happy on February 10, 2012, 04:14:09 PM
สถานที่ในการถ่ายทำ
การถ่ายทำในสมิทเธอร์ส, บริติช โคลัมเบีย การเชื่อมสัมพันธ์ง่ายดายขึ้นเมื่อทีมงานรวมตัวกันในหุบเขาที่ห่างไกลผู้คนในสมิทเธอร์ส เมืองเล็กๆ ที่มีประชากร 5,500 คนในบริติช โคลัมเบีย ประเทศแคนาดา ที่ห่างจากแวนคูเวอร์ไปทางตอนเหนือ 12 ชั่วโมง “มันมีคำพูดเยี่ยมๆ ของเซอร์เออร์เนสต์ แชคเกิลตันที่ว่า สิ่งใดที่น้ำแข็งต้องการ สิ่งนั้นน้ำแข็งก็จะเอาไปครับ” คาร์นาฮานบอก “เราได้เจอเรื่องแบบนั้นในภูเขา เราอยู่ภายใต้ความปรานีของธรรมชาติ และแม้ว่ามันจะน่าหงุดหงิดแค่ไหน แต่ผมก็พบว่ามันน่าอัศจรรย์ใจด้วย”
ผู้กำกับยืนกรานที่จะให้ความสำคัญกับความสมจริงตั้งแต่เริ่มแรกด้วยการให้นักแสดงลุยหิมะลึกถึงเอวและเผชิญหน้ากับลมที่พัดกระโชกแรงบนเนินเขา “ขนตาผมมีเกล็ดหิมะด้วย มันโหดขนาดนั้นเลยนะครับ” โรเบิร์ตส์ ผู้รับบทเฮนดริคส์กล่าว “มันเป็นที่ที่หนาวที่สุดเท่าที่ผมเคยไปมาเลย” กริลโลบอก “ลมพัดแรงแปดสิบไมล์ต่อชั่วโมง แล้วผมก็ต้องทนหนาวแบบนั้นเป็นชั่วโมงๆ ผมพยายามจะพูดแต่ปากผมกลับไม่ขยับ” คาร์นาฮานบอก “เราถูกไล่ลงจากเขาสามครั้งเพราะหิมะขาวโพลน ผมถูกหิมะกัดที่นิ้วและนิ้วหัวแม่เท้าด้วยครับ”
“หนาวสุดๆ มันทำให้ผมหนาวถึงทรวงในเลย” อโนซียกล่าวเห็นพ้องด้วย มัลโรนีย์กล่าวเสริมว่า “การเตรียมตัวที่คุณอ่านบทมาเกี่ยวกับเครื่องบินตก การค้นคว้าเกี่ยวกับหมาป่า ทุกอย่างหายไปหมดเลย เพราะในตอนที่คุณยืนอยู่ในเขา ท่ามกลางอากาศ -20 องศา พร้อมมีลมพัด 60 ไมล์ต่อชั่วโมง และมีหิมะตกโปรยปราย เรื่องพวกนั้นไม่สำคัญเลยครับ คุณแค่ยืนอยู่ตรงนั้นเท่านั้นเอง”
“รู้อะไรมั้ยครับ การสร้างอากาศเย็นปลอมๆ เป็นเรื่องยากมากเลย” คาร์นาฮานกล่าว “มันมีเครื่องมือที่ใช้สร้างลมบนหน้าจอที่เรียกว่า ‘พัดลมริตเตอร์’ แต่เมื่อคุณได้เห็นช็อตลมแรงใน The Grey มันก็ไม่มีพัดลมริตเตอร์ในโลกมากพอที่จะสร้างเอฟเฟ็กต์ของสิ่งที่ธรรมชาติทำกับเราบนภูเขาลูกนั้นได้ ผมอาจจะกำหนดเรื่องราวในเรื่องให้เกิดขึ้นในตาฮิติกับหมูป่าก็ได้ แต่ผมกลับไม่ได้คิดอย่างนั้น เราก็เลยต้องอยู่ในภูเขาที่ห่างไกลผู้คน ท่ามกลางอากาศหนาวเหน็บนี้ คุณจะแสดงไม่ได้หรอกครับ คุณแค่ต้องทำตัวแบบนั้นเพราะมันหนาวเหลือเกิน”
