happy on August 29, 2011, 03:44:11 PM
Don’t Be Afraid  of the Dark


จัดจำหน่ายโดย   เอ็ม พิคเจอร์ส  
ชื่อภาษาไทย
 อย่ากลัวมืด! ถ้าไม่กลัวตาย!
เว็ปไซด์ตัวอย่างภาพยนตร์   http://youtu.be/ExSz2YFK4MA      
ภาพยนตร์แนว   สยองขวัญ
จากประเทศ      สหรัฐอเมริกา
กำหนดฉาย      8 กันยายน 2554
ณ โรงภาพยนตร์   ทุกโรงภาพยนตร์

นักแสดง    Katie Holmes(เคที่ โฮล์มส์) จาก Batman Begin
                          Guy Pearce  (กาย เพียร์ซ) จาก The Road
                          และ Bailee Madison (เบลีย์ เมดิสัน) นักแสดงดาวรุ่งจาก Brothers


ผู้กำกับ   Troy Nixey (ทรอย นิกซีย์)
อำนวยการสร้าง             Guillermo Del Toro (กุยเลอร์โม เดล โทโร)

จุดเด่น    Don’t Be Afraid of the Dark คือภาพยนตร์แนวตื่นเต้นสยองขวัญสั่นประสาท แสดงนำโดย เคที่ โฮล์มส์ และ กาย เพียร์ซ กำกับโดย ทรอย นิกซีย์ นอกจากนั้นยังได้
    ผู้กำกับจาก Hell Boy 1 และ 2 กีลเลอร์โม่ เดล โทโร่ มาเป็นโปรดิวเซอร์พร้อมกับร่วมเขียนบทให้กับหนังเรื่องนี้ด้วย โดยก่อนหน้านี้เขายังเป็นโปรดิวเซอร์รวมทั้งเขียนบทให้แก่หนังดังๆอีกหลายเรื่อง  
เรื่องย่อ   เรื่องราวของเด็กน้อย(เบลี เมดิสัน) ที่ตามพ่อ (กาย เพียร์ซ) และแฟนสาวของพ่อ (เคธี โฮล์มส์) ไปอยู่ยังคฤหาสน์ในฝันหลังใหม่ แต่มันกลายเป็นฝันร้ายเมื่อมีบางสิ่งที่น่ากลัวหลบอยู่ในนั้นด้วย ลูกสาวพยายามบอกพ่อ แต่พ่อก็คิดว่าลูกจินตนาการไปเอง มีเพียงแฟนใหม่ของพ่อที่เชื่อและพยายามช่วยไขเงื่อนงำนี้


<a href="http://www.youtube.com/watch?v=ExSz2YFK4MA" target="_blank">http://www.youtube.com/watch?v=ExSz2YFK4MA</a>
« Last Edit: August 30, 2011, 02:23:00 PM by admin »

