happy on October 29, 2011, 01:00:08 PM

ชื่อภาพยนตร์     PUSS IN BOOTS
ชื่อไทย             พุช อิน บู๊ทส์
วันที่เข้าฉาย      24 พฤศจิกายน 2554 ในระบบ 3D,4D & IMAX 3D  และ 1 ธันวาคม ทุกระบบ
จัดจำหน่าย      บริษัท ยูไนเต็ด อินเตอร์เนชั่นแนล พิคเจอร์ส (ฟาร์ อีสต์)
เว็บไซต์      www.pussinbootsthemovie.com

ทีมนักพากย์

แอนโทนิโอ แบนเดอรัส (Antonio Banderas)   พากย์เสียง      พุส อิน บู๊ทส์
                     ให้เสียงไทยโดย   ดอม เหตระกูล
ซัลมา ฮาเย็ค (Salma Hayek)         พากย์เสียง       คิตตี้ ซอฟท์พอว์
                     ให้เสียงไทยโดย   โอปอล์ ปณิสรา พิมพ์ปรุ
แซ็ค กาลิฟิอานาคิส (Zach Galifianakis)      พากย์เสียง       ฮัมป์ตี้ อเล็กซานเดอร์ ดัมป์ตี้
บิลลี บ็อบ ธอร์นตัน (Billy Bob Thornton)   พากย์เสียง       แจ็ค
เอมี เซดาริส (Amy Sedaris)         พากย์เสียง       จิล

ทีมผู้สร้าง
   คริส มิลเลอร์ (Chris Miller)—ผู้กำกับ
   โจ เอ็ม. อากีลาร์ (Joe M. Aguilar)—ผู้อำนวยการสร้าง



ข้อมูลงานสร้าง

               ในฤดูใบไม้ร่วงปีนี้ การผจญภัยจะมีเก้าชีวิตเมื่อดรีมเวิร์คส์ อนิเมชัน สตูดิโอผู้อยู่เบื้องหลัง How to Train Your Dragon, Shrek และ Kung Fu Panda ภูมิใจนำเสนอเรื่องราวสุดอลังของ พุส อิน บูทส์ แมวเหมียวในรองเท้าบู๊ท ที่ฮาที่สุดและมีขนสลวยสวยเก๋ที่สุดในโลกภาพยนตร์
   นานมาแล้วก่อนที่เขาจะได้พบกับชเร็ค พุส อิน บู๊ทส์ (แอนโทนิโอ แบนเดอรัส) นักสู้ นักรักและคนนอกกฎหมายชื่อกระฉ่อน กลายเป็นวีรบุรุษเมื่อเขาได้ออกผจญภัยกับคิตตี้ ซอฟท์พอว์ (ซัลมา ฮาเย็ค) แมวสาวผู้แข็งแกร่งและปราดเปรียว และฮัมป์ตี้ ดัมป์ตี้ (แซ็ค กาลิฟิอานาคิส) หัวสมองของกลุ่ม เพื่อรักษาเมืองตัวเองเอาไว้ให้ได้ สิ่งที่ทำให้เรื่องราวอลหม่านมากยิ่งขึ้นไปอีกคือบรรดาพวกนอกกฎหมาย แจ็ค และจิล (บิลลี บ็อบ ธอร์นตันและเอมี เซดาริส) ผู้ทำทุกวิถีทางเพื่อขัดขวางไม่ให้พุสและเพื่อนร่วมทางของเขาทำได้สำเร็จ
   นี่เป็นเรื่องราวจริงของแมว เรื่องเล่า ตำนาน…และแน่นอน รองเท้าบู๊ทคู่นั้น
   Puss in Boots กำกับโดยคริส มิลเลอร์ อำนวยการสร้างโดยโจ เอ็ม. อากีลาร์และลาติฟา อูอาอู ผู้ควบคุมงานสร้างคือแอนดรูว์ อดัมสันและกุยเลอร์โม เดล โทโร บทภาพยนตร์โดยทอม วีลเลอร์ ด้วยเรื่องราวโดยไบรอัน ลินช์, วิล เดวีส์และทอม วีลเลอร์ ดนตรีโดยเฮนรี แจ็คแมน ภาพยนตร์เรื่องนี้ได้เรท “PG” จากแอ็กชันผจญภัยบางตอนและมุขหยาบคายเล็กๆ โดย MPAA www.pussinbootsthemovie.com




« Last Edit: November 20, 2011, 06:02:29 PM by happy »

happy on October 29, 2011, 01:17:05 PM

การบอกเล่า เรื่องราวในตำนาน

          คริส มิลเลอร์เป็นผู้ที่ทำงานได้หลากหลาย เขาเป็นทั้งอนิเมเตอร์ นักวาดภาพเรื่องราว นักแสดงและผู้กำกับ มิลเลอร์ ผู้สำเร็จการศึกษาจากคณะภาพยนตร์และอนิเมชันของสถาบันแคลอาร์ตส์ ประสบความสำเร็จในงานโฆษณา วิดีโอและภาพยนตร์ ก่อนหน้าที่จะได้เข้าทำงานกับดรีมเวิร์คส์ อนิเมชัน สตูดิโอ เอสเคจี ที่ตอนนั้นเพิ่งก่อตั้งมาหมาดๆ ในตำแหน่งนักวาดภาพเรื่องราวในภาพยนตร์คอเมดีอนิเมชันเรื่องแรกของสตูดิโอ Antz หลังจากนั้น เขาก็กลายเป็นสมาชิกคนแรกๆ ของกลุ่มคนมากความสามารถที่จะเปลี่ยนแปลงประวัติศาสตร์อนิเมชัน โดยเขาได้ทำหน้าที่นักวาดภาพเรื่องราวในภาพยนตร์ที่ได้รับรางวัลอคาเดมี อวอร์ดเรื่อง Shrek, หัวหน้าฝ่ายเรื่องราวในซีเควลฮิต Shrek 2 และผู้กำกับ Shrek the Third (และพากย์เสียงตัวละครที่น่าจดจำอีกหลายตัว) คริสได้พบว่าตัวเองกลายเป็นส่วนสำคัญของแฟรนไชส์อนิเมชันที่ประสบความสำเร็จสูงสุดตลอดกาล
   ระหว่างที่เขาดำรงตำแหน่งหัวหน้าฝ่ายเรื่องราวของ Shrek 2 นั้นเองที่มิลเลอร์ได้ ‘พบ’ กับแมวผู้โดดเด่น ที่เป็นที่รู้จักในชื่อของ พุส อิน บู๊ทส์ เป็นครั้งแรก เขาสามารถบอกได้ตั้งแต่ตอนนั้นแล้วว่าแมวตัวนี้มีชะตากรรมที่จะทำในสิ่งที่ยิ่งใหญ่ มิลเลอร์เล่าว่า “พุส อิน บู๊ทส์ มีบทบาทสำคัญต่อความสำเร็จของ Shrek 2 มาก จนผมรู้สึกว่าไม่ช้าก็เร็ว เขาก็จะมีหนังของตัวเอง เขาเป็นตัวละครที่มีเสน่ห์เหลือเกิน และก็เห็นได้ชัดเจนว่าเราจำเป็นต้องบอกเล่าเรื่องราวของเขาออกมา ผมรู้สึกถูกดึงดูดเข้าหาแมวตัวนี้ แมวตัวเล็กๆ ที่มีเบื้องหลังน่าสนใจ และคุณก็จะรู้ได้ว่ามันมีเรื่องราวและการผจญภัยที่ไม่จบสิ้น ผมอยากจะรู้เสมอว่า ‘โอเค คุณเป็นมายังไงล่ะ คุณได้สำเนียงนั้นมาจากไหน แล้วที่สำคัญที่สุด คุณไปได้รองเท้าบู๊ทสุดเจ๋งนั่นมาจากไหน ทั้งหมดนั้นเกิดขึ้นได้ยังไง’ น่ะครับ”
   มิลเลอร์มองเห็นลักษณะหลายอย่างที่ทำให้แมวผู้รักการผจญภัยตัวนี้มีเสน่ห์เย้ายวนเกินห้ามใจ “เขามีความร้ายกาจหน่อยๆ ซึ่งเป็นสิ่งที่ผมชอบเกี่ยวกับตัวเขา แต่เขาก็มีหัวใจกว้างขวาง แม้ว่าเขาจะมีตัวนิดเดียว แต่เขาก็เป็นตัวละครที่ยิ่งใหญ่ครับ”
   โจ เอ็ม. อากีลาร์ ผู้อำนวยการสร้างเจ้าของรางวัลเอ็มมี ลูกหม้อเก่าของดรีมเวิร์คส์ อนิเมชัน ได้ทำหน้าที่ผู้บริหารอาวุโสและผู้อำนวยการสร้างหลักของบริษัทตั้งแต่เริ่มแรก ผู้อำนวยการสร้างอากีลาร์ได้กล่าวสรุปถึงเสน่ห์ของพุสว่า “ในบรรดาตัวละครทุกตัวที่คุณเรียกว่าตัวละครสมทบ เขาคือตัวละครที่ผมรู้สึกว่ามีคนรักมากที่สุดในบรรดาแฟรนไชส์หนังที่เราเคยสร้างมาและอาจจะเป็นตัวละครที่คนส่วนใหญ่สนใจใคร่รู้เกี่ยวกับเขามากที่สุด ในการพัฒนาหนังเกี่ยวกับพุส อิน บู๊ทส์ เราต้องการอะไรที่คู่ควรกับตัวละครตัวนี้…บางสิ่งที่เต็มไปด้วยการผจญภัย สิ่งที่เผยให้เห็นว่าเขามีเสน่ห์มากแค่ไหนน่ะครับ”
   ผู้ที่ได้เป็นประจักษ์พยานในการเกิดของตัวละครตัวนี้ ในฐานะซูเปอร์ไวเซอร์ฝ่ายเรื่องราว/ลำดับภาพใน Shrek 2 ผู้อำนวยการสร้าง ลาติฟา อูอาอู ได้กล่าวถึงเหตุผลที่เธอคิดว่าทำไมผู้ชมยอมรับแมวนักดาบตัวนี้ “สิ่งที่ทำให้พุส อิน บู๊ทส์พิเศษเหลือเกินคือการที่ภายในร่างของแมวเหมียวตัวน้อยนี้มีบุคลิกที่ยิ่งใหญ่และเสียงทุ้มต่ำ เขามีอีโก้ ความหยิ่งทะนงและความกล้าหาญสุดๆ แต่คุณก็สามารถทำให้เขาไขว้เขวได้ด้วยทูนากระป๋อง หรือแสงไฟ ฉันคิดว่านั่นทำให้เกิดตัวละครน่าขบขันที่น่ารักสุดๆ น่ะค่ะ”
   คริส มิลเลอร์รู้สึกอย่างแรงกล้าเกี่ยวกับตัวละครตัวนี้ว่าเขาอยากจะเลือกภาพยนตร์เรื่องนี้เป็นผลงานการกำกับเรื่องแรก “ผมอยากกำกับ Puss in Boots เพราะผมรู้สึกว่าตัวละครตัวนี้คู่ควรกับเรื่องราวของตัวเอง แม้ว่าเขาจะมีขนาดตัวที่เล็ก แต่เขาก็ยิ่งใหญ่มาก เขาคู่ควรกับเรื่องราวที่สนุกสนานเป็นพิเศษ เราจะได้หัวเราะไปกับพุสครับ ผมอยากจะอยู่ตรงนั้นตอนที่เราดำดิ่งเข้าไปในโลกของเขา สิ่งที่นำเสนอทุกแง่มุมของตัวละครของเขา เขาตัวเล็ก แต่ก็กล้าหาญ จริงจังและโรแมนติก ผมคิดว่าทั้งหมดนั้นทำให้เขาเพอร์เฟ็กต์สำหรับหนังฟอร์มยักษ์ครับ”
   ไอเดียเช่นนั้นกลายเป็นสิ่งสำคัญสำหรับคนในสตูดิโอในรูปแบบที่หลากหลายเกือบจะตั้งแต่เขาได้ถือหมวกไว้ในอุ้งเล็บ แล้วมองผู้ชมด้วย ‘ดวงตาแมวเหมียวที่เศร้าสลด’ แล้ว ผู้อำนวยการสร้างอูอาอูบอกว่า “หนังเรื่องนี้เป็นรูปเป็นร่างขึ้นมาเมื่อคริส มิลเลอร์เข้ามากำกับโปรเจ็กต์นี้ เขามีส่วนเกี่ยวข้องใน Shrek ทุกภาค และได้กำกับภาคที่สามมาด้วย และพื้นหลังของเขาก็คือนักวาดภาพสตอรีบอร์ด เขาเป็นนักเล่าเรื่องคนเก่ง ที่เข้าใจตัวละครของเขาอย่างดี นอกเหนือจากความสามารถในการบอกเล่าเรื่องราวของเขาแล้ว เขาก็มีเซนส์ด้านภาพวิชวลที่ยอดเยี่ยม แต่นอกเหนือจากนั้น เขายังชื่นชอบตัวละครที่มีมิติ และคอเมดีก็จะเกิดจากตัวละครเหล่านั้น ฉันคิดว่านั่นคือสิ่งที่ทำให้เขาพิเศษสุดจริงๆ ค่ะ”
   ท่ามกลางเรื่องราวการผจญภัยสุดเฮฮานั้น ผู้อำนวยการสร้างอากีลาร์ได้พบ “เรื่องราวเกี่ยวกับการไถ่บาป เกี่ยวกับความเป็นพี่น้อง เกี่ยวกับโอกาสแก้ตัว มันเริ่มต้นด้วยการที่พุสและฮัมป์ตี้ ดัมป์ตี้โตมาด้วยกันในสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าในหมู่บ้านสเปนที่เก่าแก่น่ะครับ พวกเขาเป็นพี่น้อง ที่ใกล้ชิดกันมาก แต่แล้วก็เกิดเรื่องบางอย่างขึ้นระหว่างพวกเขา ที่แยกพวกเขาจากกัน และทำให้พุสถูกมองในแง่ลบ เมื่อเขาวิ่งหนีเงื้อมือกฎหมาย และฮัมป์ตี้ก็มองว่าสิ่งที่พุสทำมันให้อภัยไม่ได้ ตัวละครทั้งสองจึงต้องคลายปมเรื่องที่เกิดขึ้นในอดีตเพื่อจะก้าวต่อไปครับ”
   ผู้กำกับกล่าวอธิบายต่อไปว่า “มันเป็นเรื่องราวเกี่ยวกับความเป็นพี่น้องที่มีรอยร้าวลึกและบาดหมางกัน และท้ายที่สุด มันก็เกี่ยวกับการแก้แค้นและการไถ่บาป…แต่แก่นแท้ของมันเป็นคอเมดีครับ พุสเป็นตัวละครที่ตลกมากๆ ตอนที่เราพบพุสครั้งแรก เราไม่รู้ว่าเขาเป็นยังไง แต่เราก็รู้หลายอย่าง ว่าเขาเป็นแมวนอกกฎหมาย ที่หนีจากการจับกุม ต้องร่อนเร่จากเมืองหนึ่งไปยังอีกเมืองหนึ่ง แต่เราก็รู้ด้วยว่าเขากำลังหาวิธีที่จะล้างมลทินและแก้ไขอดีตที่ผ่านมาน่ะครับ”
   พุส ต่างกับเพื่อนยักษ์ของเขา ที่ไม่ได้เริ่มต้นจากตัวหนังสือ (อย่างเป็นทางการ) ทีมผู้สร้างได้มองลึกลงไปในเทพนิยายของเขาเพื่อหาการผจญภัยของพวกเขาเองว่า แมวตัวนี้กลายเป็นตำนานได้อย่างไร เช่นเดียวกับเรื่องราวอื่นๆ ที่ถูกสร้างขึ้นที่ดรีมเวิร์คส์ อนิเมชัน มีการสร้างโครงเรื่องคร่าวๆ ขึ้นมา โดยมีกลุ่มทีมงานพรสวรรค์ ไม่ว่าจะเป็นผู้กำกับ ผู้อำนวยการสร้าง หัวหน้าฝ่ายเรื่องราว มือเขียนบทและผู้เชี่ยวชาญในการพัฒนาคนอื่นๆ เป็นผู้กำหนดจังหวะของเรื่องราว
   หัวหน้าฝ่ายเรื่องราว บ็อบ เพอร์ซิเช็ตติเล่าว่า “หนังเรื่องแรกที่ผมทำงานที่สตูดิโอแห่งนี้คือ Shrek 2 และซีเควนซ์แรกที่ผมได้ทำงานคือซีเควนซ์ที่แนะนำตัวพุส อิน บู๊ทส์ ผมก็เลยมีส่วนเกี่ยวข้องกับเขาตั้งแต่เริ่มต้น ประมาณปี 2001 โน่นเลย และผมก็รู้สึกว่าทุกคนรู้ทันทีว่าเขาเป็นตัวละครที่ยอดเยี่ยมขนาดไหน เขาน่าจะมีหนังของตัวเอง และผมก็ดีใจสุดๆ ที่ได้มาทำงานในหนังเรื่องนี้ครับ”
   เพอร์ซิเช็ตติกล่าวถึงสิ่งที่น่าจะเห็นได้ชัดเจนสำหรับคนที่ได้ดูเครดิตทีมงาน Puss in Boots “สำหรับพวกเราส่วนใหญ่ มันเหมือนการทำงานกับครอบครัวครับ เราอยู่กับตัวละครตัวนี้ตั้งแต่ต้น ไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง ความคิดอ่านและอารมณ์ขันของคริสเพอร์เฟ็กต์สำหรับเรื่องราวนี้ครับ และเขาก็เป็นนักวาดภาพที่ยินดีให้ความร่วมมืออย่างยิ่ง ดังนั้น การเป็นผู้นำทีมงานประมาณ 400 คน หรือกว่า 600 คนตอนที่เรายุ่งที่สุด ดูจะเหมาะกับเขาอย่างยิ่ง เขาถนัดในการนำทุกอย่างมารวมกันและดึงเอาจุดแข็งของทุกคนออกมาครับ”

