happy on October 16, 2011, 03:58:17 PM

ชื่อภาพยนตร์   THE ADVENTURES OF TINTIN
ชื่อไทย      การผจญภัยของตินติน
วันที่เข้าฉาย   29 ธันวาคม 2554
จัดจำหน่าย      บริษัท ยูไนเต็ด อินเตอร์เนชั่นแนล พิคเจอร์ส (ฟาร์ อีสต์)
เว็บไซต์      www.
ทีมนักแสดง
   เจมี่ เบลล์  (JAMIE BELL)          รับบท   ตินติน   
   แอนดี้ เซอร์กิส (ANDY SERKIS)       รับบท   กัปตันแฮ็ดด็อค
   แดเนียล เคร็ก (DANIEL CRAIG)       รับบท   แซคคาไรน์
   นิค ฟรอสท์ (NICK FROST)          รับบท   ธอมสัน
   ไซม่อน เพ็กก์ (SIMON PEGG)       รับบท   ธอมป์สัน
   โทบี้ โจนส์ (TOBY JONES)          รับบท   ซิลก์
   แม็คเคนซี่ ครุก (MACKENZIE CROOK)    รับบท   ทอม
   แดเนียล เมย์ส (DANIEL MAYS)       รับบท   อัลลัน
   แก๊ด เอลมาลีห์ (GAD ELMALEH)       รับบท    เบน ซาลาด
   โจ สตาร์ (JOE STARR)             รับบท    บาร์นาบี้

ทีมผู้สร้าง
   สตีเว่น สปีลเบิร์ก (STEVEN SPIELBERG) – ผู้กำกับ/ ผู้อำนวยการสร้าง
   สตีเว่น ม็อฟแฟ็ท (STEVEN MOFFAT) – ผู้เขียนบท
   เอ๊ดการ์ ไรท์ (EDGAR WRIGHT) – ผู้เขียนบท
   ปีเตอร์ แจ็คสัน (PETER JACKSON) – ผู้อำนวยการสร้าง


สองสุดยอดผู้กำกับ สตีเว่น สปีลเบิร์ก และ ปีเตอร์ แจ็คสัน

จับมือปั้นการ์ตูนดังอมตะTin Tin ให้เป็นสุดยอดภาพยนตร์แอ็คชั่น ผจญภัยแห่งปี

“ทันทีที่ผมได้อ่านหนังสือเล่มแรก ตินตินไม่เคยห่างหายไปจากความคิดและ
หัวใจของผม ผมรู้จักตินตินและผมถูกลิขิตให้ต้องมีส่วนร่วม...
และร่วมผจญภัยในการค้นพบครั้งนี้”

-- ผู้กำกับสตีเว่น สปีลเบิร์ก




               นักข่าวหนุ่มไฟแรงคนนี้ตามสืบเรื่องราวที่เขาสนใจไปจนสุดขอบโลก แม้ว่าบ่อยครั้งที่เขาพบว่าชีวิตตัวเองตกอยู่ในอันตรายก็ตาม ผู้ช่วยมากความสามารถของเขาประกอบไปด้วยสุนัขสีขาว สโนว์อี้, กัปตันแฮ็ดด็อค, อัจฉริยะสติเฟื่อง ศาสตราจารย์แคลคูลัสและฝาแฝดธอมป์สัน

        เรื่องราวของ ตินติน ที่ทั้งน่าตื่นเต้นและตลกขบขัน บอกเล่าการผจญภัยท้ามฤตยูของนักข่าวหนุ่มผู้มีสัญชาตญาณสำหรับเรื่องเด็ดๆ และมีพรสวรรค์ในการแกว่งเท้าหาเสี้ยน ซึ่งบ่อยครั้งทำให้เขาเกือบเอาชีวิตไม่รอด! สปีลเบิร์กและแจ็คสันได้เลือกเรื่องราวสามเรื่องจากชุดตินตินเพื่อพัฒนาให้กลายเป็นภาพยนตร์จอเงิน ซึ่งพวกเขาตั้งใจจะกำกับต่อเนื่องกันไปเลย ด้วยการใช้เทคโนโลยีเพอร์ฟอร์แมนซ์ แคปเจอร์ ที่ล้ำสมัย




« Last Edit: November 20, 2011, 08:45:38 PM by happy »

happy on October 16, 2011, 04:10:13 PM



ประวัติตัวละคร

ตินติน

               นักข่าวหนุ่มคนกล้าผู้ทำตัวเป็นนักสืบ เขาไม่เคยหยุดยั้งที่จะตามล่าหาความจริงเพื่อต่อต้านเหล่าร้าย ซึ่งเป็นเหตุให้เขาต้องออกผจญภัยครั้งแล้วครั้งเล่า ตินตินมีทักษะสูงและมีความรู้รอบตัวเป็นอย่างดี เขาเป็นคนกล้าหาญ ยึดมั่นในความยุติธรรม เป็นเพื่อนผู้จงรักภักดีและถ่อมตัวเป็นที่สุด

สโนว์วี่

               สโนว์วี่เป็นสุนัขฟ็อกซ์ เทอร์เรียร์สีขาวล้วน เขาเป็นเพื่อนซี้ของตินติน ผู้กำชิ้นส่วนที่หายไปของปริศนาเสมอ สโนว์วี่คอยติดสอยห้อยตามเจ้านายของเขาอยู่ไม่ห่าง เป็นวีรบุรุษสี่ขาที่มีทั้งความกล้าหาญ ความเฉลียวฉลาดและความรักในการผจญภัยเต็มเปี่ยม

กัปตันแฮ็ดด็อค

               กัปตันผู้มุทะลุ อารมณ์ร้าย และชื่นชอบการสบถหยาบคายในแบบที่ไม่มีใครเหมือน ตินตินพบแฮ็ดด็อคถูกขังอยู่ในเรือคาราบูจันของเขา ซึ่งถูกยึดไปโดยกลุ่มอาชญากรใจโฉด ทั้งคู่หนีจากเหล่าร้ายมาได้ และก็ต้องเดินทางทั้งทางบก ทะเลและอากาศเพื่อไขความลับของยูนิคอร์น ซึ่งเป็นความลับที่จะสานมิตรภาพระหว่างทั้งคู่และเปลี่ยนแปลงชีวิตของแฮ็ดด็อคไปตลอดกาล

ธอมป์สัน และธอม(ป์)สัน

               แม้ว่าพวกเขาจะไม่ใช่ฝาแฝดและไม่ได้มีสายเลือดเดียวกัน แต่ตำรวจจอมเฟอะฟะในหมวกทรงสูงคู่นี้แทบจะเรียกได้ว่าเป็นแฝดฝาเดียวกันเลยทีเดียว (ความแตกต่างเพียงหนึ่งเดียวระหว่างพวกเขาคือรูปทรงหนวดของทั้งคู่นั่นเอง) คู่หูธอม(ป์)สัน ที่ทั้งเซ่อซ่า ไร้ความสามารถ แถมสำคัญตัวผิด เป็นคู่หูอันตราย ที่ทิ้งเงื่อนงำมากกว่าจะหาเจอในสถานการณ์สุดฮาของพวกเขา

อีวาน อิวาโนวิช ซาคาริน

               จอมบงการหลังม่าน ผู้มีอดีตลึกลับและแผนการชั่วร้ายที่คุกคามชีวิตของกัปตันแฮ็ดด็อค ซาคารินหมายมั่นปั้นมือที่จะแย่งชิงแบบยูนิคอร์นของตินตินมาครองให้ได้ ไม่ว่าจะด้วยวิธีใดก็ตาม

เบียงก้า คัสทาฟิโอเร่

               ดิวาแห่งโลกโอเปรา ที่บางครั้งถูกเรียกว่า "ไนติงเกลแห่งมิลาน" กลายเป็นอาวุธลับของซาคารินโดยไม่รู้ตัวระหว่างการแสดงพิเศษที่ปราสาทของโอมาร์ เบน ซาลัด

ร้อยโทเดกูร์

               ผู้บังคับบัญชาค่ายทหารที่อัฟการ์ เขาและทหารใต้บังคับบัญชาเป็นผู้ช่วยเหลือตินตินและแฮ็ดด็อคจากใจกลางทะเลทราย

โอมาร์ เบน ซาลัด

               ทรราชย์ผู้มั่งคั่ง ผู้ใช้ชีวิตอยู่ในเมืองบากการ์ เขาสะสมทรัพย์สมบัติมหาศาลได้จากการยึดครองแหล่งน้ำในเมือง หนึ่งในสมบัติล้ำค่าของเขาคือโมเดลเรือยูนิคอร์นชิ้นที่สาม ซึ่งเก็บงำชิ้นส่วนปริศนาสำคัญชิ้นสุดท้าย ที่เป็นกุญแจไขความลับของเรือยูนิคอร์น

ซิลค์

               โจรกระจอกที่ถูกธอมป์สันและธอมสันไล่ล่าตัว เขาเป็นชายโรคจิตที่ชื่นชอบการขโมยมากกว่าที่จะเป็นอาชญากร เขาเป็นนักล้วงกระเป๋ามือดีที่ถูกดึงตัวเข้ามาพัวพันกับการผจญภัยครั้งนี้ด้วยหลังจากที่เขาล้วงกระเป๋าตินติน ซิลค์ไม่รู้ตัวเลยว่า สิ่งที่ซ่อนอยู่ในกระเป๋าสตางค์ใบนั้นคือเศษกระดาษแผ่นหนึ่ง ซึ่งเป็นหนึ่งในสามชิ้นส่วนปริศนา ที่จะไขความลับของเรือยูนิคอร์น

อัลลัน

               ต้นหนผู้ก่อกบฏบนเรือของกัปตันแฮ็ดด็อค ปัจจุบัน เขาทำงานรับใช้ซาคาริน

ทอม

               สมุนคนสำคัญของอัลลัน เขาและอัลลันได้ลักพาตัวตินตินมาและจับเขาเป็นตัวประกันร่วมกับกัปตันแฮ็ดด็อคบนเรือคาราบูจัน

เนสเตอร์

               พิทักษ์และข้ารับใช้ผู้ภักดีของคฤหาสน์มาร์ลินสไปค์ ฮอล เขาทำการดูแลคฤหาสน์แห่งนี้มานานหลายปี และรับใช้ผู้เป็นเจ้าของคฤหาสน์หลังนี้มาหลายคนแล้ว

คุณนายฟินช์

                เจ้าของบ้านจอมจุ้นของตินตินที่บ้านเลขที่ 26 ถนนลาบราดอร์ แมวของเธอเป็นคู่กัดกับสโนว์วี่

