happy on October 09, 2011, 04:59:48 PM


ผลงานระทึกขวัญจากสตูดิโอผู้สร้าง DISTRICT 9
40 ปี 60 ศพ เรื่องจริงสุดหฤโหดเกิดขึ้นที่นี่
กระชากแฟ้มอาชญากรของสองคู่หูต่างขั้ว
แซม เวิร์ทธิงตัน   เจฟฟรีย์ ดีน มอร์แกน


3 พฤศจิกายน นี้ เฉพาะที่ SFW เซ็นทรัลเวิลด์ และ APEX สยามสแควร์

เรื่องย่อ

               ณ เมืองเท็กซัส ซิตี้ มลรัฐเท็กซัส นายตำรวจหัวรั้นเจ้าถิ่น ไมค์ ซูเดอร์ (แซม เวิร์ทธิงตัน) และนักสืบไบรอัน ไฮจ์ (เจฟฟรีย์ ดีน มอร์แกน) ผู้ถูกส่งตัวมาจากนิวยอร์ค ต้องร่วมมือกันสืบสวนคดีฆาตกรรมสะเทือนขวัญ ที่ศพผู้เคราะห์ร้ายหลายรายถูกนำมาทิ้งในบริเวณที่รกร้างของเมืองซึ่งเป็นที่รู้จักกันในชื่อ “ทุ่งสังหาร” และเมื่อลิทเทิล แอน (โคลอี้ มอเรทซ์) เด็กสาวผู้อยู่ในความดูแลของไบรอันหายตัวไป เขาจึงหวั่นใจว่าเธออาจกลายเป็นเหยื่ออีกรายที่ต้องเข้าไปอยู่ในทุ่งแห่งนั้น ไบรอันออกไปตามหาเธอ ในเวลาไล่เลี่ยกับที่ไมค์ออกไปตามหาไบรอันเช่นกัน แต่ทั้งคู่ไม่รู้เลยว่า ใครก็ตามที่เข้าไปในทุ่งสังหารแล้ว จะไม่มีวันได้กลับออกมาพร้อมกับลมหายใจอีก

              ใน Texas Killing Fields ผู้กำกับ เอมี คานัน มานน์ บอกเล่าเรื่องราวนี้ผ่านตัวละครอย่างไมค์, ไบรอัน, แอน และอื่นๆ มานน์ยังทำให้สภาพภูมิทัศน์อันเวิ้งว้างห่างไกลของเท็กซัส ซิตี้ มีชีวิตและลมหายใจขึ้นมาเหมือนตัวละครตัวหนึ่ง ภาพยนตร์เรื่องนี้ถ่ายทำที่เมืองนิวออร์ลีนส์ ผู้กำกับ มานน์สามารถทำให้นิวออร์ลีนส์กลายเป็นเท็กซัส ซิตี้ได้ เนื่องจากทั้งสองเมืองนี้ต่างก็มีประวัติว่าเคยประสบภัยพิบัติจากพายุเฮอร์ริเคนเหมือนกัน นิวออร์ลีนส์กับพายุแคทรินา ส่วนเท็กซัส ซิตี้กับพายุริตา และไอเค เมื่อปี 2008 และที่เลวร้ายที่สุดคือพายุกัลเวสตัน ที่ทำลายล้างเมืองนี้ในปี 1900 นอกจากนี้ เท็กซัส ซิตี้ยังเป็นที่รู้จักในฐานะเมืองที่เกิดอุบัติเหตุทางอุตสาหกรรมครั้งร้ายแรงที่สุดในประวัติศาสตร์ของประเทศสหรัฐอเมริกา ซึ่งเรียกขานกันว่า “หายนะเท็กซัส ซิตี้ 1947”