happy on October 29, 2011, 01:20:43 PM

ตัวละครและทีมนักพากย์: วีรบุรุษและพวกแหกกฎ

          ตั้งแต่เริ่มต้น หนึ่งในปัจจัยสำคัญที่ทำให้พุส อิน บู๊ทส์ได้รับความนิยมอย่างสูงคือเสียงที่ออกจากปากของวีรบุรุษนอกกฎหมายผู้นี้ และเจ้าของเสียงนั้นก็คือแอนโทนิโอ แบนเดอรัส
   ผู้กำกับคริส มิลเลอร์กล่าวว่า “พุส อิน บู๊ทส์รับบทโดยแอนโทนิโอ แบนเดอรัส หรือแอนโทนิโอ แบนเดอรัส รับบทโดยพุส อิน บู๊ทส์กันแน่ ผมก็ไม่รู้เหมือนกันนะ บางครั้ง การแยกทั้งคู่ออกจากกันก็เป็นเรื่องยาก แต่สิ่งหนึ่งที่แน่นอนคือพวกเขาขาดกันไม่ได้ เพราะแอนโทนิโอนำความรู้สึกมาสู่บทนี้มากเหลือเกิน คุณอาจจะคิดว่า สิ่งมีชีวิตตัวเล็กๆ ตัวนี้จะมีเสียงเล็กแหลม แต่เวลาเขาเปิดปาก กลับมีเสียงที่ทุ้มต่ำออกมาแทน อารมณ์ขันเกิดขึ้นจากความแตกต่างระหว่างทั้งสองสิ่งนี้ครับ นักแสดงผู้เก่งกาจ เจ้าของเสียงทุ้มต่ำคนนี้ได้มาพากย์เสียงสัตว์ตัวน้อยน่ารัก ขนฟูตัวนี้ สิ่งที่ผมชื่นชอบเกี่ยวกับการพากย์ของแอนโทนิโอคือเขาจะทำตัวจริงจังที่สุด ส่วนพุสก็จะทำตามธรรมชาติของเขา เช่นไล่ตามลำแสงน่ะครับ”
   โจ อากีลาร์เล่าว่า “ผมคิดว่าเสน่ห์ของตัวละครตัวนี้เริ่มต้นจากแอนโทนิโอครับ เสียงพากย์ของเขาทั้งตลก มีเสน่ห์ เต็มไปด้วยความเข้มแข็ง ความลึกลับและการผจญภัย แต่พอคุณมองแมวตัวนี้ แล้วได้ยินเสียงทุ้มต่ำนั้นออกมาจากปากของเขา คุณก็จะเริ่มหัวเราะและอยากจะรู้เรื่องเขามากขึ้นครับ”
   ตัวแบนเดอรัสกล่าวว่า “เขาเป็นตัวละครที่ยอดเยี่ยมเหลือเกิน เราค้นพบแง่มุมหลากหลายมากมายของเขานับตั้งแต่ที่ผมเริ่มพากย์เสียงเขาในปี 2002 เขาเป็นวีรบุรุษที่ยิ่งใหญ่และโรแมนติก เป็นแมวใจงาม มีเกียรติและความภักดี รวมไปถึงความขี้เล่นนิดๆ ที่ผมคิดว่าช่วยเพิ่มสีสันให้น่าสนใจยิ่งขึ้น แล้วเด็กๆ ก็ชอบแง่มุมนั้นของเขาเหมือนกัน แต่เมื่อเขาได้ปรากฏตัวในหนัง Shrek เป็นครั้งแรก เราก็ไม่รู้อะไรเกี่ยวกับเขาซักเท่าไหร่ เขายังคงลึกลับอยู่ครับ จริงๆ แล้ว สำหรับผมแล้ว ตัวละครตัวนี้มีคุณสมบัติที่ค้านกันเองและนั่นคือสิ่งที่ทำให้เขาตลกครับ”
   เขามองสิ่งที่ยิ่งใหญ่กว่าที่แมวน้อยตัวนี้เป็นสัญลักษณ์ของมันในลักษณะเชิงปรัชญาว่า “สำหรับผมแล้ว มันไม่ใช่แมวครับ แต่เป็นสิ่งที่มีความสามารถในการถ่ายทอดเรื่องต่างๆ ออกมา มันเป็นเกียรติและเป็นอภิสิทธิที่มีความสามารถและโอกาสที่จะทำให้คนทั่วโลกได้หัวเราะกัน ในช่วงเวลายากลำบากที่เรากำลังใช้ชีวิตอยู่ในขณะนี้ มันเป็นของขวัญครับ เกือบจะ 10 ปีมาแล้ว แม้กระทั่งตั้งแต่ตอนเริ่มต้น พุสเริ่มมีที่ทางของตัวเองในป๊อป คัลเจอร์ของอเมริกา และโลกใบนี้ ผมได้เห็นผลกระทบที่แมวตัวนี้ได้สร้างในประเทศอื่นๆ ด้วยเช่นกัน เพราะผมมาจากสเปน ผมก็เลยมีโอกาสได้เข้าถึงผู้คนจำนวนมากขึ้น ประมาณ 800 ล้านคน เพราะผมได้พากย์เสียงตัวละครตัวนี้เป็นภาษาสเปนสองเวอร์ชัน เวอร์ชันหนึ่งสำหรับอเมริกาใต้และอเมริกากลาง ด้วยสำนวนพิเศษที่พวกเขาใช้เล่นมุข แล้วผมก็พากย์เวอร์ชันคาสติลสำหรับสเปนครับ”
   เขาได้แบ่งปันทักษะหลายอย่างให้กับตัวละครบนหน้าจอของเขาด้วย แบนเดอรัสสามารถควงดาบได้ (ซึ่งเขาได้เรียนรู้ระหว่างรับบทโซร์โรในภาพยนตร์ทั้งสองภาค) เต้นรำได้ (ที่เขาแสดงให้เห็นในละครบรอดเวย์และภาพยนตร์หลายเรื่อง) และเขาก็พิสูจน์ตัวเองมาแล้วว่ารับบท ‘นักรักชาวลาติน’ ได้ (ในภาพยนตร์เรื่องแล้วเรื่องเล่า) “แน่นอนว่าผมตัวสูงกว่า แต่ในหลายแง่มุมแล้ว ผมกับพุส อิน บู๊ทส์ก็คล้ายกันมากครับ”
   โลกของ Puss in Boots เต็มไปด้วยตัวละครในเทพนิยายพิสดาร แต่ก็คงไม่มีใครพิสดารไปกว่าฮัมป์ตี้ ดัมป์ตี้ เพื่อนเก่าของพุสอีกแล้ว ในตอนที่เรื่องราวของเราเริ่มต้นขึ้น พุสเป็นเด็กกำพร้าที่เติบโตขึ้นมาในหมู่บ้านเล็กๆ แห่งซาน ริคาร์โด ที่ซึ่งเขาได้ผูกมิตรกับเพื่อนซี้ที่มีนิสัย (และรูปร่าง) พิลึกพิลั่น มิลเลอร์กล่าวว่า “พุสจะฟังความฝันของฮัมป์ตี้ เขาวาดฝันแผนการไว้มากมาย แต่ท้ายที่สุดแล้ว เขาก็เป็นแค่ไข่ใบหนึ่ง เขาแทบจะขยับตัวไปไหนมาไหนไม่ได้ด้วยซ้ำ เขาไม่มีลักษณะที่เอื้อต่อการทำเป้าหมายเหล่านี้ให้สำเร็จ เขาถูกกลั่นแกล้งและเป็นเหมือนแกะดำ พุสคอยคุ้มครองเขาและยืนหยัดเพื่อเขาเสมอ ดังนั้น คุณก็เลยมีทั้งฮัมป์ตี้ นักฝันและพุส ที่คอยช่วยหล่อเลี้ยงความฝันนั้นครับ”
   ทั้งคู่ใฝ่ฝันที่จะออกจากสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าเพื่อแสวงหาชีวิตที่ดีกว่า สิ่งที่พวกเขาต้องการคือเม็ดถั่ววิเศษ ที่จะเติบโตเป็นต้นถั่วยักษ์ เพื่อที่พวกเขาจะได้ขโมยห่านทองคำ ที่ออกไข่ทองคำ มาจากปราสาทของยักษ์บนก้อนเมฆ มันฟังดูง่ายดายใช่ไหมล่ะ
   การค้นหาถั่ววิเศษในเทพนิยายในสมัยเด็กไม่เกิดประโยชน์อันใด ดังนั้นความฝันในวัยเด็กก็เริ่มเลือนลางไป…อย่างน้อยก็สำหรับพุส และทั้งคู่ก็เริ่มห่างเหินกัน
   ไม่นานนัก แมวผู้รักการต่อสู้ก็เริ่มค้นพบสิ่งที่เขารัก เมื่อเขาช่วยเหลือสาวน้อยจากกระทิงดุโดยไม่นึกถึงตัวเอง หมู่บ้านซาน ริคาร์โดมอบตำแหน่งวีรบุรุษให้กับพุสอย่างรวดเร็ว ซึ่งมันก็ทำให้เขาได้รับหมวกและรองเท้าบู๊ทในตำนาน (ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของการยืนหยัดเพื่อความจริง เกียรติและความกล้าหาญ) เช่นเดียวกับคู่หูหลายคู่ในตำนานและประวัติศาสตร์ เมื่อคนหนึ่งได้รับชื่อเสียงและเงินทอง ความอิจฉาก็ตามมาอย่างรวดเร็ว ดังนั้น เมื่อพุสตกลงช่วยเหลือฮัมป์ตี้ในการผจญภัยครั้งหนึ่ง ที่ล้มเหลวไม่เป็นท่า (เพื่อกอบกู้มิตรภาพที่สั่นคลอนของพวกเขา) ทั้งคู่ก็แยกทางกันเดิน ด้วยเป้าหมายที่ต่างกัน พุส ผู้กลายเป็นคนทรยศของหมู่บ้านและทุกคนที่ไว้วางใจเขา และฮัมป์ตี้ ผู้กลายเป็นไข่ชั่วร้าย ผู้ซึ่งความฝันในวัยเด็กแปรเปลี่ยนเป็นความคิดเพื่อผลประโยชน์และการแก้แค้นส่วนตัว
   มันไม่เชิงว่าเป็นเรื่องราวในเทพนิยายหรอก แต่มันก็เป็นเรื่องในแบบที่คริส มิลเลอร์ต้องการ “ฮัมป์ตี้ ดัมป์ตี้แตกต่างจากสิ่งที่คุณเคยได้ยินมาก่อน ผมคิดว่าสิ่งที่เราทำได้ดีที่สุดคือนำสิ่งที่คุณเคยได้ยินมาก่อนแล้วผลักดันตัวละครนั้นไปยังทิศทางใหม่ แต่ก็พยายามสร้างภาพในแบบที่เราไม่เคยเห็นมาก่อนด้วย นั่นเป็นสิ่งที่ทำให้พวกเราในฐานะทีมงานอนิเมชันตื่นเต้นครับ”
   หัวหน้าฝ่ายเรื่องราว เพอร์ซิเช็ตติกล่าวติดตลกว่า “แมวทุกตัวไม่ได้มีไข่เป็นพี่น้องหรอกหรือครับ เราเริ่มทำงานกับตัวละครพวกนี้ ฮัมป์ตี้เป็นตัวละครที่ยอดเยี่ยม และพุสก็ต้องการใครซักคนที่เติบโตมากับเขา เป็นตัวเปรียบเทียบกับเขาน่ะครับ มันเหมือนกับ ว้าว เขามีไข่เป็นพี่น้องด้วย มันเริ่มต้นเป็นหย่อมเล็กๆ ที่เติบโตงอกเงยไปเรื่อยๆ น่ะครับ”
   มิลเลอร์กล่าวว่า “ฮัมป์ตี้ อเล็กซานเดอร์ ดัมป์ตี้พากย์เสียงโดยแซ็ค กาลิฟิอานาคิส และผมคิดว่า แซ็คทำได้อย่างยอดเยี่ยมจริงๆ ผมชอบการพากย์เสียงของเขา เขาตลกอย่างเหลือเชื่อ และไหวพริบที่คมกริบของเขาก็น่าหลงใหลจริงๆ สิ่งที่ผมชื่นชอบที่สุดเกี่ยวกับแซ็คในบทนี้คือแง่มุมที่คาดไม่ถึงที่เขานำมาสู่บทนี้ ฮัมป์ตี้เป็นตัวละครที่มีบาดแผลนิดๆ เหมือนถูกทำร้ายมา และเขาก็มีแผนการชั่วร้ายในหนังเรื่องนี้ แต่แซ็คก็ให้เหตุผลกับมัน ฮัมป์ตี้รู้สึกเหมือนเขากำลังสูญเสียเพื่อนรักไป เลยทำให้เขามีความคิดเพี้ยนๆ ไปบ้าง แต่เขามีความตั้งใจดีนะครับ”
   ลาติฟา อูอาอูกล่าวว่า “เรารู้ว่าแซ็คตลกก็จริง แต่สิ่งที่เขาใส่เข้าไปในตัวฮัมป์ตี้ ดัมป์ตี้คือความเปราะบางและความอ่อนหวานแบบเด็กๆ ที่ช่วยสร้างมิติให้กับตัวร้ายตัวนี้ค่ะ คุณจะเห็นใจเขา และนั่นคือสิ่งสำคัญต่อเรา เราไม่อยากให้เขาเป็นตัวร้ายที่แบนราบค่ะ”
   สำหรับนักแสดงตลก หนึ่งในความท้าทายอยู่ที่ข้อจำกัดในการพากย์เสียง กาลิฟิอานาคิสกล่าวว่า “ผมคิดว่าสิ่งหนึ่งที่ยากที่สุดคือการพยายามคิดภาพตัวละครด้วยเสียงเพียงเท่านั้น ในตอนเริ่มต้น พวกเขาจะโชว์ม็อคอัพให้คุณดูว่าตัวละครตัวนี้มีหน้าตาประมาณไหน แล้วคุณก็ต้องใส่เอาบุคลิกเข้าไป ซึ่งคุณจะใช้ได้แต่เสียงของคุณเองเท่านั้น พออนิเมเตอร์เห็นคุณพากย์ เหมือนถ้าผมใช้มือระหว่างตอนใดตอนหนึ่ง พวกเขาก็จะใส่อากัปกิริยานั้นเข้าไปด้วย แต่คุณจะต้องใช้เสียงของคุณถ่ายทอดความรู้สึกออกมา มากกว่าที่นักแสดงทั่วๆ ไปจะทำกันในบทไลฟ์แอ็กชันตามปกติน่ะครับ”
   อูอาอูเล่าว่า “ตอนที่เราเริ่มต้น เราอธิบายว่า ‘ใช่ คุณเป็นไข่’ แล้วเราก็บอกเขาว่า เขาเริ่มทำงานจากบทก็จริง แต่มันก็จะมีความเปลี่ยนแปลง เพราะเราพัฒนาและอำนวยการสร้างหนังเรื่องนี้ไปพร้อมๆ กัน เราต้องการให้เขาทำงานโดยเป็นอิสระจากบท แซ็คไว้วางใจคริสและยอมให้คริสนำทางเขาจริงๆ ยิ่งเขาคุ้นเคยกับตัวละครตัวนี้มากแค่ไหน เขาก็จะรู้สึกสบายๆ กับเรื่องราวมากขึ้น และเริ่มใส่ไอเดียของตัวเองเข้าไปในเซสชันและอิมโพรไวส์มากขึ้น ซึ่งก็จะเป็นเรื่องดีต่อทั้งตัวเขา ต่อเราและต่อตัวละครในท้ายที่สุดค่ะ”
   กาลิฟิอานาคิสเข้าชนกับความท้าทายของการเป็น “คนๆ เดียวในบูธพร้อมไมโครโฟน” “ผมชอบความเรียบง่ายของมัน ผมมีแบ็คกราวน์การแสดงสแตนด์อัพคอเมดีอยู่แล้ว ผมก็เลยเคยชินกับไมโครโฟนและการพูดความรู้สึกของตัวเองออกมา นั่นเป็นสิ่งที่ผมชอบครับ ผมจำได้ว่า เมื่อไหร่ก็ตามที่ผมจะเลิกงาน ผมก็จะคิดกับตัวเองเสมอว่า ‘นี่เป็นงานที่ดีจริงๆ’ แล้วการสำรวจตัวละครตัวนี้ก็สนุกมาก ความเบาสบายแบบนั้น เขาสับสนไปหมด ตัวผมเองเป็นคนค่อนข้างสันโดษ การได้เข้ามาพากย์เสียงตัวละครตัวนี้ที่ ‘สับสน’ ก็เลยเป็นเรื่องสนุกมากครับ”
   นอกจากนั้น เขายังกล่าวติดตลกอีกว่า “ผมคิดอย่างที่ไข่จะคิดรึเปล่า ผมทำการบ้านมารึเปล่า อืมม์ ผมว่าผมได้ไปที่ชั้นวางของแถวที่เจ็ดในร้านของชำเพื่อใช้เวลากับไข่พวกนั้น ทำความรู้จักพวกมันและพูดคุยกับพวกมันนะครับ แต่ผมก็กินไข่ด้วย ผมขว้างไข่ใส่คนที่ส่งเสียงดังในถนนตอนตีสองในละแวกบ้านของผม พอมานึกดูอีกที ผมคิดว่า ไข่ถูกเอาเปรียบเพราะคนกินมัน ขว้างมัน พวกมันอาจเน่าเสียหรือถูกนำไปทำเป็นไข่ต้มก็ได้ โดยทั่วไปแล้ว ไข่เป็นของที่ตลกนะครับ เพราะมันมีรูปทรงตลกๆ และไม่มีใครนับถือมันด้วย ผมคิดว่าหนังเรื่องนี้พิสูจน์ให้เห็น หรืออาจจะเสนอภาพที่ไข่ถูกปฏิบัติเรื่อยมา หรืออาจจะไม่ก็ได้”
   หลังจากแยกจากกันแล้ว ฮัมป์ตี้ก็กลับเข้ามาในชีวิตของพุสอีกครั้ง เมื่อในที่สุด เขาก็พบวิธีในการทำให้ความฝันวัยเด็กของการค้นหาถั่ววิเศษเป็นจริงได้ เขาวางแผนไว้แล้ว และเขาต้องการความช่วยเหลือจากพุส เพียงแต่มันเป็นงานที่ต้องอาศัยคน (แมว ไข่ และแมว) สามคน ตอนนั้นเองที่คิตตี้ ซอฟท์พอว์ ขโมยที่เก่งกาจที่สุดในสเปน ก้าวเข้ามา
