บทสัมภาษณ์ “แดน วรเวช จาก คืนวันเสาร์ถึงเช้าวันจันทร์”
ความฝันครั้งใหม่ของ แดน วรเวช ดานุวงศ์ การเป็นผู้กำกับและเขียนบทภาพยนตร์ครั้งแรกในชีวิต กับภาพยนตร์ HAPPY COMEDY ROMANTIC เรื่อง “คืนวันเสาร์ถึงเช้าวันจันทร์”
Q: กว่าจะมาเป็นผู้กำกับภาพยนตร์ได้ในวันนี้ ต้องผ่านอะไรมาบ้าง เล่าให้ฟังหน่อยว่าเกิดอะไรขึ้นกับชีวิตตลอด 13 ปีในวงการบันเทิงของแดน วรเวชบ้าง
ผมเข้าวงการครั้งแรก ตอนอายุ 17 ปีครับ เข้ามาก็มาเป็นนักร้องวง D2B ก็เพลิดเพลินกับการเป็นศิลปินอยู่พักหนึ่ง จนเริ่มได้รู้จักกับงานหลายๆ ส่วนมากขึ้น รู้สึกสนุกกับสิ่งที่เราได้เจอ รู้สึกว่าเราอยากมีโอกาสได้คิดบ้าง อยากลองใช้ความสามารถในด้านอื่นๆ บ้าง ซึ่งการทำงานเบื้องหลัง มันคือการทำงานด้วยสมองเกือบ จะ 100% นะครับ เริ่มแรกผมเริ่มสนใจการแต่งเพลง เห็นพี่เค้าแต่งเพลงกันแล้วสนุกจังเลย อยากเป็นนักแต่งเพลงบ้างก็ไปลองศึกษาครับ ผมเป็นคนขี้อายนะ อายที่จะเป็นคนถามใครก่อน ก็เลยเป็นพวกลักจำซะเยอะ (หัวเราะ) คอยแอบดู ว่า อ๋อ เขาทำงานกันยังไง ชอบไปแอบฟังพวกพี่ๆ ทีมงานเขาคุยกัน จริงๆ มันก็เป็นนิสัยที่ไม่ดี (หัวเราะ) แต่มันก็เป็นสิ่งที่เราทำมาตลอด อยากเป็นนักแต่งเพลงก็ต้องทำให้ได้แล้วก็ได้มีโอกาสแต่งเพลงแรกคือ “นายเจ็บฉันเจ็บ”
แล้วก็พอรู้สึกว่าเราแต่งเพลงได้แล้ว สิ่งที่อยากทำต่อมาก็คือการเป็นโปรดิวเซอร์เพลง ซึ่งมันใช้กระบวนการความคิดที่มันใหญ่ขึ้นน่ะครับ แล้วก็เลยไขว่คว้าที่จะทำมัน ผมรู้สึกว่าเหมือนเป็นเกมชีวิตน่ะ เหมือนกับการ เราเป็นตัวๆ หนึ่งในเกมแล้ว เราต้องผ่านด่านไปเรื่อยๆ ในแต่ละด่านที่จะถึงก็จะมีบอส
มีอุปสรรค์ต่างๆ มากมายให้เราต่อสู้แก้ปัญหา เพียงแต่ว่ามันเริ่มใหม่ไม่ได้บ่อยเท่านั้นเองครับ บางครั้งถ้าพลาดมันก็จะเกมโอเวอร์ถาวร (หัวเราะ) เพราะฉะนั้นเราก็ต้องรอบคอบกว่าการเล่นเกมมาก เมื่อมันทำให้เรารอบคอบแล้วเวลาเราเจอสิ่งต่างๆ มันก็จะทำให้เราแข็งแกร่งแล้วก็นิ่งขึ้น เมื่อก่อนผมเป็นคนใจร้อนกว่านี้เยอะครับ คิดจะทำอะไรก็ทำ ทำแล้วก็ ตายๆ (หัวเราะ) ในเกมมันก็ต้องหยอดเหรียญเล่นใหม่ตลอด