สถิติผู้ป่วยโรคมะเร็งของกระทรวงสาธารณสุข พบว่าในปี 2553 คนไทยเป็นมะเร็งถึง 241,051 คน เพิ่มขึ้นจากปีก่อน 80,350 คน โดยมีผู้เสียชีวิต 56,058 ราย หรือ 4,671 รายต่อเดือน ซึ่งนับได้ว่ามะเร็งเป็นสาเหตุการเสียชีวิตอันดับ 1 ของคนไทย ภาครัฐต้องเสียค่าใช้จ่ายในการรักษาเฉลี่ยปีละ 16,000 ล้านบาท
สถิติการคร่าชีวิตของโรคมะเร็งที่มีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้น โดยในปี 2554 มีแนวโน้มว่าผู้ป่วยมะเร็งจะเพิ่มขึ้นอีก 23% ทำให้แพทย์และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งภาคเอกชน หันมารณรงค์เพื่อให้ประชาชนมีความรู้ในการป้องกันเพื่ออยู่ให้ไกลจากมะเร็ง โดยล่าสุด บริษัท เฮลท์ รีเลชั่นส์ จำกัด ผู้จำหน่ายเทคโนโลยีปรับโมเลกุลน้ำ “เอ็มเร็ท” (MRET) ได้จัดสัมมนาเรื่อง “ยึดหลัก 5 อ. ป้องกันมะเร็งได้อย่างไร” โดยเชิญ รศ.พญ.สุพัตรา แสงรุจิ ผู้เชี่ยวชาญด้านรังสีรักษาและเวชศาสตร์นิวเคลียร์ โรงพยาบาลศิริราช มาบรรยายให้ความรู้กับผู้รักสุขภาพ
รศ.พญ.สุพัตรา แสงรุจิ แพทย์ที่บุกเบิกและให้ความรู้ในเชิงป้องกันมะเร็ง ให้ความรู้เบื้องต้นว่าโรคมะเร็งส่วนใหญ่เป็นโรคของผู้ป่วยที่มีภูมิต้านมะเร็งบกพร่อง ซึ่งมีหลายสาเหตุ เช่น เครียด พักผ่อนน้อย อายุมาก ขาดการออกกำลังกาย ดื่มเหล้า สูบบุหรี่ ขาดสารอาหารที่ช่วยเพิ่มภูมิต้านทานมะเร็ง และทานอาหารและดื่มน้ำที่ปนเปื้อนสารก่อกลายพันธุ์ ซึ่งสารก่อกลายพันธุ์นั้นก็ได้แก่สารเคมีบางชนิดจากบุหรี่และเหล้า เชื้อไวรัส แบคทีเรีย ปาราสิต รวมถึงรังสี เช่น ยูวีบี รังสีเอ็กซ์และรังสีแกรมม่า ใครที่โชคร้ายเป็นมะเร็ง นอกจากจะสูญเสียเงินทองและทุกข์ทรมานจากการรักษาแล้ว ผลของการรักษาก็ใช่ว่าจะทำให้ผู้ป่วยและญาติสบายใจได้ 100% เพราะแม้ว่าจะรักษาอย่างเต็มที่แล้ว แต่ผู้ป่วยบางคนอาจจะไม่หาย แพทย์ทำได้เพียงบรรเทาอาการเพื่อคงการมีชีวิตอยู่ ส่วนผู้ป่วยที่รักษาหายแล้วแต่เมื่อติดตามผลต่อไป อาจจะพบว่าโรคหายขาดเพียงชั่วคราวและกลับมาเกิดใหม่ได้ ดังนั้น วิธีที่ดีกว่าคือการป้องกัน
