‘นี่คือการผจญภัย’: การตามหาตัวละคร
การค้นหาตัวเด็กชายที่จะมาแสดงเป็น อูโก้ ถือเป็นบทที่หายากที่สุด เขาคือหัวใจของภาพยนตร์เรื่องนี้ เขาอยู่ในแทบทุกฉาก และเขาจะต้องอายุประมาณ 12-13 ปี เอลเลน ลูวิส แคสติ้ง ไดเร็คเตอร์ ได้เลือกนักแสดงเด็กชายเอาไว้หลายคน ซึ่ง อาซา บัทเทอร์ฟิลด์ ได้มาออดิชั่นบทนี้ตั้งแต่แรก สกอร์เซซี่จำได้ว่า “เขาอ่านบทไปสองฉาก และผมรู้สึกเชื่อทันที ก่อนจะตัดสินใจรอบสุดท้าย ผมได้ดูภาพยนตร์เรื่อง ‘The Boy in the Striped Pajamas’ ซึ่ง วีร่า (ฟาร์ไมก้า) แสดงภาพยนตร์เรื่องนั้นกับเขา และผมก็เคยร่วมงานกับเธอในภาพยนตร์เรื่อง ‘The Departed’ เธอเล่าเรื่องเขาให้ผมฟัง และพูดว่าเขาเก่งมากๆ”
บัทเทอร์ฟิลด์เองก็ไม่รู้เช่นกันว่า มาร์ติน สกอร์เซซี่ เป็นใคร แต่เขาได้ยินแต่เรื่องดีๆ ทั้งนั้น อาซาเล่าว่า “ผมรู้ว่าเขาเป็นใครนะครับ แต่ผมไม่เคยดูหนังของเขาเลย เพราะส่วนใหญ่แล้วจะเป็นหนังสำหรับคนอายุ 18 ขึ้นไปทั้งนั้น แม่บอกผมว่าเขาเก่งที่สุด ตอนผมได้งานนี้ ทุกคนต่างพูดว่า ‘โห น่าทึ่งมาก เขาเป็นผู้กำกับที่เก่งที่สุดแล้ว !’ ผมค่อยๆ เริ่มรู้ตัวว่าภาพยนตร์เรื่องนี้ยิ่งใหญ่แค่ไหน เขาคือผู้กำกับที่ยอดเยี่ยมที่สุด มาร์ตี้ไม่เคยพูดว่า ‘ต้องทำ’ แต่เขาสนับสนุนให้คุณทดลอง และพูดว่า ‘ลองดูซิ’ เขาเป็นพวกนิยมความสมบูรณ์แบบ มักมีการเปลี่ยนแปลงเล็กๆ น้อยๆ ที่คุณสามารถเล่นได้ มันสุดยอดจริงๆ”
บัทเทอร์ฟิลด์พบว่าความลึกลับของตัวละครตัวนี้ถือสิ่งที่ดึงดูดใจอย่างมาก เขาตั้งข้อสังเกตว่า “คุณไม่ค่อยรู้เรื่องเกี่ยวกับตัวเขามากนัก เรื่องน่าเศร้ามากมายเกิดขึ้นกับเขา พ่อของเขาตาย แม่ของเขาก็ตาย และเขาลงเอยด้วยการต้องไปอยู่กับลุงของเขาที่สถานีรถไฟ ต้องทำงานที่ผู้ใหญ่ทำ จากนั้นลุงของเขาจากไป และไม่กลับมาอีกเลย ตอนที่เรื่องนี้เริ่มขึ้น ทุกอย่างที่ว่ามานี้เกิดขึ้นกับเขาแล้ว และเขาก็ถูกทิ้งให้อยู่เพียงลำพังกับหุ่นตัวนี้ เป็นหุ่นออโตเมตัน เขาจึงมีแค่ตัวเองเท่านั้นตอนที่เขาพบกับอิซาเบลล์ จากนั้นเขาก็เริ่มเปิดตัวเองมากขึ้น”
