happy on October 31, 2011, 01:39:10 PM

ผลงานจากผู้กำกับMIRACLEและPRIDE AND GLORY
สองคนสายเลือดเดียวกัน ความเข้มข้นไม่ต่างกัน
ได้รับเสียงวิจารณ์ตอบรับชื่นชมมากที่สุดเป็นประวัติการณ์
“นี่คือภาพยนตร์ที่ดีที่สุดแห่งปี”
“การโชว์พลังแสดงยอดเยี่ยมที่ดีที่สุดของนักแสดงนำ”


เรื่องย่อ

               ดาราดาวรุ่ง ทอม ฮาร์ดี้ และ โจเอล เอ็ดเกอร์ตัน โคจรมาพบกันบนจอเงินในบทพี่น้องคู่แค้นที่ต้องต่อสู้กันเองบนสังเวียนแห่งชีวิตในภาพยนตร์แอ๊คชั่นดราม่าจากค่าย Liongate เรื่อง “Warrior” ที่กำกับโดยผู้กำกับชื่อดัง เกวิน โอ คอนเนอร์ (Miracle และ Pride and Glory)
   นาวิกโยธินทอมมี่ คอนลอน (ฮาร์ดี้) ผู้ถูกอดีตตามหลอกหลอน กลับบ้านเป็นครั้งแรกในรอบ 14 ปีเพื่อขอให้พ่อ (นิค นอลตี้) ช่วยฝึกเขาสำหรับ “สปาร์ต้า” การแข่งขันศิลปะการต่อสู้แบบผสมผสานที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ที่ผู้ชนะจะได้ครองรางวัลมูลค่ามหาศาล เส้นทางสู่ชัยชนะของทอมมี่สดใสด้วยความที่เคยเป็นนักมวยปล้ำฝีมือดีมาก่อน ขณะที่เบรนแดน (เอ็ดเกอร์ตัน) พี่ชายอดีตนักสู้ที่ผันตัวมาเป็นครู กำลังสิ้นหวังด้วยปัญหาหนี้สินของครอบครัวและเข้าร่วมการแข่งขันด้วยหวังจะชนะเงินรางวัลก้อนใหญ่ เมื่อไก่รองบ่อนอย่างเบรนแดนโคจรมาพบกับนักสู้ผู้ไม่มีวันยอมแพ้อย่างทอมมี่ซึ่งเป็นน้องชายของเขาเอง ทั้งคู่ต้องเผชิญหน้ากันบนสังเวียนและรับมือกับความกดดันรอบข้างที่ทำให้พวกเขาห่างเหิน จนในที่สุดนำไปสู่ไคลแม็กซ์อันน่าจดจำที่ต้องดูด้วยตาตนเองจึงจะเชื่อ
   “Warrior” คือเรื่องราวของการไถ่บาป การประสานรอยร้าว และพลังแห่งจิตวิญญาณมนุษย์ รวมถึงสายสัมพันธ์ที่ไม่วันขาดจากกันของครอบครัว นำแสดงโดยโจเอล เอ็ดเกอร์ตัน (Animal Kingdom, Starwars: Episode III), ทอม ฮาร์ดี้ (The Dark Knight Rise ที่กำลังจะเข้าฉาย, Inception, Black Hawke Down), เจนนิเฟอร์ มอร์ริสัน (House, Star Trek), และนิค นอลตี้ (Tropic Thunder, The Thin Red Line) กำกับโดย เกวิน โอคอนเนอร์ บทภาพยนตร์โดย เกวิน โอคอนเนอร์, แอนโธนี่ แทมบาคิส และคลิฟฟ์ ดอร์ฟแมน และเรื่องโดย เกวิน โอ คอนเนอร์ และคลิฟ ดอร์ฟแมน ผลงานจากบริษัท Liongate, Mimran Schur Pictures และ Filmtribe








« Last Edit: October 31, 2011, 02:13:23 PM by happy »