สนทนากับผู้กำกับ เอมี คานัน มานน์
ถ: ทำไมคุณถึงอยากทำหนังเรื่องนี้?
ต: มันคืองานที่ไมเคิล (มานน์) กับดอน (เฟอร์ราโรเน) ปลุกปั้นอยู่นานหลายปี และบทหนังก็ผ่านมือผู้กำกับมาหลายคนแล้ว สิ่งที่ทำให้ฉันสนใจอยากทำหนังเรื่องนี้คือ หลักฐานการค้นคว้าที่มาพร้อมบทหนัง มันคือบทความหนังสือพิมพ์ที่มีภาพแผนผังของบริเวณที่เกิดเหตุ ภาพเหยื่อ และจุดที่พบศพพวกเขา เราสร้างแผนผังเลียนแบบขึ้นมา ซึ่งคนดูจะเห็นมนอยู่บนผนังออฟฟิศของไบรอัน เรื่องที่ติดอยู่ในใจฉันคือ มีการพบศพเหยื่อตั้งแต่ปลายยุค 60 จนถึงปัจจุบัน นี่ไม่ใช่ฆาตกรธรรมดาคนเดียวแล้ว แต่เป็นคนจำนวนหนึ่งที่สามารถก่ออาชญากรรม แล้วขนร่างเหยื่อมาทิ้งได้ ฉันรู้สึกว่านี่อาจเป็นคำถามสำคัญของเรื่องราวที่น่าสนใจนี้ ฉันจำเป็นต้องหาข้อมูลทุกแง่มุมให้มากที่สุดเท่าที่จะหาได้ ฉันไปที่แผนกคดีฆาตกรรมของ LASD, ห้องเก็บศพ, เรือนจำแองโกลาในหลุยเซียนา และเท็กซัส ซิตี้ด้วย พวกนักแสดงอย่างแซม, เจฟฟรีย์, เจสสิกา ก็ทำแบบนี้เหมือนกัน เพราะเหตุการณ์ทุกอย่างเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นจริง เราทุกคนจึงต้องซื่อสัตย์ต่อความจริง ด้วยการพยายามเข้าใจเรื่องราวให้ดีที่สุดเท่าที่จะทำได้

ถ: ช่วยอธิบายเทคนิคที่คุณใช้ถ่ายทอดลักษณะของตัวละครอย่างลูซีและแอน?
ต: ฉันโชคดีมากที่ได้ทีมนักแสดงที่มีพรสวรรค์และไหวพริบ พวกเขาสมควรได้รับคำชมสำหรับการรับบทของแต่ละคน ฉันคิดว่าลูซีคือสาวสวยที่ยึดมั่นอยู่กับความหวังและคำสัญญา ซึ่งเชอรีล (ลี) ก็ทำงานของเธอได้อย่างเหลือเชื่อ ในการทำให้เราเข้าใจทั้งในความเป็นผู้หญิงและความเป็นแม่ของตัวละครตัวนี้ ส่วนตัวละครแอนที่ดูเป็นผู้ใหญ่เกินตัวแต่แท้จริงก็ยังขาดความรอบคอบนั้น โคลอี้ (มอเรทซ์) ก็สามารถพาเราเข้าไปสัมผัสแก่นแท้ของบทที่เธอแสดงได้เป็นอย่างดี

ถ: คุณเคารพหรือรู้สึกเห็นใจตัวละครในเรื่องใช่ไหม?
ต: แน่นอนที่สุด ฉันเคารพและเห็นใจตัวละครทุกตัว ไม่มีใครเลวทั้งหมดหรือดีทั้งหมด ในชีวิตประจำวัน เราทุกคนต้องเลือก และพวกเขาก็มีสิทธิ์เลือก แต่คำถามคือ ทำไมพวกเขาถึงเลือกอย่างนั้น พวกเขาคิดยังไง ความรู้สึกของฉันคือคำถามเหล่านี้จะทำให้เราสร้างเรื่องราวที่น่าสนใจได้

ถ: ภูมิประเทศคือตัวละครสำคัญของ Texas Killing Fields คุณใช้มันช่วยในการเล่าเรื่องอย่างไรบ้าง
ต: ทุ่งสังหารของจริงเป็นพื้นที่กว้างใหญ่ที่อยู่นอกเท็กซัส ซิตี้ ซึ่งเป็นบริเวณที่มีการพบศพคนมากมาย สิ่งหนึ่งที่สะดุดใจฉันตอนไปดูสถานที่จริงคือ โรงทำน้ำตาลหลายแห่งที่ตั้งอยู่บริเวณนั้น ฉันคิดว่ามันดูเหมือนบ้านผีสิง มีสิ่งแปลกๆ เกิดขึ้นโดยไม่รู้สาเหตุ เราอยากรู้แต่ก็กลัว เมื่อฉันและน้องสาว อาแรน ผู้ออกแบบงานสร้าง ไปสำรวจโลเคชั่นถ่ายทำในหลุยเซียนา เราพบพื้นดินว่างเปล่าที่เต็มไปด้วยต้นไม้ไร้ใบตายซาก มันทั้งสวยและน่ากลัว มีคนบอกว่าเมื่อก่อนที่ตรงนี้เป็นป่าทึบ แต่เพราะสภาวะโลกร้อนทำให้ระดับน้ำทะเลเพิ่มสูง และกินพื้นที่เข้ามาในแนวป่า จนทำให้ต้นไม้ค่อยๆ ตายไป ต้นไม้พวกนี้เปรียบเสมือนภาพสัญลักษณ์ของทุ่งสังหารนั่นเอง