เพื่อมารับบทเป็นอิซาเบลล์ ลูกบุญธรรมของ ‘ปาป้าจอร์จส์’ และ ‘มาม่าฌ็อนน์’ นักแสดงเด็กหญิงชาวอเมริกัน โคลอี้ เกรซ มอเร็ตซ์ ต้องจำแลงแปลงกาย สกอร์เซซี่เล่าถึงการมาออดิชั่นบทของมอเร็ตซ์ว่า “ผมได้ผ่านตาพบนักแสดงเด็กหญิงสองสามคนจากอังกฤษ โคลอี้เดินเข้ามาและพูดสำเนียงอังกฤษ ผมคิดว่าเธอก็คงมาจากอังกฤษเช่นกัน ในตอนนั้น เราเริ่มให้นักแสดงมาอ่านบทกันเป็นคู่ในบท อูโก้และอิซาเบลล์ และอาซากับโคลอี้ก็ดูเข้ากันได้ดีทีเดียว มีนักแสดงอีกคู่หนึ่ง และเราได้ลองสลับคู่กัน แต่พวกเขากลับดูไม่เข้ากันเลย ไม่เพียงแต่โคลอี้และอาซาจะดูมีภาพลักษณ์ที่เข้ากันได้เท่านั้น แต่พวกเขายังมีเสียงที่ฟังดูเข้ากันได้ พวกเขาเล่นรับส่งบทกันได้ดี พวกเขามีบุคลิกที่โดดเด่น แตกต่างมาก”
มอเร็ตซ์เล่าว่า “ฉันได้พบเขาครั้งแรกในนิวยอร์ก และมันเป็นครั้งแรกที่ฉันได้ไปเยือนนิวยอร์กนับแต่ฉันเริ่มเข้าวงการนี้มา ดังนั้นมันจึงเป็นเหตุการณ์ที่พลิกผันได้สุดยอดเยี่ยม เพราะฉันได้ไปอยู่นิวยอร์กเป็นครั้งแรกในรอบเจ็ดปี และฉันได้พบ มาร์ติน สกอร์เซซี่ ในบทที่เป็นปรากฏการณ์นี้ ฉันเดินเข้าไปและได้พบเขา เขาเป็นคนอบอุ่นมาก เขาเล่าเรื่องให้ฉันฟังมากมาย และฉันคิดว่า ‘ว้าว เขาสุดยอดจริงๆ’”
โคลอี้ยังรู้สึกสนใจในแง่มุมที่ดูลึกลับของเรื่องนี้ แต่เป็นความรู้สึกภายนอกมากกว่า “การเป็นเด็กอายุ 13 เหมือนตัวละคร มักมีเรื่องราวที่คุณอยากจะค้นหาเสมอ มักมีเรื่องที่คุณอยากรู้อยากเห็น คุณพยายามหาว่าเกิดอะไรขึ้น หรือเรื่องนั้นๆ มันเป็นยังไงมายังไง ในภาพยนตร์เรื่องนี้ อิซาเบลล์และอูโก้อยากรู้อยากเห็นเรื่องของผู้คนต่างๆ”
การมีดาราเด็กสองคนเป็นดารานำของภาพยนตร์ที่เป็นเรื่อง ‘ย้อนยุค’ ถ้าเป็นแต่ก่อน สกอร์เซซี่คงตัดสินใจได้เลยว่า อย่าทำดีกว่า เขาเล่าว่า “เราคงไม่ใส่ตัวหนังสือขึ้นหน้าจอที่บอกว่า ‘1931’ มันไม่สำคัญเลย เพราะสิ่งที่เด็กๆ เป็น สิ่งที่พวกเขาต้องการ สิ่งที่พวกเขามองหาอยู่ สิ่งที่พวกเขาทำ มันมีความร่วมสมัย มีความเป็นสากล มันไม่ใช่เรื่องของเวลาและสถานที่จำเพาะ มันเป็นสิ่งที่เป็นธรรมชาติ ไม่สำคัญหรอกว่าเรื่องนี้จะเกิดขึ้นในเวลาใด เด็กๆ ก็ยังทำตัวเป็นเด็กๆ เสมอ”
สำหรับบทสำคัญอย่าง จอร์จส์ เมลิเย่ส์ ‘ปาป้าจอร์จส์’ ผู้กำกับสกอร์เซซี่ไม่ต้องไปมองหาอื่นไกล สกอร์เซซี่กล่าวว่า “ผมอยากร่วมงานกับ เบน คิงสลี่ย์ มาตลอดหลายปีนี้ ในที่สุด ผมก็มีภาพยนตร์สองเรื่อง คือ ‘Shutter Island’ ซึ่งเรามีประสบการณ์การร่วมงานกันที่ดีมาก และตอนนี้ก็มีภาพยนตร์เรื่องนี้ เขาเป็นนักแสดงที่มีความพิเศษมาก เป็นหนึ่งในสุดยอดนักแสดงจริงๆ ซึ่งผมคงไม่จำเป็นต้องพูดเลย แค่ดูผลงานของเขาก็พอ ฝีมือของเขา ความหลากหลายของเขา ไม่ว่าจะเป็นเหตุการณ์ไหน เมื่อเรามองดูภาพของ จอร์จส์ เมลิเย่ส์ ผมไม่เคยมีความสงสัยเลยว่าภาพลักษณ์นั้นช่างลงตัวเหมาะเจาะกับเบนจริงๆ”
