสถานที่เที่ยวที่ช้อปปิ้งของคนรุ่นใหม่อีกหลายแห่ง ให้เห็นไลฟ์สไตล์คนเมือง ทั้งดูหนัง ทานข้าวฟังเพลง ก็เป็นชีวิตสองฝั่ง ที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง ได้ความรู้สึกที่แตกต่างกันออกไปเราก็จะได้เห็นชีวิตสองฝั่งชีวิตที่ดูแล้ววุ่นวายมากๆ กับฝั่งที่อยู่แล้วนิ่งๆ สงบๆ ให้เลือกกันได้ตามความชอบครับ

FB on July 11, 2012, 02:46:22 PM
          ส่วนเรื่องหน้าเรื่องทรงผมการแต่งกายอะไรก็มีส่วนบ้างก็มีไปซื้อของเองด้วยครับเพราะเสื้อผ้ามันก็เป็นการบอกบุคลิกของตัวละครได้ ยกตัวอย่างชวด ตัวผมเอง เสื้อผ้าจะเป็นวินเทจ (Vintage) นิดๆ ที่เลือกเป็นวินเทจมันเป็นเรื่องของการค้นหา บ้างครั้งการตามหาสิ่งที่ถูกใจก็ต้องรอเวลาเลือก ส่วนตัวของเพ็ญนะ ก็เป็นเรื่องของความสดใสร่าเริง เสื้อผ้าก็จะเป็นที่เราดูแล้วรู้ก็จะเป็นเสื้อผ้าที่ดูแล้วคล่องแคล่ว ส่วนเสื้อผ้าของ ต้นหลิว จะเป็นออกแนวเซ็กซี่หน่อย เพราะเป็นคนที่มีความมั่นใจในตัวเองสูงมาก มั่นใจว่าฉันสวยที่สุดในโลก เสื้อผ้าก็จะจะเปิดไหล่ ผ่าหน้า ผ่าหลัง ส่วนปกป้อง ก็จะเป็นผู้ชายอบอุ่นนะครับ เสื้อผ้าก็จะเป็นสุขุม นุ่มลึก ดูเรียบร้อยอ่อนโยนครับ
          Q: หนังแดน วรเวชกำกับเองทั้งทีมีเพลงประกอบภาพยนตร์ให้แฟนๆ ได้ฟังกันบ้างไหม
          อีกอย่างหนึ่งที่เป็นเสน่ห์ความพิเศษของเรื่องคืนวันเสาร์ถึงเช้าวันจันทร์ เป็นเรื่องของเสียงเพลงครับ ผมได้เพื่อนๆศิลปิน มาร่วมพูดคุยถึงไอเดียว่าอยากได้เนื้อหาแบบไหน ดนตรีแบบไหน แนวไหนก็พูดคุยกันจนได้เพลงประกอบภาพยนตร์มา 3 เพลง สามแนว จาก วง Slot Machine มากับเพลงเร็วสนุกๆ และยังมาร่วมมาแจมในหนัง งานนี้คุ้มครับมาดูหนังแต่ได้ชมคอนเสิร์ตไปด้วย จากนั้นก็มีเพลงสากลเพราะๆ ของวง Sobic ศิลปินเดนมาร์กหัวใจไทย ที่ผมก็ได้ถ่าย MV ประกอบภาพยนตร์เอาไว้ระหว่างถ่ายทำ และสุดท้ายเพลงช้าสุดพิเศษ จาก ซิน วง Singular ที่มาช่วยถ่ายทอดอารมณ์หนังออกมาเป็นบทเพลงได้ไพเราะมากอยากให้ลองติดตามฟังกันครับ
          Q: มีข่าวแอบบอกมาว่าการทำงานหนังเรื่องนี้แดนเป็นคนละเอียดมาก ทุกอย่างต้องเป๊ะๆ มีในจุดไหนที่เราใส่ใจเป็นพิเศษบ้าง
          จริงๆ ผมก็ใส่ใจตลอดนะครับ เพียงแต่ว่าฉากที่ต้องละเอียดหน่อยอาจจะเป็นเรื่องของฉากที่เกี่ยวข้องกับการทำอาหาร ยกตัวอย่างฉากบาร์ละกัน ซีนนี้มีเรื่องของการชงเหล้ามีเทคนิคของการชงเหล้า เราก็อยากให้มันสมจริงขึ้นมา ทีมงานก็เลยไปเชิญบาร์เทนเดอร์ตัวจริงจากโรงแรมดังแห่งหนึ่งขึ้นมา เพื่อให้ได้สูตรที่เป๊ะที่สุดเท่าที่จะทำได้ ก็ออกมาเป๊ะจริงๆ ดูน่าตื่นตามากครับ ผู้ชมจะได้เห็นการทำค้อกเทลที่ผมว่าปกติแล้วไม่ได้หาดูกันง่ายๆ หรอก มีการตั้งแก้วเป็นทาวเวอร์ รินเหล้าให้ไหลลงมาเป็นระดับแล้วจุดไฟ หรือค้อกเทลหน้าตาแปลกๆ อีกหลายตัว ก็ต้องไปลองดูกันครับ
          Q: มีคนเมาท์มาว่า ผู้กำกับสั่งได้ทุกคนเลยนะแต่ลืมบทของตัวเอง จริงรึเปล่า
          มันเป็นอย่างนี้ครับ (หัวเราะ) เล่าให้ฟังคือวันนี้เราใช้สมาธิเยอะมากอ่ะแล้วมีอยู่ซีนหนึ่งก็ ตกใจตัวเองเหมือนกัน คือมันเป็นซีนร้านกาแฟคือวันนั้นมันเร่งมาก เราก็ไปบรีฟทุกคน ทุกคนซ้อมเสร็จหมดละ เราก็พร้อมแล้วใช่ไหม เราก็ไปนั่งที่แค่รู้ว่าตัวเองนั่งตรงไหนมันอยู่ในหัวเรา เราก็ไปนั่งเสร็จปุ๊บ พอเค้าแอ็คชั่นปุ๊บ เฮ้ยไม่มีอะไรอยู่ในหัวเลย เราลืมไปว่าเราต้องเล่นด้วยไง เราต้องเล่นแล้วเราก็มีไดอาล็อคยาวมาก ก็ต้องพักแป๊ปนึงที่คนอื่นซ้อมมาลืมหมด แต่ผมต้องไปนั่งท่องบทใหม่เพราะว่า เราลืมนึกถึงตัวเอง พอแอ็คชั่นเฮ้ยลืมไปว่าตัวเองต้องนั่งอยู่ในเซ็ทด้วยไง เนี้ยมันก็มีเหตุการณ์อยู่บ้างประปรายครับ (หัวเราะ)
          Q: มีเรื่องเครียดที่เกิดขึ้นในกองบ้างไหม ที่ไม่อยากให้ทีมงานรับรู้