เคล็ดลับที่ รศ.พญ.สุพัตรา แนะนำคนไข้ในการป้องกันมะเร็ง คือ 5 อ. ซึ่งนอกจากจะใช้เพื่อการป้องกันก่อนเป็นแล้ว ยังเป็นเคล็ดลับสำหรับผู้ป่วยหลังเป็นมะเร็งเพื่อลดการเกิดซ้ำในที่เดิม ป้องกันโรคกระจายไกล ป้องกันการเกิดซ้ำที่เดิมและกระจายไกล รวมทั้งป้องกันการเกิดมะเร็งชนิดใหม่ในตำแหน่งใหม่ด้วย
อ.ที่ 1 คือ อาหาร ต้องทานให้ครบ 5 หมู่ เลือกอาหารที่สะอาด ปลอดสารเคมี และสารก่อกลายพันธุ์ โดยในส่วนของโปรตีน ไขมัน แป้งและน้ำตาล นับเป็นอาหารพื้นฐานสำหรับการดำรงชีวิตแต่หากทานมากเกินไปจะไปรบกวนระบบภูมิต้านมะเร็ง ปริมาณโปรตีนที่พอเหมาะในแต่ละวัน คือ 1 กรัมต่อน้ำหนักตัว 1 กก. และต้องทานผักผลไม้ เห็ดและถั่วเพิ่ม โดยผักผลไม้จะช่วยยับยั้งการเกิดอนุมูลอิสระและป้องกันเซลล์กลายพันธ์ ส่วนเห็ดช่วยเพิ่มภูมิต้านทานป้องกันมะเร็ง หากเป็นมะเร็งจะทำให้หายเร็วขึ้น และช่วยลดผลข้างเคียงจากเคมีบำบัดและรังสี สำหรับถั่วซึ่งเป็นสารต้านอนุมูลอิสระจะจับกับอนุมูลอิสระและป้องกันสารก่อกลายพันธุ์
อ.ที่ 2 คือ ออกกำลังกาย ควรออกกำลังกายวันละ 10-30 นาที การออกกำลังกายช้าๆ เบาๆ ผสมผสานกับการหายใจเข้าออกที่ถูกวิธี เช่น โยคะ เส้าหลิน บู๊ตึ๊ง ชี่กง ชี่ไดนามิค ไทชิ เต้าเต๋อ ฯลฯ ซึ่งจะช่วยทำให้สุขภาพแข็งแรง ภูมิคุ้มกันสมบูรณ์ ส่วน
อ.ที่ 3 คือ อากาศ ต้องอยู่ในที่ที่อากาศบริสุทธิ์ หลีกเลี่ยงที่อับชื้น ฝุ่น ควัน สารเคมีระเหย และฝุ่นเคมี
อ.ที่ 4 คือ อารมณ์ ต้องฝึกจิตให้สงบ ใจสบาย ไม่เครียด และนอนหลับสนิท
อ.ที่ 5 อุจาระ ขับถ่ายระบายของเสียให้สม่ำเสมอ ทำให้สารก่อกลายพันธุ์ไม่คั่งค้างอยู่ในร่างกายนาน
รศ.พญ.สุพัตรา ได้แนะนำสูตรสำหรับผู้ป่วยมะเร็งว่า “ในแต่ละวันให้ทานเห็ด ถั่วทุกชนิด มะพร้าวทั้งน้ำและเนื้อ 2 ลูก มะนาว 2-3 ลูก และคั้นน้ำแครอทและแอปเปิ้ลดื่ม 1-3 แก้ว นอกจากอาหารแล้ว ต้องให้ความสำคัญกับน้ำดื่มด้วย เพราะน้ำจะช่วยชะล้างและนำพาของเสียออกจากเซลล์ ทำให้เซลล์สะอาดสดชื่นและทำให้เซลล์ภูมิต้านทานแข็งแรง น้ำที่ดีต้องเคลื่อนตัวได้เร็ว มีความตึงผิวต่ำ ความหนืดต่ำ ดูดซึมเข้าและออกจากเซลล์ได้เร็ว นำของดีเข้าเซลล์และของเสียออกจากเซลล์ได้ดี ซึ่งปกติแล้ว โมเลกุลของน้ำจะรวมกลุ่มกันประมาณ 30-40 โมเลกุล ทำให้เคลื่อนตัวช้า มีความตึงผิวและความหนืดสูง ถูกดูดซึมเข้าและออกจากเซลล์ช้าโดยใช้เวลาประมาณ 2 ชั่วโมง ทำให้การนำพาของดีเข้าเซลล์และของเสียออกจากเซลล์ช้าไปด้วย ดังนั้น จึงควรเลือกดื่มน้ำที่มีการปรับโครงสร้างโมเลกุลอย่างเหมาะสมจะดีที่สุด”