แต่ว่าอย่างที่บอก ผมตายไม่เกินสองครั้งหรอกครับ จากนั้นก็สั่งสมประสบการณ์ มาเรื่อยๆ จนได้เป็นโปรดิวเซอร์เพลง เสร็จแล้วอยากทำรายการทีวี ก็ลองหาทางไปทำรายการทีวี อยากเขียนหนังสือ ก็เขียนหนังสือซะ ก็ได้เขียน อยากทำละครก็ไปทำละครซะ แต่การทำงานหลายๆอย่างทั้งหมดนี้ ผมไม่ได้เป็นคนโชคดีมากนะครับ บางคนนั่งอยู่เฉยๆ แล้วก็มีโอกาสมาหาแต่ว่าเราเป็นคนต้องวิ่งไปหาโอกาสซึ่งความเป็นศิลปินเพลงป๊อบ หรือบอยแบนด์มันมีส่วนในการไม่เชื่อมั่นของผู้ใหญ่อย่างสูง
Q: หลายคนคนคิดว่าการเป็นศิลปินชื่อดังอยู่แล้วจะมีโอกาสเข้ามาหาได้ง่ายกว่าคนทั่วไป สำหรับแดนแล้วเป็นแบบนั้นรึเปล่า
การเป็นแดน บางคนอาจจะบอกว่ามันง่าย ที่จะทำอะไรก็ทำได้ เพราะว่ามันคงมีโอกาสมากมาย ที่คุณจะทำได้แต่ว่าจริงๆ มันไม่ใช่เลย มันเป็นดาบสองคมมาก คือการเป็นแดนมันทำให้ทุกคนคิดว่า เราคงทำได้แค่ร้องเพลงไป เราต้องพิสูจน์หนักกว่าคนอื่นหลายๆ เท่า เราต้องพิสูจน์เยอะมากน่ะครับ ว่าจะทำไงให้เขาเชื่อเราว่าเราทำได้จริงๆ เพราะฉะนั้นงานเราถ้าเป็นคนอื่นเสนอไปเขาอาจจะคิดว่าโอเคละ แต่อย่างเราเนี่ยเขาจะเหมือนว่ามีกำแพงอะไรบางอย่างอยู่ก่อนว่า เอ้ย มันจะทำได้จริงเหรอ ก็เลยต้องสู้กับมันหนักหน่อย แต่ว่าก็สนุกดีครับมันก็เป็นเกมที่ยากแต่เราก็ผ่านมันมาได้
Q: จากวันแรกจนถึงทุกวันนี้อะไรคือความเป็นแดนที่ไม่เคยเปลี่ยนแปลงไป
สิ่งที่เป็นตัวผมและไม่เคยเปลี่ยนไปเลยนะครับก็คือผมเป็นคนขี้อายครับ ขี้อายมาก แต่ว่าเป็นขี้อายแบบเอาวะ! ทำก็ได้ ตั้งแต่เมื่อก่อนผมชอบโดนจับไปออกงานโรงเรียนตลอด ซึ่งทุกงานที่ผมโดน ผมไม่กล้าขึ้นเวทีเลยนะครับแต่โดนบังคับก็เอาวะก็ขึ้น (หัวเราะ) ขึ้นเวทีก็ไปเต้นๆ ได้สตางค์มาให้คุณแม่ โดนจับไปร้องเพลงก็ไป ตอนนี้จะขึ้นเวทีทุกครั้งทุกวันนี้ก็ยังตื่นเต้นมากนะครับ(หัวเราะ) พอพิธีกรประกาศขอเชิญแดน-วรเวช ก็เอาวะก็ขึ้นไป เหมือนผมจะกล้าๆ ดูคุยเยอะๆ ใช่ไหมแต่ก็อยู่ในอารมณ์เอาวะทำก็ได้เหมือนกัน อยากให้รู้เฉยๆ ว่า เผื่อว่างานไหนสายตาผมดูประหม่าๆ ก็แสดงว่าผมเอาวะไม่ไหวผมกำลังตื่นเต้นมากจริงๆ กำลังประหม่ามากจริงๆ นี่คือสิ่งที่ผมยังแก้ไม่ได้ครับ (หัวเราะ)