   “ซัลมา ฮาเย็คพากย์เสียงคิตตี้ ซอฟท์พอว์ครับ” คริส มิลเลอร์บอก “และการพากย์เสียงของเธอก็ทั้งงดงาม เข้มแข็งและเย้ายวน แต่ที่สำคัญที่สุด เธอตลกด้วย ซัลมาเป็นนักแสดงหญิงที่ตลกจริงๆ และเธอก็ได้เผยแง่มุมนั้นออกมาในหนังเรื่องนี้ด้วย ด้วยความที่เธอใส่เอาความสัมพันธ์ด้านการงานระหว่างเธอกับแอนโทนิโอลงไปในตัวละครตัวนี้ด้วย [นี่เป็นเรื่องที่ห้าที่ทั้งคู่ได้ร่วมงานกัน] มันก็เลยให้ความรู้สึกสมจริงจริงๆ คุณจะบอกได้ว่าพวกเขาเป็นเพื่อนรักกันเพราะพวกเขาต่อสู้ร่วมกันได้ดีเหลือเกิน ซึ่งทำให้ความสัมพันธ์หวานซึ้งบนหน้าจอระหว่างทั้งคู่มีประกายปิ๊งปั๊งขึ้นมาด้วย พวกเขาเป็นคู่หูที่ยอดเยี่ยม ผมรักเสียงของซัลมาครับ มันทั้งนุ่มนวล และทุ้มหนักแน่น และมันก็เข้ากับคิตตี้ได้อย่างดี”
   โจ อากีลาร์เล่าว่า “เรื่องราวความเป็นมาของ พุส อิน บู๊ทส์เกี่ยวกับความหลังของเขากับสาวๆ เสมอ เราก็เลยต้องสร้างตัวละครที่คู่ควรกับเขา เราก็เลยสร้างคิตตี้ ซอฟท์พอว์ขึ้นมา เราคิดถึงซัลมา ฮาเย็คทันที และเราก็ตื่นเต้นมากที่เธอยินดีจะมาร่วมงานกับเรา เรารู้ว่าพวกเขาจะมีปฏิกิริยาเคมีที่แข็งแกร่ง จากผลงานไลฟ์แอ็กชันของพวกเขา เรารู้ว่าเสียงของพวกเขาจะเข้ากันได้ดีเช่นกัน คิตตี้ ซอฟท์พอว์เป็นแมวที่พุสจะเอาชนะใจไม่ได้ง่ายๆ เธอจะต้องเข้มแข็งและน่าสนใจ เราพยายามจะสร้างตัวละครที่ไม่ได้เป็นแค่สาวแสบธรรมดาครับ”
   ลาติฟา อูอาอูตั้งข้อสังเกตว่า “คอเมดีอาจจะไม่ใช่สิ่งแรกที่คุณคิดถึงเมื่อคุณนึกถึงซัลมา ฮาเย็ค เธอมีเสียงเพราะ และแม้ว่าเราจะรู้ว่าเธอทำตัวเย้ายวนได้ แต่เธอก็แสดงคอเมดีได้อย่างมหัศจรรย์จริงๆ เธอมีไหวพริบสูงและใส่เอาความเป็นตัวของตัวเองลงไปในตัวละครตัวนี้ด้วย มันมีบางอย่างที่พิเศษสุดเกี่ยวกับตัวละครหญิงที่รู้ในสิ่งที่ตัวเองต้องการและไม่ต้องการให้ใครมาช่วยเธอน่ะค่ะ”
   ฮาเย็คตื่นเต้นที่ได้พากย์เสียงแมวสาวผู้เข้มแข็ง รักอิสระและตลกขบขันตัวนี้ “ทุกอย่างเกี่ยวกับหนังเรื่องนี้ทั้งสนุกและน่าตื่นเต้นค่ะ อย่างแรกเลยนี่เป็นครั้งแรกที่ฉันได้ทำงานในอนิเมชัน ซึ่งฉันอยากจะทำมาตั้งนานแล้ว และมันก็เข้ามาในจังหวะที่ดีมากๆ เพราะฉันได้แบ่งปันประสบการณ์นี้กับลูกสาวฉัน ฉันกลายเป็นผู้เชี่ยวชาญเรื่องอนิเมชันตั้งแต่เธอเกิด…และฉันก็พูดได้อย่างภาคภูมิใจว่า แม้ว่าฉันคิดว่าฉันเคยดูหนังอนิเมชันทุกเรื่องเท่าที่เคยมีการสร้างมา แต่หนังเรื่องนี้จะติดหนึ่งในท็อปเท็นอย่างแน่นอนค่ะ”
   นอกจากนั้นแล้ว มันยังมีประเด็นด้านการเดินทางที่เข้าทีสำหรับฮาเย็คอีกด้วย “มันมีความสะดวกอย่างหนึ่งที่ฉันชอบมากๆ คือฉันสามารถใส่ชุดนอนมาทำงานได้ และด้วยความที่ฉันเดินทางบ่อยๆ ฉันก็เลยสามารถบันทึกเสียงได้ในห้าเมืองค่ะ”
   สิ่งหนึ่งที่แสดงให้เห็นถึงประเด็นของอูอาอูที่บอกว่าการพัฒนาและการถ่ายทำดำเนินไปพร้อมๆ กัน คือหลังจากที่บันทึกเสียงไปได้ครึ่งทาง ตัวละครคิตตี้ถึงเริ่มเป็นรูปเป็นร่างชัดเจนขึ้นมา หัวหน้าฝ่ายเรื่องราวเพอร์ซิเช็ตติเล่าว่า “ตอนที่ผมทำงาน มีไอเดียหลายอย่างแวบขึ้นมาในความคิดผม เช่นไอเดียของตีนแมวที่เป็นแมวจริงๆ พวกเขาจะทำตัวเงียบกริบได้จริงๆ บางที มันอาจเพื่อกลบข้อด้อยอื่นๆ ก็ได้ มันค่อยๆ รวมกันกลายเป็นตัวละครของเธอครับ มันอาจจะเกิดจากการรวมตัวกันครั้งที่สามหรือครั้งที่สี่ของเราก็ได้ แต่ทุกคนก็เห็นพ้องต้องกันครับ เธอไม่มีกรงเล็บ! นั่นเป็นสิ่งที่เธอต้องฝ่าฟันให้ได้ แต่ตอนนี้ เราสามารถเล่นกับมันได้ ทักษะที่เหลือเชื่อนี้ของเธอนั่นเองที่ทำให้เธอสามารถขโมยถั่ววิเศษจากมือของแจ็คได้โดยที่เขาไม่ทันรู้ตัวเลยด้วยซ้ำ เธอสามารถขโมยรองเท้าบู๊ทของพุสได้โดยที่เขาไม่รู้สึกตัวเลย เธอเป็นนักล้วงกระเป๋าขั้นเทพครับ มันก็เลยเวิร์คมากๆ และมันก็ช่วยทำให้ตัวละครลาตินสุดเซ็กซีตัวนี้มีแง่มุมที่น่าสนใจขึ้นด้วยครับ”
   ฮาเย็คชื่นชอบตัวละครของเธอและพูดถึงเธอว่า “เธอสู้เก่งทั้งในการสู้จริงๆ และการสู้ด้วยฝีปากค่ะ แล้วเธอก็เป็นขโมยที่เก่งกาจด้วย เป็นหนึ่งในขโมยที่เก่งที่สุดเท่าที่มีอยู่ และเธอก็ภูมิใจกับเรื่องนี้ ฉันชอบที่เธอชนะเสมอและเธอก็ถูกเสมอด้วย และแม้ว่าพุสจะทะเลาะกับเธออยู่บ่อยๆ และพยายามจะพิสูจน์ว่าเธอคิดผิด แต่เขาก็ทำไม่ได้ ฉันมีความสุขมากที่ได้เป็นแมวแบบนี้ค่ะ”
   การตอบโต้กันไปมาระหว่างแบนเดอรัสและฮาเย็คเป็นไปได้สวยจนแอนโทนิโอร้องขอไปทางทีมผู้สร้างว่า “ผมร่วมงานกับซัลมาตั้งแต่ต้นยุค 90s และเธอก็เป็นเพื่อนรักของผม ตามปกติแล้ว ในการพากย์อนิเมชัน ผมจะทำงานคนเดียว แต่นี่เป็นครั้งเดียวที่ผมขอบันทึกเสียงร่วมกับนักพากย์อีกคน เพราะกับซัลมา ผมรู้ว่าเรามีปฏิกิริยาเคมีที่ดีต่อกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เราสู้กันได้ดีทีเดียว เรามีจังหวะร่วมกันและเราก็อิมโพรไวส์ได้ ผมก็เลยขอให้เธอมาร่วมพากย์เสียงกับผม และเราก็บันทึกเสียงด้วยกัน เราได้หลายสิ่งหลายอย่างจากการทำงานนั้น และการได้ร่วมงานกับเธอก็ให้ความรู้สึกที่ยอดเยี่ยมมากครับ”
   “แอนโทนิโอพากย์เสียงบทนี้ได้อย่างวิเศษสุดค่ะ” ฮาเย็คบอก “เขาเกิดมาเพื่อบทแมวตัวนี้ เราร่วมงานกันมานานแล้ว และเราก็เล่นหนังด้วยกันมาหลายเรื่อง ฉันยินดีและมีความสุขกับการได้ร่วมงานกับเขาเสมอ เราโชคดีที่มีเซสชันบันทึกเสียงด้วยกัน แม้ว่ามันไม่ค่อยเกิดขึ้นบ่อยครั้งนัก เพราะทุกคนต่างก็ยุ่งและอยู่กันคนละที่ แต่เราก็จัดการเรื่องตารางเวลาทำงานกันได้ เราทั้งคู่ต่างก็อิมโพรไวส์และหลายอย่างที่เราทำก็ได้อยู่ในหนังด้วย เขามีความเป็นตัวละครตัวนี้มาก และถึงตอนนี้ ฉันก็รู้จักเขาดีแล้ว จนตอนที่ฉันบันทึกเสียงโดยไม่มีเขาอยู่ด้วยนั้น ฉันก็รู้สึกเหมือนเขาอยู่ตรงนั้น และตอบโต้บทกับฉันอยู่ ฉันรักเขาในบทนี้ค่ะ และรู้ดีว่าเขาจะพูดอะไรในบทพุส แม้กระทั่งตอนที่เขาไม่อยู่ในห้องนั้นด้วยก็ตาม”
   ปัญหาหนึ่งในแผนการของฮัมป์ตี้ในการขโมยถั่ววิเศษ เพื่อความร่ำรวยคือมีคนที่อยากได้ถั่ววิเศษนั่นมากพอๆ กับเขา…จริงๆ แล้ว มีคนสองคนที่ยืนขวางกั้นไม่ให้ฝันของฮัมป์ตี้เป็นจริง พวกเขาคือคู่โจรสามีภรรยา ที่เป็นที่รู้จักในชื่อของแจ็ค และจิล
   เช่นเดียวกับแบบแปลนการดัดแปลงเทพนิยายเรื่องอื่นๆ ของทีมผู้สร้าง นี่ไม่ใช่คู่รักตามเทพนิยาย ที่เดินทางไปตามหุบเขาต่างๆ และประสบปัญหาในการหาแหล่งน้ำ แต่พวกเขาเป็นคู่รักตัวใหญ่ ใจร้าย ที่สนใจแต่ผลประโยชน์ของตัวเอง ซึ่งก็ทำให้พวกเขาเพอร์เฟ็กต์สำหรับชีวิตอาชญากรรมแบบนี้
   ผู้อำนวยการสร้างโจ อากีลาร์กล่าวถึงนักแสดงผู้ประสบความสำเร็จสองคนที่ถูกเลือกมาพากย์เสียงแจ็คและจิลว่า “เราอยากให้แจ็คแข็งแกร่ง ใจร้ายและเจ้าเล่ห์ ดังนั้นระหว่างช่วงพัฒนาเรื่อง ในตอนที่คนอื่นๆ เริ่มพากย์เสียงกันแล้ว ทุกคนได้ใช้เสียงแหบห้าว เหมือนตัวละครที่บิลลี บ็อบ ธอร์นตันแสดงได้อย่างงดงามใน Sling Blade เราอาจจะไม่รู้ตัวมาก่อน แต่บิลลี บ็อบเป็นตัวเลือกแรกของเราเสมอ และเอมี เซดาริสก็เป็นนักแสดงตลกที่ยอดเยี่ยม เรารักเธอครับ และเมื่อเรามองหานักพากย์สำหรับจิล เราก็นึกถึงนิสัยของเธอและต้องการคนที่จะเพิ่มเติมอะไรที่น่าสนใจและสนุกกับการตอบโต้กับเสียงแหบห้าว เจ้าเล่ห์ของแจ็คได้ และพอเอมีถูกเลือกมาแล้ว เธอก็คิดสำเนียงแบบชาวใต้ที่ฮาสุดๆ ขึ้นมาครับ”
    บิลลี บ็อบ ธอร์นตัน ผู้มีนิสัยเข้าถึงได้ในแบบที่ค่อนข้างจะแตกต่างจากตัวละครบนหน้าจอของเขากล่าวว่า “หนังส่วนใหญ่ที่ผมแสดงไม่ใช่หนังที่ลูกๆ ผมจะดูได้ ลูกชายผมดูได้ แต่ลูกคนเล็กของผมยังดูไม่ได้ ผมมีโอกาสเพียงไม่กี่ครั้งที่ได้ร่วมงานในหนังแบบนี้ ในหนังอนิเมชัน และผมก็ลองร่วมงานกับหนังดีๆ ดู สิ่งที่เยี่ยมเกี่ยวกับหนังเรื่องนี้ ซึ่งผมก็ไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญหรอกนะครับ แต่ทุกคนที่ผมรู้จัก ไม่ว่าจะเด็กหรือแก่ ต่างก็ชื่นชอบ Shrek และตัวละครในการ์ตูนเรื่องนี้ ผมก็เลยคิดว่า มันเป็นเกียรติอย่างยิ่งที่พวกเขาขอให้ผมมาเป็นส่วนหนึ่งของมันครับ”
   เมื่อถูกถามถึงการพากย์เสียงของเขา เขาก็ตอบว่า “ผมหนักประมาณ 145 ปอนด์ ส่วนแจ็คหนักประมาณ 300 กว่าๆ ผมก็ไม่รู้นะว่ามันเมคเซนส์มั้ย แต่เสียงผมจะต้องออกมาอ้วนเกินจริงซักหน่อย”
   หากแต่มุมมองที่ธอร์นตันมีต่อแจ็คนั้นแตกต่างจากภาพที่ค่อนข้างจะทารุณที่ทีมผู้สร้างได้ให้เอาไว้เล็กน้อย “แจ็คเป็นเหมือนผู้ร้ายในหนังสมัยเก่าครับ…เขาไม่ได้เป็นคนดีลึกๆ หรอกนะครับ แต่เขาก็มีแง่มุมที่อ่อนไหว และผมก็ชอบที่จะได้เห็นอะไรแบบนั้น เหมือนแง่มุมที่บลูโตเผยต่อหน้าโอลีฟ ออยล์ แทนที่จะเป็นแง่มุมที่เขาแสดงต่อหน้าป็อปอาย ไดอะล็อคของแจ็คก็ตลกด้วย และอย่างที่ผมบอก เขาเป็นตัวร้ายก็จริง แต่ผมก็ไม่คิดว่าเขาเป็นคนชั่วครับ เขาเป็นคนเห็นแก่ตัว เขาเป็นคนแบบนั้นครับ เขาต้องการในสิ่งที่เขาต้องการ…และจิล ภรรยาของเขา ก็ต้องการมันยิ่งกว่าครับ”
   และก็เป็นเช่นนั้นจริงๆ แต่เช่นเดียวกับเพื่อนร่วมแสดงของเธอ เซดาริสก็มีเรื่องราวความเป็นมาที่ช่วยอธิบายความไร้มารยาทของจิลด้วย เอมี เซดาริสกล่าวว่า “มาลองดูให้ใกล้ๆ สิคะ ฉันคิดว่าจิลเป็นตัวละครที่ถูกเข้าใจผิดมากๆ ดินแดนสเปนโบราณหรือยุคเทพนิยายช่วงเริ่มแรกไม่ได้เหมือนกับปัจจุบันนะคะ ผู้หญิงมีโอกาสที่จำกัดจำเขี่ยกว่า คนเป็นแม่ต้องใช้ชีวิตอย่างยากลำบากเพื่อเลี้ยงดูลูกๆ เป็นขโยง มีอาชีพให้เลือกทำไม่มากนักหรอกค่ะ เช่นการปั่นด้ายให้เป็นทอง การเลี้ยงคนงานเหมืองตัวเตี้ย การร่ายมนต์ดำ หรือการให้พร ฉันคิดว่าเมื่อเจอกับเรื่องพวกนี้ ฉันอาจจะเลือกเป็นอาชญากรก็ได้นะคะ จิลอยากได้สิ่งที่มากกว่าที่เธอได้รับการหยิบยื่นมา เมื่อเปรียบเทียบกับเรื่องทั้งหมดนั้น การเลือกชีวิตอาชญากรเป็นวิธีการของเธอในการบอกว่า ‘ไม่ล่ะพวก ฉันคิดว่าการทำแบบนี้จะช่วยยกระดับพรสวรรค์ของฉันได้จริงๆ ฉันคิดว่าฉันจะเปล่งประกายได้ในสายงานนี้’ น่ะค่ะ”
   เซดาริสกล่าวต่อไปอีกว่า “สำหรับฉันแล้ว มันไม่มีอะไรสนุกเท่ากับการอินไปกับตัวละครสุดฮาตัวนี้ และจิลก็เป็นโอกาสทองที่จะทำเช่นนั้น เธอมีเซนส์ด้านการผจญภัยแบบแอนนี โอ๊คลีย์และมีทัศนคติแบบ ‘รับเรื่องงี่เง่าไม่ได้’ แบบแบลล์ สตาร์ เธอมีความดิบเถื่อน ดุดัน และเธอก็เป็นผู้หญิงตัวใหญ่ อย่างน้อยที่สุดก็ในแง่ของความสูง ซึ่งฉันไม่ใช่ และพวกเรานักแสดงก็ชอบเวลาได้สวมบทคนที่สูงกว่าตัวเองเสมอค่ะ”

