happy on February 23, 2012, 03:46:01 PM
เดอะ โลแรกซ์ เทวดาสีส้มตัวจิ๋ว กวาดรายได้สุดเจ๋ง

สร้างสถิติเปิดตัวสูงสุดของปีนี้ ทะลุ 70 ล้านดอลล่าร์

ยูนิเวอร์แซลปลื้ม ถือเป็นฤกษ์ดีกับการฉลอง 100 ปี

เตรียมสร้างความสนุกในไทย ให้ทุกหัวใจสดใส รับปิดเทอม 22 มีค.นี้


ชื่อภาพยนตร์               DR.SEUSS’ THE LORAX        

ชื่อไทย                      คุณปู่โลแร็กซ์ มหัศจรรย์ป่าสีรุ้ง
เว็บไซต์                      www.theloraxmovie.com
วันที่เข้าฉาย      22 มีนาคม 2555
จัดจำหน่าย      บริษัท ยูไนเต็ด อินเตอร์เนชั่นแนล พิคเจอร์ส (ฟาร์อีสต์)
เว็บไซต์      www.theloraxmovie.com

ทีมพากย์
   แดนนี เดอวีโต้ (Danny DeVito)    พากย์เสียง          เดอะ โลแรกซ์
                  ให้เสียงพากย์ไทยโดย    ป๋าเต็ด ยุทธนา บุญอ้อม
   แซค เอฟรอน (Zac Efron)       รับบท             เท็ด
                  ให้เสียงพากย์ไทยโดย   อเล็กซ์ เรนเดลล์
เทย์เลอร์ สวิฟท์ (Taylor Swift)    พากย์เสียง          ออเดรย์
               ให้เสียงพากย์ไทยโดย   เต้ย จรินทร์พร จุนเกียรติ
               *ร้องเพลงประกอบโดย   คิว วงฟลัวร์ สุวีระ บุญรอด
เอ็ด เฮล์มส์ (Ed Helms)       พากย์เสียง          เดอะ วันซ์-เลอร์
ร็อบ ริกเกิ้ล (Rob Riggle)       พากย์เสียง          มิสเตอร์โอ’แฮร์
เจนนี สเลท (Jenny Slate)       พากย์เสียง          แม่ของเท็ด
เบ็ตตี้ ไวท์ (Betty White)       รับบท             แกรมมี นอร์มา

ทีมผู้สร้าง

คริส เรโนต์ (Chris Renaud) –ผู้กำกับ
คริส เมเลแดนดรี (Chris Meledandri)—ผู้อำนวยการสร้าง
เจเน็ต ฮีลลี (Janet Healy)—ผู้อำนวยการสร้าง



               โปรเจคท์แอนิเมชั่นใหม่ล่าสุด ในระบบ 3D-CGI Dr. Seuss’ The Lorax  ซึ่งดัดแปลงมาจากนิทานแสนคลาสสิคของ ดร.ซูส  ซึ่งเป็นเรื่องราวของสิ่งมีชีวิตในผืนป่าที่ต้องแบ่งปันพลังแห่งความหวังด้วยกัน การผจญภัยที่ชวนคุณติดตามเด็กหนุ่มคนหนึ่งที่ออกเดินทางเพื่อไปค้นหาสิ่งๆหนึ่ง ที่จะช่วยให้เขาสามารถเอาชนะใจสาวน้อยที่เขาหลงรัก เพื่อที่จะได้มาเพื่อเจ้าตัวช่วยสิ่งนั้น เขาจะต้องตามหาเรื่องราวของ “โลแร็กซ์” สิ่งมีชีวิตที่ดูเหมือนจะน่าเกรงขามและน่าเอ็นดูในตัวเดียวกัน โลแร็กซ์นี้มีหน้าที่เป็นผู้ปกป้องอาณาเขตที่เป็นธรรมชาติอันแสนสวยของเขา

            ดาราชื่อดัง แดนนี่ เดอวิโต้ ได้มาให้เสียงพากย์ในบทเด่นของเรื่องคือ โลแร็กซ์ ขณะที่ เอ็ด เฮลม์ส ให้เสียงเป็นตัวละครสำคัญคือ  อวันซ์-เลอร์ และดาราวัยรุ่นซูเปอร์สตาร์ แซค เอฟรอน ให้เสียงพากย์เป็น เท็ด หนุ่มน้อยที่ออกตามหาโลแร็กซ์ และนักร้องสาวไอดอลชื่อดัง เทย์เลอร์ สวิฟท์ ให้เสียงพากย์เป็น ออเดรย์ สาวน้อยในฝันของเท็ด

            เรื่อง Dr. Seuss’ The Lorax นี้ เป็นแอนิเมชั่นเรื่องที่สาม ของยูนิเวอร์แซล พิคเจอร์ส และ อิลูมิเนชั่น เอนเตอร์เทนเม้นท์ (ผู้สร้าง Despicable Me และ Hop)