บาร์นาบี้

                ชายแปลกหน้าชาวอเมริกัน ผู้พยายามเตือนให้ตินตินตระหนักถึงอันตรายที่จะเกิดจากโมเดลเรือที่เขาเพิ่งซื้อมาใหม่

happy on November 20, 2011, 09:01:59 PM
เกี่ยวกับภาพยนตร์

               จากฝีมือของผู้กำกับเจ้าของรางวัลออสการ์ สตีเว่น สปีลเบิร์ก และผู้อำนวยการสร้างเจ้าของรางวัลออสการ์ ปีเตอร์ แจ็คสัน สองนักเล่าเรื่องที่เปี่ยมไปด้วยจินตนาการอันบรรเจิดที่สุดในโลกปัจจุบัน กลายมาเป็นภาพยนตร์สามมิติที่เป็นปรากฏการณ์ การผจญภัยอันยิ่งใหญ่เพื่อไขปริศนาที่ถูกเก็บซ่อน เผชิญอาชญากรร้ายที่เป็นภัยคุกคาม และความลับโบราณ ในผลงานที่เป็นการมอบชีวิตให้กับเรื่องการผจญภัยสุดคลาสสิกที่ทำให้คนรุ่นแล้วรุ่นเล่าติดใจใหลหลงไปกับการผสมผสานอย่างลงตัวระหว่างฉากแอ็กชั่น อารมณ์ขัน และเรื่องราวที่เล่าได้อย่างหลักแหลมใน The Adventures of Tintin
           สร้างจากตัวละครที่คนทั่วทั้งโลกต่างหลงรัก ซึ่งเป็นฝีมือการสร้างสรรค์โดยแอร์เช ภาพยนตร์เรื่องนี้เป็นการติดตามการผจญภัยของตินติน (เจมี่ เบลล์) นักข่าวหนุ่มที่อยากรู้อยากเห็น กับสุนัขคู่ใจที่แสนซื่อสัตย์ภักดีอย่าง สโนวี่ เมื่อพวกเขาค้นพบเรือต้นแบบที่เก็บความลับมหาศาลเอาไว้ ตินตินที่หลงใหลในความลึกลับเก่าแก่นานหลายศตวรรษ พบว่าเขาถูก อิวาน อิวาโนวิทช์ แซคคาไรน์(แดเนียล เคร็ก) วายร้ายสุดโหดผู้เชื่อว่าตินตินได้ขโมยขุมทรัพย์มูลค่ามหาศาลที่เกี่ยวพันกับโจรสลัดที่ชื่อว่า เร็ด แร็คแฮม จับตามองอยู่ แต่ด้วยความช่วยเหลือจากสโนวี่ สุนัขคู่ใจของเขา, กัปตันแฮ็ดด็อกเจ้าอารมณ์ (แอนดี้ เซอร์กิส) และทีมนักสืบ ธอมป์สัน และธอมสัน (ไซม่อน เพ็กก์ และนิค ฟรอสท์) ตินตินต้องเดินทางไปกว่าครึ่งโลก และต้องเอาชนะและต้องนำหน้าเหล่าศัตรูในการไล่ล่าสุดตื่นเต้นเพื่อค้นหาตำแหน่งของเดอะ ยูนิคอร์น ซากเรือที่อาจกุมกุญแจสำคัญที่ไขไปสู่ขุมทรัพย์มหาศาล...และคำสาปโบราณ
           จากน่านน้ำลึกจนถึงทะลทรายในแอฟริกาเหนือ ทุกๆ มุมและทุกหักศอกล้วนแต่นำตินตินและผองเพื่อนไปสู่ความตื่นเต้นและการเสี่ยงตายที่รุนแรงมากขึ้น และยังเป็นการพิสูจน์ให้เห็นว่าเมื่อใดก็ตามที่คุณกล้าท้าเสี่ยงทุกอย่าง สิ่งที่คุณทำได้จะไม่เหลือข้อจำกัดใดๆ เลย
           พาราเม้าต์ พิคเจอร์ส และโคลัมเบีย พิคเจอร์ส ภูมิใจเสนอผลงานความร่วมมือกับ      เฮมิสเฟียร์ มีเดีย แค็ปปิตอล และแอมบลิน เอนเตอร์เทนเม้นต์, วิงนัท ฟิล์มส์ และเคนเนดี้/ มาร์แชลล์ โปรดักชั่น ผลงานภาพยนตร์ของ สตีเว่น สปีลเบิร์ก เรื่อง The Adventures of Tintin  ภาพยนตร์เรื่องนี้กำกับโดยเจ้าของรางวัลออสการ์ สตีเว่น สปีลเบิร์ก จากบทภาพยนตร์โดย สตีเว่น ม็อฟแฟ็ท และเอ๊ดการ์ ไรท์ และโจ คอร์นิช โดยอิงเรื่องราวจากผลงานเรื่อง “The Adventures of Tintin” ของแอร์เช ภาพยนตร์เรื่องนี้อำนวยการสร้างโดย สตีเว่น สปีลเบิร์ก, ปีเตอร์ แจ็คสัน และแคธลีน เคนเนดี้ โดยมี เคน คามินส์, นิค ร็อดเวลล์ จาก แอร์เช เอสเทต และสเตฟาน สเพอร์รี่ ทำหน้าที่ผู้อำนวยการสร้างบริหาร ทีมผู้อำนวยการสร้างร่วม ได้แก่ แคโรลินน์ คันนิ่งแฮม และเจสัน แม็คแก็ทลิน สปีลเบิร์กยังได้ผู้ร่วมงานระดับรางวัลออสการ์มาร่วมทีม ได้แก่ ผู้ลำดับภาพ ไมเคิล คาห์น, เอซีอี และผู้ประพันธ์ดนตรีประกอบผู้เป็นตำนานอย่าง จอห์น วิลเลี่ยมส์
           ทีมนักแสดงที่ได้รับเสียงชมของภาพยนตร์เรื่องนี้ นำทีมมาโดย เจมี่ เบลล์  (Billy Elliot) รับบท ตินติน, แอนดี้ เซอร์กิส (ภาพยนตร์ไตรภาค The Lord of the Rings) รับบทกัปตันแฮ็ดด็อก, แดเนียล เคร็ก (Quantum of Solace) รับบทซาคาไรน์, นิค ฟรอสท์  (Shaun of the Dead) และไซม่อน เพ็กก์ (Star Trek) รับบทธอมป์สัน และธอมสัน, โทบี้ โจนส์ (ภาพยนตร์ชุด Harry Potter) รับบทซิลก์, แม็คเคนซี่ ครุก (ภาพยนตร์ไตรภาค Pirates of the Caribbean) และแดเนียล เมย์ส  (The Bank Job) รับบททอมและอัลเลน และแก๊ด เอลมาลีห์  (The Valet) รับบทเบน ซาลาด 
            ทีมวิชวลเอฟเฟ็กต์ของวีต้า ดิจิตอล ซึ่งเคยคว้ารางวัลออสการ์มาแล้ว ประกอบไปด้วยทีมงานคนสำคัญอย่าง วิชวลเอฟเฟ็กต์ ซูเปอร์ไวเซอร์ โจ เล็ทเทอรี่, วิชวลเอฟเกต์ ซูเปอร์ไวเซอร์ สก็อตต์ อี แอนเดอร์สัน และแอนนิเมชั่น ซูเปอร์ไวเซอร์ เจมี่ เบียร์ด ร่วมด้วยผู้กำกับศิลป์ แอนดรูว์ โจนส์ และเจฟฟ์ วิสนิวสกี้
           The Adventures of Tintin จะเปิดตัวฉายในรูปแบบของ RealD 3D และ IMAX 3D โดยพาราเม้าต์ พิคเจอร์ส และโซนี่ พิคเจอร์ส เอนเตอร์เทนเม้นต์


การผจญภัยไร้กาลเวลา ปะทะสองปรมาจารย์โลกภาพยนตร์ยุคปัจจุบัน
แอร์เช, สตีเว่น สปีลเบิร์ก และปีเตอร์ แจ็คสัน