ผู้อำนวยการสร้างเดลีกล่าวเสริมว่า “เราต้องการให้มันโหดสำหรับทุกคน เพราะเรารู้ว่ายิ่งอากาศหนาวส่งผลกระทบต่อนักแสดงมากเท่าไหร่ มันก็จะยิ่งดูสมจริงบนหน้าจอมากเท่านั้นค่ะ”
มัลโรนียกล่าวเสริมว่า “ที่ผมบอกว่า ‘หนาว’ ผมหมายถึงความหนาวที่แทบจะเยือกแข็ง เกือบจะเป็นหิมะกัด มันเหนื่อยสุดๆ เลย โจคิดและเขียนบทหนังเรื่องนี้โดยคำนึงถึงเรื่องของชายที่เผชิญกับสภาพอากาศที่สุดโต่งและสภาพแวดล้อมที่ทารุณที่สุดเท่าที่จินตนาการได้ เขามุ่งมั่นที่จะสร้างหนังที่นักแสดงทุกข์ทรมานจริงๆ ครับ”
“เราได้หนังดีๆ มาเพราะอากาศ คน และวิวทิวทัศน์สวยๆ ครับ” เบน เบรย์ ผู้ประสานงานคิวบู๊ ผู้ผันตัวไปเป็นนักแสดง กล่าว “ไม่มีอะไรในฉากสตูดิโอหรือซาวน์สเตจที่เทียบกับลุคนั้นได้ ตอนที่ผู้ชมเห็นเราอยู่ข้างนอกนั่น พวกเขาจะเห็นได้ชัดเจนว่ามันไม่ใช่ของจำลอง ไม่ใช่ของปลอม ไม่ใช่ CGI มันเป็นหิมะจริงๆ ที่พัดด้วยความเร็ว 70, 80, 90 ไมล์ต่อชั่วโมง และมันก็โหดทีเดียวครับ” โจ แอนเดอร์สัน ผู้รับบทท็อดด์ แฟลนเนอรี คนงานหนุ่ม กล่าวเสริมว่า “หิมะกลายเป็นตัวละครตัวหนึ่งครับ”
สภาพอากาศเป็นเรื่องท้าทายสำหรับทุกคนในกองถ่าย “คุณจะเข้าถึงกองถ่ายได้ด้วยรถลุยหิมะเท่านั้นครับ” คาร์นาฮานบอก “มันไม่มีอะไรที่ช่วยอำนวยความสะดวกสบายเลย ไม่มีเลยครับ” ระหว่างช็อตในกองถ่ายบนเขา ตั้งแต่ 7.30 ในตอนเช้าจนถึงช่วงบ่าย นักแสดงจะไม่ได้นอนเอกเขนกอย่างสบายใจในเทรลเลอร์เลย ด้วยสภาพอากาศที่โหดร้ายเช่นนี้ ทีมนักแสดงก็เลยต้องรวมตัวกันอยู่ในกล่องแทร็คเตอร์และลังพัสดุเพื่อรักษาความอบอุ่น การสานสายสัมพันธ์ระหว่างหนุ่มๆ เกิดขึ้นระหว่างช่วงเวลายาวนานท่ามกลางอุณหภูมิติดลบ ที่นำไปสู่สถานการณ์ที่ไม่ธรรมดาหลายครั้งระหว่างการถ่ายทำ