happy on August 29, 2011, 03:47:37 PM
Don’t Be Afraid  of the Dark

เรื่องย่อ

สิ่งที่เก่าแก่และชั่วร้ายยังคงมีชีวิตอยู่ในอนธกาลใต้คฤหาสน์แบล็ควู้ด
   เมื่อแซลลี่ เฮิร์สท์ (เบลีย์ เมดิสัน) มาเยือนโร้ด ไอส์แลนด์ เพื่อเยี่ยมอเล็กซ์ (กาย เพียร์ซ) พ่อของเธอและคิม (เคที่ โฮล์มส์) แฟนสาวคนใหม่ของเขา ที่คฤหาสน์ทรงวิคตอเรียน ที่พวกเขากำลังบูรณะอยู่ เธอก็รู้สึกเหมือนตัวเองเป็นคนนอก และบ้านใหม่ที่หรูหราของเธอก็ดูเหมือนจะเป็นคุกที่เหน็บหนาวและไร้การเหลียวแล
   อเล็กซ์ ที่มัวแต่สนใจโปรเจ็กต์ยิ่งใหญ่และความใฝ่ฝันในฐานะสถาปนิกของตัวเอง ห่างเหินกับลูกสาวของเขา และความพยายามของคิมในการสานสายสัมพันธ์กับแซลลี่ก็ลงเอยด้วยความหงุดหงิดทุกครั้งไป
   แซลลี่พบความอบอุ่นและหนทางหลบหนีด้วยการสำรวจคฤหาสน์หลังนี้ด้วยตัวคนเดียว และแม้ว่าจะได้รับคำเตือนจากผู้ดูแลบ้าน คุณแฮร์ริส (แจ็ค ธอมป์สัน) เธอก็ดึงดันจะออกผจญภัย ซึ่งนำไปสู่การค้นพบห้องใต้ดินลับ ที่ไม่มีใครย่างเท้าก้าวเข้าไปนับตั้งแต่การหายตัวไปอย่างลึกลับเมื่อร้อยปีก่อนของผู้สร้างคฤหาสน์หลังนี้ นักวาดภาพธรรมชาติชื่อดัง อีเมอร์สัน แบล็ควู้ด ห้องใต้ดินที่มืดหม่นและชื้นแฉะแห่งนี้ ซึ่งครั้งหนึ่งเคยเป็นสตูดิโอส่วนตัวของแบล็ควู้ด ได้เก็บงำความลับเกี่ยวกับอดีตของสถานที่ที่ไม่มั่นคงและมืดมิดนี้ รวมไปถึงบางสิ่งที่อาจจะชั่วร้ายกว่านั้น
   ความอยากรู้อยากเห็นของเธอยิ่งทวีความรุนแรงขึ้น แซลลี่แปลกใจเมื่อเสียงจากใต้เตาผิงเริ่มพูดกับเธอ เสียงที่ยั่วเย้า เรียกร้องและอ้อนวอนขอความช่วยเหลือจากเธอ เสียงนั้นเป็นของโฮมุนคลุส สิ่งมีชีวิตจอมบงการและโหดเหี้ยม ผู้ซึ่งมีต้นกำเนิดตั้งแต่สมัยที่ตำนานเล่าขานเกี่ยวกับเทพยดาและปีศาจเป็นมากกว่านิทานสอนใจ และผู้ซึ่งใช้ชีวิตอยู่ในความมืด กินเลือดเนื้อของเด็กๆ เป็นอาหาร!
   เมื่อแซลลี่ปล่อยสิ่งมีชีวิตชั่วร้ายพวกนี้ให้เป็นอิสระจากที่คุมขังโดยไม่รู้อิโหน่อิเหน่ เธอก็เป็นเพียงคนเดียวที่ค่อยๆ ตระหนักถึงตัวตนของพวกมันภายในคฤหาสน์หลังนี้ และธรรมชาติที่แท้จริงของความโหดเหี้ยมของมัน
   อเล็กซ์ ที่มองไม่เห็นความกลัวที่มีต้นสายปลายเหตุของลูกสาวตัวเอง มัวแต่สนใจกับงานเลี้ยงอาหารค่ำที่เขากับคิมวางแผนจะจัดขึ้นเพื่ออวดโฉมคฤหาสน์ที่ซ่อมแซมเสร็จเรียบร้อย เกินกว่าที่จะใส่ใจกับเรื่องราวที่ดูเหมือนเป็นตำนานเกี่ยวกับปีศาจร้ายในความมืดที่ลูกสาวเขาเล่า แม้กระทั่งหลังจากที่แฮร์ริสถูกโจมตีอย่างเหี้ยมโหด พวกผู้ใหญ่ก็อธิบายว่ามันเป็นอุบัติเหตุจากงานอุตสาหกรรม
   แซลลี่พบมิตรภาพที่เหลือเชื่อในคิม ผู้มองเห็นตัวเองในความเข้มแข็งที่ผสมผสานกับความเปราะบางของเด็กหญิงตัวน้อยคนนี้ เธอเริ่มจะรับฟังคำกล่าวอ้างของเด็กหญิงอย่างจริงจังมากขึ้นและตัดสินใจที่จะไปสำรวจถึงที่มาของความกลัวของเธอ นำเธอไปสู่การค้นพบที่ชวนตะลึงเกี่ยวกับชะตากรรมที่แท้จริงของแบล็ควู้ด
   เมื่อพวกโฮมุนคลุสโจมตีแซลลี่ในห้องน้ำ พวกมันก็เริ่มยุคสมัยแห่งความหวาดสะพรึงที่จะคุกคามทุกคนที่ผ่านเข้ามา
   ครอบครัวที่ร้าวฉานนี้จะต้องรวมใจกันเป็นหนึ่งเดียวเพื่อปราบกองทัพปีศาจร้ายนี้ให้ได้ ไม่เช่นนั้น พวกเขาก็อาจจะต้องเผชิญกับชะตากรรมอันเลวร้ายอย่างเดียวกับที่อีเมอร์สัน แบล็ควู้ดเจอก็เป็นได้