               ในการผจญภัยท่องทั่วโลกอันสุดตื่นเต้นจนทำให้หัวใจแทบหยุดเต้น ตินติน ตัวละครจากนิยายภาพเรื่องดังกลายเป็นขวัญใจของคนทั้งโลก นักข่าวผู้หาญกล้าที่มาพร้อมทรงผมดูตลก และความกล้าที่จะทำสิ่งที่ถูกต้องในสถานการณ์ที่ตื่นเต้นที่สุด กลายเป็นฮีโร่ขวัญใจของผู้อ่านรุ่นเยาว์ทั่วโลก และยังเป็นแรงบันดาลใจให้กับเหล่าศิลปิน นิยายภาพเรื่อง Tintin ที่วาดโดย จอร์จส์ เรมี่ ผู้ใช้นามปากกาว่าแอร์เช สามารถก้าวข้ามความแตกต่างระหว่างวัฒนธรรม เป็นขวัญใจของคนรุ่นแล้วรุ่นเล่า และข้ามผ่านพรมแดนที่เคยถูกทำลายด้วยภัยสงคราม กลายเป็นปรากฏการณ์ทางวัฒนธรรม โดยได้ถูกแปลไปเป็นภาษาต่างๆ มากกว่า 80 ภาษา และทำยอดขายไปมากกว่า 350 ล้านก๊อปปี้ และยังคงขายดีเป็นเทน้ำเทท่าอยู่
           แต่สำหรับสถานที่อันไกลโพ้นที่ตินตินเคยเดินทางไปถึงนั้น มีตั้งแต่เปรูจนถึงทิเบต จนถึงดวงจันทร์ มีสถานที่แห่งเดียวที่เขาต้องเสี่ยงภัยมากที่สุด นั่นก็คือจอภาพยนตร์ยุคใหม่ นั่นคือการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นกับภาพยนตร์เรื่อง The Adventures of Tintin ซึ่งไม่เพียงแต่เป็นการนำซีรีส์เรื่องนี้ไปสู่ผู้ชมภาพยนตร์ทั่วโลกเป็นครั้งแรกเท่านั้น แต่ยังเป็นการถูกสร้างขึ้นในรูปแบบใหม่สุดสร้างสรรค์ที่ผลักดันสภาพแวดล้อมของการเล่าเรื่องในศตวรรษที่ 21 ขณะที่ยังคงยึดมั่นต่อสไตล์ภาพที่ไร้กาลเวลาและไร้ขีดจำกัดของแอร์เช
           แหล่งพลังของซีรีส์เรื่องนี้ก็คือวิธีที่ตัวละครอันเป็นที่รักในเรื่องนี้ได้เดินทางไปยังดินแดนแปลกๆ และการต่อสู้อย่างหาญกล้ากับเหล่าคนร้าย ซึ่งล้วนเป็นคุณลักษณะที่ผูกพันผู้คนที่สัมผัสประสบการณ์การผจญภัยของตินตินเอาไว้ด้วยกัน
           นั่นก็คือสิ่งที่เกิดขึ้นกับ สตีเว่น สปีลเบิร์ก และปีเตอร์ แจ็คสัน ซึ่งได้มาร่วมมือกันเป็นครั้งแรกในฐานะผู้ร่วมงานก็เพราะความรักที่พวกเขามีต่อเรื่องราวที่ชวนติดตามของแอร์เช แต่ละคนเข้ามาสัมผัสกับตินตินในเวลาที่แตกต่างกันโดยสิ้นเชิง และด้วยรูปแบบที่ต่างกันไปคนละทาง แต่ความรักที่พวกเขามีต่อความเป็นไปได้ที่เรื่องราวนี้น่าจะมาขึ้นจอให้กับคนดูวงกว้างได้นั้น ถือว่ามีความเหมือนกัน ทั้งสองคนต่างฝ่ายต่างมิอาจต้านทานความตื่นเต้นที่เกิดจากความพยายามที่จะหลอมรวมความสนุกสนานของภาพวาดของแอร์เช เข้ากับเทคโนโลยีในงานสร้างภาพยนตร์ และการแสดงที่เปี่ยมไปด้วยอารมณ์ เพื่อสร้างเป็นภาพยนตร์ที่เหมาะเจาะกับเรื่องราวอันมากมายของตินติน
          “ตินตินคือนักข่าวไฟแรงที่ไล่ล่าเงื่อนงำต่างๆ ที่กลายเป็นการผจญภัยสุดน่าทึ่งที่ทำให้เขาต้องเดินทางไปทั่วโลก” สปีลเบิร์กอธิบาย “สิ่งที่ทำให้เขาดูน่าทึ่งก็คือการตามล่าหาความจริงอย่างไม่ลดละ ถึงแม้มันมักจะนำเขาไปสู่เส้นทางที่ไม่น่าไว้วางใจ บ่อยครั้งที่ดูเหมือนเขาจะพาตัวเองไปเจอปัญหาอันน่าหวั่นเกรง แต่เขามักจะพบทางออกอยู่เสมอ นับแต่ได้อ่านหนังสือเรื่องนี้ครั้งแรก ผมรู้เลยว่า Tintin กับผมถูกฟ้าลิขิตให้ต้องมาร่วมงานกันอย่างแน่นอน”
           ปีเตอร์ แจ็คสันเติบโตมากับตินติน และยังได้รับอิทธิพลจากการผจญภัยของตินตินด้วย สมัยที่ยังเป็นเด็กชายอยู่ในนิวซีแลนด์ นานก่อนที่เขาจะเริ่มต้นทำงานสร้างภาพยนตร์ ซึ่งรวมถึงการสร้างภาพยนตร์ไตรภาคที่ได้รับคำชมสูงสุดในประวัติศาสตร์ภาพยนตร์อย่าง  The Lord of the Rings แจ็คสันอ่านหนังสือตินตินทุกเล่มที่เขาสามารถหามาอ่านได้ ถึงแม้จะต้องนั่งแกะอ่านจากเวอร์ชั่นภาษาฝรั่งเศสก็ตาม
          “สมัยที่คุณยังเด็ก คุณสามารถจินตนาการว่าคุณเข้าไปอยู่ในการผจญภัยที่ตินตินต้องเจอได้โดยง่าย” แจ็คสันกล่าว “พวกเขาได้ก้าวเข้าไปสัมผัสกับความรู้สึกผจญภัยที่พวกเราทุกคนได้สัมผัสเช่นกัน”
           ชายทั้งสองคนมองเห็นโอกาสที่ดีในการสร้างภาพยนตร์เรื่อง Tintin ที่เหมือนฝังอยู่ในดีเอ็นเอของเรื่องนี้ “พวกเราทุกคนต่างโดนใจกับความจริงที่ว่าแอร์เชกำลังเล่าเรื่องราวผ่านสิ่งที่เป็นสตอรี่บอร์ดอันงดงามเหล่านี้ที่ดูเรียบง่าย ชัดเจน และทรงพลังในการเล่าเรื่อง” แคธลีน เคนเนดี้ หุ้นส่วนที่ร่วมงานกับสปีลเบิร์กมานาน ซึ่งต่อมาได้จับคู่กับแจ็คสันนั่งแทนผู้อำนวยการสร้าง กล่าวอธิบาย
           สปีลเบิร์กเริ่มติดต่อแอร์เชมาตั้งแต่ปี 1983 และพบว่าศิลปินชาวเบลเยี่ยมผู้นี้มีความกระตือรือร้นกับความคิดที่จะยกตัวละครแสนฉลาดของเขาตัวนี้ไปอยู่ในมือของสปีลเบิร์ก แต่น่าเสียดายที่แอร์เชได้จากไปเสียก่อนที่เขากับสปีลเบิร์กจะทันได้พบกัน ต่อมา แฟนนี่ ร็อดเวลล์ ภรรยาม่ายของเขา ได้ทำความปรารถนาของเขาให้เป็นจริง ด้วยการมอบลิขสิทธิ์ของซีรีส์เรื่องนี้ให้กับสปีลเบิร์ก 
          “แอร์เชเลือกให้สตีเว่นเป็นผู้กำกับเพียงคนเดียวที่เขาคิดว่าสามารถสร้างภาพยนตร์จากผลงานของเขาได้” สเตฟาน สเพอร์รี่ ผู้อำนวยการสร้างบริหาร ที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับ Tintin มานานหลายทศวรรษ และยังเป็นแฟนของตินตินมานานมากกว่านั้น เล่า “และสตีเว่นก็เคารพในเรื่องนั้นเสมอ”
ทางทีมผู้สร้างทำงานประสานอย่างใกล้ชิดกับนิคและแฟนนี่ ร็อดเวลล์ โดยได้ทำการปรึกษากับผู้ดูแลทรัพย์สินของแอร์เชทั้งสอง ซึ่งเป็นผู้เชี่ยวชาญในเรื่องของตินตินทุกเรื่องด้วย “สิ่งสำคัญที่สุดก็คือจะต้องให้เกียรติกับแอร์เช และต้องสร้างภาพออกมาให้ใกล้เคียงกับโทนสีและลักษณะภาพอันโดดเด่นของเขาให้มากที่สุดด้วย ทุกๆ ช่องสี่เหลี่ยมที่เขาวาดขึ้นนั้นได้บอกเล่าเรื่องราวในสไตล์เดียวกับภาพยนตร์อยู่แล้ว” ผู้กำกับสปีลเบิร์กตั้งข้อสังเกตเอาไว้ “มีพลังดึงดูดในทุกท่วงท่าและการกระทำ ราวกับว่าเขาพยายามจะบีบ 24 เฟรมภาพเข้าไปในภาพเดียว และเขาก็ทำได้สำเร็จเสียด้วย ผมว่านั่นแหละคือความเป็นอัจฉริยะของแอร์เช แต่ละเรื่องของเขาต่างก็มีแก่นของภาพยนตร์ และตอนนี้เราก็สามารถยึดมั่นต่อแนวทางของเรื่องนั้นๆ ได้”   
           สปีลเบิร์กเชื่อในทันทีเลยว่าแจ็คสันคือหุ้นส่วนในอุดมคติ “ปีเตอร์บอกผมว่า ‘ถ้าคุณอยู่ที่นี่ในเวลานี้ คุณคงจะมองข้ามไหล่ของผมและมองไปที่หนังสือทั้งหมดของแอร์เช ผมอยากจะเป็นส่วนหนึ่งของงานนี้’” สปีลเบิร์กเล่า “จากนั้นเราก็เริ่มต้นกระบวนการหาทางที่จะจับสไตล์ทางศิลปะที่บ่งบอกความเป็นแอร์เชและ Tintin และนำมันมาขึ้นจอ”
           แจ็คสันแทบอดใจรอไม่ไหวที่จะได้จัดการกับงานนี้ “ผมตื่นเต้นมากที่สตีเว่นชวนผมให้เข้ามาร่วมงานด้วย” แจ็คสันเล่า “สตีเว่นมีความคล้ายคลึงกับตัวละครตินตินมาก” แจ็คสันให้ความเห็นไว้ “หัวใจเขายังเด็ก เขาอยากรู้อยากเห็นสูง เขามีความรักในการผจญภัย และอารมณ์ขันของเขาก็เข้ากันกับสิ่งที่แอร์เชใส่เข้าไปในเรื่อง Tintin มันเข้ากันอย่างลงตัวมาก”
          นอกจากจะทำหน้าที่เป็นผู้อำนวยการสร้างให้กับภาพยนตร์ภาคแรกนี้แล้ว สปีลเบิร์กยังถามแจ็คสันด้วยว่าเขาจะกำกับภาพยนตร์ภาคที่ 2 หรือไม่ แจ็คสันตกลง และด้วยความยินดีและความร่วมมือจากแฟนนี่และนิค ร็อดเวลล์ การผจญภัยจึงเริ่มต้นขึ้น แฟนนี่ ซึ่งตอนนี้ก็คือประธานบริษัทแอร์เช สตูดิโอส์ ในบรัสเซลส์ อธิบายว่า “ถือเป็นเกียรติอย่างสูงสำหรับพวกเราที่ได้ร่วมงานกับผู้สร้างภาพยนตร์ที่มีความคิดสร้างสรรค์เป็นเอก เป็นคนที่เราเชื่อมั่นเต็มร้อยว่าจะนำตินตินไปสู่การผจญภัยที่ยิ่งใหญ่ที่สุดบนจอที่ใหญ่ที่สุดด้วย แอร์เชเองเคยพูดเอาไว้ว่า ‘ฉันมองว่าเรื่องที่ฉันสร้างขึ้นมาเป็นหนังเหมือนกันนะ’ คำพูดของเขาเหมือนเป็นคำทำนายจริงๆ!” 
           หลังจากปรึกษากับทางแอร์เช เอสเตท ทางทีมผู้สร้างได้เลือกมือเขียนบท สตีเว่น ม็อฟแฟ็ท และทีมของเอ๊ดการ์ ไรท์ และโจ คอร์นิช ให้มารับหน้าที่ดัดแปลงบท เพื่อแนะนำคนดูให้รู้จักกับตินตินและเพื่อนๆ รวมถึงศัตรูของเขา ทางทีมผู้สร้างตัดสินใจที่จะผสมผสานหนังสือตินตินเล่มโปรดสามเล่ม อันได้แก่  The Crab with the Golden Claws, The Secret of the Unicorn และ Red Rackham’s Treasure ให้กลายเป็นพลอตหนึ่งเดียวกันที่จะทำให้คนดูยุคปัจจุบันสนุกไปด้วยได้
หนังสือทั้งสามเล่มนี้เป็นเสมือนดาวเหนือนำทางให้กับทีมผู้เขียนบท “เรื่องของแอร์เชดึงดูดคุณด้วยสีสันและการผจญภัย แต่มันยังเป็นอะไรมากกว่านั้น มันเต็มไปด้วยคอนเซ็ปต์สอนใจ การเดินทางและความน่าตื่นเต้น ขณะที่ยังคงแนะนำคุณให้รู้จักความกว้างใหญ่ไพศาลของโลกและต่อไอเดียทางด้านวิทยาศาสตร์ด้วย ผมว่านั่นเป็นหนึ่งในเหตุผลที่เรื่องเหล่านี้ถึงยิงตรงไปที่จินตนาการของเด็กหลายล้านคน และเราก็อยากจะนำเอาทุกแง่มุมนั้นใส่เข้าไปในบทภาพยนตร์เรื่องนี้” คอร์นิชสรุป
            พวกเขายังได้รับการชี้นำจากสปีลเบิร์กและแจ็คสันที่มองเห็นถึงองค์ประกอบของความเป็นฟิล์มนัวร์. ภาพยนตร์เขย่าขวัญแบบฮิทช์ค็อค และงานทริลเลอร์ที่ขายสเปเชียล เอฟเฟ็กต์อยู่ภายในภาพวาดลายเส้นที่มีลูกเล่นของแอร์เช และได้นำสิ่งเหล่านั้นใส่ลงไปในเรื่องราวนี้
สปีลเบิร์กบอกว่าผลลัพธ์ก็คือ “เรื่องราวที่ส่วนหนึ่งเป็นเรื่องลึกลับ อีกส่วนเป็นเรื่องราวการสืบสวน และยังเป็นการผจญภัย ซึ่งทั้งหมดนี้สร้างขึ้นรอบๆ เรื่องราวที่ว่าด้วยมิตรภาพ ความซื่อสัตย์ และความศรัทธาระหว่างกัปตันแฮ็ดด็อคและตินติน”

happy on November 20, 2011, 09:24:59 PM
การออกแบบโลกของตินติน
ก้าวแรกในการก้าวจากหน้ากระดาษมาสู่จอภาพยนตร์

               สตีเว่น สปีลเบิร์ก และปีเตอร์ แจ็คสัน ไม่เพียงแต่มีจินตนาการบรรเจิดร่วมกันเท่านั้น แต่พวกเขายังมีแรงขับที่จะก้าวสู่การผจญภัยในโลกแห่งการบุกเบิก ตั้งแต่มนุษย์ต่างดาวจนถึงดินแดนมิดเดิลเอิร์ธ พวกเขาได้สร้างตัวละครที่ยากจะลืมเลือน และโลกที่ไม่เหมือนใครในแบบที่ไม่มีทางสัมผัสได้นอกโรงภาพยนตร์ แต่พวกเขาทั้งคู่ต่างยังไม่เคยใช้ฝีมือในการสร้างภาพยนตร์ เพื่อใช้สร้างภาพยนตร์แอนนิเมชั่นสามมิติมาก่อน

