คาแร็คเตอร์นักแสดง
Jung จุง, Freud (ฟรอยด์) และ Sabina (ซาบินา) บนหน้าจอ
เมื่อถึงเวลาเลือกนักแสดงที่จะมารับบทบุคคลสำคัญทางประวัติศาสตร์เหล่านี้ ซึ่งกำลังอยู่ในช่วงสำคัญของชีวิตในตอนที่เรื่องราวนี้เกิดขึ้น การคัดเลือกที่เฉพาะเจาะจงก็เป็นเรื่องสำคัญยิ่ง อย่างที่ Thomas (โธมัส) บอกว่า “นี่คือการล้วงลึกจิตใจของมนุษย์ผ่านทางตัวละครที่อายุน้อย Jung (จุง) อายุสามสิบ Freud (ฟรอยด์)อายุห้าสิบ Sabina (ซาบินา)อายุยี่สิบต้นๆ และ Gross (กรอส) ก็อยู่ในช่วงอายุสามสิบต้นๆ ทั้ง Michael Fassbender (ไมเคิล ฟาสเบนเดอร์) , Viggo Mortensen (วิกโก้ มอร์เตนเซน), Keira Knightley (เคียรา ไนท์ลีย์) และ Vincent Cassel (วินเซนต์ คาสเซล) ต่างก็เป็นนักแสดงที่เดวิดอยากจะให้รับบทเหล่านี้ และผมก็คิดว่าพวกเขาเป็นตัวเลือกที่วิเศษสุดครับ”
Sabina Spielrein (ซาบินา สปีลเรน) เป็นหนึ่งในนักจิตวิเคราะห์หญิงคนแรกๆ เป็นผู้บุกเบิกศาสตร์ของจิตวิทยาเด็ก แต่แทบไม่มีใครเอ่ยถึงเธอเลยในประวัติศาสตร์จิตวิเคราะห์ แม้ว่าในปี 1912 เธอจะนำเสนอแนวคิดของเธอที่ว่าแรงขับด้านเพศเป็นสิ่งที่มีทั้งสัญชาตญาณในการทำลายล้างและสัญชาตญาณในการเปลี่ยนแปลงต่อสมาคมจิตวิเคราะห์ก็ตาม ในการนำเสนอครั้งนั้น มีหลักฐานชัดเจนที่แสดงว่า Sabina (ซาบินา) มีอิทธิพลต่องานของทั้ง Jung(จุง) และ Freud (ฟรอยด์) ทั้งแนวคิดของ Jung (จุง)เกี่ยวกับความเป็นผู้หญิงในตัวผู้ชายและความเป็นผู้ชายในตัวผู้หญิง (การเปลี่ยนแปลง) และทฤษฎีของฟรอยด์เกี่ยวกับสัญชาตญาณทางเพศและความตาย ภายหลัง Freud (ฟรอยด์) ได้ยอมรับในหนังสือเล่มหนึ่งของเขาว่า Sabina (ซาบินา)ได้นำเขาไปสู่แนวคิดนี้ ในขณะที่ธรรมชาติความสัมพันธ์ระหว่างทั้งคู่อาจทำให้จุงไม่เคยยอมรับต่อสาธารณชนว่า ความคิดของเธอมีอิทธิพลต่อความคิดของเขาก็เป็นได้ จนกระทั่งมีการค้นพบประวัติรักษา อนุทินส่วนตัวและจดหมายที่เธอโต้ตอบกับ Jung (จุง) และ Freud (ฟรอยด์) ซึ่งตอนนี้ถูกตีพิมพ์แล้ว เราถึงรู้อย่างชัดเจนว่าเธอได้เป็นแรงบันดาลใจสำหรับความคิดของชายทั้งสองคน