          แน่นอนว่า การทำงานก็ต้องมีช่วงเวลาที่เครียดบ้าง แต่ว่าเราไม่ควรเครียดให้กับทีมเราเห็น ผมอยากให้ทำงานทำให้ทุกคนมีความสุขที่สุด จริงๆ ก็มีปัญหาเกิดขึ้นหลายอย่างระหว่างในการถ่ายทำ เช่น ผมป่วย แต่เราก็ต้องไม่บอกให้ทีมงานรู้เราจะโดนเป็นห่วง เราก็จะรู้สึกว่าทำอะไรแล้วไม่ค่อยสะดวกเท่าไร ผมเลยรักษาตัวเองด้วยเสียงหัวเราะของตัวเองมันก็จะหายดีเอง แล้วก็ปัญหามันเกิดขึ้นเยอะมาก จะถ่ายไม่ทันเอย ของบางชิ้นไม่ได้ เสื้อผ้าโดนปั่นในล้อรถมอเตอร์ไซค์ ซึ่งเรากำลังจะถ่ายแล้วในซีนต่อไป เป็นเสื้อนางเอกด้วย แล้วอยู่เกาะกูดด้วยจะหาเสื้อผ้ายังไง มีเรื่องเยอะมากแล้ว แต่เราห้ามเครียดเด็ดขาด เป็นสิ่งที่คอยบอกตัวเองไว้ตลอดว่าถ้าเราเครียดจนทนไม่ไหวจริงๆ เราต้องเดินไปที่อื่นครับ เราต้องไม่ยืนตรงที่มีคนเยอะครับ เดินไปหัวเราะกับคนอื่นไปแกล้งไปอำใครเพื่อไม่ซีเรียสและให้กองไม่ซีเรียส เพราะสิ่งที่ผมต้องการคืออยากให้บรรยากาศกองมันดีที่สุดครับ
          Q: การทำงานเรื่องนี้ต้องแลกด้วยอะไรบ้าง
          สิ่งที่ต้องแลกก็คือเราต้องทำเพลง ทำอัลบั้มต้องใช้สมาธิว่าเราสามารถแต่งเพลงนึงเสร็จได้แต่ว่ามันจะออกมาไม่ดีที่สุด ผมก็เลยคิดว่าผมควรจะทำออกมาทีละชิ้นทีละอันดีกว่านะครับ ถึงแม้ว่าจะโดนดูดพลังไปทั้งร่างกายแต่ว่าสิ่งที่ได้กลับมามันก็เป็นความสุขที่เราได้ทำงานได้เห็นคนอื่นยิ้ม แล้วก็ถามว่าคุ้มไหมกับการที่เราแลกมา ผมว่าคุ้มมากครับ
          Q: มุมมองของแดนเปลี่ยนไปไหมจากก่อนทำหนัง
          หลังจากที่ทำหนังเสร็จแล้วก็สิ่งที่ได้แน่ๆ คือความสุขที่เราได้ทำ ทำมันแล้วก็ได้อย่างที่เราต้องการ ถามว่าแล้วเราจะทำงานกับมันต่อไหมในเรื่องที่สองหรืออะไรยังไงมันก็ ก็ต้องบอกจริงๆ ว่าการทำงานแบบนี้เป็นการทำงานเหนื่อยมากนะครับ หนังเรื่องมันใช้พลังงานเยอะมาก พลังงานคน พลังงานใจ พลังงานสมองมากมาย แต่ก็ถือเป็นงานที่ดีนะครับ เป็นงานที่จุดประสงค์สุดท้ายของการสำเร็จชิ้นงานก็คือการสร้างความบันเทิงให้กับคุณทุกคนที่ได้ดูผมก็เลยรักงานนี้เหมือนกัน
          จะทำหนังต่อไหมมันอยู่ที่เรามีแรงแล้วมีเรื่องอยู่ในหัวไหม ผมทำเมื่อผมรู้สึก ผมทำเมื่อผมคิดได้ เพราะว่าผมคิดว่าผมทำงานศิลปะอยู่อาจต้องรอกับวันที่ผมนึกอะไรที่มันออกจริงๆ แล้วเราก็ค่อยทำ จริงๆ วันนี้ครับก็สุดพลังแล้วก็ฝากติดตามกันด้วยแล้วกัน
          Q: เมื่อได้ยินคำว่า “คืนวันเสาร์ถึงเช้าวันจันทร์” ในครั้งแรก รู้สึกอย่างไรบ้างและคิดว่า เวลาสั้นๆ สามวันสองคืนนั้นจะทำให้คนเราตกหลุมรัก กันได้รึเปล่า
          ได้ยินคำว่าคืนวันเสาร์ถึงเช้าวันจันทร์เรานึกถึงอะไรเรานึกถึงช่วงเวลาอะไรบางอย่างที่เป็นช่วงเวลาปาฏิหาริย์ ช่วงเวลาของความพิเศษอ่ะครับ คุณจะคิดถึงสิ่งนี้ เพราะฉะนั้นในหนังผมก็จะสร้างหนังให้มันเป็นอะไรที่มันเหมือนการทัวร์ที่น่าจดจำจนไปเล่าต่อให้คนอื่นฟังได้ไม่มีเบื่อ
          หากถามว่า 3 วัน 2 คืนนี้ คนเราจะรักกันได้ไหม ผมว่า 3 วัน 2 คืนนี้คนเรารักกันไม่ได้แต่ตกหลุมรักกันได้ ผมบอกไม่ถูกแต่มันไม่ใช่รักที่แบบรักคุณแบบรักคุณตลอดไป แต่มันจะแบบหลงรักอะไรอย่างนี้ มันคนละความรู้สึกกันนะ มันเกิดขึ้นได้แน่นอน คืนเดียวก็เกิดขึ้นได้ ครับ
          Q: หากมีเวลา 3 วัน 2 คืนจะทำอะไรให้กับคนที่รักบ้าง
          ถ้ามีโอกาสที่อยากจะทำให้ใน 3 วัน 2 คืนก็คงจะไม่ปล่อยให้หลุดลอยไป คือหมายความว่าจะทำให้มีแต่เสียงหัวเราะ คือสามวันสองคืนให้มันเป็นช่วงเวลาที่มีความสุขโคตรๆ ก็จะต้องอะไรทำไรที่มันต้องถูกจดจำไปอ่ะครับ เช่น ทำกิจกรรมที่ครั้งหนึ่งในชีวิต มันจะต้องเป็นช่วงเวลาที่ถูกจดจำตลอดไปครับ ทำอะไรก็ได้แต่มีความสุขตลอดไป ครับ