           ความภักดีของสปีลเบิร์กและแจ็คสันคือสิ่งแรกและสิ่งสำคัญที่สุดต่อโลกของตินติน และความหลงใหลที่พวกเขามีต่อสไตล์การวาดของแอร์เชที่สร้างแรงบันดาลใจให้กับการออกแบบภาพ ทั้งหมดนี้ได้ถูกใส่ลงไปในภาพยนตร์แอนนิเมชั่นซีจีเรื่องนี้ตั้งแต่วันแรก 
           นับแต่ที่บทภาพยนตร์ยังอยู่ในระหว่างการลงมือเขียนอยู่นั้น แผนกศิลปกรรมและทีมแอนนิเมชั่น ได้ถูกตั้งขึ้น และผู้ร่วมงานจากทั้งสองฝั่งของมหาสมุทรแปซิฟิก เริ่มต้นระดมไอเดียสำหรับตัวละครและฉากอันดุเด็ดเผ็ดร้อนให้กับ Tintin หนึ่งในการตัดสินใจครั้งใหญ่อันแรกๆ ที่พวกเขาต้องทำ และเป็นการตัดสินใจที่จะกำหนดทุกอย่างที่ติดตามมา ก็คือ การคงไว้ซึ่งยุคสมัยและรายละเอียดของเรื่องที่ไม่ระบุเวลาแน่ชัด เหมือนวางเรื่องให้เกิดในโลกนัวร์ตลอดกาล โดยมีเงาดำมืดซุ่มซ่อนอยู่ในทุกมุม 
           “เรื่องราวเหล่านี้อาจเกิดขึ้นในยุค ‘30s, ‘50s, ‘80s หรือในปัจจุบันก็ได้” สปีลเบิร์กกล่าว “และนั่นก็คือส่วนหนึ่งของความงดงามที่เราอยากสงวนเอาไว้ สิ่งที่เราไม่ต้องการในภาพยนตร์ของเราก็คือโทรศัพท์มือถือ จอทีวี หรือรถยนต์สมัยใหม่ คำชี้นำในการออกแบบของเราเกิดมาจากตัวแอร์เช ไม่ใช่มาจากยุคสมัยหรือฉากใดๆ”
แจ็คสันกล่าวเสริมว่า “เราต้องการให้ภาพยนตร์เรื่องนี้มีความรู้สึกย้อนยุคแบบภาพยนตร์ดราม่าแนวอาชญากรรม นั่นไม่ได้หมายถึงตัวตินตินนะ แต่หมายถึงโลกที่ตินตินใช้ชีวิตอยู่ มีความตื่นเต้นเขย่าขวัญอยู่ในเรื่องนี้ที่เรารู้สึกว่าเราสามารถรวมผู้คนเข้ากับเสื้อโค้ทกันฝน ใส่หมวกท่ามกลางสายฝน ไฟถนนที่ทอดเงาอยู่บนทางเท้าที่เปียกน้ำ นั่นคือโลกที่เราสร้างให้ตินตินของเราอาศัยอยู่”
           ต่อมา ทีมศิลปิน, ดีไซเนอร์ และแอนนิเมเตอร์ ได้เริ่มจินตนาการว่าศิลปะของแอร์เชควรมีหน้าตาเป็นเช่นไรถ้ามันอยู่ในพื้นที่สามมิติ ถึงแม้จะถูกวาดขึ้นเมื่อหลายทศวรรษก่อน แต่ผลงานศิลปะของเขาถือว่ามีความโดดเด่นไม่เหมือนใคร ริชาร์ด เทย์เลอร์ เจ้าของร่วมของวีต้า เวิร์กช้อป และยังเป็นดีไซเนอร์และเอฟเฟ็กต์ซูเปอร์ไวเซอร์ให้กับภาพยนตร์เรื่องนี้กล่าวว่า “เมื่อคุณดูภาพวาดของแอร์เชที่วาดด้วยปากกาสีดำ กับมีสีน้ำที่ระบายอยู่บนหน้ากระดาษ ที่คุณต้องทำก็คือการหลับตาและเริ่มจินตนาการถึงโลกของ Tintin มันช่วยไม่ได้จริงๆ ที่คุณจะเห็นมันเป็นภาพสามมิติ”
           ทุกอย่างดำเนินไปได้ด้วยดี ส่วนหนึ่งเป็นเพราะแอร์เชได้ทิ้งกฎเกณฆ์ของความเป็นจริงอันบริสุทธิ์เอาไว้ขณะที่เขาวาดการผจญภัยของตินตินขึ้นมาทีแรก “เส้นสายของสิ่งที่แอร์เชวาดขึ้นมา ไม่จำเป็นต้องถูกต้องไปเสียหมด” โจ เล็ทเทอรี่ ผู้เป็นซีเนียร์ วิชวล เอฟเฟ็กต์ ซูเปอร์ไวเซอร์ของภาพยนตร์ กล่าว “เขาไม่ได้พยายามจะลอกแบบสิ่งที่เขาเห็น และเราก็อยากจะคงคุณสมบัติที่ดูเกินจริงเหล่านั้นเอาไว้ในแบบที่เขาเคยทำ งานส่วนใหญ่ในการศึกษางานดีไซน์ ก็คือการดูสิ่งที่เขาทำไว้ แต่หลังจากนั้นก็ต้องมาจินตนาการถึงมันจากมุมมองที่ต่างไป ทำให้เราสามารถเริ่มสร้างบัญญัติที่คุณจะใช้ในการสร้างโลกของเขาให้ออกมาเป็นโลกสามมิติได้”
           เพื่อจะสร้างโลกของแอร์เชให้มีชีวิตชีวาขึ้นมา เพื่อจะให้คนดูรู้สึกได้ถึงสายลมที่พัดผ่านอากาศเสมือนจริงนี้ ฝ่ายศิลปกรรมได้ทำการค้นคว้าหาภาพและโลเกชั่นที่อาจจะนำเสนอสภาพแวดล้อมอันหลากหลายที่ตินติน, สโนวี่ และแฮ็ดด็อคไปผจญภัยอยู่ ตั้งแต่น่านน้ำลึกของมหาสมุทรที่กำลังเกิดพายุ จนถึงเม็ดทรายสีชมพูของทะเลทรายซาฮาร่า สถานที่สุดโปรดของเหล่าดีไซเนอร์ ก็คือ นครแบ็กการ์, โมร็อคโคของแอร์เช
           “เราพิจารณาสไตล์ที่แตกต่างกันมากมายของโครงสร้าง รูปแบบของแอฟริกาเหนือ” รีบีกาห์ ทิสช์ คอนเซ็ปชวล ดีไซเนอร์ กล่าว “และสามารถใช้รูปทรงและสีสันอันน่าทึ่งเพื่อสร้างนครแบ็กการ์ขึ้นมา มันทำให้ฉันมีความปรารถนาที่จะได้ไปเห็นโลกใบนี้ และฉันก็หวังว่าคนที่ได้ดู Tintin คงจะรู้สึกตื่นเต้นในแบบเดียวกัน”
เมื่อได้รับคำเชิญจากแฟนนี่ และนิค ร็อดเวลล์ จากมูลนิธิแอร์เช หัวหน้าทีมคอนเซ็ปชวล ดีไซเนอร์ คริส กุยซี่ ได้เดินทางไปยังบรัสเซลส์เพื่อค้นคว้าหาข้อมูลเกี่ยวกับเมืองบ้านเกิดของตินตินอย่างใกล้ชิด ได้เข้าไปซึมซับบรรยากาศที่นำไปสู่การสร้างสรรค์อพาร์ตเม้นต์ของตินตินที่เลขที่ 26 ถนนลาบราดอร์ และบ้านคันทรี่ของกัปตันแฮ็ดด็อคส์ที่มาร์ลินสไปก์ฮอลล์ 
           “คริสทุ่มเทตัวเองเข้าไปในโลกของแอร์เช และมองหาภาพที่เป็นแรงบันดาลใจ จากนั้นเขาก็กลับมาพร้อมกับความรู้สึกเข้าอกเข้าใจถึงสถานที่แห่งนั้น” ริชาร์ด เทย์เลอร์ กล่าว
           มาร์โค่ รีวีแลนท์ ซึ่งทำหน้าที่เป็นดิจิตอล โมเดล ซูเปอร์ไวเซอร์ ยังได้เพิ่มความคลั่งไคล้ที่เขามีต่อโมเดลเรือเข้าไปในกระบวนการทำงานนี้ ซึ่งถือเป็นกุญแจสำคัญในการผจญภัย รีวีแลนท์เดินทางไปยัง Musée de la Marin ในปารีส เพื่อศึกษาเรือต่างๆ ที่แอร์เชใช้เป็นพื้นฐานในการสร้างเรือเดอะบริลเลียน์ท และเดอะยูนิคอร์น “งานออกแบบของแอร์เชมีความพิถีพิถัน แต่มีการลดขนาดลง” รีวีแลนท์อธิบาย “เราได้ใช้การปรับแต่งแบบเดียวกันนั้นเข้าไปในโมเดลดิจิตอลของเรา”
            คิม ซินแคลร์ ซึ่งเป็นวิชวลเอฟเฟ็กต์ อาร์ต ไดเร็คเตอร์ มองหายานพาหนะที่เหมือนจริง อย่างเช่น รถฟอร์ดปี 1937 ที่เห็นกันในหนังสือ ซึ่งต่อมาได้ถูกสแกนเข้าไปในคอมพิวเตอร์เพื่อสร้างภาพขึ้นมาอีกครั้งด้วยภาพดิจิตอล “แอร์เชทำการค้นคว้าเกี่ยวกับยานพาหนะมาอย่างพิถีพิถัน อย่างเช่นรถฟอร์ด และเรือบิน และเราสามารถรู้ถึงโมเดลและปีที่ผลิต และสามารถหาได้แม้กระทั่งชาร์ตสีของผู้ผลิตจริงๆ”
            แต่องค์ประกอบด้านการออกแบบที่ถือว่าสำคัญที่สุดตั้งแต่เริ่มต้น ก็คือ เหล่าตัวละครนั่นเอง ตั้งแต่ท่าทางตลกๆ ของแฮ็ดด็อค จนถึงเส้นผมที่ชี้ขึ้นของตินติน จนถึงรูปร่างที่ดูโดดเด่นของหนวดของทีมนักสืบ ธอมป์สันแอนด์ธอมสัน จนถึงจมูกของสโนวี่ ทุกรายละเอียดล้วนแต่ถูกนำมาถกกัน จินตนาการ จินตนาการขึ้นใหม่ จากนั้นก็ถูกนำมาปรับแต่งในระหว่างการประชุมของพวกเขา
           “เราพิจารณาทุกตัวละครจากทุกแง่มุม เพื่อให้แน่ใจว่าพวกเขาเหมือนกับที่แอร์เชได้วาดเอาไว้” สปีลเบิร์กเล่า “เราไม่กลัวที่จะพูดว่า ‘รูปหน้าของกัปตันแฮ็ดด็อคดูไม่เหมือนงานศิลปะของแอร์เชเลยนะ’”

happy on November 20, 2011, 09:40:16 PM
ความกล้าหาญและการทรยศ
นักแสดงและตัวละครของ The Adventures of Tintin

               เบื้องหลังแต่ละภาพที่ถูกสร้างขึ้นอย่างพิถีพิถันก็คือการแสดงที่เต็มไปด้วยทักษะฝีมือและแรงบันดาลใจ เสน่ห์ที่ดึงดูดนักแสดงที่ได้รับเลือกให้มาแสดงภาพยนตร์เรื่องนี้ก็คือตัวละครที่ยากจะหาที่เปรียบของแอร์เช ตัวละครแต่ละตัวต่างมีลักษณะที่น่าจดจำและมีข้อบกพร่องในแบบที่ไม่เคยมีมาก่อน ตัวละครเหล่านี้ได้แก่