« Last Edit: March 19, 2012, 02:22:36 PM by happy »

happy on February 23, 2012, 03:53:08 PM
ข้อมูลงานสร้าง

“โลแรกซ์คืออะไร ทำไมมันถึงอยู่ที่นั่น แล้วทำไมมันถึงถูกยก
และนำมาจากที่อีกฟากฝั่งหนึ่งของเมือง ที่ซึ่งหญ้ากริคเคิลงอกขึ้นมาล่ะ
วันซ์-เลอร์ชรายังอยู่ที่นั่น ถามเขาสิ เขารู้”
—ดร.ซุส, “The Lorax”

                จากผู้สร้าง Despicable Me และจินตนาการของดร.ซุส ภาพยนตร์ที่เป็นที่จับตามอง Dr.Seuss’ The Lorax ภาพยนตร์ 3D CG ที่สร้างขึ้นจากตำนานคลาสสิกของผู้พิทักษ์ป่า ผู้ถ่ายทอดพลังแห่งความหวังที่ไม่เคยเหือดแห้ง อนิเมชันผจญภัยเรื่องนี้ติดตามการเดินทางของเด็กชายวัย 12 ขวบที่ออกตามหาต้นทรัฟฟูลาจริงๆ ซึ่งจะทำให้เขาเอาชนะใจสาวในฝันของเขาได้ ในการตามหาต้นทรัฟฟูลาให้พบ เขาจะต้องตามหาเรื่องราวของโลแรกซ์ ตัวละครหยาบกระด้างแต่ก็น่ารัก ผู้ต่อสู้เพื่อปกป้องโลกของเขาเอาไว้
             ผู้พากย์เสียงในโปรเจ็กต์นี้คือแดนนี เดอวีโต้ (ซีรีส์ It’s Always Sunny in Philadelphia, Twins, L.A. Confidential, The War of the Roses) ในบทโลแรกซ์และเอ็ด เฮล์มส์ (The Hangover, Hangover 2, ซีรีส์ The Office) ในบทวันซ์-เลอร์ ผู้ลึกลับ ผู้ที่ร่วมพากย์เสียงในการผจญภัยครั้งนี้ด้วยได้แก่ซูเปอร์สตาร์ดังคับโลก แซค เอฟรอน (Hairspray, 17 Again) ในบทเท็ด เด็กชายเพ้อฝัน ผู้ออกตามหาโลแรกซ์ และศิลปินเจ้าของรางวัลแกรมมี อวอร์ด เทย์เลอร์ สวิฟท์ (Valentine’s Day) ในบทออเดรย์ สาวในฝันของเท็ด ส่วนนักพากย์คนอื่นๆ ได้แก่ ร็อบ ริกเกิ้ล (The Hangover, Big Miracle) ในบทผู้ร้าย โอ’แฮร์, เจนนี สเลท (Alvin and the Chipmunks: Chipwrecked, ซีรีส์ Saturday Night Live) ในบทแม่ผู้หวงแหนเท็ดและเบ็ตตี้ ไวท์ นักแสดงหญิงผู้เป็นที่รัก (The Proposal, ซีรีส์ Hot in Cleveland) ในบทแกรมมี นอร์มา ที่ชาญฉลาดของเท็ด
             Dr. Seuss’ The Lorax เป็นการผจญภัยที่ทั้งขบขันและสะเทือนอารมณ์ ที่เน้นย้ำถึงความสำคัญของสมดุลระหว่างธรรมชาติและความก้าวหน้า ภาพยนตร์เรื่องนี้มีศูนย์กลางอยู่ที่โลแรกซ์ ตัวละครน่ารักน่าขบขัน ผู้พยายามคุ้มครองต้นไม้และสิงสาราสัตว์ที่อาศัยอยู่ในป่า หลังจากที่วันซ์-เลอร์ตัดต้นไม้ โลแรกซ์ก็โผล่ออกมาอย่างโกรธเคืองจากตอไม้ พร้อมคำเตือนเด็ดขาดสำหรับนักธุรกิจหนุ่ม
             ภูมิประเทศที่เขียวขจีของทรัฟฟูลา วัลลีย์เต็มไปด้วยสิงสาราสัตว์หลากหลายชนิด ตั้งแต่สโวมีสวอนไปถึงปลาฮัมมิง และที่น่ารักที่สุดก็คือสิ่งมีชีวิตเหมือนหมีที่เป็นที่รู้จักในชื่อของบาร์บาลูทส์ ที่เดินอุ้ยอ้ายไปมาท่ามกลางป่าทรัฟฟูลา