happy on October 31, 2011, 01:50:23 PM
เกี่ยวกับงานสร้าง

“คุณต่อสู้เพื่ออะไร”
   นั่นคือคำถามหัวใจของ “Warrior” ภาพยนตร์โดยเกวิน โอคอนเนอร์ ที่นำผู้ชมเข้าสู่โลกของกีฬาประเภทหนึ่งอย่างเข้มข้นชนิดที่ยังไม่เคยมีภาพยนตร์เรื่องใดเคยนำเสนอมาก่อน ยิ่งไปกว่านั้น หนังยังถ่ายถอดเรื่องราวการเดินจากความแตกร้าวสู่การคืนดีของครอบครัว และสู่หัวใจของพี่น้องคู่หนึ่ง ที่น้องชายต่อสู้เพื่อชาติ ส่วนพี่ชายต่อสู้เพื่อครอบครัว ซึ่งทั้งคู่ต้องใช้ความแข็งแกร่งและความกล้าหาญอย่างมาก
   “Warrior” คือส่วนผสมที่ลงตัวระหว่างศิลปะการต่อสู้แบบผสมผสาน (Mixed Martial Arts - MMA) กับเรื่องราวเกี่ยวกับครอบครัวที่สุดแสนคลาสสิค ความจริงแล้ว เรื่องราวว่าด้วยพี่น้องคู่แค้นที่ต้องมาเผชิญหน้ากัน ถือเป็นหัวข้อเก่าแก่ของวรรณกรรม และการถ่ายทอดให้เป็นภาพยนตร์ร่วมสมัยคือความตั้งใจของโอคอนเนอร์ จริงอยู่ที่หนังเปิดโอกาสให้เขาได้นำเสนอกีฬาที่ยังไม่ค่อยเป็นที่นิยม แต่เรื่องราวนั้นเกี่ยวกับและสำหรับ “คนที่ใช้ชีวิตอย่างนักรบ” วีรบุรุษต่อสู้เพื่อโอกาสและความสัมพันธ์ที่ดีกว่าอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน
   หนังเปิดฉากขึ้นเมื่อทอมมี่ คอนลอน (ทอม ฮาร์ดี้) กลับมาหาครอบครัวที่หันหลังให้นานหลายปี ตั้งแต่แม่พาเขาหนีไปจากแพดดี้ พ่อนิสัยแย่ (นิค นอลตี้) ส่วนเบรนแดน (โจเอล เอ็ดเกอร์ตัน) พี่ชายของเขา อยู่กับพ่อเพื่อที่จะได้ใกล้ชิด เทส (เจนนิเฟอร์ มอร์ริสัน) แฟนสาวที่คบกันตั้งแต่เรียนมัธยมจนแต่งงานกันในปัจจุบัน แม้ว่าความสัมพันธ์ระหว่างทอมมี่กับแพ็ดดี้จะดีขึ้นเพราะต้องฝึกต่อสู้ด้วยกัน แต่ทอมมี่กับพี่ชายนั้นแทบไม่ได้คุยกันเลยตอนที่ทั้งคู่เรียกเสียงฮือฮาจากการเผชิญหน้ากันบนสังเวียนสปาร์ต้าที่ถ่ายทอดทางโทรทัศน์ไปทั่วประเทศ โอคอนเนอร์อธิบายว่าการต่อสู้ทุกครั้งคือฉากหลังของ “เรื่องราวเกี่ยวกับพี่น้องคู่แค้นที่วันนี้ต้องรับมือกับอดีตบนสังเวียน โดยสื่อสารกันผ่านการแลกหมัดเพื่อเยียวยาสถานการณ์อันแสนเจ็บปวด”   
   แม้ว่าสองพี่น้องจะต้องเผชิญความขัดแย้งที่สั่งสมมานานหลายปีในศึกการต่อสู้ครั้งนี้ แต่ทั้งคู่ต่างก็มีเรื่องให้หนักใจยิ่งกว่าปัญหาความสัมพันธ์ระหว่างกัน ทั้งสองคนต้องการคว้ารางวัลเงินก้อนใหญ่ด้วยเหตุผลที่ต่างกัน ครอบครัวของเบรนแดนกำลังประสบวิกฤติทางการเงินอย่างหนัก เขาและเทสเป็นหนี้บ้านท่วมหัว หลังจากทำทุกวิถีทางจนท้อ เบรนแดนซึ่งเป็นครูโรงเรียนมัธยมมานาน ก็ตัดสินใจหวนคืนวงการหมัดมวยและเข้าชกในสังเวียนใต้ดินเพื่อหาเงินประทังชีวิตเดือนต่อเดือนจนกว่าจะหาทางออกได้ แม้การต่อยมวยจะทำให้งานครูของเขาเสีย แต่การกลับไปชกมวยในโรงรถเพื่อหาเงินอย่างสิ้นหวังนั้น กลับทำให้เขาฮึดที่จะเป็นนักสู้อย่างจริงจัง แม้อายุจะมากขึ้นและห่างหายจากวงการไปนาน
   ส่วนทอมมี่ใช้ชีวิตเพียงลำพัง ตรงข้ามกับเบรนแดน เขาเข้าร่วมกองทัพนาวิกโยธินหลังจากที่แม่เสียชีวิต และมีชีวิตลุ่มๆ ดอนๆ ตั้งแต่กลับมาจากอิรัก ครั้งแรกที่เราได้รู้จักตัวละครทอมมี่ อดีตของเขาเป็นปริศนาและเราไม่อาจรู้ว่าแรงจูงใจในการแข่งขันของเขาคืออะไร แต่เมื่อเรื่องราวดำเนินไป เราก็ได้รู้ว่าเขาสัญญากับเพื่อนทหารผู้ล่วงลับไว้ว่าจะดูแลครอบครัวของเพื่อนถ้าเขาตายไป วันนี้เขาจึงเข้าแข่งขันเพื่อนำเงินไปทำตามสัญญา ถ้าชนะ เขาจะมอบเงินทั้งหมดให้ภรรยาและลูกน้อยของเพื่อน
   การทำให้คนดูเห็นใจและเอาใจช่วยพี่น้องคู่นี้อย่างเท่าเทียมกันคือความท้าทายอย่างที่สุดของการทำหนังเรื่องนี้ เพราะทั้งสองคนต่างมีเหตุผลสำคัญในการต่อสู้ อย่างที่โอคอนเนอร์บอกว่า “คุณเชียร์ทั้งทอมมี่และเบรนแดนให้ชนะ” แต่แล้วคนดูก็ต้องตัดสินใจว่าจะเชียร์ใครเมื่อทั้งคู่มาชิงชัยกันเอง โอคอนเนอร์คิดว่า แม้ทอมมี่จะมีเหตุผลอันน่าสรรเสริญในการเข้าร่วมการแข่งขัน แต่ถ้าจะดูหนังให้สนุก คนดูก็ต้องพร้อมที่จะเห็นเขาแพ้ด้วย เพราะการที่เขาแพ้ ความจริงก็คือชนะด้วยในเวลาเดียวกัน โอคอนเนอร์กล่าวว่า “ชัยชนะของทอมมี่คือความพ่ายแพ้ เพราะเขาพบกับความล่มสลายทางจิตวิญญาณ”
   ในหลายแง่ หนังเรื่องนี้สะท้อนรสนิยมการทำหนังของโอคอนเนอร์ เพื่อนร่วมงานหลายคนของเขามองว่า Warrior มีเรื่องราวและให้ความรู้สึกคล้ายกับ “Miracle” และ “Pride and Glory” หนังเรื่องก่อนๆ ของเขา “เกวินทำให้หนังอย่าง “Miracle” น่าตื่นเต้นและน่าลุ้น คุณจะลุ้นตัวโก่งในตอนจบ แม้จะรู้อยู่แล้วว่าจะเกิดอะไรขึ้น” ผู้อำนวยการสร้าง เกร็ก โอคอนเนอร์ อธิบาย “เขาเล่นฟุตบอลตำแหน่งไลน์แบ็คเกอร์ที่มหาวิทยาลัย เขาเข้าใจกีฬาและมิตรภาพ หนังตำรวจสุดเข้ม “Pride and Glory” คือวิวัฒนาการของเกวิน ขณะที่หนังติดเรทอาร์อย่าง “Miracle” หวังกลุ่มผู้ชมวงกว้าง” เกร็ก โอคอนเนอร์กล่าวว่า “Warrior” นำสิ่งที่ดีที่สุดของหนังสองเรื่องนั้นมาผสมกัน “คุณจะได้เต็มอิ่มและลุ้นตัวโก่งกับกีฬาเหมือนใน “Miracle” ขณะเดียวกันก็จะได้ซึ้งกับเรื่องราวความสัมพันธ์ระหว่างพ่อลูกที่ห่างเหินกันไปและกลับมาคืนดีกันใหม่ คล้ายๆ กับใน “Pride and Glory” ซึ่งทำให้หนังเรื่องนี้สมบูรณ์แบบสำหรับเกวิน”
   อีกสิ่งหนึ่งที่ทำให้หนังเรื่องนี้เหมาะสมกับเกวินคือชื่อเสียงในโลกหมัดมวยของเขาที่ได้มาหลังจากสร้างสารคดีปี 2003 ของ HBO เรื่อง “The Smashing Machine: The Life and Times of Mark Kerr” ที่นำเสนอชีวิตของเคอร์ นักกีฬาศิลปะการต่อสู้แบบผสมผสานอย่างถึงแก่นทั้งในและนอกสังเวียน เมื่อเขาต้องต่อสู้กับปีศาจภายในและพยายามรักษาชีวิตส่วนตัวเอาไว้ ขณะที่ต้องเดินทางไปทั่วโลกในฐานะมืออาชีพด้านศิลปะการต่อสู้แบบผสมผสาน หนังได้รับคำชมเป็นพิเศษที่นำเสนอเคอร์ในฐานะผู้ชายมีความคิดที่ตัดสินใจเข้าสูวงการกีฬาอันตรายชนิดนี้โดยไตร่ตรองอย่างถ้วนถี่ การนำเสนอเรื่องราวอย่างตรงไปตรงมาเป็นที่เลื่องลือในแวดวงการต่อสู้ ทำให้นักสู้ทั้งหลายให้การสนับสนุนโอคอนเนอร์เมื่อเขาต้องการทำหนังเกี่ยวกับวงการนี้ เจเจ เพอร์รี่ ผู้ประสานงานสตันท์แมนและออกแบบคิวบู๊ของหนังเรื่องนี้กล่าวว่า “”Smashing Machine คือหนังสารคดีในดวงใจของผม มันถ่ายทอดวงการศิลปะการต่อสู้แบบผสมผสานได้เป็นอย่างดีและอกกฉายก่อนที่กีฬาประเภทนี้จะเป็นที่นิยม ผมรู้เลยว่าถ้าหนังเรื่อง Warrior อยู่ในมือคนๆ นี้ แสดงว่ามันได้อยู่กับคนที่เข้าใจสิ่งที่สตันท์แมนอย่างพวกเรารัก นั่นคือศิลปะการต่อสู้ และจะถ่ายทอดมันออกมาอย่างยุติธรรม นั่นทำให้พวกเรามาอยู่ตรงนี้”
   เรื่องราวอันน่าติดตามนั้นมาจากไอเดียตั้งต้นของโอคอนเนอร์เกี่ยวกับพี่น้องที่ไม่ได้เจอกัน 14 ปี และต้องมาต่อสู้เพื่อชิงชัยกัน โดยต่างก็เป็นไก่รองบ่อนทั้งคู่ แม้เรื่องจะฟังดูไกลตัว แต่การนำเสนอของแอนโธนี่ แทมเบคิส และเกวินเข้าตำราคำกล่าวของอริสโตเติลที่ว่า “ความเป็นไปไม่ได้ที่น่าเชื่อนั้นดีกว่าความเป็นไปได้ที่ไม่น่าเชื่อถือ” สำหรับพวกเขา ในโลกของนิยาย ทุกอย่างล้วนเป็นไปได้หากเล่าอย่างสมจริง แม้ว่าเรื่องจะเริ่มต้นด้วยสองสถานการณ์ที่ไม่ธรรมดาและมีฉากไคลแม็กซ์เป็นฉากต่อสู้ การเดินทางของพี่น้องคู่นี้ก็ยังมีความซื่อตรง แทมเบคิสเขียนเรื่องนี้จากตัวอย่างจริงของพี่น้องวิลเลี่ยมส์ที่แข่งกันในวิมเบิลดัน พี่น้องแมนนิ่งที่แข่งกันในซูเปอร์โบว์ และพี่น้องคลิทช์โกชาวยูเครนที่ชิงแชมป์เฮฟวี่เวทกัน “มันดูเหมือนเป็นไปไม่ได้ แต่มันเป็นไปได้” เขาอธิบายถึงการสร้างเรื่องที่ดูเป็นไปไม่ได้ให้สมจริง
   การเล่าเรื่องอย่างมีศิลปะเช่นนี้ทำให้หนังไม่จำกัดกลุ่มคนดูอยู่เพียงแฟนกีฬา แม้ว่า “Warrior” จะนำเสนอเรื่องราวเกี่ยวกับกีฬา แต่หนังก็มีกลุ่มเป้าหมายเป็นคนดูทั่วไปด้วย ถึงคนดูเหล่านั้นจะไม่คุ้นเคยกับกีฬาชนิดนี้ โอคอนเนอร์อธิบายว่านั่นไม่ใช่ปัญหา  ”แม้โดยทางเทคนิคแล้วคุณจะไม่รู้จักกีฬาชนิดนี้ แต่คุณจะเข้าใจอารมณ์ของมัน เพราะฉากต่อสู้ทุกฉากมีเรื่องราวที่ชัดเจน ก็ง่ายๆ แบบว่า ‘ฉันเชียร์เขา และถ้ามือเขาชูขึ้น แปลว่าเขาชนะ ส่วนอีกคนนึงแพ้’” คนดูอาจไม่เข้าใจเทคนิคการล็อคแขนหรือการทุ่ม แต่ก็ไม่เป็นไร เพราะพวกเขาจะเข้าใจสาระของแต่ละฉาก การต่อสู้มีเรื่องราวและอารมณ์สอดแทรกอยู่อย่างชัดเจน แทมเบคิส ผู้เขียนบทร่วมเพิ่มเติมว่า “การพูดว่า “Warrior” เป็นหนังต่อสู้ ก็เหมือนพูดว่า “Rocky” เป็นหนังชกมวย หรือพูดว่า “Breaking Away” เป็นหนังปั่นจักรยาน หรือ “Hoosiers” เป็นหนังบาสเกตบอล ซึ่งมันไม่ใช่ มันเป็นหนังที่เล่าชีวิตตัวละครโดยมีฉากหลังเป็นโลกเฉพาะต่างหาก เหมือนหนังดีๆ เรื่องอื่นที่เรื่องราวเกิดขึ้นในโลกเฉพาะ” ดูหนังเหล่านั้นแล้ว คนดูจะได้เรียนรู้เรื่องราวของโลกที่เมื่อก่อนไม่เคยรู้จักเลย หนังเรื่องนี้ก็เช่นกัน
   หนังเรื่องนี้ นอกจากมีความตั้งใจจะถ่ายทอดแง่มุมเฉพาะตัวต่างๆ ของกีฬาที่ไม่ค่อยเป็นที่รู้จักชนิดนี้แล้ว อีกคำถามหนึ่งที่ต้องใส่ใจก็คือ จะเลือกนักแสดงอย่างไรดี จะเลือกนักกีฬาที่ฝึกแสดงได้ หรือนักแสดงที่ฝึกกีฬาได้ดี โอคอนเนอร์ไม่ลังเลในข้อนี้เลย ความซับซ้อนทางอารมณ์ของตัวละครต้องการนักแสดงที่มีประสบการณ์มารับบท เขาเชื่อว่าความสัมพันธ์ระหว่างผู้กำกับและนักแสดงและภาษาสามัญของหนังเป็นเรื่องสำคัญ และนั่นก็เป็นเหตุผลที่เพียงพอให้เขาออกตามหานักแสดงที่มีลักษณะของนักกีฬาและสามารถสวมวิญาณนักสู้ได้เมื่ออยู่บนจอ               
   การหานักแสดงที่ต้องมีบุคลิกเฉพาะตัวหลายอย่างเพื่อมารับบท ทอมมี่ คอนลอน ที่ทำสิ่งที่ไม่น่าทำหลายอย่าง และสิ่งที่เขาทำนั้นหลายครั้งไม่ใช่สิ่งดี แต่แก่นแท้เขาเป็นคนดีและคนดูต้องมองเห็น ซึ่งนี่คือข้อสำคัญที่ต้องคำนึงถึงเป็นอันดับแรก โอคอนเนอร์เรียกนักแสดงกว่า 200 คนมาอ่านบท แล้วเรียกทอม ฮาร์ดี้มาคุยเป็นการส่วนตัวหลังโทรศัพท์คุยกันแค่ครั้งเดียว “มันไม่เหมือนการทดสอบบททั่วไป” ฮาร์ดี้กล่าว เขามั่นใจเรื่องการแสดง แต่ไม่แน่ใจว่าจะสามารถเปลี่ยนสำเนียง ฟิตร่างกาย และปิดช่องว่างทางวัฒนธรรมเพื่อรับบทนี้ได้หรือเปล่า หลังจากเล่าความกังวลให้โอคอนเนอร์ฟัง ทั้งคู่ก็ปักหลักที่สหรัฐอเมริกาเพื่ออ่านบท พัฒนาและวิเคระห์อะไรต่างๆ เพื่อเตรียมพร้อมฮาร์ดี้สำหรับบทนี้ ประสบการณ์ครั้งนั้นลึกซึ้งกว่าที่โอคอนเนอร์คาดคิด เขาเล่าว่า “ฮาร์ดี้มาที่บ้านพบตอนกลางดึกวันอาทิตย์โดยไม่บอกล่วงหน้า มีเสียงเคาะประตูแล้ว ทอม ฮาร์ดี้ ก็ยืนอยู่ตรงนั้น เขาควรจะไปนอนโรงแรม แต่ดันมาอยู่บ้านผมตั้งห้าวัน เขาไม่ไปไหนเลย ผมก็เลยได้ทำความรู้จักเขาเป็นอย่างดี และคุณสมบัติความเป็นคนของเขาก็ตรงกับตัวละครมาก
   เอ็ดเกอร์ตัน นักแสดงร่วมของฮาร์ดี้ เชื่อว่าคนที่มีชีวิตนอกจอน่าสนใจ เมื่อปรากฏตัวบนจอหนังก็ต้องน่าสนใจ และการแสดงของฮาร์ดี้ก็เป็นอย่างนั้น เขาคิดว่าสิ่งสำคัญของการรับบทตัวละครเลือดร้อนแบบนี้คือ “ทอมเป็นตัวละครจากชีวิตจริง เป็นผู้ชายที่น่ารัก ร่าเริง มีความคิด และฉลาด เขาเป็นคนซับซ้อนซึ่งมองเห็นได้จากงานของเขา”
   ขั้นต่อไปคือการหานักแสดงที่จะมารับบทเบรนแดน พี่ชายของทอมมี่ พี่น้องคู่นี้ตรงข้ามกัน ภายนอกทอมมี่ดูเกรี้ยวกราด แต่ภายในเป็นคนโอบอ้อมอารี ขณะที่เบรนดอนภายนอกดูเป็นผู้ใหญ่และมีความคิด แต่ซ่อนวิญญาณนักสู้ที่ดุดันไว้ภายใน ด้วยดีกรีคาราเต้สายดำและมีน้องชายเป็นผู้ประสานงานคิวบู๊ชื่อดังในออสเตรเลีย โจเอล เอ็ดเกอร์ตันถือว่ามีภูมิหลังอย่างที่โอคอนเนอร์ตามหา ทั้งยังมีความซับซ้อนตรงกับทของเบรนแดนด้วย โอคอนเนอร์ต้องการนักแสดงที่คนดูสัมผัสได้ถึงความซื่อตรงที่เต็มเปี่ยม ความซื่อตรงนั้นต้องลอยออกมา ไม่สามารถเสแสร้งได้ นอกจากนี้บทยังต้องการนักแสดงที่คนดูเห็นแล้วเชื่อว่ามีอดีตด้วย “เบรนแดนเป็นนักมวยเมื่อตอนวัยรุ่น แล้วเกิดปัญหา” โอคอนเนอร์กล่าว “แต่เขาพัฒนาตัวเองกลายเป็นผู้ใหญ่ เป็นพ่อ เป็นสามี แต่ก็มีบางอย่างที่ติดตัวเขามา เพราะฉะนั้นเมื่อมองตาเขาแล้วคุณต้องรู้ว่าเขาสามารถเข้าตาจน กินเหล้า และออกหมัดได้” นี่คือสมดุลที่โอคอนเนอร์คิดว่านักแสดงออสเตรเลียยุคปัจจุบันมีชัดเจนกว่านักแสดงอเมริกันยุคเดียวกัน ประมาณว่าเป็นความลึกลับแบบออสซี่ นิค นอลตี้ นักแสดงร่วมของเอ็ดเกอร์ตันก็มีส่วนในการชี้ให้เห็น “จิตวิญญาณการริเริ่ม” จากนักแสดงออสเตรเลียรุ่นเดียวกับเขา
   เจนนิเฟอร์ มอร์ริสัน กล่าวถึงสามีในจอของเธอว่า “โจเอลเป็นคนจิตใจดี เขาต้องการสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับคนรอบข้างเสมอ และเป็นคนที่มีวินัยมาก คุณสมบัติเหล่านี้ซึมเข้าไปในตัวละครทำให้คุณเอาใจช่วยเขา ไม่ว่าจะเป็นการหาทางช่วยครอบครัวเรื่องเงินหรือการขึ้นชกบนสังเวียน คุณจะอยากให้เขาชนะ”
   การคัดตัวนักแสดงมารับบทแพดดี้ ไม่ได้ค้นหานักแสดงสัญชาติอื่น ความจริงเกวินหาจากแถวบ้านเขานั่นแหละ บทของแพดดี้คือชายที่ต้องการการไถ่บาปเป็นอย่างมาก บทนี้ความจริงแล้วเขียนขึ้นสำหรับ นิค นอลตี้ เพื่อนและเพื่อนบ้านของเกวินที่แต่เดิมได้รับการวางตัวให้แสดงใน “Pride and Glory” แต่ด้วยปัญหาเรื่องคิวทำให้ต้องถอนตัวไปในนาทีสุดท้าย โอคอนเนอร์และแทมเบคิสต่างก็เป็นแฟนหนังของนอลตี้มาตั้งแต่เด็กและตั้งใจแน่วแน่ที่จะเขียนบทพิเศษให้เขาแสดง ที่ตลกก็คือโอคอนเนอร์แกล้งทำเป็นเสนอรายชื่อนักแสดงสำหรับบทนี้ให้ทีมงานพิจารณาโดยหวังว่าสุดท้ายแล้วบทจะตกเป็นของนอลตี้ “เขาคือสมบัติของชาติ” โอคอนเนอร์กล่าว “ผมอยากให้เขาแสดงบทที่คู่ควรกับฝีมือและหวังว่าเขาจะแสดงให้ทุกคนเห็นว่าเขามีความสามารถมากแค่ไหน”
   “การแสดงคือกีฬาสำหรับนอลตี้” ฮาร์ดี้พูดถึงนักแสดงร่วมของเขา “คือเป็นการร่วมงานกับใครซักคนที่จะตัดสินคุณจากการแสดงออก เขาเป็นเส้นลวดที่ชีวิต เป็นนักแสดงที่ยอดเยี่ยมมาก”
   แม้ว่าหนังจะเน้นความสัมพันธ์ระหว่างพ่อลูกและพี่น้อง แต่ผู้อำนวยการสร้าง เกร็ก โอคอนเนอร์ กล่าวว่าถ้ามองหลายแง่ ตัวละครเทสของเจนนิเฟอร์ มอร์ริสัน คือชีพจรของหนัง ขณะที่แพดดี้อยู่เบื้องหลังการต่อสู้ของทอมมี่ เป็นผู้ฝึกให้เขา เทสคือคนที่เป็นกำลังใจให้เบรนแดน “ถ้าไม่ได้ความเป็นผู้หญิงของเทสที่เชื่อมผู้ชายเหล่านี้ไว้ด้วยกัน ก็คงไม่มีหนังเรื่องนี้” นิค นอลตี้กล่าว คนดูต้องอินกับความสัมพันธ์ระหว่างเบรนแดนกับเทสเพื่อที่จะได้ซาบซึ้งกับฉากต่อู้สุดท้ายหรือความจริงคือทั้งเรื่อง ดังนั้นทีมผู้สร้างจึงเตรียมตัวพลิกแผ่นดินค้นหานักแสดงที่จะมารับบทเทส แต่ผิดคาดที่โอคอนเนอร์เลือกมอร์ริสันซึ่งเป็นแค่นักแสดงหญิงคนที่ห้าที่เข้ามาอ่านบท “เกิดขึ้นไม่บ่อยนะแบบนี้ เธอมีพร้อมทุกอย่าง ทั้งความกระตือรือร้น ความเห็นอกเห็นใจผู้อืน ความเซ็กซี่ ความแข็งแกร่ง และความเป็นแม่” เอ็ดเกอร์ตัน สามีในจอของเธอก็เห็นด้วย “ความอบอุ่นของเจนกลายเป็นความอบอุ่นของเทส นางฟ้าที่คุณเห็นบนจอนั้นเป็นคุณสมบัติที่ไม่สามารถแสร้งทำได้”
   สำหรับนักแสดงทุกคน ความเข้าใจความสัมพันธ์อันซับซ้อนและสะเทือนอารมณ์ของตัวละครนั้นคือสิ่งสำคัญสำหรับการเตรียมตัวรับบท ทอมมี่และเบรนแดนไม่ได้เจอกัน 14 ปีและเข้ากันไม่ค่อยได้ เมื่อกลับมาเจอกันอีกครั้งจึงเหมือนคนแปลกหน้า ในทางกลับกัน เบรนแดนและเทสใช้ชีวิตร่วมกันถึง 14 ปีตั้งแต่คบกันสมัยเรียนมัธยม ความท้าทายคือนักแสดงแต่ละคนต้องแสดงให้เห็นอย่างน่าเชื่อถือถึงช่วงเวลาที่ขาดหายไปหรือช่วงเวลาที่ใช้ร่วมกัน โอคอนเนอร์กับนักแสดงพูดคุยกันถึงทุกแง่มุมของหนังอย่างละเอียดก่อนการถ่ายทำจนเข้าใจบทอย่างลึกซึ้งทุกอณู
   สถานที่ถ่ายทำของ Warrior อาจสำคัญพอๆ กับการคัดเลือกนักแสดงที่กล่าวมาข้างต้น หลังจากพิจารณาสถานที่ชนชั้นแรงงานดิบๆ หลายแห่ง เช่น อู่เรือและโรงยิมในลองบีช รัฐแคลิฟอร์เนีย ในที่สุดโอคอนเนอร์และทีมงานก็ตัดสินใจเลือกพิทซ์เบิร์กเป็นสถานที่ถ่ายทำและฉากหลังของเรื่อง “เพนซิลวาเนียคือเมืองมวยปล้ำ เมืองฟุตบอล ผมไปพิตซเบิร์กแล้วตกหลุมรักบทกวีชนชั้นแรงงานของเมืองนี้ ทั้งรถไฟ แม่น้ำ โบสถ์ บรรยากาศของมันตรงกับอารมณ์ของหนังเลย”
นอกจากนี้ทีมงานยังยอมละทิ้งเสน่ห์ของลาสเวกัสและเลือกบรรยากาศที่ดิบกว่าของเมืองแอตแลนติกซิตี้สำหรับฉากการแข่งขันด้วย “ผมชอบลุคของมัน” โอคอนเนอร์อธิบาย “มันเป็นศูนย์รวมกีฬามวยเมื่อหลายปีก่อน แต่ตอนนี้ถูกละเลย ผมชอบชายหาด ทางเดินไม้กระดานเก่าริมหาด และคาสิโนโทรมที่นั่น” แต่จุดขายของทีมงานคือไม่มีใครถ่ายภาพแอตแลนติคซิตี้มานานแล้ว ทุกแง่มุมของหนัง ตั้งแต่กีฬาที่กล่าวถึงและฉากหลังของมัน ทำให้หนังมีโอกาสนำเสนอโลกที่ไม่ค่อยมีคนได้เห็นในสื่อเท่าใดนัก






