เกี่ยวกับงานสร้าง
จากหน้ากระดาษสู่หน้าจอ:The Lorax กลับมาแล้ว“ปลูกต้นทรัฟฟูลาขึ้นใหม่ ดูแลเอาใจใส่มัน รดน้ำสะอาดๆ ให้มัน
ให้อากาศบริสุทธิ์กับมัน ปลูกป่าขึ้นมา ปกป้องมันจากคมขวาน
แล้วโลแรกซ์และเพื่อนพ้องของเขาอาจจะกลับมาก็ได้"
--วันซ์-เลอร์ใน The Lorax
ความสัมพันธ์ระหว่างเมเลแดนดรีและออเดรย์ จีเซลที่เกิดขึ้นระหว่าง Dr. Seuss’ Horton Hears a Who! นำไปสู่การตัดสินใจสร้าง Dr. Seuss’ The Lorax เมเลแดนดรีเล่าที่มาว่า "จุดเริ่มต้นของการตัดสินใจที่จะสร้าง The Lorax หลังจาก Horton Hears a Who! มาจากออเดรย์ จีเซลครับ เราคุยกันว่าเราอยากจะสร้างหนังด้วยกันอีกเรื่อง และเธอก็มาบอกผมว่า 'นี่เป็นเรื่องที่ฉันอยากจะทำ' เธออธิบายว่ามันเป็นหนังสือเล่มโปรดของเท็ด จีเซล และมันก็ถูกอุทิศให้กับเธอ เธอรู้สึกถึงความรักยิ่งใหญ่ที่มีต่อหนังสือเรื่องนี้ รวมถึงความเข้าถึงได้ของเรื่องราวนี้อีกด้วยครับ"
เขาพิจารณาถึงน้ำหนักและความจริงจังของการดัดแปลงหนังสือที่มีประวัติและข้อคิดที่สำคัญเช่นนี้อย่างรอบคอบ เขาอธิบายว่า "ผมนั่งอยู่กับหนังสือเรื่องนี้ซักพัก แล้วผมก็ให้คู่หูผมที่อิลลูมิเนชันอ่าน สำหรับผลงานทุกชิ้นของซุส สิ่งสำคัญคือการหาวิธีการบอกเล่าเรื่องราวในแบบที่ยกย่องชิ้นงานสำคัญที่เขาได้สร้างขึ้น เราใช้เวลาหกเดือนในการตัดสินใจว่าเราจะสามารถทำเรื่องนั้นได้สำเร็จหรือไม่"
Dr. Seuss’ The Lorax เป็นภาพยนตร์เรื่องที่สี่ที่เมเลแดนดรีได้สร้างร่วมกับมือเขียนบท/ผู้ควบคุมงานสร้าง ซินโก้ พอลและเคน ดูริโอ คู่หูมือเขียนบทคู่นี้เคยร่วมงานกับเขามาก่อนในภาพยนตร์โดยยูนิเวอร์แซล Despicable Me และ Hop แต่โปรเจ็กต์แรกของพวกเขากับเมเลแดนดรีคือภาพยนตร์โดยฟ็อกซ์เรื่อง Dr. Seuss’ Horton Hears a Who! พวกเขามีความคุ้นเคยและความเข้าใจในโลกของซุสและวิธีการนำมันขึ้นสู่จอเงินอย่างประสบความสำเร็จ
ในขณะที่ความรับผิดชอบในการยกย่องศิลปินพรสวรรค์เช่นนี้เป็นสิ่งที่ยิ่งใหญ่ โอกาสในการสร้างโลกภาพยนตร์สีสันสดใสและเปี่ยมด้วยจินตนาการก็เช่นเดียวกัน เมเลแดนดรีกล่าวว่า "ดร.ซุสเป็นหนึ่งในคนที่มีจินตนาการบรรเจิดที่สุดที่มีชีวิตและทำงานอยู่ในศตวรรษที่ 20 โลกของเขามีความรู้สึกของความสนุกสนาน ความขี้เล่นและตัวละครของเขาก็มีเสน่ห์ เขาเขียนเรื่องราวที่สนุกสนานพวกนี้ แต่ภายในนั้นคือไอเดียและธีมที่เป็นอมตะจริงๆ ครับ"