             หน้าที่ของโลแรกซ์ในฐานะผู้พิทักษ์ป่าถูกท้าทายเมื่อวันซ์-เลอร์ เด็กหนุ่มผู้ทะเยอทะยาน โค่นต้นทรัฟฟูลาลงและขู่ที่จะตัดต้นไม้เพิ่มเพื่อขยายแผนธุรกิจของตัวเอง ด้วยความโกรธแค้นจากการกระทำทารุณต่อธรรมชาตินี้ โลแรกซ์วิพากษ์วิจารณ์การกระทำของวันซ์-เลอร์อย่างรุนแรง ตั้งแต่ครั้งแรกที่ได้พบกัน ทั้งคู่ก็เข้ากันไม่ได้เสียแล้ว ต่างฝ่ายต่างก็มุ่งมั่นที่จะกำจัดกันและกัน แต่เมื่อเวลาผ่านไป พวกเขาก็เริ่มชื่นชมอีกฝ่าย หากแต่ท้ายที่สุด โลแรกซ์ก็ไม่สามารถต้านทานความโลภและความทะเยอทะยานที่เริ่มครอบงำวันซ์-เลอร์ ผู้ไม่ยอมให้อะไรมาหยุดยั้งแผนการที่จะสร้างอาณาจักรธุรกิจของตัวเอง แม้ว่ามันจะหมายถึงการโค่นต้นไม้ทุกต้นและทำลายหุบเขาแห่งนี้ก็ตามที
             หลายปีให้หลัง ในโลกที่ปราศจากต้นไม้ เท็ดย่างเท้าออกไปนอกพรมแดนของเมืองอุตสาหกรรมธนี้ดวิลล์ของเขา เพื่อออกตามหาวันซ์-เลอร์ เพื่อเรียนรู้ว่าเขาจะนำต้นไม้กลับมาให้กับออเดรย์ สาวในฝันของเขาได้อย่างไร
             แม้ว่าจะลังเลในตอนแรก วันซ์-เลอร์มองเห็นอะไรบางอย่างในตัวเท็ดที่เป็นแรงบันดาลใจให้เขาบอกเล่าเรื่องราวการพบกันระหว่างเขากับโลแรกซ์ ซึ่งก็เป็นแรงบันดาลใจให้เท็ดออกปฏิบัติภารกิจในการฟื้นฟูสมดุลสู่ธนี้ดวิลล์ด้วยการนำต้นทรัฟฟูลากลับสู่ทั้งเมือง
            คริส เมเลแดนดรี อดีตประธานทเวนตี้ เซ็นจูรี ฟ็อกซ์ อนิเมชัน ก่อตั้งอิลลูมิเนชัน เอนเตอร์เทนเมนต์ขึ้นในปี 2007 ในปี 2010 เขาได้สร้างภาพยนตร์บล็อกบัสเตอร์ที่ประสบความสำเร็จทั่วโลก Despicable Me ตามด้วยภาพยนตร์ CG อนิเมชันลูกผสมเรื่อง Hop ในปี 2011 ระหว่างอยู่ที่ฟ็อกซ์ เมเลแดนดรีได้ดูแลแผนกอนิเมชันของบริษัท ที่ซึ่งเขาได้ควบคุมงานสร้างภาพยนตร์เรื่อง Ice Age, Ice Age: The Meltdown และ Dr. Seuss’ Horton Hears a Who!
             สำหรับ Dr. Seuss’ The Lorax เมเลแดนดรีได้กลับมาร่วมงานกับเพื่อนร่วมงานคนสำคัญของเขาหลายคน ซึ่งรวมถึงผู้อำนวยการสร้างเจเน็ต ฮีลลี (Despicable Me, Shark Tale) อนิเมชันผจญภัยเรื่องนี้กำกับโดยผู้กำกับคริส เรโนต์ (Despicable Me) ผู้ร่วมงานโดยมือเขียนบทซินโก้ พอล และเคน ดูริโอ (Despicable Me, Hop, Dr. Seuss’ Horton Hears a Who!) และผู้กำกับร่วมไคล์ บัลดา (Despicable Me)
             ผู้นำทีมอนิเมชันได้แก่ผู้ออกแบบงานสร้างแยร์โรว์ เชนีย์ (Despicable Me, Curious George), ผู้กำกับศิลป์ อีริค กิลลอน (Despicable Me) และมือลำดับภาพ เคน เชิร์ทซ์แมนน์ (Toy Story 3, Cars), แคลร์ ด็อดจ์สัน (Despicable Me, Fantastic Mr. Fox) และสตีเวน หลิว (Despicable Me, Cloudy With a Chance of Meatballs) ผู้ร่วมงานกับพวกเขาได้แก่คอมโพสเซอร์เจ้าของรางวัลจอห์น พาวเวลล์ (Dr. Seuss’ Horton Hears a Who!, How to Train Your Dragon, The Bourne Ultimatum) ผู้ร่วมแต่งเพลงประกอบภาพยนตร์เรื่องนี้กับซินโก้ ดูริโอ และผู้ควบคุมเพลง คริสโตเฟอร์ “ทริคกี้” สจวร์ต ผู้ควบคุมงานสร้างของภาพยนตร์ 3D CG เรื่องนี้คือออเดรย์ จีเซล (Dr. Seuss’ Horton Hears a Who!), เคน ดูริโอและซินโก้ พอล
             ในอเมริกาและแคนาดา ภาพยนตร์เรื่องนี้จะเข้าฉายในวันที่ 2 มีนาคม ปี 2012 ในวันสมมติครบรอบวันเกิดปีที่ 108 ของดร.ซุส