happy on October 31, 2011, 01:52:10 PM
          ผู้ประสานงานคิวบู๊อย่าง เจเจ เพอร์รี่ ก็พอใจกับสถานที่ถ่ายทำนี้เช่นกัน เขาบอกว่าเมืองอย่างพิตซ์เบิร์กทำให้ทุกคนมีสมาธิกับการฝึกและการทำงาน โดยเข้าสู่วงจร “กิน, ฝึก, นอน” ซึ่งถ้าถ่ายทำในเมืองใหญ่คงไม่เป็นแบบนี้
   แม้ว่าเอ็ดเกอร์ตันต้องเพิ่มกล้ามเนื้อขึ้นอีก 20 ปอนด์สำหรับบทนี้ แต่สไตล์การต่อสู้ของเขาไม่จำเป็นต้องฟิตให้บึ้กจนจำไม่ได้ เพอร์รี่กล่าวว่ารูปร่างของเอ็ดเกอร์ตันจะต่างจากฮาร์ดี้เพราะเขาเน้นไปทางเทคนิคการต่อสู้มากกว่า “เขาใช้จูจิตสึ เคลื่อนตัวอย่างคล่องแคล่ว และเป็นไก่รองบ่อนที่โผล่มาจากไหนก็ไม่รู้ ขณะที่ทอมเป็นเหมือนกระทิงดุที่พุ่งเข้าชนทุกอย่างที่ขวางหน้า” เอ็ดเกอร์ตันอธิบายถึงประสบการณ์การฝึกว่าเป็นการรวบรวมกาย ใจ และอารมณ์ให้เป็นหนึ่งเดียว
   ขณะที่นักแสดงนำทั้งสองต้องฝึกโหด 10 สัปดาห์ ทานอาหารโปรตีนสูงหกมื้อเล็กๆ ต่อวัน แต่ฮาร์ดี้คนเดียวที่ต้องยกเวทอย่างหนักเพื่อเพิ่มกล้ามเนื้อขึ้นอีก 20 ปอนด์ ฮาร์ดี้ไม่เคยมีประวัติเป็นนักกีฬาเหมือนเอ็ดเกอร์ตัน พ่อของเขาเป็นอาจารย์อยู่แคมบริดจ์ เขายอมรับว่าก่อนหน้านี้ไม่เคยต่อยมวยมาก่อนและไม่คุ้นเคยกับโลกของผู้ชายจัดๆ แบบนี้ กำหนดการฝึกในวันหนึ่งของฮาร์ดี้ประกอบด้วยต่อยมวยสองชั่วโมง ตามด้วยคิกบ็อกซิ่งและมวยไทยอีกสองชั่วโมง ตามด้วยคิวบู๊สองชั่วโมง และตบท้ายด้วยยกน้ำหนักอีกสองชั่วโมง ซึ่งเขาทำได้ไม่ขาดตกบกพร่อง (เพอร์รี่พูดถึงเขาอย่างรักใคร่ว่า “หนุ่มเกรี้ยวกราดปราศจาคแป้ง”) ความสำเร็จและร่างกายสุดฟิตที่ได้จากการรับบทนี้จะกลายเป็นสมบัติล้ำค่าของเขาตลอดกาล
   เอ็ดเกอร์ตันเล่าถึงช่วงเวลาดีๆ ระหว่างการถ่ายทำว่า “ผมจินตนาการมาตลอดว่าเมื่อขึ้นชก ฝูงชนจะหายไป และผมก็มีประสบการณ์แบบนั้นตอนเข้าฉาก คุณเห็นพวกเขา คุณได้ยินพวกเขา แต่ไม่รู้ทำไม พอขึ้นสังเวียน ทุกอย่างหายไปหมด และพอลงจากสังเวียน คุณจะคิดได้ว่า ‘จริงสิ มีคนเป็นพันดูอยู่’”
   เกร็ก แจคสัน คือที่ปรึกษาด้านเทคนิคของหนังเรื่องนี้ด้วยรางวัล MMA ระดับโลกถึงสามรางวัลและได้รับการขนานนามจากนิตยสาร Fight! ให้เป็นบุคคลทรงอิทธิพลอันดับ 8 ของวงการ MMA แจ็คสันมีลูกศิษย์ที่ประสบความสำเร็จหลายคน รวมถึงจอร์จ เซนต์ ปิแอร์ แชมป์ UFC เวลเตอร์เวทคนปัจจุบัน นอกจากนี้เขายังเป็นครูฝึกของเนท มาร์ควอร์ด อดีตแชมป์แพนเครสที่ปรากฎตัวในหนังด้วย ใน Warrior เขาได้รับความวางใจให้นำนักแสดงนำทั้งสองในการฝึก
   การถ่ายทำฉากต่อสู้เกิดขึ้น 6 สัปดาห์ติดต่อกัน โดยถ่ายฟุตเตจกว่า 200 ชั่วโมงสำหรับใช้ในหนัง เมื่อเปิดกล้อง สถานที่ฝึกเปลี่ยนจากอัลบูเคิร์กของแจ็คสันในนิวเม็กซิโกเป็นสมาคมการต่อสู้ในพิตซ์เบิร์กที่ควบสองบทบาท ทั้งเป็นฉากหลังของหนังและศูนย์ฝึกของนักแสดง แม้ว่านักแสดงทั้งสองจะมีตัวแสดงแทน แต่สุดท้ายแล้วเอ็ดเกอร์ตันและฮาร์ดี้ก็แสดงฉากต่อสู้เองอย่างน้อย 85 เปอร์เซ็นต์ แจ็คสันกล่าวว่า “ผมประทับใจคุณภาพของนักแสดงเรื่องนี้มาก พวกเขาอุทิศตนและเข้าใจว่าต้องทำอย่างไรถึงจะก้าวสู้ความเป็นนักสู้และครูฝึกระดับสูง พวกเขาฝึกหนักและผลลัพธ์ที่ได้ก็พิสูจน์ตัวมันเอง ผมรู้สึกเป็นเกียรติที่ได้เป็นส่วนหนึ่งของภาพยนตร์เรื่องสำคัญของศิลปะของเรา บทหนังแสดงให้เห็นส่งผลกระทบทางบวกของ MMA ต่อตัวบุคคลและครอบครัว”
   การถ่ายทำฉากการต่อสู้แบบผสมผสานคือความท้าทายเฉพาะตัว ประการแรก นวมที่ใช้ใน MMA คือขนาด 4 ออนซ์ ซึ่งบางกว่านวมมวยมากและนักแสดงต้องเปลือยอกและหัวเข่า โอกาสป้องกันน้อยอย่างนี้ เพอร์รี่กล่าวว่า “ถ้าเราถ่ายฉากต่อสู้ในไนต์คลับและตัวละครใส่เสื้อผ้า ผมจะสามารถใส่สนับเข่าและสนับศอกให้ได้ แอบทำอะไรได้เยอะ” แต่ก็มีการรอมชอมเล็กน้อยระหว่างการถ่ายทำ เช่น เปลี่ยนนวมบางๆ ให้เป็นนวมที่บางเท่ากันแต่แน่นขึ้น และติดสปริงบนพื้นลักษณะเดียวกับพื้นยิมนาสติกเพื่อรับแรงกระแทก เรียกว่านักแสดงนำทั้งคู่ต้องทุ่มตัวเองให้กับการถ่ายทำที่เสี่ยงต่อการเจ็บตัวจริงๆ
   นอกจากนี้พวกเขายังต้องเผชิญหน้ากับนักสู้ชั้นนำของโลกจากหลายสาขา รวมถึงแชมป์มวยปล้ำโอลิมปิกและวีรบุรุษแห่งเมืองพิตซ์เบิร์ก เคิร์ท แองเกิล ที่มารับบท โคบา แชมป์มวยปล้ำชาวรัสเซียที่หวังจะชนะการแข่งขันสปาร์ต้า แม้เขาจะปรากฎตัวในการแข่งขันเพียงครั้งเดียว แต่ก็ติดอยู่ในความทรงจำของคนดูตลอดทั้งเรื่องในฐานะคู่ต่อสู้ที่น่ากลัว ความจริงไม่ใช่เขาคนเดียวที่คนดูจะจดจำ แต่ยังรวมถึงนักสู้ระดับโลกคนอื่นๆ ที่ปรากฎตัวในหนังด้วย ไม่ว่าจะเป็น เนท มาร์ควอร์ด, เอริค แอปเปิล, แอนโธนี่ “รัมเบิล” จอห์นสัน, และอีฟ เอ็ดเวิร์ด
   ความท้าทายไม่ได้อยู่แค่การฝึกนักแสดงนำให้เป็นนักสู้ แต่ยังต้องฝึกนักสู้ตัวจริงที่ล้มคู่ต่อสู้มาตลอดชีวิตให้รู้จักเล่นคิวบู๊ด้วย คือให้พวกเขาออกหมัดโดยไม่ต้องออกแรงจริงๆ พูดง่ายๆ คือไม่ให้พวกเขาทำให้นักแสดงคนอื่นเจ็บตัว แต่ถึงแม้เพอร์รี่จะพยายามแล้ว แต่บางหมัดก็พลาดไปบ้างทำให้เกิดอุบัติเหตุระหว่างการถ่ายทำ เช่น ฮาร์ดี้เอ็นฉีก ข้อเท้าแพลง ซี่โครงร้าว และเอ็ดเกอร์ตันบาดเจ็บร้ายแรงที่เข่าขวาจนต้องหยุดการถ่ายทำ แม้ว่าหมอจะเตือนแล้ว แต่นักแสดงหนุ่มชาวออสเตรเลียก็กัดฟันถ่ายทำต่อจนเสร็จแม้หัวเข่าจะฉีก สิ่งสำคัญที่นักสู้ตัวจริงได้เรียนรู้อาจเป็นการยอมปล่อยวางสิ่งที่เคยรู้มาและยอมรับว่าสุดท้ายแล้วพวกเขาต้องแพ้การแข่งขันในหนัง
   นอกจากนักสู้ตัวจริงที่มาร่วมแสดงใน Warrior แล้ว หลายคนที่ปรากฎตัวในหนังหรืออยู่เบื้องหลังก็เป็นคนในแวดวงกีฬาที่มีชื่อเสียง หรือไม่ก็เป็นผู้คลั่งไคล้กีฬา
   ผู้ทำหน้าที่ตัดสินการต่อสู้ในหนังคือกรรมการมืออาชีพที่มีประสบการณ์ยาวนานอย่าง จอช โรเซนธอล ซึ่งเป็นหนึ่งในกรรมการระดับแนวหน้าของโลกและตัวเขาเองก็เป็นนักกีฬาจูจิตสึสายน้ำตาลด้วย โรเซนธาลค่อนข้างสบายกับบทนี้เพราะผ่านการตัดสินการต่อสู้มาแล้วกว่า 2,000 ครั้ง นอกจากจะปลื้มโอคอนเนอร์ที่ถ่ายทอดหัวใจและจิตวิญญาณของกีฬาในมุมมองของนักสู้ได้เป็นอย่างดี และปลื้มพลังมวลชนที่มาเชียร์กีฬาแล้ว โรเซนธาลยังชื่นชมสองนักแสดงนำอย่างมาก “พวกเขามีพัฒนาการที่ยอดเยี่ยม” เขากล่าว “เขาพัฒนาตัวเองอย่างรวดเร็วเพื่อแสดงกับนักกีฬาระดับโลก”
   ยิ่งไปกว่านั้น บทผู้บรรยายข้างสนามตกเป็นของใครไปไม่ได้นอกจากนักเขียนด้านกีฬาชื่อดัง แซม เชอริแดน ผู้เขียนหนังสือขายดีอย่าง “A Fighter’s Heart: One Man’s Journey Through the World of Fighting” และล่าสุดกับ “The Fighter’s Mind: Inside the Mental Game”
   แฟรงค์ กริลโล นักกีฬาจูจิตสึสายม่วงและนักมวย นักแสดงจาก “Pride and Glory” และเพื่อนของผู้กำกับ คือผู้ที่เหมาะสมที่สุดสำหรับบท แฟรงค์ แคมปานา ครูฝึกของเบรนแดน เพื่อเตรียมตัวสำหรับบทนี้ กริลโลใช้เวลากว่าหนึ่งเดือนเรียนรู้การฝึกสอนกีฬาชนิดนี้จากครูฝึกชื่อดังในนิวเม็กซิโกและสังเกตุการณ์การทำงานระหว่างแจ็คสันกับฮาร์ดี้และเอ็ดเกอร์ตันอย่างใกล้ชิด รวมถึงนักสู้มืออาชีพคนอื่นๆ ด้วย
   สิ่งหนึ่งที่กระทบใจทีมงานและนักแสดงเกี่ยวกับนักสู้มืออาชีพเหล่านี้คือความสุภาพของพวกเขา “สิ่งที่อยู่เบื้องหลังกีฬาชนิดนี้คือความอ่อนน้อม เกียรติยศ และความนับถือ” ฮาร์ดี้กล่าว “เราค้นพบมิตรภาพและความประณีตจากกีฬานี้ มันคือศิลปะรูปแบบหนึ่ง” เขากล่าวอีกว่า “ผมไม่คิดมาก่อนว่าคนที่สามารถหักกระดูกผมได้ ความจริงแล้วเป็นคนที่อ่อนโยนมากจนคุณสามารถพากลับบ้านไปหาแม่ได้ มันเป็นอะไรที่คาดไม่ถึง พวกเขาเป็นมืออาชีพที่ใส่ใจในสิ่งที่ตัวเองทำ”
   ในด้านการออกแบบคิวบู๊และการถ่ายทำฉากต่อสู้ โอคอนเนอร์มีภาพในใจชัดเจนว่าต้องการแบบไหน “ผมไม่ต้องการคิวบู๊แบบฮ่องกง” เขาบอก แต่อย่าเข้าใจผิด เขาชี้แจงว่า “มันดูเจ๋งดีมีสไตล์และเป็นหนังที่ยอดเยี่ยม แต่ก็เป็นหนังน่ะ” โอคอนเนอร์ตั้งใจไว้อย่างแน่วแน่ว่าจะไม่นำเสนออะไรที่หาดูไม่ได้จากคลิปการต่อสู้จริงใน Youtube เพื่อให้ทุกอย่างแม่นยำและไม่เสียเวลาเมื่อถ่ายจริง เพอร์รี่จึงถ่ายวิดีโอจำลองฉากต่อสู้แต่ละฉากอย่างที่เขาจินตนาการไว้ล่วงหน้าแล้วนำไปเสนอเกวินก่อนถ่ายทำจริง   
   อีกสิ่งหนึ่งที่สำคัญคือการร่วมงานอย่างใกล้ชิดกับตากล้องระดับแนวหน้าอย่าง มาซาโนบุ ทาคายานากิ ผู้กำกับภาพดาวรุ่งลูกหม้อ โรดริเกซ ปริเอโต้ จาก “Babel” ที่เข้ามาสร้างสรรค์งานภาพให้กับ Warrior ฉากการต่อสู้ทั้งหลาย โอคอนเนอร์รู้ดีว่าเขาต้องการภาพที่ใกล้ชิดสมจริงมากกว่าภาพที่สวยประณีตเกินจริง ทาคายานากิเรียนรู้เกี่ยวกับการกีฬาชนิดนี้มากมายเพื่อเตรียมตัวถ่ายภาพ เขากับโอคอนเนอร์ช่วยกันพัฒนารูปแบบการถ่ายทำเฉพาะตัวที่มีการใช้กล้องหลายตัว เลนส์ยาว และกล้องแฮนด์เฮลซึ่งให้ภาพที่ใกล้ชิดและเป็นธรรมชาติ
   ฉากไคลแม็กซ์ที่ต้องลุ้นกันตัวโก่งทั้งหมดนั้น ท้ายที่สุดแล้วคือความใกล้ชิดและความสมจริงที่ทำให้เรื่องราวทั้งหมดบรรลุเป้าหมาย มองย้อนไปถึงเส้นทางการกำกับภาพยนตร์ของเกวิน โอคอนเนอร์ เจ้าตัวกล่าวว่า “ผมคงไม่สามารถทำ Warrior ได้ถ้าไม่มีประสบการณ์จากหนังเรื่องก่อน หนังเหล่านั้นช่วยให้ผมได้พัฒนาฝีมือด้านศิลปะและอารมณ์ ผมพบว่าตัวเองแข็งแกร่งและมีสมาธิมากขึ้น ผมไม่รู้ว่าหนังเรื่องจะประสบความสำเร็จด้านรายได้หรือไม่ แต่ในแง่ศิลปะแล้ว นี่คือผลงานที่ผมพอใจและสมใจมากที่สุดเท่าที่เคยทำมา”