ตินตินและสโนวี่

               คนที่จะมารับบทบาทที่แสนโด่งดัง อันได้แก่บทนักข่าวหนุ่มน้อยที่สะท้อนความฝันของการผจญภัยมากมายนับไม่ถ้วน ทางทีมผู้สร้างเลือกเจมี่ เบลล์ “การแสดงของเจมี่ใน Billy Elliot ทำให้ผมตื่นตะลึงมาก ไม่ใช่เพียงเพราะความหลักแหลมในการแสดงของเขาเท่านั้น แต่ยังรวมถึงการแสดงออกทางร่างกายที่เขามอบให้ด้วย” สปีลเบิร์กกล่าว “ปีเตอร์กับผมต่างคิดกันว่าเขามีคุณสมบัติที่เหมาะสำหรับบทตินตินทุกอย่าง”
           การเติบโตมาในอังกฤษ เบลล์จึงเป็นแฟนของตินตินมาตั้งแต่เด็ก “มีบางอย่างในงานศิลปะของแอร์เชที่เหมือนทิ้งรอยประทับเอาไว้ในใจคุณ มันลืมไม่ลงจริงๆ” เขาบอก “แต่บัดนี้ เขามีโอกาสที่จะสร้างภาพประทับใจของตัวละครตัวนี้ในแบบที่สามารถจับต้องได้ มีอารมณ์แบบมนุษย์ และนั่นก็สร้างความตื่นเต้นให้กับเขามาก” 
           มือเขียนบท โจ คอร์นิช บอกว่าเบลล์เข้าถึงตินตินในหมวดหมู่ของผู้ชายธรรมดาที่ดูคลาสสิกตามแบบสปีลเบิร์ก เป็นเด็กหนุ่มธรรมดาที่พบว่าเขาสามารถเป็นคนที่พิเศษได้แค่ไหน ในยามที่ชีวิตต้องการมัน “สำหรับผมแล้ว เขาเปรียบเสมือนไอเดียของเด็กคนหนึ่งที่คิดว่าการเป็นวัยรุ่นจะเป็นเช่นไร” คอร์นิชบอก “เขาสามารถทำเรื่องน่าทึ่ง แต่ยังคงรักษาไว้ซึ่งความไร้เดียงสา และความอยากรู้อยากเห็นเกี่ยวกับโลกนี้ เป็นความรู้สึกที่เขากำลังมองหาวิธีที่จะทำสิ่งที่ถูกต้องในสถานการณ์ต่างๆ คุณรู้สึกราวกับว่าทุกคนต่างฝันอยากเป็นตินตินเพราะทุกสิ่งที่คุณต้องการก็คือความรู้ ความสนใจ และหัวใจที่บริสุทธิ์ที่ทำให้เขาผ่านการผจญภัยเหล่านี้มาได้”
           สำหรับเบลล์ คุณสมบัติซึ่งเป็นที่ปรารถนาก็คือวิธีที่จะเข้าถึงตัวละครตัวนี้ และนำเขาเดินหน้าไปไกลเกินกว่าปอยผมปัดด้านหน้าที่เป็นสัญลักษณ์ประจำตัวของเขา “เมื่อคุณเห็นชายหนุ่มที่ไม่กลัวเกรงสิ่งใด และเป็นคนชอบผจญภัยเหมือนอย่างที่ตินตินเป็น เขาก็คือทุกสิ่งทุกอย่างที่คุณอยากเป็น” เบลล์กล่าว “ตินตินคือตัวละครที่มีแรงผลักดัน เป็นตัวละครที่รู้ผิดชอบชั่วดี และผมก็ชื่นชมลักษณะเช่นนั้น เขาจะลุยจนถึงก้นบึ้งของสิ่งต่างๆ ไม่ว่ามันจะเป็นอะไร แต่บางครั้งเขาก็คิดผิด และนั่นก็คือตอนที่เขาต้องให้ความไว้วางใจในตัวสโนวี่”
           แน่นอน สโนวี่คือสุนัขพันธุ์เทอร์เรียที่แสนซื่อสัตย์ของตินติน และบางครั้งก็เป็นผู้ช่วยชีวิตเขาเอาไว้ด้วย คอร์นิชเรียกสโนวี่ว่าแทบจะเป็น “รูปธรรมของจิตใต้สำนึกของตินติน” และกลเม็ดก็คือการสร้างให้ตัวละครตัวนี้เป็นสุนัขตัวเล็กๆ ที่ทั้งตลกและฉลาด ถึงแม้บ่อยครั้งที่แอร์เชมักจะทึกทักใส่วงกลมความคิดให้กับเพื่อนสี่ขาของตินตินด้วย ซึ่งสปีลเบิร์กรู้สึกว่าพวกเขาสามารถที่จะมอบชีวิตและความรู้สึกให้กับสโนวี่ได้ในแบบที่มันแสดงอารมณ์ออกมาได้โดยไม่ต้องมีคำพูด
           “บางครั้งผมคิดว่าตินตินน่าจะเป็นลูกสมุนของสโนวี่ด้วยซ้ำ มากกว่าจะเป็นเจ้านายของมัน” สปีลเบิร์กกล่าวถึงตัวละครที่มีคนรักใคร่มากมายตัวนี้ “แต่เราตัดสินใจกันแล้วว่าถ้าจะสร้างความสมจริงให้กับตินตินละก็ ก็ต้องเป็นสุนัขที่พูดไม่ได้เท่านั้น”


กัปตันแฮ็ดด็อค

               เมื่อตินตินซื้อโมเดลเรือเดอะยูนิคอร์นที่หายสาบสูญไปจากตลาดท้องถิ่น เขาพบว่าภายในโมเดลเรือลำนั้นได้แอบซ่อนความลับที่ส่งเขาขึ้นไปอยู่บนเรือที่มีชื่อว่าคาราบูดแจน และในที่สุด ก็ทำให้เขาได้รู้จักกับเพื่อนที่เขาคบหาไปชั่วชีวิตอย่างกัปตันแฮ็ดด็อค ผู้เชี่ยวชาญเรื่องท้องทะเลในระดับที่อาจมีน้ำทะเลอยู่ในสายเลือด และหนีบขวดวิสกี้เอาไว้ไม่เคยห่างกาย ผู้ซึ่งสักวันหนึ่งจะกลายเป็นเงาตามตัวตินตินและเป็นคู่หูของเขาในการผจญภัย
           กัปตันแฮ็ดด็อคถือเป็นตัวละครตัวโปรดของแฟนๆ ของตินตินมานาน เป็นคนที่มีลักษณะตรงกันข้ามกับความเป็นคนเจ้าอุดมคติของตินติน ผู้มาพร้อมกับคำพูดคำจาที่เต็มไปด้วยสีสัน และเหนือสิ่งอื่นใด ยังเป็นเพื่อนเดนตายที่แสนใจดีของตินติน “เมื่อเห็นในทีแรก แฮ็ดด็อคน่าจะเป็นคนสุดท้ายในโลกนี้ที่คุณอยากอยู่เคียงข้างเขาในการผจญภัยสุดเสี่ยงตาย” แจ็คสันอธิบาย  “แต่ตินตินมองเห็นบางอย่างในตัวแฮ็ดด็อค ผมว่าตินตินมองเห็นความดีงามในตัวชายคนนี้ และเข้าใจดีว่าเขาสามารถกลายเป็นคนยังไงได้บ้าง”
           สำหรับคนที่จะมาแสดงเป็นแฮ็ดด็อคนั้น แจ็คสันแนะนำนักแสดงที่เขารู้ดีว่าเป็นคนที่มีคุณสมบัติจะตอบสนองต่อทุกแง่มุมของบทนี้ได้ เขาผู้นั้นก็คือแอนดี้ เซอร์กิส “การที่ผมรู้จักแอนดี้เป็นอย่างดี ทำให้ผมรู้ว่าเขาเป็นคนเก่งสุดๆ ผมเลยจัดการให้เขาได้พบกับสตีเว่น ซึ่งก็มองออกได้ทันทีเลยว่าแอนดี้สามารถนำอะไรมาสู่บทนี้ได้บ้าง”
           สปีลเบิร์กกล่าวเสริมว่า “แอนดี้กับเจมี่มีเคมีที่เข้ากันได้ดีมากเมื่อมารับบทเป็นคู่หูหนุ่มไฟแรงที่ยึดมั่นกับความถูกต้อง และกัปตันเรือแก่ๆ ที่ดูเหมือนไร้ศีลธรรม พวกเขาตรงกันข้ามกันอย่างสิ้นเชิง แต่กัปตันแฮ็ดด็อคได้นำบทเรียนมากมายมาสู่ชีวิตของตินติน และตินตินก็ได้ให้โอกาสแฮ็ดด็อคที่จะไถ่บาปให้ตัวเขาเอง”
           เซอร์กิส ซึ่งเป็นแฟนหนังสือการ์ตูนเรื่องนี้มาตั้งแต่เด็ก ตัดสินใจที่จะทำให้ตัวละครของเขา (ที่จุดกำเนิดนั้นถือว่าเปิดโอกาสให้ตีความได้อย่างเต็มที่) พูดสำเนียงสก็อต ซึ่งเป็นตัวกำหนดโทนให้กับการเดินทางของเขา “ดูเหมือนเป็นเรื่องเหมาะเจาะที่สุดแล้วที่แฮ็ดด็อคควรจะมีความดิบและมีอารมณ์ที่เข้าถึงได้” เซอร์กิสอธิบาย “เขาเป็นกลาสีที่เก่ง และมีแววว่าจะเป็นมนุษย์ที่ดีได้ แต่เขามัวแต่หลงอยู่ในอารมณ์สมเพชตัวเอง และตินติน เด็กหนุ่มคนนี้นี่เองที่ช่วยให้เขารู้ตัวว่าเขาสามารถที่จะมีสัมพันธ์กับคนอื่นๆ ได้อีกครั้ง”


