happy on October 19, 2012, 05:13:54 PM
The Master
จัดจำหน่ายโดย เอ็ม พิคเจอร์ส
ชื่อภาษาไทย เดอะมาสเตอร์ บารมีสมองเพชร
ภาพยนตร์แนว ดราม่า
จากประเทศ สหรัฐอเมริกา
กำหนดฉาย 22 พฤศจิกายน 2555
ณ โรงภาพยนตร์ โรงภาพยนตร์ในเครือเมเจอร์ซีนีเพล็กซ์
ผู้กำกับ Paul Thomas Anderson
(พอล โธมัส แอนเดอร์สัน)
อำนวยการสร้าง JoAnn Sellar (โจแอน เซลลาร์)
นักแสดง Philip Seymour Hoffman (ฟิลิป เซย์มัวร์ ฮอฟแมน) จาก MoneyBall , Mission : Impossible III , Jack Goes Boating , Clod Mountain
Joaquin Phoenix (วาคิน ฟินิกซ์) จาก Gladiator , Walk the Line , Signs , The Village
Amy Adams (เอมี่ อดัมส์) จาก Enchanted, The Muppets , Catch me if You can , The Fighter
Laura Dern (ลอรา เดิร์น) จาก Jurassic Park , Blue Velvet , Inland Empire , Wild at Heart
จุดดเด่น THE MASTER ผลงานเรื่องที่หกของพอล โธมัส แอนเดอร์สัน เผยถึงเรื่องราวความเป็นมนุษย์ที่เจิดจรัส ภายในบรรยากาศของความโหยหาทางจิตวิญญาณในช่วงปี 1950 ภาพยนตร์เรื่องนี้ติดตามความเปลี่ยนแปลงในชีวิตของเฟร็ดดี้ ที่รับบทโดย วาคิน ฟินิกซ์ อดีตนายทหารเรือผู้มีอารมณ์ปรวนแปร เขาไม่สามารถปรับตัวให้เข้ากับชีวิตประจำวันได้รวมถึงการเดินทางที่ไม่คาดฝันของเขาเมื่อเขาได้เจอกับขบวนการเกิดใหม่ในชื่อของ เดอะ คอส เฟร็ดดี้ ผู้ติดต่อกับเดอะ คอสในฐานะคนนอกและคนพเนจร ท้ายที่สุดแล้วกลับกลายเป็นเหมือนตัวแทนทายาทของผู้นำผู้มีสีสันของพวกเขา แลนคาสเตอร์ ด็อดด์ ผู้รับบทฟิลิป เซย์มัวร์ ฮอฟแมน กระนั้น แม้ในระหว่างที่เดอะ คอส ล้วงลึกเข้าไปในการควบคุมอารมณ์ของมนุษย์ มิตรภาพระหว่างเฟร็ดดี้และด็อดด์จะพัฒนาไปสู่สงครามประสาทที่ดุเดือดและไม่เปิดเผยเรื่องย่อ หลังสงครามโลกครั้งที่สองอเมริกาที่ไร้ความสงบสุขได้บังเกิดขึ้นมันเป็นช่วงเวลาของการเติบโตและความทะเยอทะยานของประเทศอย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน หากแต่มันก็ก่อเกิดความรู้สึกกระสับกระส่าย ไม่สงบสุข และการปะทะกันขององค์ประกอบที่ขัดแย้งกันเหล่านี้ได้กระตุ้นให้เกิดวัฒนธรรมของการไขว่คว้าและค้นหา ที่ยังคงยืนยาวต่อเนื่องมาจนถึงศตวรรษที่ 21 คนหนุ่มกลับมาจากความมืดหม่นที่เกินกว่าความเข้าใจได้ของสงคราม และได้สร้างโลกใหม่ของการบริโภคนิยมและการมองโลกในแง่บวกที่สดใสขึ้นมา แต่หลายคนก็โหยหาบางสิ่งบางอย่างมากกว่านั้นในชีวิต โหยหาที่จะยึดเหนี่ยวบางสิ่งบางอย่างที่ยิ่งใหญ่กว่าพวกเขาเอง บางสิ่งที่จะระงับอาการวิตกกังวล ความสับสน และความป่าเถื่อนของโลกสมัยใหม่ได้
