บทสัมภาษณ์ นักแสดงนำ และผู้อยู่เบื้องหลังความสำเร็จ ของ Man of Steel – บุรุษเหล็กซูปเปอร์แมน ที่ทำให้คนทั้งโลกเห็นซูเปอร์แมน ในมุมที่ไม่เคยเห็นมาก่อน
บทสัมภาษณ์ เฮนรี คาวิลล์ (คลาร์ก เคนต์/ ซูเปอร์แมน), เอมี อดัมส์ (โลอิส เลน), ไมเคิล แชนนอน (นายพลซอด), อานต์เยอ ทรอ (ฟาโอรา), ไดแอน เลน (มาร์ธา เคนต์), รัสเซลล์ โครว์ (จอร์-เอล), แซ็ค สไนเดอร์ (ผู้กำกับ/ ผู้อำนวยการสร้าง), ชาร์ลส์ โรเวน (ผู้อำนวยการสร้าง), เดโบราห์ สไนเดอร์ (ผู้อำนวยการสร้าง), เดวิด เอส. โกเยอร์ (ผู้เขียนบท), ฮานส์ ซิมเมอร์ (ผู้ประพันธ์ดนตรี)
คำถาม: คำถามนี้สำหรับทีมผู้สร้างหนังนะครับ ในการตัดสินใจว่าหนังจะเล่าเรื่องราวตอนใด มีอะไรในตัวนายพลซอดที่ทำให้คุณตัดสินใจอยากเล่าเรื่องราวส่วนนี้
แซ็ค สไนเดอร์: ผมว่าสิ่งหนึ่งที่เจ๋งเกี่ยวกับซอดคือเขาเป็นภัยคุกคามต่อซูเปอร์แมนอย่างแท้จริง เป็นอันตรายร้ายแรงทั้งในแง่กายภาพและอารมณ์ความรู้สึกยิ่งกว่าภัยใดๆ บนโลก เขาไม่เพียงแต่เทียบชั้นกับซูเปอร์แมนได้ในเชิงพละกำลังเท่านั้น แต่ยังเป็นตัวแทนคนของเขาด้วย ซึ่งในแง่นี้ทำให้เขาเป็นศัตรูที่ยากจะต่อกร
นอกจากนี้ เราต้องการเสนอมุมมองของซอดให้ชัดเจนว่าถ้า [สิ่งที่เกิดขึ้นกับดาวคริปตอน] เกิดขึ้นกับดาวของคุณ และคุณพยายามช่วยคนที่คุณรัก คุณจะยอมทำมากแค่ไหน
คำถาม: คำถามนี้สำหรับเอมี อดัมส์ ซึ่งเป็นโลอิส เลนที่เยี่ยมมาก แต่ก็เป็นโลอิส เลนที่เราไม่เคยเห็นมาก่อนเ อะไรทำให้คุณสนใจบทนี้ และคุณมองว่าโลอิสคนนี้ต่างจากคนก่อนๆ อย่างไร
เอมี อดัมส์: ฉันเติบโตมากับการดูซูเปอร์แมนและรักตัวละครเหล่านี้ แล้วฉันก็ไม่ได้ปิดบังอะไรเรื่องที่มาทดสอบบทหลายครั้ง นี่เป็นครั้งที่สาม เพราะฉะนั้นขอบคุณมากนะคะแซ็คที่ให้ฉันได้เล่นเป็นโลอิส
แซ็ค สไนเดอร์: ด้วยความยินดีครับ
เอมี อดัมส์: [หัวเราะ] ตอนฉันคุยกับแซ็คเรื่องโลอิสในภาคนี้ สิ่งที่ฉันชอบคือเธอยังคงเป็นผู้สื่อข่าวที่ใจกล้าบ้าบิ่นอยู่เหมือนเดิม แต่เธอกลายเป็นส่วนหนึ่งของทางแก้ ไม่ใช่ส่วนหนึ่งของปัญหา เธอมีโอกาสเข้าถึงคลาร์กจากภายในและเป็นคนในแทนที่จะเป็นคนนอก ฉันชอบส่วนนี้และมองว่าแนวคิดนี้เป็นเอกลักษณ์มาก