happy on October 29, 2011, 01:23:31 PM

การจับ “พุส อิน บู๊ทส์” ใส่ที่

          เห็นได้ชัดเจนว่าคอหนังรักชเร็คและพรรคพวกของเขา แต่เมื่อถึงเวลาที่ต้องคิดเรื่องราวความเป็นมาของพุส อิน บู๊ทส์ ทีมผู้สร้างก็ไม่ได้มองไกลเกินกว่าป่าและชนบทของเมืองฟาร์ ฟาร์ อเวย์เลย โจ อากีลาร์อธิบายว่า “ในตอนที่เราเริ่ม Puss in Boots เราก็รู้ว่าเราจะไปไกลจากโลกของชเร็คมากไม่ได้ เพราะนั่นเป็นโลกที่เขาอยู่ การออกแบบโลกใบนั้นเสียใหม่คงจะทำให้ผู้ชมสับสน แต่เราก็รู้ว่าเราสามารถไปได้ค่อนข้างไกล แม้ว่าเราจะยังอยู่ในโลกใบนั้นอยู่ก็ตาม เราผลักดันเรื่องของการออกแบบและการล้อเลียนตัวละครสมทบของเราออกไปให้มากที่สุดเท่าที่เราจะทำได้ มันจะมีลุคและความรู้สึกที่ต่างจากในแฟรนไชส์ Shrek ก็จริง แต่เราก็ยังคงอยู่ในโลกใบเดิมครับ”
   มิลเลอร์อธิบายอย่างเฉพาะเจาะจงลงไปอีกว่า “พุสอาศัยอยู่ในโลกเทพนิยายแบบทางตอนใต้ของเมดิเตอร์เรเนียนในยุโรปครับ มันทั้งอบอุ่น สว่างไสวและสีสันสดใสมากๆ การตัดสินใจหลายๆ อย่างเกิดจากตัวละครตัวนี้ โลกของชเร็คจะเย็นชื่นใจไปด้วยสีเขียวชะอุ่มและสีฟ้า ส่วนโลกของ Puss in Boots ก็จะอบอุ่นมากๆ มันจะร้อนระอุ โรแมนติก ผมมองว่ามันเป็นอีกส่วนหนึ่งของโลกเทพนิยายและเพลงสำหรับเด็กน่ะครับ”
   ผู้อำนวยการสร้างอูอาอูยืนยันว่า “ฉันคิดว่าเราอยากจะเล่นกับตำนานพวกนั้นจริงๆ ค่ะ เราได้รับอิทธิพลจากหนังเก่าของเซอร์จิโอ ลีโอน และสถาปัตยกรรมที่มีเค้าโครงแบบสเปน เพียงแต่เราจงใจที่จะไม่หันเหไปไกลจากที่ที่เรารู้จักเขาครั้งแรกนัก คุณไปได้ไกลแค่ประมาณหนึ่งเท่านั้น ไม่อย่างนั้น เราก็จะจดจำเขาในสิ่งแวดล้อมของเขาไม่ได้ เราอยากจะปรับให้เทพนิยายพุส อิน บู๊ทส์ทันสมัยขึ้น โดยเรารู้สึกว่าเราไม่จำเป็นที่จะต้องทำให้มันเชื่อมโยงกับเรื่องราวดั้งเดิมน่ะค่ะ”
   ความรับผิดชอบส่วนหนึ่งในการออกแบบโลกของพุสตกเป็นของผู้ออกแบบงานสร้าง กิโยม อเรโทส ผู้รับหน้าที่ผู้กำกับศิลป์ใน Shrek ภาคสองและสาม
   อเรโทสยืนยันว่า “ผมอยู่กับแฟรนไชส์นี้มานาน และตอนนี้ ทีมงานก็เป็นเหมือนครอบครัวของผมแล้ว พุส อิน บู๊ทส์เป็นตัวละครที่น่าตื่นเต้นในการนำขึ้นหน้าจอ เพราะผมคิดว่าเขาค่อนข้างจะพิเศษสุดจริงๆ ครับ”
   “สิ่งที่ทำให้ผมตื่นเต้นเกี่ยวกับหนังเรื่อนี้คือโอกาสในการได้ทำในสิ่งที่แตกต่าง เรานำเขามาสู่โลกที่ผ่านการออกแบบอย่างสวยงาม ที่ซึ่งเราได้เล่นกับเงาขนาดใหญ่ ในโลกที่สีสันสดใสนี้น่ะครับ”
   ผู้กำกับยืนกรานว่า โลกที่พวกเขาสร้างขึ้นจะต้องสนับสนุนตัวละครที่โดดเด่นตัวนี้ เป้าหมายที่พวกเขามีร่วมกันคือการสร้างสถานที่ที่จะเป็นรากฐานให้กับภาพยนตร์ที่ยิ่งใหญ่ เต็มไปด้วยงานกล้องที่เคลื่อนไหวตลอดและการจัดคอมโพสิชันที่ชัดเจน ด้วยความที่พุสเป็นตัวละครที่ ‘มีสีสัน’ ในมุมมองของทุกคน สภาพภูมิประเทศจึงจะต้องมีและสนับสนุนสีสันอิ่มตัวที่เต็มไปด้วยรายละเอียด และอบอุ่นด้วยเช่นกัน ยิ่งไปกว่านั้น นี่จะต้องเป็นสถานที่ที่เต็มไปด้วยแอ็กชัน การผจญภัย คอเมดีและโรแมนซ์เพราะ “โลกนี้น่าจะเป็นภาพสะท้อนตัวตนของพุส ถึงแก่นแท้ของเขา”
   ผู้กำกับได้ทำงานร่วมกับนักวาดภาพเพื่อสร้างโลกด้วยสไตล์เรียบง่ายที่คุ้นเคยกันดี “เราอยากมองหนังเรื่องนี้ว่าเป็นเหมือนหนังสปาเก็ตตี้ เวสเทิร์นเก่าๆ ของลีโอน ที่เรารู้สึกว่าเข้ากับตัวละครตัวนี้ได้อย่างดี ทั้งในแง่ของขนาดและสโคป เราใช้การใช้กล้องแบบกวาดภาพ และใช้การแบ่งแยกหน้าจอเป็นสองส่วนด้วยซ้ำไป แต่เราไม่อยากจะจำกัดตัวเองอยู่แค่นั้น ผมต้องบอกว่ามันแทรกซึมอยู่ในหนังของเราจริงๆ เพราะแม้ว่าพุสจะเหมาะกับหนังประเภทนั้น แต่เขาก็ยังได้รับอิทธิพลจากหนังแนวอื่น ที่มีตัวเอกที่กล้าหาญ เข้มแข็ง อย่างอินเดียนา โจนส์, 007 หรือโซร์โร รวมไปถึงวีรบุรุษคนอื่นๆ ท้ายที่สุดแล้ว เราก็เริ่มมองไปที่ประวัติของหนังเรื่องนี้ และรวมแรงบันดาลใจที่เราได้มาจากตัวละครที่ยิ่งใหญ่พวกนั้นครับ”
   ผู้ออกแบบงานสร้างอเรโทสกล่าวว่า “ถ้าคุณดูที่การออกแบบ หรือแรงบันดาลใจของมัน มองโดยรวมแล้วมันเป็นอะไรที่เรียบง่ายมากๆ มันเป็นเหมือนตัวละครตัวหนึ่งเลย เขาเป็นตัวละครที่ผิดเพี้ยน ผมหมายความตรงๆ เลยนะครับ ในแง่ของภาษารูปทรง เราเริ่มจากการบิดรูปทรงของสิ่งต่างๆ ถ้าคุณดูที่ฉาก คุณจะได้เห็นว่าบ้านมันจะเอียงกะเท่เร่หน่อยๆ ไม่มีอะไรยืนตรงๆ เลย เรามีตัวละครที่ไม่สมดุลมากๆ ทั้งในสเกลเล็กไปถึงใหญ่ยักษ์ ดังนั้น ทุกอย่างจะเป็นไปตามภาษาของรูปทรงครับ อีกสิ่งหนึ่งคือพุสเป็นตัวละครที่มีสีสันมากๆ เราได้แรงบันดาลใจจากวัฒนธรรมลาติน และได้ดูหนังสเปนบางเรื่อง เราใช้แสงที่สมจริงน้อยลง และเราเลือกแสงแบบที่เพี้ยนกว่า และเป็นอิสระมากกว่า เราได้เล่นกับเงาขนาดใหญ่ เพราะพุสเป็นตัวละครตัวเล้กๆ ในโลกที่กว้างใหญ่ ใน Shrek พุสตัวสูงประมาณสามฟุต เมื่อยืนอยู่บนรองเท้าบู๊ท เพื่อสร้างความสมดุลเวลายืนอยู่กับชเร็ค ซึ่งเป็นยักษ์สูงเจ็ดฟุตครับ เรารู้ดีว่าในโลกใบนี้ ขนาดเท่านั้นจะไม่เวิร์ค เราอยู่ในโลกมนุษย์ที่ไม่มียักษ์ เราก็เลยจัดการให้เขามีขนาดเท่าแมวปกติ…ถ้าแมวสวมรองเท้าบู๊ทและยืนสองขาน่ะนะครับ”
   สิ่งที่อเรโทสพูดเอาไว้ตั้งแต่ช่วงเริ่มแรกของการถ่ายทำกลายเป็นหลักการออกแบบ ซึ่งก็คือตัวละครบิดเบี้ยว โลกบิดเบี้ยว เขากล่าวขยายความว่า “เรามองภูมิประเทศทางตอนเหนือของสเปน ซึ่งแห้งแล้ง แต่สวยงาม และสังเกตเห็นว่าต้นมะกอกและต้นสนที่อยู่ริมชายฝั่งจะลู่ไปตามลม แล้วเราก็มองสถานที่ที่อยู่ในภูมิอากาศแบบทะเลทรายในอเมริกาเหนือและอเมริกากลางด้วย ความไม่สมดุลนี้ปรากฏอยู่ในตัวละครของเราและสิ่งแวดล้อมด้วยครับ”
   หนึ่งในสถานที่ที่ดึงดูดความสนใจของทีมผู้สร้างเป็นพิเศษคือเมืองซาน มิเกล เดอ อัลเลนเด ในตอนกลางของเม็กซิโก ด้วยอาคารทรงโคโลนี นีโอ-คลาสสิก ที่มีสีแดงไหม้
   ในโลกอนิเมชัน หนึ่งในความแตกต่างที่เด่นชัดที่สุดระหว่างอนิเมชันและไลฟ์แอ็กชันคือการใช้มือลำดับภาพ ในรูปแบบที่ต่างกับไลฟ์แอ็กชัน ที่มือลำดับภาพจะนำภาพต่างๆ ของภาพยนตร์มาปะติดปะต่อกันในช่วงท้ายๆ ของการถ่ายทำ มือลำดับภาพของอนิเมชันจะมีส่วนเกี่ยวข้องตั้งแต่เริ่มต้น เป็นคนแรกๆ ที่ทำงานระหว่างกระบวนการสร้างเรื่องราว เพื่อช่วยกำหนดจังหวะ ทำนอง การดำเนินเรื่องและแง่มุมอื่นๆ ที่เป็นผลของการลำดับภาพอย่างมีชั้นเชิง
   อีริค แด็พเควิคส์ เป็นมือลำดับภาพของ Puss in Boots และเขาก็เริ่ม ‘ทำการบ้าน’ จากการดูภาพยนตร์คลาสสิกอย่าง The Good, the Bad and the Ugly และ A Fistful of Dollars รวมไปถึงภาพยนตร์อื่นๆ ที่มีการเล่าเรื่องแบบอลังการและมีตัวเอกที่เป็นวีรบุรุษ ผลที่ได้คือสไตล์โดดเด่นที่ไม่เกรงกลัวกับการยกย่องแนวภาพยนตร์ที่ฟื้นฟูชีวิตให้กับเวสเทิร์นอเมริกัน บางซีนจะยึดติดกับตัวละคร ซึมซาบกับสิ่งแวดล้อมรอบด้าน บางทีอาจจะนานเกินกว่าที่ใครหลายคนคาดคิดในอนิเมชัน ส่วนสำคัญของอิทธิพลที่ได้รับมาจากผลงานของลีโอนคือดนตรีประกอบ จากคอมโพสเซอร์เฮนรี แจ็คแมน ผู้ซึ่งผลงานของเขาปรากฏอยู่ในภาพยนตร์ทุกแนวตั้งแต่แอ็กชันบล็อกบัสเตอร์ของฮอลลีวูดไปจนถึงโรแมนติกคอเมดีที่อ่อนโยน เช่นเดียวกับแด็พเควิคส์ แจ็คแมนเข้ามาทำงานโปรเจ็กต์นี้ตั้งแต่ช่วงเริ่มแรก และเขาก็ได้สนับสนุนดนตรีเพื่อช่วยเหลือในการกำหนดจังหวะการไหลลื่นและความรู้สึกของภาพยนตร์เรื่องนี้ (เริ่มจากแทร็คชั่วคราว ก่อนจะค่อยๆ ขัดเกลาจนกลายเป็นดนตรีประกอบฉบับสมบูรณ์ในที่สุด)
   ความพยายามร่วมกันตั้งแต่ต้นนี้เองที่มิลเลอร์รู้สึกว่าเป็นกุญแจสำคัญที่นำไปสู่โปรเจ็กต์ที่ประสบความสำเร็จ เขากล่าวอย่างตื่นเต้นว่า “การมีส่วนร่วมจากทุกแผนกในหนังเรื่องนี้เป็นอะไรที่พิเศษสุด กิโยมและแผนกศิลป์ได้สร้างความงาม ดรามาและสีสันให้เราอย่างมากและมีส่วนสำคัญต่อเรื่องราวที่เรากำลังบอกเล่า หัวหน้าฝ่ายเรื่องราวของเรา บ็อบ เพอร์ซิเช็ตติ และทีมงานทุกคนได้เสนอแนะไอเดียเยี่ยมๆ มากมาย กิล ซิมเมอร์แมน หัวหน้าฝ่ายเลย์เอาท์ ผู้ถ่ายทำภาพยนตร์เรื่องนี้ และแผนกของเขา ก็แปลงภาพในความคิดให้กลายเป็นจริง ผมโชคดีมากๆ การได้ร่วมงานกับโจและลาติฟา ทีมผู้สร้างที่เหลือเชื่อเหล่านี้ ปฏิกิริยาเคมีของเราเข้ากันได้ดีและก่อเกิดเป็นการร่วมมือกันที่วิเศษสุดและประสบการณ์ที่น่าพึงพอใจจริงๆ ครับ”
   อีกหนึ่งสมาชิกคนสำคัญของทีมงานสร้าง Puss in Boots คือผู้กำกับเจ้าของรางวัล กุยเลอร์โม เดล โทโร ผู้ได้ไปเยี่ยมชมสตูดิโอของดรีมเวิร์คส์ อนิเมชันตั้งแต่ช่วงเริ่มแรกของการถ่ายทำ ทำให้คริส มิลเลอร์ได้พูดคุยกับเขาตามลำพัง ผู้กำกับเล่าว่า “กุยเลอร์โมสนใจเรื่องราวนี้จริงๆ เขาชอบโทนของเรื่องครับ และปรากฏว่า ในวันถัดมาที่เราฉายหนัง เขาสามารถมาดูได้ เขาชอบมันและบอกผมหลังจากนั้นว่า เขาอยากจะเป็นส่วนหนึ่งของหนังเรื่องนี้ ผมตื่นเต้นจนเกือบพูดอะไรไม่ออกเลย และผมก็พูดทำนองว่า ‘เยี่ยมเลย คุณเริ่มต้นได้เมื่อไหร่ล่ะ’ เขาก็ตอบว่า ‘เดี๋ยวนี้เลย’ ดังนั้น ภายในเวลา 24 ชั่วโมงนี้ เขาก็กลายเป็นผู้ควบคุมงานสร้างและที่ปรึกษาชั้นเยี่ยมของหนังเรื่องนี้ เขามีพลังงานที่วิเศษสุด และเขาก็มักเข้าหาความท้าทายพร้อมกับวิธีแก้ไขเสมอ เขาไม่ได้วิพากษ์วิจารณ์ แต่เขาเป็นคนที่สามารถมองบางสิ่งแล้วนำเสนอไอเดียในการพัฒนามันให้ดีขึ้นได้ครับ”
   ตัวอย่างหนึ่งคือกรณีตัวละครฮัมป์ตี้ ในฐานะที่เป็นนักฝันผู้ถูกเข้าใจผิดในสถานเลี้ยงเด็กกำพร้า เรื่องราวเบื้องหลังของเขาเป็นรูปเป็นร่างขึ้นมาเมื่อเดล โทโรเสนอว่าบางที ดัมป์ตี้อาจจะชอบคิดประดิษฐ์สิ่งต่างๆ ขึ้นมาในสมัยเด็กก็ได้ ซึ่งมันจะช่วยบอกเป็นนัยๆ ถึงความเฉลียวฉลาดของตัวละครตัวนี้และเป็นฐานไปสู่การพัฒนาเรื่องราวต่อไปด้วย เขาตื่นเต้นกับการได้มีส่วนร่วมในโปรเจ็กต์นี้มากจนเขาถึงกับลงมือพากย์เสียงผู้บังคับบัญชาในหมู่บ้านซาน ริคาร์โดด้วยซ้ำไป
   ผู้อำนวยการสร้างอากีลาร์กล่าวว่า “กุยเลอร์โม เดล โทโร เป็นหนึ่งในคนที่สร้างแรงบันดาลใจได้มากที่สุดเท่าที่ผมเคยร่วมงานด้วย เขาเต็มไปด้วยพลังงาน ไอเดียสนุกๆ และความรู้ด้านดีไซน์มากมาย เขาเหมือนห้องสมุดหนังเคลื่อนที่เลยครับ”
   เดล โทโร ผู้กำกับผู้ได้รับการเสนอชื่อชิงอคาเดมี อวอร์ดตั้งข้อสังเกตว่า “หัวใจของหนังหลายเรื่องที่ผมสร้างมีเรื่องราวที่มาจากเทพนิยายหรือมีรากฐานมาจากตำนานครับ ผมรู้สึกถูกดึงดูดเข้าหาตัวละครยิ่งใหญ่และเรื่องราวอลังการเหล่านั้น หนังเรื่องนี้เข้ามาได้จังหวะพอดี แน่นอนครับว่าฮีโรของเราเป็นแมว และเราก็มีแมวอีกตัว และมีไข่อีกใบ แต่สิ่งสำคัญไม่ได้อยู่ที่ว่าตัวละครพวกนี้เป็นอะไร แต่สิ่งสำคัญคือพวกเขามีบทบาทอย่างไรในเรื่องราวนี้ พวกเขาเป็นนักรัก นักสู้และเป็นพี่น้อง และด้วยความว่านี่เป็นคอเมดีอนิเมชัน มันก็เลยเป็นสถานที่อิสระที่จะนำพาตัวละครเหล่านี้ไปยังสถานที่ที่น่าสนใจจริงๆ ถ้าพูดแบบนั้นแล้ว มันก็ฟังดูเหมือนโปรเจ็กต์อีกหลายๆ เรื่องที่ผมเคยสร้างมาใช่มั้ยล่ะครับ”