happy on October 31, 2011, 01:58:07 PM



เกี่ยวกับนักแสดง

โจเอล เอ็ดเกอร์ตัน รับบท เบรนแดน คอนลอน

   โจเอล เอ็ดเกอร์ตัน เกิดในแบล็คทาวน์ รัฐนิวเซาธ์เวล เขาปรากฎตัวในหนังหลายเรื่อง เช่น   “Erskineville Kings,” “King Arthur,” “Ned Kelly”, “Star Wars Episode II: Attack of the Clones” และ “Star Wars Episode III: Revenge of the Sith” ในบทโอเว่น ลาร์ส ตอนหนุ่ม พี่ชายคนละพ่อของอนาคิน สกายวอลเกอร์ และลุงของลุค สกายวอลเกอร์
   ผลงานเรื่องต่อไปของเอ็ดเกอร์ตันคือภาพยนตร์จาก Universal Pictures เรื่อง “The Thing” ซึ่งเป็นปฐมบทของภาพยนตร์ของจอห์น คาร์เพนเตอร์ ว่าด้วยเรื่องราวของเอเลี่ยนที่เปลี่ยนรูปร่างได้และบุกเข้าทำร้ายผู้คนในเมืองอันห่างไกล “The Thing” มีแผนจะออกฉายวันที่ 14 ตุลาคมปีนี้
   เมื่อเร็วๆ นี้ เอ็ดเกอร์ตันแสดงใน “Animal Kingdom” หนังดราม่าอาชญากรรมว่าด้วยการต่อสู้สุดเข้มข้นระหว่างครอบครัวอาชญากรกับตำรวจ และคนธรรมดาที่เข้ามาอยู่ตรงกลาง หนังได้รับรางวัล World Cinema Jury Prize จากเทศกาลภาพยนตร์ซันแดนซ์ 2010 และรางวัล Australian Film Institute Awards (AFI) สาขา AFI Best Film และ AFI Member’s Choice ส่วนเอ็ดเกอร์ตันได้รับรางวัลนักแสดงสมทบชายยอดเยี่ยม
   ปี 2009 เอ็ดเกอร์ตันรับบทสแตนลี่ย์ประกบเคท แบลนเช็ต ในละครเวทีของ Sydney Theatre Company เรื่อง “A Streetcar Named Desire” บัตรขายหมดเกลี้ยงเมื่อเปิดแสดงที่ Kenedy Center เมื่อเดือนพฤศจิกายน 2009 ตามด้วยที่ Brooklyn Academy of Music ในเดือนธันวาคม 2009
   เอ็ดเกอร์ตันเพิ่งปิดกล้องหนังของ Disney เรื่อง “The Odd Life of Timothy Green” เขาจะแสดงคู่กับเจนนิเฟอร์ การ์เนอร์ในหนังนิทานแฟนตาซีว่าด้วยคู่แต่งงานคู่หนึ่งที่ไม่มีลูก ไม่สามารถตั้งครรภ์ได้ ที่ฝังคำอธิษฐานขอลูกไว้ในกล่องในสวนหลังบ้าน วันหนึ่งพวกเขาตื่นขึ้นมาและพบว่าเด็กเกิดมาแล้ว แต่นั่นไม่ใช่เด็กธรรมดา หนังมีกำหนดฉายปลายปี 2011 นี้
   เดือนสิงหาคม 2011 เอ็ดเกอร์ตันจะเริ่มถ่ายทำหนังของรีเมคของ บาซ เลอห์มาน เรื่อง “The Great Gatsby” ซึ่งเขารับบท ทอม บูชูนาน ประกบ ลีโอนาร์โด ดิคาปริโอ และแครี่ มัลลิแกน Warner Brothers จะเปิดตัวหนังซึ่งสร้างจากนวนิยายของ เอฟ สก็อตต์ ฟิตซ์เจอรัลในปี 2012
   เอ็ดเกอร์ตันเรียนที่ Nepean Drama School ทางตะวันตกของซิดนี่ย์ ก่อนได้แสดงละครหลายเรื่องเด่นๆ คือที่โรงละคร The Sydney Theatre Company (เรื่อง “Blackrock”, “Third World Blues” และ “Love for Love”) และที่ Bell Shakespeare (เรื่อง “Henry IV”) ทางโทรทัศน์ ผลงานที่โดดเด่นของเอ็ดเกอร์ตันคือซีรี่ย์เรื่อง “The Secret Life of Us” ที่เขารับบทวิล และได้เข้าชิงรางวัล AFI Awards
   ปี 2008 เอ็ดเกอร์ตันปรากฎตัวในภาพยนตร์เรื่อง “The Square” ที่กำกับโดย แนช เอ็ดเกอร์ตัน พี่ชายของเขาเอง ปีเดียวกันนั้น เขาแสดงในภาพยนตร์ออสเตรเลียเรื่อง “Acolytes” ที่ว่าด้วยกลุ่มวัยรุ่นที่แก้แค้นฆาตกรต่อเนื่อง ปี 2007 เอ็ดเกอร์ตันแสดงประกบ จอช ฮอลโลเวย์ ในภาพยนตร์เรื่อง “Whisper” และยังรับบทสำคัญในภาพยนตร์อเมริกันเรื่อง “Smokin’ Aces” ในปี 2006 ด้วย
   ในปี 2005 เอ็ดเกอร์ตันรับบทนำในภาพยนตร์ตลกอังกฤษเรื่อง “Kinky Boots” ประกบชีวิเทล อีจิโอฟอร์ ในบทลูกชายคนทำรองเท้าที่เสียไปแล้วและต้องหาช่องทางการตลาดในศตวรรษที่ 21 ปีเดียวกันนั้นเอ็ดเกอร์ตันให้เสียงพากย์ตัวเอกในแอนิเมชั่นสั้นเรื่อง “The Mysterious Geographic Explorations of Jasper Morello” ซึ่งได้เข้าชิงออสการ์สาขาแอนิเมชั่นสั้นยอดเยี่ยม
   ปัจจุบันเอ็ดเกอร์ตันใช้ชีวิตอยู่ที่ออสเตรเลียและลอสแองเจลลิสสลับกัน