FB on July 13, 2012, 02:28:21 PM
“แดน” ควงคนรู้ใจ “แพทตี้– บีม” เปิดตัว “คืนวันเสาร์ถึงเช้าวันจันทร์” หนังรัก รั่ว อารมณ์ดี





          และแล้วก็ได้เวลาเปิดตัว “คืนวันเสาร์ถึงเช้าวันจันทร์” ภาพยนตร์ HAPPY COMEDY ROMANTIC จากค่าย สหมงคลฟิล์ม อินเตอร์เนชั่นแนล ผลงานโชว์ความสามารถอีกด้านของหนุ่ม “แดน” วรเวช ดานุวงศ์ ในการเป็นผู้กำกับ- เขียนบทภาพยนตร์ ควบแสดงนำครั้งแรกในชีวิต โดยแดนได้นำทีมนักแสดงนำ แพทตี้ อังศุมาลิน สิรภัทรศักดิ์เมธา และ บีม กวี ตันจรารักษ์ ร่วมพูดคุยถึงประสบการณ์ทำงาน ที่แสนสนุก ป่วนฮา เคล้าอารมณ์รัก ณ ลาน Sky Dining Hall ชั้น 6 สยามดิสคัฟเวอร์รี่ เมื่อวันที่ 9 กรกฎาคม ที่ผ่านมา

          เริ่มงานด้วยผู้กำกับและนักแสดงทั้งสาม แดน-บีม-แพทตี้ ขึ้นแนะนำคาแรคเตอร์ของตัวเอง พร้อมทั้งเล่าเรื่องราวหนังรัก ฉบับแดน ที่ว่าด้วยเรื่องของการตัดสินใจเลือก คนที่เรารัก ว่าจะเป็นคนไหน คนที่ “ใช่” หรือ คนที่ “ใกล้” และจะเป็นไปได้ไหมที่คนเราจะตกหลุมรักกันในช่วงเวลาเพียง 3 วัน 2 คืน โดยบีม และน้องแพทตี้ก็ขอเมาท์ระยะเผาขนหนุ่มแดนกันอย่างสนุกปาก ถึงเรื่องรั่วๆ มันส์ๆ ตลอดการถ่ายทำภาพยนตร์ครั้งนี้ และ ชื่นชมการทำงานของแดน ในฐานะผู้กำกับรุ่นใหม่ไฟแรง ที่ทุ่มเทแบบสุดๆ ตั้งใจทำภาพยนตร์ให้สนุกเพื่อสร้างรอยยิ้มให้กับทุกคน เซอร์ไพรส์พิเศษด้วยคลิปวีดีโอ ส่งตรงมาจากสาวสวย นุช นีรนาท วิคทอเรีย โคทส์ ที่ติดภารกิจเรียนการแสดงอยู่ต่างประเทศ จึงไม่สามารถมาร่วมงานได้ แต่ก็ส่งภาพมาทักทายทุกคน พร้อมทั้งเล่าประสบการณ์ในการทำงานร่วมกับผู้กำกับและนักแสดงมากฝีมือในเรื่องนี้อีกด้วย

          นอกจากนี้ยังได้ชมมิวสิควิดีโอ และฟังเพลงประกอบภาพยนตร์พร้อมกันเป็นครั้งแรกในงานนี้ กับบทเพลงเพราะๆ “พอ” จากวง Slot machine ที่แต่งเพื่อหนังเรื่องนี้โดยเฉพาะ เป็นจังหวะโดนใจมันส์ๆ โดดเด่นด้วยเสียงผิวปากที่ทุกคนที่ได้ฟังแล้วต่างลงความเห็นว่าติดหูตั้งแต่ได้ยินครั้งแรกเลยทีเดียว ปิดท้ายด้วยการเชิญผู้บริหารแห่งค่ายสหมงคลฟิล์มฯ คุณอวิกา เตชะรัตนประเสริฐ รองประธานกรรมการฝ่ายการตลาด, คุณจาตุศม เตชะรัตนประเสริฐ รองประธานกรรมการฝ่ายสื่อสารการตลาด, คุณชมศจี เตชะรัตนประเสริฐ รองประธานกรรมการฝ่ายขาย และ คุณศิตา วอสเบียน ผู้ร่วมควบคุมงานสร้าง บริษัท บาแรมยู ถ่ายภาพหมู่ร่วมกับนักแสดง - ผู้กำกับ เพื่อเป็นเกียรติและเป็นที่ระลึกในงานเปิดตัวภาพยนตร์ครั้งนี้

