du_sit on February 21, 2012, 03:10:52 AM

บำรุงเมือง พลาซ่า ทุ่มสองพันล้าน เปิด “โซโห”
ศูนย์แฟชั่นค้าส่ง ครบวงจร 24 ชั่วโมง ครั้งแรกของเมืองไทย !!





ทำเลทองย่านช้อปปิ้งระดับตำนานย่าน  “โบ๊เบ๊”  คึกคักขึ้นไปอีกเป็นทวีคูณ   หลังกลุ่มทุนผู้ดำเนินธุรกิจอสังหาฯ อาทิ ศูนย์การค้า อาคารที่พักอาศัย   อย่าง  บริษัท บำรุงเมือง พลาซ่า จำกัด  เตรียมจัดหนัก !! ทุ่มสองพันล้านเปิด  “โซโห” ศูนย์แฟชั่นค้าส่ง ครบวงจร 24 ชั่วโมง สร้างปรากฎการณ์ เสริมช่องว่างทางการตลาดด้วยคอนเซปต์   All Day All Night All In SOHO หรือ ทั้งครบ ทั้งคุ้ม ทั้งวันทั้งคืน ฉีกข้อจำกัดและเงื่อนไขด้านเวลา เพิ่มโอกาสขายให้ผู้ประกอบการ และขยายเวลาช้อปฯ ให้ผู้ซื้อ  เชื่อวิน-วิน ทั้งระบบ โดยรวบรวมสิ่งอำนวยความสะดวกแบบจัดเต็ม! ทั้ง ซูเปอร์มาร์เก็ต, ศูนย์อาหาร, ธนาคาร, ที่จอดรถ ฯลฯ มาเป็นจุดแข็ง พร้อมรองรับพ่อค้าแม่ค้าจากทั่วประเทศ  มั่นใจโปรแรง จองเริ่มต้นเพียง 10,000-50,000 บาท ดาวน์ 25 เปอร์เซ็นต์ ผ่อน  6 งวด สัญญาเช่าพื้นที่ 20 ปี  ส่งผลให้ปิดการขายได้ภายในสามเดือน