ทอม ฮาร์ดี้ รับบท ทอมมี่ คอนลอน
   
   ฮาร์ดี้กลายเป็นนักแสดงนักแสดงเนื้อหอมของฮอลลีวู้ดอย่างรวดเร็ว ล่าสุดเขาแสดงประกบลีโอนาโด ดิคาปริโอ, โจเซฟ กอร์ดอน เลวิส, ซิลเลียน เมอร์ฟี่ย์, ทอม เบเรนเจอร์, เคน วาตานาเบ้, ไมเคิล เคน, มาริยง โกติยาร์ด และเอลเลน เพจ ใน “Inception” ภาพยนตร์เรื่องเยี่ยมของค่าย Warner Bros. ที่กำกับโดยคริสโตเฟอร์ โนแลน กับเรื่องราวว่าด้วยองค์กรลับที่จารกรรมข้อมูลล้ำค่าจากจิตใต้สำนึกของเหยื่อขณะหลับฝัน หนังออกฉายเดือนกรกฎาคม 2010 และกลายเป็นหนังทำเงินสูงสุดตลอดกาลลำดับ 24
   ปัจจุบันฮาร์ดี้กำลังถ่ายทำภาพยนตร์ของค่าย Warner Bros. เรื่อง “The Dark Knight Rises” กำกับโดย คริสโตเฟอร์ โนแลน ซึ่งเขารับบทวายร้ายเบน ประกบคริสเตียน เบล, แอน แฮททาเวย์, โจเซฟ กอร์ดอน เลวิตต์ และแกรี่ โอลด์แมน
   เมื่อเร็วๆ นี้ เขาเพิ่งปิดกล้อง “This Means War” ที่กำกับโดยเอ็มซีจี หนังเล่าเรื่องราวของเจ้าหน้าที่เอฟบีไอสองนายที่เป็นเพื่อนรักกัน (ฮาร์ดี้และคริส ไพน์) และต่อสู้กันเพื่อชิงหัวใจตัวละครของรีส วิทเทอร์สปูน อีกเรื่องหนึ่งที่เพิ่งปิดกล้องไปคือหนังระทึกขวัญเกี่ยวกับสงครามเย็นจากค่าย Universal เรื่อง “Tinker, Tailor, Soldier, Spy” ประกบโคลิน เฟิร์ธ และแกรี่ โอลด์แมน
   ฮาร์ดี้กำลังจะเริ่มถ่ายทำภาพยนตร์หลังวันสิ้นโลกของ จอร์จ มิลเลอร์ เรื่อง “Fury Road” ประกบชาร์ลิซ เธอรอน และ “The Wettest County” ของค่าย Red Wagon ประกบเชีย ลาเบิฟ และเจสสิก้า เชสเตน หนังกำกับโดย จอห์น ฮิลโคท และอำนวยการสร้างโดยดั๊ก วิค
   ปี 2009 ฮาร์ดี้คว้ารางวัล British Independent Award สาขานักแสดงนำชายยอดเยี่ยมจากภาพยนตร์ปี 2008 เรื่อง “Bronson” กับบทชื่อเดียวกับเรื่อง ผลงานภาพยนตร์ของเขารวมถึงหนังแอ๊คชั่นคอเมดี้ของกาย ริตชี่ เรื่อง “RocknRolla” ประกบเจอราด บัตเลอร์, แธนดี้ นิวตัน, ไอดริส เอลบา, มาร์ค สตรอง และทอม วิลคินสัน และหนังของโซเฟีย คอปโปล่า เรื่อง “Marie Antoinette” และหนังอาชญากรรมระทึกขวัญเรื่อง “Layer Cake” ประกบแดเนียล เคร็ก
   ฮาร์ดี้เป็นคนอังกฤษ เขาถูกดึงตัวมาจาก Drama Centre ในอังกฤษ เพื่อรับบทในมินิซีรี่ย์ระดับรางวัลเกี่ยวกับสงครามโลกครั้งที่ 2 เรื่อง “Band of Brothers” ที่บริหารงานสร้างโดยทอม แฮงก์ และสตีเว่น สปีลเบิร์ก ตามด้วยภาพยนตร์เรื่อง “Black Hawke Down” ที่กำกับโดยริดลี่ย์ สก็อตต์, “Star Trek: Nemesis” ที่เขารับบทวายร้ายของเรื่อง “The Reckoning” ของพอล แม็คไกแกน ที่เขาแสดงร่วมกับวิลเล็ม เดโฟ และพอล เบ็ตตานี่ย์ และ “Dot the I” ผลงานเรื่องแรกของผู้กำกับและมือเขียนบท แมททิว พาร์คฮิลล์
   สำหรับผลงานทางโทรทัศน์ ฮาร์ดี้ได้เข้าชิงรางวัล BAFTA TV สาขานักแสดงนำชายยอดเยี่ยมจาก “Stuart: A Life Backwards” ทางช่อง HBO รวมถึงบท ฮีธคลิฟ ในผลงานปี 2009 ของ ITV เรื่อง “Wuthering Heights” ผลงานจอแก้วเรื่องอื่นๆ ของเขาได้แก่ภาพยนตร์โทรทัศน์เรื่อง “Oliver Twist”, “A for Andromeda”, “Sweeny Todd”, “Gideon’s Daughter” และ “Colditz” รวมถึงมินิซีรี่ย์ของ BBC เรื่อง “The Virgin Queen” ที่เขารับบท โรเบิร์ท ดัดลี่ย์ คนรักของราชินีเอลิซาเบธ
   นอกจากนี้ฮาร์ดี้ยังแสดงละครเวทีหลายเรื่องในย่านเวสต์เอ็นด์ของลอนดอน รวมถึง “Blood” และ “In Arabia We Would All Be Kings” ซึ่งทั้งสองเรื่องทำให้เขาได้รับรางวัล Evening Standard Theatre Awards ปี 2003 สาขานักแสดงหน้าใหม่ดีเด่น และเรื่องหลังทำให้เขาได้เข้าชิงรางวัล Olivier Award ปี 2004 ด้วย ในปี 2005 ฮาร์ดี้แสดงในรอบปฐมทัศน์ละครเวทีของเบรตต์ ซี เลนเนิร์ด  เรื่อง “Roger and Vanessa” ที่กำกับโดยโรเบิร์ด เดลาแมร์ เขาและเดลาแมร์จัดเวิร์คช็อปละครเวทีชื่อ Shotgun ที่โรงละคร 503 ในลอนดอน

เจนนิเฟอร์ มอริสัน รับบท เทสส์ คอนลอน

   ขณะนี้มอริสันมีงานล้นมือ ฤดูใบไม้ร่วงนี้เธอจะแสดงในซีรี่ย์ดราม่าทางช่อง ABC เรื่อง “Once Upon A Time” ที่เธอรับบท เอ็มม่า สวอน หญิงสาวผู้มีปมอดีตและย้ายไปอยู่ที่เมืองเล็กๆ ในเมนที่ซึ่งเทพนิยายกลายเป็นเรื่องจริง
   เดือนตุลาคม 2011 เธอปรากฎตัวในภาพยนตร์โทรทัศน์เรื่อง “5 For the Cure” ที่กำกับโดยสตีเฟ่น ก็อดโช นี่คือภาพยนตร์ความยาวสองชั่วโมงที่รวมหนังสั้นจำนวน 5 เรื่องเกี่ยวกับมะเร็งเต้านมเพื่อให้ข้อมูลและกระตุ้นการเสวนา การค้นคว้า การป้องกัน และการสนับสนุนทางกฎหมายแก่มูลนิธิซูซาน จี โคเมน มอริสันแสดงในหนังสั้นเรื่อง “Charlotte” ที่กำกับโดยเดมี่ มัวร์        
   ตอนนี้เธอกำลังถ่ายทำหนังอิสระเรื่อง “Knife Fight” ที่กำกับโดยบิล กัตเทนแท็ก และอำนวยการสร้างโดยเกอริโน เดอ ลูก้า หนังเล่าถึงนักจัดการวิกฤติทางการเมืองคนหนึ่งที่ได้บทเรียนสำคัญในการเชื่อคำโป้ปดของคน
   ทางโทรทัศน์ มอริสันเพิ่งปรากฎตัวในซิตคอมของช่อง CBS เรื่อง “How I Met Your Mother” ในบทซูอี้ รักใหม่ของเท็ด ที่รับบทโดยจอช แร็ดเนอร์ เธอโด่งดังจากบท ดร.อลิสัน คาเมรอน ในละครดราม่าเรื่อง ”House” ของค่าย Fox ซึ่งละครเรื่องนี้ได้เข้าชิงรางวัล Screen Actors Guild Award ในปี 2009, รางวัล Primetime Emmy Award สาขาซีรี่ย์ดราม่าดีเด่นในปี 2008, 2007 และ 2006, และรางวัลลูกโลกทองคำปี 2008 ล่าสุดมอริสันได้เข้าชิงรางวัล WIN Award ปี 2008 สาขานักแสดงนำหญิงยอดเยี่ยมจากเรื่อง House
   ผลงานภาพยนตร์ของเธอได้แก่ Star Trek ของเจเจ เอแบรม ซึ่งเธอรับบทเป็น วิโนน่า เคิร์ก แม่ของกัปตันเจมส์ เคิร์ก, “Mr. and Mrs. Smith” ของค่าย 20th Century Fox ที่เธอแสดงประกบแบรด พิตต์ และแองเจลลิน่า โจลี่, “Surviving Christmas” ของค่าย Dreamworks ที่นำแสดงโดยเบน แอฟเฟล็ก และคริสติน่า แอปเปิ้ลเกต และหนังอิสระเรื่อง “Flourish” ที่เธอทั้งแสดงและอำนวยการสร้าง
   ปัจจุบันมอริสันพักอยู่ในลอสแองเจลลิส แต่เธอเป็นคนชิคาโก เธอเรียนการแสดงที่สถาบันชื่อดัง Steppenwolf Theatre Company และจบปริญญาตรีสาขาการแสดงจากมหาวิทยาลัย Loyola
[/size]
« Last Edit: October 31, 2011, 02:02:56 PM by happy »

happy on October 31, 2011, 02:04:42 PM
แฟรงค์ กริลโล รับบท แฟรงค์ แคมปาน่า

   กริลโลเพิ่งปิดกล้องภาพยนตร์ระทึกขวัญเรื่อง “The Grey” ที่กำกับโดยโจ คาร์นาฮาน และนำแสดงโดยเลียม นีสัน, เดอร์มอ็ต มัลโรนี่ย์, และเจมส์ แบดจ์ เดล และกำลังจะร่วมงานกับบรูซ วิลลิส และรีเบคก้า ฮอลล์ ใน “Lay the Favorite” กำกับโดยสตีเฟ่น เฟรียร์
   ผลงานภาพยนตร์เรื่องก่อนๆ ของกริลโลได้แก่ “My Soul to Take” ที่กำกับโดยเวส เครเว่น, “Mother’s Day” ประกบเจมี่ คิง และรีเบคก้า เดอ มอร์เนย์, “Edge of Darkness” กำกับโดยมาร์ติน แคมป์เบล ที่เธอประกบเมล กิ๊บสัน, “Pride and Glory” ของเกวิน โอคอนเนอร์ ประกบโคลิน ฟาร์เรล และเอ๊ดเวิร์ด นอร์ตัน, “Minority Report” ของสตีเว่น สปีลเบิร์ก ประกบทอม ครูซ และ “The Sweetest Thing” ประกบคาเมรอน ดิแอซ และคริสติน่า แอปเปิ้ลเกต
     เมื่อเร็วๆ นี้ กริลโลได้แสดงในซีรี่ย์ดราม่าทางช่อง ABC เรื่อง “The Gates” และเธอมีผลงานที่น่าจดจำมากมาย อาทิ “The Shield”, “Prison Break”, “The Kill Point” กับจอห์น เลอกีซาโม่, “Battery Park” กับเอลิซาเบธ เพอร์กินส์ และ “Blind Justice” กับรอน เอลดาร์ด รวมทั้งเป็นนักแสดงรับเชิญใน “Law & Order: SVU”, “Without a Trace”, “CSI: Crime Scene Investigation”, “CSI: NY”, “Las Vegas” และ “The District”
   กริลโลเป็นลูกชายคนโตในบรรดาพี่น้องสามคน เขาโตในนิวยอร์กและใช้เวลาช่วงวัยรุ่นที่ล็อคแลนด์ นิวยอร์ก เขากลับไปอยู่นิวยอร์กเพื่อเรียนต่อและตามฝันเรื่องการแสดง ซึ่งในที่สุดเขาก็ได้รับบทสำคัญในละครดราม่าที่ฉายช่วงกลางวันและยืนจอยาวนานเรื่อง “Guiding Night” หลังจากนั้นสามปี เขาก็ถอนตัวออกจากละครเพื่อไปทำรายการโทรทัศน์เรื่องแรก กริลโลเป็นนักมวยและผู้ฝึกศิลปะการต่อสู้ฝีมือฉกาจ ทั้งยังนั่งแท่นกรรมการ Love for Children องค์กรการกุศลที่ช่วยเหลือเด็กที่ต่อต้านการทารุณกรรมเด็กด้วย
   ปัจจุบันกริลโลอาศัยอยู่ในนิวยอร์กกับภรรยาและลูกสามคน