เกี่ยวกับงานสร้าง

               ในเม็กซิโก เมื่อประมาณ 30 ปีที่แล้ว กุยเลอร์โม เดล โทโร เด็กหนุ่มคนหนึ่งกำลังเล่นเกมกับพี่น้องของเขา ที่พวกเขาจะทำให้อีกฝ่ายกลัวด้วยการกระซิบชื่อ “แซลลี่…”
   พวกเขาเคยดูภาพยนตร์ที่แพร่ภาพทางโทรทัศน์ยุค 70s Don’t Be Afraid of the Dark ต้นฉบับมาแล้ว และมันก็ส่งผลกระทบที่ยาวนานต่อพวกเขา
   “สำหรับยุคของผม มันเป็นหนังโทรทัศน์ที่น่ากลัวที่สุดเท่าที่เราเคยดูมาเลย” เดล โทโรบอก “มันทำให้ครอบครัวผมขนหัวลุก และมันก็ติดตรึงอยู่ในใจผมเสมอมา”
   เมื่อเดล โทโรมาอเมริกาในหลายปีให้หลัง เขาก็ค้นหาเนื้อเรื่องดั้งเดิม และใช้เวลาสามหรือสี่ปีก่อนที่เขาจะสามารถหาตัวคนเขียนและซื้อสิทธิเรื่องนี้มาได้
   เดล โทโรร่วมเขียนบทภาพยนตร์เรื่องนี้กับแมทธิว ร็อบบินส์ คู่หูของเขาและกล่าวว่าพวกเขา “สนุกสุดเหวี่ยง” จากการทำงานในเรื่องนี้ “องค์ประกอบหลายอย่างที่ผมใส่เข้าไปในบท Don’t be Afraid of the Dark เป็นองค์ประกอบที่อยู่ใน Devil’s Backbone และ Pan’ s Labyrinth ด้วย ทั้งอากัปกิริยา ท่าทาง ไอเดียเล็กๆ น้อยๆ ต่างๆ ครับ”
   ในการเขียนบท เดล โทโร ชื่นชอบการสำรวจธีมที่เขาครุ่นคิดมานานแล้ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งไอเดียของพวกเทวดาฟันน้ำนม
   “ผมหมกมุ่นกับพวกเทวดาฟันน้ำนมตั้งแต่ผมยังเป็นเด็ก ผมสงสัยว่า “ทำไมพวกเขาถึงอยากได้ฟันล่ะ พวกเขากินฟันเหรอ พวกเขาสร้างภาพเขียนเล็กๆ ขึ้นจากฟันรึเปล่า พวกเขาทำอะไรกับฟันที่มี ผมไม่เคยได้รับคำตอบที่น่าพึงพอใจเลย…”
   ปีแล้วปีเล่าผ่านไปโดยไม่มีโปรเจ็กต์ใดเกิดขึ้น แต่ระหว่างนั้น การพัฒนาก็ดำเนินต่อไป ซึ่งก็รวมถึงการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ต่อเนื้อเรื่อง ที่เปลี่ยนแซลลี่ ที่เดิมเป็นผู้ใหญ่ ให้กลายเป็นเด็ก
   “ในหนังที่แพร่ภาพทางโทรทัศน์เรื่องนั้น แซลลี่เป็นผู้ใหญ่ ที่รับบทโดยคิม ดาร์บี้ มันเป็นหนังที่เกี่ยวกับตัวละครผู้หญิงที่เป็นผู้ใหญ่ในรูปแบบเรโทร ก่อนที่ผู้หญิงจะมีอำนาจ เธอก็เลยเป็นผู้หญิงขี้กลัว ที่ถูกทำร้ายด้านจิตใจ ผมไม่ชอบเรื่องนั้น และผมคิดว่าคงจะดีกว่าถ้าแซลลี่เป็นเด็กน่ะครับ”
   ภาพยนตร์เรื่องนี้อยู่กับมิราแมกซ์มาหลายปี และหลังจากการปรับโครงสร้างของวีนสไตน์เมื่อปี 2005 เดล โทโรก็ตัดสินใจที่จะหาคำตอบว่าเกิดอะไรขึ้นกับบทภาพยนตร์เรื่องนี้
   “ผมหวังและเฝ้าภาวนาว่าบทเรื่องนี้จะถูกทิ้งไว้เบื้องหลัง เพื่อที่ผมจะได้มีโอกาส แต่เมื่อปรากฏว่ามันไปอยู่กับดิสนีย์และมิราแมกซ์ ผมก็ไปหาเครี พุทแมนและแดเนียล ฮัสซิดในทันที และถามพวกเขาว่าพวกเขาอยากจะสร้างหนังเรื่องนี้โดยมีผมเป็นผู้อำนวยการสร้างรึเปล่า แล้วเราก็จะหาผู้กำกับหน้าใหม่มากำกับ”
   ในช่วงนี้เองที่ผู้อำนวยการสร้างมาร์ค จอห์นสันได้เข้ามาเกี่ยวข้องกับโปรเจ็กต์นี้ เขาและเดล โทโรรู้จักกันมากว่าสิบปีแล้วและมองหาโอกาสที่จะได้ร่วมงานกันอีกครั้งหนึ่ง
   จอห์นสันเล่าว่า “เมื่อสิบเดือนที่แล้ว ผมกำลังอยู่ในรถตัวเองในลอสแองเจลิส เขาโทรหาผมถามว่า ‘คุณอยากจะอำนวยการสร้างหนังกับผมไหม’ แล้วเขาก็เล่าให้ผมฟังถึงหนังเรื่อง Don’t Be Afraid of the Dark”
   เดล โทโรเล่าว่า “กระบวนการทั้งหมดเกิดขึ้นระหว่างปี 1993-2009 ดังนั้น เรียกได้ว่าเราใช้เวลาสร้างหนังเรื่องนี้ทั้งหมด 16 ปี ในการสร้างมันในแบบที่ผมต้องการ และหาผู้กำกับที่เหมาะสมในการใส่เอาความแปลกประหลาด พิสดารเข้าไป และผมก็คิดว่าเราพบทั้งหมดนั้นในตัวทรอย นิกซีย์ครับ”