ก่อนงานสร้าง

หนังสือโปรดของเขา: ดร.ซุสและ The Lorax


“โลแรกซ์ไม่ได้บอกว่าการตัดไม้เป็นเรื่องผิดศีลธรรม
ผมเองก็อยู่ในบ้านที่ทำจากไม้และเขียนหนังสือที่พิมพ์บนกระดาษ
มันเป็นหนังสือเกี่ยวกับการใช้สิ่งที่เรามีอย่างค่อยเป็นค่อยไป
มันเป็นเรื่องของการต่อต้านมลพิษและความโลภครับ”
—ธีโอดอร์ “ดร.ซุส” จีเซล

                ธีโอดอร์ “ดร.ซุส” จีเซล หนึ่งในนักเขียนหนังสือสำหรับเด็กเบสต์เซลเลอร์ตลอดกาล ได้เขียนหนังสือที่ถูกตีพิมพ์ใน 95 ประเทศ และ 17 ภาษา ไอคอนชาวอเมริกัน ที่ประสบความสำเร็จทั่วโลกผู้นี้ ได้ประสบความสำเร็จชนิดไม่มีใครเทียบด้วยยอดขายหนังสือกว่าห้าร้อยล้านเล่มทั่วโลก
   แต่เขาไม่ได้เริ่มต้นการทำงานเป็นนักเขียนหนังสือสำหรับเด็กที่เป็นที่รู้จักในนามของดร.ซุสหรอก ในช่วงเริ่มแรก เขาทำงานเป็นนักวาดภาพโฆษณาและนักเขียนการ์ตูนการเมือง ดร.ซุสได้อธิบายถึงความสำคัญที่เขาได้พบจากการเขียนเรื่องสำหรับเยาวชน (ในบทความที่ตีพิมพ์ในปี 1960) ว่า “การอ่านและการคิดของเยาวชนเป็นฐานสำคัญที่จะทำให้ประเทศนี้รุ่ง หรือไม่รุ่งก็ได้ ในยุคสมัยของความตึงเครียดและความสับสน นักเขียนเริ่มตระหนักว่าหนังสือสำหรับเด็กมีศักยภาพที่ยิ่งใหญ่สำหรับความดีหรือความชั่วมากกว่าวรรณกรรมรูปแบบอื่นๆ ในโลกนี้”
   ในเดือนกันยายน ปี 1970 ด้วยความหวังที่จะบรรเทาอาการความคิดตันของสามีเธอและหันเหความขุ่นเคืองที่เขามีต่อการบริโภคเกินขนาดที่เขาพบในชุมชนตัวเอง ออเดรย์ จีเซลเสนอแนะให้พวกเขาเดินทางไปแอฟริกาตะวันออก ในการเดินทางครั้งนี้ หลังจากได้ดูฝูงช้างเดินข้ามภูเขาในเซเรนเกติ เขาได้พบแรงบันดาลใจที่จะเขียน The Lorax ขึ้นมา ซุสได้เขียน 90% ของหนังสือเรื่องนั้นในบ่ายวันนั้น บนกระดาษแผ่นเดียวที่เขาหยิบฉวยได้จากตอนนั้น ซึ่งก็คือลิสต์สิ่งที่ต้องทำ
   งานเขียนของซุสมีความเชื่อมโยงอย่างแยกกันไม่ออกกับภาพอาร์ตเวิร์คของเขา และป่าไม้ในเซเรนเกติก็เป็นแรงบันดาลใจให้กับต้นทรัฟฟูลา ที่มีขนเป็นผ้าไหม เป็นครั้งแรกในหนังสือของเขาที่ซุสเปลี่ยนการใช้สีสันใน The Lorax จากสีสันพื้นฐานไปเป็นลุคที่มีสีม่วงซีด สีม่วงเข้ม สีม่วงหรือแม้แต่สีเขียวเทา ซุสกล่าวว่าการเปลี่ยนแปลงสีสันนี้เกิดจากการสนับสนุนของภรรยาของเขา และเพื่ออุทิศให้กับแรงบันดาลใจของเธอ เขาก็เลยอุทิศ The Lorax ให้กับออเดรย์และลาร์คกับลีอา ลูกสาวสองคนของเธอ
   ในตอนที่มันถูกตีพิมพ์ในช่วงฤดูใบไม้ร่วงปี 1971 The Lorax เป็นสิ่งที่ล้ำเกินยุคสมัย ในตอนที่การเคลื่อนไหวเพื่อสิ่งแวดล้อมมีการตื่นตัวขึ้นในสิบปีให้หลัง ความนิยมของ The Lorax ก็พุ่งสูงขึ้นด้วย ตอนนี้ ผู้อ่านทั้งเด็กและผู้ใหญ่ต่างก็มองเห็นตัวเองในเรื่องราวของเด็กผู้ชายที่ตามหาคำตอบว่าเกิดอะไรขึ้นกับป่าไม้
   The Lorax กลายเป็นเรื่องเล่าประจำเวลาเล่านิทาน ที่สอนและสนับสนุนให้เด็กๆ สร้างความเปลี่ยนแปลงในชีวิตของพวกเขาเอง ที่สำคัญ The Lorax ได้ถูกบรรจุอยู่ใน “ท็อป 20 ลิสต์หนังสือสำหรับเด็กตลอดกาลของผู้ให้การศึกษา” ในบรรดากว่า 40 ผลงานที่เขาได้รังสรรค์ขึ้นก่อนที่เขาจะจากไปในปี 1991 ดร.ซุสประกาศว่า The Lorax เป็นผลงานที่เขาโปรดปรานที่สุด
« Last Edit: March 18, 2012, 06:05:13 PM by happy »