ผู้ที่กลับมาร่วมงานกับอิลลูมิเนชันอีกครั้งคือผู้กำกับภาพยนตร์บล็อกบัสเตอร์ Despicable Me ผู้ได้รับการเสนอชื่อชิงออสการ์ คริส เรโนต์ เมื่อถูกถามถึงอิทธิพลที่ดร.ซุสมีต่อชีวิตเขา เรโนต์ตอบว่า "เขาเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตผมตั้งแต่ผมยังเล็ก เรื่องราวของเขา โดยเฉพาะ The Lorax เป็นเรื่องที่ผมเล่าต่อให้กับลูกๆ ของผมเอง เขาสอนให้เราตระหนักถึงโลกที่ยิ่งใหญ่กว่าตัวเราและสอนเราว่าแต่ละคนสามารถสร้างความแตกต่างได้ นั่นเป็นสิ่งที่ติดตรึงในใจคุณครับ ถ้าเราซึมซับบทเรียนพวกนี้ตั้งแต่ตอนเด็กๆ คุณก็จะเก็บมันไว้ในใจตลอดชีวิต"
The Lorax เป็นเรื่องราวโด่งดัง ที่เป็นที่รัก ซึ่งเป็นวรรณกรรมในดวงใจสำหรับผู้อ่านรุ่นเยาว์จำนวนมาก ในการสร้างภาพยนตร์ที่จะดึงผู้ชมเข้าสู่เรื่องราวนี้มากขึ้น ทีมงานจะต้องสร้างตัวละครจากหน้ากระดาษและสร้างโลกที่สมบูรณ์ขึ้นมา พวกเขาไม่ได้ตั้งเป้าที่จะเขียนเรื่องราวนี้ขึ้นใหม่ แต่เป็นการเติมเต็มสิ่งที่เกิดขึ้นก่อนที่หนังสือจะเริ่มต้นขึ้นและหลังจากที่มันสิ้นสุดลง
การเติมเต็มช่องว่างเหล่านี้ไม่ใช่ความท้าทายเล็กๆ เลย ผู้กำกับเล่าว่า "คุณอยากจะซื่อตรงต่อเรื่องราวและให้เกียรติมัน แต่คุณก็ต้องขยายมัน ให้มันเป็นสิ่งที่จะเวิร์คในหนัง 90 นาที ซึ่งเป็นสิ่งที่แตกต่างอย่างมากจากหนังสือสำหรับเด็ก คุณไม่เพียงแต่ต้องตัดสินใจนำภาพและคำพูดโด่งดังเหล่านี้มาสร้างให้กลายเป็นหนัง แต่คุณยังต้องตัดสินใจด้วยว่าจะขยายโลกของหนังสือเรื่องนี้ได้อย่างไร" โชคดีที่ซุสได้มอบจุดเริ่มต้นที่เหมาะสมให้กับพวกเขา "ในตอนที่วันซ์-เลอร์ขว้างเมล็ดพันธุ์ให้กับเท็ด มันดูเหมือนจะเป็นตอนที่เพอร์เฟ็กต์สำหรับการขยายเรื่องราวและคิดหาคำตอบว่า โลกตรงนั้นจะเป็นอย่างไร...นอกเหนือไปจากการบอกเล่าเรื่องราวของโลแรกซ์และวันซ์-เลอร์ในอดีตในหนังสือน่ะครับ"
ด้วยความที่ The Lorax เป็นที่รักมากเหลือเกิน การใส่ใจในรายละเอียดของการดัดแปลงภาพยนตร์เรื่องนี้จึงเป็นเรื่องที่สำคัญอย่างยิ่งยวด เรโนต์เล่าว่า "เรารู้ว่าโลแรกซ์มีหน้าตายังไง เราต้องดัดแปลงเขาให้เขากลายเป็นตัวละครสามมิติ แต่เราก็มีโครงสร้างพื้นฐาน และเราก็ต่อยอดจากตรงนั้นครับ" สำหรับการขยายส่วนอื่นๆ ผู้กำกับได้ต่อยอดจากธนี้ดวิลล์ในจินตนาการของดูริโอและพอล และพบแรงบันดาลใจด้านภาพวิชวลจากรายละเอียดเล็กน้อยทึ่สุดของเมืองที่ปรากฏในหนังสือ เขากล่าวว่า "มีภาพเล็กๆ ของเมืองของเท็ดในมุมหน้าแรกของหนังสือ เราใช้มันเป็นแรงบันดาลใจสำหรับธนี้ดวิลล์ของเราครับ"ทรัฟฟูลา วัลลีย์สู่ธนี้ดวิลล์:ใครเป็นใครในโลกของซุสเขาตัวเตี้ยหน่อยๆ แก่หน่อยๆ สีน้ำตาลหน่อยๆ และขนฟู