บางที เหตุการณ์ที่น่าจดจำที่สุดที่เกิดขึ้นระหว่างที่กลุ่มนักแสดงต้องลุยหิมะที่หนาถึงต้นขา หิมะขาวโพลนได้บดบังทัศนวิสัยของทุกคน และช่างกล้องก็เจอปัญหาใหญ่กับช็อตเครนที่วางแผนไว้ เพราะน้ำมันที่จะถูกใช้ในการเคลื่อนไหวของเครื่องจักรนั้นกลายเป็นน้ำแข็ง
“ช่วงสองสามวันแรกเป็นอะไรที่โหดมากครับ” นีสันเล่า “เราต้องจำบทให้ได้ และสมองเราก็แข็งเป็นน้ำแข็งเลย เราคิดกันแต่เรื่องที่ว่าทำยังไงให้ตัวเราอุ่น” ระหว่างช่วงเวลาที่เกินทานทนนั้น จู่ๆ นอนโซ อโนซีย์ นักแสดงร่างใหญ่ชาวอังกฤษก็ได้พูดบทจาก Othello ด้วยเสียงบาริโทนทุ้มใหญ่ของเขา “เขาตื่นเต้นมากๆ และมันก็ทำให้เรารู้สึก…ใช่น่ะครับ” นีสันบอก “มันทำให้เรานึกได้ว่า ใช่ ข้างนอกนั่นอาจจะติดลบสี่สิบองศาก็จริง แต่เราเป็นนักแสดง และเราก็จะผ่านฉากนี้ไปให้ได้ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น มันทำให้เราทุกคนรู้สึกอบอุ่นและผมก็จะไม่ลืมเสียงของเขาไปตลอดชีวิตเลยครับ”
แต่หลายเดือนให้หลัง ทีมงานและนักแสดงก็พูดถึงสภาพอากาศที่เลวร้ายว่าเป็นสิ่งที่ช่วยสานสายสัมพันธ์ระหว่างพวกเขา และมันก็สะท้อนถึงความยากลำบากที่ตัวละครในเรื่องต้องเผชิญด้วยเช่นกัน บางที เบรย์ ผู้รับบทเฮอร์นันเดซ อาจจะพูดถึงปัญหาหนักใจที่ทีมนักแสดงเผชิญได้ดีที่สุดก็ได้ “พวกเราเล่นเป็นคนน่ารังเกียจ อดีตนักโทษ นักเดินทาง คนที่มีความสุขกับการมีงานทำและได้มีเวลาพักกับครอบครัว พวกเราทุกคนดูเหมือนจะแตกต่างกันสุดขั้ว แต่ท้ายที่สุดแล้ว พวกเราก็ต้องทำงานร่วมกันเป็นทีม เพื่อเอาชีวิตรอด มันมีปริศนาที่ว่าอะไรอยู่ข้างนอกนั่น เราอยู่ท่ามกลางดินแดนรกร้าง เราไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้น สิ่งที่เราพยายามจะทำคือเอาชีวิตรอด ซึ่งนั่นก็เป็นเรื่องท้าทายสุดๆ จริงๆ นะครับ และมันก็น่าขนลุกจริงๆ ซะด้วย”ข้อมูลเกี่ยวกับงานออกแบบหมาป่า
“คุณจะล้มไม่เป็นท่าถ้าคุณขายหมาป่าพวกนี้ไม่ได้ครับ” คาร์นาฮานยืนยัน “เราพูดเสมอว่าถ้าเราถ่ายทอดหมาป่าออกมาไม่ได้ล่ะก็ เราก็ถ่ายทอดหนังเรื่องนี้ไม่ได้ด้วยเหมือนกัน” ผู้อำนวยการสร้างเดลีกล่าว แม้ว่าตัวผู้กำกับเองอาจจะทำตามขนบดั้งเดิมและใช้ภาพ CG สร้างเป็นหมาป่าพวกนี้ขึ้นมาในขั้นตอนโพสต์โปรดักชันก็ได้ แต่คาร์นาฮานกลับเลือกใช้ CGI เป็นตัวเสริมระบบอื่นๆ เช่นอนิมาโทรนิคกลไกขนาดใหญ่และสัตว์จริงๆ ที่ผ่านการฝึกฝนมาแล้ว