ฉันชอบตรงที่แซ็คอยากให้มันเป็นภาพยนตร์ที่ยิ่งใหญ่อลังการ แต่เขาก็ยังมุ่งความสนใจไปยังตัวละครและความเป็นจริง รวมถึงสร้างตัวละครบนพื้นฐานความเป็นจริงเท่าที่จะทำได้ในโลกอันน่าทึ่งที่เขาได้สร้างขึ้น เขาต้องการให้ตัวละครทั้งหมดมีชีวิตจิตใจจริงๆ เราใช้เวลามากมายไปกับการพูดคุยเรื่องเหล่านี้ ซึ่งทำให้ฉันประทับใจในตัวแซ็คมาก
คำถาม: ดนตรีมีบทบาทสำคัญในหนังเรื่องนี้ สำหรับแซ็ค เฮนรี และฮานส์ คุณคิดว่าซูเปอร์แมนฟังเพลงอะไร เขาฟังนักร้องฮิพฮ็อพหรือเพลงอะไรที่ทำให้เขารู้สึกว่าตัวเองสุดยอดบ้าง? [หัวเราะ]
แซ็ค สไนเดอร์: อ้อ คุณหมายถึงเพลงปลุกใจของเขาน่ะเหรอ
คำถาม: ประมาณนั้นล่ะครับ
เฮนรี คาวิลล์: เป็นคำถามที่ดีน่ะครับ แต่ผมยังไม่มีคำตอบตอนนี้ อาจเป็นเพลงประกอบของฮานส์ ซิมเมอร์ก็ได้นะ [หัวเราะ]
แซ็ค สไนเดอร์: อย่างใน Black Hawk Down น่ะเหรอ
เฮนรี คาวิลล์: ใช่ Gladiator ด้วย ไม่สิ นั่นมันต้องให้รัสเซลล์ฟังต่างหากล่ะ [หัวเราะ]
ฮานส์ ซิมเมอร์: ไม่รู้สินะ เป้าหมายคือเราพยายามสร้างดนตรีเพื่อเขาโดยเฉพาะ ผมว่าอย่างนั้นนะ แล้วเราก็หวังว่าได้บรรลุเป้าหมายนั้นแล้ว
คำถาม: มีการใช้ CGI ในหนังเรื่องนี้ แต่ฉากบินนั้นทำกันอย่างไร คุณเป็นซูเปอร์ฮีโร่ เพราะฉะนั้นคุณต้องไม่ต่อสู้ด้วยวิธีธรรมดา มีการใช้รูปแบบศิลปะการต่อสู้มาผสมกับบางสิ่งที่แตกต่างออกไป คุณช่วยพูดเรื่องนั้นหน่อยได้ไหมครับ
เฮนรี คาวิลล์: ใช่ครับ สำหรับฉากบินเราต้องซ้อมกันอยู่หลายครั้ง ในการบินแบบความเร็วสูงส่วนใหญ่จะใช้แผ่นรองใต้ท้อง เป็นเหมือนแม่พิมพ์ร่างกายส่วนหน้าของผม ให้ผมนอนข้างในนั้น แล้วก็จะมีแกนหมุนพิเศษที่สร้างขึ้นมา เพราะฉะนั้นคุณได้จะภาพผู้ชายในชุดเขียวและฉากเขียวที่เคลื่อนไหวตามการกำกับของแซ็ค ผมแค่ต้องจินตนาการว่ากำลังบินอยู่ เราได้ความช่วยเหลือมากมายจากภาพที่แซ็คคิดไว้และการกำกับของเขา นอกจากนี้ยังมีการใช้ลวดสลิง ซึ่งเราทำในกระบวนการสตันท์ทั้งหมด มันซับซ้อนมากและทีมงานก็ทดสอบมันอย่างดี มีทีมงานอย่างจิม เชิร์ชแมนซึ่งทำงานเรื่องลวดสลิงได้เก่งมาก