happy on August 29, 2011, 03:50:19 PM
ทาบทามผู้กำกับ

               ก่อนหน้าที่จะเข้ามากำกับภาพยนตร์ ทรอย นิกซีย์เคยใช้ชีวิตและทำงานในแคนาดา และประสบความสำเร็จในในฐานะนักวาดการ์ตูน ผลงานที่โด่งดังของเขาก็รวมถึงการ์ตูน Batman ที่เขาร่วมงานกับไมค์ มิกโนลา, การ์ตูนโดยนีล ไกแมนเรื่อง Only the End of the World Again, Grendel: Black, White & Red โดยแมทท์ แว็กเนอร์, Bacon และการ์ตูนชื่อดัง Trout
   เดล โทโรคุ้นเคยกับผลงานวาดภาพประกอบของนิกซีย์เป็นอย่างดี “ผมชอบการ์ตูนที่เขาวาดให้กับไมค์ มิกโนลา ผมก็เลยติดตามผลงานของเขามาโดยตลอด”
   เมื่อนิกซีย์ทดลองงานกำกับ โปรเจ็กต์แรกของเขาคือภาพยนตร์ขนาดสั้นที่ซับซ้อนแต่ก็เต็มไปด้วยการเคลื่อนไหว Latchkey’s Lament ซึ่งใช้เวลาสร้างสี่ปีและได้รับเสียงวิจารณ์ชื่นชมจากงานเทศกาลภาพยนตร์นานาชาติโตรอนโตในปี 2007
   นิกซาร์ได้อีเมล์ภาพจากงานสร้างภาพยนตร์ขนาดสั้นเรื่องนี้ให้เดล โทโรดู ซึ่งก็สร้างความประทับใจให้กับเขาอย่างมาก เขาเล่าว่า “เมื่อถึงเวลามองหาผู้กำกับ Don’t be Afraid เพื่อนของเราสองคน นิค นันเซียต้าจาก Chud.com ก็แนะขึ้นมาว่า ‘แล้วทรอยล่ะ ดูหนังสั้นของเขาสิ มันออกมาโอเคเลยนะ’ ผมดูหนังสั้นของเขา และก็ชอบมันมาก”
   เดล โทโรไปพบนิกซีย์เพื่อพูดคุยเกี่ยวกับเรื่องราวและตัวละคร “ผมรู้สึกว่าเขาเข้าใจโลกของเด็กได้ค่อนข้างดีทีเดียวและเขาก็มีสัญชาตญาณที่เฉียบคมในการใส่เอาความไม่ธรรมดาเข้าไปน่ะครับ”
   เช่นเดียวกัน จอห์นสันก็ประทับใจกับ Latchkey’s Lament มากจนเขาได้โทรหานิกซีย์ “แบบไม่มีปี่มีขลุ่ย” จากกองถ่าย Narnia ในกรุงปรากเพื่อทำความรู้จักกับเขาและเสนอตัวช่วยเหลือโปรเจ็กต์ในอนาคตของเขา
   ดังนั้น จอห์นสันจึงไม่แปลกใจเลยเมื่อกุยเลอร์โมโทรมาหาเขาเกี่ยวกับ Don’t Be Afraid of the Dark “และปรากฏว่า ทรอยเป็นผู้กำกับหนังเรื่องนี้ครับ”
   นิกซีย์รีบตอบรับโอกาสในการได้กำกับภาพยนตร์เรื่องแรกของเขาและกล่าวชื่นชมบทว่ามี “สมดุลที่ยอดเยี่ยมของตัวละครที่เข้มแข็งและองค์ประกอบเกี่ยวกับดาร์คแฟนตาซีที่ซ่อนอยู่เบื้องหลังครับ”
   แม้ว่านิกซีย์จะมีประสบการณ์ภาพยนตร์ที่น้อยนิด แต่จอห์นสันก็พูดถึงเขาว่าเป็น “นักวิชวล ที่วิเศษสุด” และกล่าวว่าเขามีความสุขกับการได้อำนวยการสร้างกับผู้กำกับหน้าใหม่ “พวกเขาต้องการความช่วยเหลือที่แตกต่างกันไปมากกว่าคนที่เคยสร้างหนังมาหลายปีแล้วน่ะครับ”