          เตรียมใจ “ตกหลุมรัก” ใครสักคนกันได้ ใน “คืนวันเสาร์ถึงเช้าวันจันทร์”            
          กำหนดฉาย 9 สิงหาคมนี้
« Last Edit: July 13, 2012, 03:25:56 PM by FB »

FB on July 15, 2012, 03:57:29 PM
บทสัมภาษณ์ “แพทตี้ จาก คืนวันเสาร์ถึงเช้าวันจันทร์”







          แพทตี้-อังศุมาลิน สิรภัทรศักดิ์เมธา สาวน้อยหน้าใสขวัญใจหนุ่มๆ กับบทบาทนางเอกเต็มตัวครั้งแรก สุดรั่ว แสนฮา แสบซ่า และสุดซึ้งใน “คืนวันเสาร์ถึงเช้าวันจันทร์” ภาพยนตร์ HAPPY COMEDY ROMANTIC

          Q: เรียกได้ว่าแพทตี้เป็น นักแสดงรุ่นใหม่ที่มีงานต่อเนื่องมากที่สุดคนหนึ่ง งานในวงการที่ผ่านมาเป็นอย่างไรบ้าง มีชอบงานด้านไหนเป็นพิเศษและมีสิ่งไหนที่อยากลองอีกไหม
          แพทตี้ก็เริ่มเข้าวงการมาจากภาพยนตร์เรื่องปิดเทอมใหญ่ หัวใจว้าวุ่น นะคะ จากนั้นก็มีภาพยนตร์ต่อมาเรื่อยๆ มีถ่ายโฆษณา, เล่นละคร, ได้ร้องเพลง ที่รัก กับพี่ ปราโมทย์ ปาทาน มีถ่ายมิวสิควีดีโอบ้าง ล่าสุดก็มีเพิ่งถ่าย MV คนเดิมของเธอ กับพี่บี้ เดอะสตาร์ ค่ะ และตอนนี้ก็มีภาพยนตร์เรื่อง คืนวันเสาร์ถึงเช้าวันจันทร์ค่ะ ถ้าถามว่าชอบงานไหนจริงๆ แต่ละงานค่อนข้างแตกต่างกันอยู่แล้วค่ะ สนุกแตกต่างกันไป ตอนนี้ก็คือเป็นช่วงที่ศึกษาไปเรื่อยๆ มีงานไหนเข้ามาเราก็ลองดู เราก็ดูว่าสุดท้ายเราชอบตรงไหนมากที่สุด แต่ถ้าอยากลองก็คืองาน เดินแบบค่ะที่ยังไม่ได้ลองจริงจังค่ะ

          Q: ทราบมาว่าแพทตี้มีความสนใจในเรื่องภาพยนตร์เป็นพิเศษถึงขั้นไปเรียนมาทางด้านภาพยนตร์โดยเฉพาะ เริ่มมีความมีความสนใจในเรื่องนี้มาตั้งแต่ตอนไหน
          ตอนเด็กๆ ก็ยังไม่ค่อยสนใจนะคะ เพิ่งมามีช่วงหลังๆ ค่ะ ช่วงเริ่มโตขึ้นเริ่มรู้สึกว่าเราดูหนัง แล้วเราสนุกมากขึ้นและเราก็เริ่มมีความสนใจมากขึ้นค่ะ และก็มามากที่สุดก็ตอนที่เรามีโอกาสได้ทำงาน ก็คือพอเรามาทำงานด้านภาพยนตร์ด้วย เราอาจจะเคยรู้เรื่องแต่เบื้องหน้า แต่พอเรามามองพี่ๆ ในกองถ่ายทำงานเบื้องหลัง เราก็แบบ เอ๊ะ เขาทำอันนี้ยังไง เพื่ออะไร เรคคอร์ดยังไง ทำไมเขาต้องจัดไฟแบบนี้ เราก็เลยมีความรู้สึกว่าอยากรู้ตรงนั้นก็เลยไปเรียนค่ะ แพทตี้เรียนจบจากสถาบันเอสเออีค่ะ สาขาทางด้านภาพยนตร์ พอเราเรียนแล้วก็เราก็รู้หลายๆอย่างมากขึ้น ในอนาคตอาจจะลองศึกษาในเรื่องของการทำเบื้องหลังเพิ่มเติม เพราะว่าตอนนี้เริ่มรู้มากขึ้นล่ะ พอเราไปถ่ายหนังก็จะรู้ล่ะว่าโอเคเขาถือไมค์บูมมายังงี้นะเพื่อที่จะให้องศามันเท่านี้ๆ คือตอนนี้เราค่อนข้างที่จะรู้หมดทุกอย่างล่ะ ว่าขั้นตอนของการทำงานทั้งหมดเป็นอย่างไร แต่ว่าอาจจะรอเวลาอีกนิดให้ความคิดของเราชัดเจนมากขึ้นว่าอยากจะทำอะไรค่ะ

          Q: คิดว่าเสน่ห์ของภาพยนตร์อยู่ตรงไหน
          เสน่ห์ของหนังอยู่ที่มันสามารถถ่ายทอดความเป็นจริงได้ เป็นสื่อที่สามารถถ่ายทอดเรื่องราวชีวิตของคนๆ ทั้งชีวิตหนึ่งมาแสดงในระยะเวลาชั่วโมงครึ่งได้ แต่เราต้องใช้ความสามารถในการถ่ายทอดทั้งหมดให้คนที่นั่งดูเราอินไปกับเรา รับรู้ไปกับเราว่า เราต้องการที่จะสื่ออะไร อยากให้เขารับรู้ชีวิตของเราเป็นแบบไหน ตอนนั้นเราเก็บกด เราท้อแท้ เรายังไง ซึ่งถ้าทำได้แม้มีเวลาแค่ชั่วโมงครึ่ง แต่เขาจะรู้ชีวิตเราตั้งแต่เด็กเกิดมาเป็นยังไงค่ะ