จากซ้าย คุณอลัน หลิน , คุณสุรสัณห์ ปรมะเจริญโรจน์ , คุณอำนวย กาญจโนภาศ


 
คุณสุรสัณห์ ปรมะเจริญโรจน์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท บำรุงเมือง พลาซ่า จำกัด        ให้สัมภาษณ์ ว่า
“บริษัท บำรุงเมืองพลาซ่า จำกัด  เป็นเจ้าของอาคาร 16  ชั้น เนื้อที่ 5 ไร่เศษ   บนถนนบำรุงเมือง (ติดกับโรงพยาบาลหัวเฉียว) และเห็นศักยภาพของพื้นที่นี้ซึ่งตั้งอยู่ใจกลางย่านโบ๊เบ๊ เขตเศรษฐกิจที่มีการหมุนเวียนของกระแสเงินสดในธุรกิจแฟชั่นค้าส่งมายาวนานหลายสิบปี ยิ่งในปัจจุบันมีกลุ่มพ่อค้าแม่ค้าในเขตกรุงเทพฯ และต่างจังหวัดทั่วประเทศ เดินทางเข้ามาจับจ่ายสินค้าแฟชั่นนานาชนิด ทั้งเสื้อผ้า กระเป๋า รองเท้า เครื่องหนัง เครื่องประดับ กิฟท์ช็อป ฯลฯ ปริมาณมากขึ้นเรื่อยๆ  จึงมีแนวความคิดที่จะเปิดศูนย์ค้าส่งขนาดใหญ่ขึ้นมารองรับ โดยตั้งชื่อว่า “โซโห”  โดยมีพื้นที่โครงการกว่า  82,000 ตารางเมตร  แบ่งเป็นพื้นที่จองเพื่อทำธุรกิจ 15,000 ตารางเมตร (ชั้น B1-2, และชั้น  1-4)  โดยได้แรงบันดาลใจจากชื่อแหล่งชุมชนที่เป็นศูนย์กลางการช้อปปิ้งสินค้าทันสมัย ตั้งอยู่กลางมหานครใหญ่ๆ ของโลก อาทิ ลอนดอน อเมริกา ฯล  ด้านเขตโบ๊เบ๊ก็เช่นกัน ถือเป็นแหล่งกำเนิดของสินค้าแฟชั่นมากมาย และได้รับความสนใจจากกลุ่มพ่อค้าและแม่ค้าทั่วประเทศ เดินทางเข้ามาซื้อสินค้าไปจำหน่ายคราวละมากๆ
ด้านรายละเอียดของ “โซโห” ศูนย์แฟชั่นค้าส่ง ครบวงจร 24 ชั่วโมง   เปิดให้บริการขายสินค้าแฟชั่นนานาชนิด  เน้นตอบสนองในทุกเรื่องยังเป็นช่องว่างทางการตลาด ตั้งแต่การวาง Brand Postioning ให้เป็น   SOHO 24 Hours Non-Stop Wholesale Shopping จุดประกายการช้อปปิ้งตลอด 24 ชั่วโมง ที่โซโห  ใช้สโลแกน ทั้งครบ ทั้งคุ้ม ทั้งวันทั้งคืน  ทั้งครบ คือให้ที่นี่เป็นศูนย์กลางสตรีทแฟชั่น รวบรวมแฟชั่นทั่วโลกที่ได้รับความนิยม ทั้ง เจป็อป เคป็อป ซีป็อป และ เวิลด์ป็อป มารวมไว้ในแห่งเดียว นอกจากนี้ยังรวบรวมร้านค้าส่งที่จำหน่ายสินค้าดังในแต่ละย่าน อาทิ สำเพ็ง (กิฟท์ช้อป)  โบ๊เบ๊ (แฟชั่นราคาถูก) ประตูน้ำ (เสื้อผ้าแฟชั่น) จตุจักร (ของไอเดียเก๋ๆ) มาไว้ที่นี่หมด เสริมด้วยสิ่งอำนวยความสะดวก ซูเปอร์มาร์เก็ต, ศูนย์อาหาร, ธนาคาร, ที่จอดรถกว่า 800 คัน รวมไว้ที่นี่หมดให้เป็นแบบ One Stop  ทั้งคุ้ม  คือ ขยายเวลาขายให้กับพ่อค้าแม่ค้าได้ขายมากขึ้น  จากเดิมที่กว่าจะขายได้ต้องรอศูนย์ค้าส่งทั่วไปเปิดสิบโมง สามทุ่มปิดแล้ว  แต่ที่นี่แก้ปัญหาในเรื่องของเงื่อนไขด้านเวลา ให้ลูกค้าทำกำไรได้มากขึ้น คือขายไปได้ตลอด  จึงเรียกว่าคุ้มมากๆ ในแง่ราคาพื้นที่ต่อตารางเมตร เทียบกับระยะเวลาการเช่ายี่สิบปี ทั้งวันทั้งคืน วิน-วิน ทั้งผู้ประกอบการและกลุ่มลูกค้าที่เข้ามาใช้บริการ นอกจากมีร้านค้าที่เปิดตลอด 24 ชั่วโมง ยกตลาดเช้า ตลาดกลางวัน ตลาดกลางคืน มาไว้ในศูนย์ค้าส่งแล้ว กลุ่มลูกค้ายังได้เพลิดเพลินและจับจ่ายอย่างสะดวกสบายกับ ซูเปอร์มาร์เก็ต, ศูนย์อาหาร, ธนาคาร ฯลฯ ท่ามกลางระบบรักษาความปลอดภัยที่เป็นเยี่ยม
 
ด้าน คุณอลัน หลิน ประธานกรรมการบริหาร บริษัท ฮาริสัน จำกัด (มหาชน) บริษัทตัวแทนขายพื้นที่ ให้สัมภาษณ์ถึงศักยภาพโครงการฯ และเป้าหมายการขายว่า
“จากการศึกษาและวิเคราะห์ตลาดในย่านนี้ พบว่า  มีกลุ่มอาคารค้าขายกว่า 500-1,000 คูหา แผงลอยประมาณ 2,000-3,000 ร้านค้า มีทั้งกลุ่มขายของทั้งตลาดเช้า ตลาดกลางวัน ตลาดกลางคืน  โดยกลุ่มผู้ซื้อในแถบโบ๊เบ๊ ได้แก่ ตะวันออกกลาง ซึ่งถือเป็นตลาดกลุ่มใหญ่ และแถบเอเชียอย่าง ลาว เขมร เวียดนาม สิงคโปร์ มาเลเซีย จีน และคนไทย  โดยกลุ่มธุรกิจคนไทยในแถบโบ๊เบ๊  แบ่งเป็น 3 ลักษณะ ได้แก่  1.ผู้ประกอบการที่ถูกต้องตามกฎหมาย มีร้านค้าอยู่แล้วชัดเจน  2. กลุ่มหาบเร่แผงลอย  3. กลุ่มนักลงทุน เช่า ซื้อ พื้นที่  ซึ่งทั้งหมดต่างยอมรับในศักยภาพของทำเล บริษัทฯ จึงมีความมั่นใจในตัวโครงการฯ เป็นพิเศษ  โดยกลุ่มเป้าหมายที่จะมาจับจองพื้นที่ภายในโซโห คือ 1 กลุ่มผู้ประกอบการขายส่ง รวมถึงพ่อค้าแม่ค้าขายปลีกในย่าน สำเพ็ง โบ๊เบ๊ ประตูน้ำ จตุจักร  กลุ่มนี้มีฐานลูกค้าเดิมอยู่แล้วและต้องการขยายร้านใหม่เพื่อเพิ่มโอกาสทางการขาย  2. ผู้ประกอบการรายใหม่ที่อยากตั้งตัวในธุรกิจแฟชั่นค้าส่ง เนื่องจากเป็นช่วงแนะนำโครงการฯ มีการตั้งเกณฑ์ราคาน่าสนใจ กล่าวคือถูกมาก   โดยบริษัทฯ จะเปิดการจองพื้นที่วันแรก ในวันที่ 10 ก.พ. 55   เงื่อนไขการจอง เริ่มต้นเพียงที่ 10,000-50,000 บาท ดาวน์ 25 เปอร์เซนต์ ผ่อน  6 งวด สัญญาเช่าพื้นที่ 20 ปี   *** ซึ่งเงื่อนไขดังกล่าวเมื่อเทียบพื้นที่ต่อตารางเมตรและราคาเซ้งของศูนย์ค้าส่งหรือ  Shopping Center , Wholesale Shopping Mall, Concept Shopping mall ฯลฯ ถือว่าต่ำกว่าท้องตลาดราว 20-40 เปอร์เซนต์
 