   นิกซีย์มั่นใจกับการก้าวไปสู่งานกำกับภาพยนตร์ โดยเขาอธิบายว่า
   “ผมขัดเกลาทักษะการเล่าเรื่องของเขาตลอดระยะเวลา 17 ปีที่ผมทำงานวาดการ์ตูน ตอนที่ผมได้สร้างหนังสั้นของตัวเอง Latchkey's Lament ผมถึงได้เปิดรับสิ่งที่ผมรู้สึกว่าเป็นสื่อการเล่าเรื่องที่เยี่ยมที่สุดเท่าที่ถูกสร้างขึ้นมา ตอนนี้ผมกำลังทำงานอยู่ในเมลเบิร์นเพื่อสร้างหนังเรื่องนี้ และมันก็เป็นทุกอย่างที่ผมอยากจะทำมาโดยตลอดครับ”
   ระหว่างช่วงพรีโปรดักชัน ผู้อำนวยการสร้างมือเก๋า บิล ฮอร์เบิร์ก ได้ถูกนำเข้ามาในฐานะผู้ควบคุมงานสร้างเพื่อเป็นแรงสนับสนุนด้านความคิดสร้างสรรค์เพิ่มเติมสำหรับนิกซีย์
   ฮอร์เบิร์กกล่าวว่า “ผมกำลังเตรียมพร้อมสำหรับช่วงวันหยุดซัมเมอร์กับครอบครัวผม แล้วโทรศัพท์ก็ดังขึ้น เป็นมาร์คโทรมา เขาถามว่า ‘กระเป๋าคุณแพ็คเรียบร้อยแล้วรึยัง คุณมีแผนเร่งด่วนอะไรในซัมเมอร์นี้รึเปล่า ผมมีงาน’ เขาเล่าให้ผมฟังว่ามันเป็นงานอะไร ผมเองคุ้นเคยกับโปรเจ็กต์นี้และชื่อเรื่องนี้เป็นอย่างดี แต่ผมไม่รู้อะไรนอกเหนือจากนั้น”
   ในตอนนั้น จอห์นสันกำลังอำนวยการสร้าง Narnia อยู่ในควีนส์แลนด์และเดล โทโรก็กำลังเซ็ทฉากเพื่อถ่ายทำ The Hobbit ในนิวซีแลนด์
   ฮอร์เบิร์กกล่าวว่า “มันก็เลยเป็นงานหนัก เหมือนที่ผ่านๆ มา ที่จะทำให้ทุกคนได้สื่อสารกัน เพื่อให้ทรอยถ่ายทอดวิสัยทัศน์ที่เขามีต่อหนังเรื่องนี้ออกมา ว่าเขาเห็นการถ่ายทำยังไง สไตล์ไหนที่เขาเริ่มจะพัฒนาขึ้นมาและค้นพบ แล้วยังมีเรื่องของการหาโลเกชัน ตารางถ่ายทำ แผนงานสร้างและการร่วมงานกับผู้จัดการกองถ่ายสตีเฟน โจนส์ การพยายามทำให้สตูดิโอสบายใจ ทำให้แน่ใจว่าเรามีแผนที่ชัดเจน ทั้งทางด้านการเงินและความคิดสร้างสรรค์น่ะครับ”
   ผู้ควบคุมงานสร้าง สตีเฟน โจนส์เข้ามามีส่วนเกี่ยวข้องกับภาพยนตร์เรื่องนี้ตั้งแต่เริ่มแรกและได้ดูแลทุกแง่มุมของงานสร้างตั้งแต่ช่วงเตรียมงานสร้าง ถ่ายทำและช่วงโพสต์
   เมื่อถูกถามถึงการทำงานร่วมกันของผู้อำนวยการสร้างที่เกี่ยวข้อง โจนส์อธิบายว่า
   “ทุกคนมีจุดแข็งของตัวเองและผมคิดว่า จุดแข็งของผมอยู่ที่เรื่องโลจิสติกและการจัดการ รวมไปถึงเรื่องงบประมารณ ส่วนมาร์คคือความคิดสร้างสรรค์ บิลก็เป็นด้านการพัฒนา ดังนั้นพอคุณจับทุกคนมารวมกัน คุณก็จะได้ทีมที่จะช่วยนำหนังดีๆ มาสู่จอเงินครับ”