happy on October 29, 2011, 01:29:16 PM

…บนพื้นดิน…

          ในการนำแมว ไข่และแมวไปสู่สถานที่ที่น่าสนใจที่ว่านั้น ทีมผู้สร้าง Puss in Boots ก็ต้องเผชิญหน้ากับความท้าทายด้านการออกแบบ มิลเลอร์และทีมงานของเขาตั้งใจจะเติมเต็มเรื่องราวยิ่งใหญ่นี้ด้วยฮีโรจิ๋ว และความแตกต่างกันนี้เองที่นักออกแบบอเรโทสพบว่าน่าสนใจ “ผมคิดว่าความงดงามของหนังเรื่องนี้คือคุณจะเจอคนตัวจิ๋ว ที่ใช้ชีวิตอยู่ในการผจญภัยที่ยิ่งใหญ่ อลังการนี้น่ะครับ นั่นเป็นสิ่งที่ผมคิดว่าน่าสนใจเกี่ยวกับการออกแบบหนังเรื่องนี้ ความเพี้ยนของโลกที่เราได้พัฒนาขึ้นมาน่ะครับ”
   ซีเควนซ์หนึ่งที่แสดงให้เห็นถึงขนาดและจังหวะของเรื่องราวได้อย่างชัดเจนคือฉากการปล้นรถม้า ที่พุส อิน บู๊ทส์, คิตตี้และฮัมป์ตี้พยายามที่จะขโมยถั่ววิเศษจากเงื้อมือของแจ็คและจิล…ขณะที่ทั้งหมดเดินทางด้วยรถม้าความเร็วสูง คริส มิลเลอร์เล่าว่า “ผมคิดว่ามันสำคัญที่ในฉากแอ็กชันของเรา มันจะมีความรู้สึกตื่นเต้นและอันตราย แต่จริงๆ แล้ว แก่นของมันคือความสนุกสนาน เราอยากจะทำให้ฉากพวกนั้นเพลิดเพลินใจ เหมือนเครื่องเล่นที่ทำให้อะดรีนาลินพลุ่งพล่านในสวนสนุก หรือในสนามแข่ง เราอยากได้ประสบการณ์ที่สนุกสนานและสัมผัสได้ครับ”
   อีกซีเควนซ์หนึ่งที่นำเสนอความตื่นเต้น (ในรูปแบบที่ต่างกันออกไป) คือการพบกันครั้งแรกและการเผชิญหน้ากันหลังจากนั้นระหว่างพุสและหัวขโมยคู่แข่งที่ประสบความสำเร็จอย่างสูง หลังจากที่พุสพบว่าตัวเองต้องเผชิญหน้ากับคู่ปรับภายใต้หน้ากาก เขาก็ติดตามคู่ปรับของเขาไปถึงบาร์ ‘สำหรับแมวเท่านั้น’ ด้วยความตั้งใจจะท้าดวลกับแมวเจ้าเล่ห์ตัวนั้น กฎของที่นั่นกำหนดเอาไว้ว่า ในวันอังคาร การต่อสู้จะจำกัดอยู่แค่เพียงการสู้กันบนฟลอร์เต้นรำเท่านั้น ดังนั้น ฮีโรของเราและคู่ปรับในหน้ากากก็ต้องประฝีเท้ากัน ภายใต้ความยินดีของผู้ชมแมวทุกตัว
   กุญแจสำคัญที่นำไปสู่ความสำเร็จของซีเควนซ์นี้คือการออกแบบท่าเต้นที่ชาญฉลาด ซึ่งผสมผสานทุกอย่างตั้งแต่ฟลามิงโก้ ลีลาศแบบลาติน ไปจนถึงการเต้นร่วมสมัย โดยลอรา โกเรนสไตน์ มิลเลอร์ ผู้ก่อตั้ง นักออกแบบท่าเต้นและผู้อำนวยการศิลป์ของคณะเต้นโมเดิร์นแห่งลอสแองเจลิส เฮลิออส แดนซ์ เธียเตอร์ คริส มิลเลอร์ให้ความเห็นว่า “เราโชคดีมากที่ได้ลอรามาออกแบบท่าเต้นในหลายๆ ซีเควนซ์ในหนังเรื่องนี้ มันช่วยเสริมสร้างระดับความสมจริงให้กับเรื่องและซีนพวกนี้ก็เป็นซีนที่ซับซ้อน ที่ต้องสับเปลี่ยนระหว่างการบอกเล่าเรื่องราวและช่วงจังหวะของตัวละครครับ มันช่วยอนิเมเตอร์ของเราได้มหาศาลเลย เธอนำการเคลื่อนไหวจากทิศทางเรียบง่ายในบทของเรามาแปลงให้กลายเป็นท่าเต้นที่งดงามสำหรับนักเต้นทั้งสอง เรานำฟุตเตจของการเคลื่อนไหวเหล่านี้มา แล้วอนิเมเตอร์ของเราก็ใส่มันเข้าไปในอุ้งเท้าของฮีโรของเราและคิตตี้ครับ”
   หลังจากฝึกซ้อมนานหนึ่งสัปดาห์ นักเต้นของลอรา มิลเลอร์ ก็พร้อมในชุดโมชัน แคปเจอร์ และข้อมูลที่ได้ก็ถูกนำมาช่วยอนิเมเตอร์ในเรื่องของข้อมูลอ้างอิงและการจัดวางตำแหน่ง มันไม่ได้เป็นแค่การแปลงข้อมูลการเคลื่อนไหวใส่ลงไปในตัวละครเพียงเท่านั้น อากีลาร์อธิบายเพิ่มเติมว่า “เราใช้กล้องและภาพฟุตเตจเพื่อหาวิธีที่จะออกแบบช็อตให้ดีที่สุดครับ”
   สิ่งที่สนุกเป็นพิเศษสำหรับนักออกแบบท่าเต้นคือปริศนาเบื้องหลังคู่ปรับภายใต้หน้ากากผู้นี้ ลอรา มิลเลอร์ให้ความเห็นว่า “สิ่งหนึ่งที่น่าสนใจสำหรับฉันในการออกแบบท่าเต้นของฉากนี้คือพวกเขาไม่อยากจะเผยให้ผู้ชมรู้ว่าคิตตี้เป็นผู้หญิง ดังนั้น ในฐานะนักออกแบบท่าเต้นแล้ว ฉันก็จะต้องทำให้การเคลื่อนไหวของเธอมีลักษณะเหมือนผู้ชาย ด้วยความกล้าและความแข็งกร้าวกว่าที่ฉันมักจะใช้กับตัวละครหญิงน่ะค่ะ”
   ก่อนหน้าการถ่ายทำฉากเต้นรำ มิลเลอร์ได้นำสตอรีบอร์ดไปที่สตูดิโอของเธอ พร้อมด้วยดนตรี และสร้างฉากเต้นรำนั้นขึ้นมาทีละขั้นตอน ก่อนจะถ่ายทำสิ่งที่เกิดขึ้นลงในสตอรีบอร์ด “พวกเขาจะกำหนดให้พุสตรงมาหากล้องภายในแปดก้าว แล้วพวกเขาก็บอกฉันว่าพวกเขาอยากได้ช็อตมีเดียม และการสาวเท้าเร็ว ฉันเซ็ทบางอย่างกับนักเต้นของฉัน แล้วฉันก็เช็คกับคริสทุกวัน ซึ่งเป็นวิธีการทำงานที่ยอดเยี่ยมมาก เขาจะบอกฉันว่าเขาอยากให้เปลี่ยนแปลงอะไรบ้าง แล้วเขาก็จะคอยติดตามความคืบหน้าทุกวันค่ะ”
   อีกซีเควนซ์หนึ่งจะมีพุส และคิตตี้ ที่ตอนนี้เผยตัวแล้ว เต้นรำรอบกองไฟ โดยถูกขัดจังหวะเป็นครั้งคราวจากฮัมป์ตี้ ดัมป์ตี้ ผู้อยากจะเป็นก.ข.ค.ความรักที่อาจจะเกิดขึ้นระหว่างทั้งคู่ นักออกแบบท่าเต้นของเรื่องกล่าวว่า “พวกเขากำหนดมาเลยว่า ระหว่างการพูดคุย ใบหน้าของทั้งคู่จะต้องหันไปทางหน้ากล้อง ดังนั้น ในฐานะนักออกแบบท่าเต้นแล้ว ฉันก็อยากทำให้มันน่าสนใจ ฉันก็เลยใช้การก้าวเท้า และการใช้สะโพก ที่ดึงมาจากการเต้นรำแบบลาติน ซึ่งมันก็สร้างความท้าทายให้กับทีมอนิเมเตอร์เพราะแมวไม่ได้มีสะโพกแบบมนุษย์ แต่ฉันคิดว่าเราทุกคนต่างก็ได้ซีเควนซ์เยี่ยมๆ ออกมาค่ะ”