ด้าน คุณอำนวย กาญจโนภาศ รองประธานกรรมการ บริษัท เพาเวอร์ไลน์ เอ็นจิเนียริ่ง จำกัด(มหาชน) ตัวแทนผู้รับผิดชอบในการออกแบบปรับโฉมและวางผังโครงการฯ
“อย่างที่ทราบกันดีว่า บริษัท เพาเวอร์ไลน์ จำกัด (มหาชน) คือ ผู้ดำเนินธุรกิจให้บริการออกแบบ และรับเหมาติดตั้งระบบงานวิศวกรรม สำหรับสำนักงาน อาคารพาณิชย์ ที่อยู่อาศัย โรงแรม โรงพยาบาล ศูนย์การค้าขนาดใหญ่ ฯลฯ   เมื่อเข้ามารับหน้าที่ในการปรับโฉมให้กับ โซโห ก็ได้ให้ความสนใจทุกด้าน ตั้งแต่เรื่อง  การออกแบบ โดยดีไซน์ตัวอาคารในคอนเซปต์ non-stop inspirational style ให้อารมณ์ของแรงบันดาลใจที่ไม่มีวันสิ้นสุด ด้วยการใช้ลวดลายของเส้นที่ต่อโยงกันไปตลอดตัวตึก หรือวัสดุที่มีเรื่องราวต่อเนื่องกันไป รวมถึงการเป็น Urban nature / eco friendly ถือเป็นครั้งแรกของ Wholesales Shopping Mall ที่นำเอาเรื่องราวของธรรมชาติมาสอดแทรกไว้ในการช้อปปิ้ง ทำให้ถนนที่แสนวุ่นวายเป็นวันสบายๆ”
 ในส่วนของโครงสร้างและแผนผัง ก็ได้มุ่งตอบโจทย์ความเป็นศูนย์ค้าส่งที่ทันสมัย และคำนึงถึงความสะดวกสบายของทั้งผู้ประกอบการและลูกค้าเป็นหลัก โดยวางแผนผังให้อาคารมีศักยภาพเหมาะกับธุรกิจค้าส่งโดยเฉพาะ กล่าวคือ มีทางเดินเป็นเส้นตรง มองเห็นทุกร้านค้าอย่างเท่าเทียม ทางเดินกว้างขวาง ไม่แออัด สามารถเลือกซื้อสินค้าได้อย่างเต็มที่  พร้อมบันไดเลื่อนทุกจุด นอกจากนี้ในส่วนของลิฟท์ ได้มีการแยกออกจากกันโดยเด็ดขาด ระหว่างลิฟท์โดยสารและลิฟท์ขนของ และเปิดพื้นที่เลนส์พิเศษสำหรับรับ-ส่งของโดยเฉพาะ ไม่ให้กีดขวางทางแก่ลูกค้าที่เข้ามาจับจ่ายสินค้า ด้านพื้นที่จอดรถก็สามารถรองรับได้มากกว่า 800 คัน
โดยขณะนี้อยู่ในขั้นเริ่มปรับโฉม โดยทีม สถาปนิก ,วิศวกร และทีมงานที่เชี่ยวชาญเฉพาะทาง มาเริ่มต้นตั้งแต่พูดคุย -วางแผนการทำงาน ในการปรับแต่งทั้งภายในและภายนอกอาคาร  ในแต่ละขั้นตอน การเพิ่มสิ่งอำนวนความสะดวก อาทิ ลิฟท์ หรือ บันไดเลื่อน การวางระบบไฟฟ้าในตัวอาคาร  เหล่านี้ ต้องใช้เทคนิค การคำนวณน้ำหนักโครงสร้างพื้นที่อาคาร  เพื่อความปลอดภัยสูงสุดของทุกคน  โดยคาดว่าจะใช้เวลาในการปรับแต่ง ประมาณ  6 เดือน  จึงจะสมบูรณ์แบบร้อยเปอร์เซ็นต์ และพร้อมเปิดให้บริการแก่เหล่าพ่อค้าแม่ค้าและนักช้อปฯ อย่างเป็นทางการราวเดือนตุลาคม 2555 นี้
 