นิค นอลตี้ รับบท แพดดี้ คอนลอน

   นอลตี้ได้เข้าชิงรางวัลออสการ์ถึงสองครั้ง เขารักษาจุดยืนทางการแสดงได้อย่างเสมอต้นเสมอปลายจนทำให้เขาได้รับบทบาทที่ดีที่สุดในชีวิตและชื่อเสียงที่โด่งดังไปทั่วโลก กระทั่งนั่งแท่นผู้อำนวยการสร้างของภาพยนตร์หลายเรื่องในนามบริษัท Kingsgate Films ของเขาเอง
   นอลตี้สามารถแสดงได้หลากหลายบทบาท ล่าสุดเขาปรากฎตัวในภาพยนตร์เรื่อง “Tropic Thunder” ที่กำกับโดยเบน สติลเลอร์, “Spiderwick Chronicles” ของค่าย Paramount Pictures, “The Beautiful Country” ที่กำกับโดยปีเตอร์ โมแลนด์ และอำนวยการสร้างบริหารโดยเทอร์เรนซ์ มาร์ลิก, “Clean” ของโอลิวิเยร์ อัลซายาส ประกอบจางม่านอวี้, “The Peaceful Warrior” ที่ดัดแปลงจากนวนิยายของแดน มิลแมน เรื่อง “Way of the Peaceful Warrior” และกำกับโดยวิคเตอร์ ซัลวา และ “Neverwas” ที่กำกับโดยโจชัว ไมเคิล สเติร์น และร่วมแสดงโดยเอียน แม็คเคนเลน, เจสสิก้า แลงก์ และวิลเลี่ยม เฮิร์ท ทั้งยังให้เสียงพากย์ตัวละครหมีวินเซนต์ในแอนิเมชั่นค่าย Dreamworks เรื่อง “Over the Hedge” ด้วย
   ผู้ชมจะได้ยินเสียงนอลตี้อีกในแอนิเมชั่นค่าย Warner Bros เรื่อง “Cats & Dog: The Revenge of Kitty Galore” ในบทบุตช์ และพากย์เป็นกอริลล่าในภาพยนตร์เรื่อง “The Zookeeper” ของค่าย MGM
   ผลงานเรื่องอื่นๆ ของนอลตี้ ได้แก่ “Hotel Rwanda” ในบทผู้นำกองทัพอเมริกัน ประกบดอน ชีเดิล, หนังจับโจรเรื่อง “The Good Thief” ของผู้กำกับนีล จอร์แดน, “The Hulk” จากค่าย Universal Pictures ที่กำกับโดยอั้งลี่ และ “Northfork” จากค่าย Paramount Classics โดยสองพี่น้องโพลิช นอกจากนี้นอลตี้ยังกลับมาร่วมงานกับผู้กำกับอลัน รูดอล์ฟ ในภาพยนตร์เรื่อง “Investigating Sex” ซึ่งเขาแสดงร่วมกับนีฟ แคมป์เบล และโรบิน ทันนี่ย์
   นอลตี้กลับสู่วงการละครเวทีด้วยการแสดงละครเวทีของแซม เชปเพิร์ด เรื่อง “The Late Henry Moss”
   เมื่อไม่กี่ปีก่อนนอลตี้ได้แสดงในภาพยนตร์เรื่องเยี่ยมมากมาย อาทิ “Affliction” ของผู้กำกับพอล ชเรเดอร์ ที่ทำให้เขาได้เข้าชิงรางวัลออสการ์, ลูกโลกทองคำ และรางวัล Independent Film สาขานักแสดงนำชายยอดเยี่ยม, “U-Turn” ของผู้กำกับโอลิเวอร์ สโตน ประกบฌอน เพนน์ และเจนนิเฟอร์ โลเปซ, “Afterglow” ที่อำนวยการสร้างโดยโรเบิร์ท อัลต์แมน, “Jefferson In Paris” ที่เขารับบทโธมัส เจฟเฟอร์สัน, ภาพยนตร์รีเมคของมาร์ติน สกอร์เซซี เรื่อง “Cape Fear” และ “The Princess of Tides” ที่เขาแสดงร่วมกับบาบาร่า สตรัยแซนด์ และได้เข้าชิงรางวัลออสการ์สาขานักแสดงนำชายยอดเยี่ยมและได้รับรางวัลลูกโลกทองคำสาขาเดียวกันจากสมาคมสื่อต่างประเทศฮอลลีวู้ด เขาแสดงร่วมกับจูเลีย โรเบิร์ท ใน “I love Trouble” และรับบทโค้ชบาสเก็ตบอลใน “Blue Chips” โดยผู้กำกับวิลเลียม ฟรีดกิน นอกจากนี้เขายังแสดงใน “I’ll Do Anything” ให้ผู้กำกับ/นักเขียน เจมส์ แอล บรู๊กส์ และในหนังดีเรื่อง “Lorenzo’s Oil” ประกบซูซาน ซาแรนดอน
   บริษัทผลิตภาพยนตร์ Kingsgate ของเขากำลังปั้นหนังเรื่อง “White Jazz” ที่สร้างจากบทของเจมส์ เอลรอย ซึ่งอิงมาจากนิยายนัวร์ขายดีของเขาเอง และเรื่อง “The Last Magic Summer” ที่ดัดแปลงจากนิยายชื่อเดียวกันของปีเตอร์ เจนท์
   นอลตี้มาจากโอมาฮา รัฐเนบราสกา เขาเคยเป็นนักกีฬาฟุตบอลของมหาวิทยาลัย ก่อนที่จะค้นพบการแสดงและเริ่มต้นอาชีพนักแสดงที่ Pasadena Playhouse ต่อมาเขาเข้าเรียนหลักสูตรการแสดงสั้นๆ กับไบรอัน โอเบิร์น ที่ Stella Adler’s Academy ในลอสแองเจลลิส หลังจากนั้นไม่นาน เขาใช้เวลาหลายปีเดินทางจากเมืองสู่เมืองเพื่อแสดงละครเวที
     การได้รับบทสำคัญในซีรี่ย์เรื่องดัง “Rich Man, Poor Man” เป็นแค่จุดเริ่มต้นของนอลตี้ที่ส่งให้ชื่อของเขาโด่งดังไปทั่วโลก หลังประสบความสำเร็จจากซีรี่ย์เรื่องนั้น เขาก็ได้แสดงภาพยนตร์ประกบแจ๊คเกอลีน บิซเซ่ต์ เรื่อง “The Deep” และไม่หันหลังกลับอีกเลย
   การรับบทที่หลากหลายกลายเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวของนอลตี้ เช่น บททหารผ่านศึกเวียดนามผู้ค้ายาใน "Who'll Stop the Rain”, บทนักฟุตบอลชื่อดังใน "North Dallas Forty" ที่เขาพัฒนาบทร่วมกับนักเขียนปีเตอร์ เจนท์, บทนักเขียนหัวใจอิสระ นีล แคสซาดี ใน “Heart Beat” และนักชีววิทยาทางทะเลผู้รักสันโดษใน "Cannery Row"
   นอลตี้ท้าทายตัวเองด้วยการรับบทอย่างคนจรจัดผู้เข้าถึงปรัชญาใน "Down and Out in Beverly Hills", ตำรวจแกร่งใน “48 Hours”, ช่างภาพหนังสือพิมพ์อเมริกันใน “Under Fire” และทนายผู้มุ่งมั่นใน "Extreme Prejudice" นอกจากนี้เขายังสร้างตัวละครที่มีเอกลักษณ์อย่างอดีตนักโทษที่ผันตัวมาเป็นนักเขียนบทละครใน “Weeds” 
   ผลงานภาพยนตร์เรื่องอื่นๆ ของเขา ได้แก่ "Three Fugitives," "Farewell to the King", "New York Stories" ตอนของสกอร์เซซี่, "Everybody Wins" ของคาเรล ไรซ์ และ "Q&A" ของซิดนี่ย์ ลูเมต์

เดนเซล วิทเทคเกอร์ รับบท สตีเฟ่น

   เดนเซล วิทเทคเกอร์ เป็นที่รู้จักมากที่สุดจากภาพยนตร์ปี 2007 เรื่อง “The Great Debaters” ที่เขาแสดงประกบคนชื่อเดียวกันอย่าง เดนเซล วอชิงตัน เขาเริ่มต้นอาชีพนักแสดงเมื่อ 7 ปีก่อน หลังฉายแววจากภาพยนตร์โฆษณาหลายตัว ภาพยนตร์เรื่องแรกของเขาคือ “Training Day” ในบทเล็กๆ ตามมาด้วยบทรับเชิญใน “One on One,” “All That” “ER” และ “CSI” ปี 2009 เดนเซลได้ร่วมแสดงในละครของช่อง ABC เรื่อง “House Rules” และเริ่มแสดงประจำในซีรี่ย์เรื่องเยี่ยมของช่อง ABC เรื่อง “Brothers and Sisters” ปี 2010 เดนเซล เขาได้รับบทสำคัญในภาพยนตร์ระทึกขวัญของ เวส เครเว่น เรื่อง “My Soul to Take””
   เดนเซลมาจากแคลิฟอร์เนีย เขาชอบเขียนบทภาพยนตร์ เล่นบาสเกตบอล กอล์ฟ เต้นฮิปฮอป ทำดิจิตอลแอนิเมชั่นและหนังอิสระ ทั้งยังเป็นผู้คลั่งไคล้เทคโนโลยีชนิดที่ว่าชอบทุกอย่างเกี่ยวกับเทคโนโลยีและเครื่องไม้เครื่องมือ เมื่อมีเวลาว่างเขาชอบแต่งรถ
   อาจารย์ (และเพื่อนร่วมชื่อนามสกุล) อย่าง เดนเซล วอชิงตัน และฟอเรสต์ วิทเทคเกอร์ บอกว่าเขาต้องการเป็นนักแสดงและผู้กำกับที่มุ่งสร้างความบันเทิง

happy on October 31, 2011, 02:06:56 PM
ไบรอัน คอลเลน (รับบทเป็นตัวเอง)

   ไบรอัน คอลเลน เป็นที่คุ้นหน้าจากผลงานภาพยนตร์และโทรทัศน์หลายเรื่อง ล่าสุด เขาแสดงเป็นซาเมียร์ เจ้าของคลับเปลื้องผ้าและนักฆ่าปืนชาวตะวันออกกลางใน The Hangover II รวมถึงบทเอ๊ดดี้ เจ้าของโบสถ์แต่งงานใน “The Hangover” ด้วย ในปลายฤดูร้อน เขาจะปรากฎตัวในซีรี่ย์ตลกของ MTV เรื่อง “Death Valley” ในบทกัปตันแฟรงค์ แดชเชล ผู้นำกองกำลัง Undead Task Force ซึ่งมีหน้าที่กวาดล้างซอมบี้ หมาป่า และแวมไพร์ออกจากหุบเขาลอสแองเจลลิส นอกจากนี้เขาเพิ่งถ่ายทำภาพยนตร์ความยาว 1 ชั่วโมงเรื่องใหม่ของตัวเอง “Bryan Callen: Man Class” ซึ่งจะฉายรอบปฐมทัศน์ในปีนี้
   คอลเลนเกิดในฟิลิปปินส์ และใช้เวลากว่า 14 ปีในต่างประเทศ ไม่ว่าจะเป็น อินเดีย, ปากีสถาน, กรีซ และเลบานอน ก่อนย้ายมาที่สหรัฐอเมริกา เขาเรียนมัธยมปลายที่รัฐแมสซาซูเส็ต และเรียนจบสาขาประวัติศาสตร์จากมหาวิทยาลัยอเมริกันในวอชิงตัน ดี.ซี.
   คอลเลนเดี่ยวไมโครโฟนในนิวยอร์กเมื่อปี 1993 และ 1995 เขาย้ายไปอยู่ลอสแองเจลลิสและได้แสดงซีรี่ย์โทรทัศน์ครั้งแรกโดยเป็นหนึ่งในแปดนักแสดงตั้งต้นของซีรี่ย์เรื่อง “MADtv” เขาปรากฎตัวในซีรี่ย์อยู่สองปีก่อนถอนตัวออกไปในปี 1997 ตัวละครที่ดังที่สุดของเขา ได้แก่ พูลบอยจาก Cabana Chat กับดิกซี่ เวสต์เวิร์ธ และนักพูดสร้างแรงบันดาลใจ อัล แคสดี้ นอกจากนี้คอลเลนยังเคยรับบทเป็น บิล คลินตัน, โรเบิร์ท เดอ นีโร, ลุค เพอร์รี่, สตีเว่น ซีกัล, จิม แคร์รี่, อาร์โนลด์ ชวาเซเนกเกอร์ และแฟรงค์ กิฟฟอร์ด ด้วย   
   หลังถอนตัวจาก “MADtv” เขาก็ได้รับบทอีกมากมายในจอแก้ว เขาเคยประกบแครี่ แบรดชอว์มาแล้วในซีรี่ย์ดังของ HBO เรื่อง “Sex and the City” ในบทคู่ควงไฮเปอร์ที่ทำให้เซ็กซ์กลายเป็นประสบการณ์ไฮดรอลิกจนแครี่ย์ถึงกับขนานนามว่า “เซ็กซ์แบบกระต่าย” นอกจากนี้เขายังรับบทเป็นผู้ช่วยจอมสำบัดสำนวนของ คริสตี้ อัลลี่ย์ ในซี่รี่ย์ตลกเรื่อง “Fat Actress” และยังได้รับเชิญไปแสดงในซีรี่ย์ดังมากมาย ไม่ว่าจะเป็น  “Californication,” “Oz,” “Entourage,” “7th Heaven,” “King of Queens,” “Stacked,” “Las Vegas,” “West Wing,” “News Radio,” “Significant Others,” “CSI,” “Law and Order: SVU,” “NYPD Blue,” “Suddenly Susan” และ “Frasier” ปัจจุบันเขาปรากฎตัวประจำในซีรี่ย์อเมริกันเรื่อง “In Plain Sight” และ “How I Met Your Mother” ทางช่อง CBS
   ส่วนผลงานทางจอเงินนั้น เขาปรากฎตัวในภาพยนตร์หลายเรื่อง รวมถึง “Old School” ของท้อดด์ ฟิลลิปส์, “Scary Movie 4,” “Bad Santa” และ “The Goods: Live Hard, Sell Hard” ของผู้อำนวยการสร้าง วิลล์ เฟอร์เรล
   นอกจากผลงานทางโทรทัศน์และภาพยนตร์แล้ว คอลเลนยังไปเดี่ยวไมโครโฟนที่มหาวิทยาลัยและคลับหลายแห่งทั่วประเทศรวมถึงต่างประเทศด้วย ผลงานเดี่ยวไมโครโฟนทางโทรทัศน์ของเขา ได้แก่ “Live at Gotham” ของ Comedy Central และ “The Late Show w/ David Letterman” ของ CBS คอลเลนกลายเป็นนักแสดงที่ผู้ชมคุ้นหน้าอย่างรวดเร็วโดยมีผลงานการแสดงและเดี่ยวไมโครโฟนยาวเป็นหางว่าว   

เควิน ดันน์ รับบท หัวหน้าไซโต้

   เควิน ดันน์ มีผลงานภาพยนตร์และโทรทัศน์มากมาน ภาพยนตร์เรื่องล่าสุดของเขาคือ “Transformers: Dark of the Moon” ที่เขารับบท รอน วิทวิคกี้ พ่อจอมเหวอของ แซม วิทวิคกี้ (เชีย ลาเบิฟ) ซึ่งเป็นบทที่เขาแสดงตั้งแต่ภาคแรก หนังมีกำหนดฉายวันที่ 29 มิถุนายน 2011 
   ปัจจุบันเควินแสดงประกบดัสติน ออฟฟ์แมน และนิค นอลตี้ ในซีรี่ย์ช่อง HBO ว่าด้วยโลกของการแข่งม้าและการพนันเรื่อง “Luck” ซึ่งไมเคิล มานน์ เป็นผู้กำกับและบริหารงานสร้าง และเดวิด มิลช์เป็นผู้เขียนบท เควินรับบท มาร์คัส ชายผู้เกลียดชังชีวิตและตั้งสมาคมคนแปลกแยกขึ้น   
   ผลงานภาพยนตร์เมื่อเร็วๆ นี้ของเขาได้แก่ “Unstoppable” ของผู้กำกับโทนี่ สก็อตต์ ประกบเดนเซล วอชิงตัน และคริส ไพน์ ซึ่งเขารับบท ออสการ์ กัลวิน เจ้านายของโรซาริโอ ดอว์สันและหัวหน้าสถานีรถไฟ “Transformers: Revenge of the Fallen”, “Vicky Christina Barcelona” ของวู้ดดี้ อัลเลน ประกบ สการ์เล็ตต์ โจแฮนสัน และเพเนโลปี้ ครูซ ซึ่งเขากับแพตทริเซีย คลาร์กสัน รับบทเป็นเจ้าของบ้านในบาร์เซโลนาที่ตัวละครของ สการ์เล็ตต์ โจแฮนสัน และรีเบคกา ฮอลล์ อาศัยอยู่, “Lions For Lambs” กำกับโดยโรเบิร์ท เรดฟอร์ด ที่เขารับบทเป็นบรรณาธิการของเมอรีล สตรีพ,  “The Gridiron Gang” ประกบ ดเวย์น เดอะร็อค จอห์นสัน, “Black Dahlia” และ “All the King’s Men” ผลงานภาพยนตร์เรื่องอื่นๆ ของเขาได้แก่ I Heart Huckabees”, หนังคอเมดี้ของคริสโตเฟอร์ เกสต์ “Almost Heroes”, หนังระทึกขวัญ “Stir of Echoes”, “Nixon” ที่เขารับบทชาร์ลส์ คอลสัน, “Chaplin” ที่เขารับบท เจ เอ็ดการ์ ฮูเวอร์, “Godzilla”, “Chain Reaction”, “Small Soldiers”, “1492”, “Bonfire of the Vanities” และ “Mississippi Burning” บทบาทที่เป็นที่จดจำมากที่สุดของเขาคือบทเลขาธิการ อลัน รีด ประกบเควิน ไคลน์ ที่รับบทเป็นประธานาธิบดี
   ดันน์ปรากฎตัวทางโทรทัศน์บ่อยๆ โดยเป็นแขกรับเชิญให้ซีรี่ย์มากมาย อาทิ บททนายความประกบทเคที่ เบทส์ ใน “Harry’s Law” ของเดวิด อี เคลลี่, บทนักต้มตุ๋นประกบตัวละครของ จอช ฮัลโลเวย์,  บทซอว์เยอร์ ใน “Lost” รวมถึงบทอื่นๆ ในซีรี่ย์และภาพยนตรืโทรทัศน์หลายเรื่อง เขาได้รับคำชมอย่างมากจากบทเมอร์เรย์ วิลสัน ในมินิซีรี่ย์เรตติ้งกระฉูดเรื่อง “The Beach Boys: An American Family”