ภาพสะท้อนที่น่าประทับใจของเหล่านักพเนจรและผู้แสวงหาสิ่งเติมเต็มในอเมริกาช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 THE MASTER ภาพยนตร์โดยพอล โธมัส แอนเดอร์สัน ได้บอกเล่าการเดินทางของ เฟร็ดดี้ (วาคิน ฟินิกซ์) อดีตทหารเรือ ผู้กลับจากสงคราม ด้วยความรู้สึกหวั่นไหวและไม่มั่นใจในอนาคตของตัวเองจนกระทั่งเขาถูกทาบทามโดยองค์กรเดอะ คอส และผู้นำที่มีเสน่ห์ของพวกเขา แลนคาสเตอร์ ด็อดด์ (ฟิลิป เซย์มัวร์ ฮอฟแมน) เอมี อดัมส์ รับบท เพ็กกี้ ภรรยาของด็อดด์[size]
เกี่ยวกับนักแสดง
พอล โธมัส แอนเดอร์สัน ผู้ได้รับการเสนอชื่อชิงหลายรางวัลอคาเดมี อวอร์ด ได้วางภาพยนตร์แต่ละเรื่องของเขาให้อยู่สุดขอบของเรื่องราวทางอารมณ์ ครอบครัวและประวัติศาสร์ HARD EIGHT ภาพยนตร์เรื่องแรกของเขาได้บอกเล่าเรื่องราวของผีพนันชาวลาสเวกัส ผู้ให้ที่พักพิงกับนักพนันตกอับโดยมีผลที่คาดไม่ถึงตามมา ผลงานเรื่องถัดไปของเขาคือ BOOGIE NIGHTS ซึ่งเป็นเรื่องเกี่ยวกับกลุ่มคนในแวดวงภาพยนตร์สำหรับผู้ใหญ่ ผู้สร้างครอบครัวที่ผิดแปลกจากขนบขึ้นมา, MAGNOLIA เรื่องราวที่ร้อยเรียงกันของวิกฤติส่วนตัวที่เชื่อมติดกัน ใ นค่ำคืนมหัศจรรย์ในซาน เฟอร์นันโด วัลลีย์และ PUNCH-DRUNK LOVE โรแมนติกคอเมดีเกี่ยวกับการพบกับความรักและความตื่นกลัวที่น่าสับสนของนักธุรกิจขี้เหงา, THERE WILL BE BLOOD การดำดิ่งลงไปในแคลิฟอร์เนียช่วงเปลี่ยนศตวรรษเพื่อถ่ายทอดตำนานอันยิ่งใหญ่ของนักสำรวจน้ำมัน ผู้เปลี่ยนตัวเองและเมืองทั้งเมืองจากการขุดหาน้ำมัน
สำหรับ THE MASTER แอนเดอร์สันสนใจในการถือกำเนิดของครอบครัวอเมริกันแบบใหม่ ที่เกิดขึ้นจากเถ้าถ่านของสงครามโลกครั้งที่สอง กลุ่มของจิตวิญญาณทางเลือกและศาสนาที่ก่อตั้งขึ้นใหม่ ตั้งแต่การบำเพ็ญตบะแบบตะวันออก ไปจนถึงไดอะเนติคส์ ยุค 50s กลายเป็นช่วงเวลาที่หลายคนเริ่มสร้างสังคมรากหญ้า ที่อุทิศตนให้กับการส่งเสริมศักยภาพของมนุษย์อันยิ่งใหญ่ให้กลายเป็นจริง
“มันเป็นพื้นที่ที่อุดมสมบูรณ์ต่อการเล่าเรื่องราวที่น่าติดตามและอลังการครับ” แอนเดอร์สันพูดถึงความหลงใหลที่เขามีต่อช่วงเวลาของการเปลี่ยนแปลงทางวัฒนธรรมและการผจญภัยทางจิตวิญญาณนี้ “การย้อนกลับไปสู่จุดเริ่มต้นของทุกสิ่งทำให้คุณได้เห็นว่าความตั้งใจอันดีเป็นอย่างไร และสิ่งที่จุดประกายให้ผู้คนอยากจะเปลี่ยนแปลงตัวเองและโลกรอบตัวคืออะไร ช่วงเวลาหลังสงครามโลกครั้งที่สองเป็นช่วงเวลาที่คนมองไปยังอนาคตด้วยความหวังเต็มเปี่ยม แต่ในขณะเดียวกัน พวกเขาก็รับมือกับความเจ็บปวดและความตายที่เห็นจากกระจกหลังด้วยครับ”