**** รายละเอียดเพิ่มเติมโครงการ  “โซโห” ศูนย์แฟชั่นค้าส่ง ครบวงจร 24 ชั่วโมง ใช้คอนเซปต์   All Day All Night All In SOHO หรือ ทั้งครบ ทั้งคุ้ม ทั้งวันทั้งคืน มีการจัดสรรพื้นที่อย่างเป็นระบบเพื่อประสิทธิภาพและโอกาสทางการขายที่มากขึ้นของผู้ค้า และความสะดวกสบายของผู้ที่เข้ามาช้อปปิ้ง พื้นที่ขายทั้งสิ้น  15,000 ตารางเมตร  กว่า 1,000  ร้านค้า ให้บริการขายส่งสินค้านาชนิด  โดยแบ่งโซนบริการดังนี้ ชั้นใต้ดิน B 1 ศูนย์อาหาร  B 2 ร้านค้าแฟชั่น  B 3-5 บริการที่จอดรถ ชั้น 1-2 เสื้อผ้าแฟชั่น กิฟท์ช็อป ชั้น 3 เครื่องหนัง กระเป๋า รองเท้า ธนาคาร  ชั้น 4 ไอที สินค้าจากเมืองจีน ของเล่นเด็ก โทรศัพทมือถือ ชั้น 5-7  บริการที่จอดรถ ชั้น 8 บริการเก็บของ  และชั้น 9-11 เซอร์วิส อพาร์ตเมนต์ จำนวน 180 ห้อง ซึ่งขณะนี้ที่พักอาศัยเต็มหมดแล้ว  ในส่วนของการเปิดจองพื้นที่ จะเริ่มวันแรก 10 ก.พ. 55 ณ สำนักงานขายโซโห สอบถามเบอร์โทรศัพท์ 02-223-2299 หรือ www.sohothailand.com





 
ท้ายที่สุดผู้บริหารทั้งสามท่านได้กล่าวถึงความคาดหวังภายหลังการแนะนำ  “โซโห” ศูนย์แฟชั่นค้าส่ง ครบวงจร 24 ชั่วโมง ว่าจะได้รับความสนใจอย่างล้นหลาม เนื่องจากเป็นครั้งแรกของเมืองไทยที่แหล่งค้าส่ง จะขยับขึ้นมาอยู่ในห้างทั้งหมด พร้อมเปิดให้บริการตลอด 24 ชั่วโมง นอกจากนั้นยังมีสิ่งอำนวยความสะดวกให้กับลูกค้าครบครัน ไม่ว่าจะเป็น ซูเปอร์มาร์เก็ต ศูนย์อาหาร ธนาคาร ที่จอดรถ  ฯลฯ โดยคาดว่าจะปิดการขายพื้นที่ครบร้อยเปอร์เซ็นต์ ภายในระยะเวลาไม่เกินสามเดือน
 
อนึ่ง ด้านประวัติ คุณสัณห์ ปรมะเจริญโรจน์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท บำรุงเมือง พลาซา จำกัด  เป็นนักธุรกิจในแวดวงแฟชั่นค้าส่ง มายาวนานกว่ายี่สิบปี อยู่เบื้องหลังความสำเร็จของแหล่งช้อปปิ้งคอมเพล็กซ์ชื่อดังของเมืองไทย ที่รู้จักกันดีคือ อินทรา ช้อปปิ้งมอลล์, ชิบูย่า ย่านประตูน้ำ ปัจจุบันทำธุรกิจแฟชั่นค้าส่ง-ค้าปลีก,  ช้อปปิ้งมอลล์, โรงแรม และรับผิดชอบในด้านการบริหารโครงการโซโห ศูนย์แฟชั่นค้าส่งครบวงจร 24 ชั่วโมงครั้งแรกในเมืองไทย



« Last Edit: February 21, 2012, 03:15:01 AM by du_sit »

du_sit on February 21, 2012, 03:17:29 AM


คุณ สุรสัณห์ ปรมะเจริญโรจน์ (ใหญ่)
คีย์แมนในธุรกิจค้าส่ง ผู้บริหารโครงการใหม่ “โซโห”
 ศูนย์แฟชั่นค้าส่ง ครบวงจร 24 ชั่วโมง ครั้งแรกของเมืองไทย