วายร้ายซาคาไรน์, ธอมป์สันกับธอมสัน และคนอื่นๆ…

               การเปลี่ยนแปลงของกัปตันแฮ็ดด็อคเกิดขึ้นเมื่อเขากับตินตินพยายามที่จะหนีให้พ้นจากการคุกคามของผู้ร้ายของภาพยนตร์เรื่องนี้ ซึ่งก็คืออิวาน อิวาโนวิทช์ แซคคาไรน์ผู้เชื่อว่าตินตินเป็นคนขโมยความลับของเรือเดอะยูนิคอร์นและขุมทรัพย์ที่สาบสูญไปนาน ผู้ที่เข้ามารับบทที่ชั่วช้านี้ก็คือ แดเนียล เคร็ก ซึ่งเป็นที่รู้จักดีในหมู่คนดูจากบทสายลับอังกฤษผู้ทรงเกียรติอย่าง เจมส์ บอนด์ เคร็กซึ่งสั่งสมคำชมจากภาพยนตร์หลากหลายแนว เคยร่วมงานกับสปีลเบิร์กมาแล้วในภาพยนตร์ทริลเลอร์แนวการเมือง เรื่อง Munich แต่เขาไม่เคยแสดงเป็นตัวละครอย่างซาคาไรน์มาก่อนเลย
           เขาพอใจกับโอกาสที่จะได้ปลดปล่อยตัวเองไปกับการรับบทเป็นคนร้ายเช่นนี้ “ผมสนุกมากกับการแสดงเป็นแซคคาไรน์และพยายามทำให้เขาชั่วร้ายและเจ้าเล่ห์และแปลกมากที่สุดเท่าที่ผมจะแสดงได้” เคร็กบอก
           ที่เข้ามาเพิ่มสีสันให้กับการผจญภัยของตินตินก็คือธอมป์สันกับธอมสัน สองนักสืบที่ไม่เพียงแต่โดดเด่นในเรื่องของรูปทรงของหนวด และตัวอักษร “พี” ในชื่อของพวกเขาเท่านั้น ที่เข้ามารับบทเป็นคู่นักสืบงุ่มง่ามเฉื่อยชา ทางทีมผู้สร้างคิดเห็นพ้องต้องกันเป็นหนึ่งเดียว นั่นก็คือทีมนักแสดงตลก ไซม่อน เพ็กก์ และนิค ฟรอสท์ ซึ่งเคยนำความสามารถของพวกเขาไปแสดงให้เห็นประจักษ์มาแล้วในภาพยนตร์ฮิตอย่าง Shaun of the Dead และ Hot Fuzz 
            “ปีเตอร์กับผมรู้ดีว่าเราอยากเลือกนักแสดงที่เป็นทีมเพื่อให้มารับบทเป็นธอมป์สันกับธอมสัน” สปีลเบิร์กกล่าว “จากนั้นปีเตอร์ก็แนะนำไซม่อนและนิคขึ้นมา ซึ่งพวกเขาตลกมากเมื่ออยู่ด้วยกัน และเป็นส่วนเพิ่มเติมที่วิเศษมากสำหรับทีมนักแสดงของเรา”
           เพ็กก์และฟรอสท์รู้ตัวดีว่าพวกเขาสนุกได้อย่างมหาศาลกับบทคู่ดูโอนักสืบ “เรามีความเป็นหนึ่งเดียวกันในแบบที่เหมาะจะมาเล่นเป็นคู่หูตะกุกตะกักสองคนนี้” เพ็กก์บอก “พวกเขาเป็นเหมือนดาราหนังเงียบแบบเดียวกับ ลอเรลและฮาร์ดี้ กับชาร์ลี แชปลิน พวกเขาจุกจิกจู้จี้ แต่ก็ตะกุกตะกักอ้ำอึ้ง และถึงแม้พวกเขาจะมองตัวเองว่าเป็นนักสืบที่เก่งฉกาจที่สุดในโลก แต่เห็นได้ชัดว่าพวกเขาคือนักสืบที่แย่ที่สุดต่างหาก ดังนั้นเราจึงต้องทำเรื่องไร้สาระเยอะมาก”
            พวกเขายังมีโอกาสได้ทำสิ่งที่พวกเขาทำได้ดีที่สุด นั่นก็คือการปล่อยให้การแสดงตลกที่เข้าขากันอย่างเป็นธรรมชาติ เกิดขึ้นในวินาทีนั้น “เรื่องยากในฐานะนักแสดงก็คือ การคิดว่าพวกธอม (ป์) สันจะทำยังไงในระหว่างแต่ละช่วงเวลา” ฟรอสท์อธิบาย “นั่นคือจุดที่ลักษณะนิสัยต่างๆ ไหลเข้ามาหาเรา”
           ตลอดทั้งเรื่อง ธอมป์สันและธอมสันกำลังดิ้นรนตามล่าจับตัวนักล้วงกระเป๋า อริสทีเดส ซิลก์ บทที่แสดงโดยโทบี้ โจนส์ ผู้เคยแสดงเป็น ด็อบบี้ เอล์ฟประจำบ้านในภาพยนตร์ชุด Harry Potter โจนส์บอกว่า ซิลก์ ทำงานนี้ด้วยความรักมากกว่าจะเป็นเพราะความเลวร้ายในตัว “เขาเป็นคนที่สนุกกับศิลปะการล้วงกระเป๋า เพราะเขาชอบกระเป๋าเงิน มีบางอย่างที่ดูน่าประทับใจในความรักที่เขามีต่อการล้วงกระเป๋า เขาคือตัวอย่างสุดคลาสสิกของไอเดียของแอร์เช ที่ว่าคนที่หน้าตาท่าทางดูน่ากลัว ดูเลวร้าย แต่พวกเขาอาจไม่ใช่คนเลวร้ายอะไรเลย”
           ที่เข้ามาเกี่ยวพันในพลอตเรื่องนี้ด้วย ก็คือเนสเตอร์ บัตเลอร์ผู้ภักดีของคฤหาสน์มาร์ลินสไปก์ ฮอลล์ ตัวละครตัวนี้รับบทโดย เอ็นน์ ไรเทล “เช่นเดียวกับบัตเลอร์มากมาย เขารู้ดีว่าโครงกระดูกถูกซ่อนเอาไว้ตรงไหน แต่ก็เหมือนบัตเลอร์ทุกคน เขามีความภักดีต่อเจ้านายอย่างมาก ซึ่งอย่างน้อยก็ในเวลานั้น เจ้านายของเขาก็คือซาคาไรน์” ไรเทลบอก (เขายังรับบทเป็นพ่อค้าที่ขายโมเดลเรือสุดอันตรายให้กับตินติน)
           ที่มาเสริมทีมนักแสดงผู้รับบทฝ่ายผู้ร้าย ก็คือคู่หูโจร อัลแลนกับทอม ซึ่งรับบทโดยแดเนียล เมย์ส และแม็คเคนซี่ ครุก, พ่อค้าผู้ร่ำรวย เบน ซาลาด รับบทโดยนักแสดงชายที่เกิดในโมร็อคโค แก๊ด เอลมาลีห์ นักแสดงตลกชาวฝรั่งเศสยอดนิยมผู้นี้ ซึ่งพ่อของเขาเป็นใบ้ รู้สึกพอใจกับภาษาทางกายที่สปีลเบิร์กสนับสนุนให้เขาใส่ลงไปในบทนี้ “สำหรับผมแล้ว มันให้ความรู้สึกเหมือน Comedia Dell’arte การแสดงตลกอันยอดเยี่ยมของอิตาลี” เอลมาลีห์กล่าวว่า “ผมเติบโตมาในวัฒนธรรมนี้และผมก็รักมันมาก สตีเว่นเองก็อยากให้ผมแสดงเป็น เบน ซาลาด ออกมาในรูปแบบดั้งเดิมแบบนี้เช่นกัน มันเป็นเสมือนของขวัญเลยนะ”
           “แก๊ดนำพลังมาสู่ภาพยนตร์เรื่องนี้มากมาย” แคธลีน เคนเนดี้กล่าว “เขาอาจดูร้าย แต่ก็เข้ากับมุมมองที่แอร์เชนำเสนอสิ่งต่างๆ เอาไว้ ทั้งตลกและดูน่ารักใคร่ไปในเวลาเดียวกัน”
           ตัวละครสมทบอีกตัวหนึ่งจากหนังสือตินติน ซึ่งก็คือนักร้องโอเปร่าเสียงใสระดับทำให้แก้วสั่น เบียนก้า แคสทาฟีโอเร่ ซึ่งรับบทโดยดิว่าจาก Phantom of the Opera คิม สเตนเกล “ขณะที่พวกเราพัฒนาตัวบทภาพยนตร์อยู่นั้น เราไม่ได้พยายามจะเขียนถึงเธอใส่เข้าไปในเรื่องนี้เลยนะ” แจ็คสันอธิบาย “มันบังเอิญว่ามีบทหนึ่งที่เหมาะกับเธอมาก ดังนั้นเธอจึงลงเอยด้วยการอยู่ในภาพยนตร์เรื่องนี้ในแบบที่น่าพึงพอใจมาก”
           ตัวละครจาก Tintin อีกหลายตัวที่ปรากฏในภาพยนตร์เรื่องนี้ ยังรวมถึงเจ้าของบ้านเช่าของตินติน มิสซิสฟินช์ (ซอนย่า ฟอร์แท็ก), ร้อยโทลาคอร์ท (โทนี่ เคอร์แรน) และตัวละครที่เป็นคนอเมริกันเพียงคนเดียวในภาพยนตร์เรื่องนี้ บาร์นาบี้ นักสืบที่พยายามเตือนให้ตินตินรู้ถึงอันตรายที่เขากำลังพาตัวเองไปเจออยู่ บทนี้รับบทโดยนักแสดงตลก โจ สตาร์
            ดูเหมือนสิ่งหนึ่งที่นักแสดงจากหลากหลายชาตินี้มีเหมือนๆ กัน ก็คือความรักที่พวกเขามีต่อหนังสือตินตินและความปรารถนาที่จะได้เป็นส่วนหนึ่งของภาพยนตร์เรื่องนี้ “เราทุกคนต่างมีบางอย่างในวัยเด็กที่สร้างความประทับใจให้กับพวกเรา” แครี่ เอลเวส ผู้รับบทเป็นนักบินโจมตี สรุป “สำหรับผมแล้ว ความประทับใจนั้นก็คือ Tintin นั่นเอง”

happy on November 20, 2011, 09:48:27 PM
ตัวละครที่เปี่ยมด้วยจินตนาการ การแสดงที่สมจริง:
ขั้นตอนเทคนิคเพอร์ฟอร์แมนซ์ แค็ปเจอร์