แม็กซิมิเลียโน เฮอร์นาเดซ รับบท โคลท์ บอยด์

   แม็กซิมิเลียโน เฮอร์นาเดซ เกิดในบรู๊คลิน นิวยอร์ก เมื่อปี 1973 เป็นลูกคนกลางของพ่อแม่ผู้อพยพชาวฮอนดูรัส จอช แม็กซิมิเลียโน และมาเรีย เฮอร์นาเดซ เขาแสดงครั้งแรกที่โรงเรียนมัธยมบิช็อปฟอร์ด เพื่อให้พ้นจากการถูกกักบริเวณ เขาสานต่อการแสดงในมหาวิทยาลัยที่ซึ่งเขาไปคัดตัวและผ่านโครงการ BFA ที่ Leonard Davis Center For The Performing Arts ในฮาร์เล็ม
   เขาออกจากโครงการเมื่อได้รับคำชวนให้เข้าร่วมโรงละคร Workhouse Theatre ในไทรเบคกา ต่อมาเขาเป็นหนึ่งในกลุ่มนักแสดงแนวทดลองรุ่นบุกเบิกของ Axis Theatre Company และ The Hot Box Theatre Company ด้วย เขาตระเวนแสดงในโรงละครทั่วนิวยอร์ก รวมถึง The Public, The Lucile Lortell, The Cherry Lane และอื่นๆ อีกมากมาย
   แม้ละครเวทีจะเป็นรักครั้งแรกของเขา แต่เขาก็ปันใจให้ภาพยนตร์และโทรทัศน์ด้วย แม็กซ์ได้ร่วมงานกับผู้กำกับชื่อดังมากมาย ไม่ว่าจะเป็น มิร่า แนร์, เกวิน โอคอนเนอร์, เคนเนธ บรานาห์, จอซซ์ วีดอน โดยร่วมงานครั้งแรกกับ เกวิน โอคอนเนอร์ ใน “Pride & Glory”
   แม็กซ์มีลูกชายหนึ่งคนชื่อดิเอโก้ กับแฟนสาวที่คบกันมานาน มาร์ธา คาเบร็ต เขาอาศัยอยู่ที่เมืองพาซาดีน่า

แซม เชอริแดน (รับบทเป็นตัวเอง)

   แซม เชอริแดน เรียนจบชั้นมัธยมปลายและเข้าร่วมพาณิชยนาวีสหรัฐฯ โดยไปล้างจานบนเรือ USNS Able หลังจากนั้นไม่นานเขาก็เข้าเรียนที่มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ดและ Slade School ในลอนดอนซึ่งเขาเรียนวาดเขียน แซมทำงานหลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นกะลาสีเรือ (เขาเดินทางรอบโลกมาแล้ว), นักดับเพลิงหน่วย Gila Hotshots ที่นิวเม็กซิโก และงานก่อสร้างที่สถานีขั้วโลกใต้ในแอนตาร์กติกา ระหว่างนี้ เขาต่อมวยและฝึกศิลปะการต่อสู้ด้วย
   “A Fighter’s Heart” หนังสือเล่มแรกของเขา เป็นบันทึกความทรงจำในโลกหมัดมวยของแซม ทั้งในประเทศไทย ญี่ปุ่น อเมริกา และบราซิล ที่ซึ่งเขาต่อสู้และฝึกกับยอดฝีมือของโลก “The Fighter’s Mind” หนังสือเล่มที่สองของเขา รวบรวมบทความเกี่ยวกับยุทธวิธีทางจิตที่บรรดาแชมป์ทั้งหลายใช้บนสังเวียน
   ปัจจุบันแซมกำลังเขียนหนังสือเล่มใหม่ให้สำนักพิมพ์ Rodale Press ซึ่งเป็นเรื่องเกี่ยวกับวันสิ้นโลกและความพยายามที่จะคืนแสงสว่างให้กับโลก

เฟอร์นันโด ฟูนัน เชียน รับบท เฟนรอย

   เฟอร์นันโด ฟูนัน เชียน เกิดที่ไทเป เมื่อวันที่ 6 ตุลาคม 1974 ผ่านมาแล้วหลายบทบาทก่อนจะได้เข้ามาสู่ฮอลลีวู้ด เมื่ออายุ 17 ปี เฟอร์นันโดย้ายไปอยู่มอนทรีออลและเข้าเรียนที่มหาวิทยาลัยแม็คกิลซึ่งจุดประกายให้เขาสนใจการแสดงและภาพยนตร์ เฟอร์นันโดเลือกเรียนชีววิทยาวิวัฒนาการเป็นวิชาเอกก็จริง แต่เขาลงเรียนคอร์สภาพยนตร์ เข้าเรียนที่โรงเรียนละครสัตว์ ฝึกศิลปะการต่อสู้ และทำงานเป็นครูฝึกส่วนตัวด้วย ในปี 2000 เขาได้แสดงในหนังแอ๊คชั่นเรื่อง “The Art of War” ประกบเวสลี่ย์ สไนป์
ปี 2002 เฟอร์นันโดย้ายไปอยู่ลอสแองเจลลิสและเริ่มฝึกการแสดงที่ Lee Strasberg Academy และต่อมาที่ Howard Fine Acting Studio เมื่อว่างจากเรียนการแสดง เฟอร์นันโดฝึกมวยไทย ยูโด และจูจิตสึ ที่ Hayastan Grappling Academy กับอาจารย์จีน เลอเบล และโกคอร์ ชีวิชญาณ และที่ Werdum Combat Team ในปี 2004 เฟอร์นันโดได้พบกับ แซม ฮาร์เกรฟ และร่วมกันสร้าง Reel Kick Films (กลุ่มศิลปะการต่อสู้ใต้ดิน) ปี 2005 เขาได้รับบท ซอล ใน “Star Trek” ทำให้เขาแจ้งเกิดในวงการสตันท์แมนและมีผลงานภาพยนตร์หลายเรื่องตามมา เช่น  “Crank,” “Flags of Our Fathers,” “Pirates of the Caribbean 3”, “The Mummy 3”, “Monk” และโฆษณาเป๊ปซี่ไดเอ็ทเป็นตัวแสดงแทนให้เฉินหลง   
สิ่งที่ทำให้เฟอร์นันโดแตกต่างจากสตันท์แมนคนอื่นคือความสามารถในการแสดง เขาแสดงบทบู๊ใน  “24,” “Bunraku,” “Angel of Death,” “Honor”, “Crossing Jordan” และอีกมากมาย ในปี 2008 เฟอร์นันโดได้แสดในซีรี่ย์ทางเว็บไซต์เรื่อง “The Guild” ที่ทำให้เขาได้โชว์ทั้งการแสดงและทักษะคิวบู๊ ตั้งแต่นั้นมา เขาก็ได้แสดงในซีรี่ย์อีกหลายเรื่อง ไม่ว่าจะเป็น “My Own Worst Enemy”, “NCIS: LA” ทางช่อง CBS และ “Melrose Place” ทางช่อง CW ปี 2009 คือปีแห่งการแจ้งเกิดในวงการการแสดงของเขาอย่างแท้จริงด้วยการปรากฏตัวในภาพยนตร์รีเมคเรื่อง “Red Dawn” ในบทสารวัตรลี และล่าสุดกับบทวิลคิส ใน “Fast Five” ของค่าย Universal  ประสบการณ์ด้านการทำหนังและศิลปะการต่อสู้ของเขาทำให้เขากลายเป็นตัวเลือกที่ลงตัวที่สุดสำหรับ Warriors ไม่ใช่แค่เขาได้รับบทเป็น เฟนรอย ตัวร้ายประจำโรงยิม แต่การร่วมงานกับแซมฮาร์เกรฟ และผู้ออกแบบคิวบู๊ฝีมือดีคนอื่นๆ ทำให้เกิดรูปแบบการต่อสู้ใหม่ที่อยู่บนพื้นฐานของเทคนิคที่สมจริง 

เจค แม็คลัฟลิน รับบท มาร์ค แบรดฟอร์ด

เจค แม็คลัฟลิน แจ้งเกิดในวงการด้วยหนังสงครามเรื่อง “In the Valley of Elah” ของผู้กำกับพอล แฮ็กกิส ในบทพลทหารกอร์ดอน บอนเนอร์ ผู้รู้สึกผิดที่สุดในกลุ่มหลังจากมีส่วนทำให้เพื่อนร่วมกองคนหนึ่งต้องตาย แม็คลัฟลินเองเคยเข้าร่วมกองทัพไปรบในอิรักในชีวิตจริง เขาเข้าไปอ่านบทหลังจากได้ยินว่าผู้กำกับต้องการทหารผ่านศึกตัวจริงมารับบทนี้ 
แม็คลัฟลินเกิดที่เมืองพาราไดซ์ รัฐแคลิฟอร์เนีย เขาทำงานบนเรือหาปูในรัฐโอเรกอนและเป็นเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยที่ Universal Studios ก่อนเข้าร่วมกองทัพสหรัฐฯ สังกัดหน่วยทหารราบที่ 3 เขาทำงานแบกอิฐถือปูนอยู่ที่เมืองชิโค รัฐแคลิฟอร์เนีย ด้วยเงิน 200 ดอลลาร์ในกระเป๋า ตอนที่ได้ข่าวเรื่องการคัดตัวนักแสดงของหนังเรื่อง “In the Valley of Elah”
หลังจากนั้น นักแสดงหนุ่มเจ้าของความสูง 6 ฟุตคนนี้ได้แสดงเป็นคนรับใช้ที่กลายเป็นฆาตกรในซีรี่ย์เรื่อง “CSI: Miami”, ทหารผ่านศึกอิรักที่ถูกพลเรือนผู้รับเหมายิงใน “Leverage”, ตำรวจมือใหม่ใน “Criminal Mind”, ผู้เข้าร่วมแข่งขันการดื่มประกบ เฮย์เด็น พาแน็ทเทียร์ใน “Heroes” และครูฝึกทหารที่เล่นงานนักเรียนเตรียมทหารในตอนสุดท้ายของปี 2009 ของซีรี่ย์เรื่อง  “Cold Case” ล่าสุดแม็คลัฟลินเพิ่งถ่ายทำภาพยนตร์เรื่อง “Safe House” ของแดเนียล เอสปิโนซ่า เสร็จซึ่งมีกำหนดฉายเดือนกุมภาพันธ์ ปี 2010

เคิร์ท แองเกิล รับบท โคบา

เดือนกันยายน 2006 เคิร์ท แองเกิล เซ็นสัญญากับ TNA Wrestling ทาง Spike TV เป็นแชมป์โลกคนแรกและเพียงคนเดียวในประวัติศาสตร์มวยปล้ำที่ชนะการแข่งขัน TNA และ WWE ทุกนัด นอกเหนือไปจากการแข่งขัน X Division Championship ของ TNA, WCW Championship, Intercontinental Championship, European Championship, Hardcore Championships และ King of the Ring แองเกิลยังเป็นนักมวยปล้ำคนเดียวในประวัติศาสตร์ที่ชนะการแข่งขันเดี่ยวทุกรายการในปีแรกของการเป็นนักมวยปล้ำอาชีพ เมื่อห้าปีก่อน แองเกิลได้รับการโหวตจากแฟนทั่วโลกให้เป็นนักมวยปล้ำที่ยิ่งใหญ่ที่สุดตลอดกาล
แองเกิลคว้าเหรียญทองโอลิมปิกมาได้เมื่อปี 2006, เป็นแชมป์ Olympic Style World Champion ปี 1995 และเป็นแชมป์ระดับชาติของอเมริกาถึง 6 สมัย กว่าจะมาถึงจุดนี้ แองเกิลผ่านประสบการณ์กว่า 34 ปีที่แลกมาด้วยน้ำตาและหยาดเหงื่อ ปี 2003 เขาได้รับการบันทึกชื่อใน National Hall of Fame ทั้งยังได้นรับการโหวตจาก NCAA ให้เป็นหนึ่งในนักมวยปล้ำ 15 คนแรกที่ยิ่งใหญ่ที่สุดตลอดกาลและ 1 ใน 5 นักมวยปล้ำมือสมัครเล่นและนักมวยปล้ำโอลิมปิกที่เก่งที่สุดตลอดกาล ในช่วงสองปีที่ผ่านมา แองเกิลได้รับการบันทึกในหอเกียรติประวัติถึง 3 แห่งด้วยกัน (ได้แก่ที่ The Pennsylvania, Heinz Museum West PA และ South Western PA)
นอกเหนือจากทักษะความเป็นผู้นำ, คุณสมบัตินักกีฬาและพรสวรรค์ด้านบันเทิงแล้ว แองกิลยังช่วยเหลือองค์กรการกุศลอีกด้วย อาทิเช่น Make-A-Wish, Get Tough on Angina Campaign, Get Out & Vote, After School All Stars ของอาร์โนลด์ ชวาเซเนกเกอร์, Franco Harris World teen Football Combine และ Kurt Angle Ultimate Teen Challenge and World Teen Championships แองเกิลตั้งเป้าหมายไว้ว่าจะเข้าแข่งขันกีฬาโอลิมปิกอีกครั้งในปี 2012 และจะตั้งตนเป็นผู้นำชุมชนและรับหน้าที่ประธานคณะกรรมการสมรรถภาพทางร่างกายด้วย
เคิร์ท แองเกิล  เป็นที่รู้จักในกว่า 160 ประเทศ และร่วมงานกับริษัทยักษ์ใหญ่กว่า 500 บริษัทในฐานะนักพูดและโฆษก แองเกิลปรากฏตัวต่อหน้าสาธารณชนทั่วโลกที่ AAFES (Amy Airforce Exchange Service), Wal-Mart, K-Mart, Coca-Cola, AT& T, NASCAR และ GMC ในฐานะทูตโอลิมปิกและสมาคมมวยปล้ำมืออาชีพ

happy on October 31, 2011, 02:24:32 PM
เกี่ยวกับผู้สร้าง

เกวิน โอคอนเนอร์ (ผู้กำกับ, เขียนบท, เรื่อง, อำนวยการสร้าง)
 