จากแนวความคิด  “เงินจำนวนมาก มาจากคนจำนวนมาก” ทำให้ คุณสุรสัณห์ ปรมะเจริญโรจน์ (ใหญ่) กลายเป็นนักธุรกิจที่ประสบความสำเร็จ  สามารถสร้างตัวเองขึ้นมาอยู่แถวหน้าได้ภายใน             เจเนอเรชั่นเดียว!! ปัจจุบันเป็นเจ้าของธุรกิจมากมาย ทั้งธุรกิจบริหารจัดการพื้นที่ขายย่านประตูน้ำ อินทรา ช้อปปิ้งมอลล์ , ธุรกิจโรงแรม 5 แห่งในจังหวัดภูเก็ต คือ หาดป่าตอง หาดกะรน และ หาดกะตะ ฯลฯ รวมถึงล่าสุดกับโครงการใหญ่  “โซโห” ศูนย์แฟชั่นค้าส่ง ครบวงจร 24 ชั่วโมง ที่พลิกโฉมวงการธุรกิจค้าส่งด้วยการเปิดให้บริการค้าขายกันแบบนัน-สต๊อป สร้างโอกาสทางการขายให้กับผู้ประกอบการ ไม่ใช่แค่รอสิบโมงห้างเปิด สามทุ่มปิดร้านอีกต่อไป หนำซ้ำยังเป็นทางเลือกใหม่ให้กับกลุ่มพ่อค้าแม่ค้าจากต่างจังหวัด ที่ต่อไปไม่ต้องดักรอแค่ ตลาดเช้า ตลาดกลางวัน ตลาดกลางคืน เพราะที่นี่มีสโลแกนว่า         All Day All Night All In SOHO หรือ ทั้งครบ ทั้งคุ้ม ทั้งวันทั้งคืน
มีข้อมูลเรื่องการจับจ่ายในพื้นที่นี้ว่า แต่ละวันมีกลุ่มพ่อค้าแม่ค้าหมุนเวียนเฉลี่ย 20,000 คน / วัน  มีเงินสะพัดไม่ต่ำกว่า 10,000 ล้าน / ปี  แน่นอนว่า “โซโห” จะต้องได้รับความสนใจและประสบความสำเร็จในระยะเวลาอันรวดเร็ว โดยนอกเหนือจากทำเลของโบ๊เบ๊ ที่ตั้งซึ่งมีศักยภาพแล้ว อีกส่วนหนึ่งที่ต้องให้เครดิตคือผู้บริหาร ที่มีมุมมองกว้างไกล มีแนวคิด แนวทาง การบริหารที่ชัดเจน  และเส้นทางธุรกิจ คมความคิดของเขา อาจเป็นแรงบันดาลใจและเป็นประโยชน์กับหลายๆ คน

ก้าวแรกบนเส้นทางธุรกิจ
“ผมเรียนคณะบริหารธุรกิจ สาขาการตลาด มหาวิทยาลัยรามคำแหง ตอนปี 2523 เศรษฐกิจแย่มาก รัฐบาลประกาศลดค่าเงินบาทถึงสองครั้ง คนตกงานเพียบ ปี 2525 ผมเลยคิดทำธุรกิจเอง พอดีที่บ้านตัดและจำหน่ายเสื้อผ้าอยู่แล้ว เพราะเรามีแนวคิด เงินจำนวนมาก มาจากคนจำนวนมาก เลยมาดูที่แถวประตูน้ำ และมีกำลังเช่าแค่ล็อคเล็กๆ ล็อคหนึ่ง แต่คนจำนวนมากก็เจอร้านค้าจำนวนมากเช่นกัน  คู่แข่งเยอะ  มันทำให้เราอยู่เฉยไม่ได้ ต้องรู้จักสังเกตุ อย่างผมขายเสื้อเชิ๊ตก็จะดูว่าลายแบบไหน ผ้าแบบไหน กำลังมา ถ้ามั่นใจว่าฮิตแน่ก็ไปซื้อผ้าสั่งตัดเลย ทำแบบยกล็อตจะถูกกว่ามาก ถ้าเป็นรายเล็กก็เสียเปรียบ แต่รายใหญ่ก็ไม่ได้เดาทางถูกเสมอไป นานๆ เข้าเรามีประสบการณ์ ก็เริ่มขยับขยาย จากล็อคเล็กๆ ในซอยแคบ ก็เขยิบเข้ามาอยู่ห้องใหญ่  ตอนนั้นเพิ่งสร้างตึกใบหยก 1 ผมรีบมาจอง เลือกเลยว่าเอาชั้น 1 แม้จะแพงกว่าตรงอื่นมากแต่ผมก็เชื่อในศักยภาพว่าต้องทำเงินได้มากเหมือนกัน”