ถ้าพูดถึงฉากบิน ส่วนนี้น่าจะสนุกที่สุดสำหรับผม เพราะผมต้องอยู่เหนือพื้นสี่สิบฟุตและอยู่ภายใต้การควบคุมของคนอื่นโดยสิ้นเชิง เยี่ยมไหมล่ะ นี่ล่ะขั้นตอนที่ทำให้คุณรู้สึกเหมือนบินอยู่และกลายเป็นซูเปอร์แมน
คำถาม: ไมเคิล แล้วเรื่องการต่อสู้ล่ะ
ไมเคิล แชนนอน: ผมว่าสิ่งหนึ่งที่คุณต้องไม่ลืมคือบนดาวคริปตอน ซอดไม่ได้มีอำนาจพิเศษอะไร เขาเป็นแค่นายพลคนหนึ่ง เขาฝึกฝนมาเป็นเวลานาน ถูกเคี่ยวกรำมานานบนคริปตอน จากนั้นเขาก็มายังโลกและผ่านประสบการณ์คล้ายกับที่คาล-เอลเคยได้รับ ซึ่งโดยหลักแล้วก็เป็นการปรับตัวกับสภาพแวดล้อม แต่ใช่แล้วล่ะ ซอดฝึกการต่อสู้แบบนี้อาจตั้งแต่เขายังเป็นเด็กเล็กๆ เลยล่ะ
คำถาม: อานต์เยอ คุณเคยเล่นหนังที่มีฉากการต่อสู้ดุเดือดขนาดนี้มาก่อนไหม
อานต์เยอ ทรอ: ไม่ค่ะ ไม่เคยเลย เรื่องนี้น่าจะยิ่งใหญ่ที่สุดเท่าที่ฉันเคยเล่นมาในแง่ฉากแอ็คชัน แต่มันเหมือนการเต้นรำเลยล่ะ ท่าทางได้รับการออกแบบมาอย่างละเอียด และคุณต้องซ้อมท่าเหล่านี้เป็นชั่วโมงๆ นานหลายสัปดาห์และหลายเดือน พอคุณมายืนอยู่หน้ากล้อง มันน่าทึ่งมากที่ได้เห็นทุกสิ่งทุกอย่างมารวมกัน ทั้งเสื้อผ้าหน้าผม มันเป็นช่วงเวลาที่พิเศษสุด
คำถาม: เฮนรี เราใช้คำว่า “คนต้นแบบ” (icon) กันอย่างแพร่หลายในทุกวันนี้ แต่แน่นอนว่านี่คือตัวละครที่เป็นต้นแบบจริงๆ คุณรู้สึกว่าต้องแบกความรับผิดชอบในการรับบทซูเปอร์แมนหรือไม่ และคุณหาทางเปลี่ยนตัวเองให้เป็นตัวละครต้นแบบนี้ได้อย่างไร
เฮนรี คาวิลล์: อันดับแรก ผมไม่คิดว่ามันเป็นเรื่องของการเปลี่ยนตัวเองให้กลายเป็นตัวละครต้นแบบ ในการรับบทเป็นตัวละครแบบนี้ คุณต้องไม่พยายามที่จะเป็นต้นแบบเพราะนั่นก็เท่ากับเสียจุดประสงค์ของมันไป ผมว่าความรับผิดชอบที่มาพร้อมกับบทนี้มันใหญ่หลวงมาก และการได้ตระหนักว่ามันสำคัญมากเพียงใดทำให้ผมอยากทุ่มเททำงานให้เต็มที่เพื่อนำเสนอตัวละครนี้อย่างเหมาะสม มันช่วยได้มากเวลาผมฟิตร่างกายอยู่ในโรงยิม ถ้าผมรู้สึกว่าทำต่อไม่ไหวแล้วหรือยกน้ำหนักไม่ขึ้นแล้ว ผมจะคิดว่า ‘เดี๋ยวก่อนนะ เราต้องดูเหมือนซูเปอร์แมน มีคนมากมายรอให้เราเป็นซูเปอร์ฮีโร่’ เพราะฉะนั้น มันช่วยให้ผมเล่นต่อได้อีกสองสามชุดเพื่อเป็นตัวละครนี้ให้ได้