happy on February 23, 2012, 03:55:10 PM
เกี่ยวกับงานสร้าง
จากหน้ากระดาษสู่หน้าจอ:The Lorax กลับมาแล้ว


“ปลูกต้นทรัฟฟูลาขึ้นใหม่ ดูแลเอาใจใส่มัน รดน้ำสะอาดๆ ให้มัน
ให้อากาศบริสุทธิ์กับมัน ปลูกป่าขึ้นมา ปกป้องมันจากคมขวาน
แล้วโลแรกซ์และเพื่อนพ้องของเขาอาจจะกลับมาก็ได้"
--วันซ์-เลอร์ใน The Lorax

               ความสัมพันธ์ระหว่างเมเลแดนดรีและออเดรย์ จีเซลที่เกิดขึ้นระหว่าง  Dr. Seuss’ Horton Hears a Who! นำไปสู่การตัดสินใจสร้าง  Dr. Seuss’ The Lorax เมเลแดนดรีเล่าที่มาว่า "จุดเริ่มต้นของการตัดสินใจที่จะสร้าง The Lorax หลังจาก Horton Hears a Who! มาจากออเดรย์ จีเซลครับ เราคุยกันว่าเราอยากจะสร้างหนังด้วยกันอีกเรื่อง และเธอก็มาบอกผมว่า 'นี่เป็นเรื่องที่ฉันอยากจะทำ' เธออธิบายว่ามันเป็นหนังสือเล่มโปรดของเท็ด จีเซล และมันก็ถูกอุทิศให้กับเธอ เธอรู้สึกถึงความรักยิ่งใหญ่ที่มีต่อหนังสือเรื่องนี้ รวมถึงความเข้าถึงได้ของเรื่องราวนี้อีกด้วยครับ"
   เขาพิจารณาถึงน้ำหนักและความจริงจังของการดัดแปลงหนังสือที่มีประวัติและข้อคิดที่สำคัญเช่นนี้อย่างรอบคอบ เขาอธิบายว่า "ผมนั่งอยู่กับหนังสือเรื่องนี้ซักพัก แล้วผมก็ให้คู่หูผมที่อิลลูมิเนชันอ่าน สำหรับผลงานทุกชิ้นของซุส สิ่งสำคัญคือการหาวิธีการบอกเล่าเรื่องราวในแบบที่ยกย่องชิ้นงานสำคัญที่เขาได้สร้างขึ้น เราใช้เวลาหกเดือนในการตัดสินใจว่าเราจะสามารถทำเรื่องนั้นได้สำเร็จหรือไม่"
   Dr. Seuss’ The Lorax เป็นภาพยนตร์เรื่องที่สี่ที่เมเลแดนดรีได้สร้างร่วมกับมือเขียนบท/ผู้ควบคุมงานสร้าง ซินโก้ พอลและเคน ดูริโอ คู่หูมือเขียนบทคู่นี้เคยร่วมงานกับเขามาก่อนในภาพยนตร์โดยยูนิเวอร์แซล Despicable Me และ Hop แต่โปรเจ็กต์แรกของพวกเขากับเมเลแดนดรีคือภาพยนตร์โดยฟ็อกซ์เรื่อง Dr. Seuss’ Horton Hears a Who! พวกเขามีความคุ้นเคยและความเข้าใจในโลกของซุสและวิธีการนำมันขึ้นสู่จอเงินอย่างประสบความสำเร็จ
   ในขณะที่ความรับผิดชอบในการยกย่องศิลปินพรสวรรค์เช่นนี้เป็นสิ่งที่ยิ่งใหญ่ โอกาสในการสร้างโลกภาพยนตร์สีสันสดใสและเปี่ยมด้วยจินตนาการก็เช่นเดียวกัน เมเลแดนดรีกล่าวว่า "ดร.ซุสเป็นหนึ่งในคนที่มีจินตนาการบรรเจิดที่สุดที่มีชีวิตและทำงานอยู่ในศตวรรษที่ 20 โลกของเขามีความรู้สึกของความสนุกสนาน ความขี้เล่นและตัวละครของเขาก็มีเสน่ห์ เขาเขียนเรื่องราวที่สนุกสนานพวกนี้ แต่ภายในนั้นคือไอเดียและธีมที่เป็นอมตะจริงๆ ครับ"