บริหารจัดการ ไปทุกที่ที่มีคน
“จากที่ขายแต่เสื้อเชิ๊ตบุรุษ เสื้อเชิ๊ตสตรี ก็เพิ่มเป็นเสื้อยืด กางเกง ขายดีมาก ช่วงพีคสุดวันๆ หนึ่งขายได้เป็นหลักล้าน จากล็อคก็เริ่มมองเป็นห้อง เพราะเราเป็นคนในพื้นที่ เห็นความเคลื่อนไหว เห็นทุกอย่างหมด รู้ว่าตึกแถวไหนน่าลงทุนในละแวกนี้ก็ซื้อ ซื้อมาแล้วก็ขายไป หาซื้อใหม่ ขยายไปเรื่อยๆ จนได้เงินสดมาก้อนหนึ่ง คิดว่าเอาไปทำอะไรดี  ท้ายสุดก็เอาไปลงทุน อพาร์ตเมนต์เซอร์วิสแถวรัชดา  ทำให้มีกำไรจากค่าเช่าทุกเดือน รู้สึกว่ามาทางนี้น่าจะเหมาะเลยไปซื้อที่ดินเก็บเอาไว้ เตรียมจะทำโรงแรม ผมคิดว่าผมมาถูกทาง ยึดแนวคิด 1.เราต้องอยู่ถูกที่ ถูกเวลา 2. เงินจำนวนมากมาจากคนจำนวนมาก ผมเลยไปที่ๆ ที่มีคนแน่นอน ไปซื้อที่ดินหาดป่าตอง หาดกะตะ หาดกะรน แต่ปัญหาต่อมาคือผมไม่มีความรู้เรื่องธุรกิจโรงแรมเลย  ผมก็เลยตัดสินใจเพิ่มเงินไปซื้อโรงแรมเก่ามารีโนเวท พอมีความรู้เรื่องระบบแล้ว ศึกษาตลาดแล้วก็ไปดัดแปลงประยุกต์ใช้กับโรงแรมใหม่ ปัจจุบันผมมีทั้งหมด 5 โรงแรม ได้แก่ โรงแรมชูการ์ ปาล์ม จ.ภูเก็ต, โรงแรมชูการ์ ปาล์ม หาดกะตะ, โรงแรมชูการ์ ปาล์ม หาดกะรน,  โรงแรมมาริสา หาดกกะตะ, ป่าตองพรีเมียร์ หาดป่าตอง ฯลฯ

   ขึ้นทำเนียบ นักธุรกิจ-นักบริหาร เต็มตัว
กลางปี 2546 ได้ข่าวว่าพาต้า อินทรา จะหมดสัญญา เราอยู่ตรงนี้มานาน ยี่สิบกว่าปีที่อยู่มา มั่นใจเลยว่าตรงนี้ถ้าทำเป็นแหล่งช้อปปิ้ง ขายดีมาก อีกอย่างตึกใบหยกก็ค่าเช่าราคาแพงมากๆ ผู้ค้ารายใหม่ที่เข้ามาขายในประตูน้ำเรียกว่าโอกาสเป็นศูนย์ สู้ไม่ไหว ผมก็เลยนำเงินทั้งหมดที่มีมาประมูล มีคู่แข่งเป็นนักธุรกิจในแวดวงเดียวกันนี่แหล่ะ แต่คิดว่าไหนๆ ก็คนในพื้นที่ รู้จักกันมาก็นาน มาจับมือช่วยกันดีกว่า เลยร่วมกันประมูลพื้นที่มาได้ประมาณสิบห้าปี ใช้เวลาตกแต่งหกเดือน หลังจากนั้นก็เปิดขาย
     ด้วยความที่พื้นที่ตรงนี้มันเหมาะแก่การทำช็อปปิ้งมอลล์อยู่แล้ว จุดเด่นคือกว้าง 9600 ตารางเมตร  พื้นที่ใหญ่มากรวมทั้งหมด  9 ไร่  3 งาน เราก็มั่นใจในศักยภาพของพื้นที่แหล่ะ แต่ในเรื่องบรรยากาศก็สำคัญ ผมคิดว่าเปิดมาแล้วต้องมีคน  คนจะมาก็ต่อเมื่อมีร้านค้าขายเยอะ เลยจัดโปรโมชั่น    ไม่มีค่าเข้า   ได้สิทธิ์สิบห้าปี สามปีต่อสัญญาหนึ่งครั้ง จ่ายค่าเช่าสามปีก่อน แต่ในสามปีจ่ายแค่ห้าสิบเปอร์เซนต์ ที่เหลือทะยอยจ่ายรายเดือน  ถือว่าช่วยกันกับผู้ค้า เขาไม่ต้องลงเงินก้อน  ปรากฏสามวันเต็ม ถึงตอนนี้ก็เจ็ดปีแล้ว ราคาเซ้งต่อห้องสูงขึ้นเรื่อยๆ  มีตั้งแต่หลักล้านไปจนถึงสิบล้าน