คาร์นาฮานดูสารคดีธรรมชาติหลายชั่วโมง อ่านหนังสือของชอน เอลลิสเกี่ยวกับพฤติกรรมของหมาป่าและเรียนรู้ทุกอย่างเท่าที่ทำได้เกี่ยวกับหมาป่าจริงๆ แต่เขาก็ยังอยากได้บางสิ่งที่ลึกลับ ราวกับเรื่องมหัศจรรย์ “ผมอยากให้มันสมจริง แต่ในขณะเดียวกัน ผมก็อยากให้หมาป่าตัวใหญ่กว่าปกติด้วย” เขาอธิบาย “ตามธรรมชาติแล้ว หมาป่าไม่ใช่สัตว์ตัวใหญ่ แต่เราก็เจอตัวอย่างของหมาป่าหนัก 250 ปอนด์ ที่จะสู้กับหมีกริซลีได้จริงๆ ด้วย”
เกร็ก นิโคเทโร ปรมาจารย์ฝ่ายสเปเชียล เอฟเฟ็กต์ เจ้าของรางวัลอคาเดมี อวอร์ดและเอ็มมี อวอร์ด รับหน้าที่ซูเปอร์ไวเซอร์ฝ่ายสิ่งมีชีวิตให้กับเคเอ็นบี เอฟเฟ็กต์ โดยมีไมค์ ฟิลด์, อเล็กซ์ ดิแอซ, เดวิด โว้กและเบธแฮมเบอร์ ฮาธาเวย์คอยควบคุม “หุ่น” หมาป่า เจมส์ พาราดิส เป็นผู้ประสานงานฝ่ายสเปเชียล เอฟเฟ็กต์ โดยมีผู้ช่วยหลายสิบคนทำงานในแผนกเอฟเฟ็กต์ เกอร์รี เธียเรียนจากแอ็กชัน แอนนิมอลส์ คอยดูแลหมาป่าจริงๆ “การผสมผสานเป็นวิธีที่ดีจริงๆ ค่ะ” เดลีกล่าวสรุป “เทคนิคเดียวคงจะไม่เวิร์ค แต่พอใช้สองแบบแล้ว มันก็ช่วยเติมเต็มกันและกันค่ะ” ดัลลัส โรเบิร์ตส์ นักแสดงของเรื่องกล่าวว่า “เราใช้หุ่นที่น่าทึ่ง ซึ่งสามารถเคลื่อนไหว เลือดออกและคำรามได้เหมือนจริงด้วย มันเยี่ยมตรงที่ว่ามันไม่ได้มีแต่คอมพิวเตอร์ กรีนสกรีนและลูกปิงปองไปซะทั้งหมด มันยังมีหมาป่าตัวจริงยืนอยู่ตรงนั้น และหายใจห่างจากหน้าผมไปไม่กี่นิ้วด้วย” คาร์นาฮานกล่าวเห็นพ้องด้วย “การให้นักแสดงมีปฏิสัมพันธ์กับของจริงเป็นวิธีการทำงานที่ดีที่สุด แทนที่จะเป็นว่า ‘โอเค นี่เป็นลูกเทนนิสบนไม้เสียบนะ ลองสมมติว่าคุณกำลังเย่ออยู่กับหมาป่ายักษ์ที่พยายามจะฆ่าคุณดูนะ’ น่ะครับ”