คำถาม: คลาร์กใช้เวลาทั้งชีวิตหลีกเลี่ยงการต่อสู้ แล้วจู่ๆ เขาก็มาตกอยู่ในสถานการณ์ที่เลือกไม่ได้ คุณคิดว่าเกิดอะไรขึ้นในหัวของเขาตอนนั้น เขาก้าวผ่านมันไปได้อย่างไร
เฮนรี คาวิลล์: เขาก้าวผ่านมันไปได้หลังได้รับคำแนะนำอันชาญฉลาดจากจอร์-เอล ตรงจุดนั้นเองที่เขาต้องทดสอบตัวเอง เมื่อพูดถึงการต่อสู้ มันไม่ใช่การเลือก คุณต้องลงมือทำ สำหรับตัวละครแบบนี้มันไม่ใช่ ‘เอาล่ะ เราต้องเปลี่ยนมุมมองของตัวเองแล้ว’ แต่มันเป็นการตอบสนองไปตามสถานการณ์ ซึ่งการตอบสนองนั้นก็รวมถึงการต่อสู้ด้วย
แซ็ค สไนเดอร์: อย่าลืมว่าเขาออกหมัดแรกก็เพื่อปกป้องแม่ เพราะฉะนั้นมันคล้ายกับว่าเกิดขึ้นโดยสัญชาตญาณ
คำถาม: เอมี ผมทราบมาว่าลูกสาวคุณอายุแค่สามขวบ อะไรสำคัญกับเธอมากกว่ากันระหว่างซูเปอร์แมนกับเดอะ มัพเพทส์
เอมี อดัมส์: คำถามฉันง่ายดีจัง อืม ฉันไม่รู้หรอกนะ ที่จริงต้องพูดว่าเธอชอบตอนเฮนรีใส่ชุดนะ [หัวเราะ] เธอแอบจับบั้นท้ายเขาทีหนึ่งด้วย มันตลกมากเลย
เฮนรี คาวิลล์: เธอทำจริงๆ นะ
เอมี อดัมส์: เธออยากลองแตะชุดนั่นล่ะ แต่เธอสูงเท่าตรงนั้นพอดี พูดอย่างนี้เดี๋ยวโตขึ้นเธอต้องโกรธฉันแน่เลย เธอยื่นมือออกไปแล้วลองแตะดู แต่ตอนนี้เธอติดมิสพิกกี้แล้วล่ะ วันนี้เธอเลยถามว่าฉันจะไปทำงานกับมิสพิกกี้รึเปล่า เพราะฉะนั้นฉันคงต้องตอบว่ามัพเพ็ตส์นะ แต่เธออาจยังไมได้ตัดสินใจก็ได้
คำถาม: เฮนรี ผมคิดว่าเราไม่เคยเห็นคาล-เอลหรือคลาร์กมีปมขัดแย้งเรื่องที่ว่าเขาเป็นใคร มีผลงานคลาสสิกของซูเปอร์แมนที่ช่วยคุณในการสำรวจแนวคิดนี้ไหม
เฮนรี คาวิลล์: ผลงานคลาสสิกของซูเปอร์แมนน่ะเหรอ ถ้าพูดถึงปมขัดแย้งที่เขาต้องเผชิญหรือการเดินทางของเขา มันไม่ได้เกี่ยวกับผลงานคลาสสิกเลย เวลาคุณเห็นคลาร์กเดินทางรอบโลก พยายามค้นหาว่าเขาเป็นใครและเพราะอะไร ผมไม่ได้กลับไปอ้างอิงผลงานต้นฉบับ ผมแค่นึกถึงและนำเอาชีวิตของตัวเองมาใช้ การเป็นนักแสดงเป็นประสบการณ์ที่โดดเดี่ยว นอกจากว่าคุณมีใครซักคนร่วมเดินทางไปกับคุณตลอดเวลา คุณใช้เวลามากมายอยู่กับตัวเองและพบผู้คนใหม่ๆ สร้างครอบครัวชั่วคราวขึ้นมา คุณรักพวกเขา แต่ก็อาจไม่ได้พบพวกเขาอีก นอกเหนือจากงานแถลงข่าวสื่อซึ่งเป็นสถานการณ์ที่แปลกออกไป คุณนำสิ่งเหล่านี้มาใช้กับตัวละคร และสิ่งที่ตรงกับประสบการณ์ของซูเปอร์แมนก็คือการพบคนกลุ่มใหม่ๆ อยู่เสมอ แล้วก็ต้องหายตัวไป แล้วก็ต้องแนะนำตัวเองกับคนกลุ่มใหม่ๆ และพิสูจน์กับคนเหล่านั้นว่าตัวเองเป็นคนดีและพยายามทำสิ่งที่ถูกต้อง แล้วจากนั้นเขาก็ต้องหายตัวไปอีก ความโดดเดี่ยวแบบนี้ล่ะที่ผมนำไปใช้ แทนที่จะเป็นการกลับไปอ้างอิงงานซูเปอร์แมนแบบคลาสสิก
คำถาม: รัสเซลล์ ในซูเปอร์แมนรุ่นแรกๆ จอร์-เอลจะปรากฏตัวแค่ในช่วงต้นของหนัง แต่ใน Man of Steel เขาเป็นจิตวิญญาณของหนังเลย การรับบทตัวละครนี้ให้ประสบการณ์อย่างไรบ้าง
รัสเซลล์ โครว์: ผมมีเรื่องต้องสารภาพครับ ผมคงต้องบอกว่าผมไม่เคยดูหนังซูเปอร์แมนภาคอื่นมาก่อนเลย ผมไม่มีอะไรให้อ้างอิงในแง่ภาพยนตร์ สิ่งเดียวที่ผมมีก็คือละครทีวีขาวดำยุคทศวรรษ 1950 ซึ่งฉายหลังเลิกเรียนตอนผมเป็นเด็ก เพราะฉะนั้นผมไม่ได้ดึงอะไรมาใช้มากนัก ผมแค่อ่านบท และคิดว่ามันเป็นเรื่องราวที่ซับซ้อนแต่ก็ดีมากๆ ในตัวของมันเอง และผมคิดว่าปัญหาที่จอร์-เอลต้องเผชิญในแง่การตัดสินใจของผู้เป็นพ่อก็เป็นเรื่องน่าสนใจในการรับบทบาท เพราะอย่างนี้ผมถึงได้มาร่วมงานในเรื่องนี้
คำถาม: สำหรับแซ็คและเดวิด คุณทั้งคู่ได้ดัดแปลงซูเปอร์แมนหรือหนังสือคอมิกเล่มอื่นๆ ก่อนหน้านี้มาเป็นหนัง คุณช่วยพูดถึงความท้าทายของการมาทำหนังซูเปอร์แมนและการตัดสินใจที่จะไม่ใส่เล็กซ์ ลูเธอร์มาเป็นตัวละครในหนังภาคแรกได้ไหมครับ