               ต้องใช้เวลาถึงสองปีในการทำการค้นคว้า พัฒนา ออกแบบ เตรียมงานสร้าง เขียนบทภาพยนตร์ คัดเลือกตัวนักแสดง แต่สุดท้ายแล้ว เวลาของพวกนักแสดงก็มาถึง ทีมผู้สร้างและทีมงานมากกว่า 200 คนได้มารวมตัวกันที่โรงถ่ายที่พลายา วิสต้า, ไจแอ้นท์ สตูดิโอส์ซึ่งตั้งอยู่ในแคลิฟอร์เนีย และทุกคนก้าวเข้าสู่โลกของแอร์เช นี่คือที่ซึ่งการเล่นแร่แปรธาตุจะต้องเกิดขึ้น เมื่อการแสดงที่เปี่ยมไปด้วยอารมณ์และจิตวิญญาณของเจมี่ เบลล์, แอนดี้ เซอร์กิส, แดเนียล เคร็ก และทีมนักแสดงทั้งหมดได้รับการบันทึกเอาไว้ และถูกแปลงไปเป็นเรื่องราวที่แอร์เชเคยวาดด้วยน้ำหมึกและสีน้ำ 
           เมื่ออยู่ในโรงถ่าย สปีลเบิร์กจะใช้เทคโนโลยีเพอร์ฟอร์แมนซ์ แค็ปเจอร์ที่สุดสร้างสรรค์ผสมผสานเข้ากับสัญชาตญาณในการเล่าเรื่องของเขา และสนับสนุนให้ทีมงานคิดหาทางออกใหม่ๆ เพื่อแก้ปัญหาที่วุ่นวายที่สุด เขากับแจ็คสันลงเอยด้วยการปฏิวัติงานแขนงนี้ในระดับเล็กๆ ด้วยระบบที่พวกเขาเรียกกันว่าเป็น กล้องเสมือนจริง ซึ่งช่วยให้ผู้กำกับสามารถกำกับการแสดงของนักแสดงได้ในเดี๋ยวนั้น โดยเขาสามารถ “เห็น” ภาพที่เกิดขึ้นในโลกแอนนิเมชั่นสามมิติได้ในทันที
           “ผมไม่ได้อยากปลดเปลื้องตัวเองให้พ้นจากวินาทีที่ต้องใช้สัญชาตญาตที่เกิดขึ้นในกองถ่ายหนังแบบเดิมๆ ดังนั้นเราจึงคิดหาวิธีการใหม่ขึ้นมาเพื่อทำให้การแสดงดูเนียนมากขึ้น” สปีลเบิร์กกล่าว 
           โรงถ่ายของภาพยนตร์เรื่องนี้แตกต่างไปจากโรงถ่ายภาพยนตร์อย่างที่เคยใช้กัน กระบวนการจับข้อมูลการแสดง หรือเพอร์ฟอร์แมนซ์ แค็ปเจอร์ จะเกิดขึ้นในสิ่งที่เรียกว่าเป็นโวลุ่ม ซึ่งเป็นโรงถ่ายสีขาวและเทาสะอาดเอี่ยมที่ติดตั้งด้วยกล้องกว่า 100 ตัวที่ถูกติดตั้งเอาไว้ที่เพดาน ทำให้สามารถจับภาพครอบคลุม 360 องศา และส่งข้อมูลเข้าไปในพื้นที่สามมิติ ในโวลุ่มนี้ นักแสดงทุกคน (รวมถึงอุปกรณ์และของตกแต่งฉาก) จะสวมใส่ชุดที่กล้องจะจับข้อมูลเอาไว้ด้วยความเร็ว 60 ต่อวินาที และแปลข้อมูลนั้นให้กลายเป็นภาพเคลื่อนไหวเสมือนจริงที่เป็นภาพสามมิติ
           นอกจากนี้ ยังมีกล้องวิดีโอเอชดี (ความละเอียดสูง) อีก 8 ตัวที่จับภาพการแสดงจริงๆ ที่เกิดขึ้น และต่อมามันจะถูกใช้เป็นข้อมูลอ้างอิงให้กับทีมแอนนิเมเตอร์เพื่อให้แน่ใจในสีหน้าถลึงตา ยิ้ม และแสดงอารมณ์ต่างๆ ตั้งแต่ความหวาดกลัวจนถึงมิตรภาพ ที่ถูกถ่ายทอดออกมาเมื่อการแสดงของเหล่านักแสดงถูกแปลงให้กลายเป็นภาพดิจิตอล
           ด้วยการใช้กล้องเสมือนจริงที่ใช้เครื่องมือใหญ่กว่าตัวควบคุมวิดีโอเกมส์ ที่มาพร้อมมอนิเตอร์ สปีลเบิร์กจึงสามารถเดินผ่านเข้าไปในโวลุ่ม คอยดูร่างอวตารของนักแสดงที่มีปฏิสัมพันธ์กันอยู่ในโลกของภาพยนตร์เรื่องนี้ภายในมอนิเตอร์ของกล้องเสมือนจริง และสร้างชอตที่เขาต้องการในเวลานั้นจริงๆ พวกนักแสดงเองก็จะได้เห็นตัวพวกเขาในโลกของภาพยนตร์ผ่านทางมอนิเตอร์ที่ตั้งอยู่ในโรงถ่าย ทำให้พวกเขาได้เห็นผลลัพธ์ในทันที
           “การที่พวกเขาได้เห็นภาพในเดี๋ยวนั้นเลย ถือเป็นเรื่องสำคัญทั้งกับตัวผู้กำกับและนักแสดง” โจ เล็ทเทอรี่บอก “เราทำงานอย่างใกล้ชิดกับทางไจแอ้นท์ สตูดิโอส์ เพื่อพัฒนาเทคนิคนั้นขึ้นมา และความร่วมมือนั้นถือว่าประสบความสำเร็จอย่างสูง เพราะพวกเขาเข้าใจดีเลยว่าทุกอย่างจะต้องเหมือนจริงที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ในเวลานั้น” 
ขณะที่กล้องเสมือนจริงให้ได้เพียงภาพความละเอียดต่ำแบบเดียวกับวิดีโอเกมส์ แต่มันก็เพียงพอที่จะจุดประกายความคิดสร้างสรรค์ของสปีลเบิร์ก และเทคนิคใหม่นี้ก็โดนใจเขาในทันที เพราะมันทำให้เขาสามารถที่จะแต่งแต้มภาพด้วยแสงในแบบที่เขาไม่เคยทำได้มาก่อน
            นอกจากนี้ ด้วยเทคนิคที่มีชื่อเสียงโด่งดังของทางวีต้าก่อนหน้านี้ ซึ่งเป็นกระบวนการทำงานที่รู้จักกันในชื่อ “ตัวจับภาพการแสดงสีหน้า” ซึ่งเคยถูกนำไปใช้ในการสร้างความสมจริงทางอารมณ์ของกอลลั่มใน The Lord of the Rings และเพื่อสร้างตัวละครชาวแพนโดร่าในภาพยนตร์ของ เจมส์ คาเมรอน เรื่อง Avatar ได้ถูกสปีลเบิร์กนำมาใช้เพื่อเพิ่มรายละเอียดให้กับ The Adventures of Tintin 
            เมื่อใช้ระบบนี้ เหล่านักแสดงจะสวมหมวกคล้ายหมวกอเมริกันฟุตบอลที่มีสายเชื่อมต่อกับกล้องขนาดเล็กๆ ที่จับไปที่ใบหน้าของพวกเขา ทำให้กล้องดิจิตอลสามารถบันทึกการเคลื่อนไหวแม้เพียงเล็กน้อยของดวงตา ริมฝีปาก และกล้ามเนื้อบนใบหน้า สำหรับสปีลเบิร์กแล้ว นี่คือตัวที่วางสิ่งสำคัญเอาไว้ในจุดที่เขาต้องการ นั่นก็คือพลังของการแสดงที่ให้อารมณ์ที่สมจริง 
           “มนุษย์ทุกคนที่เห็นใน Tintin ก็คือนักแสดงที่ให้การแสดงอย่างเต็มกำลัง ทั้งการแสดงอารมณ์ การแสดงที่เลวร้าย และทั้งหมดนั้นได้ส่องประกายผ่านการตกแต่งด้วยดิจิตอล” ผู้กำกับสปีลเบิร์กให้ความเห็น “เราได้เห็นตัวละครของแอร์เชถือกำเนิดขึ้นมาใหม่ในฐานะมนุษย์ที่มีชีวิต สามารถแสดงความรู้สึก และแสดงจิตวิญญาณออกมาได้ และผลที่ได้นั้นมันน่าฉงนจริงๆ”
            นักแสดงที่ได้ชื่อว่ามีประสบการณ์กับการแสดงแบบเพอร์ฟอร์แมน แค็ปเจอร์มากที่สุดคนหนึ่งในโลกอย่าง แอนดี้ เซอร์กิส ได้กลายมาเป็นหัวหน้ากลุ่ม และเขายังได้ช่วยนักแสดงคนอื่นๆ ให้สามารถปรับตัวเข้ากับสภาพแวดล้อมด้วย สำหรับประสบการณ์ที่เขามีต่อการทำงานด้านนี้ เซอร์กิสได้รับแรงบันดาลใจจากการเปลี่ยนแปลงที่เขาได้เห็นในตัวสปีลเบิร์กและแจ็คสันขณะที่พวกเขาทำงานด้วยกัน “มันน่าทึ่งมากที่ได้มาเห็นพวกเขาทั้งสองคนแลกเปลี่ยนความคิดกันไปมา” เซอร์กิสบอก “พวกเขาทั้งคู่ต่างหลงใหลคลั่งไคล้งานสร้างภาพยนตร์ และบางครั้งมันก็ดูราวกับว่านี่คือภาพยนตร์เรื่องแรกที่พวกเขาได้สร้างออกมา พวกเขามีพลังอัดแน่นแบบนั้นแหละ พวกเขาคิดไอเดียต่างๆ ได้รวดเร็วมาก มันชวนให้ตาลายจริงๆ”
           ขั้นตอนที่ใช้เวลาเช่นนี้ยังถือเป็นของใหม่สำหรับนักแสดงมากมายหลายคน แต่ละเช้าก่อนหน้าที่จะเริ่มต้นถ่ายทำกัน นักแสดงจะต้องผ่านการสแกนการเคลื่อนไหวสองรอบ รอบหนึ่งเป็นการสแกนใบหน้า และอีกครั้งเป็นการสแกนร่างกาย เมื่อการสแกนเหล่านี้สิ้นสุดลง กล้องจะสามารถระบุตัวนักแสดงในโวลุ่มได้ และแปลงการเคลื่อนไหวของพวกเขาให้กลายเป็นโครงกระดูกที่เคลื่อนที่ได้ ต่อด้วยการที่พวกเขาสามารถที่จะแต่งรูปลักษณ์ผิวภายนอกให้กับตัวละครในขั้นตอนโพสต์โปรดักชั่น
           สำหรับเจมี่ เบลล์ ห้องโวลุ่มนี้ให้ความรู้สึกเหมือนเป็นโรงละครที่ตกแต่งไว้น้อยที่สุด มากกว่าที่จะเป็นฉากของภาพยนตร์ แต่เขาบอกว่าอันที่จริงลักษณะเช่นนี้กลับช่วยเสริมการทำงานให้ดีขึ้น “มันเป็นวิธีการทำงานที่น่าสนใจ เพราะฉากของภาพยนตร์เรื่องนี้อยู่ในหัวของคุณ” เบลล์อธิบาย “เรามุ่งเน้นไปที่การมอบชีวิตให้กับตัวละครเหล่านี้และทำให้พวกเขามีลมหายใจ จากนั้น ในโลกแอนนิเมชั่นสามมิตินี้ พวกเขาได้ถูกสร้างขึ้นมา เราสามารถมองเห็นถึงหัวใจและจิตวิญญาณ และความโกรธของพวกเราไหลผ่านออกมาได้ มันสุดยอดมากจริงๆ”
           เบลล์ต้องแสดงในหลายฉากร่วมกับสโนวี่ที่ควบคุมด้วยไฟฟ้า ตุ๊กตายัดนุ่นสโนวี่ที่ใช้ในฉาก “สตั๊นต์” และสโนวี่ติดล้อ ทั้งหมดนี้อยู่ในความควบคุมของปรมาจารย์ แบร็ด เอลเลียตต์ ซึ่งเขาได้นำประสบการณ์นานหลายปีในการดูแลงานบังคับหุ่นให้กับบริษัทของจิม เฮนสัน ซึ่งเขาได้เปลี่ยนให้กลายเป็นการแสดงขึ้นมา
           “มันสมเหตุผลสำหรับนักแสดงที่จะมีบางอย่างให้พวกเขาแสดงโต้ตอบด้วยได้” เอลเลียตต์อธิบาย “และเพราะสโนวี่มีบทบาทสำคัญอยู่ในภาพยนตร์เรื่องนี้ สำหรับผมจึงถือเป็นสิทธิพิเศษมากทีเดียวที่ผมได้มาสร้างตัวสโนวี่ขึ้นมา”
           สปีลเบิร์กยังได้สร้างบรรยากาศที่ทุกอย่างสามารถเกิดขึ้นได้ในขั้นตอนของเพอร์ฟอร์แมนซ์ แค็ปเจอร์ บ่อยครั้งที่นักแสดงทุกคนต้องเข้าไปอยู่ในโวลุ่ม แสดงฉากสตั๊นต์ หรือแสดงบทบาทอยู่บนแท่นทรงกลมที่ถูกสมมติให้เป็นเครื่องบิน รถยนต์ หรือเรือ โดยพวกเขาต้องด้นมุกสดเล่นกันโดยได้รับการสนับสนุนจากทั้งสปีลเบิร์กและแจ็คสัน
=

happy on November 20, 2011, 10:01:18 PM
จากภาพเสมือนจริงสู่ความเป็นจริง:
แต่งเติมประสบการณ์สุดท้ายในขั้นโพสต์โปรดักชั่น

               เมื่อการทำงานอันสุดตื่นเต้นกับนักแสดงในโวลุ่มเสร็จสมบูรณ์ลง ทีมแอนนิเมชั่นที่วีต้าก็เริ่มกระบวนการนาน 18 เดือนในการปรับ ปั้นแต่ง และใส่รายละเอียดให้กับภาพกว่า  1,240 ชอตของภาพยนตร์เรื่องนี้ก่อนที่จะผ่านกระบวนการขั้นสุดท้าย และตรงนี้เองที่ทางทีมผู้สร้างเริ่มต้นเล่นกับธีมภาพ อารมณ์แบบภาพยนตร์ และใส่เอฟเฟ็กต์จัดแสงในแต่ละฉาก จนได้ภาพลักษณ์ของภาพยนตร์อย่างที่ต้องการ 
           การใช้โลกที่มีสไตล์ที่แอร์เชได้สร้างเอาไว้แล้วเป็นต้นแบบ ทำให้ทีมแอนนิเมเตอร์สามารถนำชีวิตใส่ลงไปในโลกของตินตินได้ “ทุกสิ่งทุกอย่างที่แอร์เชได้สร้างเอาไว้ล้วนแต่มีภาพลักษณ์และสีสันที่โดดเด่น” โจ เล็ทเทอรี่เล่า “ผลงานที่ไม่เหมือนใครของเขามีอารมณ์ราวกับภาพวาดกำลังรอที่จะลุกขึ้นมามีชีวิตงั้นแหละ” 
           สำหรับแอนนิเมชั่น ซูเปอร์ไวเซอร์ เจมี่ เบียร์ด และพอล สตอรี่ มันคือจุดเริ่มต้นของการทำความเข้าใจในโลกของตัวละครของแอร์เช “กระบวนการเพอร์ฟอร์แมนซ์ แค็ปเจอร์เป็นแค่ก้าวแรกสำหรับพวกเรา” เบียร์ดอธิบาย เพราะเจมี่ เบลล์, แอนดี้ เซอร์กิส และนักแสดงทุกคนไม่ได้มีส่วนละม้ายคล้ายกับตัวละครของพวกเขา ทางทีมแอนนิเมเตอร์ที่นำทีมโดยเบียร์ดและสตอรี่ จึงได้เริ่มต้นกระบวนการในการใช้ข้อมูลจากเพอร์ฟอร์แมนซ์ แค็ปเจอร์ในโรงถ่าย ใส่ลงไปให้กับโมเดลตัวละครดิจิตอลที่สร้างโดยทีมของวีต้า
           “สิ่งที่เราต้องทำก็คือ มองดูการแสดงของนักแสดง และถามว่า ‘การแสดงนั้นจะเข้ากับงานออกแบบตัวละครของเราได้อย่างไร’“ เบียร์ดกล่าว “โดยหลักๆ แล้วเราเริ่มต้นด้วยภาพสเก็ตช์แบบคร่าวๆ โดยเป็นรูปทรงเรขาคณิตความละเอียดต่ำว่าตัวละครเป็นอะไร และจากตรงนั้น เราก็เริ่มลงมือสร้างการเคลื่อนไหวของร่างกายที่ผ่านการปรับแต่งแล้ว” สตอรี่กล่าวเสริม 
           “ในภาพยนตร์แอนนิเมชั่นตามปกติ คุณก็จะมีทีมนักแสดงที่ได้รับเลือกมาให้เป็นทีมให้เสียง จากนั้นพวกเขาก็จะเข้าไปบันทึกเสียงในห้องพากย์ ซึ่งจะเป็นตัวให้ข้อมูลว่าคุณจะเลือกวาดภาพตัวละครออกมาอย่างไร” เล็ทเทอรี่อธิบาย
           กระบวนการแอนนิเมชั่นสำหรับ ‘Tintin’ ต้องพึ่งพิงเทคนิคเพอร์ฟอร์แมน แค็ปเจอร์ในขั้นตอนสร้างตัวละครขั้นตอนสุดท้าย “การมีนักแสดงเข้ามาช่วย ทำให้เราได้รูปแบบชีวิตในแบบที่ยากจะสร้างได้สำเร็จด้วยวิธีอื่น” เล็ทเทอรี่กล่าวอธิบายต่อ “การแสดงของนักแสดงที่เป็นรากฐานให้กับงานแอนนิเมชั่นทำให้คุณมีความต่อเนื่องตลอดเรื่อง ในภาพยนตร์แอนนิเมชั่นแบบดั้งเดิม นั่นคือสิ่งที่ถูกเรียกว่าเป็น ‘การคงตัวละครให้ตรงตามโมเดล’ กับภาพยนตร์เรื่องนี้ เรามีนักแสดงซึ่งเป็นคนที่คงลักษณะตัวละครให้ตรงตามโมเดล นั่นคือเหตุผลที่เราอยากทำงานกับนักแสดงที่เก่งที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ ขณะที่เราสร้างกระบวนการทำงานแบบนี้ เพราะมันจะทำให้เรามีอิสระที่จะขยายการแสดงเหล่านั้นออกไป และเพิ่มความรู้สึกสมจริง เพิ่มอารมณ์ดราม่า ความตลก หรือไอเดียอื่นๆ ที่เกิดขึ้นตลอดทาง”
           ตลอดขั้นตอนโพสต์โปรดักชั่น มีหลากหลายแง่มุมของตัวละครที่ถูกปรับแต่งให้ดีขึ้น โดยพวกเขาจะใช้ภาพวิดีโอที่ถ่ายทำเอาไว้ในโวลุ่มมาเป็นข้อมูลอ้างอิงเพื่อให้แน่ใจว่าทุกการแสดงที่สร้างโดยระบบดิจิตอลนั้น สามารถสะท้อนการตัดสินใจทางอารมณ์ของนักแสดงเอาไว้ได้