   โปรเจคต์ล่าสุด ปั้น โซโห ศูนย์แฟชั่นครบวงจร 24 ชั่วโมง ครั้งแรกในเมืองไทย
   “ช่วงสองสามปีนี้มีธุรกิจลักษณะนี้เกิดขึ้นมาก ทั้ง Shopping Center , Wholesale Shopping Mall, Concept Shopping mall   แต่ก็ยังไม่ถึงขั้นโอเวอร์ซัพพลาย เพราะตลาดแฟชั่นเป็นอะไรที่ไปได้เรื่อยๆ ผมคิดว่าเป็นผลดีเสียอีกในตลาดที่เน้นขายส่งเป็นหลักอย่างย่านโบ๊เบ๊ แต่ทีนี้การก้าวเข้ามาของแหล่งช้อปปิ้งแห่งใหม่ จะทำอย่างไรให้ติด ให้กลุ่มผู้ค้าส่ง-ค้าปลีก ก้าวเข้ามา ผมเริ่มศึกษา อะไรที่ยังมีช่องว่าง ข้อดีข้อเสียในแต่ละสถานที่ แล้วเอาทุกอย่าง ที่ๆ อื่นยังไม่มี และเขามองไม่เห็น มาใส่ไว้ ผมถึงวาง Brand Positioning เป็น SOHO 24 Hours Non-Stop Wholesale Shopping จุดประกายการช้อปปิ้งตลอด 24 ชั่วโมง ที่โซโห  ใช้สโลแกน ทั้งครบ ทั้งคุ้ม ทั้งวันทั้งคืน  ทั้งครบ คือเราทำให้ที่นี่เป็นศูนย์กลางสตรีทแฟชั่น รวบรวมทุกแฟชั่นทั่วโลกที่ได้รับความนิยม ทั้ง เจป็อป เคป็อป ซีป็อป และ เวิลด์ป็อป มารวมไว้ในแห่งเดียว นอกจากนี้ยังรวบรวมร้านค้าส่งที่จำหน่ายสินค้าดังในแต่ละย่าน อาทิ สำเพ็ง (กิฟท์ช้อป)  โบ๊เบ๊ (แฟชั่นราคาถูก) ประตูน้ำ (เสื้อผ้าแฟชั่น) จตุจักร (ของไอเดียเก๋ๆ) มาไว้ที่นี่หมด เสริมด้วยสิ่งอำนวยความสะดวก ซูเปอร์มาร์เก็ต, ศูนย์อาหาร, ธนาคาร, ที่จอดรถมากกว่า 800 คัน รวมไว้ที่นี่หมดให้เป็นแบบ One Stop  ทั้งคุ้ม  คือ ขยายเวลาขายให้กับพ่อค้าแม่ค้าได้ขายมากขึ้น  จากเดิมที่กว่าจะขายได้ต้องรอศูนย์ค้าส่งทั่วไปเปิดสิบโมง สามทุ่มปิดแล้ว แต่ที่นี่แก้ปัญหาในเรื่องเงื่อนไขขายเวลา ให้ลูกค้าขายไปได้ตลอด จึงเรียกว่าคุ้มในแง่ราคาพื้นที่ต่อตารางเมตร เทียบกับระยะเวลาการเช่ายี่สิบปี ทั้งวันทั้งคืน       วิน-วิน ทั้งผู้ประกอบการและกลุ่มลูกค้าที่เข้ามาใช้บริการ นอกจากมีร้านค้าที่เปิดตลอด 24 ชั่วโมง ยกตลาดเช้า ตลาดกลางวัน ตลาดกลางคืน มาไว้ในศูนย์ค้าส่งแล้ว กลุ่มลูกค้ายังได้เพลิดเพลินและจับจ่ายอย่างสะดวกสบายกับ ซูเปอร์มาร์เก็ต, ศูนย์อาหาร, ธนาคาร ฯลฯ ท่ามกลางระบบรักษาความปลอดภัยที่เป็นเยี่ยม

ในฐานะผู้เชี่ยวชาญในแวดวงค้าส่ง   ช่วยแนะเทคนิคบริหารศูนย์ค้าส่งหรือแม้กระทั่ง       ช้อปปิ้งมอลขนาดใหญ่ประสบความสำเร็จในระยะเวลาอันรวดเร็ว
 1.ทำเล  ต้องเป็นทำเลค้าขายของที่เป็นอย่างนั้นจริงๆ อย่างเช่นตลาดขายส่งเสื้อผ้า สินค้าแฟชั่นก็ต้องมาโบ๊เบ๊ ประตูน้ำ  2.การบริหารจัดการพื้นที่ น่าเดิน สินค้าหาง่าย ความกว้างทางเดินเป็นมาตรฐาน ลูกค้าแวะดูของแล้ว ไม่อึดอัด 3.สินค้า ต้องคัดสรรสินค้าดีมีคุณภาพ และจำหน่ายในราคาย่อมเยาว์ ซึ่งอย่างหลังนี้ ตัวผู้ประกอบการและผู้ค้าต้องช่วยกัน ถ้าตั้งราคาแรกเข้าถูก ค่าเช่าล็อคไม่แพง ผู้ค้าก็สามารถขายสินค้าในราคาที่ถูกได้ เหมือนตัวอย่างที่ตอนนี้เราจะเห็นสินค้าเหมือนกัน แต่ขายต่างที่ ราคาไม่เท่ากัน นั่นเพราะต้นทุนค่าเช่าต่างกัน 
ในส่วนของโซโห นั้นต้องบอกว่ามีศักยภาพมาก มีจุดแข็งที่เป็นจุดเด่นไม่เหมือนใครและไม่มีใครเหมือนได้ กล่าวคือ 1. ทำเล ย่านโบ๊เบ๊ ที่นี่เป็นแหล่งที่อยู่ของคนมีฐานะ  ธุรกิจการค้าเยอะแยะไปหมด       สำเพ็ง เยาวราช ราชวงศ์ วรจักร สวนมะลิ  2. คือช้อปปิ้งได้ยี่สิบสี่ชั่วโมง   3. มาที่นี่ทั้งครบ ทั้งคุ้ม รวบรวมแหล่งสำเพ็ง ประตูน้ำ จตุจักร โบ๊เบ๊ มาอยู่ที่นี่ที่เดียว   