          Q: ในฐานะที่แพทตี้ เล่นหนังรักมาหลายเรื่องคิดว่าอะไรเป็นเหตุผลที่หนังแนว Romantic –Comedy นี้ได้รับความนิยม และทำออกมาได้ไม่มีซ้ำไม่มีเบื่อ
          อันดับแรกอาจจะเป็นเพราะหนังแนวนี้มันไม่เครียด อันดับที่สองอาจจะตลกด้วยหรือว่าดูแล้วยิ้ม คนดูที่เขาเครียดจากงาน เขาก็ไม่อยากดูหนังที่ดราม่าเพิ่มความเครียดให้ตัวเอง คือหนังแนวนี้ค่อนข้าง
          เบสิคที่ใครก็เข้าไปดูได้ ทั้งเด็กหรือว่าผู้ใหญ่ค่ะ ดูแล้วก็ได้รอยยิ้ม กลับมา และอาจจะเป็นเพราะว่าความรักมันเข้าถึงทุกคนได้ มีส่วนร่วมอยู่ในชีวิตของทุกๆ คน ทุกคนก็ย่อมจะมีความรักอยู่แล้วไม่ว่าจะเป็นแบบพ่อแม่พี่น้องหรือว่าเพื่อน แฟน ซึ่งอาจจะตรงกับหลายๆ คนที่เข้าไปดู บางคนก็ฝันว่าฉันอยากมีชีวิตแบบนี้ ดูแล้วก็จะเคลิ้มตามอะไรอย่างนี้ค่ะ มีอารมณ์ร่วมมากกว่าค่ะ

          Q: แพทตี้ได้เข้ามามีส่วนร่วมกับภาพยนตร์เรื่องนี้ได้อย่างไร และตอนที่ได้ยินชื่อเรื่องครั้งแรกรู้สึกยังไงบ้าง
          ตอนที่แพทได้รู้ชื่อเรื่องก็ชอบแล้ว ว่า แปลกดี แล้วก็ดูมีอะไรในชื่อของมันอะไรอย่างนี้ แพทเองก็ไม่รู้อะไรมาก แต่ก็ทราบว่าพี่แดนจะมีโปรเจ็คนี้ขึ้นมา ก็เห็นเขาทำบทเรื่อยๆ จนเสร็จ ทำนู่น ทำนี้ เสร็จจบทุกอย่าง ก็ถึงจะมีทางผู้ใหญ่เข้ามาคุยค่ะว่าสนใจที่จะรับบทไหม

          Q: พอรู้ว่าแดนเป็นคนกำกับและเขียนบทเองด้วยรู้สึกยังไงบ้าง และเขาได้มีเกริ่นกับเราก่อนไหม
          ก็รู้สึกยินดีด้วยนะคะที่เขาจะเป็นผู้กำกับ เขาก็มีเล่าให้ฟังบ้างคร่าวๆค่ะ ตอนนั้นยังไม่รู้ว่าจะได้เล่นด้วย เขาก็บอกว่าจะเป็นหนังอารมณ์ดี อารมณ์รัก แพทว่าที่เขาเขียนบทเองกำกับเองด้วยก็ดีแล้วค่ะเพราะเขาสามารถบอกเราได้มากที่สุดว่าเขาอยากได้อะไร ที่เขาเขียนแบบนี้มาเพื่ออะไร เพื่อที่เราจะถ่ายทอดออกมาเป็นแบบไหน พอได้เห็นการทำงานก็รู้สึกว่า อุ๊ย เขามีมุมแบบนี้นี้ด้วยหรอ (หัวเราะ) เป็นเสน่ห์แบบเฉพาะตัวของเขาไป ไม่ได้ไปแบบซ้ำใคร ค่ะ

          Q: พอเราตกลงรับบทนี้รู้สึกอย่างไรบ้างกังวลบ้างรึเปล่า เพราะนี่เป็นการเป็นนางเอกเต็มตัวครั้งแรกด้วย และมีการเตรียมตัวในการทำงานครั้งนี้เป็นพิเศษรึเปล่า
          ตอนแรกก็รู้สึกกังวลว่าเราจะถ่ายทอดออกมาได้ตามที่พี่แดนต้องการหรือเปล่าค่ะ ยังกังวลเรื่องนั้น แต่ก็ไม่ได้คิดถึงว่า เอ๊ะ ทำไมต้องเลือกเราอะไรอย่างนี้ แค่คิดว่าถ้าเขาเลือกเรา เขาก็คงคิดดีที่สุดแล้วว่าจะให้เราเล่นนะ แต่ว่าเราก็กังวลในส่วนของเรามากกว่า ว่าตอนถ่ายทำเราจะเป็นยังไง เราจะทำให้ทั้งกองรอเราหรือเปล่า หรือว่าเราจะถ่ายทอดออกมาตามที่ผู้กำกับต้องการได้หรือเปล่า จะทำออกมาได้ดีไหม กังวลเรื่องนั้นมากกว่า เมื่อก่อนเราเคยเล่นหนังมาก็จริงแต่ว่าไม่ได้กับขั้นเต็มตัวเล่นทั้งเรื่องอะไรอย่างนี้ค่ะ พอครั้งนี้มาแล้วก็แบบเสียวๆ นิดหน่อย เอ๊ะ จะเป็นยังไงนะ ก็ตื่นเต้นค่ะ
          ตอนที่รับเล่นเรื่องนี้อันดับแรกเราชอบในเรื่องของบทค่ะ รู้สึกว่าตัวละครของราเป็นตัวละครที่มีเสน่ห์มาก พี่แดนเขียนขึ้นมาเพื่อให้มีอะไรให้เล่นเยอะ มีตั้งหลายแบบหลายแนวอะไรอย่างนี้ค่ะ เราก็ตื่นเต้นที่จะต้องเล่นทุกอย่าง ซึ่งเราก็ไม่รู้ว่าจะเล่นได้หรือเปล่า มีบู๊ด้วย มีดราม่า มีตลก มีซึ้ง เขาเขียนมาครบก็เลยทำให้รู้สึกว่าหนังเรื่องนี้รวมทุกอย่างอ่ะค่ะ คนดูก็น่าจะเซอร์ไพรส์ดีกับบางฉากค่ะ
          ส่วนเรื่องการเตรียมตัว ก่อนที่ถ่ายกัน ก็มีการเวิร์คช้อปเพื่อที่เราจะได้รู้ลึกขึ้นในเรื่องของตัวละครว่า เพ็ญเขาเป็นผู้หญิงแบบไหน ทำงานอะไร ที่บ้านเขาเป็นยังไง ดูนิสัยพื้นฐานของเขาลึกๆแล้วเขาเป็นผู้หญิงแบบไหนอะไรแบบนี้ค่ะ ก่อนที่จะมาถ่ายเราจะได้รู้เบื้องหลังของเขาส่วนหนึ่งเพื่อที่จะได้ถ่ายทอดออกมาให้ดีที่สุดอะไรอย่างนี้ค่ะ แต่พอถ่ายจริงๆ บางทีก็จะมีโดนคัทบ้างแบบว่าอันนี้เด็กไปนะ ก็ต้องคิดให้โตขึ้นการพูด การนั่งการยืน การเดินอะไรอย่างนี้อ่ะค่ะ ก็พยายามให้ดูโตขึ้น ดูเป็นสาวออฟฟิศจริงๆ สาวพีอาร์เขามีบุคลิกเป็นแบบไหน เราก็ศึกษามาคร่าวๆ ว่าอ้อ พีอาร์เขาเป็นแบบนี้ ดูคล่องแคล่วว่องไว ดูเป็นผู้หญิงเก่ง ผู้หญิงฉลาดอะไรอย่างนี้ค่ะ
« Last Edit: July 18, 2012, 03:18:14 PM by FB »