ภาพลักษณ์น่ะใช่ แต่สิ่งสำคัญยิ่งกว่าสำหรับคิงสลี่ย์ ก็คือ ร่างกายของชายผู้นี้ที่เสื่อมถอยลง สกอร์เซซี่รู้สึกทึ่งกับเทคนิคการแสดงของคิงสลี่ย์มาก “เบนแสดงออกด้วยท่าทีการเคลื่อนไหว ด้วยความรู้สึกพ่ายแพ้ เป็นความพ่ายแพ้ของร่างกาย หลังจากที่ชายคนนี้ใช้ชีวิตอย่างมีชีวิตชีวา เขาสร้างภาพยนตร์ 500 เรื่อง อาทิตย์ละ 3 เรื่อง ในช่วงเย็นทำโชว์มายากล และต้องถ่ายทำภาพยนตร์ในตอนกลางวัน เขาสร้างศิลปะรูปแบบใหม่ และจู่ๆ เขาก็หมดเงิน ต้องเผาทุกอย่างทิ้ง และลงเอยด้วยการมานั่งอยู่หลังเคาน์เตอร์ในร้านขายของเล่นในพื้นที่เงียบๆ ของสถานีรถไฟ Gare Montparnasse”
ในการค้นคว้าของคิงสลี่ย์ เขาพบเรื่องราวที่น่าชื่นชมมากมายในตัวเมลิเย่ส์ นอกเหนือไปจากความสามารถในการจินตนาการในแวดวงภาพยนตร์ของเขา คิงสลี่ย์กล่าวว่า “จอร์จส์มีความเชื่อมั่นและมีความสามารถของนักมายากลผู้ยิ่งใหญ่ เขามีความประณีตในการแสดงกล อย่างเช่นการตัดร่างกายคนแบ่งครึ่ง การหายตัว และกลมือ ความประณีตของเขายังแพร่ไปถึงทีมนักแสดงและทีมงาน เขาแทบไม่เคยสติแตกหรือส่งเสียงตะคอกใครเลย เขามีวิธีที่จะเตือนผู้คนให้คิดถึงสิ่งที่พวกเขาลืมที่จะทำ เตือนพวกเขาถึงตอนที่เขาเคยพูดถึงบางสิ่งบางอย่างมาก่อน และเขาเคยเป็นคนยิ่งใหญ่แค่ไหน”
เมื่อตัวละครของเขาผันตัวเองจากการแสดงกลมาสู่วงการภาพยนตร์ คิงสลี่ย์มองเห็นถึงวิวัฒนาการโดยธรรมชาติในการที่ มาร์ติน สกอร์เซซี่ ก้าวสู่งานสร้างภาพยนตร์สามมิติ “ผมคิดว่ามันเหมือนการที่ศิลปินก้าวจากการวาดภาพเหมือนของคน ไปสู่การวาดภาพวิวทิวทัศน์ มันเป็นการเปลี่ยนวิธีการตวัดแปรง แต่มันยังคงเป็นแปรงอันเดียวกัน และยังเป็นผ้าใบผืนเดียวกันอยู่”
ในสถานีรถไฟแห่งนี้ ผู้ที่เป็นภัยคุกคามต่อชีวิตที่เป็นอิสระของอูโก้ ก็คือ นายสถานีรถไฟ ซึ่งถือเป็นบทที่มีการปรับเปลี่ยนไปจากตัวนิยาย สกอร์เซซี่เล่าว่า “เราถาม ไบรอัน เซลซ์นิค ว่าเราสามารถเปลี่ยนแปลงบทนี้ได้ไหม เพราะผมไม่อยากให้ตัวละครตัวนี้เป็นตัวแทนของความกลัว หรือเป็นผู้ร้าย ที่สร้างความหวาดกลัวและจับตัวเด็กชายคนนี้ ผมอยากให้เขาดูน่าคบหามากขึ้น ผมคิดว่าจากการได้ทำงานกับ ซาช่า บารอน โคเฮน เราน่าจะทำได้”
บารอน โคเฮนพูดถึงมุมมองที่เขามีต่อตัวละครของเขาว่า “เป็นเรื่องธรรมชาติมากที่ในสถานีรถไฟ ไม่ว่าจะเป็นที่ไหน มันเป็นอันตรายที่เด็กๆ จะมาวิ่งเล่น ดังนั้น ในยุค ’20 และ ’30 กับการมีเงื่อนไขของการทำงาน ถ้าคุณมีเด็กจรจัดมาวิ่งเล่นอยู่โดยไม่มีคนดูแล มันจะเป็นอันตรายทั้งสำหรับผู้โดยสารและตัวเด็กเอง ดังนั้น คุณจึงต้องมีผม นายสถานี เขาเป็นคนดีที่เกลียดชังเด็กๆ แต่ก็มีด้านที่แตกต่างอยู่ในตัวเขา เขามีด้านที่อ่อนโยนเช่นกัน ตัวเขาเองอาจจะเป็นเด็กกำพร้าด้วยซ้ำ เขาเคยผ่านสงครามมาแล้วด้วย เขามีข้อจำกัดทางร่างกาย โดยมีเหล็กติดอยู่ที่ขาของเขา ซึ่งเราอาจบอกว่าเป็นผลของบาดแผลจากสงคราม แต่มันเป็นการลงโทษตัวเองโดยอุบัติเหตุก็ได้”
บารอน โคเฮนได้เริ่มต้นการค้นคว้าการแสดงตลกท่าทางด้วยตัวเขาเอง “ในอังกฤษ ผมคิดว่า แฮโรลด์ ลอยด์ ได้ออกรายการทีวีหลังเลิกเรียนทุกวัน ดังนั้นเราจึงโตมากับการนั่งดูเขามาตลอด สมัยนั้นผมไม่เคยรู้สึกว่าเขาตลกเลยนะ แต่ใน ‘Hugo’ มีการอ้างอิงถึงภาพยนตร์เหล่านั้นอยู่ด้วย โดยเฉพาะเรื่อง ‘Safety Last’ ที่เขาปีนตึก และกระโดดลงมา และไปติดอยู่กับนาฬิกาที่เดินถอยหลัง เราเอาตรงนั้นมาเล่นด้วย มาร์ตินอยากให้ผมดูนักแสดงตลกยุคแรกๆ เหล่านั้น ซึ่งน่าสนใจมาก พวกเขาเล่นได้ดีจริงๆ อย่างคีตันและแชปลิน ใช่ ผมค้นพบชายที่ชื่อ ชาร์ลส์ แชปลิน ผมเชื่อเช่นนั้น ผลงานของเขาน่าสนใจมาก คุ้มค่ากับการได้ดูแท้ๆ”
สกอร์เซซี่ลงเอยด้วยการคิดหาอีกวิธีการหนึ่งที่จะช่วยเพิ่มความหลากหลายให้กับผู้ร้ายของเรื่องนี้ บารอน โคเฮนอธิบายว่า “เมื่อตอนที่มาร์ตี้กับผมได้พบกัน เราคุยกันถึงวิธีการต่างๆ ที่ทำให้ผู้ร้ายดูไม่เหมือนผู้ร้าย มาร์ตี้มีไอเดียที่ดึงเรื่องความรักเข้ามา และมันก็น่ารักดีที่ได้ เอมิลี่ มอร์ติเมอร์ ซึ่งเป็นนักแสดงและเป็นผู้หญิงที่น่ารักมาก มาแสดงเป็นผู้หญิงที่ผมสนใจ ดังนั้นจึงมีเรื่องความรัก นายสถานีคนนี้เป็นผู้ชายร้ายกาจ เขาเป็นคนน่ากลัว แต่ลึกๆ ลงไปแล้ว เขาเป็นคนนิสัยดีนะ เพียงแต่ความดีของเขามันอยู่ลึกกกกมากแค่นั้นเอง”
สกอร์เซซี่อธิบายว่า “เอมิลี่คือหนึ่งในนักแสดงที่ดีที่สุดที่มีตอนนี้ เธอเป็นคนมีอารมณ์ขัน เธอเป็นตัวเลือกที่วิเศษสุดที่จะมารับบทเป็นสาวที่ซาช่าสนใจ ซึ่งเป็นเรื่องอันโดดเด่นที่ทำให้เขาได้ลอง”