“เราทุกคนต่างก็เคยเห็นเอฟเฟ็กต์ CGI มาแล้ว แต่เรายังอยากได้สิ่งที่ใกล้เคียงกับหมาป่าจริงๆ มากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้” นีสันบอก “เราก็เลยใช้หัวหุ่นขนาดใหญ่ ที่ควบคุมโดยคนสามหรือสี่คน ใช้นักกายกรรมแต่งตัวเป็นหมาป่า แล้วใช้เอฟเฟ็กต์อื่นๆ เพื่อตัดต่อสองหรือสามวินาที ในประสบการณ์ตรงครั้งแรกระหว่างผมกับพวกมัน ตัวละครของผมถูกหมาป่าสองตัวโจมตี ตัวหนึ่งงับขาผม ส่วนอีกตัวทับส่วนล่างของผมเอาไว้ มีผู้ชายสองคนควบคุมมันไว้เพื่อทำให้ดูเหมือนว่าหมาป่าตัวนี้กำลังหายใจอยู่ และมันก็กลายเป็นเรื่องจริงสำหรับผม พระเจ้า มันเป็นเรื่องจริงเลยล่ะครับ”
คาร์นาฮานได้ยินจากนักอนุรักษ์ ผู้เชื่อว่าหมาป่าไม่เคยโจมตีมนุษย์ และบอกว่าสิ่งที่เขาสร้างขึ้นนั้นแตกต่างจากสัตว์จริงๆ “แม้ว่าผมจะชื่นชอบไอเดียที่ว่าหมาป่าไม่โจมตีมนุษย์ แต่พวกมันก็ยังเป็นสัตว์ป่าและเป็นส่วนหนึ่งของธรรมชาติ ผมไม่เคยพยายามจะนำเสนอภาพหมาป่าในฐานะนักฆ่าผู้โหดเหี้ยม แต่พวกมันอยู่ในดินแดนรกร้างและพวกมันก็จะปกป้องสิ่งที่เป็นของพวกมันครับ”
สำหรับนีสัน นักแสดงผู้ได้รับการเสนอชื่อชิงอคาเดมี อวอร์ด นี่เป็นโอกาสที่เขาจะได้ร่วมงานกับผู้กำกับผู้หนักแน่นและเรื่องราวที่ล้วงลึกถึงอารมณ์สุดโต่ง ที่เป็นแรงดึงดูดสำคัญ “ใน The A-Team ผมได้เรียนรู้เกี่ยวกับความรักและพลังงานที่เหลือเชื่อของโจ และใน The Grey คุณสมบัติเหล่านั้นก็ดูเหมือนจะเพิ่มขึ้นเป็นสองเท่าเลยครับ” นักแสดงกล่าวสรุป “นอกจากนี้ เขายังเป็นคนตลกมากๆ อีกด้วย และผมก็คิดว่าคุณต้องการอารมณ์ขันเพราะในบางฉาก คุณจะต้องไปยังที่ที่มืดหม่นจริงๆ มันเป็นเรื่องของการเอาชีวิตรอด เกี่ยวกับการรักษาร่างกายและจิตใจให้อยู่รอดสมบูรณ์เพราะถ้าอากาศไม่คร่าชีวิตคุณ พวกหมาป่าก็จะคร่าชีวิตคุณ เมื่อกล้องเริ่มหมุน และคุณต้องเผชิญกับสถานการณ์ที่เข้มข้นอย่างเหลือเชื่อพวกนั้น นั่นคือการแสดงที่แท้จริงครับ”
หรือถ้าจะหยิบยกคำพูดของเซอร์เออร์เนสต์ แชคเคิลตัน นักสำรวจดินแดนน้ำแข็งผู้ยิ่งใหญ่ มาอีกซักครั้งหนึ่งล่ะก็็ “เราได้เห็นพระเจ้าในสิ่งงดงามที่พระองค์ทรงสร้างขึ้น ได้ยินข้อความที่ธรรมชาติได้ถ่ายทอดแล้ว เราได้มาถึงจิตวิญญาณเปล่าเปลือยของมนุษย์แล้ว”การคัดเลือกนักแสดง