…และในหมู่เมฆ

          อย่างไรก็ดี แอ็กชันใน Puss in Boots ไม่ได้มีแต่การไล่ล่าบนพื้นดินหรือการเต้นดวลกันเท่านั้น มันยังครอบคลุมไปเหนือเส้นขอบฟ้าสีเทา ขึ้นไปยังมวลเมฆสีขาว…และยิ่งไปกว่านั้น Puss in Boots ยังถูกคิดเอาไว้ ตั้งแต่เริ่มต้น ให้เป็นภาพยนตร์ที่จะเข้าฉายในระบบ 3D มันเป็นความท้าทายเหนือความท้าทายจริงๆ…
   “มันชัดเจนตั้งแต่ต้นแล้วว่านี่เป็นหนังที่เหมาะสมกับการฉายในระบบ 3D และ 3D เท่านั้น เราก็เลยได้ใช้ประโยชน์จากโอกาสทองบางอย่างที่ปรากฏขึ้น มีซีเควนซ์หนึ่งที่พวกเขาปลูกต้นถั่ววิเศษ และตามบทแล้ว จะต้องมีพายุรุนแรงที่พัดลงมา เป็นทอร์นาโดยักษ์ ที่ส่งแรงลมลงมาในต้นถั่ว ก่อนที่มันจะโผล่พรวดกลายเป็นต้นถั่วที่งอกสูงขึ้นเรื่อยๆ และทะลุระบบสุริยะไปสู่ดินแดนของยักษ์ มันทำให้เกิดซีนเยี่ยมๆ ที่เต็มไปด้วยการเคลื่อนไหวที่เหลือเชื่อ ที่จู่ๆ จะกลายเป็นช่วงเวลาที่เงียบงัน ที่นำเสนอรายละเอียดมากมายในเฟรม ที่มีมิติและสเกลที่น่าทึ่ง ตัวละครตัวจิ๋วพวกนี้กับจักรวาลที่ยิ่งใหญ่ นั่นเป็น 3D ชัดๆ ครับ!”
   สำหรับผู้ออกแบบงานสร้าง กิโยม อเรโทส นั่นหมายถึงการศึกษาและการสเก็ตช์ภาพนานหลายชั่วโมง…และด้วยความที่ต้นถั่วยักษ์มีน้อยและหายาก เขาก็เลยทำสิ่งที่ดีที่สุดรองลงมาด้วยการไปเยือนพิพิธภัณฑ์ลูฟร์ โดยเฉพาะมิวเซ เดอ อาร์ตส์ เดโคราทิฟส์ ซึ่งมีห้องอาร์ต เดโค ที่ตระการตา ห้องที่สร้างจากไม้แห่งนี้ประดับประดาด้วยภาพแกะสลักน่าทึ่ง และทุกอย่างในห้องนี้ ตั้งแต่ที่แขวนเสื้อโค้ท โต๊ะ เก้าอี้ กรอบหน้าต่าง ลวดลายบนผนัง ดูราวกับงอกออกมาจากเถาองุ่นเดียวกัน “ผมคิดว่าต้นถั่วนี้น่าจะส่งพวกเขาไปยังโลกบนเมฆ ต้นถั่วที่มีการลดเลี้ยวเคี้ยวคดไปมา พร้อมกันนั้นผมก็จินตนาการภาพมันในแง่ของภาพสเตอริโอ เส้นตรงหรือมุมมองเหลี่ยมๆ อาจจะน่าเบื่อดัง ผมก็เลยคิดว่า ‘ต้นถั่วนี้น่าจะงอกขึ้นในรูปแบบที่ไม่สามารถควบคุมได้ มันจะหมุนพันเกี่ยวไปเรื่อยๆ ซึ่งอันตรายสำหรับพวกเขา แต่น่าสนุกสำหรับเรา’ น่ะครับ และด้วยการค้นพบใหม่หรือวิวใหม่ มันจะมีความรู้สึกแตกต่างกันไปเมื่อพวกเขาลอยขึ้นสูงไปเรื่อยๆ พวกเขารู้สึกตกใจเมื่อมันพุ่งพรวดขึ้นเหมือนจรวด แล้วก็มีอารมณ์โรแมนติก เมื่อมองดูสรวงสวรรค์ ช่วงเวลาตกใจกลัว ฟ้าผ่า แล้วก็มีภาพขาวโพลนขณะที่พวกเขาก้าวเข้าสู่เมืองเมฆ ที่อยู่บนสุดของจักรวาล และเมฆทั้งหมดนั้นก็เป็นชิ้นเมฆ ซึ่งหมายความว่า เมื่อกล้องแทรกตัวผ่านพวกมัน หรือรอบๆ มัน ก็จะมีชิ้นส่วนเล็กๆ ที่แยกออกจากกัน และลอยผ่านกล้องไป มันมีเซนส์ด้านมิติในแบบที่ภาพสีด้านหรือการเปลี่ยนแปลงภาพไม่สามารถทำได้ครับ”
   มิลเลอร์กล่าวว่า แค่สเกลของซีเควนซ์นี้ก็สาหัสสากรรจ์อยู่แล้ว “ต้นถั่วนี้จะต้องงอกสูงขึ้นเป็นไมล์ๆ พร้อมกับพาแมวสองตัวและไข่หนึ่งใบขึ้นไปด้วย!” แต่อย่างที่พวกเราส่วนใหญ่รู้อยู่แล้ว มวลสารที่ไม่มีรูปทรงชัดเจน (น้ำ ไฟ ขนสัตว์ ขนนก) จะเป็นความท้าทายที่สร้างความลำบากให้กับคอมพิวเตอร์ อนิเมเตอร์มากกว่า และสำหรับในกรณีนี้ ความท้าทายที่ว่าคือโลกที่สร้างจากเมฆเป็นส่วนใหญ่
   ผู้กำกับให้ความเห็นว่า “นี่เป็นโอกาสสำหรับเราในการสร้างภูมิประเทศที่ไม่เคยได้รับการสำรวจมาก่อน ที่ซึ่งแรงโน้มถ่วงไม่ได้ทำงานเหมือนกับบนพื้นโลก เมฆก่อตัวและเปลี่ยนแปลงรูปทรงอยู่ตลอดเวลา คุณสามารถเล่นกับเมฆได้ คุณสามารถปั้นให้มันเป็นก้อนหิมะได้ คุณสามารถวิ่งข้างใต้มันได้ หรือสามารถกระโดดไปมาบนนั้นก็ได้ เราใช้เวลาเป็นเดือนๆ เพื่อสำรวจและระดมความคิดเกี่ยวกับวิธีต่างๆ ที่จะทำให้เกิดภาพทั้งหมดนั้นได้ และทีมเอฟเฟ็กต์ของเราก็ทำงานได้อย่างเหลือเชื่อในการสร้างโลกใบนี้และมิติเบื้องหลังมัน ซึ่งถูกนำเสนอออกมาได้อย่างมีประสิทธิภาพใน 3D มันเป็นประสบการณ์ที่น่าดื่มด่ำจริงๆ มันงดงามเหมือนภาพฝัน ออกจะเกินจริงนิดๆ พวกเขาอยู่ไกลจากพระอาทิตย์มาก และจริงๆ แล้ว มันก็อยู่ใต้พวกเขาน่ะเอง โลกของเมฆที่เปลี่ยนแปลงตลอดเวลานี้เป็นสนามเด็กเล่นที่ยอดเยี่ยมสำหรับเราทุกคนครับ”
   อามอรี ออเบล หัวหน้าฝ่ายเอฟเฟ็กต์กล่าวว่า “การสร้างภาพอนิเมชันของเมฆ และการสร้างโมเดลของมันเป็นความท้าทายที่ยากลำบาก เพราะมันจะต้องสมจริง แต่ก็มีปฏิสัมพันธ์กับตัวละครได้ด้วย พวกเขาถูกห้อมล้อมและรองรับโดยเมฆ มันมีทั้งเมฆที่เป็นโฟร์กราวน์ ซึ่งพวกเขามีปฏิสัมพันธ์ด้วย และมีเมฆแบ็คกราวน์ ที่เราเรียกกันว่า คลาวด์สเคป ที่ครอบคลุมยาวไกลสุดลูกหูลูกตา เรื่องของแสงก็เป็นปัญหาเช่นกัน การทำให้พวกมันมีแสงที่สมจริง ในลักษณะที่ผ่านการกำกับศิลป์มาแล้ว เช่นเมฆตรงนี้จะต้องเป็นสีทองมากขึ้น ส่วนตรงนี้จะต้องน่าสะพรึงกลัวมากกว่านี้น่ะครับ”
   พฤติกรรมของเมฆก็เป็นประเด็นปัญหาเช่นกัน ออเบลกล่าวว่า “เราเห็นท้องฟ้าทุกวัน และเราก็จะรู้ว่าอะไรที่ใช่และอะไรที่ดูแปลกๆ เมฆพวกนี้จะโปร่งแสงหรือกึ่งโปร่งแสง ขึ้นอยู่กับความใกล้ของผู้มอง ผมจะไม่พูดถึงเรื่องฟิสิกส์ซับซ้อนอะไรให้มากความนะครับ ผมจะบอกแค่ว่าลักษณะที่แสงทำปฏิกิริยา ก็เป็นอีกประเด็นหนึ่ง แสงจะตรงเข้าไปในเมฆ แล้วจะสะท้อนกับอนุภาค โมเลกุลของน้ำ แล้วก็จะกระจายตัวในหลายทิศทาง มันไม่ได้แข็งเหมือนหินครับ”
   คอมพิวเตอร์ช่วยคุณได้! เคน มูเซธ ฝ่ายวิจัยและพัฒนาของดรีมเวิร์คส์ อนิเมชัน คิดโปรแกรมที่มีฟอร์แมทใหม่ ซึ่งสามารถรับมือกับมวลสารขนาดมหึมาได้ รูปทรงที่ถูกสร้างขึ้นตามโมเดลจะถูกเปลี่ยนให้กลายเป็นเมฆได้ด้วยการเรนเดอร์ ‘นอยซ์พื้นผิว’ และทำให้พวกมันมีลักษณะของเมฆฟูฟ่อง ในแบบที่ผู้ชมที่ไม่ได้ลอยไปกับต้นถั่ววิเศษ จะจดจำได้และมองว่ามันเป็นของจริง


ลาก่อน ไข่และแมว

          สำหรับผู้กำกับคริส มิลเลอร์ (และอย่างที่ทีมงานและนักแสดงหลายคนก็รู้สึกเช่นกัน) เวทมนตร์ของอนิเมชันอยู่ที่การเปลี่ยนแปลงการร่วมแรงร่วมใจของคนทั้งกลุ่มให้กลายเป็นภาพยนตร์เรื่องเดียวกัน มิลเลอร์สารภาพว่า “ผมรักอนิเมชันครับ ในฐานะวิธีการเล่าเรื่องแล้ว มันให้ความรู้สึกเหมือนความเป็นไปได้ที่ไร้ขีดจำกัด คุณมีความสามารถที่จะสร้างอีกโลกหนึ่งขึ้นมาได้โดยไม่มีขีดจำกัดใดๆ ทั้งสิ้น และผมก็ชอบไอเดียนั้น แต่ไม่ว่าจะเป็นอนิเมชันหรือไลฟ์แอ็กชัน สิ่งสำคัญอยู่ที่ว่าคุณบอกเล่าเรื่องราวได้ดีแค่ไหน และผู้ชมจะรู้สึกเข้าถึงตัวละครเหล่านั้นได้ดีแค่ไหน”
   แซ็ค กาลิฟิอานาคิสกล่าวว่า “ถ้าเรื่องราวเป็นว่า ฮัมป์ตี้ ดัมป์ตี้ร่วงจากกำแพง แล้วคนจากหมู่บ้านหรืออะไรทำนองนี้ หรือทหารของพระราชา ไม่สามารถปะติดปะต่อร่างของเขาเข้าด้วยกัน มันก็ไม่ได้มีอะไรน่าสนใจเท่าไหร่ใช่มั้ยล่ะครับ แต่กับเรื่องราวนี้ มันมีมิติกว่าเยอะ คุณจะได้เห็นแง่มุมต่างๆ ของฮัมป์ตี้ ดัมป์ตี้ คุณได้เห็นความสัมพันธ์ระหว่างเขากับแมวนักผจญภัยตัวนี้ แล้วใครจะไม่อยากเห็นไข่กับแมวเดินทางด้วยกันล่ะครับ ตอนที่คุณนั่งลง ผมพนันได้เลยว่าคุณจะต้องสงสัยว่า ‘ฉันอยากจะเห็นใครอยู่ด้วยกันนะ อืมม์ รู้แล้ว แมวกับไข่ไง!’ และผมก็มีหนังแบบนั้นให้คุณ”
   แอนโทนิโอไม่เพียงแต่ชื่นชมความพยายามอุตสาหะที่ก่อเกิดเป็นภาพยนตร์คอมพิวเตอร์ อนิเมชันที่เสร็จสมบูรณ์เรื่องนี้เท่านั้น แต่เขายังชื่นชมความประณีตของชิ้นงาน ที่ใส่ใจแม้แต่รายละเอียดที่เล็กน้อยที่สุด เขากล่าวว่า “ผมจำได้ว่าระหว่าง Shrek 2 เอ็ดดี้ เมอร์ฟีย์ให้ความเห็นว่าทีมงานทุกคนน่าอัศจรรย์แค่ไหน ที่พวกเขาสามารถขโมยส่วนหนึ่งของคุณไปใส่ในหน้าจอ ให้ทุกคนได้เห็นได้ ผมเห็นด้วยสุดตัวเลยครับ”
   ผู้อำนวยการสร้างลาติฟา อูอาอูกล่าวว่า “นักวาดภาพกว่า 620 ชีวิตได้ทำงานในโปรเจ็กต์นี้นานหลายปี ในกว่า 20 แผนก เมื่อมองดูตัวเลขเหล่านั้น คุณก็จะตระหนักได้ว่ามันสำคัญแค่ไหนที่ทุกคนจะต้องร่วมมือกันเพื่อเดินหน้าไปสู่เป้าหมายที่มีร่วมกัน ฉันรู้สึกว่าเรามีความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันและมีการร่วมแรงร่วมใจกันจริงๆ ใน Puss in Boots โดยมีคริส มิลเลอร์เป็นผู้นำ ตั้งแต่ต้นจนถึงการแก้ไขเรื่องสี ซึ่งเป็นขั้นตอนสุดท้ายในกระบวนการอนิเมชัน มันเป็นกระบวนการที่อัศจรรย์และเต็มไปด้วยการเคลื่อนไหวจริงๆ ค่ะ”
   ท้ายที่สุดแล้ว การทำงาน นอยซ์พื้นผิว ภาพ 3D ที่เหมือนจริง การไม่มีสะโพกแบบมนุษย์สำหรับผู้กำกับมิลเลอร์ก็เป็น (และเป็นมาเสมอ) เรื่องเกี่ยวกับสิ่งเดียวเท่านั้น…นั่นคือเรื่องราว เขาปิดท้ายว่า “มันเป็นคอเมดีครับ และมันก็เป็นหนังผจญภัยชั้นเยี่ยมด้วย เพียงแต่มันก็มีข้อคิดดีๆ ซ่อนอยู่ที่บอกว่า ทุกคนคู่ควรกับการมีโอกาสแก้ตัวในชีวิต และไม่ว่าจะเป็นตอนไหน คุณก็สามารถเปลี่ยนแปลงชีวิตตัวเองได้ มันไม่มีคำว่าสายเกินไปหรอกครับ”

happy on October 29, 2011, 01:37:24 PM
ประวัตินักแสดง
แอนโทนิโอ แบนเดอรัส (Antonio Banderas)—พากย์เสียงพุส อิน บู๊ทส์