FB on July 15, 2012, 03:57:55 PM
          Q: ต้องให้แพทตี้เล่าให้ฟังแล้วล่ะว่าเรื่องราวของคืนวันเสาร์ถึงเช้าวันจันทร์เป็นอย่างไรบ้าง
          ในเรื่องนะค่ะ แพทก็รับบทเป็น เพ็ญ เป็นผู้หญิงเก่ง เป็นผู้หญิงทำงานค่ะ ซึ่งก็ค่อนข้างทันสมัย ชอบช้อปปิ้งดูหนัง เพ็ญมีครอบครัวที่ดีค่ะ ก็จะทุกคนรักกันเป็นครอบครัวที่เพียบพร้อม เพ็ญค่อนข้างมีชีวิตที่ลงตัว มีแฟนก็เป็นคุณหมอที่ทั้งหล่อทั้งรวยเรียกได้ว่าชีวิตเกือบเพอร์เฟ็กต์ค่ะ มันก็จะมีปัญหาอยู่นิดหน่อยก็คือจาก พี่ปกป้อง (บีม กวี ตันจรารักษ์) ในเรื่องเขาอาจจะเคร่งกับเรา บางทีก็อาจจะทำให้เพ็ญไม่ได้เป็นตัวเองเท่าไร แต่วันหนึ่งที่เราดันไปเจอผู้ชายคนหนึ่งที่เป็นผู้ชายที่ประหลาดๆ ก็คือชวด รับบทโดยพี่แดนค่ะ เข้ามาหาเราเพื่อที่จะต้องการปรึกษาเราเรื่องจีบต้นหลิว (นุช นีรนาท วิคทอเรีย โคทส์) ต้นหลิวเป็นเพื่อนสนิทของเรา ซึ่งชวดก็มาตามวนเวียนตอแยตลอดจากไม่รู้จักก็เลยสนิทไปโดยปริยายค่ะ จากนั้นก็มีเหตุการณ์ที่เพ็ญกับชวดได้ใช้เวลา คืนวันเสาร์ถึงเช้าวันจันทร์ด้วยกัน หลังจากเวลานั้นก็ทำให้ทั้งคู่ต้องมานึกทบทวนในความสัมพันธ์ ได้ถามใจตัวเองมากขึ้น

          Q: ตัวละครเพ็ญมี เสน่ห์ความน่าสนใจอย่างไร
          บุคลิกของตัวเพ็ญจะน่ารักและก็สวย จริงๆเขาอาจจะไม่ได้สวยมาก แต่ข้างในเขาแบบว่ามองโลกในแง่ดี คนที่เข้ามาคุยกับเขาก็สามารถตกหลุมรักผู้หญิงคนนี้ได้ ส่วนเรื่องงานของเขาเนี่ย ในเรื่องเขาคือพีอาร์ ในเชิงของโซเชียลเน็ตเวิร์ค พวกเฟสบุ๊ค ทวิตเตอร์ แล้วเขาพยายามหาช่องทางใหม่เพื่อที่จะทำให้สินค้าของทางบริษัทติดตลาด จนเขาได้รับนับถือจากเจ้านาย ถูกยกย่องว่าทุกอย่างที่อยู่ในท้องตลาดที่ทุกคนรู้จักก็เป็นเพราะเพ็ญเป็นคนทำ ในเรื่องการงานเพ็ญก็ค่อนข้างประสบความสำเร็จมากเหมือนกัน สามารถตัดสินใจได้ตัวเองได้เกือบทุกอย่างเพ็ญเป็นผู้หญิงทันสมัย ทันยุค ทันเหตุการณ์และก็ชอบช้อปปิ้งที่เหมือนผู้หญิงสมัยนี้ที่เขาทำกัน แต่ช้อปปิ้ง แต่เฉพาะของเซลล์เท่านั้นนะคะ
          ความสัมพันธ์ในครอบครัว เพ็ญเป็นลูกคนเดียว จริงๆ แล้วครอบครัวเป็นครอบครัวที่อบอุ่นมาก คุณพ่อคุณแม่ก็ค่อนข้างที่จะปล่อยเพ็ญ เพราะรู้ว่าเด็กวัยรุ่นเดี๋ยวนี้เป็นยังไง เป็นแบบครอบครัวอารมณ์ดีค่ะ มองโลกในแง่ดี พูดคุยกันดีๆ ยิ้มแย้มแจ่มใส มาถึงก็กอดกันก่อนคุยกันเล่น คือทั้งหมดที่เพ็ญอารมณ์ดี มองโลกในแง่ดีพื้นฐานก็จะได้จากครอบครัวคุณพ่อคุณแม่ และเพ็ญมีแฟนแล้ว ก็คือพี่ปกป้อง พี่ปกป้องก็เป็นคุณหมอที่ทั้งหล่อทั้งรวย เรียกได้ว่าครบทุกอย่างน่ะค่ะ เขาก็ดูแลเราดี ดีมากจนเราเหมือนแบบไข่ในหิน จนเราไม่ได้เป็นตัวเราเองเท่าไร ไม่เต็มร้อยก็ด้วยความที่ยอมทุกอย่างก็เพราะว่าความรัก เพราะเรารักเขาคบกันมานาน