ถ: ใครคือคนทำหนังที่เป็นต้นแบบของคุณ และเขาให้แรงบันดาลใจในการทำหนังเรื่องนี้อย่างไร
ต: ฉันมีต้นแบบมากมายเลย นักทำหนังหลายๆ คน และแน่นอน ยังมีดนตรี, หนังสือ, ภาพถ่าย ทั้งหมดช่วยสร้างแรงบันดาลใจให้ฉัน สำหรับเรื่องทุ่งสังหารเท็กซัสนี้ แรงบันดาลใจสำคัญที่สุดมาจากตัวเหยื่อและพวกนักสืบ ฉันเชื่อว่าเรื่องราวของชายที่แตกต่างกันสองคน และเด็กหญิงที่พวกเขาผูกพันด้วย จะทำให้เราสามารถบอกเล่าเรื่องราวบางอย่างได้

ถ: อะไรคือสิ่งที่คุณอยากบอกผู้ชมเมื่อพวกเขาเข้ามาดูหนังเรื่องนี้?
ต: ตั้งใจดูนะคะ


« Last Edit: October 09, 2011, 05:04:28 PM by happy »

happy on October 09, 2011, 05:09:33 PM



ทีมงาน
เอมี คานัน มานน์  (ผู้กำกับภาพยนตร์)


               เอมี คานัน มานน์เติบโตในอินเดียนา เธอย้ายไปลอส แองเจลิส เพื่อศึกษาวิชาการผลิตงานโทรทัศน์และภาพยนตร์ แล้วจึงทำงานเป็นนักเขียนบทในซีรีส์เรื่อง NYPD Blue ตอน Tea and Sympathy (2000) และภาพยนตร์โทรทัศน์เรื่อง Nancy Drew (2002) มานน์เริ่มกำกับภาพยนตร์ครั้งแรกในปี 2001 นั่นคือเรื่อง Morning ก่อนกำกับซีรีส์โทรทัศน์อีกสองเรื่องคือ Robbery Homicide Division ตอน Hellbound Train (2003) และ Friday Night Lights ตอน I Can’t (2010) ภาพยนตร์เรื่อง Dark Fields คืองานกำกับภาพยนตร์ขนาดยาวเรื่องที่สองของเธอ

ไมเคิล มานน์  (ผู้อำนวยการสร้างภาพยนตร์)

                บิดาของเอมี คานัน มานน์ ผู้รับหน้าที่อำนวยการสร้างภาพยนตร์เรื่องนี้ ไมเคิล มานน์เกิดเมื่อปี 1943 ที่เมืองชิคาโก รัฐอิลลินอยส์ จบการศึกษาสาขาวรรณคดีอังกฤษ จากมหาวิทยาลัยวิสคอนซิน และจบการศึกษาวิชาภาพยนตร์ที่โรงเรียนภาพยนตร์แห่งลอนดอนในปี 1967 ขณะอยู่ที่อังกฤษ มานน์ทำงานในวงการโฆษณา และฝึกฝนการกำกับทั้งงานโฆษณา, สารคดี และภาพยนตร์สั้น เขาเดินทางกลับมาชิคาโกเมื่อปี 1971 และย้ายมาอยู่ลอส แองเจลิสในปีถัดมา เพื่อทำงานในวงการโทรทัศน์ มานน์เป็นผู้เขียนบทให้ภาพยนตร์โทรทัศน์เรื่องดังอย่าง Starsky and Hutch, Police Story ผลงานกำกับทางจอแก้วเรื่องแรกของเขาคือ The Jericho Mile (1979) ที่ส่งให้เขาพิชิตรางวัล Director’s Guild of America รวมถึงรางวัลเอ็มมี สาขาผู้ร่วมเขียนบทยอดเยี่ยมด้วย ช่วงระหว่างปี 1984-1990 มานน์เป็นผู้อำนวยการสร้างภาพยนตร์ซีรีส์โทรทัศน์ที่ประสบความสำเร็จอย่างสูงเรื่อง Miami Vice
              ในปี 1986 มานน์กำกับภาพยนตร์จอใหญ่เรื่องแรกคือ Manhunter ซึ่งสร้างจากนิยายเรื่อง Red Dragon ของโทมัส แฮร์ริส อันเป็นจุดกำเนิดของดร ฮันนิบาล เล็คเตอร์ หนึ่งในวายร้ายผู้โด่งดังที่สุดของโลกภาพยนตร์ ผลงานกำกับชั้นเยี่ยมเรื่องต่อมาของเขา ได้แก่ Crime Story (TV series - 1987), The Last of the Mohicans (1992), Heat (1995), The Insider (1999), Ali (2001), Collateral (2004), Miami Vice (2006) และ Public Enemies (2009) มานน์ได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลออสการ์ทั้งสิ้น 4 สาขา ได้แก่ ผู้เขียนบทยอดเยี่ยม, ผู้กำกับยอดเยี่ยม และผู้อำนวยการสร้างยอดเยี่ยมจาก The Insider (1999) และผู้อำนวยการสร้างยอดเยี่ยมจาก The Aviator (2004)