          นับตั้งแต่เขาได้ก้าวเข้าสู่แวดวงภาพยนตร์อเมริกันด้วย Mambo Kings ที่โด่งดัง แอนโทนิโอ แบนเดอรัส ก็กลายเป็นหนึ่งในนักแสดงระดับโลกในรุ่นของเขาไปอย่างปฏิเสธไม่ได้ เขาได้รับเสียงวิจารณ์ชื่นชมจากการแสดงของเขาในจอเงิน จอแก้วและละครเวที รวมทั้งงานหลังกล้องในฐานะผู้กำกับภาพยนตร์ด้วย ในปี 2005 เขาได้รับเกียรติให้นำชื่อของเขาไปบรรจุในทำเนียบฮอลลีวูด วอล์ค ออฟ เฟม
   ผลงานการกำกับเรื่องที่สองของเขาคือภาพยนตร์สเปนเรื่อง El Camino De Los Ingleses (หรือชื่ออเมริกันว่า Summer Rain) ภาพยนตร์เกี่ยวกับการเติบโตเป็นผู้ใหญ่เรื่องนี้ตามติดเรื่องราวความรักครั้งแรก ความใคร่ และความหลงใหลของเพื่อนๆ ที่ไปพักผ่อนวันหยุดด้วยกันช่วงปลายทศวรรษที่ 70s เขาเปิดตัวผลงานการกำกับด้วยเรื่อง Crazy in Alabama ที่นำแสดงโดยเมลานีย์ กริฟฟิธ ภรรยาของเขา
แบนเดอรัสได้ขโมยซีนในภาพยนตร์อนิเมชันบล็อกบัสเตอร์ปี 2004 เรื่อง Shrek จากการพากย์เสียง “พุส อิน บู๊ทส์” โดยเขากลับมาทำหน้าที่นี้อีกครั้งในซีเควล Shrek the Third, รายการพิเศษช่วงคริสต์มาสของเอบีซี Shrek The Halls และภาคสี่ของแฟรนไชส์นี้ Shrek Forever After
ในปี 2003 แบนเดอรัส ได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลโทนี อวอร์ดสาขานักแสดงนำชายยอดเยี่ยมประเภทมิวสิคัล จากการเปิดตัวบนเวทีบรอดเวย์ในละครโปรดักชันของราวน์อเบาท์ เธียเตอร์ คัมปะนี เรื่อง Nine มิวสิคัลที่ได้รับแรงบันดาลใจจากภาพยนตร์โดยเฟลลินีเรื่อง 8 ½ นอกจากนี้ เขายังได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลดรามา เดสก์ อวอร์ด, รางวัลเอาเตอร์ คริติกส์ เซอร์เคิล อวอร์ด, รางวัลดรามา ลีก อวอร์ดและรางวัลเธียเตอร์ เวิลด์ อวอร์ดสาขานักแสดงนำชายยอดเยี่ยมอีกด้วย ละครเรื่อง Nine กำกับโดยเดวิด เลโวซ์ และร่วมแสดงโดยชีตา ริเวรา
แบนเดอรัสได้ร่วมงานกับผู้กำกับและนักแสดงที่เก่งกาจที่สุดในฮอลลีวูดหลายคน ซึ่งรวมถึงการแสดงใน Desperado โดยโรเบิร์ต โรดริเกซ ที่เขาแสดงประกบซัลมา ฮาเย็คและซีเควล “Upon a Time in Mexico ที่แสดงประกบจอห์นนี เดปป์, Original Sin ที่แสดงประกบแองเจลินา โจลี, ภาพยนตร์เรื่อง Evita ของอลัน ปาร์คเกอร์ ที่แสดงประกบมาดอนนา และทำให้เขาได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลลูกโลกทองคำสาขานักแสดงนำชายยอดเยี่ยมเป็นครั้งแรก, ภาพยนตร์โดยมาร์ติน แคมป์เบลเรื่อง The Mask of Zorro ที่เขาแสดงประกบแคทเธอรีน ซีต้า-โจนส์ ซึ่งทำให้เขาได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลลูกโลกทองคำสาขานักแสดงนำชายยอดเยี่ยมเป็นครั้งที่สองและซีเควล The Legend of Zorro, ภาพยนตร์โดยนีล จอร์แดนเรื่อง Interview with a Vampire ที่ร่วมแสดงโดยทอม ครูซและแบรด พิตต์, ภาพยนตร์โดยโจนาธาน เดมม์เรื่อง Philadelphia ที่แสดงประกบทอม แฮงค์และเดนเซล วอชิงตัน, ภาพยนตร์โดยบิลลี ออกัสต์เรื่อง House of the Spirits ที่ร่วมแสดงโดยเมอริล สตรีพ และเกลนน์ โคลสและภาพยนตร์โดยไบรอัน เดอ พัลมาเรื่อง Femme Fatale
ผลงานภาพยนตร์เรื่องอื่นๆ ได้แก่ Take the Lead, ไตรภาค Spy Kids, Miami Rhapsody, Four Rooms, Assassins, Never Talk to Strangers, Two Much, The 13th Warrior, Play it to the Bone และ Ballistic: Ecks vs. Sever
เขาได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลลูกโลกทองคำสาขานักแสดงนำชายยอดเยี่ยมครั้งที่สามจากการแสดงของเขาในบทแพนโช วิลลา ผู้ฉาวโฉ่ในภาพยนตร์เอชบีโอปี 2003 เรื่อง And Starring Pancho Villa as Himself
แบนเดอรัสเกิดในเมืองมาลากา ประเทศสเปน เขาเข้าศึกษาที่สถาบันสคูล ออฟ ดรามาติก อาร์ตส์ในบ้านเกิดของเขา และหลังจากจบการศึกษา เขาก็เริ่มยึดอาชีพนักแสดงในคณะละครเล็กๆ ที่นั่น หลังจากนั้น เขาก็ย้ายไปกรุงมาดริดและกลายเป็นหนึ่งในนักแสดงของคณะละครเนชันแนล เธียเตอร์แห่งสเปน
ในปี 1982 แบนเดอรัสได้รับเลือกจากมือเขียนบท/ผู้กำกับเปโดร อัลโมโดวาร์ในภาพยนตร์เรื่อง Labyrinth of Passion นั่นเป็นภาพยนตร์เรื่องแรกในบรรดาห้าเรื่องที่เขาได้ร่วมงานกับผู้กำกับอัลโดโมวาร์ โดยเรื่องอื่นๆ ได้แก่ Matador, Law of Desire, Women on the Verge of a Nervous Breakdown และ Tie Me Up! Tie Me Down! ความสำเร็จระดับโลกของภาพยนตร์เหล่านี้นำเขาไปสู่ฮอลลีวูด ในขณะนี้ แบนเดอรัสได้ถูกวางตัวให้แสดงใน La Piel Que Habito (The Skin That I Inhabit) เขียนบทและกำกับโดยอัลโมโดวาร์ ซึ่งเป็นการกลับมาร่วมงานกันอีกครั้งหลังจาก 21 ปี
ล่าสุด เขาได้แสดงในภาพยนตร์โดยวู้ดดี้ อัลเลนเรื่อง You Will Meet A Tall Dark Stranger โดยโซนี คลาสสิกส์ โดยเขาได้ร่วมแสดงกับนาโอมิ วัตส์, แอนโธนี ฮ็อปกินส์, จอช โบรลินและฟรีดา พินโต นอกจากนี้ เขายังจะได้แสดงในแอ็กชันทริลเลอร์เรื่อง The Big Bang ที่กำกับโดยโทนี แครนท์และจะได้แสดงประกบแชนนิง ทาทัมและยวน แม็คเกรเกอร์ในภาพยนตร์โดยสตีเวน โซเดอร์เบิร์กห์เรื่อง Knockout ให้กับไลออนส์เกท เมื่อเร็วๆ นี้ เขาเพิ่งแสดงประกบลอรา ลินนีย์และเลียม นีสันใน The Other Man ที่กำกับโดยริชาร์ด แอร์
ในปีหน้านี้ แบนเดอรัสจะแสดงใน Black Gold ที่กำกับโดยฌอง ฌาคส์ แอนน็อด ประกบฟรีดา พินโต, มาร์ค สตรองและทาฮาร์ ราฮิม นอกจากนี้ เขายังพากย์เสียงภาพยนตร์อนิเมชันเรื่อง Puss in Boots ร่วมกับซัลมา ฮาเย็คอีกด้วย


ซัลมา ฮาเย็ค (Salma Hayek)—พากย์เสียง คิตตี้ ซอฟท์พอว์

          นักแสดงผู้ได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลอคาเดมี อวอร์ด ซัลมา ฮาเย็ค ได้พิสูจน์ตัวเองในฐานะนักแสดงหญิง ผู้อำนวยการสร้างและผู้กำกับที่ประสบความสำเร็จทั้งในจอแก้วและจอเงิน เธอได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลอคาเดมี อวอร์ด รางวัลลูกโลกทองคำ รางวัลแซ็ก อวอร์ด และรางวัลบาฟตา สาขานักแสดงนำหญิงยอดเยี่ยมจากบทนำในภาพยนตร์โดยจูลี เทย์มอร์เรื่อง Frida ปัจจุบัน เธอกำลังอยู่ระหว่างการถ่ายทำภาพยนตร์โดยโอลิเวอร์ สโตนเรื่อง Savages ร่วมกับเบนิซิโอ เดล โทโร, จอห์น ทราโวลต้า, อูมา เธอร์แมนและเบลค ไลฟ์ลี
   หลังจากนี้ ฮาเย็คจะมีผลงานการพากย์เสียงภาพยนตร์ดรีมเวิร์คส์เรื่อง Puss in Boots ซึ่งเป็นพรีเควลสำหรับ Shrek 2 ในบทคิตตี้ แมวสาวของแอนโทนิโอ แบนเดอรัส ภาพยนตร์เรื่องนี้มีกำหนดเข้าฉายในเดือนพฤศจิกายน ปี 2011 เมื่อเร็วๆ นี้ เธอเพิ่งจะปิดกล้องภาพยนตร์โดยผู้กำกับชาวฝรั่งเศส แมทธิว เดมี เรื่อง Americano, ภาพยนตร์สเปนเรื่อง La Chispa de la Vida จากผู้กำกับอเล็กซ์ เดอ ลา อิเกลเซีย และ Here Comes The Boom คอเมดีจากผู้กำกับแฟรงค์ โคราซี ซึ่งเธอแสดงประกบเควิน เจมส์ ผู้เขียนบทเรื่องดังกล่าวด้วย Here Comes the Boom มีกำหนดเข้าฉายในปี 2012
   นอกเหนือจากโปรเจ็กต์ภาพยนตร์ที่ว่ามาแล้ว ฮาเย็คยังได้เปิดตัวไลน์ผลิตภัณฑ์เครื่องสำอาง ผลิตภัณฑ์บำรุงผิวและผิวในซัมเมอร์นี้ ในชื่อ Nuance Salma Hayek ไลน์ผลิตภัณฑ์ความงามที่มีสินค้า 100 ชิ้นนี้มีวางจำหน่ายเฉพาะที่ซีวีเอส ฟาร์มาซีส์ทั่วประเทศ และทุกชิ้นก็มีราคาต่ำกว่า 20 เหรียญ
   ล่าสุด ฮาเย็คได้แสดงประกบอดัม แซนด์เลอร์, เควิน เจมส์และคริส ร็อคในคอเมดีโดยโคลัมเบีย พิคเจอร์สเรื่อง Grown Ups เมื่อเร็วๆ นี้ เธอได้แสดงบทรับเชิญในซีรีส์ดังทางเอ็นบีซีเรื่อง 30 Rock เธอได้รับรางวัลเอ็มมีจากภาพยนตร์กำกับเรื่องแรกของเธอ The Maldonado Miracle ซึ่งเธออำนวยการสร้างด้วย ภาพยนตร์เรื่องนี้ ที่นำแสดงโดยปีเตอร์ ฟอนดา, แมร์ วินนิงแฮมและรูเบน เบลดส์ เปิดตัวในงานเทศกาลภาพยนตร์ซันแดนซ์ และแพร่ภาพในภายหลังทางโชว์ไทม์ งานกำกับล่าสุดของเธอคือมิวสิค วิดีโอซิงเกิลเพลง Te Amo Corazon ของปรินซ์ซึ่งแพร่ภาพครั้งแรกในเดือนมกราคม ปี 2006
   ผลงานภาพยนตร์เรื่องอื่นๆ ของฮาเย็คได้แก่ภาพยนตร์โดยพอล ไวท์เรื่อง The Vampire's Assistant ที่จัดจำหน่ายโดยยูนิเวอร์แซล, ภาพยนตร์โดยท็อดด์ โรบินสันเรื่อง Lonely Hearts ประกบจอห์น ทราโวลตาและเจมส์ แกนดอลฟินี, ภาพยนตร์โดยโรเบิร์ต ทาวน์เรื่อง Ask the Dust ประกบโคลิน ฟาร์เรลและอิดินา เมนเซล, ภาพยนตร์โดยลุค เบซงเรื่อง Bandidas ประกบเพเนโลเป้ ครูซ, ภาพยนตร์โดยเบรท แรทเนอร์เรื่อง After the Sunset, ภาพยนตร์โดยโรเบิร์ต โรดริเกซเรื่อง Once Upon a Time in Mexico, ภาพยนตร์โดยไมค์ ฟิกกิสเรื่อง Hotel และ Timecode, ภาพยนตร์โดยเควิน สมิธเรื่อง Dogma, คอเมดีเรื่อง Fools Rush In, From Dusk Till Dawn ที่กำกับโดยโรเบิร์ต โรดริเกซและเขียนบทโดยเควนติน ทารันติโนและภาพยนตร์โดยโรเบิร์ต โรดริเกซเรื่อง Desperado
   นับตั้งแต่ปี 2006 ฮาเย็คและโฮเซ ทาเมซ คู่หูในการอำนวยการสร้างของเธอ ก็ได้พัฒนา อำนวยการสร้างและซื้อสิทธิโปรเจ็กต์เมนสตรีม ที่มีธีมลาตินหรือไม่ก็มีชาวลาตินร่วมทำงานด้วยทั้งหน้ากล้องและหลังกล้อง สำหรับเอบีซี สตูดิโอส์ ปัจจุบัน ฮาเย็คดำรงตำแหน่งผู้ควบคุมงานสร้างซีรีส์เอบีซีที่ได้รับรางวัลเรื่อง Ugly Betty ที่นำแสดงโดยอเมริกา เฟอร์เรรา และสร้างขึ้นจากซีรีส์โคลัมเบียที่ประสบความสำเร็จอย่างสูงเรื่อง Yo Soy Betty, La Fea ในปี 2001 เธอได้นำแสดงและร่วมอำนวยการสร้างซีรีส์โชว์ไทม์เรื่อง In the Time of the Butterflies ซึ่งทำให้เธอได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลสมาพันธ์นักวิจารณ์ภาพยนตร์บรอดคาสต์ นอกจากนี้ ภาพยนตร์ที่อำนวยการสร้างโดยเวนทานาโรซา โปรดักชันส์ของฮาเย็คคือภาพยนตร์เม็กซิกันเรื่อง No One Writes to the Colonel ที่กำกับโดยอาร์ทูโร ริปสไตน์ และสร้างขึ้นจากนิยายโดยกาเบรียล การ์เซีย มาร์เกซ One Writes to the Colonel ได้รับเลือกให้เข้าฉายสายประกวดในงานเทศกาลภาพยนตร์เมืองคานส์ปี 1999
ฮาเย็คเกิดและเติบโตในควอทซาโคลคอส ประเทศเม็กซิโก เธอได้ศึกษาสาขาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศที่วิทยาลัยแห่งหนึ่งในเม็กซิโก ผลงานภาพยนตร์เม็กซิโกของเธอได้แก่ Midaq Alley ที่สร้างขึ้นจากนิยายโดยนากวิบ มาโฟซ เจ้าของรางวัลโนเบล
นอกจากนี้ ฮาเย็ค ผู้โด่งดังจากอาชีพนักแสดงของเธอ ยังได้ทุ่มเทเวลาส่วนหนึ่งของเธอให้กับกิจกรรมทางสังคม โดยฮาเย็คทำหน้าที่โฆษกให้กับองค์กรแพมเพอร์ส/ยูนิเซฟ ซึ่งช่วยเหลือการหยุดยั้งการแพร่กระจายของโรคร้ายที่ติดต่อผ่านแม่และโรคร้ายของเด็กแรกเกิด เธอทำหน้าที่เป็นโฆษกให้กับโครงการต่อต้านความรุนแรงภายในครัวเรือนของมูลนิธิเอวอน ซึ่งให้ความสำคัญกับการให้ความรู้ การรับรู้และการป้องกันเกี่ยวกับการใช้ความรุนแรงภายในครัวเรือน รวมทั้งให้การสนับสนุนเหยื่อของความรุนแรงดังกล่าว ในปี 2005 เธอได้พูดต่อหน้าสภาสูงของอเมริกา และกระตุ้นให้สมาชิกสภาให้ผ่านร่างพระราชบัญญัติการกระทำความรุนแรงต่อผู้หญิง ในเดือนมกราคม ปี 2006 มีการผ่านร่างพระราชบัญญัติดังกล่าว และมีการจัดสรรงบประมาณมูลค่า 3.9 พันล้านเหรียญให้กับหน่วยงานที่รับมือกับวิกฤตความรุนแรงภายในครัวเรือนหลายพันหน่วยงานทั่วทั้งอเมริกา ในเดือนเมษายน ปี 2005 ฮาเย็คได้ไปเยือนอาร์คติค เซอร์เคิล เพื่อเฉลิมฉลองวันเอิร์ธเดย์ เพื่อกระตุ้นให้มีการใส่ใจในอันตรายของภาวะโลกร้อนที่กำลังคุกคามชีวิตของชาวเอสกิโมและคนทั่วโลก ในเดือนพฤศจิกายน ปี 2005 เธอทำหน้าที่เป็นพิธีกรร่วมกับจูลีแอนน์ มัวร์ในคอนเสิร์ตรางวัลโนเบลในออสโล ซึ่งมอบรางวัลให้กับโมฮาเหม็ด เอล-บาราเด และหน่วยงานพลังงานปรมาณูนานาชาติของสหประชาชาติ นอกจากนี้ เธอยังเป็นส่วนหนึ่งของโครงการ เดอะ วัน ที่นักร้องและนักเคลื่อนไหว โบโน ได้สร้างขึ้น รวมทั้งเป็นสมาชิกคนหนึ่งของโกลบอล กรีนและยูธ เอดส์อีกด้วย


แซ็ค กาลิฟิอานาคิส (Zach Galifianakis)—พากย์เสียง ฮัมป์ตี้ อเล็กซานเดอร์ ดัมป์ตี้