เขาพูดด้วยเสียงที่คมกริบและเจ้ากี้เจ้าการ"
--วันซ์-เลอร์ใน The Lorax
จากพีนัทขนฟูตัวยักษ์และนักธุรกิจผู้ทะเยอทะยานไปจนถึงเด็กชายตาโตวัย 12 ขวบและเด็กสาวในฝันของเขา โลกของทรัฟฟูลา วัลลีย์และธนี้ดวิลล์หนาแน่นไปด้วยผู้คนและสิ่งมีชีวิตทุกรูปแบบ ด้านล่างต่อไปนี้จะเป็นคู่มือแนะนำว่าใครเป็นใครและอะไรคืออะไรโลแรกซ์ (แดนนี เดอวีโต้) เป็นผู้พิทักษ์ป่า ที่พูดแทนต้นไม้ทั้งหลาย เขาตัวเตี้ย เสียงดัง เจ้ากี้เจ้าการและอารมณ์ร้าย (ภายในร่างอ้วนกลมน่ารัก) หน้าที่ในการเป็นผู้พิทักษ์ของเขาถูกทดสอบเมื่อวันซ์-เลอร์ตัดต้นทรัฟฟูลาและขู่ที่จะตัดต้นไม้เพิ่มเพื่อทำตามแผนธุรกิจของตัวเอง โลแรกซ์พยายามบังคับให้วันซ-เลอร์ออกจากทรัฟฟูลา วัลลีย์และเตือนวันซ์-เลอร์ว่า ถ้าเขารบกวนธรรมชาติ ธรรมชาติก็จะตอบโต้กลับเราได้พบกับวันซ์-เลอร์ (เอ็ด เฮล์มส์)ครั้งแรกในฐานะชายชราผู้ผิดหวัง ผู้ใช้ชีวิตอยู่ในกระท่อมโทรมๆ (เลอร์คิม) นอกเมืองธนี้ดวิลล์ เขาเป็นเพียงคนเดียวที่สามารถเล่าให้เท็ดฟังเกี่ยวกับโลแรกซ์ ต้นไม้จริงๆ และสิ่งที่เกิดขึ้นกับพวกมัน เราย้อนกลับไปเห็นวันซ์-เลอร์ สมัยหนุ่ม ผู้พาเมลวิน ลาของเขา ย้ายไปทรัฟฟูลา วัลลีย์ ด้วยความหวังที่จะสร้างตัว หลังจากได้เจอกับโลแรกซ์โดยไม่คาดฝัน วันซ์-เลอร์สัญญาว่าเขาจะไม่ตัดต้นไม้อีกแล้ว แต่เมื่อเสียงเย้ายวนของความโลภและความสำเร็จครอบงำเขา เขาก็ทำผิดสัญญา และตัดต้นไม้จนเกลี้ยงในท้ายที่สุด วันซ์-เลอร์ชราอธิบายกับเท็ดว่า ครั้งหนึ่ง ต้นไม้จริงเคยขึ้นอยู่ทุกหนทุกแห่ง จนกระทั่งเขาตัดต้นไม้พวกนั้นเพื่อสร้างธนี้ดส์ (ผลิตภัณฑ์ใหม่ที่คนนับล้านใช้)เท็ด วิกกินส์ (แซค เอฟรอน) เด็กชายผู้กระตือรือร้น ผู้มีความมุ่งมั่นที่จะตามหาต้นไม้ที่มีชีวิตเพื่อชนะใจออเดรย์ เด็กสาวที่เขาแอบรัก ในการตามหาต้นไม้ เขาต้องเรียนรู้เรื่องราวของโลแรกซ์ สิ่งมีชีวิตขี้หงุดหงิดแต่น่ารัก ผู้ต่อสู้เพื่อปกป้องโลกของเขา เท็ดตระหนักว่าการเอาชนะใจออเดรย์และชะตากรรมของธนี้ดวิลล์ขึ้นอยู่กับการเดินทางเพื่อตามหาต้นไม้ของเขาออเดรย์ (เทย์เลอร์ สวิฟท์)เป็นเพื่อนบ้านของเท็ด ผู้ใฝ่ฝันจะเห็นต้นไม้จริงๆ เธอเป็นเด็กสาวผู้รักอิสระเสรี และมีความรักลึกซึ้งให้กับโลกรอบตัวเธอ และได้วาดรูปอนุสาวรีย์ป่าทรัฟฟูลา สถานที่ที่เธอไม่เคยเห็นมาก่อน ได้อย่างน่าอัศจรรย์ใจ เธอแกล้งเชื่อเมื่อเท็ดจงใจ "ลืม" ของไว้ที่สวนหลังบ้านของเธอ เธอขบขันกับเขา เพราะเขาหลงรักเธออย่างเห็นได้ชัดอลอยเซียส โอ' แฮร์ (ร็อบ ริกเกิ้ล)โอ'แฮร์เป็นวายร้ายผู้ยิ่งใหญ่ แต่สูงเพียงแค่ต้นขาเท่านั้นในภาพยนตร์เรื่องนี้ เขาร่ำรวยจากการขายอากาศบริสุทธิ์อัดขวดให้กับชาวเมืองธนี้ดวิลล์ โรงงานของเขาทำให้อากาศเสีย ซึ่งก็ช่วยให้ธุรกิจของเขาบูมยิ่งขึ้น เขาบริหารอาณาจักรของตัวเองจากเรือเหาะที่ลอยอยู่เหนือเมือง และมีมูนนีย์และแม็คเกิร์ค ลูกสมุนร่างใหญ่ของเขาคอยติดสอยห้อยตามอยู่เสมอ เขาจะสูญเสียทุกสิ่งทุกอย่างถ้าป่าไม้ถูกฟื้นฟูและอากาศบริสุทธิ์กลายเป็นสิ่งที่ไม่ต้องเสียเงินอีกครั้งแม้ว่าจะอายุเยอะแล้ว แต่แกรมมี นอร์มา (เบ็ตตี้ ไวท์)ก็ยังเต็มไปด้วยพลังงานและชีวิตชีวา เธอยังคงจำได้ถึงช่วงเวลาที่โลกใบนี้เต็มไปด้วยต้นไม้ และเธอก็มุ่งมั่นที่จะช่วยเหลือเท็ด หลานชายของเธอในแผนการที่จะนำสมดุลกลับคืนสู่ธนี้ดวิลล์อีกครั้ง แกรมมี นอร์มาสนับสนุนให้เท็ดตามหาเดอะ วันซ์-เลอร์ เพราะมีแต่เขาเท่านั้นที่สามารถเล่าให้เท็ดฟังถึงเรื่องราวของโลแรกซ์และป่าไม้ได้แม่ของเท็ด (เจนนี สเลท)เป็นชาวเมืองธนี้ดวิลล์ธรรมดาๆ คนหนึ่ง ที่ตอบรับความสะดวกสบายของโลกที่สนุกสนานแต่เป็นของปลอมของเธออย่างเต็มตัว เธองุนงงกับพฤติกรรมแปลกประหลาดของแม่เธอ แกรมมี นอร์มา และลูกชายของเธอ เท็ด และจับตามองพวกเขาทั้งคู่ แต่เมื่อครอบครัวของเธอถูกคุกคาม เธอก็ทำทุกอย่างเพื่อปกป้องพวกเขาไว้บาร์บาลูทส์ สิ่งมีชีวิตน่ารักเหมือนหมี ที่ใช้ชีวิตอยู่เพื่อเดินอุ้ยอ้ายในป่าทรัฟฟูลา เล่นเกมและกินผลไม้หอมหวาน พวกมันอาจจะเป็นสิ่งมีชีวิตที่น่ารักที่สุดในทรัฟฟูลา วัลลีย์ก็เป็นได้ลูเป็นตัวที่ใหญ่ที่สุด ส่วนพิพส์ควี้คมีอายุน้อยที่สุดในฝูง พิพส์ควี้คชื่นชอบอยู่สองสิ่ง นั่นคือมาร์ชเมลโลว์และการนอนน้ำลายยืดสโวมีสวอนที่บินข้ามหุบเขาทรัฟฟูลา วัลลีย์ อาจจะเป็นที่รู้จักจากคอที่สง่างามและหน้าอกที่งดงามของพวกมัน พวกมันสร้างรังทุกหนทุกแห่ง ตั้งแต่บนโคมไฟไปจนถึงชามบนโต๊ะบิลตาเหล่ เป็นตัวที่อายุน้อยที่สุดในฝูงและมันก็ทั้งตลกและน่ารักด้วยคุณอาจจะได้ยินเสียงอันเป็นเอกลักษณ์ของ ฮัมมิงฟิชมาแต่ไกลฟินน์และกิลชื่นชอบแพนเค้กเบอร์รีทรัฟฟูลาพอๆ กับการเปลี่ยนแก้วเครื่องดื่มของวันซ์-เลอร์ให้เป็นอ่างจาคุซซี แต่ถ้าคุณไปทำให้สระของพวกมันตื้นเขินด้วยชล็อปเหนียวหนืดล่ะก็ คุณจะต้องเจอกับความโกรธของโลแรกซ์