เดวิด เอส. โกเยอร์: จะว่าไปมันก็เป็นความท้าทายครั้งใหญ่นะครับ ผมจำได้ว่าเมื่อห้าหกปีก่อนมีคนถามผมในการทัวร์โปรโมต Batman ว่าผมอยากทำซูเปอร์แมนหรือเปล่า และทุกครั้งผมก็ตอบว่าไม่ มันเป็นความรับผิดชอบอันใหญ่หลวง ผู้คนมีความรู้สึกเป็นเจ้าของซูเปอร์แมน หลายคนพูดว่า ‘นั่นซูเปอร์แมนของฉันนะ’ แต่ก็มีซูเปอร์แมนเวอร์ชั่นของจอร์จ รีฟส์จากยุคทศวรรษ 50 และซูเปอร์แมนในหนังเรื่อง Lois and Clark และซูเปอร์แมนของริชาร์ด ดอนเนอร์ มันเป็นสิ่งสำคัญที่เราจะต้องเคารพตัวละครที่เป็นต้นแบบและเป็นเสาหลักอย่างนี้ แต่เฮนรีก็พูดไปก่อนหน้านี้แล้วว่า ขณะเดียวกันคุณก็ต้องเล่าเรื่อง และเมื่อคุณกำหนดได้แล้วว่าตัวละครนั้นเป็นใครและมีปมขัดแย้งอย่างไร คุณก็ต้องปล่อยให้มันนำคุณไป คุณต้องทิ้งสิ่งอื่นๆ ไปให้หมดและไม่กังวลถึงความรับผิดชอบอันยิ่งใหญ่ ไม่อย่างนั้นมันจะกดทับตัวคุณจนทำอะไรไม่ถูก
คำถาม: ในฐานะนักเขียน เมื่อคุณวิเคราะห์ตัวเรื่องออกมาแล้ว คุณคิดว่าการต่อสู้ที่แท้จริงของคาล-เอลในเรื่องนี้คืออะไร
เดวิด เอส. โกเยอร์: สำหรับผมแล้วมันชัดเจนมาก และมันก็น่าสนใจที่ผมคิดเรื่องนี้ขึ้นมาได้ขณะเขียนบท มันเป็นเรื่องราวของพ่อสองคน และระหว่างผมเขียนบทเรื่องนี้ ตัวผมเองก็ได้เป็นพ่อคนและเป็นพ่อเลี้ยง แล้วพ่อผมก็เสียพอดี ผมไม่เคยคิดมาก่อนว่าประสบการณ์ของตัวเองจะกลายมาเป็นอะไรแบบนี้ได้ แต่มองจากมุมนี้ มันก็เป็นเรื่องของผู้ชายที่มีพ่อสองคน และเขาต้องตัดสินใจว่าต้องการสืบเชื้อสายฝั่งไหน พ่อชาวคริปโตเนียนหรือพ่อชาวโลก สุดท้ายแล้วก็เหมือนกับทั้งสองฝ่ายทำให้เขากลายมาเป็นคนอย่างที่เขาเป็น
คำถาม: เฮนรี คุณได้รับอิทธิพลจากนักแสดงคนอื่นๆ ที่เล่นบทนี้มาก่อนหรือไม่ และคุณอยากแสดงให้แตกต่างออกไปอย่างไรบ้าง
เฮนรี คาวิลล์: ผมไม่ได้รับอะไรจากซูเปอร์แมนคนอื่นๆ ก่อนหน้านี้ ในแง่การเป็นนักแสดง วิธีการที่ผมใช้และแนวทางที่ผมมองก็คือนักแสดงทุกคนที่เล่นมาก่อนหน้าตีความจากต้นฉบับ ซึ่งก็คือหนังสือคอมิก และผมก็ต้องการการตีความตามแบบของผมเองเหมือนกัน ไม่ใช่เพราะถือตัวว่าเป็นคนสำคัญอะไรหรอกนะ แต่เป็นความรู้สึกว่าการแสดงอาจไม่ต่อเนื่องถ้าผมใช้บุคลิกของคนอื่นและให้อิทธิพลจากคนอื่นมาส่งผลต่อการตีความตัวละคร ฉะนั้นผมจึงตรงไปยังหนังสือคอมิกเลย ผมดูหนังที่เคยทำมาก่อนหน้านี้เหมือนกัน แต่ผมไม่ได้นำการแสดงเหล่านั้นมาใช้กับตัวเอง