Q: จริงมั้ยที่ว่าเราเป็นคนช่างฝัน ถึงขนาดว่ากันว่าชีวิตของแดน วรเวชขับเคลื่อนได้ด้วยความฝัน
ชีวิตผมตอนนี้อยู่ได้ด้วยความฝันเลยครับ ผมว่าชีวิตผมมันมีคุณค่า ก็เพราะผมได้มีโอกาสได้คิดได้ฝันไปเรื่อยๆ ในแต่ละวัน และผมได้ทำความฝันให้มันเป็นจริง ส่วนใหญ่ฝันของผมมันจะไม่ใช่ฝันที่อยู่กับตัวเองน่ะครับ เวลาผมฝันที่จะทำงานแต่ละอย่าง มันจะมีภาพคนอื่นที่ผมรัก และก็คิดว่าเขาก็คงจะรักผม อยู่ข้างๆ ผมน่ะครับ ความฝันผมมันจะเป็นความฝันส่วนรวม มันเหมือนเรากำลังนำกองทัพอะไรสักอย่างไปสู้ พอเราได้ทำฝันเป็นจริงมันก็เหมือนกองทัพเพื่อนฝูงของเราเนี่ยไปช่วยกันทำมันให้สำเร็จ และถ้าเกิดความฝันนั้นมันเวิร์ค เราก็เฮด้วยกัน แต่ถ้าเกิดว่าความฝันนั้นมันทำไม่สำเร็จ ผมก็ยังโชคดีที่ว่าอย่างน้อยคนที่ไปกับผมทุกครั้งเขาก็ไม่เคยทิ้งผม (หัวเราะ)
Q: จากการทำงานที่ผ่านมาของแดนแสดงให้เห็นว่าเป็นคนที่ทดลองทำงานใหม่ๆ ตลอดเวลา โดยส่วนตัวแล้วเป็นคนที่ชอบค้นหาสิ่งใหม่ๆ รึเปล่า
คือผมเป็นคนที่ไม่ค่อยชอบทำอะไรที่มันเดิมๆ น่ะครับ จริงๆ ก็เบื่อง่าย ผมว่าชีวิตเรามันไม่มีวันเต็มนะครับ ถ้าผมบอกว่าชีวิตเราเต็มแล้วเมื่อไหร่ ผมว่าในแต่ละวันเราก็ไม่รู้จะตื่นมาทำไม ตื่นมาแล้วมันก็ เฮ้ย ชีวิตเรามีแค่นี้เหรอ ผมเลยอยากขยายชีวิตของเราให้มันมีพื้นที่ว่างให้มันใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ เช่น ผมบอกว่าผมเป็นนักร้องเนี่ย คนอาจจะบอกว่ามันประสบความสำเร็จถึงที่สุดแล้ว เพราะฉะนั้นผมประสบความสำเร็จตอนอายุ 18 ปี ถ้าผมหยุดแค่นั้นเนี่ย โห แล้วนี่ผ่านมาเป็น 10 ปี ผมคิดว่าผมเฉาตายแน่ ผมก็ขยายพื้นที่ มันทำให้เราสนุกกับการที่ชีวิตเรามีวันรุ่งขึ้น เราจะมีอะไรให้ทำอีก วันรุ่งขึ้นมันจะมีอะไรให้เราได้ลุ้น ให้ได้ท้าทายให้ได้สนุก ผมเป็นคนชอบเอาชนะตัวเองน่ะครับ ไม่ชอบแข่งกับคนอื่น “ผมสู้ใครไม่ได้แต่ผมว่าผมสู้ตัวเองได้” ก็เนี่ยล่ะครับผมว่ามันสนุกดี
Q: ผ่านความฝันมาก็ไม่น้อยแล้วเริ่มต้นรู้ว่าตัวเองอยากเป็นผู้กำกับตั้งแต่เมื่อไหร่ และมีการเตรียมตัวอย่างไรบ้าง