เขากล่าวต่อไปว่า “ตัวละครของผมกลับจากสงครามโลกครั้งที่สองและรู้สึกไม่สงบสุขตลอดชีวิต มีคนกล่าวว่าช่วงเวลาไหนก็เหมาะทั้งนั้นสำหรับการเริ่มต้นการเคลื่อนไหวทางจิตวิญญาณหรือศาสนา แต่ช่วงเวลาที่ได้ผลเป็นพิเศษคือช่วงหลังสงคราม หลังจากความตายและความพินาศมากมาย คนจะตั้งคำถามว่า ‘ทำไมล่ะ’ และ ‘คนตายแล้วไปไหน’ นั่นเป็นคำถามสองคำถามที่สำคัญมากๆ”
คำถามที่ว่า “ทำไม” เป็นตัวขับดันให้เกิดการสร้างตัวละคร เฟร็ดดี้ ผู้ซึ่งรู้สึกเคว้งคว้างในชีวิตและจมดิ่งเข้าสู่ความไม่รู้สึกรู้สา ในตอนที่เขาได้พบกับแลนคาสเตอร์ ด็อดด์ นายทหารเรือผู้เชื่อว่าเขาได้ค้นพบคำตอบบางอย่างที่ว่ามนุษยชาติจะสามารถเอาชนะธรรมชาติความเป็นสัตว์ที่ดิบเถื่อนที่สุดของตัวเองได้อย่างไร ด้วยเฟร็ดดี้เป็นจุดศูนย์กลาง เรื่องราวนี้ก็เจาะลึกลงไปในความเป็นส่วนตัวของเขา ติดตามเส้นทางที่ลดเลี้ยวเคี้ยวคดของเขากับเดอะ คอส เส้นทางที่ทั้งท้าทาย และซื่อสัตย์ เปี่ยมด้วยความหวังและพังพินาศ ไม่แน่นอนและเต็มไปด้วยความรู้สึกรุนแรง และอุดมไปด้วยความฝันและความหวังในแบบที่ทิ่มแทงผ่านความเป็นจริงของการเล่าเรื่อง
ผู้อำนวยการสร้างโจแอน เซลลาร์ ผู้ได้ร่วมทำงานในภาพยนตร์ทุกเรื่องของพอล โธมัส แอนเดอร์สันตั้งแต่ BOOGIE NIGHTS จำได้ว่าได้เฝ้ามองโปรเจ็กต์ในช่วงพัฒนาการ “พอลสนใจในไอเดียที่ว่าสงครามจะส่งผลอย่างไรต่อคุณบ้าง และพอถึงปี 1950 คุณก็จะได้พบชายหนุ่มเหล่านี้ที่กลับคืนสู่มาตุภูมิ เพื่อหาที่ทางของตัวเองในโลกอีกครั้งหนึ่ง มันเป็นเวลาที่เหล่าผู้หลงทางมองหาคำตอบ และหนทางที่นำไปสู่การก่อตั้งกลุ่มก้อนทางจิตวิญญาณใหม่ๆ ซึ่งหนึ่งในนั้นคือไดอาเนติคส์ เป็นสิ่งที่ทำให้พอลสนใจ แน่นอนค่ะว่าพอลไม่ได้สนใจในการสร้างภาพยนตร์นอนฟิคชัน มันไม่ใช่มุมมองของเขา การสร้างเดอะ คอสของเขาอาจได้รับแรงบันดาลใจมากจากงานวิจัยของเขา แต่เรื่องราวก็นำเขาไปยังอีกทิศทางหนึ่งหลังจากนั้นค่ะ”
“มันกลายเป็นเรื่องราวของเฟร็ดดี้” เซลลาร์กล่าวต่อ “ในแง่หนึ่ง เฟร็ดดี้เป็นคนภายนอกแบบคลาสสิก ที่เข้ามาสู่สังคมหนึ่งและเปลี่ยนแปลงมันไป และผลที่ตามมาก็คือเรื่องรักที่โศกสลดระหว่างเฟร็ดดี้และท่านอาจารย์ เฟร็ดดี้ใฝ่ฝันที่จะได้เป็นส่วนหนึ่งของสิ่งที่ยิ่งใหญ่กว่าตัวเอง แต่เขาก็ไม่อาจถูกยึดติดกับมันได้ ส่วนท่านอาจารย์ก็ใฝ่ฝันที่จะให้เฟร็ดดี้เป็นลูกชายที่เขาไม่เคยมี แต่เขาก็ทำไม่สำเร็จ”