คำถาม: สำหรับไดแอน ในช่วงต้นของหนัง โจนาธาน เคนต์ [รับบทโดยเควิน คอสต์เนอร์] บอกคลาร์กว่าเขาต้องเก็บความสามารถของตนไว้เป็นความลับ คุณว่ามาร์ธารู้สึกเหมือนกันรึเปล่า คุณคิดว่ามาร์ธามีมุมมองอย่างไร
ไดแอน เลน: ครั้งแรกที่เธอเห็นชุดซูเปอร์แมน มันก็เป็นคำตอบอยู่ในตัวเองแล้ว ฉันหมายถึงฉันชอบประโยคที่เราคิดกันขึ้นมา ตอนที่เธอบอกว่า ‘ชุดสวยนะลูก’ เพราะมันรอคอยที่จะได้รับการเปิดเผย แล้วจะมีใครที่จะตื่นเต้นไปยิ่งกว่าคนเป็นแม่อีกล่ะ ฉันว่าคงไม่มีแล้ว ถ้าพูดถึงการที่ลูกชายคุณเปิดเผยตัวเองน่ะนะ [หัวเราะ]
เพราะฉะนั้นเธอจึงโล่งใจ ซาบซึ้ง และตกตะลึงอยู่บ้างกับหายนะที่เกิดขึ้นตามมาขณะต้องหนีออกมาจากบ้านที่พัง และฉันชอบการเปรียบเทียบเรื่องการคว้าอัลบั้มครอบครัวออกมานะ อะไรคือสิ่งที่เราจะคว้าออกมาเวลาเกิดทอร์นาโดหรืออะไรก็ตาม เมื่ออะไรแบบนั้นเกิดขึ้นกับบ้านของคุณ มันเป็นความทรงจำและเป็นระบบคุณค่าของชีวิตมนุษย์ และจริงๆ แล้วอะไรกันแน่ที่เป็นระบบคุณค่าของชีวิตมนุษย์ แล้วก็ยังมีตราประทับที่เรามอบให้คลาร์กด้วย
คำถาม: สำหรับไมเคิลนะครับ คุณมีความสามารถในการรับบทร้ายได้ไม่เหมือนใคร คุณนำพลังความชั่วร้ายนั้นมาจากไหน และใครต่อยเก่งกว่ากันระหว่างเอมิเนมใน 8Mile หรือเฮนรีใน Man of Steel
ไมเคิล แชนนอน: ซาตาน [หัวเราะ] นั่นล่ะคือแหล่งพลังความชั่วร้ายของผม ผมถือถังเดินไปที่บ่อน้ำแล้วก็พูดว่า ‘ซาตาน คุณอยู่ข้างล่างนั่นใช่ไหม วันนี้ผมอยากได้พลังความชั่วร้าย’ ผมปล่อยถังลงไปในบ่อ ได้ลาวาขึ้นมา แล้วผมก็ดื่มมัน [หัวเราะ]
มันแสบร้อนนะแต่ผมก็กินยาลดกรดกับยาช่วยย่อยเข้าไป... ไม่รู้สิ คือว่าผมไม่รู้จริงๆ มันคงไม่ได้ห่างไกลจากสิ่งที่ผมเป็นอยู่หรอก ผมก็แค่คนตัวสูงเก้งก้างดูน่าขันเท่านั้นเอง แล้วผมก็ทำสิ่งเหล่านี้โดยไม่ต้องคิดว่ามันเป็นความชั่วร้ายด้วยซ้ำ
ส่วนเรื่องการต่อยในคิวบู๊ มันไม่ใช่ความลับอะไร ทุกคนในห้องนี้คงรู้กันอยู่แล้วใช่ไหมครับว่าผมแข็งแกร่งกว่าเฮนรีมาก เพราะฉะนั้นเราต้องส่งถุงน้ำแข็งไปถึงห้องพักของเฮนรีที่โรงแรมเลยล่ะ [หัวเราะ]