การคัดเลือกนักแสดง

                นับตั้งแต่การพูดคุยกันเกี่ยวกับนักแสดงครั้งแรกๆ ทีมผู้สร้างก็มองเห็นเคที่ โฮล์มส์และกาย เพียร์ซในบทคิมและอเล็กซ์แล้ว อย่างไรก็ดี พวกเขาก็ยังไม่แน่ใจว่าจะได้ตัวนักแสดงทั้งคู่มาได้
   เดล โทโรเล่าถึงกระบวนการนี้ว่า “ชื่อแรกที่ผมเลือกคือกาย เพียร์ซ ส่วนชื่อแรกที่ทรอยเลือกมาคือเคที่ โฮล์มส์ สำหรับทั้งสองคน เราไม่รู้ว่าเราจะได้ตัวพวกเขามารึเปล่า เราคิดตรงๆ ว่าพวกเขาน่าจะยุ่งเกินไป เพราะพวกเขาเป็นคนดัง พวกเขาอาจจะไม่มาเล่นหนังสยองขวัญฟอร์มเล็กแต่ทั้งคู่กลับตอบสนองต่อเรื่องราวนี้ครับ”
   มาร์ค จอห์นสันกล่าวว่า “บอกตามตรงนะครับ เราคิดถึงเคที่ โฮล์มส์เสมอว่าเป็นนักแสดงที่เพอร์เฟ็กต์สำหรับบทคิม แต่ผมไม่ควรจะเปิดเผยเรื่องนี้เลยนะครับ คือผมไม่เคยคิดฝันมาก่อนเลยว่าเราจะได้ตัวเธอมา แต่เราก็พูดกันว่า ไม่ลองก็ไม่รู้ และปรากฏว่าเธอชอบหนังสั้นเรื่อง Latchkey’s Lament ของทรอย และเธอก็ตกลงพบกับเรา ผมกับทรอยก็เลยไปพบเธอที่โรงแรมเบเวอร์ลี ฮิลส์ เราได้มีมื้ออาหารกลางวันที่วิเศษสุดร่วมกัน และเราก็พบว่าเธออยากจะแสดงหนังเรื่องนี้ครับ”
   จอห์นสันกล่าวว่า เขาได้ฟังเรื่องของเบลีย์ เมดิสันจากนาตาลี พอร์ตแมน “เธอบอกว่า ‘คุณน่าจะได้เห็นเบลีย์ เมดิสัน เด็กหญิงตัวน้อยคนนี้นะ’ เธอเป็นเด็กหญิงที่น่าทึ่งจริงๆ เธอเป็นนักแสดงแต่ก็ให้ความรู้สึกไม่เหมือนนักแสดง เธอให้ความรู้สึกเหมือนนั่นคือตัวเธอน่ะครับ”
   เดล โทโรกล่าวว่า เบลีย์เป็นของขวัญจากสวรรค์ “เพราะนักแสดงเด็กทุกคนเป็นของขวัญจากสวรรค์ นักแสดงหาได้ยาก และนักแสดงเด็กที่ไม่เรื่องมากก็หาได้ยากกว่า นานๆ ครั้ง ที่พวกเขาจะเป็นนักแสดงที่มีสัญชาตญาณเฉียบคม แต่เบลีย์เป็นแบบนั้น และการได้เห็นพวกเขาแสดงร่วมกัน โดยรู้ว่าพวกเขาล้วนแล้วแต่เป็นตัวเลือกแรกของเรา ทั้งผมและทรอย มันเป็นปาฏิหาริย์ครับ มันยอดเยี่ยมจริงๆ”