การนำนักแสดงที่หลากหลายมาร่วมงานและทำให้แน่ใจว่าพวกเขาจะเติมเต็มกันและกันเป็นเหมือน “การต่อชิ้นส่วนปริศนาเข้าด้วยกันค่ะ” ผู้อำนวยการสร้างเดลีกล่าว พลางอธิบายว่าผู้กำกับจงใจเลือกนักแสดงที่ค่อนข้างจะโนเนม ซึ่งรวมถึงแฟรงค์ กริลโล, ดัลลัส โรเบิร์ตส์, โจ แอนเดอร์สัน, นอนโซ อโนซีย์, เบน เบรย์และเจมส์ แบดจ์ เดล มารับบทกลุ่มผู้ชายที่เต็มไปด้วยฮอร์โมนเทสโทสเตอโรน
ถ้าคุณสะดุดชื่อไหนเข้าล่ะก็ มันก็เกิดขึ้นได้ด้วยเหตุผลดีๆ ทั้งนั้น กุญแจสำคัญในการคัดเลือกนักแสดงคือการหานักแสดงที่น่าเชื่อ ผู้สามารถทนต่อความยากลำบากทางกายได้ แต่ก็ไม่ได้โดดเด่นด้วยเช่นกัน มัลโรนีย์อธิบายว่า “ในหนังส่วนใหญ่ ถ้าคุณเห็นกลุ่มคนขึ้นเครื่องบิน คุณจะจำพวกเขาได้อย่างน้อยก็หกคน แล้วคุณก็จะรู้แล้วว่าใครจะรอดบ้าง ซึ่งมันก็จะทำเรื่องเสียไปเลย โจก็เลยเลือกนักแสดงที่แข็งแกร่งและทุ่มเทจริงๆ ซึ่งบางคนคุณอาจเคยเห็นมาก่อน แต่ไม่ใช่ทุกคนครับ” มัลโรนีย์ปล่อยให้เคราของเขายาวขึ้นสำหรับบทนี้ และสวมแว่นตา เพื่อที่เขาจะได้แตกต่างจากภาพตามปกติบนหน้าจอของเขา
กริลโล ผู้เป็นเพื่อนเก่าของคาร์นาฮาน รับบทจอห์น ดิแอซ ชายโรคจิต เขาได้นอนค้างอยู่บนเกาะริเกอร์เพื่อเตรียมตัวสำหรับบทนี้ด้วยซ้ำไป กริลโลเล่าถึงการได้ดู Deliverance เรื่องราวการสานสายสัมพันธ์ของชายหนุ่ม ร่วมกับนักแสดงคนอื่นๆ ในช่วงเริ่มแรก เพื่อช่วยในการเตรียมพร้อมการแสดงของพวกเขา “เราอยากจะเห็นกลุ่มคนที่ไม่รู้ว่าพวกเขาเป็นใครเมื่อเผชิญหน้ากับสถานการณ์คับขันครับ” เขากล่าว “พวกเขาถูกบีบให้ต้องเปลี่ยนแปลงตัวเอง บางที ฮีโรอาจจะไม่ได้กล้าหาญนักในตอนจบก็ได้ และบางที ผู้ร้ายอาจจะไม่ได้ชั่วร้ายนักก็ได้”
คาร์นาฮานกล่าวว่า “ผมมองว่าตัวละครเหล่านี้เป็นแง่มุมที่หลากหลายของตัวออตเวย์เอง มีทั้งคนแกร่ง คนขี้ขลาด คนอ่อนไหว สามี ผมพยายามจะเปรียบเทียบมันแบบนั้น โดยที่ไม่ได้ขีดเส้นแบ่งให้ชัดเจน เรื่องราวถามเพียงแค่ว่า ‘คุณเป็นใคร คุณอยากจะใช้ชีวิตอย่างไร คุณอยากจะตายอย่างไร’น่ะครับ”
« Last Edit: February 10, 2012, 04:17:18 PM by happy »
Logged