          Q: การทำงานกับพี่บีมเป็นไงบ้าง บุคลิกของปกป้องเหมือนตัวจริงไหม
          พี่บีมอย่างเรื่องก่อนหน้านี้ก็แสดงในเรื่องเดียวกัน แต่ไม่ได้เล่นด้วยกันก็เจอกันแบบแว้บไปแว้บมา แต่พอมาเรื่องนี้ก็มาเป็นแฟนกันเลย แรกๆ ก็จะเกร็งๆ เขินๆ นิดหน่อยตามประสาค่ะ แต่พอมาร่วมกันจริงๆ ก็จริงๆแล้วเขาเป็นคนตลกเหมือนกันนะค่ะ เขาก็มีมุมที่ชอบหยอกล้อเล่นอะไรอย่างนี้ ตอนทำงานก็จะทำให้เราสบายๆ ในเรื่องยิ่งเป็นแฟนกันก็ยิ่งสนิทกันอะไรอย่างนี้ ก็สบายเขาก็จะขำๆ ยิ้มๆ สบาย เฮฮา บุคลิกเขาค่อนข้างคล้ายๆ ปกป้องเหมือนกันเลยนะ ด้วยความที่ว่าในเรื่องปกป้องเป็นคุณหมอหน้าที่ต้องรักสะอาดแน่นอนต้องดูเรียบร้อย ดุเนี้ยบทุกอย่างเป๊ะ แต่พี่บีมเขาก็ดูคล้าย ดูเข้า ดูตรงกับบุคลิกแบบนี้ค่ะ เขาแสดงเป็นคุณหมอที่เชี่ยวชาญเลยทีเดียว ตอนทำงานก็สนุกค่ะ มีหลุดขำหลายๆ ฉากเหมือนกัน เพราะเขินด้วย ฮา ด้วย (หัวเราะ)

          Q: ความสัมพันธ์ของเพ็ญและชวดเป็นอย่างไรบ้าง เสน่ห์ของชวดอยู่ที่ไหนมีส่วนคล้ายกับแดนไหม
          ตัวละครของชวดก็จะมีมุมแปลกๆ บ้าง ชวดก็จะเป็นคนบอกเลยว่าแบบ เอ๋ ทำไมคุณทำแบบนี้ล่ะ ทำไมทำอย่างนี้ล่ะ ก็จะเป็นกระจกสะท้อนส่องเพ็ญอีกทีหนึ่ง ส่วนชวดกับพี่แดนจริงๆ ก็ไม่ได้ต่างกันมากนะ เพราะว่าด้วยความที่ว่าชวดเขาเป็นผู้ชายอารมณ์ดีเหมือนกัน หมายถึงว่าเป็นคนอารมณ์ดี มองโลกในแง่ดีคล้ายๆ กัน ถ้าตัวบุคลิกพี่แดนน่าจะคล้ายๆ กัน
          เสน่ห์ของตัวชวดน่าจะเป็นความเป็นตัวของ ที่เขาอารมณ์ดี มองโลกในแง่ดี การที่เวลาเราคุยกับเขา เรามีความสุขอ่ะเราได้ยิ้มสุด หัวเราะสุด เราได้ทำในสิ่งที่เราไม่เคยทำ และเราก็ได้ทำ เราค่อนข้างจะปล่อยฟรีมากๆ กับเพ็ญ สมมุติตัวของเพ็ญอยากเล่นเกม เขาก็ไม่มีการบ่นเลยว่า อู้ยโตป่านนี้แล้วยังจะเล่นเกม กลับกลายเป็นว่าเขาเป็นคนที่ฉุดเพ็ญเข้าไปและบอกว่าไปเล่นเกมกัน แต่ว่าพอเพ็ญอยู่กับพี่ปกป้องเพ็ญก็จะเป็นอีกแบบหนึ่ง พี่ปกป้องก็จะแบบไปเหอะน่า ไปเหอะ กลับกันเถอะ ก็จะค่อนข้างแตกต่างกันอย่างชวดกับปกป้องจะคนละขั้วกันเลย