ฝันอยากเป็นผู้กำกับตั้งแต่เมื่อไหร่ น่าจะสัก 3 -4 ปี ก่อนหน้านี้น่ะครับ มันเกิดจากว่า เราดูหนังแล้วทำไมไม่มีใครทำแบบนี้นะ ทำไมไม่มีมุกนี้นะ จากนั้นก็คิดว่าสักวันต้องขอกำกับหนังบ้างแล้วล่ะ พอรู้ว่าอยากทำหนังก็ไปตระเวณกำกับหนังสั้น กำกับ MV ก่อน เพราะรู้ว่างานทำหนังมันเป็นงานใหญ่มาก ผมพอจะรู้ตัวเองว่าเราทำอะไรได้มากน้อยแค่ไหน วันนี้เราทำตรงนี้ได้ ตรงนั้นเรายังทำไม่ได้ ผมไม่อยากให้ใครมารู้สึกว่า โถ่ เอ้ย!กะแล้วว่ามันทำไม่ได้จริงๆ เพราะอย่างนั้นขั้นแรกก็คือ คือการเอาตัวเองไปสู้กับปัญหาก่อน หาปัญหาให้เยอะที่สุด เจอปัญหาให้เยอะที่สุด พอถึงงานที่มันใหญ่จริงๆ ปัญหาที่เจอก็จะกลายเป็นปัญหาเล็กๆ ก็เคยเจอๆ มาแล้ว เคลียร์มาแล้ว ซึ่งมันถือว่าได้ผลกับงานครั้งนี้ครับ มันทำให้ปัญหาของเราในกองมันไม่เยอะเท่าไหร่ จริงๆ มันอาจจะเยอะแหละแต่เรามองไม่เห็นมัน เพราะเรามองว่ามันเป็นปัญหาเล็กๆ หรือผมมองว่ามันไม่เป็นปัญหาสำหรับผมเลยก็ได้
ขั้นที่สองคือเมื่อเราพร้อมแล้ว เราก็เดินไปคุยกับคนที่คิดว่าเขาจะเชื่อใจเรา แล้วก็พอดีว่า พี่ปรัชญา ปิ่นแก้ว เขาก็เชื่อใจเราว่าเราน่าจะทำงานได้ ก็ขอบคุณมากๆ นะครับที่เชื่อใจผม จากนั้นก็เป็นขั้นตอนเขียนบท ตอนเขียนนี่ก็ผมเขียนบทไม่เป็นเลยนะ ก็ไปหาบทละครเก่าๆ บทหนัง มาดู ประเด็นไม่ได้เกี่ยวกับไดอะล็อคจะเขียนยังไง แต่ประเด็นคือแบบ ต้องเขียนแบบฟอร์มว่า กลางวัน, ห้อง, ผมไม่รู้ว่ามันต้องทำยังไง (หัวเราะ) ต้องมีกี่ซีน ไม่รู้เลย คือต้องเริ่มใหม่หมดเลยครับ ตรงนี้แหละคือความสนุกของผม ถ้าทำได้มันคงสนุกดี ก็ค่อยๆ ทำค่อยๆ เขียนไป มันก็จะมีช่วงบางช่วงที่มันช็อต แบบว่าเฮ้ยไม่รอดแน่เลยว่ะ เราไปไหนไม่ได้ จริงๆ ก็ต้องขอบคุณเพื่อนๆ หลายๆ คนเวลาที่ผมเครียดเมื่อไหร่ ทุกคนก็พร้อมที่จะกระโจนมาหาผม ไปนั่งที่ไหนก็ได้ มาอยู่กับผม บางทีปรึกษาเพื่อนน่ะ....ช่วยอะไรไม่ได้เลยนะ แต่ละความเห็นแบบ...ไร้สาระมาก (หัวเราะ) แต่มันทำให้เรายิ้มน่ะครับ พอเรายิ้มเนี่ย ประตูมันเปิดมันมีแสงสว่างออกมา เราอารมณ์ดีแล้วเราเขียนต่อได้ ก็ต้องขอบคุณมากจริงๆ หนึ่งในนั้นเป็นหนึ่งในนักแสดงด้วย ก็คือแสดงเป็นพี่ถั่ว พี่ปอย (ณภัทร ปัทมสิงห์ ณ อยุธยา) แต่เขาก็ช่วยทำให้สมองผมพังไปหลายทีเหมือนกัน (หัวเราะ)