Cronenberg (โครเนนเบิร์ก) อธิบายถึงสิ่งที่ผลักดันให้เขานำตัวละครซับซ้อนที่เคยมีชีวิตอยู่จริงเหล่านี้ขึ้นสู่หน้าจอว่า “ใน A Dangerous Method ผมอยากสร้างหนังสวยงามที่ยืนอยู่บนความสยองขวัญด้านอารมณ์ โดยที่ไม่สูญเสียเสน่ห์เย้ายวนของมัน ผมได้รับแรงกระตุ้นจากรายละเอียดที่แนบแน่นและแปลกประหลาด ซึ่งเผยถึงตัวละครหลักสามตัว และทำให้เราเข้าใจถึง การถูกผูกมัดและปลดปล่อยให้เป็นอิสระจากพันธนาการทางความคิดและร่างกาย มันเป็นสายสัมพันธ์สามเส้าที่แปลกประหลาด ไม่ใช่ว่าซาบินาจะมีความสัมพันธ์ทางเพศกับ ฟรอยด์นะครับ เพียงแต่พวกเขามีความรักให้กันและกัน ซึ่งรวมถึงระหว่างจุงและฟรอยด์ด้วย ระหว่างพวกเขามีทั้งมิตรภาพและความรักที่เหลือเชื่อให้แก่กันน่ะครับ”Michael Fassbender (ไมเคิล ฟาสเบนเดอร์) รับบท Carl Jung (คาร์ล จุง) Michael Fassbender (ไมเคิล ฟาสเบนเดอร์) นักแสดงหนุ่มมากความสามารถ ได้รับเลือกให้รับบท Carl Jung (คาร์ล จุง )ตัวละครที่เขาตื่นเต้นมากที่จะสวมบทนี้ เพราะเขารู้สึกหลงใหลในช่วงเวลาที่น้อยคนนักจะรู้ในชีวิตของจุงและฟรอยด์ เขาอธิบายว่า เขารู้สึกว่าซาบินามีอิทธิพลต่อการงานของผู้ชายทั้งสองคน “ข้อมูลที่ Christopher Hampton (คริสโตเฟอร์ แฮมป์ตัน) รวบรวมมาทำให้รู้ว่าเธอมีอิทธิพลต่อจุงในเรื่องความคิดของเขาที่มีต่อลักษณะนิสัยเก็บกดและชอบแสดงออก ซึ่งผมคิดว่าเธอไม่ได้รับการยกย่องสำหรับอิทธิพลที่เธอมีต่อทั้งคู่เลย ความสัมพันธ์ระหว่างสามคนนี้น่าสนใจมาก และ Sabina (ซาบินา) ก็ช่วยทำให้รอยร้าวระหว่างทั้งสองคนเห็นชัดขึ้น แต่เธอก็เป็นคนที่อยากให้พวกเขาร่วมมือกันต่อไป เพราะเธอคิดว่ามันอาจทำให้การศึกษาจิตวิทยาถอยหลังกลับไป 100 ปี ถ้าพวกเขาไม่ทำงานร่วมกัน สิ่งที่ทำให้ A Dangerous Method น่าสนใจคือมันเป็นเศษเสี้ยวในชีวิตของบุคคลที่มีชื่อเสียงเหล่านี้ ซึ่งเราไม่เคยรู้พร้อมทั้งมีจุดหักมุมหรือเรื่องน่าประหลาดใจเล็กๆครับ”
สำหรับ Fassbender (ฟาสเบนเดอร์) โอกาสที่จะได้ทำงานกับบทภาพยนตร์ของ Hampton (แฮมป์ตัน) และ Cronenberg (โครเนนเบิร์ก) เป็นอะไรที่เย้ายวนใจ ขณะที่เรื่องราวดำเนินไป ความสัมพันธ์ระหว่างตัวละครหัวคิดก้าวหน้าของ Fassbender (ฟาสเบนเดอร์) และ Freud (ฟรอยด์) อาจารย์ของเขา Emma (เอ็มมา) ภรรยาของเขา Sabina( ซาบินา) และ Otto Gross (ออตโต้ กรอส) คนไข้ของเขา ผู้กระตุ้นให้เขาก้าวข้ามขอบเขต เป็นความสัมพันธ์ที่ผู้ชมหลายคนสามารถเข้าถึงได้ อย่างที่ฟาสเบนเดอร์บอก “ความรู้สึกของฉากพวกนี้เข้าถึงได้ง่ายมากๆ เพราะคุณจะเห็นว่าพวกเขาเป็นมนุษย์ปุถุชน ที่ปฏิบัติต่อคนอื่นๆ เหมือนกับพวกเรานั่นเอง พวกเขาเองก็มีความใคร่ มีความอิจฉาริษยาเหมือนกัน ตัวละครพวกนี้มีอะไรให้เล่นมากมาย พวกเขาเป็นคนเก่ง แต่นั่นก็ทำให้พวกเขามีอีโก้ด้วยเช่นกัน ผมคิดว่านั่นเป็นเรื่องน่าสนใจ การที่เวลาคนเราถูกต้อนให้จนมุม พวกเขาจะมีปฏิกิริยาอย่างไร และพวกเขารับมือกับผู้คนรอบด้าน ซึ่งบางครั้งก็เป็นคนที่ใกล้ชิดพวกเขามากที่สุดอย่างไร”