          ตอนนี้โอคอนเนอร์กำลังเขียนบทหนังเรื่อง “Once Upon a Time in New York” มหากาพย์การผจญภัยหลายแง่มุมที่เล่าถึงเรื่องราวของเจ้าหญิงองค์หนึ่งกับหนุ่มใบ้ที่ต้องเดินท่างกลับไปในอดีตเพื่อแก้ไขชะตากรรมของเจ้าหญิง และหนังตลกดราม่าเรื่อง “Sunny & 68” ที่เขาร่วมเขียนบทและหนังกำลังอยู่ในช่วงพัฒนา “Sunny & 68” เล่าเรื่องราวของเซียนไพ่โป๊กเกอร์ผู้อัปยศที่กลับบ้านเกิดครั้งแรกในรอบ 20 ปี และต้องเผชิญหน้ากับแม่และแฟนสาวที่เขาเคยทิ้งไว้เบื้องหลัง รวมถึงลูกสาววัย 5 ขวบที่เขาไม่รู้มาก่อนว่ามี นอกจากนี้ โฮคอนเนอร์ยังอยู่ในช่วงดัดแปลงภาพยนตร์ปี 1961 เรื่องดัง “The Hustler” ให้เป็นละครบรอดเวย์ และมีละครเวทีอีกหลายเรื่องของสตูดิโอหลายแห่งที่เขากำลังพัฒนาบทอยู่ 
          โอคอนเนอร์เป็นคนนิวยอร์คโดยกำเนิด เขาเริ่มเขียนบทตอนที่เรียนอยู่ที่มหาวิทยาลัยเพนซิลวาเนีย หลังจากเรียนจบ เขากลับสู่นิวยอร์คและเริ่มเขียนบทหนังสั้นและละครเวที โอคอนเนอร์เขียนบทหนังเรื่องแรกให้หนังสั้นเรื่อง “The Bet” ซึ่งเป็นผลงานการกำกับเรื่องแรกของ เท็ด เด็มมี่ ด้วย จากนั้นเขาก็เขียนบทและกำกับหนังสั้นเรื่อง “American Standoff”
          โอคอนเนอร์เริ่มมีชื่อเสียงจากการกำกับหนังอินดี้เรื่อง “Tumbleweeds” ที่นำแสดงโดย เจเน็ต แม็คเทียร์ และคิมเบอร์ลี่ย์ บราวน์ เขาร่วมเขียนบทหนังกับเองเจลล่า เชลตัน จากไดอารี่วัยเด็กของเชลตั้นเอง หนังดราม่าว่าด้วยการเดินทางของแม่กับลูกสาวเรื่องนี้ทำให้โอคอนเนอร์ได้รับรางวัล Filmmaker’s Award จากเทศกาลภาพยนตร์ซันแดนซ์ปี 1999 และได้รับเสียงชื่นชมอย่างกว้างขวาง นอกจากนี้ แม็คเทียร์ยังได้รับรางวัลนักแสดงนำหญิงมากมายจากการแสดงบทนี้ รวมทั้งได้เข้าชิงรางวัลออสการ์, Independent Spirit Award และลูกโลกทองคำด้วย ขณะที่บราวน์ได้รับรางวัล Independent Spirit Award สาขานัแสดงสมทบหญิงยอดเยี่ยม
ต่อมาโอคอนเนอร์ได้กำกับภาพยนตร์เรื่องดัง “Miracle” ในปี 2004 ให้กับค่าย Disney/Touchstone ซึ่งถือเป็นการกำกับให้ค่ายหนังใหญ่เป็นครั้งแรก หนังนำแสดงโดย เคิร์ท รัสเซล กับเรื่องราวอันน่าจดจำของทีมฮอคกี้อเมริกันที่คว้าเหรียญทองโอลิมปิกในปี 1980 โดยเอาชนะทีมเขี้ยวลากดินอย่างรัสเซียได้สำเร็จ
          หลังประสบความสำเร็จจาก “Miracle” โอคอนเนอร์ก็ร่วมเขียนบทและกำกับหนังดราม่าเรื่อง “Pride & Glory” ที่นำแสดงโดย เอ็ดเวิร์ด นอร์ตัน, โคลิน ฟาเรล และจอน วอยท์ หนังเล่าถึงครอบครัวตำรวจหลายชั่วอายุคนที่เจอบททดสอบทางจริยธรรมเมื่อลูกชายคนหนึ่งของครอบครัวต้องสอบสวนคดีคอรัปชั่นและฆาตกรรมที่พัวพันถึงพี่ชายและพี่เขยของเขาเอง ทำให้ครอบครัวของเขาต้องเลือกระหว่างความภักดีต่อสมาชิกครอบครัวและต่อกรมตำรวจ “Pride & Glory” ออกฉายทั่วประเทศเมื่อวันที่ 25 ตุลาคม 2008 โดย Warner Bros.เกวิน โอคอนเนอร์อาศัยอยู่ในลอสแองเจลลิส

แอนโธนี่ แทมเบคิส (เขียนบท, ร่วมอำนวยการสร้าง)

           แอนโธนี่ แทมเบคิส มาจากเมืองแฟร์ฟีลด์ รัฐคอนเนกติกัต เป็นนักเขียนเรื่องสั้นมือรางวัลและอดีตอาจารย์สอนการเขียนเชิงสร้างสรรค์ เมื่อเร็วๆ นี้เขาเพิ่งเขียนนิยายเรื่องแรกในชีวิตเสร็จ นั่นคือ “Swimming With Bridgeport Girls” ผลงานต่อไปของเขาได้แก่ “Sunny & 68” (เขียนบทร่วมกับ เกวิน โอคอนเนอร์ ที่ร่วมงานกันใน “Warriors”) และ “4 1/2 Minutes” (กำกับโดยแคทเธอรีน ฮาร์ดวิค) นอกจากนี้ยังมีผลงานทางโทรทัศน์ อาทิ “Cinnamon Girl” ที่เขาร่วมงานกับเรเน่ เซลวีเกอร์ และเขากับโอคอนเนอร์จะดัดแปลง “The Hustler” เป็นละครบรอดเวย์ในปี 2012 ตอนนี้เขาอาศัยอยู่ในเวนิส รัฐแคลิฟอร์เนีย

คลิฟฟ์ ดอร์ฟแมน (เขียนบท, เรื่อง)

         คลิฟฟ์ ดอร์ฟแมน เขียนบทให้ “Entourage” ปี 2 ซึ่งได้เข้าชิงรางวัล WGA Award หลังถอนตัวออกมา เขาก็ได้รับการติดต่อจาก Paramount Television ให้ไปเขียนบทละครทีวีเรื่อง “Five Towns” ซึ่งต่อมาใช้เป็นชื่อซีรี่ย์ในเรื่องของจอห์นนี่ ดราม่า เขาจะได้กลับไปเขียนบทอีกในปีหน้ากับเกวิน โอคอนเนอร์ ใน "Keep Up With the Jones" ของมินนี่ ไดรเวอร์ 
ต่อมา เขาได้ร่วมสร้างผลงานให้ FX กับนีล สเตราส์ (“The Game”) และเดฟ นาวาโร, ให้ ABC กับแลรี่ ชาร์ลส์ ปัจจุบันเขากำลังพัฒนาบทเรื่อง “The Line” ให้กับช่อง HBO ที่เขาสร้างร่วมกับปีเตอร์ เบิร์ก
          นอกจากนี้เขายังเขียนบทเรื่อง "Criminal Empire for Dummy's" ที่จะเริ่มถ่ายทำปีนี้ และได้รับคำขอบคุณพิเศษในภาพยนตร์ของ บิล เมอหร์ และแลรี่ ชาร์ลส์ เรื่อง “Religious” ที่เขาใส่รายละเอียดเพิ่มเติมเข้าไป
          นอกจากภาพยนตร์และโทรทัศน์แล้ว เขายังร่วมเขียน “The Watchdog” หนังสือการ์ตูนของ DC Comics ร่วมกับเดวิด อาร์แค็ต, เขียนวิดีโอเกม “Full Auto 2” ให้ค่าย Sega, ให้คำปรึกษาใน “Dead Space” ของค่าย EA Games และเขียนคอลัมน์ชื่อ "Cliff's Notes" ให้ LA Confidential ด้วย
เมื่อว่างจากงานเขียน คุณสามารถพบเขาได้ในหุบเขาพร้อมด้วยอาวุธ เครื่องกระป๋อง และน้ำ กับหมาโดเบอร์แมนที่ฝึกมาอย่างดีทั้งสามตัวของเขา

มาซาโนบุ ทาคายานากิ (ผู้กำกับภาพ)

          มาซาโนบุเป็นคนญี่ปุ่นโดยกำเนิด หลังจากเรียนจบด้านการถ่ายภาพที่สถาบันภาพยนตร์อเมริกันกับ M.F.A. เขาก็ได้ถ่ายภาพให้ภาพยนตร์ ภาพยนตร์โฆษณา สารคดี และมิวสิควิดีโอหลายเรื่อง
ปี 2003 เขาได้รับ John F. Seitz Heritage Award สาขาการถ่ายภาพยอดเยี่ยมจากสมาคมผู้กำกับภาพอเมริกัน และยังได้รับรางวัล Kodak Award สาขาถ่ายภาพยอดเยี่ยมจากเทศกาลภาพยนตร์นานาชาติปาล์มสปริงส์ปี 2003 ด้วย ต่อมา โกดักได้เชิญเขาไปร่วมงานเทศกาลภาพยนตร์นานาชาติเมืองคานส์ปี 2004 ในฐานะนักทำหนังนสำคัญของโลก
          ผลงานภาพยนตร์เรื่องล่าสุดของเขา ได้แก่The Grey” (2012), “Marley” (2011, additional photography), “The Eagle” (2011, 2nd unit), “Meet Monica Velour” (2010), “Eat, Pray, Love” (2010, 2nd unit), “Promises Written in the Water” (2010), “Amar a Morir” (2009), “State of Play” (2009), “Babel” (2006) และอื่นอีกมากมาย

แดน ลีห์ (ออกแบบงานสร้าง)

          Warriors คือภาพยนตร์เรื่องที่สองที่ แดน ลีห์ ร่วมงานกับ เกวิน โอคอนเนอร์ โดยเรื่องแรกนั้นคือ “Pride & Glory” ลีห์อกแบบงานสร้างให้ภาพยนตร์สองเรื่องทีออกฉายในปีนี้ คือ “Vamps” ของเอมี่ เฮ็คเกอร์ลิง ที่นำแสดงโดย อลิเซีย ซิลเวอร์สโตน และซิเกอร์นี่ย์ วีเวอร์ และ “Mararet” ที่ทุกคนรอคอย ผลงานเรื่องอื่นๆ ของเขาได้แก่ “Bride Wars” ที่นำแสดงโดย เคท ฮัดสัน, ภาพยนตร์สามเรื่องของผู้กำกับ โทนี่ โกลด์วิน รวมถึง “A Walk on the Moon” ที่นำแสดงโดย ไดแอน เลน และวิกโก้ มอ์เทนเซ่น และ “Basquait” ของจูเลี่ยน ชนาเบล สำหรับผู้กำกับ ไมเคิล กอนดรี้ ลีห์ได้ออกแบบงานสร้างให้หนังของเขาเรื่อง “Be Kind Rewind” และ “Eternal Sunshine of the Spotless Mind” ที่ทำให้เขาได้เข้าชิงรางวัลและตำแหน่งในฐานะผู้ออกแบบงานสร้างอเมริกันเพียงคนเดียวที่เทศกาลภาพยนตร์นานาชาติโลคาร์โน
          ผลงานทาง HBO ของลีห์ ได้แก่ “The Laramie Project” ของมัวเซ่ คอฟแมน และ Taking Chance“ ของรอส แคทซ์ ที่ทำให้เขาได้เข้าชิงรางวัล Emmy Award สาขากำกับศิลป์ ผลงานภาพยนร์เรื่องก่อนๆ ของเขา ได้แก่ “Fresh” นำแสดงโดย แซมวล แอล แจ็คสัน, “A Price Above Rubie” นำแสดงโดย เรเน่ เซลวีเกอร์, “Crossong Delicacy” และ “Street Man”
          ลีห์ยังออกแบบงานร้างให้ละครโทรทัศน์ด้วย อาทิ “Dirty Sexy Money” ทางช่อง ABC เขาเริ่มต้นอาชีพออกแบบงานสร้างท่โรงละคร โรงละครบรอดเวย์ โรงละครท้องถิ่น ลินคอล์นเซ็นเตอร์ และเคเนดี้เซ็นเตอร์ สำหรับโชว์ศิลปะการแสดง