Q: ก่อนจะมาเป็นคืนวันเสาร์นี่ใช้เวลา นานเท่าไหร่ และไอเดียที่มาของเรื่องราวครั้งนี้เป็นอย่างไรบ้าง แล้วมาลงตัวที่โปรเจ็คต์ภาพยนตร์เรื่องคืนวันเสาร์ถึงเช้าวันจันทร์ได้อย่างไร
ตั้งแต่เริ่มเขียนบทผมเขียนพล็อตไว้หลายอันครับ พล็อตไปเรื่อยก็เป็นสิบร่างได้ครับ ใช้เวลาประมาณ 2 ปี ครับ ส่วนจุดเริ่มต้นหนังเรื่องนี้มันเกิดจาก ผมสนใจกับคำว่า “คืนวันเสาร์ ถึงเช้าวันจันทร์”ครับ ผมชอบชื่อเรื่องครับ ซึ่งผมไม่ได้คิด คนที่เอาชื่อนี้มาบอกผมคือพี่เอโกะ (สุภาพร เลิศฐิติวีรกานต์ –ไลน์โปรดิวเซอร์ ผู้ประสานงานสร้าง) เป็นคนบอกชื่อนี้มา เค้ามีแค่ชื่อเรื่องให้ผม แต่ผมติดใจเลยว่าชื่อเรื่องนี้น่าทำหนังนะ มันน่าจะดูมีอะไร พอเราได้คำนี้มา เราก็มาแตกประเด็นว่าทำอะไรได้บ้าง ก็ประชุมทีมงานกันว่าใครมีไอเดียอะไรโยนไอเดียกันมาได้เลยเพื่อทำพล็อตให้มันแข็งแรง แล้วก็ได้ไอเดียว่าสังคมยุคนี้ว่าความรักที่จริงจังมันได้หายไปมากมันได้โดนกลืนกินด้วยความรักฉาบฉวย สมมุติว่าคนเราคนนึงมีแฟนแล้ว มันมีสิ่งเร้าหลายอย่าง ทั้งผู้หญิงสวย ผู้ชายหล่อ แล้วดันมาจีบเราอีก หรือบางทีเรามีแฟนอยู่แล้วเราคบกันมานานแต่คุยกันแล้วไม่ค่อยโอเคเท่าไหร่ มันก็รักล่ะนะแต่ว่ามันไม่ได้ยิ้มเลย
ทีนี้ผมเห็นเพื่อนผมเนี่ยแหละ เขาคุยกับใครก็ไม่รู้ เขาไม่รู้จักหน้าตา เขาเล่นเฟซบุค ทวิตเตอร์ ตอบกันไป ตอบกันมาแล้วทำให้เขาหัวเราะได้ แล้วก็มีความสุขกับการที่อยู่ตรงนี้ ทำให้คุยกับแฟนน้อยลงแล้วก็เล่นแต่โทรศัพท์มากขึ้น ซึ่งสมัยนี้มันเป็นแบบนี้ไปแล้ว เพราะฉะนั้นผมบอกได้เลยว่าคนเราสมัยนี้กิ๊กเยอะมาก แม้แต่ตัวเองจะมองว่าไม่ใช่กิ๊กก็ตาม แต่ผมถือว่าเป็นเพื่อนคุยที่เราให้ความรู้สึกบางอย่างมากกว่าแฟนเราด้วยซ้ำมั้งครับ ก็เลยนำประเด็นนี้มาเล่น ว่าถ้าเกิดคนๆ หนึ่งเขามีแฟนอยู่แล้ว แล้วในแต่ละวันแทบจะไม่ได้ยิ้มกับแฟนเลย เราควรจะอยู่แบบนี้กับแฟนคนนี้ต่อไปไหม หรือเราควรจะอยู่กับคนที่เรานั่งอยู่เฉยๆ แล้วเขาก็ทำให้เรามีความสุขได้ หรือการที่เราอยากจะปฏิเสธใครบางคนแต่ก็ยากที่จะห้ามใจเพราะว่าสิ่งที่เขาทำให้เรามันทำให้เรายิ้มได้