Keira Knightley (เคียรา ไนท์ลีย์) รับบท Sabina Spielrein (ซาบินา สปีลเรน) บทสำคัญอย่าง Sabina Spielrein (ซาบินา สปีลเรน) ถูกเสนอให้กับนักแสดงหญิงผู้ได้รับการเสนอชื่อชิงอคาเดมี อวอร์ด รางวัลลูกโลกทองคำและรางวัลบาฟตา Keira Knightley (เคียรา ไนท์ลีย์) หลังจากได้อ่านบท เธอก็ตอบรับความท้าทายที่จะได้เรียนรู้เกี่ยวกับโลกของจิตวิเคราะห์ด้วยความยินดี พร้อมทั้งเธอยังได้ค้นคว้าและอ่านหนังสือเกี่ยวกับเรื่องราวนี้ รวมไปถึงข้อมูลทุกอย่างที่เธอหาได้เกี่ยวกับ Sabina (ซาบินา) และการพูดคุยกับนักจิตวิเคราะห์ด้วย สำหรับไนท์ลีย์ โอกาสในการได้เป็นส่วนหนึ่งของ A Dangerous Method เป็นสิ่งที่เธอจินตนาการเอาไว้ “สิ่งที่ฉันคิดว่าน่าทึ่งเกี่ยวกับเรื่องราวนี้คือมันแสดงให้เห็นถึงจุดเริ่มต้นของจิตวิเคราะห์ มันเป็นส่วนสำคัญของวัฒนธรรมของเรา ด้วยคำอย่าง ‘อีโก้’ หรือ ‘ซับซ้อน’ จนเราไม่นึกถึงมันด้วยซ้ำเวลาใช้ในปัจจุบันนี้ ในขณะที่ในตอนนั้น เป็นตอนเริ่มต้น พวกเขาเพิ่งจะค้นพบวิธีใหม่ในการรักษาคนไข้น่ะค่ะ”
ซาบินาที่คลุ้มคลั่งและทุกข์ทรมานใจ ที่เราได้พบในตอนแรกแตกต่างจากบทอื่นๆ ที่ไนท์ลีย์เคยได้รับมาก่อนหน้านี้ เธอตอบรับความท้าทายนี้อย่างกระตือรือร้น เพื่อผลักดันตัวเองในการสวมบทผู้หญิงที่น่าทึ่งคนนี้ ผู้เป็นอิทธิพลให้กับนักคิดผู้ทรงอิทธิพลสูงสุดสองคนของศตวรรษที่ยี่สิบ Knightley (ไนท์ลีย์)เห็นจากบทของ Hampton (แฮมป์ตัน)ว่า Jung (จุง) หลงใหล Sabina (ซาบินา)ตั้งแต่เซสชันแรกของพวกเขา ในห้องว่างที่เขานั่งข้างหลังเธอ และเริ่มใช้ ‘การเยียวยาด้วยการพูด’ ของ Freud (ฟรอยด์)กับเธอ Knightley (ไนท์ลีย์) อธิบายว่า “ซาบินามีปัญหาทางจิตตอนที่เธอมาถึงโรงพยาบาลในตอนแรก แต่ฉันคิดว่าสิ่งที่ทำให้จุงแปลกใจคือการที่เธอเป็นคนฉลาดมาก และเธอก็ทั้งกล้าหาญและเปิดเผยอย่างมากอีกด้วย เขาอ่านเรื่องเกี่ยวกับ ฟรอยด์และจิตวิเคราะห์ อย่างที่เราเรียกกันในปัจจุบัน และเริ่มใช้เธอเป็นตัวทดสอบ ‘การเยียวยาด้วยการพูดคุย’ แบบนี้ เธอมีปฏิกิริยาตอบสนองมากๆ และฉันก็คิดว่าความซื่อสัตย์ ความเฉลียวฉลาดและความเข้มแข็งของเธอ รวมไปถึงการที่เธอเป็นคนสวย ทำให้เขาหลงใหลเธอและทำให้เขาเสียศูนย์ค่ะ”Viggo Mortensen (วิกโก้ มอร์เตนเซน) รับบท Sigmund Freud (ซิกมันด์ ฟรอยด์) สำหรับ Viggo Mortensen (วิกโก้ มอร์เตนเซน) กับการได้รับบทซิกมันด์ ฟรอยด์ มอร์เตนเซนได้ทุ่มเทให้กับการศึกษาเรื่องของฟรอยด์ เขาได้ศึกษาบทนี้ด้วยการค้นคว้าอย่างละเอียดละออ อย่างที่เขาเป็นที่รู้จักดีอยู่แล้ว เขาได้ไปเยี่ยมสถานที่เกิดของฟรอยด์ บ้านของเขาในเวียนนาและลอนดอน รวมถึงโรงพยาบาลเบอร์โกลส์ลี อ่านหนังสือของเขา ศึกษาภาพถ่ายและฟุตเตจเพื่อดูลุคและอากัปกิริยาของเขา หรือกระทั่งไปหาซิการ์ที่เขาสูบด้วยซ้ำไป การศึกษาฟรอยด์ของมอร์เตนเซนยังรวมถึงชุดและอารมณ์ขันของเขาด้วย เขาขยายความว่า “ฟรอยด์แต่งตัวแบบเดิมตลอดหลายทศวรรษ เป็นวิธีการแต่งตัวแบบศตวรรษที่สิบเก้าน่ะครับ เขาเขียนภาษาเยอรมันแบบที่เขียนกันในศตวรรษที่สิบแปดและสิบเก้า และเขาก็ไม่เคยเปลี่ยนแปลงเลย งานเขียนและการนำเสนอตัวเองของเขามีความเป็นทางการ การเขียนจดหมายถึงจุงของเขาแสดงให้เห็นถึงความเฉลียวฉลาดมาตรฐานสูงในวาทกรรมของเขา แต่ในการพูดคุยกันแล้ว เขาเป็นคนมีไหวพริบและมีเสน่ห์ ซึ่งนั่นเป็นเรื่องที่สนุกมากที่จะแสดงออกมา จุงเป็นคนที่ฉลาดมากๆ แต่เขาก็แตกต่างจากฟรอยด์มากๆ ด้วย”Vincent Cassel (วินเซนต์ คาสเซล) รับบท Otto Gross (ออตโต้ กรอส) บทสำคัญอย่างออตโต้ สำหรับ Cassel (คาสเซล) นี่เป็นโอกาสในการสวมบทเป็นนักจิตบำบัด ในลักษณะที่แตกต่างจากจุงและฟรอยด์ กรอสเชื่อว่า คนเราต้องมีประสบการณ์ชีวิตอย่างเต็มที่เพื่อจะนำมาพูดคุยในอาชีพของพวกเขาได้ และเขาก็ใช้ชีวิตตามแนวความคิดที่เขาเชื่อ กรอสมีแนวความคิด กิริยาและการแต่งตัวที่ทันสมัย เกือบจะผิดแปลกไปจากยุคของเขา นี่เป็นสิ่งที่ถูกใจคาสเซลอย่างมาก เขาอธิบายว่า “ออตโต้ กรอสป่วยจริงๆ เขาติดยาเสพติดและมีความสัมพันธ์กับผู้หญิงและเด็กมากหน้าหลายตาทั่วไปหมด มีบทพูดบทหนึ่งที่สรุปตัวละครของผมได้อย่างดีซึ่งก็คือ ‘ไม่เคยยับยั้งชั่งใจ’ เขาทำทุกอย่างที่เขาอยากทำ ผมคิดว่านั่นทำให้เขาเป็นตัวละครที่ไร้ศีลธรรมจรรยาครับ”