          Q: ในเรื่องนี้แพทตี้ได้ประกบกับสาวซุเปอร์โมเดลสุดฮอต นุช นีรนาท ซึ่งเป็นการร่วมงานกันครั้งแรกแต่ต้องมาเป็นเพื่อนสนิทกันในบทเพ็ญกับต้นหลิว การทำงานครั้งนี้เป็นอย่างไรบ้าง
          เพ็ญกับต้นหลิวสนิทกันนานมากแล้วค่ะ และก็ด้วยความที่ไลฟ์สไตล์คล้ายๆ กันก็คือเป็นผู้หญิงยุคใหม่ที่ตามเทรนด์ เวลาไปช้อปปิ้งก็จะไปช้อปด้วยกัน แต่ว่าของเพ็ญเนี่ยจะเน้นของเซลล์ ของต้นหลิวเขาจะเป็นแบบคอลเลคชั่นใหม่เท่านั้น ก็จะต่างกันแค่นี้ ส่วนเรื่องแต่งตัวเนี่ยก็จะคล้ายๆ กันไม่ได้ต่างกันมาก
          ต้นหลิวก็เป็นตัวละครที่สำคัญมากเหมือนกันค่ะ ถ้าขาดต้นหลิวไปก็จะไม่สามารถทำให้เพ็ญกับชวดมีโอกาสที่จะได้รู้จักกัน เพราะว่าชวดเข้ามาเพื่อที่จะจีบกับต้นหลิวซึ่งเป็นเพื่อนสนิทของเรา
          ต้นหลิวเนี่ยเขาเป็นพิธีกร ในเรื่องเขาสวยมากหนุ่มๆทุกคนที่เห็นเขาก็จะเข้ามาจีบก็รวมชวดด้วยเป็นหนึ่งในนั้นที่ชอบต้นหลิวและเข้ามาจะจีบต้นหลิว เวลาเพ็ญอยู่กับต้นหลิว ก็จะหมองๆ หน่อย เพราะต้นหลิวเขาสวยสง่าก็ดึงผู้ชายไปหมดเลย (หัวเราะ)
          ต้นหลิวรับบทโดย นุช นีรนาท ค่ะ นุชเขาเป็นนางแบบอยู่แล้วแล้วพอมาบวกกับบุคลิกแบบต้นหลิวด้วยที่แบบสวยที่หนุ่มๆ ใครเห็นก็ต้องชอบอะไรเงี้ย สำหรับแพทคิดว่าเขาเข้ากับบุคลิกนี้มาก แม้กระทั่งในกองอย่างนี้ผู้ชายทุกคนจะแบบ อยากเจอนุชๆ อยากถ่ายรูปกับนุช คือแบบทุกคนค่อนข้างหลงรักเขา ส่วนการทำงานก่อนหน้านี้ยังไม่เคยเจอกันเลยค่ะ เจอครั้งแรกที่ตอนไปเวิร์คช้อปก็ตอนที่เขามาก็น่ารักดี เฟรนด์ลี่ คุยง่าย และพอลองเล่นต่อบทกันตอนที่ทำงานจริงๆ ก็ง่าย เขาเองก็ผ่านด้านการแสดงมาอยู่แล้วค่ะ ก็เล่นผ่านฉลุยไปได้ด้วยดีค่ะ ทำให้ชิลๆ สบายในกองค่ะ

          Q: ในเรื่องยังมีตัวละครที่ใกล้ชิดกับเพ็ญมากก็คือ คุณพ่อคุณแม่ อยากให้เล่าถึงการทำงานของครอบครัวอารมณ์ดีนี้หน่อย
          ในเรื่องคุณพ่อคุณแม่ก็จะเป็นพี่ตึ๊ง (ธนศักดิ์ อุ่นอ่อน) กับพี่เจี๊ยบ (นนทิยา จิวบางป่า) ค่ะ ก่อนหน้านี้ก็ยังไม่มีโอกาสได้ร่วมงานกันเลยค่ะแค่รู้ประวัติคร่าวๆว่าเขาเป็นใคร ทำอะไร ที่ไหน อย่างไร พอวันที่เวิร์คช้อปค่ะ พอพวกพี่ๆ เขามาเขามืออาชีพกันมาก มารับบทคู่กันได้ทั้งๆ ที่ยังไม่รู้จักกันเลย วันถ่ายจริงก็ยิ่งแบบลื่นไหลทุกคนในกองก็ขำหัวเราะกับสิ่งที่เขาเล่นเพราะเขาเข้าขากันมาก ในเรื่องเวลาเพ็ญมีปัญหาอะไรเพ็ญก็จะคอยปรึกษากับคุณแม่คุณพ่อค่ะ ปรึกษาได้ทุกเรื่องเพราะว่าคุณแม่คุณพ่อเขาจะเหมือนวันรุ่นมากกว่าค่ะ เขารู้ว่าต้องทำแบบไหน ต้องคิดแบบไหนถ้าเจอเรื่องแบบนี้มาควรจะคิดแบบนี้นะ และเขาก็ค่อนข้างให้คำปรึกษากับลูกได้ดีมากเหมือนกัน เพ็ญก็สามารถเอาไปใช้ได้

          Q: ในเรื่องนี้แพทตี้ได้เล่นกับนักแสดงรุ่นใหญ่ คุณแม่ขวัญจิต ศรีประจันต์ ศิลปินแห่งชาติ รู้สึกอย่างไรบ้างที่ได้ร่วมงานกันครั้งนี้
          ในเรื่องนะค่ะก็จะมีตัวละครหนึ่งที่สำคัญเหมือนกันก็คือคุณยาย คุณยายก็เป็นคุณยายของชวด อยู่ที่ต่างจังหวัดค่ะ ถ้าพูดถึงคุณยายทุกคนจะคิดว่าคุณยายแก่ๆ ไม่ค่อยมีแรงหรือว่าไร แต่ว่าคาแร็คเตอร์ของคุณยายในเรื่องไม่ใช่อย่างนั้นเลย คือคุณยายก็จะเป็นคุณยายที่ทันสมัย วัยรุ่น เผลอๆ บางทีวัยรุ่นกว่าตัวชวดอีก ก็จะแบบอารมณ์ดียิ้มแย้ม ส่วนคนที่มาเล่นคุณยายก็เป็นคุณแม่ขวัญจิต ตอนแรกก็จะแบบ อุ๊ย ตื่นเต้น คุณแม่ขวัญจิตค่ะ และก็พอมาเล่นจริงๆ คุณแม่เขาถ่ายทอดออกมาให้ตัวละครคุณยายตัวเนี้ยน่ารักมาก คือวิธีการพูด วิธีการที่เวลายายคุยกับชวด จะดูแบบน่ารักดูแบบเอ็นดูมากๆ ก็ดีค่ะ ตอนร่วมงานก็จะสบายๆ ค่ะ