นายสถานีไม่ใช่ภัยคุกคามหนึ่งเดียวสำหรับอูโก้ เขาถูกนำตัวมาใช้ชีวิตอยู่ในสถานีรถไฟโดยลุงคล็อดของเขา ซึ่งเป็นผู้ชายโง่ๆ ที่มอบหมายหน้าที่ในการดูแลรักษากลไกนาฬิกาให้กับเด็กชายตัวน้อยคนนี้
ผู้กำกับ/ ผู้อำนวยการสร้างสกอร์เซซี่เล่าว่า “ผมเคยร่วมงานกับ เรย์ วินสโตน ใน ‘The Departed’ ซึ่งเป็นประสบการณ์ที่ดีมากๆ เรย์มีบุคลิกร้ายกาจ เขาไม่จำเป็นต้องพูดหรือทำอะไรมากมาย แต่คุณจะรู้สึกได้เลยถึงความร้ายที่ซ่อนอยู่ในตัวละครของเขา ผมคิดว่าเขาคงจะนำความรู้สึกที่เป็นภัยคุกคามมาใส่ตัวละครลุงคล็อดของอูโก้ได้”
นี่อาจเป็นมากกว่าการแสดง วินสโตนรู้สึกสนุกไปกับประสบการณ์ร่วมที่ได้จากการทำงานกับสกอร์เซซี่ในภาพยนตร์ 3D เรย์เล่าว่า “สำหรับผม ความสนุกในระหว่างการถ่ายทำคือการได้นั่งดูการทำงานของสกอร์เซซี่ เพราะเหมือนกับเขาตกหลุมรักการสร้างภาพยนตร์อีกครั้ง การได้เห็นเขาทำหนัง 3D ซึ่งเป็นสิ่งที่เขาไม่เคยทำมาก่อน เหมือนการได้เห็นเด็กกับของเล่นชิ้นใหม่ และความรู้สึกที่สัมผัสได้ และได้ส่งผ่านไปยังทีมนักแสดงและทีมงานด้วย”
สำหรับบทสำคัญอย่างพ่อของอูโก้ สกอร์เซซี่ต้องการนักแสดงที่มีทั้งความอบอุ่นและความดีที่เด็กชายคนนี้จะได้สัมผัสในฉากสั้นๆ เพียงไม่กี่ฉาก
“ผมเคยร่วมงานกับ จู้ด ลอว์ มาแล้วครั้งหนึ่ง ตอนเขามารับบท เออร์รอล ฟลินน์ ใน ‘The Aviator’ ผมยังเคยได้เห็นเขาแสดงเป็นแฮมเล็ตในละครเวที เขาเล่นได้เยี่ยมมาก ดูโดดเด่น เขามีอำนาจ และมีเสน่ห์สำหรับบทนี้ ผมชอบที่ได้ทำงานกับเขาในโปรเจ็กต์ที่เขามีบทมากขึ้น” สกอร์เซซี่บอก
ลอว์บอกว่า “ผมรู้จักหนังสือเรื่องนี้อยู่แล้ว เพราะผมเคยอ่านมันให้ลูกๆ ของผมฟัง ผมเลยกลับไปและอ่านมันใหม่อีกรอบ และผมได้พูดคุยกับลูกๆ เกี่ยวกับหนังสือเรื่องนี้ และถามพวกเขาถึงความรู้สึกที่พวกเขามีต่อตัวละครพ่อ ผมได้ไปพูดคุยกับช่างทำนาฬิกา และผมได้ดูหุ่นออโตเมตัน ผมจึงมีความรู้ที่จะประกอบสิ่งต่างๆ และถ้าพวกเขาพูดถึงเครื่องมือ ผมรู้เลยว่าพวกมันคืออะไร แต่สำหรับผม มันเป็นเรื่องของการสร้างเรื่องราวในบทที่อบอุ่นหัวใจในชีวิตของอูโก้ โดยรู้ว่าเรื่องราวส่วนใหญ่ในเรื่องนี้ เราจะเจออูโก้ที่อยู่ในโลกที่แสนเย็นชา ผมอยากทำให้แน่ใจว่าคุณจะรู้สึกว่าเขาเคยถูกรักมาก่อน ผมคิดว่าเป็นเรื่องสำคัญที่ผมจะต้องนำประสบการณ์ของการเป็นพ่อใส่เข้าไปด้วย”