happy on August 29, 2011, 03:56:16 PM
ประวัตินักแสดง

Katie Holmes เคที่ โฮล์มส์ (คิม ราฟาเอล)
เคที่ โฮล์มส์ เกิดในเมืองโทเลโด, โอไฮโอ เป็นลูกคนสุดท้องในบรรดาหกคน พออายุได้สิบสี่ปี เคที่ โฮล์มส์ก็เริ่มเดินแบบ หลังจากนั้น เธอก็ใช้เวลาอยู่ในนิวยอร์กเพื่อแข่งขันในงานประกวดเดินแบบและพรสวรรค์ระดับโลก ก่อนที่จะมุ่งหน้าไปลอสแองเจลิสเพื่อออดิชันสำหรับงานแสดง
   การแสดงครั้งแรกของเธอคือภาพยนตร์โดยอัง ลีเรื่อง The Ice Storm มันเป็นบทเล็กๆ ก็จริงแต่ก็เป็นจุดเริ่มต้นอาชีพนักแสดงของเธอด้วย อย่งไรก็ดี ระหว่างเล่นละครของโรงเรียน เธอก็ได้รับเชิญให้ไปออดิชันสำหรับบทโจอี้ พ็อตเตอร์ในซีรีส์ยอดนิยม Dawson’s Creek ด้วยความที่ไม่อยากจะถอนตัวจากการแสดงละครโรงเรียน เธอก็เลยส่งเทปออดิชันไปแทน ผู้สร้างและผู้ควบคุมงานสร้าง Dawson’s Creek พูดถึงโฮล์มส์ว่า “การผสมผสานที่ลงตัวของพรสวรรค์ ความงามและทักษะที่ทำให้ฮอลลีวูดเข้ามาหาเธอ แต่นั่นเป็นเพียงแค่จุดเริ่มต้นเท่านั้น การพบเธอคือการตกอยู่ภายใต้มนต์สะกดของเธอในทันที”
   หลังจากนั้น เคที่ โฮล์มส์ก็ได้ขยับขยายไปแสดงภาพยนตร์ และจัดตารางเวลาระหว่างงานแสดงภาพยนตร์กับ Dawson’s Creek ภาพยนตร์เหล่านั้นรวมถึง Disturbing Behavior และ Go
   โปรเจ็กต์ของโฮล์มส์ค่อนข้างหลากหลาย มีตั้งแต่เมนสตรีมไปจนถึงอาร์ต เฮาส์ ภาพยนตร์เหล่านี้ได้แก่ Boys, The Gift, Pieces of April และ Batman Begins นอกจากนี้ โฮล์มส์ยังได้แสดงละครเวที และเปิดตัวบนเวทีบรอดเวย์ในละครโดยอาร์เธอร์ มิลเลอร์ที่จัดแสดงใหม่เรื่อง All My Sons
   เคที่แต่งงานกับทอม ครูซและมีลูกสาวด้วยกันหนึ่งคนคือ ซูริ