แล้วผมอยากพูดถึงกรอบ ตัวตนของคนเราน่ะครับ ผมว่าคนเราทุกคนน่ะมีกรอบตัวเองเป็นชั้นๆ สำหรับคืนวันเสาร์ถึงเช้าวันจันทร์ก็จะมีเรื่องการระเบิดเกราะการป้องกันตัวของตัวเอง กะเทาะความเป็นตัวเองออกมาให้ได้มากที่สุด ภาพยนตร์เรื่องนี้มันก็จะเป็นเสนอข้อเท็จจริงของคนเรา เวลาที่เราอยู่กับคนที่เรารู้สึกชอบ ถ้าเราชอบเขาเมื่อไหร่เราจะไม่มีทางเอาตัวตนของเราเผยออกมา ในขั้นแรกเราจะแอ๊บๆ เก็บๆ ไว้ก่อน มักจะไปเปิดเผยกับเพื่อนสนิทของเรา ความเป็นตัวเองที่แบบบ้าสุดๆ เราจะไปอยู่กับเพื่อน จะไปอยู่กับคนที่เราไม่ได้สนใจเขา เราจะดีหรือไม่ดี ไม่สนใจอะไร เผอิญว่านางเอกของเรื่องนี้ดันหลุด เปิดความเป็นตัวเอง แบบนี้ให้กับตัวพระเอก แล้วทำให้ตัวนางเอกเองรู้สึกว่าสบาย ผมอยากให้ทุกคนเป็นแบบนี้จริงๆ เพราะว่าการเป็นตัวเองที่สุด มันทำให้เราอยู่ได้ตลอดไป มันสบายตัวมากเลยครับ คืนวันเสาร์ถึงเช้าวันจันทร์ก็เลยพูดประเด็นนี้แล้วก็มีอีกประเด็นที่ว่าคนเราจะตกหลุมรักได้ไหมในช่วงเวลาเพียงข้ามคืน
แต่ความตั้งใจแรกของการสร้างเรื่องนี้เลยก็คืออยากให้ทุกคนมีรอยยิ้มให้ได้ก่อน เมื่อคุณดูภาพยนตร์จบไป เงินที่คุณเสียไปกับการดูภาพยนตร์เรื่องนี้จะทำให้คุณมีแรงที่จะทำงานต่อมีรอยยิ้ม พูดกับใครก็ยิ้มได้ ความสุขเหล่านี้มันจะเกิดมาจากตัวละครทุกตัวที่ผมได้สร้างขึ้นมา นิสัยของตัวละครหลายๆ ตัว มันคือเรื่องราวที่ผมได้ไปเจอมา และผมได้หัวเราะกับมันไปก่อนหน้านี้แล้วก่อนที่ทุกคนจะได้หัวเราะ ผมเจอคนจริงๆ ที่เป็นแบบนี้แล้วผมก็หัวเราะหัวทิ่มไปแล้ว แล้วผมก็เลยเอาสิ่งที่เจอนี้มาขยายความให้มันใหญ่ขึ้น เพื่อสร้างความสุขมากขึ้นเวลาเราเห็นตัวละครทุกๆ ตัว ในภาพยนตร์เรื่องนี้ผมบอกได้เลยว่าผมเจอมาหมดแล้วจริงๆ บางคนอาจจะแบบว่า เฮ้ยมันมีด้วยเหรอวะ มันมีจริงๆ ครับ มันมีแล้วน่ากลัวมาก (หัวเราะ) แต่รวมๆ แล้วเรื่องนี้เป็นภาพยนตร์ที่มองโลกในแง่ดีนะครับ