   ให้แนวคิดสำหรับนักธุรกิจมือใหม่
“โอกาสคนทำธุรกิจ ทำอย่างไรถึงรวย ตอนเรียนมหาลัย เขาไม่ได้บอก จนจบมาแล้ว ต้องลองผิดลองถูก ตัวผมก็ไม่ได้เจอทางลัด แต่อาศัยประสบการณ์ล้วนๆ ที่บอกได้ก็คือแนวทางที่ยึดมาโดยตลอด หลักการทำธุรกิจ   “เราต้องอยู่ถูกที่ ถูกเวลา แล้วถึงจะรวย”  แต่ทำอย่างไรให้เรารู้ว่านี่คือที่ของมัน เวลาของมัน ดูจากตรงไหนล่ะ  ก่อนอื่นเราต้องรู้ก่อนว่า  เงินจำนวนมาก มาจากคนจำนวนมาก พิสูจน์ได้ง่ายๆ ประเทศไทยมีเจ็ดสิบล้านคน แค่ขอเงินคนละบาท  เราก็จะมีเงินจำนวนมาก เพียงขอเงินแค่คนละบาท สเต๊ปที่สองค่อยมาดูกันว่า คนจำนวนมากอยู่ตรงไหน  ผมยกตัวอย่างง่ายๆ เมื่อหลายสิบปีก่อน มียุคที่เรียกว่า ยุคเบบี้บูม เด็กเกิดขึ้นมาพร้อมกันสองพันล้านคน  (ปี 1946-1964)   ธุรกิจอะไรล่ะที่น่าทำ อาหารเด็ก เพราะเด็กทารกเกิดขึ้นมาพร้อมกันสองพันล้านคน  คนจำนวนมากอยู่ตรงนี้ อะไรล่ะที่อยู่ถูกที่ถูกเวลา ยุคนี้บริษัทที่รวยคือบริษัทผลิตนม ผ้าอ้อม ของใช้เกี่ยวกับเด็ก สิบปีต่อมา เด็กกลุ่มนี้โต อายุสิบขวบ   ต้องการของเล่น  บริษัทฯ ผู้ผลิตฮูล่าฮูบ ขายได้สามพันล้านชิ้น และรวยไปเรื่อยๆ เพราะค่าของเงิน   ต่อมาอีกสิบปี สถานที่นัดพบของเด็กวัยุร่น ทั้งหลาย ห้างสรรพสินค้า ร้านอาหารแฟรนด์ไชส์ดัง รวย  อีกสิบปีต่อมาอายุสามสิบ คนกลุ่มนี้ต้องการครอบครัว สร้างบ้านใหม่ ในเมืองไทยเองก็ชัดมาก  ยุคพลเอกชาติชาย ชุณหะวัณ ราคาที่ดินพุ่งสูงมาก อีกทีสิบปีต่อมา (สี่สิบ) คนกลุ่มนี้มองสุขภาพสำคัญที่สุด ว่ากันว่ามี สามกลัว คือกลัวตาย กลัวจน กลัวแก่ สองกลัวแรกดูแลได้ แต่กลัวแก่ดูแลไม่ได้ ธุรกิจที่น่าทำคือโรงพยาบาล ศูนย์สุขภาพ ศูนย์ความงาม ฯลฯ ตัวผมเองก็อยู่ในยุคเบบี้บูม และช่วงปีที่เก็บเงินได้มากก็คือช่วงทำเสื้อผ้าที่ประตูน้ำ เพราะเป็นช่วงเบบี้บูม เข้าสู่วัยรุ่นแต่งตัว ที่ยกตัวอย่างมาทั้งหมดนี้ ก็เพื่อจะบอกเป็นแนวคิดว่า เราต้องอยู่ถูกที่ ถูกเวลา
   
และนี่คือคัมภีร์ความสำเร็จ บทเรียนที่ไม่มีสถาบันไหนๆ สอน จะมีแต่สังเวียนธุรกิจเท่านั้นจริงๆ !!!