ด้าน คุณบุญญฤทธิ์ วาณิชยพงศ์ ซึ่งในอดีตเคยป่วยเป็นโรคมะเร็งโคนลิ้น เล่าว่า “ผมเข้ารับการรักษาด้วยการทำคีโมและฉายแสง แม้ร่างกายจะแข็งแรง แต่ก็กังวลว่าสารเคมีที่ได้รับจะทำให้ตับไตพัง ผมเลยสั่งน้ำปรับโมเลกุลมาดื่ม เพียงแค่ต้องการให้น้ำที่ดีช่วยขับสารเคมีออกจากร่างกายให้เร็ว ระหว่างนอนอยู่โรงพยาบาล ทานได้แต่กล้วยกับน้ำ จึงเห็นคุณค่าของน้ำว่มาก ไม่ใช่ว่าน้ำจะช่วยรักษามะเร็ง แต่น้ำทำให้ประสิทธิภาพการรักษาดีขึ้น ระหว่างรักษา สังเกตว่ารอยดำจากเข็มใช้เวลาเพียงเดือนเดียวก็จาง จึงตัดสินใจสั่งเครื่องปรับโมเลกุลน้ำมาใช้ ดื่มมาจนถึงทุกวันนี้ ตอนนี้ใช้ชีวิตได้ตามปกติ ร่างกายคืนกลับมา 90% รู้สึกไม่เหนื่อยง่าย สมองสดชื่นกว่าก่อนเป็นมะเร็งด้วยซ้ำ
สุดท้ายกับประสบการณ์ของ คุณลลิตา พรหมสุวรรณศิริ ที่เคยป่วยเป็นมะเร็งเต้านม ซึ่งเล่าว่า “เมื่อทราบว่าเป็นมะเร็งเต้านม หมอแนะนำให้ผ่าตัด หลังจากนั้นต้องทานฮอร์โมนเป็นเวลา 5 ปี และติดตามใกล้ชิดเพราะมีโอกาสเป็นซ้ำได้ ปกติเป็นคนที่ดูแลสุขภาพอยู่แล้วและได้รับการแนะนำจากพี่สาวให้ดื่มน้ำปรับโมเลกุล ช่วงแรกที่ดื่ม อาการภูมิแพ้ตอนเช้าก็ดีขึ้น พอเป็นมะเร็งก็ดื่มมาตลอด จากการตรวจติดตามมะเร็งตลอด 3 ปี ก็ไม่พบการกลับมาของโรค”
ผู้ร่วมงานต่างก็ได้รับความรู้เกี่ยวกับมะเร็งกลับบ้าน พร้อมกับท่าออกกำลังกายที่ รศ.พญ.สุพัตรา นำมาสอน ปิดท้ายด้วยการที่ บริษัท เฮลท์ รีเลชั่นส์ จำกัด นำรายได้จากการสัมมนาพร้อมสมทบเพิ่มรวมเป็น 100,000 บาท มอบให้กับ “ศิริราชมูลนิธิ เพื่อช่วยเหลือผู้ป่วยมะเร็ง” พร้อมกันนี้ ได้มอบเครื่องปรับโมเลกุลน้ำเอ็มเร็ทเพื่อใช้ในโรงพยาบาลศิริราชด้วย
ข้อมูลเพิ่มเติมกรุณาติดต่อ
อุษณีย์ ถาวรกาญจน์ โทร.081 984 5500 Email:
usanee@incom.co.thวันวิสาข์ วสุกาญจน์ โทร.085 488 4744 Email:
wanwisa@incom.co.thจิรสุดา จิตรากรณ์ โทร.081 641 7595 Email:
jeerasuda@incom.co.thบริษัท อินทิเกรเต็ด คอมมูนิเคชั่น จำกัด โทร. 0 2354 3588
www.incom.co.th