Guy Pearce  กาย เพียร์ซ (อเล็กซ์ เฮิร์สท์)
              กาย เพียร์ซ เกิดในประเทศอังกฤษแต่ย้ายไปออสเตรเลียตอนอายุได้สามขวบ ประสบการณ์การแสดงครั้งแรกของเขาคือตอนอายุได้ 11 ปี ซึ่งเขาได้แสดงละครเวทีหลายเรื่อง นอกจากนี้ สมัยวัยรุ่น เพียร์ซยังสนใจการเพาะกายและชนะการประกวดเพาะกายจูเนียร์ มิสเตอร์ วิคตอเรียตอนอายุได้ 16 ปีด้วย แต่ในปี 1985 เขาก็ได้รับบทซีรีส์ออสเตรเลียยอดนิยมเรื่อง Neighbours ซึ่งส่งให้เขากลายเป็นทีนไอดอลคนดังอย่างรวดเร็ว
   บทบาทสำคัญบทแรกที่ทำให้เขาเป็นที่รู้จักไปทั่วโลกคือการแสดงใน Adventures of Priscilla, Queen of the Desert และนับตั้งแต่นั้นมา เขาก็ได้แสดงภาพยนตร์ฟอร์มยักษ์หลายเรื่อง เช่น L.A Confidential, Memento, The Time Machine, The Proposition และ Death Defying Acts เขาทำงานทั้งในต่างประเทศและในประเทศ และเขาก็มีส่วนเกี่ยวข้องกับละครที่จัดแสดงที่เมลเบิร์นอีกด้วย
   กาย เพียร์ซได้เล่นบทบาทที่หลากหลาย ตั้งแต่ชาวไอริชนอกกฎหมายใน The Proposition ไปจนถึงบทแอนดี้ วอร์ฮอลใน Factory Girl และแน่นอน บทกะเทยใน Priscilla Queen of the Desert มีพูดกล่าวว่าเขาได้ “ใส่เอาความไม่พึงปรารถนา” เข้าไปในแต่ละบทบาทและหลีกหนีจากสถานะ “ดารา”
   ที่เมลเบิร์น เพียร์ซได้แต่งเพลงและเล่นดนตรี และใช้ชีวิตอยู่กับหวานใจวัยเด็กของเขา อย่างไรก็ดี กาย เพียร์ซชอบความเป็นส่วนตัวและปล่อยให้บทบาทของเขาพูดด้วยตัวมันเอง ในเดือนกุมภาพันธ์ ปี 2002 เขาให้สัมภาษณ์กับจีคิวว่า “ผมมักจะกลับไปบ้านหลังจบการให้สัมภาษณ์ ด้วยความรู้สึกเหมือนว่าผมขายตัวเอง ท้ายที่สุดแล้ว ผมก็อยากให้นักแสดงถูกมองว่าเป็นตัวละครของพวกเขา โดยที่คุณไม่รู้อะไรเลยเกี่ยวกับชีวิตส่วนตัวเขามากกว่า” โชคดีสำหรับเขา บทบาทพวกนั้นพูดด้วยตัวมันเองจริงๆ ซะด้วย


Bailee Madison เบลีย์ เมดิสัน (แซลลี่ เฮิร์สท์)

                เบลีย์ เมดิสัน เกิดในฟลอริดา เธอได้รับบทบาทการแสดงครั้งแรกในโฆษณาโทรทัศน์เมื่อเธออายุได้เพียงสองสัปดาห์ ผลงานภาพยนตร์เรื่องแรกของเธอคือการแสดงประกบจอห์น ทราโวลต้าและซัลมา ฮาเย็คใน Lonely Hearts
   บทบาทที่ทำให้เมดิสัน ผู้ซึ่งปัจจุบันอายุเก้าขวบ เป็นที่รู้จักดีที่สุดคือ Bridge to Terabithia, Phoebe in Wonderland และ Merry Christmas Drake and Josh ทางนิคเคลโลเดียน นอกจากนี้ เบลีย์ยังได้แสดงประกบเจค จิลเลนฮาลและนาตาลี พอร์ตแมนใน Brothers และมีผลงานภาพยนตร์สี่เรื่อง ที่เข้าฉายในปี 2010 ซึ่งรวมถึง An Invisible Sign of My Own (กับเจสสิก้า อัลบ้า), Betty Anne Waters (กับฮิลลารี สแวงค์), Letters To God