บิล บล็อค  (ผู้อำนวยการสร้างภาพยนตร์ฝ่ายบริหาร)

               ผู้ก่อตั้งบริษัทผลิตภาพยนตร์ QED International ในปี 2005 ที่สร้างผลงานเรื่องดังอย่าง District 9 (2009), A Perfect Getaway (2009), W. (2008), The Lucky Ones (2008) และ Smart People (2008) ก่อนหน้านี้ บล็อคเคยดำรงตำแหน่งประธานบริษัท Artisan Entertainment, ประธานฝ่ายอำนวยการฝั่งเวสต์โคสท์ของ International Creative Management ตั้งแต่ปี 1992-1997 และเขายังเป็นผู้ก่อตั้ง Intertalent Agency ด้วย ผลงานภาพยนตร์ดังเรื่องอื่นของบล็อค ได้แก่ Vanilla Sky (2001), The Hunting Party (2007) และ Powder Blue (2009)

พอล แฮนสัน  (ผู้อำนวยการสร้างภาพยนตร์ฝ่ายบริหาร)

               อดีตนักการเงินผู้หันเหมาทำงานในอุตสาหกรรมภาพยนตร์ พอล แฮนสันคือหัวหน้าผู้บริหาร QED International ที่มีเครดิตผลงานอำนวยการสร้างภาพยนตร์เรื่อง District 9 (2009), W. (2008), The Lucky Ones (2008), Smart People (2008) และ The Hunting Party (2007) ก่อนที่จะมาทำงานที่ QED International แฮนสันเคยเป็นผู้บริหารบริษัท Key Creatives ซึ่งทำงานประสานกับบริษัท Artisan Entertainment

happy on October 09, 2011, 05:14:49 PM





ดอน เฟอร์ราโรเน  (ผู้เขียนบทภาพยนตร์)

                ดอน เฟอร์ราโรเน รับหน้าที่ให้คำปรึกษาทางด้านเทคนิค (Technical advisor) ในภาพยนตร์แอ็คชั่นเรื่องดังอย่าง Enemy of the State (1998), Spy Game (2001), Man on Fire (2004) และ Miami Vice (2006) และรับตำแหน่งผู้ช่วยผู้อำนวยการสร้างในผลงานเรื่อง Bad Boys II (2003), Man on Fire (2004), Déjà vu (2006) และ The Taking of Pelham 1 2 3 (2009) ภาพยนตร์เรื่อง Dark Fields คือผลงานการเขียนบทเรื่องแรกของเขา

คริสโตเฟอร์ ลอว์เรนซ์  (ผู้ออกแบบเครื่องแต่งกาย)