สำหรับบทมองซิเออร์เลบิสส์ ผู้เปิดร้านหนังสืออยู่ในสถานีรถไฟ ทำให้สกอร์เซซี่มีโอกาสที่จะได้ร่วมงานกับนักแสดงที่เป็นตำนานตัวจริง เขาเล่าว่า “ในภาพยนตร์เรื่องนี้ ในที่สุดผมก็มีโอกาสได้ร่วมงานกับ คริสโตเฟอร์ ลี ซึ่งเป็นนักแสดงคนโปรดของผมมา 50-60 ปีแล้ว”
ลี ในวัย 89 ปีเล่าถึงการเดินทางในฝรั่งเศสในปี 1931 ว่า “ผมยังจำได้ดีถึงร้านค้าต่างๆ คาเฟ่ และร้านอาหาร ดังนั้นสำหรับผม มันเหมือนการก้าวกลับสู่อดีตของตัวเอง ตัวละครของผมเป็นเหมือนเทพผู้พิทักษ์ และผมก็ช่วยเปิดโลกให้กับเด็กๆ เหล่านี้ผ่านทางงานวรรณกรรมต่างๆ”
ลีตื่นเต้นมากที่ในที่สุดแล้วเขาก็สามารถมีชื่อของ มาร์ติน สกอร์เซซี่ อยู่ในลิสต์ผลงานของเขา “ผมไม่ได้จะประจบมาร์ตินหรอกนะ แต่ผมเคยพูดกับเขาว่า ‘ผมอาจจะมีผลงานมากกว่าใครๆ ที่ยังมีชีวิตอยู่ในวงการทุกวันนี้ มีคนบอกผมแบบนั้น แต่ผมรู้สึกเสมอว่าประวัติการทำงานของผมยังไม่สมบูรณ์จนกว่าผมจะได้แสดงหนังของคุณ เพราะผมเคยทำงานกับ จอห์น ฮุสตัน, ออร์สัน เวลล์ส, ราอูล วอลช์, สตีเว่น สปีลเบิร์ก, ทิม เบอร์ตัน, ปีเตอร์ แจ็คสัน และผู้กำกับคนอื่นๆ อีกมากมาย แต่ผมยังไม่เคยร่วมงานกับคุณมาก่อน’ แล้วเรื่องนี้ก็ผ่านเข้ามา และเห็นได้ชัดว่ามีบทที่เหมาะกับผม ในที่สุดเวลานี้ก็มาถึงจนได้!”
สกอร์เซซี่เลือก เฮเลน แม็คโครรี่ ให้มารับบทสำคัญอย่างมาดามฌ็อนน์ ผู้ให้การสนับสนุนและปกป้องเมลิเย่ส์ในวัยชรา ผู้ซึ่งในอดีต เธอเคยเป็นแรงบันดาลใจให้กับเขา สกอร์เซซี่อธิบายว่า “ผมเคยเห็นเฮเลน ในภาพยนตร์เรื่อง ‘The Queen’ ในบทมิสซิสแบลร์ และในซีรีส์ทางทีวีของอังกฤษเรื่อง ‘Anna Karenina’ เธอเยี่ยมยอดมาก เราต้องเจอกัน พูดคุยกัน และผมคิดว่าเธอเหมาะกับบทนี้มาก มันเป็นสถานการณ์ที่มีความซับซ้อน มาดามฌ็อนน์ ผู้ให้กำลังใจกับสามีของเธอ เคยทำงานกับเขานานหลายปี และอยากให้เขาผ่านความเจ็บปวดที่เกิดจากความรู้สึกผิดหวังครั้งใหญ่ในชีวิตไปให้ได้ เธอสุดยอดมากในการวางทั้งเงามืดและสีสันในระดับต่างๆ เข้าไปในบทบาทการแสดงของเธอ”
บทสำคัญอย่าง เรอเน่ ทาบาร์ด นักวิชาการด้านภาพยนตร์ที่ต้องขอบคุณ อูโก้และอิซาเบลล์ ผู้ทำให้เขาได้ค้นพบตัวเมลิเย่ส์ และได้จัดงานกาล่าเพื่อให้เกียรติกับเมลิเย่ส์ที่สถาบันภาพยนตร์ฝรั่งเศส ตกเป็นบทของนักแสดงผู้เจนทั้งเวทีละครและภาพยนตร์อย่าง ไมเคิล สตัห์ลบาร์ก สกอร์เซซี่ดีใจมากที่ได้กลับมาร่วมงานกับสตัห์ลบาร์กอีกครั้ง “นี่เป็นครั้งที่สามแล้วที่ผมกับไมเคิลได้ร่วมงานกัน เขาเคยแสดงหนังโฆษณาของ Freixenet ซึ่งถ่ายทำเพื่อเป็นเกียรติกับอัลเฟร็ด ฮิทช์ค็อก และเขายังรับบทนำใน 'Boardwalk Empire' ความสามารถของไมเคิลในฐานะนักแสดงถือว่าน่าพิศวงมาก เขาสามารถเปลี่ยนอารมณ์จากดราม่าไปเป็นตลกได้โดยไม่ต้องใช้ความพยายามอะไรเลย เปลี่ยนจากภาพยนตร์ร่วมสมัยไปเป็นภาพยนตร์ย้อนยุค เขายังยอดเยี่ยมในบทเจ้าพ่อมาเฟียในเรื่อง 'Boardwalk' หรือใน 'Hugo' เขาก็ยอดเยี่ยมในบทนักประวัติศาสตร์ภาพยนตร์ที่แสนสุภาพที่ชื่นชมบูชา จอร์จส์ เมลิเย่ส์ และรู้สึกยกย่องภาพยนตร์ของเขา มันคือความสุขอันยิ่งใหญ่ที่ได้ร่วมงานกับไมเคิลอีกครั้ง”
สีสันของสถานีรถไฟก็คือคนที่ต้องอาศัยคนที่สัญจรไปมาผ่านโถงในสถานีรถไฟ ซึ่งรวมถึง ลีเซ็ทท์ หญิงขายดอกไม้ (มอร์ติเมอร์), เลบิสส์ คนขายหนังสือ (ลี), มองซิเออร์ฟริค สุภาพบุรุษที่เปิดร้านขายหนังสือพิมพ์ และเพื่อนบ้านของเขา มาดามเอมิลี่ ที่เปิดคาเฟ่อยู่ข้างๆ สำหรับบทผู้สูงวัยที่แสนประหลาดคู่นี้ สกอร์เซซี่เลือกสองนักแสดงที่เก่งที่สุดของอังกฤษ อย่าง ริชาร์ด กริฟฟิธส์ (“หนึ่งในนักแสดงที่ยอดเยี่ยมที่สุดที่ยังทำงานอยู่ในทุกวันนี้” สกอร์เซซี่ประกาศ) และฟรานซิส เดอ ลา ทัวร์ (“ผมชื่นชมเธอเสมอมา” สกอร์เซซี่กล่าวเสริม”)
สกอร์เซซี่กล่าวว่า “ตัวละครที่ จอห์น โลแกน ใส่ลงไปในโลกเล็กๆ ภายในสถานีรถไฟแห่งนี้ กับความรู้สึกที่เขามีต่อปารีสในยุคเวลานั้น ผมเรียกมันว่า ‘เรื่องสั้น’ พวกเขาอาศัยอยู่ในโลกใบนี้ พวกเขาทำงานอยู่ที่นั่นทุกวัน ตัวละครเหล่านี้ทุกตัวถักทอเข้าออกจากภาพยนตร์เรื่องนี้ ทุกคนพยายามที่จะเชื่อมโยงถึงกัน เหมือนที่อูโก้พยายามเชื่อมต่อกับอดีตของเขา”
สกอร์เซซี่ใช้วิธีนำเสนอเรื่องสั้นเหล่านั้นด้วยการถ่ายทำมันเหมือนเป็นหนังเงียบ ตัวละครเดินเข้าออกจากเฟรมภาพแทบจะไร้คำพูด เมื่อพวกเขาเกี่ยวพันถึงกัน แค่ได้เห็นพวกเขา มันช่วยเพิ่มบรรยากาศและความรู้สึกของสถานีรถไฟแห่งนี้
ในบท แม็กซิมิลเลี่ยน สุนัขแสนดุของนายสถานี สุนัขพันธ์โดเบอร์แมนสามตัวที่ผ่านการฝึกมาเป็นอย่างดี ถูกนำตัวมา (แบล็คกี้ถูกใช้ในการถ่ายทำฉากส่วนใหญ่ โดยมี เอนโซ่และบอร์ซาลิโน่ เป็นปีกสลับกันทำหน้าที่แทน) มาธิลดี้ เดอ แค็กนี่ย์ ผู้ฝึกสุนัข ยังเป็นผู้ดูแลการแสดงของสุนัขดัชชุนขนยาว (ซึ่งจะมีบทบาทอยู่ในเรื่องราวของฟลิคและเอมิลี่), แมว (ซึ่งมักจะเกาะอยู่บนกองหนังสือในร้านของเลบิสส์) และนกพิราบอีกหลายตัว (หอนาฬิกาจะไม่มีนกพิราบได้อย่างไร) เดอ แค็กนี่ย์เองก็มักจะแต่งชุดและแสดงอยู่ในกลุ่มคน ใกล้พอที่จะกำกับเหล่าสัตว์ได้ แต่จะต้องไม่เด่นชัดเกินกว่าจะดึงความสนใจและทำลายชอตที่ถ่ายทำอยู่ เมื่อไม่มีคนให้แฝงตัวอยู่ เธอจะแต่งชุด ‘กรีนสกรีน’ เพื่อให้ง่ายต่อการลบภาพเธอออกไปเมื่อถึงเวลาทำงานโพสต์โปรดักชั่น
ที่เข้ามาเติมตัวละครที่มีความพิเศษมากอีกตัวหนึ่ง ซึ่งถือว่าเป็นหัวใจของพลอตเรื่องนี้ ทางทีมผู้สร้างหันไปหาเจ้าแห่งการสร้างของประกอบฉาก เดวิด บัลโฟร์ ผู้ทำงานในการ ‘แก้ปัญหา’ กับผู้สร้างของประกอบฉากอย่าง ดิ๊ก จอร์จ ผู้สร้างหุ่นออโตเมตันของอูโก้
ดิ๊ก จอร์จเล่าว่า “เขาเป็นตัวละครตัวหนึ่งด้วย มันเหมือนกับการสร้างมนุษย์ตัวเล็กๆ ขึ้นมา” มีการสร้างหุ่นออโตเมตัน 15 ตัวเพื่อใช้ในการถ่ายทำ โดยแต่ละตัวจะมีการเคลื่อนไหวที่แตกต่างกันหรือถูกใช้ด้วยวัตถุประสงค์ที่ต่างกันภายในบทภาพยนตร์เรื่องนี้
จอร์จเล่าต่อไปว่า “ประโยชน์ที่เราได้ในการประดิษฐ์หุ่นตัวนี้ก็คือ เรามีเทคโนโลยีสมัยใหม่ในการจัดการ ซึ่งช่างทำนาฬิกายุคแรกๆ ไม่มี อย่างไรก็ดี พวกเขามีประสบการณ์และเข้าใจในระบบกลไกของนาฬิกา หุ่นออโตเมตันในยุคแรกๆ เดินหน้าด้วยระบบจานทรงกระบอก และข้อมูลจะถูกโปรแกรมเอาไว้ ดังนั้น มันจึงสามารถเขียนหรือวาดภาพแบบจำกัด ในกรณีของเรา เพราะมันเป็นโปรแกรมคอมพิวเตอร์ มันจึงสามารถวาดภาพอะไรก็ได้”
อาซา บัทเทอร์ฟิลด์ได้พูดถึงเพื่อนร่วมจอที่เป็นหุ่นไม่ค่อยพูดของเขาว่า “มันประหลาดมากเลยนะ เหมือนเขาเป็นนักแสดงอีกคน ตอนผมได้ยินว่าผมจะได้ทำงานกับหุ่นยนต์ในบางส่วนของภาพยนตร์เรื่องนี้ ผมคิดว่ามันคงจะเหมือนตินแมนจากเรื่อง ‘The Wizard of Oz’ แต่มันกลับดูเหมือนคนมากเลย”
เบน คิงสลี่ย์ตั้งข้อสังเกตว่า “หุ่นออโตเมตันเหมือนมีชีวิตของมันเอง มันดูน่าประทับใจและเป็นภาพที่น่ามองเมื่อเห็นเจ้าหุ่นตัวน้อยนี้หันหัว จุ่มปากกาลงไปในขวดหมึกและวาดภาพใบหน้าดวงจันทร์ ซึ่งผมได้เห็นมันกับตาตัวเอง มีอยู่ฉากหนึ่ง อูโก้เดินมาหาจอร์จส์ ขณะที่อุ้มหุ่นออโตเมตันมา ซึ่งก็คือเด็กคนหนึ่งที่อุ้มเด็กที่หายตัวไปเอาไว้ จากนั้นผมก็อุ้มเจ้าตัวน้อยนี้ไว้ในแขนของผม เราเดินออกไป จากนั้น ก็กลายเป็นเด็กสามคนที่เดินห่างออกไป”