           ในที่สุด The Adventures of Tintin จะผ่านกระบวนการที่จะปรับแต่งให้เป็นดิจิตอลสามมิติ “เพราะ Tintin เป็นภาพยนตร์ที่สร้างกันในคอมพิวเตอร์ล้วนๆ การทำให้มันกลายเป็นภาพยนตร์สามมิติจึงเป็นงานที่ง่ายมาก” แจ็คสันบอก “แต่กับภาพยนตร์เรื่องนี้มันโดดเด่นน่าประทับใจเป็นพิเศษ แค่คิดว่าจะได้ดู Tintin บนจอภาพยนตร์ขนาดใหญ่ในรูปแบบของสามมิติ ก็ทำให้ผมรู้สึกเหมือนกลับไปเป็นเด็กอีกครั้งแล้ว”
           ผู้ที่เข้ามาทำงานกับทีมของวีต้า ก็คือผู้ที่ร่วมงานกับสปีลเบิร์กมานานอย่างผู้ลำดับภาพรางวัลออสการ์ ไมเคิล คาห์น สปีลเบิร์กและคาห์นเป็นที่รู้จักดีว่าเป็นหนึ่งในนักสร้างภาพยนตร์กลุ่มสุดท้ายในฮอลลีวู้ดที่ยังคงทำงานตัดต่อภาพยนตร์อยู่ ถึงแม้คาห์นจะตัดต่อภาพยนตร์หลายเรื่องด้วยการใช้ระบบดิจิตอล แต่ The Adventures of Tintin ถือเป็นครั้งแรกที่เขากับสปีลเบิร์กตัดต่อลำดับภาพด้วยเอวิด เมื่อคาห์นลำดับภาพภาพยนตร์เรื่องนี้เสร็จแล้ว สปีลเบิร์กได้นำไปเปิดให้แจ็คสันดู จากนั้น ในขั้นตอนโพสต์โปรดักชั่น งานลำดับภาพนั้นได้ถูกส่งต่อให้กับนักแต่งดนตรีประกอบผู้เป็นตำนานอย่าง จอห์น วิลเลี่ยมส์ ซึ่งเป็นผู้แต่งดนตรีประกอบให้กับภาพยนตร์ทุกเรื่องของสปีลเบิร์ก 
           สำหรับสปีลเบิร์กแล้ว งานดนตรีของวิลเลี่ยมส์กลายเป็นมาองค์ประกอบที่สำคัญและเป็นองค์ประกอบสุดท้ายของ The Adventures of Tintin เป็นฝีมือการตกแต่งสุดท้ายของมนุษย์ที่ช่วยผสมผสานการทำงานของมนุษย์เข้ากับผลงานการสร้างด้วยระบบดิจิตอลเพื่อสร้างประสบการณ์หนึ่งเดียวที่ว่าด้วยการผจญภัยและมิตรภาพ           
           “จอห์นคือเจ้าหน้าที่ที่รวบรวมทุกองค์ประกอบทั้งหมดของภาพยนตร์ให้รวมกันเป็นหนึ่งเดียว และด้วยดนตรีประกอบนี้ เขาได้เข้าถึงพลังและจิตวิญญาณของตินตินในแบบที่เขาคนเดียวเท่านั้นที่จะทำได้” สปีลเบิร์กสรุป


[size=15]มรดกของแอร์เช[/size][/b]

               ในปี 1929 นักวาดภาพประกอบชาวเบลเยี่ยมวัย 21 ปี ได้สร้างสรรค์ผลงานการ์ตูนเรื่องใหม่ที่มีตัวละครเป็นนักข่าวหนุ่มผู้หาญกล้าและสุนัขพันธุ์ฟ็อกซ์เทอร์เรียร์สีขาวที่เดินทางท่องอยู่ในสหภาพโซเวียต การ์ตูนเรื่องนี้ที่รู้จักกันในชื่อ ตินติน กลายเป็นการ์ตูนฮิตในหมู่คนอ่านทันที แต่ตัวศิลปินหน้าใหม่ที่รู้จักกันในนามปากกาว่าแอร์เช (เป็นลูกเล่นที่ได้จากชื่อจริงของเขา จอร์จส์ เรมี่ โดยได้กลับตัวอักษรต้นของชื่อและนามสกุลของเขา RG) ไม่เคยคาดคิดเลยว่าการผจญภัยที่ตัวละครของเขาผจญไปนั้นจะมีอายุยืนยาวสุดมหัศจรรย์ได้เช่นนี้
           ห้าทศวรรษและการมีนิยายภาพกว่า 2 โหล ตินตินสามารถชนะใจผู้อ่านทุกวัยหลายล้านคน ในเกือบทุกประเทศทั่วโลก กลายมาเป็นความประทับใจในวัยเด็กทั้งในยุโรปและเอเชีย และมีกลุ่มแฟนติดตามในสหรัฐอเมริกา ในแต่ละปี หนังสือการ์ตูนเรื่องนี้ยังคงมีแฟนใหม่ๆ เพิ่มขึ้น และเมื่อเร็วๆ นี้ยังมีการแปลไปเป็นภาษาฮินดูด้วย ปรากฏการณ์ความยอดนิยมนี้ทำให้เกิดเป็นของเล่นและของสะสมต่างๆ มีแฟนคลับ และการตีพิมพ์หนังสือเผยแพร่ รวมถึงมีการดัดแปลงไปเป็นละครเวที ละครวิทยุ และหนังทีวี และในที่สุด บัดนี้ มันได้กลายมาเป็นภาพยนตร์ที่นำตัวละครต่างๆ ในเรื่องนี้ให้ลุกขึ้นมาโลดแล่นมีชีวิตอย่างไม่เคยมีใครเคยเห็นมาก่อน
           อะไรคือแหล่งที่มาของเสน่ห์ที่ดูไร้ขีดจำกัดของตินติน สำหรับหลายคน มันอยู่ที่การสร้างเรื่องที่ไม่เหมือนใครของแอร์เช ที่ผสมผสานความเรียบง่ายเข้ากับความซับซ้อน อันได้แก่ ตัวละครที่จดจำได้ง่ายที่มีข้อบกพร่องหลายด้านเหมือนมนุษย์ปุถุชนธรรมดา การผจญภัยของเขาที่มีองค์ประกอบทั้งความลึกลับซ่อนเงื่อน ความตื่นเต้นจากเรื่องการเมือง และเรื่องแนวไซไฟ และสไตล์การวาดภาพที่เป็นตัวละครที่ใช้ลายเส้นที่เต็มไปด้วยรายละเอียด อยู่ในโลกที่มีสีสันที่ช่วยจุดประกายจินตนาการขึ้นมาได้
แอร์เชเคยกล่าวเอาไว้ว่า “ผมไม่สามารถเล่าเรื่องได้ เว้นแต่จะอยู่ในรูปแบบของการวาดรูป” และรูปที่เขาวาดขึ้นมานี่เองที่ดึงดูดคนมากมายให้เข้ามาสู่โลกของตินติน แต่ยังเป็นเพราะหัวใจของตัวละครที่ดูมีเสน่ห์โดยสามารถก้าวข้ามความแตกต่างทางด้านภาษา วัฒนธรรม และกาลเวลาได้  และเกือบทุกคน และเกือบทุกที่ ก็สามารถจินตนาการว่าตัวเขาเองคือชายหนุ่มผู้นี้ ซึ่งความสำเร็จของเขาผ่านการเดินทางสุดโลดโผนเกิดมาจากมิตรภาพและความปรารถนาของเขาที่จะยืนอยู่ในด้านของความดีงาม 
           เมื่อกาลเวลาผ่านไป และแอร์เชได้ตีพิมพ์หนังสือตินตินที่มีแฟนเฝ้ารอคอยออกมาเล่มแล้วเล่มเล่า สไตล์ของเขาได้ส่งอิทธิพลต่อศิลปินจำนวนมากมายอย่างเช่น รอย ลิชเทนสไตน์ และแอนดี้ วอร์ฮอล ซึ่งรายหลังนี้ยังเป็นผู้วาดภาพเหมือนของแอร์เชตามคำเรียกร้องของเขาด้วย
ในปี 1983 แอร์เชได้เสียชีวิตลง โดยยังทิ้งหนังสือตินตินเล่มที่ 24 ของเขา (Tintin and the Alpha-Art) อยู่ในสภาพที่ยังเขียนไม่เสร็จ แต่เห็นได้ชัดว่ามรดกตกทอดของตินตินจะยังคงเติบโต และเขาจะยังคงสร้างแรงบันดาลใจและทำให้แฟนๆ ทั่วโลกหลงใหลได้ต่อไป
           กับภาพยนตร์เรื่อง The Adventures of Tintin ทางทีมผู้สร้างหวังว่าคนรุ่นใหม่จะมีโอกาสได้ค้นพบโลกที่เต็มไปด้วยแรงบันดาลใจ แคธลีน เคนเนดี้กล่าวสรุปปิดท้ายว่า “สำหรับเราแล้ว มันคือความอิ่มอกอิ่มใจที่แฟนๆ ที่รัก Tintin จะสามารถสัมผัสประสบการณ์ใหม่เอี่ยมอ่องกับเหล่าตัวละครและเรื่องราวของภาพยนตร์เรื่องนี้”