               คริสโตเฟอร์ ลอว์เรนซ์ เคยทำงานอยู่ในแผนกเครื่องแต่งกายของภาพยนตร์โทรทัศน์คลาสสิคเรื่อง Moonlighting และ Pee-Wee’s Playhouse อีกทั้งยังเป็นหนึ่งในทีมออกแบบเครื่องแต่งกายในภาพยนตร์เรื่องดังอย่าง Beaches (1988), City Slickers (1991), Bugsy (1991), The River Wild (1994), To Wong Foo Thanks for Everything, Julie Newmar (1995), Space Jam (1996), The Saint (1997), Mousehunt (1997), Enemy of the State (1998), The Insider (1999) และ The Flinstones in Viva Rock Vegas (2000)
              ผลงานชิ้นแรกของลอว์เรนซ์ในตำแหน่งผู้ออกแบบเครื่องแต่งกายคือ The Anniversary Party (2001) จากนั้นเขาก็มีผลงานโดดเด่นตามมาอย่างต่อเนื่อง ดังจะเห็นได้จากภาพยนตร์เรื่องต่อไปนี้ Bubble Boy (2001), Showtime (2002), S.W.A.T. (2003), Cellular (2004), Hoot (2006), Crank (2006), The Hottie and the Nottie (2008), The Midnight Meat Train (2008), Hannah Montana: The Movie (2009) และ The Mechanic (2011)


อาแรน รีโอ มานน์  (ผู้ออกแบบงานสร้าง)

               จบการศึกษาด้านศิลปะจากโรงเรียนครอสโรดส์ ในซานตา โมนิคา และศึกษาต่อด้านประติมากรรม ที่โรงเรียนสอนการออกแบบแห่งโรด ไอส์แลนด์ หลังจากเรียนจบ มานน์ไปเรียนวิชาการสร้างภาพยนตร์ 16 มม. ที่มหาวิทยาลัยซอร์บอนน์ ในกรุงปารีส ต่อด้วยการศึกษาระดับปริญญาโทสาขาวิจิตรศิลป์ ที่วิทยาลัยโกลด์สมิธส์ ในกรุงลอนดอน แล้วจึงเดินทางกลับมาลอส แองเจลิส พร้อมกับได้งานเป็นผู้ช่วยผู้กำกับศิลป์ของผู้ออกแบบงานสร้างชื่อดัง เดวิด วาสโก ภาพยนตร์เรื่องแรกที่มานน์รับตำแหน่งผู้ออกแบบงานสร้างคือ Me and You and Everyone We Know (2005) ของผู้กำกับหญิง มิแรนดา จูลาย จากนั้นก็มีผลงานตามมาอีกสามเรื่อง ได้แก่ All the Days Before Tomorrow (2007), The Temerity of Zim (short 2008) และ White Horse (short 2010) 

สจ๊วร์ต ดรายเบิร์ก  (ผู้กำกับภาพ)

               ผู้กำกับภาพชาวอังกฤษที่มีถิ่นพำนักอยู่ในนิวยอร์ค เขาเกิดเมื่อปี 1952 และย้ายตามครอบครัวไปอยู่นิวซีแลนด์ในปี 1961 ดรายเบิร์กจบการศึกษาด้านสถาปัตยกรรมจากมหาวิทยาลัยอ็อกแลนด์ในปี 1977 จากนั้นเขาก็เข้าไปทำงานตำแหน่งหัวหน้าฝ่ายจัดแสงในวงการภาพยนตร์นิวซีแลนด์ตั้งแต่ปี 1979-1985 แล้วก้าวขึ้นเป็นผู้กำกับภาพที่มีผลงานทั้งภาพยนตร์สั้น, มิวสิควิดีโอ และภาพยนตร์โฆษณา ในปี 1990 ดรายเบิร์กได้ร่วมงานกับผู้กำกับ เจน แคมเปียน ครั้งแรก ในมินิซีรีส์เรื่อง An Angel at My Table ตามด้วยภาพยนตร์เรื่อง The Piano ที่ส่งให้เขาได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลออสการ์ สาขาผู้กำกับภาพยอดเยี่ยมประจำปี 1993
              ผลงานโด่งดังเรื่องอื่นของเขา ได้แก่ Once Were Warriors (1994), The Perez Family (1995), Lone Star (1996), The Portrait of a Lady (1996), Sex and the City (TV series 1998), Analyze This (1999), Runaway Bride 1999), Bridget Jones’s Diary (2001), The Recruit (2003), Aeon Flux (2005), The Painted Veil (2006), No Reservations (2007), Nim’s Island (2008), Amelia (2009), The Tempest (2010) และ Boardwalk Empire (TV series 2010)

happy on October 09, 2011, 05:19:26 PM
นักแสดง
แซม เวิร์ทธิงตัน


               จบการศึกษาจากสถาบันศิลปะการละครแห่งชาติออสเตรเลีย ในปี 1998 แล้วจึงก้าวสู่วงการละครเวทีด้วยผลงานเรื่อง Judas Kiss เวิร์ทธิงตันเริ่มต้นแสดงภาพยนตร์ฮอลลีวูด ด้วยการรับบทสมทบในผลงานเรื่องดังอย่าง Hart’s War (2002), The Great Raid (2005) และ Rogue (2007) ก่อนจะโด่งดังขึ้นมาจากการรับบทนำใน Terminator Salvation และ Avatar สองภาพยนตร์สุดฮิตแห่งปี 2009 ผลงานหลังจากนั้นของเขา ได้แก่ Clash of the Titans (2010), The Debt (2010) และ Last Night (2010)   