   ผู้ที่กลับมาร่วมงานกับอิลลูมิเนชันอีกครั้งคือผู้กำกับภาพยนตร์บล็อกบัสเตอร์ Despicable Me ผู้ได้รับการเสนอชื่อชิงออสการ์ คริส เรโนต์ เมื่อถูกถามถึงอิทธิพลที่ดร.ซุสมีต่อชีวิตเขา เรโนต์ตอบว่า "เขาเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตผมตั้งแต่ผมยังเล็ก เรื่องราวของเขา โดยเฉพาะ The Lorax เป็นเรื่องที่ผมเล่าต่อให้กับลูกๆ ของผมเอง เขาสอนให้เราตระหนักถึงโลกที่ยิ่งใหญ่กว่าตัวเราและสอนเราว่าแต่ละคนสามารถสร้างความแตกต่างได้ นั่นเป็นสิ่งที่ติดตรึงในใจคุณครับ ถ้าเราซึมซับบทเรียนพวกนี้ตั้งแต่ตอนเด็กๆ คุณก็จะเก็บมันไว้ในใจตลอดชีวิต"
   The Lorax เป็นเรื่องราวโด่งดัง ที่เป็นที่รัก ซึ่งเป็นวรรณกรรมในดวงใจสำหรับผู้อ่านรุ่นเยาว์จำนวนมาก ในการสร้างภาพยนตร์ที่จะดึงผู้ชมเข้าสู่เรื่องราวนี้มากขึ้น ทีมงานจะต้องสร้างตัวละครจากหน้ากระดาษและสร้างโลกที่สมบูรณ์ขึ้นมา พวกเขาไม่ได้ตั้งเป้าที่จะเขียนเรื่องราวนี้ขึ้นใหม่ แต่เป็นการเติมเต็มสิ่งที่เกิดขึ้นก่อนที่หนังสือจะเริ่มต้นขึ้นและหลังจากที่มันสิ้นสุดลง
   การเติมเต็มช่องว่างเหล่านี้ไม่ใช่ความท้าทายเล็กๆ เลย ผู้กำกับเล่าว่า "คุณอยากจะซื่อตรงต่อเรื่องราวและให้เกียรติมัน แต่คุณก็ต้องขยายมัน ให้มันเป็นสิ่งที่จะเวิร์คในหนัง 90 นาที ซึ่งเป็นสิ่งที่แตกต่างอย่างมากจากหนังสือสำหรับเด็ก คุณไม่เพียงแต่ต้องตัดสินใจนำภาพและคำพูดโด่งดังเหล่านี้มาสร้างให้กลายเป็นหนัง แต่คุณยังต้องตัดสินใจด้วยว่าจะขยายโลกของหนังสือเรื่องนี้ได้อย่างไร" โชคดีที่ซุสได้มอบจุดเริ่มต้นที่เหมาะสมให้กับพวกเขา "ในตอนที่วันซ์-เลอร์ขว้างเมล็ดพันธุ์ให้กับเท็ด มันดูเหมือนจะเป็นตอนที่เพอร์เฟ็กต์สำหรับการขยายเรื่องราวและคิดหาคำตอบว่า โลกตรงนั้นจะเป็นอย่างไร...นอกเหนือไปจากการบอกเล่าเรื่องราวของโลแรกซ์และวันซ์-เลอร์ในอดีตในหนังสือน่ะครับ"
   ด้วยความที่ The Lorax เป็นที่รักมากเหลือเกิน การใส่ใจในรายละเอียดของการดัดแปลงภาพยนตร์เรื่องนี้จึงเป็นเรื่องที่สำคัญอย่างยิ่งยวด เรโนต์เล่าว่า "เรารู้ว่าโลแรกซ์มีหน้าตายังไง เราต้องดัดแปลงเขาให้เขากลายเป็นตัวละครสามมิติ แต่เราก็มีโครงสร้างพื้นฐาน และเราก็ต่อยอดจากตรงนั้นครับ" สำหรับการขยายส่วนอื่นๆ ผู้กำกับได้ต่อยอดจากธนี้ดวิลล์ในจินตนาการของดูริโอและพอล และพบแรงบันดาลใจด้านภาพวิชวลจากรายละเอียดเล็กน้อยทึ่สุดของเมืองที่ปรากฏในหนังสือ เขากล่าวว่า "มีภาพเล็กๆ ของเมืองของเท็ดในมุมหน้าแรกของหนังสือ เราใช้มันเป็นแรงบันดาลใจสำหรับธนี้ดวิลล์ของเราครับ"