ความสนใจที่จุงมีต่อซาบินา และสัมพันธ์ทางกายระหว่างพวกเขา ปลุกเร้าความรู้สึกแรงกล้าในตัวเธอขึ้นมา ไนท์ลีย์ตีความมันว่า “ฉันคิดว่าในเวลานั้น การเป็นผู้หญิง การเป็นชาวรัสเซีย และการต้องเจอกับโรคร้ายแรงนี้ ทุกอย่างทำให้เธอโดดเดี่ยวในระดับหนึ่ง ฉันเชื่อว่าเธอมองจุงว่าเป็นผู้ช่วยให้เธอรอดพ้น เป็นคนที่ปลดปล่อยเธอและมอบอิสระให้กับเธอ ด้วยความผิดปกติทางเพศของเธอ ซึ่งมักจะเปลี่ยนจากเป้าหมายหนึ่งไปเป็นอีกเป้าหมายหนึ่ง ฉันคิดว่ามันคงเป็นความสัมพันธ์ที่ส่งผลร้ายทีเดียว เพราะมันกลายเป็นแบบแผนพฤติกรรมและฉันก็คิดว่าถ้าเธอได้ส่งต่อความผิดปกตินี้ไปให้เขา มันก็คงจะเป็นความสัมพันธ์แบบมาโซคิสต์ทีเดียวล่ะค่ะ”Sarah Gadon (ซาราห์ กาดอน) รับบท Emma Jung (เอ็มมา จุง) นักแสดงหญิงชาวแคนาดา Sarah Gadon (ซาราห์ กาดอน) ได้รับบทเอ็มมา จุง ภรรยาผู้ภักดีของจุง กาดอนพบว่าตัวเองถูกดึงดูดเข้าหาความรู้สึกรุนแรงที่แผ่ซ่านอยู่ในบทและตัวละคร รวมถึงความสัมพันธ์ที่ซับซ้อนกัน ทั้งด้านอาชีพการงานและเรื่องส่วนตัว กาดอนอธิบายว่า สถานะของเอ็มมาในสังคมและความรู้สึกรับผิดชอบต่อชีวิตคู่และครอบครัวของเธอหมายความว่าเธอจะสนับสนุนสามีของเธอไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น “เราพบคาร์ลและเอ็มมาในช่วงที่พวกเขาแต่งงานใหม่ๆ ก่อนที่เธอจะให้กำเนิดลูกคนแรกของพวกเขา และมันก็น่าสนใจจริงๆ เพราะคุณจะได้เห็นลำดับปัญหาในชีวิตคู่ของพวกเขาในตอนที่คาร์ลเริ่มสานสายสัมพันธ์กับซาบินา ฉันคิดว่าเอ็มมาตั้งความคาดหวังต่อชีวิตคู่ในแง่บวกมากๆ แต่พอเรื่องราวดำเนินไป คุณจะได้เห็นว่าเธอต้องลำบากกับความรู้สึกรับผิดชอบ ฉันคิดว่าหน้าที่ของเธอสำคัญต่อจุงเพราะไม่เพียงแต่เธอช่วยประคับประคองชีวิตครอบครัวของพวกเขาไว้ แต่เธอยังคอยสนับสนุนเขาอีกด้วย หากไม่ได้รับแรงสนับสนุนจากเธอ เขาคงจะไม่สามารถทำงานอย่างที่เขาทำอยู่ได้หรอกค่ะ”
ผู้หญิงในยุคสมัยนั้นส่วนมากเช่นซาบินาและเอ็มมา เป็นที่รู้จักน้อยกว่าก็เพราะพวกเธอเป็นผู้หญิงแทนที่จะเป็นผู้ชาย และพวกเธอก็ไม่ได้รับการสนับสนุนให้มีตัวตนนอกเหนือไปจากภายในครัวเรือนอีกด้วย ดังนั้น อิทธิพลของซาบินาในแวดวงจิตวิเคราะห์ รวมไปถึงแนวคิดสมัยใหม่ จึงเป็นเรื่องที่น่าทึ่งยิ่งขึ้น อย่างที่เจเรมี โธมัสบอกว่า “ยังไม่มีหนังใหญ่ๆ เรื่องไหนที่บอกถึงอิทธิพลที่ฟรอยด์และจุงมีต่อหลักจิตวิเคราะห์ในศตวรรษที่ยี่สิบและ A Dangerous Method ก็เป็นหนังเรื่องนั้น และมันก็ให้น้ำหนักไปที่ความสัมพันธ์ในหน้าที่การงานของพวกเขาด้วยการบอกเล่าเรื่องราวของซาบินา สปีลเรน ผู้หญิงที่มาตรงกลางระหว่างพวกเขาครับ”