เจฟฟรีย์ ดีน มอร์แกน

                หนึ่งในนักแสดงชายผู้เป็นที่ต้องการตัวมากที่สุดในออลลีวูด ด้วยเครดิตผลงานชั้นดีที่ผ่านมาอย่าง JAG (TV series 1995-2002), Supernatural (TV series 2005-2008), P.S. I Love You (2007), The Accidental Husband (2008), Watchmen (2009), Grey’s Anatomy (TV series 2006-2009), Taking Woodstock (2009), The Losers (2010), Shanghai (2010), Jonah Hex (2010) และ The Resident (2011)

โคลอี้ เกรซ มอเรทซ์

                สาวน้อยผู้เริ่มทำงานในวงการบันเทิงตั้งแต่อายุเพียงห้าขวบ ด้วยการเป็นนางแบบโฆษณา และเป็นนักแสดงในอีกสองปีต่อมา กับซีรีส์โทรทัศน์เรื่อง The Guardian (2004) จากนั้นมอเรทซ์ก็มีผลงานการแสดงเรื่อยมา จนเริ่มเป็นที่จดจำของผู้ชมด้วยการรับบทสมทบใน (500) Days of Summer ภาพยนตร์โรแมนติกเรื่องเยี่ยม แห่งปี 2009 ก่อนจะโด่งดังเป็นพลุจากบท “ฮิตเกิร์ล” ใน Kick-Ass (2010) ผลงานลำดับถัดมาของเธอ ได้แก่ Diary of a Wimpy Kid (2010), Let Me In (2010) และซีรีส์โทรทัศน์เรื่อง 30 Rock (2011)

เจสสิกา แชสเทน

                เกิดและเติบโตในแคลิฟอร์เนียตอนเหนือ แชสเทนเข้าศึกษาที่โรงเรียนจูเลียร์ดอันมีชื่อเสียงในนิวยอร์ค จากนั้นจึงเริ่มอาชีพนักแสดงด้วยการเล่นละครเวทีเรื่อง Romeo and Juliet, The Cherry Orchard และ Rodney’s Wife ก่อนจะก้าวสู่วงการโทรทัศน์กับผลงานมากมายหลายเรื่อง และวงการภาพยนตร์ด้วยบทนำในเรื่อง Jolene (2008) แชสเทนได้รับเลือกให้รับบทเป็นภรรยาของแบรด พิทท์ ในภาพยนตร์เรื่องล่าสุดของผู้กำกับ เทอร์เรนซ์ มาลิค ที่ชื่อ The Tree of Life

แอนนาเบธ กิช

                นักแสดงหญิงผู้มีความสามารถหลากหลาย แอนนาเบธ กิชเริ่มเป็นที่รู้จักของผู้ชมตั้งแต่เธออายุได้เพียง 13 ปี ในภาพยนตร์เรื่องแรก Desert Bloom ที่ออกฉายเมื่อปี 1986 จากนั้นอีกสองปี เธอก็โด่งดังเป็นดาราด้วยการประกบกับจูเลีย โรเบิร์ตส ในภาพยนตร์เรื่อง Mystic Pizza ที่ส่งให้เธอได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัล Young Artist Awards สาขานักแสดงหญิงดาวรุ่งยอดเยี่ยม ผลงานเด่นเรื่องอื่นของกิช ได้แก่ Shag (1989), Coup de Ville (1990), Wyatt Earp (1994), The Last Supper (1995), Courthouse (TV series 1995), Nixon (1995), Beautiful Girls (1996), Steel (1997), SLC Punk! (1998), Double Jeopardy (1999), Pursuit of Happiness (2001), The X-Files (TV series 2001-2002), The West Wing (TV series 2003-2006), CSI: Miami (TV series 2004) และ Brotherhood (TV series 2006-2008)