ทรัฟฟูลา วัลลีย์สู่ธนี้ดวิลล์:ใครเป็นใครในโลกของซุส

เขาตัวเตี้ยหน่อยๆ แก่หน่อยๆ สีน้ำตาลหน่อยๆ และขนฟู
เขาพูดด้วยเสียงที่คมกริบและเจ้ากี้เจ้าการ"
--วันซ์-เลอร์ใน The Lorax

                จากพีนัทขนฟูตัวยักษ์และนักธุรกิจผู้ทะเยอทะยานไปจนถึงเด็กชายตาโตวัย 12 ขวบและเด็กสาวในฝันของเขา โลกของทรัฟฟูลา วัลลีย์และธนี้ดวิลล์หนาแน่นไปด้วยผู้คนและสิ่งมีชีวิตทุกรูปแบบ ด้านล่างต่อไปนี้จะเป็นคู่มือแนะนำว่าใครเป็นใครและอะไรคืออะไร

โลแรกซ์ (แดนนี เดอวีโต้) เป็นผู้พิทักษ์ป่า ที่พูดแทนต้นไม้ทั้งหลาย เขาตัวเตี้ย เสียงดัง เจ้ากี้เจ้าการและอารมณ์ร้าย (ภายในร่างอ้วนกลมน่ารัก) หน้าที่ในการเป็นผู้พิทักษ์ของเขาถูกทดสอบเมื่อวันซ์-เลอร์ตัดต้นทรัฟฟูลาและขู่ที่จะตัดต้นไม้เพิ่มเพื่อทำตามแผนธุรกิจของตัวเอง โลแรกซ์พยายามบังคับให้วันซ-เลอร์ออกจากทรัฟฟูลา วัลลีย์และเตือนวันซ์-เลอร์ว่า ถ้าเขารบกวนธรรมชาติ ธรรมชาติก็จะตอบโต้กลับ

เราได้พบกับวันซ์-เลอร์ (เอ็ด เฮล์มส์)ครั้งแรกในฐานะชายชราผู้ผิดหวัง ผู้ใช้ชีวิตอยู่ในกระท่อมโทรมๆ (เลอร์คิม) นอกเมืองธนี้ดวิลล์ เขาเป็นเพียงคนเดียวที่สามารถเล่าให้เท็ดฟังเกี่ยวกับโลแรกซ์ ต้นไม้จริงๆ และสิ่งที่เกิดขึ้นกับพวกมัน เราย้อนกลับไปเห็นวันซ์-เลอร์ สมัยหนุ่ม ผู้พาเมลวิน ลาของเขา ย้ายไปทรัฟฟูลา วัลลีย์ ด้วยความหวังที่จะสร้างตัว หลังจากได้เจอกับโลแรกซ์โดยไม่คาดฝัน วันซ์-เลอร์สัญญาว่าเขาจะไม่ตัดต้นไม้อีกแล้ว แต่เมื่อเสียงเย้ายวนของความโลภและความสำเร็จครอบงำเขา เขาก็ทำผิดสัญญา และตัดต้นไม้จนเกลี้ยงในท้ายที่สุด วันซ์-เลอร์ชราอธิบายกับเท็ดว่า ครั้งหนึ่ง ต้นไม้จริงเคยขึ้นอยู่ทุกหนทุกแห่ง จนกระทั่งเขาตัดต้นไม้พวกนั้นเพื่อสร้างธนี้ดส์ (ผลิตภัณฑ์ใหม่ที่คนนับล้านใช้)

เท็ด วิกกินส์ (แซค เอฟรอน) เด็กชายผู้กระตือรือร้น ผู้มีความมุ่งมั่นที่จะตามหาต้นไม้ที่มีชีวิตเพื่อชนะใจออเดรย์ เด็กสาวที่เขาแอบรัก ในการตามหาต้นไม้ เขาต้องเรียนรู้เรื่องราวของโลแรกซ์ สิ่งมีชีวิตขี้หงุดหงิดแต่น่ารัก ผู้ต่อสู้เพื่อปกป้องโลกของเขา เท็ดตระหนักว่าการเอาชนะใจออเดรย์และชะตากรรมของธนี้ดวิลล์ขึ้นอยู่กับการเดินทางเพื่อตามหาต้นไม้ของเขา

ออเดรย์ (เทย์เลอร์ สวิฟท์)เป็นเพื่อนบ้านของเท็ด ผู้ใฝ่ฝันจะเห็นต้นไม้จริงๆ เธอเป็นเด็กสาวผู้รักอิสระเสรี และมีความรักลึกซึ้งให้กับโลกรอบตัวเธอ และได้วาดรูปอนุสาวรีย์ป่าทรัฟฟูลา สถานที่ที่เธอไม่เคยเห็นมาก่อน ได้อย่างน่าอัศจรรย์ใจ เธอแกล้งเชื่อเมื่อเท็ดจงใจ "ลืม" ของไว้ที่สวนหลังบ้านของเธอ เธอขบขันกับเขา เพราะเขาหลงรักเธออย่างเห็นได้ชัด