          หลังจากที่สอบตกวิชาสุดท้ายเพราะขาดไปหนึ่งคะแนนในการเรียนที่มหาวิทยาลัยนอร์ธ แครอไลนา แซ็ค กาลิฟิอานาคิส ก็ย้ายไปนิวยอร์ก ซิตี้ เขาเริ่มต้นจากการแสดงอารมณ์ขันของตัวเองในหลังร้านแฮมเบอร์เกอร์ในไทม์ สแควร์ ก่อนจะขยับขยายไปแสดงสแตนด์อัพ คอเมดีในคลับและร้านกาแฟในตอนกลางคืน ระหว่างทำงานเป็นเด็กเสิร์ฟ เขาก็ได้งานแสดงชิ้นแรกเป็นซิทคอมเรื่อง Boston Common สำหรับเอ็นบีซี และหลังจากนั้น เขาก็มีผลงานการแสดงตามมามากมาย
   แซ็คได้แจ้งเกิดในภาพยนตร์บล็อกบัสเตอร์เรื่อง The Hangover ภาพยนตร์วอร์เนอร์ บรอส. ที่กำกับโดยท็อดด์ ฟิลลิปส์เรื่องนี้กลายเป็นคอเมดีเรท R ที่ทำรายได้สูงสุดตลอดกาล หลังจากนั้น เขาก็ได้แสดงนำในภาพยนตร์ไลฟ์แอ็กชันของดิสนีย์ที่อำนวยการสร้างโดยเจอร์รี บรัคไฮเมอร์เรื่อง G-Force ที่เปิดตัวที่อันดับหนึ่งในบ็อกซ์ออฟฟิศและทำรายได้ไปกว่า 290 ล้านเหรียญทั่วโลก ก่อนหน้านี้ กาลิฟิอานาคิสได้แสดงใน Due Date ซึ่งทำให้เขาได้ร่วามงานกับผู้กำกับท็อดด์ ฟิลลิปส์และวอร์เนอร์ บรอส. อีกครั้ง และเขาก็ได้แสดงประกบโรเบิร์ต ดาวนีย์ จูเนียร์ด้วย นอกจากนี้ เขายังได้ร่วมแสดงในภาพยนตร์โดยโฟกัส ฟีเจอร์เรื่อง It’s Kind of a Funny Story
   ก่อนหน้านี้ แซ็คได้แสดงประกบสตีฟ คาร์เรลและพอล รัดด์ในภาพยนตร์โดยพาราเมาท์ พิคเจอร์สเรื่อง Dinner for Schmucks ผลงานภาพยนตร์เรื่องอื่นๆ ของเขาได้แก่ภาพยนตร์อินดีเรื่อง Youth in Revolt ประกบไมเคิล เซรา, สตีฟ บุสเชมีและเรย์ ลิออตาและบทคามีโอในภาพยนตร์ที่ได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลอคาเดมี อวอร์ดโดยเจสัน ไรท์แมนเรื่อง Up in the Air นอกจากนี้ เขายังได้ร่วมแสดงกับคาเมรอน ดิแอซและแอชตัน คุทเชอร์ในภาพยนตร์โดยฟ็อกซ์เรื่อง What Happens in Vegas และภาพยนตร์ที่ได้รับเสียงวิจารณ์ชื่นชมเรื่อง Into the Wild จากพาราเมาท์ แวนเทจและผู้กำกับฌอน เพนน์
   ด้านจอแก้ว แซ็คได้แสดงในคอเมดีเอชบีโอเรื่อง Bored to Death กับเจสัน ชวอร์ทซ์แมนและเท็ด แดนสัน ซึ่งจะเริ่มถ่ายทำซีซันที่สี่ในฤดูใบไม้ผลิปีหน้า ก่อนหน้านี้ เขาเป็นพิธีกรรายการทอล์คโชว์ชื่อดังทางวีเอชวัน Late World with Zach และได้เขียนบทและนำแสดงใน Dog Bites Man สำหรับคอเมดี เซ็นทรัล
« Last Edit: October 29, 2011, 01:38:58 PM by happy »

happy on October 29, 2011, 01:42:22 PM
บิลลี บ็อบ ธอร์นตัน (Billy Bob Thornton)—พากย์เสียง แจ็ค

          บิลลี บ็อบ ธอร์นตัน มือเขียนบท นักแสดง ผู้กำกับและนักดนตรี ผู้เคยคว้ารางวัลอคาเดมี อวอร์ดมาแล้ว มีผลงานที่น่าประทับใจมากมายในแวดวงจอเงิน จอแก้วและละครเวที ธอร์นตัน นักแสดงผู้มีเสน่ห์และพรสวรรค์น่าทึ่ง ได้สร้างชื่อเสียงให้กับตัวเองในฐานะหนึ่งในผู้กำกับที่เป็นที่ต้องการตัวมากที่สุดในรุ่นของเขา
ปัจจุบัน บิลลี บ็อบ ธอร์นตันกำลังอยู่ในช่วงขาขึ้น ล่าสุด เขาได้นำแสดงในภาพยนตร์แอ็กชันทริลเลอร์เรื่อง Faster ที่ร่วมแสดงโดยดเวย์น จอห์นสัน, ภาพยนตร์ที่ดัดแปลงจากนิยายเบสต์เซลเลอร์โดยเบรท อีสตัน เอลลิสเรื่อง The Informers และคอเมดีตลกร้ายโดยพี่น้องตระกูลโปลิชเรื่อง Manure โปรเจ็กต์ล่าสุดเรื่องอื่นๆ ของเขาได้แก่ภาพยนตร์พาราเมาท์เรื่อง Eagle Eye, คอเมดีโดยนิวไลน์ ซีเนมาเรื่อง Mr. Woodcock, ภาพยนตร์วอร์เนอร์ บรอส. พิคเจอร์สเรื่อง The Astronaut Farmer ที่กำกับโดยพี่น้องโปลิช, School For Scoundrels, รีเมกเรื่อง The Bad News Bears สำหรับพาราเมาท์ พิคเจอร์ส และ Friday Night Lights สำหรับยูนิเวอร์แซล พิคเจอร์ส เขาได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลลูกโลกทองคำสาขานักแสดงนำชายยอดเยี่ยมประเภทมิวสิคัลหรือคอเมดีจากบทของเขาในภาพยนตร์ที่ได้รับเสียงวิจารณ์ชื่นชมเรื่อง Bad Santa และได้รับเสียงชื่นชมอย่างล้นหลามจากบทเดวี คร็อกเก็ตต์ ทหารในตำนานในภาพยนตร์โดยทัชสโตน พิคเจอร์สเรื่อง The Alamo
ในซัมเมอร์นี้ ธอร์นตันจะไปทำงานเบื้องหลังเพื่อกำกับและนำแสดงในดรามารวมดาราเรื่อง Jayne Mansfield’s Car จากบทภาพยนตร์ดั้งเดิมที่ร่วมเขียนโดยธอร์นตันและทอม เอ็พเพอร์ตตัน เพื่อนร่วมงานเก่าแก่ของเขา (One False Move, Sling Blade) และร่วมแสดงโดยโรเบิร์ต ดูวัลล์, จอห์น เฮิร์ท, เควิน เบคอน, โรเบิร์ต แพทริคและเรย์ สตีเวนสัน นอกจากนี้ เขายังได้กำกับ The King of Luck สารคดีเกี่ยวกับตำนานแห่งวงการดนตรีคันทรี วิลลีย์ เนลสัน เพื่อนเก่าของเขาอีกด้วย
ในปี 2001 ธอร์นตันได้แสดงให้เห็นถึงความสามารถในการแสดงที่หลากหลาย ด้วยการแสดงประกบบรูซ วิลลิสและเคท บลังเชตต์ในคอเมดีโจรกรรมเรื่อง Bandits ภายใต้การกำกับของแบร์รี เลวินสัน, ภาพยนตร์นัวร์เรื่อง The Man Who Wasn’t There ของพี่น้องโคเอนและดรามาสะเทือนใจเรื่อง Monster’s Ball ซึ่งเขาแสดงประกบฮัลลี เบอร์รี, ปีเตอร์ บอยล์และฮีธ เล็ดเจอร์
การแสดงทั้งสามครั้งทำให้ธอร์นตันได้รับเสียงวิจารณ์ชื่นชมอย่างไม่เคยปรากฏมาก่อน และทำให้เขาได้รับรางวัลนักแสดงนำชายยอดเยี่ยมจากสมาพันธ์นักวิจารณ์แห่งชาติปี 2001 ได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลลูกโลกทองคำสาขานักแสดงนำชายยอดเยี่ยมประเภทดรามาจาก The Man Who Wasn’t There และสาขานักแสดงนำชายยอดเยี่ยมประเภทมิวสิคัลหรือคอเมดีจาก Bandits และได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลสถาบันภาพยนตร์อเมริกันสาขานักแสดงนำชายยอดเยี่ยมจาก The Man Who Wasn’t There
   ภาพยนตร์ที่ได้รับเสียงวิจารณ์ชื่นชมและได้รับความนิยมอย่างล้นหลามของธอร์นตันในปี 1996 เรื่อง Sling Blade ซึ่งเขานำแสดงและกำกับจากบทภาพยนตร์ดั้งเดิมที่เขาเขียนขึ้นเอง ได้ตอกย้ำสถานะของเขาในฐานะผู้กำกับชั้นเยี่ยมในทันที ผลงานของเขาในเรื่องนี้ทำให้เขาได้รับรางวัลอคาเดมี อวอร์ดสาขาบทภาพยนตร์ดัดแปลงยอดเยี่ยมและได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลอคาเดมี อวอร์ดสาขานักแสดงนำชายยอดเยี่ยม ภาพยนตร์เรื่องนี้ ที่อำนวยการสร้างโดยชู้ตติ้ง แกลเลอรีและจัดจำหน่ายโดยมิราแมกซ์ ร่วมแสดงโดยโรเบิร์ต ดูวัลล์, เจที วอลช์, ดไวท์ โยคุมและจอห์น ริตเตอร์
ก่อนหน้า Sling Blade ธอร์นตันก็มีผลงานภาพยนตร์มากมายอยู่แล้ว เขาได้เขียนบทและนำแสดงในดรามาลุ้นระทึกเรื่อง One False Move ที่ทำให้เขาได้รับเสียงวิจารณ์ชื่นชมในทันที บทภาพยนตร์ที่ทรงพลังของเขา (ที่ร่วมเขียนกับทอม เอ็พเพอร์สัน) ได้ถูกขับเน้นมากขึ้นด้วยการแสดงเข้มข้นของเขาในบทอาชญากรที่ถูกตามไล่ล่า ภาพยนตร์เรื่องนี้ ที่กำกับโดยคาร์ล แฟรงค์ลิน ประสบความสำเร็จสูงอย่างที่ไม่มีใครคาดคิด
นอกเหนือจากนั้น ธอร์นตันยังได้ร่วมแสดงในภาพยนตร์เรื่อง The Winner ให้กับผู้กำกับอเล็กซ์ ค็อกซ์, ภาพยนตร์พาราเมาท์เรื่อง Indecent Proposal ที่กำกับโดยเอเดรียน ไลน์, Deadman สำหรับผู้กำกับจิม จาร์มัสช์ให้กับมิราแมกซ์และ Tombstone ที่กำกับโดยจอร์จ คอสมาทอสให้กับบัวนา วิสต้า พิคเจอร์ส นอกจากนี้ ธอร์นตันยังได้ร่วมแสดงในภาพยนตร์เรื่อง On Deadly Ground, Bound By Honor, For The Boys และ The Stars Fell on Henrietta อีกด้วย
ในฐานะมือเขียนบท ธอร์นตันได้ทำงานในโปรเจ็กต์หลายหลายให้กับยูไนเต็ด อาร์ติสท์, มิราแมกซ์, ยูนิเวอร์แซล สตูดิโอส์, วอร์เนอร์ บรอส., ทัชสโตน พิคเจอร์ส, ไอส์แลนด์ พิคเจอร์ส, เดวิด เจฟเฟน โปรดักชันส์และเอชบีโอ นอกจากนี้ เขายังได้เขียนบทเรื่อง A Family Thing ภาพยนตร์ที่ได้รับการยกย่องอย่างสูง และนำแสดงโดยโรเบิร์ต ดูวัลล์และเจมส์ เอิร์ล โจนส์ ให้กับยูไนเต็ด อาร์ติสท์อีกด้วย
ธอร์นตันได้ร่วมแสดงกับบรูซ วิลลิสในภาพยนตร์แอ็กชัน ผจญภัยบล็อกบัสเตอร์เรื่อง Armageddon ให้กับผู้อำนวยการสร้างเจอร์รี บรัคไฮเมอร์ และได้ร่วมแสดงกับฌอน เพนน์และนิค โนลเต้ใน U-Turn ที่กำกับโดยโอลิเวอร์ สโตนและแสดงประกบจอห์น ทราโวลตาและเอ็มมา ธอมป์สันในภาพยนตร์เรื่อง Primary Colors ที่กำกับโดยไมค์ นิโคลส์ นอกจากนี้ เขายังได้แสดงประกบจอห์น คูแซ็คในภาพยนตร์คอเมดีตลกร้ายเรื่อง Pushing Tin อีกด้วย
ธอร์นตันได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลอคาเดมี อวอร์ดและรางวัลลูกโลกทองคำสาขานักแสดงสมทบชายยอดเยี่ยมจากการแสดงที่น่ายกย่องของเขาในดรามาซับซ้อนเรื่อง A Simple Plan ให้กับผู้กำกับแซม ไรมี และได้รับรางวัลนักแสดงสมทบชายยอดเยี่ยมจากสมาพันธ์นักวิจารณ์ภาพยนตร์ลอสแองเจลิสและได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลแซ็ก อวอร์ดสาขานักแสดงสมทบชายยอดเยี่ยม
   สำหรับผลงานกำกับครั้งที่สองและครั้งที่สามของเขา ธอร์นตันได้เลือกคอเมดีเรื่อง Daddy And Them ซึ่งเขาเขียนบทและนำแสดงเองและอีพิคเรื่อง All The Pretty Horses ที่สร้างจากนิยายเบสต์เซลเลอร์โดยคอร์มัค แม็คคาร์ธีย์ และนำแสดงโดยแมทท์ เดมอน, เพเนโลเป้ ครูซและเฮนรี โธมัส
นอกจากนี้ ธอร์นตันยังได้ร่วมเขียนบทภาพยนตร์เรื่อง The Gift ที่นำแสดงโดยเคท บลังเชตต์, จิโอวันนี ริบิซีและฮิลลารี สแวงค์อีกด้วย ผลงานภาพยนตร์เรื่องอื่นๆ ของเขาได้แก่คอเมดีเรื่อง Waking Up In Reno ที่ร่วมแสดงโดยชาร์ลิซ เธอรอน, แพทริค สเวซีย์และนาตาชา ริชาร์ดสัน ให้กับมิราแมกซ์ ฟิล์มส์, ดรามาเรื่อง Levity ที่เขาร่วมแสดงกับมอร์แกน ฟรีแมน, ฮอลลี ฮันเตอร์และเคิร์สเตน ดันส์, Intolerable Cruelty ที่ร่วมแสดงกับจอร์จ คลูนีย์และแคทเธอรีน ซีต้า โจนส์และ Love Actually ที่ร่วมแสดงกับฮิวจ์ แกรนท์, ลอรา ลินนีย์และเลียม นีสัน


เอมี เซดาริส (Amy Sedaris)—พากย์เสียง จิล

          เอมี เซดาริส เป็นสาวสวยชาวกรีซ เจ้าของส่วนสูงห้าฟุต ผู้มาจากนอร์ธ แครอไลนาและศึกษาและร่วมแสดงกับคณะเซคคันด์ ซิตี้แห่งชิคาโก ผลงานละครในนิวยอร์กของเธอได้แก่ Wonder of the World (ได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลลูซิลล์ ลอร์เทล อวอร์ด), The Country Club (ดรามา เด็พท์), The Most Fabulous Story Ever Told and Talent Family Plays (เขียนบทโดยเดวิดและเอมี เซดาริส), Jamboree, Stump the Host, Stitches, One Woman Shoe (โอบี อวอร์ด), The Little Frieda Mysteries (อังกอร์ อวอร์ด), Incident at Cobble Knob (ลินคอล์น เซ็นเตอร์) และล่าสุด The Book of Liz (ดรามา เด็พท์) และผลงานในโรงละครภูมิภาคได้แก่ The Country Club (ลอง วอร์ฟ)
ผลงานซีรีส์ของเธอได้แก่ Exit 57 และ Strangers with Candy (สำหรับคอเมดี เซ็นทรัลทั้งสองเรื่อง) และบทประจำใน Just Shoot Me, Sex & the City, Monk, Hot in Cleveland และ Raising Hope
ผลงานภาพยนตร์ของเธอได้แก่ Snowflake, Dedication, Shrek 3, Snow Angels, Bewitched, Strangers With Candy – The Movie, Chicken Little, Full Grown Men, Romance & Cigarettes ที่กำกับโดยจอห์น เทอร์ทูโร, Maid in Manhattan, School of Rock และ Elf
ในเดือนตุลาคมปี 2006 เธอได้ตีพิมพ์หนังสือเรื่อง I Like You: Hospitality Under the Influence ออกมา และหนังสือเล่มที่สองของเธอ Simple Times: Crafts for Poor People ก็ได้ตีพิมพ์ในเดือนพฤศจิกายน ปี 2010 และกลายเป็นเบสต์เซลเลอร์ของนิวยอร์ก ไทม์ทันที
เอมีได้แสดงประกบนีล แพทริคและบอนนี ซอมเมอร์วิลล์ในภาพยนตร์โดยจอช เชลอฟเรื่อง The Best and the Brightest ซึ่งเข้าฉายในเดือนมิถุนายน ในฤดูใบไม้ร่วงนี้ เอมีจะได้แสดงใน Beware the Gonzo (โดยผู้กำกับไบรอัน โกลูบอฟ ประกบแคมป์เบล สก็อตและเอซารา มิลเลอร์) และ Tanner Hall (โดยมือเขียนบท/ผู้กำกับฟรานเชสกา เกรกอรินีและทาเทียนา ฟอน เฟอร์สเทนเบิร์ก ประกบรูนีย์ มาราและคริส คัททัน) นอกจากนี้ เธอยังพากย์เสียง จิล ใน Puss in Boots ซึ่งจะจัดจำหน่ายโดยดรีมเวิร์คส์ในเดือนพฤศจิกายน ปีนี้
เอมีทำงานเพื่อสนับสนุนธุรกิจคัพเค้กและชีสบอลของตัวเอง

happy on November 19, 2011, 08:55:13 PM
 :) :-*