แอนเดอร์สันกล่าวว่า เขาได้ทำการอ่านข้อมูลทางประวัติศาสตร์มากมายจากยุคนั้น ตั้งแต่สไตน์เบ็คจนถึงแอล. รอน ฮับบาร์ด แต่ก็ตั้งข้อสังเกตว่า “ถ้าคุณไม่ได้สร้างหนังนอนฟิคชันหรือชีวประวัติ ก็หวังว่าเส้นแบ่งระหว่างการค้นคว้าข้อมูลและจินตนาการจะเลือนลางไปนะครับ”
จริงๆ แล้ว บทภาพยนตร์เรื่องนี้ได้ผ่านความเปลี่ยนแปลงหลายครั้ง เมื่อจินตนาการเข้ามามีส่วนและเดอะ คอสก็ถือกำเนิดขึ้นในฐานะองค์กรที่เป็นตัวของตัวเอง เป็นตัวแทนครอบครัวที่พบตัวเองเปราะบางต่อกลุ่มอำนาจที่ทรงพลังทั้งหลายรวมถึงสายสัมพันธ์ทางเลือดที่ซับซ้อนอีกด้วย แต่ละฉากอัดแน่นไปด้วยการแบ่งขั้วของความเป็นปฏิปักษ์และความรัก ความใฝ่ฝันและความสับสนภายในตัวละครหลัก
“ในตอนนี้ เมื่อผมมองดูหนังเรื่องนี้ ผมมองดูเฟร็ดดี้และท่านอาจารย์ว่าเป็นคนสองคนที่พยายามอย่างเหลือเกินที่จะอยู่ด้วยกันและเชื่อมกันให้ติด” แอนเดอร์สันพูดถึงทั้งคู่ “ผมคิดว่าพวกเขามองเห็นความเข้มแข็งของกันและกันและรู้สึกถึงความปรารถนาที่จะช่วยลบล้างจุดอ่อนของอีกฝ่าย ผมมองทั้งคู่ว่าเป็นคนมีเมตตา ที่มีวิธีการที่แตกต่างกันในการสื่อสารสิ่งที่พวกเขามีเพื่อส่งต่อน่ะครับ”
เมื่อบทภาพยนตร์ฉบับสมบูรณ์เริ่มเป็นรูปเป็นร่างขึ้นในกองถ่าย มันก็กลายเป็นเหมือนความฝันที่ไม่มีวันจบสิ้นของธีมช่วงหลังสงคราม ธีมของการค้นหาความรู้สึกที่แท้จริงของการเป็นครอบครัว ศรัทธา ความสำเร็จและความผูกพัน ที่เผยออกมาในฉากที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน ผู้อำนวยการสร้างแดเนียล ลูพี ผู้ทำงานในภาพยนตร์ทุกเรื่องของแอนเดอร์สันตั้งแต่เริ่มแรกกล่าวว่า “บทหนังเรื่องนี้ทำให้เรานึกถึง BOOGIE NIGHTS มากเพราะหนังเรื่องนั้นอาจมีเรื่องราวเกิดขึ้นในแวดวงหนังโป๊ก็จริง แต่จริงๆ แล้ว มันเป็นเรื่องเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างสมาชิกในครอบครัวที่แปลกประหลาด เดอะ คอสก็เป็นครอบครัวที่ซับซ้อนเหมือนกัน”
ในขณะที่องค์ประกอบสร้างสรรค์ต่างๆ ถูกกลั่นกรอง แรงสนับสนุนก็เข้ามาเพิ่มเติมด้วยผู้อำนวยการสร้างเมแกน เอลลิสัน ผู้ก่อตั้งแอนนาพูร์นา พิคเจอร์สขึ้น เพื่อสนับสนุนภาพยนตร์ของผู้กำกับ ที่มีวิสัยทัศน์ชัดเจนอย่างแอนเดอร์สัน “เมแกน เอลลิสันปรากฏตัวราวกับนางฟ้าผู้โบยบินลงมาและบอกว่า ‘ฉันรักโปรเจ็กต์นี้ เรามาลงมือสร้างมันกันเถอะ’ น่ะค่ะ” เซลลาร์เล่า “ตอนนั้นเองที่ทุกอย่างเริ่มเกิดขึ้นจริงๆ”
« Last Edit: October 19, 2012, 05:16:53 PM by happy »
Logged