อลอยเซียส โอ' แฮร์ (ร็อบ ริกเกิ้ล)โอ'แฮร์เป็นวายร้ายผู้ยิ่งใหญ่ แต่สูงเพียงแค่ต้นขาเท่านั้นในภาพยนตร์เรื่องนี้ เขาร่ำรวยจากการขายอากาศบริสุทธิ์อัดขวดให้กับชาวเมืองธนี้ดวิลล์ โรงงานของเขาทำให้อากาศเสีย ซึ่งก็ช่วยให้ธุรกิจของเขาบูมยิ่งขึ้น เขาบริหารอาณาจักรของตัวเองจากเรือเหาะที่ลอยอยู่เหนือเมือง และมีมูนนีย์และแม็คเกิร์ค ลูกสมุนร่างใหญ่ของเขาคอยติดสอยห้อยตามอยู่เสมอ เขาจะสูญเสียทุกสิ่งทุกอย่างถ้าป่าไม้ถูกฟื้นฟูและอากาศบริสุทธิ์กลายเป็นสิ่งที่ไม่ต้องเสียเงินอีกครั้ง

แม้ว่าจะอายุเยอะแล้ว แต่แกรมมี นอร์มา (เบ็ตตี้ ไวท์)ก็ยังเต็มไปด้วยพลังงานและชีวิตชีวา เธอยังคงจำได้ถึงช่วงเวลาที่โลกใบนี้เต็มไปด้วยต้นไม้ และเธอก็มุ่งมั่นที่จะช่วยเหลือเท็ด หลานชายของเธอในแผนการที่จะนำสมดุลกลับคืนสู่ธนี้ดวิลล์อีกครั้ง แกรมมี นอร์มาสนับสนุนให้เท็ดตามหาเดอะ วันซ์-เลอร์ เพราะมีแต่เขาเท่านั้นที่สามารถเล่าให้เท็ดฟังถึงเรื่องราวของโลแรกซ์และป่าไม้ได้

แม่ของเท็ด (เจนนี สเลท)เป็นชาวเมืองธนี้ดวิลล์ธรรมดาๆ คนหนึ่ง ที่ตอบรับความสะดวกสบายของโลกที่สนุกสนานแต่เป็นของปลอมของเธออย่างเต็มตัว เธองุนงงกับพฤติกรรมแปลกประหลาดของแม่เธอ แกรมมี นอร์มา และลูกชายของเธอ เท็ด และจับตามองพวกเขาทั้งคู่ แต่เมื่อครอบครัวของเธอถูกคุกคาม เธอก็ทำทุกอย่างเพื่อปกป้องพวกเขาไว้

บาร์บาลูทส์ สิ่งมีชีวิตน่ารักเหมือนหมี ที่ใช้ชีวิตอยู่เพื่อเดินอุ้ยอ้ายในป่าทรัฟฟูลา เล่นเกมและกินผลไม้หอมหวาน พวกมันอาจจะเป็นสิ่งมีชีวิตที่น่ารักที่สุดในทรัฟฟูลา วัลลีย์ก็เป็นได้ลูเป็นตัวที่ใหญ่ที่สุด ส่วนพิพส์ควี้คมีอายุน้อยที่สุดในฝูง พิพส์ควี้คชื่นชอบอยู่สองสิ่ง นั่นคือมาร์ชเมลโลว์และการนอนน้ำลายยืด

สโวมีสวอนที่บินข้ามหุบเขาทรัฟฟูลา วัลลีย์ อาจจะเป็นที่รู้จักจากคอที่สง่างามและหน้าอกที่งดงามของพวกมัน พวกมันสร้างรังทุกหนทุกแห่ง ตั้งแต่บนโคมไฟไปจนถึงชามบนโต๊ะบิลตาเหล่ เป็นตัวที่อายุน้อยที่สุดในฝูงและมันก็ทั้งตลกและน่ารักด้วย

คุณอาจจะได้ยินเสียงอันเป็นเอกลักษณ์ของ ฮัมมิงฟิชมาแต่ไกลฟินน์และกิลชื่นชอบแพนเค้กเบอร์รีทรัฟฟูลาพอๆ กับการเปลี่ยนแก้วเครื่องดื่มของวันซ์-เลอร์ให้เป็นอ่างจาคุซซี แต่ถ้าคุณไปทำให้สระของพวกมันตื้นเขินด้วยชล็อปเหนียวหนืดล่ะก็ คุณจะต้องเจอกับความโกรธของโลแรกซ์
« Last Edit: March 18, 2012, 06:24:17 PM by happy »

happy on March 19, 2012, 02:15:10 PM
 :) :)